ผีมาร ชายผู้เป็นเหยื่อ กับฝูงหมู
1 พวกเขาข้ามฟากมาถึงเขตเกราซา(หรือเกราซีน)
2 ทันทีที่พระเยซูทรงขึ้นจากเรือ พระองค์ก็พบชายคนหนึ่งที่มีวิญญาณโสโครกสิงอยู่ เขาออกมาจากแถบถ้ำสุสาน
3 ชายคนนี้เร่ร่อนอาศัยตามถ้ำสุสานและไม่มีใครมัดเขาให้อยู่กับที่ได้แม้ว่าจะใช้โซ่ล่ามไว้
![](https://prakham.com/wp-content/uploads/2023/12/Mark5-1-5-1024x575.jpg)
4 แม้ว่าเขาถูกล่ามด้วยโซ่และตรวนบ่อย ๆ เขาก็ได้หักโซ่และตรวนกระจาย ตอนนี้ไม่มีใครมีแรงพอที่จะปราบเขาอยู่มือ
5 เขาเอาแต่ร้องโหยหวนตามถ้ำสุสาน ตามภูเขา และเอาหินกรีดตัวเอง
6 เมื่อชายคนนี้เห็นพระเยซูแต่ไกล เขาก็วิ่งมาและคุกเข่าลงต่อพระองค์
7 และเขาก็ตะโกนเสียงดังว่า “ท่านต้องการอะไรจากข้าพเจ้า พระเยซู พระบุตรของพระเจ้าสูงสุด? ข้าพเจ้าขอท่านเมตตาข้าพเจ้าต่อพระพักตร์พระเจ้าว่า โปรดอย่าทรมานข้าพเจ้าเลย”
8 ที่กล่าวอย่างนั้นเพราะพระองค์ตรัสว่า
“จงออกมาจากชายคนนี้ เจ้าวิญญาณโสโครก!”
![](https://prakham.com/wp-content/uploads/2023/12/Mark5-6-1024x575.jpg)
9 พระเยซูตรัสถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?” เขาตอบว่า
“ข้าพเจ้าชื่อกอง..เพราะว่าเราอยู่กันหลายตน”
10 จากนั้นก็ขอร้องพระเยซูซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ให้พระองค์ส่งพวกมันออกไปจากเขตแดนนั้น
11 ใกล้ ๆ ที่นั่นมีหมูฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่
12 ดังนั้น พวกผีมารจึงร้องขอพระเยซู “ขอท่านส่งเราไปที่ฝูงหมู พวกเราจะได้เข้าสิงมัน”
13 พระองค์ทรงอนุญาต ดังนั้นเหล่าวิญญาณโสโครกจึงออกมาจากชายคนนั้น และเข้าไปสิงในตัวหมู ฝูงหมูที่มีประมาณ สองพันตัวก็วิ่งลงมาจากหน้าผาชัน ลงไปในทะเล แล้วจมน้ำตายจนหมด
14 ส่วนคนที่เลี้ยงหมูก็วิ่งออกไป เข้าไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในเมือง และหมู่บ้านโดยรอบ และผู้คนก็พากันออกมาดูว่า เกิดอะไรขึ้น
![](https://prakham.com/wp-content/uploads/2023/12/Mark5-12-1024x575.jpg)
15 แล้วพวกเขาก็มาหาพระเยซู ก็ได้เห็นชายที่ผีสิงทั้งกองนั่งอยู่ สวมเสื้อผ้า มีสติดี พวกเขาจึงกลัวนัก
16 คนที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น กับคนที่ถูกผีสิง และฝูงหมูให้ผู้คนได้ฟัง
17 พวกเขาจึงวิงวอนขอให้พระเยซูไปจากดินแดนของพวกเขา
![](https://prakham.com/wp-content/uploads/2023/12/Mark5-18-1024x575.jpg)
18 ขณะที่พระองค์ทรงลงเรือ ชายคนที่มีผีสิงก็ทูลขอไปกับพระองค์
19 แต่พระเยซูไม่ทรงอนุญาต “เจ้าจงกลับไปบ้าน หาครอบครัวของเจ้า” พระองค์ตรัส “ และบอกพวกเขาว่า พระเจ้าได้ทรงทำการเพื่อเจ้ามากแค่ไหน และพระองค์ทรงเมตตาเจ้าอย่างไร”
20 ดังนั้น เขาจึงลาไป และเริ่มต้นประกาศทั่วในแคว้นเคคาโปลิสว่า พระเยซูได้ทรงทำเพื่อเขามากเพียงไร และทุกคนก็ประหลาดใจนัก
ลูกสาวเอ๋ย..
