ทักทาย และ ขอบพระคุณ
1 โครินธ์ 1: 1-3
ข้า..เปาโล เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า กับโสสเธเนสน้องชายของเรา มาถึง
คริสตจักรขององค์พระเจ้า ณ เมืองโครินธ์
ท่านผู้ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ในองค์พระเยซูคริสต์
และเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นวิสุทธิชนของพระเยซูคริสต์ไปพร้อมกับคนทุกแห่งที่ออกพระนามพระเยซูคริสต์ซึ่งทรงเป็น องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราและของพวกเขาด้วย
ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามาเหนือท่านทั้งหลาย
1 โครินธ์ 1:4-9
ข้าขอบคุณพระเจ้าเพราะท่านทั้งหลายเสมอมา เพราะพระคุณที่ประทานแก่ท่านในพระเยซูคริสต์ เนื่องจากท่านมีความพร้อมทุกด้านในพระองค์ คือในการพูดและความรู้ทั้งสิ้น ด้วยว่าท่านได้รับการปลูกฝังคำยืนยันเรื่องพระคริสต์อย่างมั่นคง ท่านจึงไม่ได้ขาดของประทานจากพระวิญญาณ ขณะที่ท่านรอพระเยซูคริสต์เจ้าของเรามาปรากฏ พระองค์จะทรงรักษาท่านให้มั่นคงจนถึงที่สุด เพื่อว่าท่านจะไร้ข้อตำหนิในวันที่พระเยซูคริสต์เจ้าของเราเสด็จมา
พระเจ้าทรงซื่อตรงต่อพระสัญญา ทรงเรียกพวกท่านมาเพื่อจะได้มีสัมพันธ์สนิทกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
แต่ในคริสตจักรกลับแตกแยก!
1 โครินธ์ 1:10-12
ข้าขอร้องพี่น้องในพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราว่า ให้มีใจปรองดองกัน ไม่แตกแยกกัน แต่ในหมู่พวกท่าน ให้มีความคิดเห็นมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
พี่น้องเอ๋ย คนของนางคะโลเอได้มาเล่าถึงการที่พวกท่านทะเลาะกันเอง ข้าหมายถึงท่านต่างก็กล่าวว่า“ข้าเป็นคนของเปาโล” บางคนว่า “ข้าเป็นคนของอปอลโล” บางคนว่า“ข้าเป็นคนของเคฟาส” และยังมี คนที่ว่า “ข้าเป็นคนของพระคริสต์”
1 โครินธ์ 1:13-17
นี่หมายความว่า พระคริสต์ถูกแบ่งออกเป็นหลายองค์อย่างนั้นหรือ? เปาโลถูกตรึงเพื่อท่านหรือ? ท่านได้รับบัพติศมาในนามของเปาโลหรือ? ข้าขอบคุณพระเจ้าที่ยกเว้นจากคริสปัสและกายอัสแล้ว ข้าไม่ได้ให้บัพติศมาแก่ใครเลย
ดังนั้น จึงไม่มีใครมาอ้างได้ว่า ได้รับบัพติศมาในนามของข้า ที่จริงข้าได้ให้บัพติศมาแก่ครอบครัวของสเทฟาด้วย นอกจากนั้นแล้วข้าจำไม่ได้ว่า มีใครอีกบ้าง
เป็นเพราะพระคริสต์ไม่ได้ทรงใช้ข้าเพื่อให้บัพติศมา แต่ให้ประกาศข่าวประเสริฐซึ่งมิได้ใช้คำพูดสำนวนโวหารที่เกิดจากปัญญาของมนุษย์ เกรงว่าหากทำเช่นนั้น เรื่องกางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์ไป.
พระปัญญาและฤทธิ์เดชของพระเจ้า
1 โครินธ์ 1:18-21
ฝ่ายเหล่าคนที่กำลังจะพินาศเห็นว่าคำสอนเรื่องไม้กางเขนเป็นสิ่งที่ดูโง่เขลาในขณะที่เราซึ่งกำลังจะรอดกลับเห็นว่าเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าเพราะมีคำเขียนไว้ว่า “เราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา และจะทำให้ความปราชญ์เปรื่องของคนมีปัญญาไร้ความหมายไปเสีย”
คนมีปัญญาของยุคนี้อยู่ที่ไหน?
