สามพระองค์ในหนึ่งเดียว
ยอห์น 5 พยานทั้งห้าของพระบุตรพระเจ้า
เดินได้ทันที!



ประเด็นเดิม-สะบาโต


สิทธิอำนาจของพระบุตร







แหล่งพยานทั้งห้าของพระบุตร






อธิบายเพิ่มเติม ยอห์น 5
เดินได้ทันที
ยอห์น 5:1-15 หมายสำคัญที่สาม ทรงรักษาคนเป็นอัมพาต
ต่อมา พระเยซูทรงขึ้นไปเยรูซาเล็มในงานเทศกาลหนึ่งของยิว ที่ประตูแกะทางเหนือของเยรูซาเล็ม ที่สระเบเธสดา หรือบางคนเรียก เบธไซดา (บ้านแห่งความเมตตา) มีคนป่วยนอนรอน้ำกระเพื่อมอยู่มากมาย (มีการอธิบายว่า เมื่อมีน้ำใต้สระพลุ่งเข้ามาเป็นระลอก น้ำนั้นจะอุ่นและน่าจะมีแร่ธาตุที่ช่วยให้คนเป็นโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและไขข้อต่าง ๆ รู้สึกดีขึ้น)
ชายคนที่เราพูดถึงเดินไม่ได้ และดูเหมือนว่าโรคนี้เป็นผลจากบาปของเขาเอง (ข้อ 14 ) จากคนที่ป่วยมากมายรายล้อมอยู่ พระเยซูทรงยื่นความช่วยเหลือไปให้เขาคนเดียวเท่านั้น ทรงถามง่าย ๆ ว่าอยากหายป่วยไหม แปลก ทำไมทรงรักษาแค่คนเดียวในวันนั้น?
เขาบอกว่า ไม่มีใครช่วยพาเขาลงน้ำ นี่บอกว่าเขาอยากหาย พระเยซูทรงสั่งให้เขาหยิบเสื่อนอนแล้วเดิน เขาก็ลุกขึ้น หายโรคทันที และนี่เองทำให้เกิดความชุลมุนวุ่นวาย จากคนเดินไม่ได้กลายเป็นคนเดินคล่องพร้อมหอบหิ้วที่นอนไปด้วย คนที่อยู่ตรงนั้นเห็นว่าเขาหายป่วยจริง ปกติแล้วถ้าง่อยมานาน กว่าจะลุกกว่าเดินมันต้องใช้เวลาขยับเนื้อขยับตัว แต่ชายคนนี้กลับทำได้ทันควัน
พระเมสสิยาห์มาแล้วจริงใช่ไหม? พระเยซูทรงใช้การรักษาโรควันสะบาโตมาบอกให้ยิวรู้ว่า พระองค์คือใคร ทำไมทรงมีสิทธิที่จะรักษาโรคในวันสะบาโต ทุกครั้งทำให้พวกยิวโกรธ
มัทธิว 12:1-14 ศิษย์เด็ดรวงข้าววันสะบาโตก็ผิดในสายตายิวแล้ว
ยอห์น 9:14 รักษาชายตาบอดในวันสะบาโต
เยเรมีย์ 17:21-22 พระเจ้าทรงสั่งให้คนไม่ทำงานในวันสะบาโต
ยอห์น 5:14-16 พระเยซูทรงเตือนชายคนนั้นว่าถ้าไม่ระวังจะเจอหนักกว่านี้
พระเยซูทรงหลบไปสักพักแล้วมาเจอชายที่หายโรคอีกที เขาจึงรู้ว่า ท่านที่ช่วยให้เขาเดินได้คือพระเยซู จึงรีบกลับไปบอกยิว ชายคนนี้โยนความผิดเรื่องที่เขาแบกที่นอนไปให้พระเยซู ดูไปแล้วชายคนนี้อาจไม่ได้กลับใจเสียด้วยซ้ำ การเตือนของพระเยซู นิสัยใจคอของเขา ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นคนไร้กตัญญู
ยอห์น 8:11 พระเยซูไม่เอาโทษหญิงที่ถูกจับมา
ยอห์น 8:37 เจ้าหาโอกาสฆ่าเรา เพราะไม่เชื่อคำสอนของเรา
ยอห์น 10:39 พวกเขาพยายามจับพระเยซูอีกครั้ง แต่ทรงรอดไปได้
ยอห์น 5:17-18 พระเยซูทรงให้เหตุผลที่ทรงทำในสะบาโต
พระบิดาของเราทรงทำงานอยู่ และเราก็ทำด้วยเหมือนกัน หลักการตรงนี้ของพระองค์ชัดเจนมาก พระเจ้าทรงให้ทุกอย่างในธรรมชาติดำเนินต่อไปไม่ว่าจะเป็นวันไหน ดังนั้นพระเยซูผู้ทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า จึงทรงทำเช่นเดียวกัน
ในขณะที่พวกยิว ธรรมาจารย์สนใจว่า ทุกคนจะต้องรักษากฎ แต่พระเยซูกลับทรงก้าวข้ามกฎเหล่านั้นให้เห็น ท้าทายพวกเขามาก ที่พระเยซูทรงยืนยันว่า พระเจ้าของอิสราเอลเป็นพระบิดาของพระองค์ ก็เป็นอีกประเด็นที่ทำให้พวกเขาเกลียดชังพระองค์
ยอห์น 9:4 เราต้องทำงานของพระบิดาเมื่อยังเป็นกลางวัน
ยอห์น 17:4 ข้าพระองค์ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลก เพราะทำงานของพระองค์สำเร็จแล้ว
สิทธิอำนาจของพระบุตร
ยอห์น 5: 19-20 พระเยซูทรงอธิบายความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระบิดา
พระเยซูทรงบอกพวกเขาว่า พระบุตรไม่ทำอะไรด้วยตัวเอง แต่เห็นพระบิดาทรงทำอะไรก็ทรงเช่นนั้นเหมือนกัน
คำของพระองค์ = พระบุตรทำอะไรตามลำพังไม่ได้เลย เพราะทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกันแนบสนิท
คำพูดนี้ ยืนยันว่าทรงเป็นพระเจ้าและเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา
พวกเขาจะได้ประหลาดใจเพราะต่อมาพระบิดาทรงให้พระเยซูคืนชีพและให้พระองค์เป็นผู้พิพากษามนุษยชาติด้วย(ข้อ 22)
ยอห์น 6:38 เราลงมาจากสวรรค์เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา
ยอห์น 14:10 เราอยู่ในพระบิดา พระบิดาอยู่ในเรา คำที่เรากล่าวเกิดจากพระบิดาผู้สถิตในเราทรงทำกิจของพระองค์
ยอห์น 5: 21-23 งานของพระบิดาและพระบุตร
พระเยซูทรงยืนยันชัดเจนว่า ทรงมีสิทธิที่จะทำให้คนคืนชีพได้ซึ่งเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก ทรงบอกด้วยว่า ทรงมีทั้งอำนาจสูงสุดและอิสระที่จะทำ ไม่เหมือนเหล่าผู้เผยพระคำที่มีอำนาจจำกัด อีกแล้วที่น่าโมโหสำหรับคนยิว พวกเขาเชื่อว่า พระเจ้าเท่านั้นที่จะพิพากษามนุษย์ คำของพระเยซู เร้าอารมณ์โกรธพลุ่งพล่าน
ยอห์น 11:25 เราเป็นการคืนชีพและเป็นชีวิต คนที่วางใจในเราแม้ว่าตายไปแล้วแต่เขาจะมีชีวิต
กิจการ 17:31 พระเจ้าจะทรงพิพากษาตามความชอบธรรม โดยบุคคลที่พระองค์ทรงกำหนดไว้
1 ยอห์น 2:23 คนที่ปฏิเสธพระบุตรไม่มีพระบิดา คนที่รับพระบุตรก็มีพระบิดาด้วย
ยอห์น 5:24-27 จากความตายสู่ชีวิตในพระบุตรของพระเจ้า
พระเยซูตรัสว่า คนที่ฟังคำเราและเชื่อพระบิดาจะมีชีวิตนิรันดร์ ไม่ต้องถูกพิพากษา แต่ผ่านจากความตายสู่ชีวิต คนตายจะได้ยินเสียงพระบุตรของพระเจ้า เมื่อได้ยินจะมีชีวิต ทรงให้พระบุตรมีอำนาจพิพากษาด้วยเพราะทรงเป็นบุตรมนุษย์ คำตรัสของพระองค์ บอกให้ผู้นำศาสนารู้ว่า พระองค์ทรงเป็นมากกว่ามนุษย์แน่นอน
ยอห์น 3:16 ทุกคนที่วางใจพระบุตร จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
โคโลสี 2:13 ท่านตายแล้ว.. แต่ พระเจ้าทรงให้ท่านมีชีวิตร่วมกับพระคริสต์ ทรงอภัยการละเมิดทั้งสิ้น สดุดี 36:9 น้ำพุแห่งชีวิตอยู่กับพระองค์ เราเห็นความสว่างได้โดยสว่างของพระองค์
กิจการ 10:42 พระเจ้าทรงตั้งพระเยซูให้เป็นผู้พิพาษาทั้งคนเป็นและคนตาย
ยอห์น 5:28-30 ความจริงเรื่องการพิพากษาโดยพระบุตร
ในข้อ25 พระเยซูตรัสว่า คนที่มีชีวิตนิรันดร์จะได้ยินเสียงของพระองค์และมีชีวิต ตอนนี้ทรงกล่าวว่า คนที่อยู่ในหลุมศพจะได้ยินเสียงของพระองค์ ยังไงกัน??? ตอนนี้ทรงพูดถึงการคืนชีพของมนุษยชาติ คนทำดี กับคนทำชั่วจะถูกตัดสินต่างกัน พวกเขาจะอยู่นิรันดร์ นอกเหนือไปจากชีวิตสั้น ๆ ในโลกนี้ พระองค์จะทรงเป็นผู้ทำให้พวกเขาคืนชีพขึ้นมา
การพูดเช่นนี้ทำให้ผู้นำศาสนาอึ้งเลยทีเดียว … ทรงบอกเขาว่า พระองค์ทรงตัดสินอย่างยุติธรรม ทรงมีสิทธิ มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้พิพากษา และทรงยืนยันคำเดิมว่า พระองค์ไม่ทำอะไรตามใจพระองค์เอง แต่ทำตามพระทัยพระบิดา
1 เธสะโลนิกา 4:15-17 พระเยซูจะทรงกลับมา คนที่ตายไปในพระองค์จะเป็นขึ้นมาก่อน
อิสยาห์ 26:19 คนตายของพระองค์จะมีชีวิตขึ้นอีก
ดาเนียล 12:2 คนที่หลับในผลคลีแห่งแผ่นดินจะตื่นขึ้น
แหล่งพยานทั้งห้าของพระเยซู
ยอห์น 5:31-32 ห้าแหล่งคำพยาน ว่าพระเยซูคือใคร