21 อีกครั้งที่พระเยซูทรงลงเรือข้ามฟากมา ประชาชนกลุ่มใหญ่ก็เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ ริมทะเลสาบ
22 นายศาลาธรรมชื่อไยรัสมาที่นั่นด้วย เมื่อเขาเห็นพระเยซูก็ทรุดตัวหมอบที่พระบาทพระองค์
23 เขาทูลอ้อนวอนอย่างร้อนใจว่า
“ลูกสาวตัวเล็กของข้าพเจ้าใกล้ตายพระเจ้าข้า ขอโปรดมาและวางพระหัตถ์บนเธอ เพื่อว่าลูกจะได้หายและได้มีชีวิต”
24 ดังนั้นพระเยซูเสด็จไปกับเขา ฝูงชนก็ตามไปด้วย เบียดเสียดรอบ ๆพระองค์
![](https://prakham.com/wp-content/uploads/2023/12/Mark5-24-1024x575.jpg)
25 ในหมู่คนนั้น มีหญิงคนหนึ่งที่ทุกข์ทรมานจากโรคเลือดตกมานานถึง 12 ปี
26 เธอทุกข์ทรมานยิ่งนัก ได้ไปหาหมอหลายคน และใช้เงินที่มีอยู่จนหมดตัว แต่ไม่ดีขึ้นเลย ยิ่งกว่านั้น เธอกลับมีอาการทรุดลงเรื่อย ๆ
27 เมื่อหญิงคนนี้ได้ยินเรื่องของพระเยซู เธอก็เดินไปในหมู่ชนด้านหลังของพระองค์ และแตะเสื้อคลุมของพระองค์
28 เพราะเธอพูดกับตัวเองว่า “หากฉันได้ทำเพียงแตะเสื้อของพระองค์ ฉันก็จะหายโรค”
29 ทันที! .. เลือดที่ไหลอยู่ก็หยุด และเธอรู้ตัวว่า เธอหายจากโรคแล้ว
![](https://prakham.com/wp-content/uploads/2023/12/Mark5-27-1024x575.jpg)
30 เวลาเดียวกันนั้น พระเยซูทรงทราบว่า ฤทธิ์ได้ซ่านออกจากพระองค์ พระองค์ทรงหันไปในหมู่คน ตรัสถามว่า “ใครมาแตะเสื้อผ้าของเรา?”
31 พวกศิษย์ของพระองค์ตอบว่า “พระองค์ก็ทรงเห็นว่ามีคนมากมายเบียดพระองค์อยู่ แต่ยังทรงถามว่า ใครมาแตะเรา”
32 แต่พระองค์ยังทรงมองไปรอบ ๆ เพื่อจะดูว่า ใครเป็นคนที่ทำเช่นนั้น
33 แล้วหญิงคนนั้นรู้ว่า อะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง ก็เข้ามาหมอบลงตัวสั่นต่อพระบาท และเธอก็บอกความจริงทั้งหมด
34 “ลูกสาวเอ๋ย!” พระเยซูตรัส “ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายจากโรคแล้ว จงไปเป็นสุขเถอะ และพ้นจากความทุกข์ทรมาน”
![](https://prakham.com/wp-content/uploads/2023/12/Mark5-32-34-1024x575.jpg)
ลูกสาวใคร ได้ฟื้นขึ้นมา ?
35 ขณะที่พระองค์ตรัสนั้นเอง ก็มีชายคนหนึ่งที่ถูกส่งมาจากบ้านของไยรัสนายศาลาธรรม กล่าวว่า
“ลูกสาวของท่านตายแล้ว ทำไมต้องไปรบกวนพระอาจารย์อีกเล่า?”