ปัญญาชนของยุคนี้อยู่ที่ไหนกัน?
นักปราชญ์ของยุคนี้อยู่ที่ไหน?
พระเจ้าได้ทรงทำให้ปัญญาทางโลกเป็นสิ่งที่โง่เขลาแล้วไม่ใช่หรือ?
ตามพระปัญญาของพระเจ้านั้น ทรงกำหนดไว้ว่า โลกไม่อาจรู้จักพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตนเอง พระเจ้าพอพระทัยที่จะให้คนที่ฟังและเชื่อคำเทศนาเรื่องโง่ๆ นั้น รอดบาปได้
1 โครินธ์ 1:22-25
พวกยิวมักขอหมายสำคัญ(การอัศจรรย์) ส่วนคนกรีกก็ตามหาปัญญา แต่เราประกาศเรื่องพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงบนกางเขนนั้น เรื่องนี้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ยิวสะดุด และในสายตาคนต่างชาติก็มองว่าเป็นสิ่งโง่เขลา แต่สำหรับคนที่พระเจ้าทรงเรียกไม่ว่าจะเป็นยิวหรือกรีก ต่างเห็นว่า พระคริสต์ทรงเป็นฤทธิ์เดชและพระปัญญาของพระเจ้า เพราะว่าในความเขลาของพระเจ้านั้น ก็ยังทรงปัญญายิ่งกว่ามนุษย์ และในความอ่อนแอของพระเจ้านั้น ก็ยังแข็งแกร่งกว่ากำลังของมนุษย์
ถวายเกียรติแด่พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น
1 โครินธ์ 1:26-31
พี่น้องทั้งหลาย ขอให้ท่านลองพิจารณาการที่พระเจ้าทรงเรียกท่านสิ
เห็นไหม มีน้อยคนที่โลกถือว่ามีปัญญาน้อยคนที่ทรงอิทธิพล น้อยคนที่มาจากวงศ์ตระกูลสูง แต่พระเจ้าทรงเลือกสิ่งที่โลกเห็นว่าโง่เพื่อทำให้คนที่มีปัญญาต้องอับอาย และทรงเลือกสิ่งที่โลกเห็นว่าอ่อนแอ เพื่อให้คนมีกำลังต้องอับอาย พระเจ้าทรงเลือกที่โลกเห็นว่าต่ำต้อย ดูแคลน และเห็นว่าไม่สำคัญ เพื่อทำลายสิ่งที่โลกเห็นว่าสำคัญ เพื่อไม่ให้มนุษย์แม้สักคนโอ้อวดต่อพระเจ้าได้ ที่เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ ก็เพราะพระเจ้าประทานปัญญาและความเที่ยงธรรมให้ เพราะพระเยซูผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และไถ่เราให้พ้นจากโทษบาป ดังที่มีคำ เขียนว่า “ผู้ที่จะอวดก็จงอวดองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด”
คำอธิบายเพิ่มเติม 1 โครินธ์ 1
1 โครินธ์ 1:1-3
ท่านเปาโลได้บอกในจดหมายว่า ท่านมีสิทธิที่จะเขียนจดหมายฉบับนี้ในฐานะเป็นอัครทูตของพระคริสต์
โสสเธเนสเคยเป็นนายธรรมศาลาในเมืองโครินธ์มาก่อน เขาเคยถูกโบยเพราะคนโครินธ์ต้องการทำร้ายท่านเปาโล เมืองโครินธ์เป็นเมืองใหญ่อยู่ทางใต้ของประเทศ
กรีซ ใกล้ ๆ เอเธนส์ เมืองโครินธ์มีเมืองสูง หรืออะโครโพลิส ใช้เป็นกำแพงป้อม และเป็นสถานกราบไหว้รูปเคารพของพวกเขา ที่มีชื่อเสียงคือวิหารของเทพีอะโฟรไดท์ เป็นเทพีแห่งความรักในวิหารนี้มีปุโรหิตหญิงที่เป็นโสเภณีนับพัน
พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ทรงชำระผู้เชื่อทุกคนให้บริสุทธิ์ จดหมายฉบับนี้ เขียนถึงชาวโครินธ์ก็จริง แต่มีธรรมเนียมว่าจดหมายจะถูกส่งไปให้พี่น้องที่อื่น ๆ ได้อ่านด้วย นั่นคือ พี่น้องไม่ว่าที่ไหนก็เป็นคนของพระเจ้าเช่นกัน
คำว่า “องค์พระเยซูคริสต์เจ้า” ในคำแปลภาษาไทยหลายเล่มว่า “พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า”ซึ่งทั้งนี้ ไม่ว่าจะเรียกแบบไหน มีความหมายถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ปรากฏเป็น พระยาห์เวห์ในพระคัมภีร์เดิม พระเยซูมาจากคำเดิมว่า “เยชูวา”ซึ่งมีความหมายว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นความรอด
คริสต์ มาจากภาษาเดิมว่า มาชิอาคหรือเมสสิยาห์หมายความว่าทรงเป็น “ผู้ได้รับการเจิม”พระคุณและสันติสุขเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องการมากไม่ว่าในยุคโบราณ หรือจะเป็นวันนี้ เป็นพระพรที่เราควรทูลขอพระเจ้าเพื่อพี่น้องของเราด้วย
1 โครินธ์ 1:4-9
ขอบพระคุณเพราะท่านเสมอมา…นั่นคือท่านเปาโลได้อธิษฐานเผื่อพี่น้องชาวโครินธ์ประจำ ท่านมั่นใจในพระคุณของพระเจ้าที่มีอยู่ในตัวชาวโครินธ์ พวกเขามีของประทานที่ชัดเจนคือ มีทั้งความรู้และสามารถพูดเรื่องของพระเจ้าได้ดี กระจ่างชัด มีสติปัญญาที่จะอธิบายเรื่องของพระเจ้าได้ เป็นความชัดเจนในหมู่ชาวโครินธ์ แต่เมื่อเราอ่านต่อไป
เราจะพบปัญหาบางอย่างในหมู่พวกเขา
พี่น้องในเมืองโครินธ์ ได้รับการสอนเรื่องพระเยซูอย่างถูกต้อง มีความแม่น เข้าใจเรื่องอย่างดีพวกเขาโดดเด่น มีของประทานแห่งพระวิญญาณแต่ต่อมามีการใช้ในทางผิด คำว่า รอพระเยซูคริสต์เจ้ามาปรากฏ ทำให้เรารู้ว่า การใช้ชีวิตของเรานั้นต้องมีจิตใจที่รอคอยให้พระเจ้าปรากฏในการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระองค์
คริสเตียนโครินธ์มีจุดเด่น และจุดด้อยที่อันตรายต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณแต่ในขณะเดียวกัน ท่านยังมั่นใจว่าพระเจ้าจะทรงรักษาพวกเขาไว้ จะเห็นว่า เนื่องจากใจของเรานั้นเป็นตัวหลอกลวงที่สุด เราจึงต้องการพระเยซูให้รักษาชีวิตของเราไว้ ไม่ว่าจะในยุคโครินธ์ หรือยุคดิจิตัล