พระเยซูตรัสว่า ถัาเราเป็นพยานเพื่อตัวเอง คำพยานก็ไม่น่าเชื่อถือ พระเยซูทรงบอกเองว่า ต้องเป็นผู้อื่นที่เป็นพยาน ไม่ใช่พระองค์ (เฉลยธรรมบัญญัติ 19:15 กันดารวิถี 35:30) แลัวพระองค์ก็ทรงบอกถึงห้าแหล่งพยาน ที่ยืนยันพระองค์คือพระบุตร ทรงเท่าเทียมกับพระบิดา
ยอห์น 8:14 คำพยานของเราจริง เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหน และจะไปไหน
มัทธิว 3:17 มีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราพอใจท่านมาก
ยอห์น 5: 33-35 คำพยานของยอห์น
พวกผู้นำศาสนาได้ยินยอห์นพูดถึงพระเยซูแล้ว แล้ว เขาควรเชื่อยอห์นซึ่งเป็นเหมือนตะเกียงที่ส่องสว่างให้เห็นความจริง พวกเขาได้ยินยอห์นพูดเรื่องพระเมสสิยาห์ แต่พอมาเจอพระเยซูกลับไม่รับ
แต่มีผู้หนึ่งเป็นพยานถึงเรา พยานนั้นเป็นจริง คำนี้กรีกหมายถึง อีกคนที่เป็นแบบเดียวกัน อัลโลส ยอห์น 8:14 ตรัสว่าคำพยานของพระองค์เป็นจริง
ยอห์น 1:15,19,27,32 ยอห์นเป็นพยานให้พระองค์
2 เปโตร 1:19 ให้เราสนใจคำเผยพระวจนะ
มาระโก 6:20 แม้เฮโรดยังเกรงกลัวและฟังยอห์น
ยอห์น 5:36 คำพยานจากงานของพระเยซู
พระเยซูมีพยานใหญ่กว่าของยอห์น นั่นคือ งานที่พระเจ้าทรงให้พระองค์ทำจนสำเร็จ งานนั้นพิสูจน์ว่าทรงมาจากพระบิดาแน่ ๆ จากการที่ทรงรักษาชายที่ป่วยมา 38 ปีหยก ๆ นี่เป็นหนึ่งในงานของพระองค์ การที่พระเยซูใส่พระทัยคนยากจน คนป่วย ไม่ได้เป็นพระเมสสิยาห์แบบที่พวกเขาต้องการ พวกเขาอยากเห็นเมสสิยาห์องค์จอมทัพ เป็นนักรบ นักการเมืองที่กล้าหาญ สิ่งที่พระองค์ทำไม่ถูกใจพวกเขาเลยสักนิด พวกเขาไม่อาจรับพระองค์ในฐานะพระบุตรพระเจ้าได้ (ยอห์น 1:29-34)
ยอห์น 5: 36 คำพยานจากงานของพระเยซู
พระเยซูมีพยานใหญ่กว่าของยอห์น นั่นคือ งานที่พระเจ้าทรงให้พระองค์ทำจนสำเร็จ งานนั้นพิสูจน์ว่าทรงมาจากพระบิดาแน่ ๆ จากการที่ทรงรักษาชายที่ป่วยมา 38 ปีหยก ๆ นี่เป็นหนึ่งในงานของพระองค์ การที่พระเยซูใส่พระทัยคนยากจน คนป่วย ไม่ได้เป็นพระเมสสิยาห์แบบที่ พวกเขาต้องการ พวกเขาอยากเห็นเมสสิยาห์องค์จอมทัพ เป็นนักรบ นักการเมืองที่กล้าหาญ สิ่งที่พระองค์ทำไม่ถูกใจพวกเขาเลยสักนิด พวกเขาไม่อาจรับพระองค์ในฐานะพระบุตรพระเจ้าได้ (ยอห์น 1:29-34)
1 ยอห์น 5:9 พยานของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ามนุษย์
ยอห์น 3:2 ไม่มีใครทำหมายสำคัญที่ท่านทำได้ นอกจากพระเจ้าสถิตกับเขา
ยอห์น 10:25 สิ่งที่เราทำในนามพระบิดาก็เป็นพยานให้เรา
ยอห์น 17:4 ข้าพระองค์ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลก เพราะทำราชกิจที่ทรงให้ทำสำเร็จ
ยอห์น 9:16 ยิวไม่เชื่อว่าชายตาบอดมองเห็น แต่เมื่อได้คุยกับพ่อแม่เขาจึงยอมรับ
ยอห์น 10:38 ถ้าเจ้าไม่วางใจในเรา ก็วางใจเพราะพระราชกิจที่เราทำเถิด
ยอห์น 5: 37-38 คำพยานจากพระบิดา
พระบิดาทรงยืนยันว่า พระเยซูคือใครตอนที่พระองค์ทรงรับบัพติศมา เสียงจากสวรรค์และพระวิญญาณที่ลงมาเหนือพระเยซูดุจนกพิราบ เรื่องนี้ ต้องเป็นที่รู้กันในหมู่คนยิว ต้องมีการคุยกันเยอะเพราะมีคนเห็นและเอาไปพูดต่ออย่างแน่นอน
ลูกา 3:22 เหตุการณ์สุรเสียงจากสวรรค์
มัทธิว 3:17 มีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราพอใจท่านมาก
ยอห์น 5:39 คำพยานจากพระคำ
ค้นพระคำเพื่อหาชีวิตนิรันดร์ ทั้ง ๆ ที่พระคำเหล่านั้นยืนยันถึงพระเยซูอยู่แล้ว พวกเขาเรียน พระคัมภีร์เดิม อ่าน ท่อง จำ ศึกษา เอาใจใส่ คิดอยู่ว่าการสำแดงของพระเจ้าจะทำให้พวกเขาได้พบชีวิตนิรันดร์ หากเขาค้นจริง หาจริง เขาต้องพบความจริงสิ แต่ทำไมจึงไม่เจอ …???
พวกเขาไม่ได้มีพระคำของพระเจ้าในวิญญาณจิตจริง ๆ มีอยู่ในสมอง แต่ไม่ได้เกิดผลเป็นชีวิตฝ่ายวิญญาณเลย
อิสยาห์ 8:20 ไปดูธรรมบัญญัติและคำพยาน
อิสยาห์ 34:16 จงค้นและอ่านจากหนังสือของยาห์เวห์
ลูกา 24:27 พระเยซูทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้ศิษย์ทั้งสองฟัง
ยอห์น 5:40-44 เหตุผลที่พวกเขาไม่เชื่อ
คือ เขาไม่เต็มใจทั้ง ๆ ที่มีพยานเหลือเฟือ พวกเขาไม่ได้รักพระเจ้าจริง พระเยซูยังทรงพยากรณ์ล่วงหน้าด้วยว่า พวกเขาจะชอบและเข้าหาคนที่เป็นผู้ต่อต้านพระองค์ ซึ่งจะมาแน่ในอนาคต การที่เขาไม่ยอมรับพระเยซูเป็นเหมือนประตูเปิดรับสิ่งที่หลอกลวง (2 เธสะโลนิกา 2: 4, 8-12) ต่อมาในประวัติศาสตร์ของยิวเราพบว่า มีคนที่อ้างตัวเป็นพระคริสต์หลอกให้คนติดตามมาโดยตลอด
ยอห์น 1:11 พระองค์มายังบ้านเมืองของพระองค์ แต่คนของพระองค์ไม่รับพระองค์
ยอห์น 3:19 หลักการพิพากษา ความสว่างเข้ามาในโลก แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่า
ยอห์น 12:43 พวกเขารักการชมเชยจากมนุษย์มากกว่าจากพระเจ้า
ข้อ 45-47 คำพยานจากโมเสส
พระเยซูทรงบอกพวกเขาว่าพวกเขาวางใจโมเสส แต่เขากลับไม่เชื่อสิ่งที่โมเสสเขียนไว้เกี่ยวกับพระองค์ โมเสสได้ชี้ว่า จะมีผู้เผยพระคำแบบท่านเองเกิดขึ้นในอนาคต และขอให้ทุกคนได้เชื่อฟังท่าน (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15-19) แต่กลับไม่มีใครฟังโมเสส ถ้าเขาเชื่อโมเสสจริง ๆ เขาจะเชื่อพระเยซูด้วย ความจริงคือพวกเขาไม่ยอมรับคำของโมเสส
ลูกา 16:29,31 เขามีโมเสสและผู้เผยพระคำแล้ว ให้เขาเชื่อคนเหล่านั้นเถิด
ยอห์น 3 เพราะพระเจ้าทรงรักโลก
นิโคเดมัสกับการเกิดใหม่




พระเยซูทรงอธิบายถึงแผนการแห่งความรอดของพระเจ้า




ยอห์นผู้ให้บัพติศมายกย่องพระเยซู





อธิบายเพิ่มเติม
ยอห์นบทที่ 3
1-10 การสนทนาของพระเยซูกับนิโคเดมัส
11-21 พระเยซูอธิบายถึงแผนการแห่งความรอดของพระเจ้า
22-36 คำพยานของยอห์นเรื่องพระคริสต์
ยอห์น 3:1-3
จาก ยอห์น 2:23 -24 เราจะเห็นว่า มีคนมากมายได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเยซูแล้วพวกเขาก็เชื่อ แต่พระเยซูไม่ได้วางพระทัยในคนเหล่านั้นเลย นิโคเดมัสเป็นคนหนึ่งในนั้น แต่เขาไม่อยู่นิ่งเฉย เขาต้องการรู้ ต้องการเข้าใจมากขึ้น เพราะเขาเป็นฟาริสี เป็นคนใหญ่โต อยู่ในสภาปกครองของยิว เขามาหาพระเยซูเวลากลางคืน
เขาเริ่มต้นด้วยคำที่บอกให้เรารู้ว่า มีฟาริสีคนอื่น ๆ ด้วยที่ยอมรับว่าพระเจ้าสถิตกับพระเยซูจริง เพราะว่าทรงทำการอัศจรรย์ เขาเรียกพระองค์ว่าอาจารย์
แต่พระเยซูไม่ได้สนทนาตอบคำชมเชยของเขา พระองค์กลับตรัสว่า หากคนใดไม่บังเกิดใหม่ ก็จะไม่อาจเห็นอาณาจักรพระเจ้า นี่เป็นคำสนทนาแทงใจ คำตรัสของพระเยซูพูดให้ชัดง่าย ๆ คือ “ นิโคเดมัส ท่านต้องยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนท่านใหม่ เปลี่ยนจากเบื้องบน ขุดรื้อถอนความเข้าใจเดิมที่มีอยู่เอาออกไปให้หมดและใส่ความคิดของพระเจ้าเข้าไป”
ในฐานะที่เป็นฟาริสี เขามีพื้นฐานความคิดที่ว่า คนเราต้องทำดีตามกฎพระเจ้าจึงจะพอใจ แต่นั่นไม่ใช่วิธีของพระเจ้าซึ่งทรงเป็นเจ้าของอาณาจักร