สังเกตอะไรไหม? ท่านเปาโลเขียนมาจนถึงตรงนี้โดยที่กล่าวถึงพระเยซูเกือบทุกประโยคเลย นับไปนับมาก็ได้เก้าครั้ง ประโยคในภาษากรีกเดิมที่ท่านเปาโลเขียนนั้นยาวมาก เมื่อแปลก็ต้องทำให้ประโยคยาวนั้นกลายเป็นประโยคสั้นที่ต่อเนื่องกันทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น ที่ท่านเปาโลมีความหวังทั้ง ๆ ที่คริสตจักรในโครินธ์เละเทะมาก เพราะท่านวางใจว่าพระเจ้าจะทรงช่วยให้สัมพันธ์สนิทที่ทรงประสงค์ประสบความสำเร็จ
1 โครินธ์ 1:10-12
ที่จริงปัญหาของพี่น้องมีเยอะมาก หลากหลาย แต่ทำไมท่านเปาโลจึงนำเรื่องการแตกแยกนี้มาเป็นอย่างแรก?เป็นเพราะการแตกคออย่างนี้ทำให้ไม่อาจคุยกันได้ต่างไม่ฟังซึ่งกันและกัน จึงไม่มีโอกาสที่จะกลับตัวและเริ่มต้นใหม่ บาปอื่นเกิดขึ้นยังพอช่วยกันแก้ไข
ภาพรวมที่เราเห็นคือ พี่น้องแตกแยกกันเป็นเหมือนพรรคการเมืองเลย พวกเขาต่างเลือกติดตามผู้นำที่แตกต่างกันทั้ง ๆ ที่ผู้นำเหล่านั้นไม่ได้เรียกเขามาเป็นพวกเลย คนชาวโครินธ์สนใจคนที่พูดได้ดีมีโวหาร พวกเขาจึงเลือกตามคนที่เขาพอใจ
1 โครินธ์ 1:13-17
คำถามทั้งสามข้างบนตอบได้คำเดียวว่า “ไม่”ในเมื่อพระคริสต์ไม่ได้ถูกแบ่ง ทำไมคนของพระองค์แตกกันเอง เปาโลไม่ได้ถูกตรึงเพื่อพวกเขา แล้วทำไมเขาต้องยกเปาโลขึ้น เขาไม่ได้รับบัพติศมาในนามของเปาโล แต่ในพระนามพระเจ้า แล้วทำไมพวกเขาจึงทำเช่นนี้ คำตอบอาจอยู่ที่ตัวพี่น้องเองเมื่อเขาเจอใครที่นำเขามาหาพระเจ้า เขาก็จะยกคนนั้นเหนือคนอื่นนั่นเอง ดังนั้นไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร พวกเขาต้องหยุดสร้างชนชั้นคริสเตียน
ท่านเปาโลเข้าใจว่า การที่ผู้รับใช้คนหนึ่งได้ให้บัพติศมาแก่พี่น้อง ก็อาจทำให้พี่น้องคนนั้น คิดไปว่า ผู้ให้บัพติศมานั่นแหละเป็นคนที่เขาต้องติดตามไปเป็นศิษย์ จึงมีการแบ่งพรรคพวกกันเกิดขึ้นเรื่องการติดตามอาจารย์นั้น มีมาแต่โบราณและก็ยังมีจนถึงทุกวันนี้ พวกเขาติดตามอาจารย์มากกว่าติดตามพระคำของพระเจ้า นี่จึงเป็นเหตุให้มีคนจำนวนมากถูกอาจารย์กำมะลอหลอกเอาเงินใช้พวกเขาเป็นให้เป็นประโยชน์กับตนเอง
พี่น้องโครินธ์ชอบคำพูดสวยหรู น่าฟัง ท่านเปาโลจึงเตือนพวกเขาในเรื่องนี้ว่า เราจะฟังถ้อยคำจากปัญญาของมนุษย์หรือจะฟังจากฤทธิ์เดชของพระเจ้าเพราะการประกาศไม้กางเขนไม่ใช่เพื่อทำให้ผู้คนสบายใจ แต่เพื่อเขาจะได้สำนึกในบาปที่มีอยู่ และกลับใจมาหาพระองค์
1 โครินธ์ 1:18-21
ในสังคมตะวันตก เขาจะชื่นชมกับการไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า และยกเอาทฤษฎีวิวัฒนาการมาอ้างเป็นพื้นฐานความคิดว่าไม่มีพระเจ้า เขาคือพระของตน ส่วนในสังคมไทยเรา จะชื่นชมกับการทำดีของตนเองความดีทำให้เราไปสู่เป้าหมายของการหลุดพ้น แต่เราเชื่อ มั่นใจว่า ไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ที่คนมองว่าโง่เขลาเป็นความพ่ายแพ้ คือฤทธิ์ของพระเจ้าที่ช่วยให้เรารอดบาปได้