คำว่าเกิดใหม่ ในภาษากรีกว่า อะโนเทน มีสามความหมายคือ
1.ทำใหม่อีกครั้ง 2.เริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ต้น 3.ยังมีความหมายว่า จากเบื้องบน
ยอห์น 3:4-6
จากคำตอบของนิโคเดมัส แสดงว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูตรัส นิโคเดมัสเข้าใจว่าการเกิดใหม่ที่พระเยซูกล่าวถึง เป็นการเกิดใหม่ด้วยการเกิดในท้องแม่อีกครั้ง แต่พระเยซูทรงมีความหมายว่า การเกิดใหม่นี้คือการเปลี่ยนชีวิตโดยพระวิญญาณของพระเจ้า ได้รับการชำระให้สะอาดจนเหมือนเกิดใหม่ นิโคเดมัสทำเองไม่ได้ เป็นการเปลี่ยนแปลงรากฐานชีวิต ความคิด ทัศนคติ ความเชื่อ การประพฤติอย่างสุดขีด แบบถอนรากถอนโคน
พระเยซูทรงอธิบายต่อไปว่า พระองค์ทรงหมายถึง การเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ น้ำในที่นี้หมายถึงการได้รับการชำระให้สะอาด ดู เอเสเคียล 36:24-27 เราเอาน้ำสะอาดพรมเจ้า เพื่อให้พ้นจากมลทิน เราจะใส่วิญญาณใหม่
ที่เกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง ที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ ที่เขาเกิดมาจากท้องแม่จนเข้าวัยชรานี้ ยังเป็นเนื้อหนังอยู่ นิโคเดมัสต้องเกิดใหม่ด้วยพระวิญญาณ จะได้เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าที่เป็นฝ่ายวิญญาณได้
ยอห์น 3:7-9
พระเยซูทรงอธิบายต่อว่า คนที่เกิดจากพระเจ้าใหม่นั้น เขาไม่อาจรู้ได้ว่า มันเกิดอย่างไร รู้แต่ว่ามันเกิดขึ้นจริงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
มนุษย์ไม่สามารถควบคุมลมที่พัดมาได้ และมองไม่เห็นลม แต่ก็จะเห็นผลที่ได้เมื่อลมพัดมา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เช่นกัน เราไม่อาจควบคุมพระองค์ หรือเห็นพระองค์ได้
ความรอดของคน ๆ หนึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า (เอเสเคียล 37) เมื่อพระวิญญาณทรงทำราชกิจในชีวิตใครแล้ว คนรอบข้างจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของคน ๆ นั้นอย่างชัดเจน เป็นหลักฐานว่าพระเจ้าได้ทรงทำการในชีวิตของเขาแล้ว
ความรอดเป็นการเริ่มต้นจากพระวิญญาณ (ยอห์น 6:44-45) และคนที่ตอบรับพระองค์ก็ตอบโดยการเชื่อและกลับใจสำนึกผิด (ยอห์น 1:12, 3:16-18)
เมื่ออ่านหนังสือยอห์นต่อไป เราจะเห็นว่า ยอห์นเน้นพระวิญญาณและราชกิจของพระองค์ชัดเจนมาก (ยอห์น 14:17,25-26, 16:7-15)
ยอห์น 3:10-11
ท่านเป็นอาจารย์ของอิสราเอล แสดงว่า นิโคเดมัสเป็นอาจารย์มีชื่อเสียง ใหญ่โตทีเดียว คำของพระเยซูทำให้เห็นว่า พวกอาจารย์ชาวยิวทั้งหลายไม่มีความเข้าใจพระคัมภีร์เดิมเรื่องการชำระวิญญาณให้สะอาด
จาก เอเสเคียล 36:24-27
แต่ที่เราไม่ค่อยเข้าการสนทนาครั้งนี้ พวกเราเป็นคนไทยเกิดมากับความคิดอีกแบบ พอได้ยินว่าเกิดใหม่ อาจไปคิดถึงการเกิดใหม่ในชาติหน้า ซึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงกล่าวถึง
แต่การที่นิโคเดมัสไม่เข้าใจพระเยซู เป็นเพราะเขายังไม่เชื่อพยานของพระองค์จริงจัง
พวกท่านไม่รับคำพยานของเรา นั่นคือ ทั้งนิโคเดมัสและฟาริสี ธรรมาจารย์ทั้งหลายไม่ได้ยอมรับพระองค์
ยอห์น 3:12-15# พระบุตร