อิสยาห์ 29:14 กล่าวว่า ปัญญาของคนมีปัญญาของเขาจะพินาศไป ความเข้าใจของคนที่เข้าใจจะถูกปิดบังไว้ พระเจ้าจะทรงทำให้เห็นว่า ปัญญาของคนที่พยายามต่อต้านพระองค์นั้น มันก็แค่ปัญญาที่ถูกล้มล้างได้ ในขณะที่ความจริงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์
ท่านเปาโลไม่ได้ดูหมิ่นสติปัญญาของมนุษย์เรื่องอื่น ๆ ที่เป็นความเจริญขึ้นในความรู้
ปัญญาของโลกที่ท่านหมายถึงคือ ความ คิดว่าตนเองเก่งกว่าใคร คิดได้ยอดกว่าใคร ๆ แถมยอดกว่าพระเจ้า ดูหมิ่น ท้าทายพระเจ้า เหยียดพระองค์มองคนอื่นต่ำกว่าไปเสียทุกเรื่องเต็มด้วย
ความเกลียดชัง
พอมาถึงข้อนี้ เราก็พบชัดเจนว่า สติปัญญาแบบโลกที่เห็นว่าตัวเองเก่งกว่าใคร ไม่อาจจะทำให้เขาพบพระเจ้าได้เลย สรุปว่า ความรอดพ้นบาปไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัญญา แต่ขึ้นอยู่กับความเชื่อ เป็นเงื่อนไขที่พระเจ้าทรงวางไว้เพื่อให้มนุษย์ทุกคนรอดได้ เขาจะเป็นใครก็ตาม อ่านหนังสือไม่ออก เป็นคนการศึกษาน้อย เป็นชาวป่าหรือจะเป็นคนเมือง เงื่อนไขนี้ทำให้มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกันในการมารู้จักและรับความรอดจากพระเจ้า
1 โครินธ์ 1:22-25
คนสองกลุ่มที่มองว่าคริสเตียนที่เชื่อพระเยซูเป็นคนโง่ ก็คือคนกรีกและคนยิว คนยิวชอบเรื่องการอัศจรรย์ พวกเขาเคยขอให้พระองค์ทำให้ดู แต่พระองค์ปฏิเสธ (มัทธิว 12:38-42) ส่วนคนกรีกก็ต้องการคำอธิบายแบบอุดมคติ คำหรู ๆ ยาว ๆที่ฟังแล้วรู้สึกเป็นปัญญาชน ไม้กางเขนจึงเป็นเหมือนหินที่ทำให้พวกเขาสะดุด ไม่อาจมาถึงความรอดพ้นบาปได้
แต่เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทรงแตะต้องใจของใครแล้ว เขาคนนั้นจะมองเห็นพระปัญญา และฤทธิ์เดชที่เปลี่ยนชีวิต เขามองเห็นว่า พระปัญญาของพระเจ้านั้นเหนือกว่าความคิดของมนุษย์เป็นไหน ๆ เขามองเงื่อนไขของพระเจ้าเรื่องไม้กางเขน เป็นความรักที่ทรงให้มนุษย์ทุกคนเท่ากันโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
ท่านเปาโลกล้าพูดอย่างนี้ออกมาเพราะท่านรู้จักพระเจ้าเป็นอย่างดี ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น เหนือความสำเร็จใด ๆ ที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมา นักวิทยาศาสตร์ที่มาพบพระเจ้า มักจะพบด้วยการสำแดงของพระเจ้าต่อเขา ไม่ใช่เพราะเขาพบด้วยปัญญาของตนเอง