ในหนังสือกันดารวิถี 21:4-9 ชาวยิวในถิ่นกันดารได้ประสบกับการพิพากษาของพระเจ้า พวกเขาบ่นว่าโมเสส เกลียดมานา ไม่มีน้ำ ไม่มีขนมปัง พระเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดคนตายมากมาย พวกเขาจึงขอให้โมเสสอธิษฐานขอพระเจ้าเอางูออกไป
พระเจ้าทรงให้โมเสสทำเสา และติดงูทำจากทองสัมฤทธิ์ไว้บนเสา คนที่ถูกงูกัดเมื่อมองงูสัมฤทธิ์จะมีชีวิตอยู่
งูสัมฤทธิ์นั้น เป็นเครื่องหมายของบาปที่ถูกพระเจ้าจัดการ หลายพันปีต่อมาจากวันนั้นพระเยซูจะต้องแบกบาปของมนุษย์ทั้งโลกและถูกพิพากษาเพราะบาปนั้นโดยพระบิดา
ชีวิตนิรันดร์ ในกรีกคือ โซเอ หมายถึงชีวิตที่ฟื้นขึ้นมา ชีวิตในอนาคต ในยุคใหม่ เป็นชีวิตของพระเจ้า
ยอห์น 3:16-17 #พระบิดา
ยอห์น 3:36 มีความหมายเดียวกับยอห์น 3:16
ในข้อนี้ ทุกคำสำคัญหมด พระเจ้าทรงรักมนุษย์ และส่งพระเยซูมาบังเกิด สิ้นพระชนม์บนกางเขน และคืนพระชนม์ เป็นความรักที่ไม่อาจเข้าใจได้ เพราะมนุษย์ชั่วร้าย เลวชาติ ปฏิเสธความจริง คำของพระองค์อาจทำให้นิโคเดมัสผงะก็เป็นได้ เพราะยิวเชื่อว่า พระเจ้าทรงรักพวกเขาเท่านั้น คนต่างชาติไม่เกี่ยว นี่เป็นคำที่ยิวไม่คาดว่าจะได้ยิน รักของพระเจ้าเป็นอย่างนี้
พระเจ้าทรงรักโลก พระเจ้าทรงรักคริสตจักร พระเจ้าทรงรักฉัน
ยอห์น 3:16 เอเฟซัส 5:25 กาลาเทีย 2:20
(กาลาเทีย 2:20 “พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า”)
พระเจ้าทรงรักเราโดยพระองค์ต้องจ่ายราคาแลกมาที่แพงสุดจักรวาล คือพระชนม์ชีพของพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ พระบุตรองค์นี้ สัมพันธ์สนิทกับพระบิดามาเป็นนิรันดรกาล พระเจ้าทรงไม่ทรงโหดร้ายที่จะให้มนุษย์พินาศ แต่เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์ บาปเป็นสิ่งที่ผู้พิพากษาทรงธรรมจะต้องพิพากษาโทษ พระองค์ทรงเปิดทางให้เราพ้นจากการลงโทษนั้น โดยการตัดสินใจที่จะหนีเข้ามาทางพระเยซู
ความพินาศที่พูดถึงนี้คือ การพ้นไปจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าตลอดไป แต่พระเจ้าเองไม่ได้ทรงต้องการเช่นนั้น ทรงยินดีที่คนชั่วร้ายกลับมาหาพระองค์ (เอเสเคียล 18:23) โลกตกอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้าเพราะโลกตกจากเป้าหมายที่ควรจะไปให้ถึง (ยอห์น 3:36, โรม 1:18)
เมื่อคนใดเชื่อพระเจ้า ก็จะได้เกิดใหม่ คือรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ได้รับชีวิตนิรันดร์ และความรอดพ้นบาป แต่ยังมีอีกทางเลือกคือ พินาศ (10:28) เสียชีวิตของตน (12:25) และถูกทำลายไป (17:12)
ยอห์น 3:18-19 # มนุษยชาติ
คนที่เชื่อพระเยซูจะหนีจากการพิพากษาโทษได้ โรม 8:1 ยอห์น 5:24 แต่คนที่ไม่เชื่อ ถูกตัดสินเสร็จแล้ว ไม่มีทางที่จะหนีได้ 3:36 การตัดสินไม่ได้รอจนเขาตายก่อน เราทุกคนที่ไม่เชื่อ ถูกตัดสินและถูกลงโทษไปแล้ว เมื่อเราเดินทางผิด และเห็นป้ายให้เดินไปทางถูกแต่ไม่ยอมเปลี่ยนเส้นทาง เท่ากับว่า ยังมุ่งหน้าไปหาปลายทางที่ไม่ใช่ หลายคนไม่ยอมรับว่ากำลังเดินทางผิด ยากสำหรับพวกเขาที่จะเปลี่ยนทาง
คนยิวคิดว่าตัวเองเป็นลูกหลานอับราฮัมก็รอด แต่พระเยซูไม่ได้ตรัสเช่นนั้น จะได้ความรอดต้องเชื่อ! หากไม่เชื่อในพระนามพระเยซูองค์นี้ ก็จะพบกับความตายฝ่ายวิญญาณ เหมือนกับคนที่ต้องตายเพราะงูพิษ ตรงนี้มีความชัดเจน แตกต่างระหว่าง เชื่อกับไม่เชื่อ…
การปฏิเสธความสว่าง หรือความเข้าใจเรื่องพระบิดาและพระบุตรนี้ ก็เท่ากับปฏิเสธพระเยซูโดยตรง ที่พวกเขาไม่เลือกความสว่าง เพราะไม่ชอบสว่าง สว่างทำให้เห็นความชั่วของตน มนุษย์ยังอยากรู้สึกดีทั้งที่บาป
ยอห์น 3:20-21 # มนุษยชาติ
คนทำชั่ว ไม่ใช่แค่รักความมืด แต่เขาเกลียดความสว่างด้วย คำว่าคนชั่วในที่นี้หมายความถึงคนที่ไร้ค่า เมื่อพระเยซูมา เมื่อความสว่างเข้ามา เขาจะเห็นความไร้ค่าของชีวิตตนเอง ไม่มีเป้าหมายชีวิต ไม่มีอะไรดี ๆ รออยู่ในอนาคต ชีวิตขึ้นอยู่กับยถากรรม ไปตามบุญตามกรรม เขาทนไม่ได้ที่สว่างจะมาบอกเขาอย่างนั้น
ทุกคนมีเหตุผลที่จะไม่เชื่อพระเจ้า อย่ามายุ่งกับพี่เลย พี่ขอไปตามทางเดิมนี้ โอย ฉันไม่ชอบพวกคริสเตียน ฉันดีแล้ว ศาสนาที่มีอยู่ก็สอนให้ฉันเป็นคนดี เฮ้ย ฉันเป็นคนไทยนะ จะให้ไปเชื่ออย่างอื่นได้ไง ไม่เอาหรอก ถ้าเชื่อพระเจ้าก็ไม่ได้เที่ยวอย่างเคย จะเชื่อพระเจ้าได้ไง ทำไมพระเจ้าจึงปล่อยให้มีความทุกข์ในโลกมากมาย ทั้งหมดเป็นความพยายามที่จะซ่อนความดื้อดึงต่อพระเจ้า เหตุผลแท้จริงคือ พวกเขาไม่ต้องการความสว่าง
แต่คนที่มาหาพระเจ้า เขาพร้อมที่จะให้คนเห็นว่า สิ่งที่เขาทำนั้น เขาทำเพราะพึ่งพระปัญญาของพระเจ้า พึ่งความมหัศจรรย์ พลังของพระองค์ ยอมถ่อมตนรับว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าชีวิตเขา เขายอมรับว่า เป็นคนบาปต่อพระพักตร์ของพระเจ้า เขาต้องการให้พระองค์อภัยบาปให้ ทัศนคติของคนที่มีต่อความสว่างนั้น เป็นของคนใจถ่อมยอมรับว่าช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้
ยอห์นยกย่องพระเยซู
ยอห์น 3:22-24
พระเยซูทรงรับใช้ประชาชน และในเวลาเดียวกัน ทรงอยู่กับศิษย์ด้วย ทรงใช้เวลากับพวกเขา เรารู้มาจากยอห์น 4:2 ว่า การให้บัพติศมานั้น ศิษย์ของพระเยซูเป็นผู้ทำให้ พระเยซูไม่ได้ทรงทำเอง การทำบัพติศมานี้ เป็นสัญลักษณ์ว่า บุคคลผู้นั้นกลับใจ และยอมรับความจริงฝ่ายวิญญาณที่ทรงสอน
เหตุการณ์นี้ทำให้ศิษย์ของยอห์นไม่ค่อยสบายใจตามประสามนุษย์ พระเยซูทรงมาทีหลังแต่ดูเหมือนจะดังกว่ายอห์น
ยอห์น 3:25-26
อาจมีการทุ่มเถียงกันว่าพิธีชำระบาปแบบไหนมันใช้ได้ แบบยอห์นคือให้บัพติศมาหรือแบบของยิว
(เมื่อเป็นมลทินก็ไปอาบน้ำ ตามกฎบัญญัติโมเสส) แต่จากเหตุการณ์นั้น ทำให้ยอห์นได้ทราบว่า พระเยซูทรงให้บัพติศมา และผู้คนหันไปหาพระองค์แทนที่จะมาหายอห์น ศิษย์ของยอห์นตกใจเหมือนกันที่เหตุการณ์เป็นแบบนั้น แต่ยอห์นไม่ได้กังวลสักนิดเขารู้หน้าที่ บทบาทของตนดี ศิษย์ของยอห์นเคยได้ยินคำพยานของท่านที่ว่า พระเยซูทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้า (1:19)
ยอห์น 3:27-30
พวกศิษย์คิดง่าย ๆ อย่างคนทั่วไป แต่ยอห์นกลับดีใจ เพราะเขาไม่ใช่คู่แข่งของพระเยซู พระองค์จะต้องเป็นหนึ่ง
เขาบอกให้รู้ว่า ทุกตำแหน่งในโลกนั้นมาจากพระเจ้าไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม ยอห์นกล่าวชัดเจนว่า สถานภาพของทุกคนมาจากพระเจ้า!