1 โครินธ์ 1:26-31
ท่านเปาโลได้เตือนสติพี่น้องชาวโครินธ์อย่างอ่อนโยน ท่านให้พวกเขาพิจารณา ว่า ก่อนที่จะมาพบพระเจ้านั้น พวกเขาอยู่ในฐานะ การงาน ชาติตระกูลแบบไหน ปรากฏว่าพวกเขาพบว่า จำนวนมาก มาจากคนที่เคยเป็นทาสมาก่อน เป็นคนที่สังคมเหยียดหยาม มีน้อยคนในพวกเขาที่เป็นชนชั้นสูง ร่ำรวย ทั้งทาสและไท พากันมาเชื่อเพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะตัวเอง
เหตุใดพระเจ้าทรงเลือกทำเช่นนี้? ส่วนใหญ่แล้วคนที่เก่งจะมี
ความหยิ่งอยู่ในตัวว่า “ข้าเก่ง” ตรงนี้เองที่ทำให้พวกเขามีปัญหาที่จะรับเอาพระเจ้า พระเยซูได้ตรัสว่า คนที่จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ได้คือคนที่เป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่ไร้อคติ ไร้ความคิดที่เป็นอุปสรรคทั้งปวง เราจะสังเกตเห็นว่าคนที่ท้าทายพระเจ้าส่วนใหญ่มักเป็นคนที่ยโสเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว
ดูการทรงเลือกของพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงส่งพระบุตรลงมาในโลกสิ พระองค์ไม่ได้ให้พระบุตรมาเกิดเป็นเจ้าชาย เป็นชนชั้นสูง
เพราะทรัพย์สมบัติ ชาติตระกูล ไม่ได้ส่งผลอะไรให้พระองค์เลย ทรงเลือกให้พระบุตรมาเกิดในสถานที่ซึ่งไม่ใช่บ้านด้วยซ้ำ เป็นที่ ๆ พระบุตรไม่สมควรแขกที่มาเยี่ยมกลุ่มแรกก็เป็นคนเลี้ยงแกะซึ่งเป็น
ชนชั้นต่ำในสังคม
การที่เราคนใดคนหนึ่งจะได้มีโอกาสมาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นคนที่ใกล้ชิดพระองค์นั้น เราได้รับการเลือกจากพระเจ้า ไม่ใช่เราเลือกพระองค์ สดุดี 65:4 เขียนไว้ว่า คนที่พระเจ้าทรงเลือก
และทรงทำให้เขามาอยู่ใกล้พระองค์ ก็เป็นสุข
พระคำเชื่อมโยง
1* โรม 1:1; 1 โครินธ์ 8:6; กิจการ 18:17
2* กิจการ 15:9;โรม 1:7;
1โครินธ์ 8:6; โรม 3:22
3*โรม 1:7
4*โรม 1:8
5* 1โครินธ์ 12:8
6* 2 ทิโมธี 1:8
7* ฟีลิปปี 3:20
8* 1 เธสะโลนิกา 3:13, 5:23 โคโลสี 1:22; 2:7
9* อิสยาห์ 49:7; ยอห์น 15:4
10* 2 โครินธ์ 13:11
12* 1 โครินธ์ 3:4; กิจการ 18:24; ยอห์น 1:42
13* 2 โครินธ์ 11:4
14*ยอห์น 4:2; กิจการ 18:8; โรม 16:32
16* 1 โครินธ์ 16:15,17
17* 1 โครินธ์ 2:1,4,13
18* 1 โครินธ์ 2:14โครินธ์ โรม
19* อิสยาห์ 29:14
20* อิสยาห์ 19:12; 33:18;
โยบ 12:17
21* ดาเนียล 2:20
22* มัทธิว 12:38
23* ลูกา 2:34; 1 โครินธ์ 2:14
24* โรม 1:4; โคโลสี 2:3
26*ยอห์น 7:48
27* มัทธิว 11:25
30* 2 โครินธ์ 5:21
31* เยเรมีย์ 9:23,24