เขาแจ้งให้ศิษย์รู้ว่า เขาเป็นใคร เขาเป็นคนที่ถูกส่งมาเตรียมทางให้กับผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม องค์พระเมสสิยาห์หรือองค์พระคริสต์ เขาเป็นเสียงในถิ่นกันดารที่เตรียมทาง (อิสยาห์ 40:3)
สุดท้าย เขาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวที่ดีใจมากเมื่อเห็นเจ้าบ่าว เมื่อคนไปหาพระเยซูเขาดีใจเพราะเขาไม่อาจทำได้อย่างพระองค์ เขาไม่อาจให้ความรอดกับผู้คนได้ ยอห์นดีใจที่เขาเป็นเพื่อนของเจ้าบ่าว ที่คอยรับใช้ ยอห์นเป็นต้นแบบของชีวิตเราได้อย่างดี จริงไหม เราพูดได้ไหมว่า ฉันต้องต่ำลง ให้เธอสูงขึ้น?
ยอห์น 3:31-33
ยอห์นผู้ให้บัพติศมา บอกทุกคนชัดเจนว่า พระเยซูทรงมาจากเบื้องบน ไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ใช่แค่คนเก่ง มีปัญญา มีฤทธิ์มาก แต่ทรงเป็นพระเจ้าจากสวรรค์ มาจากโลกที่มองไม่เห็น ไปไม่ถึง (1 ทิโมธี 6:16) พระองค์ทรงมีความคิดและหนทางที่สูงกว่าความคิดของมนุษย์ (อิสยาห์ 55:8-9)
ยังมีเรื่องราวของพระองค์ที่เราไม่รู้ ไม่เข้าใจ เข้าไม่ถึง เราไม่อาจอธิบายพระองค์ได้ด้วยภาษาที่จำกัดแบบมนุษย์ได้
ยอห์นบอกด้วยว่า พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกคน รวมไปถึงธรรมจารย์ทั้งหลายที่เป็นคนธรรมดา
พระองค์ทรงเห็นอะไรในสวรรค์ ทรงได้ยินจากพระเจ้าอย่างไร ก็ทรงบอกตามนั้น นี่เป็นเหตุผลที่คำของพระองค์ยิ่งใหญ่กว่าคำใด ๆ ในโลกนี้ พระองค์คือผู้ที่ได้ยินได้เห็นจากประสบการณ์จริง ไม่ใช่ได้ยินแล้วเอามาเล่า แต่ถึงอย่างนั้น คนไม่ฟังคำของพระองค์ นี่เป็นคำพยานของยอห์นถึงพระเยซูเพิ่มเติมจากที่ศิษย์เคยได้ยิน
ยอห์น 3:34-36
คำกล่าวของพระเยซูนั้น คือคำของพระเจ้าพระบิดา พระองค์ทรงมีพระวิญญาณบริสุทธิ์แบบไม่จำกัด เหนือเหล่าธรรมาจารย์ที่เมื่อมาเทียบกับพระเยซูคือ พวกเขาไม่มีอะไรเลย
และทรงให้สรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเยซู คือ ทรงครอบครองเหนือทุกสิ่ง
เหตุผลหนึ่งที่ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ ในอำนาจ ในการปกครองของพระเยซูก็เป็นเพราะพระบิดาทรงรักพระองค์มาก พระบิดาทรงพอพระทัยที่จะให้ความเต็มบริบูรณ์อยู่ในพระองค์ (โคโลสี 1:19)
ยอห์นพูดสองครั้ง พระบิดาทรงรักพระบุตร 3:35 กับ 5:20 ยอห์นกล่าวอย่างชัดเจนว่า พระเยซูคือ พระบุตร พระองค์ไม่ใช่แค่ใครคนหนึ่งที่พระเจ้าเจิมให้มารับใช้ แต่ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
ยอห์นบอกทางเลือกสองทางให้ด้วย จะไปดี หรือไปร้าย? จะเชื่อหรือไม่เชื่อ?
*ฟาริสี มีความหมายว่า แยกออก เป็นคนบริสุทธิ์แยกตัวออกจากคนบาป พวกเขาร้อนใจในเรื่องความบริสุทธิ์ตามกฎของโมเสส ถือว่านี่คือการทำให้พระเจ้าพอพระทัย แถมยังมีกฎของตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย
**นิโคเดมัสเป็นฟาริสีที่อยู่ในระดับผู้ปกครอง เราทราบว่า ต่อมาเขาเชื่อพระเยซู (7:50-52) เขาเป็นคนที่ช่วยดูแลเรื่องการเก็บพระศพจากไม้กางเขนด้วย (19:34-42)