36 พระเยซูทรงได้ยินคำสนทนานั้น จึงตรัสกับ
ไยรัสว่า “อย่ากลัวไปเลย จงเชื่อเท่านั้น”
37และพระเยซูไม่ทรงอนุญาตให้ใครไปกับด้วย
ยกเว้นเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายยากอบ
![](https://prakham.com/wp-content/uploads/2023/12/Mark5-35-36-1024x575.jpg)
38 เมื่อพวกเขามาถึงบ้านของนายศาลาธรรม พระเยซูทรงเห็นผู้คนในบ้านวุ่นวายโกลาหล มีการร้องไห้ ร้องโหยหวนเสียงดัง
39 พระองค์ทรงเข้าไปข้างในตรัสถามว่า “ทำไมจึงมาร้องไห้วุ่นวายไปอย่างนี้? เด็กยังไม่ตาย เธอหลับอยู่เท่านั้น”
40 และพวกเขาก็หัวเราะเยาะพระองค์กัน
หลังจากที่พระองค์ทรงให้พวกเขาออกไปอยู่ข้างนอก ทรงให้พ่อแม่ของเด็ก และศิษย์ที่มากับพระองค์เข้าไปข้างในหาเด็ก
![](https://prakham.com/wp-content/uploads/2023/12/Mark5-38-40-1024x575.jpg)
41 ทรงจับมือเธอ ตรัสว่า “ทาลิธา คูม” แปลว่า “เด็กหญิงเอ๋ย เราบอกให้หนูลุกขึ้น”
42 ทันใดนั้นเองเด็กหญิงก็ลุกขึ้น และเริ่มเดินไปรอบ ๆ เธออายุ 12 ปี และพวกเขาต่างตกตะลึงไปตาม ๆกัน
43 แล้วพระเยซูทรงกำชับว่า ต้องไม่ให้ใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นทรงบอกให้เขาหาอาหารให้เด็กหญิงรับประทาน
คำอธิบายเพิ่มเติม
มาระโก 5:1-5
เกราซาเป็นเมืองเล็ก ๆ ด้านตะวันออกของทะเลสาบกาลิลี ซึ่งเป็นเมืองที่มีหน้าผาสูงมีชายคนหนึ่งที่ถูกผีสิง มาพบพระเยซูทันที! (ในหนังสือมัทธิว บอกว่ามีชายสองคนที่นั่น เพราะมัทธิวเขียนให้คนยิวอ่าน มาระโก เล่าเน้นคนคนที่มีวิญญาณชั่วหลายตน ) น่าแปลกใจที่ในพระคัมภีร์เดิมเราไม่ได้อ่านเรื่องคนถูกผีสิง แต่เมื่อพระเยซูมาถึง คือเวลาของพระองค์ที่จะเหยียบหัวของมารนั่นเอง (เวลาของพระเมสสิยาห์) และที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ มันมักจะเข้าไปสิงคนในแถบชนบทมากกว่าในเมือง
ให้เรานึกถึงชีวิตคน ๆ หนึ่ง ที่ไม่ปกติ ไม่อาจจะทำมาหากิน มีชีวิตเหมือนคนอื่น ๆ ได้ สิ่งที่ทำยี่สิบสี่ชั่วโมงคือ การร้องเสียงดังตามถ้ำ และเอาหินกรีดตัวเองจนโชกเลือด และเขาทำอย่างนั้นตลอดเวลา แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างทรมานเป็นที่สุด
เห็นไหมว่า มารทำอะไรในตัวเขา คือเอาความเป็นคนออกไป เขาต้องถูกแยกออกไปจากผู้คนในเมือง
ผู้คนกลัวเขามาก และมีความพยายามเอาโซ่ล่ามเขาไว้ แต่เขาก็หักโซ่ตรวนนั้นได้ ที่เขามีกำลังมากขนาดนี้เป็นเพราะเขามีวิญญาณชั่วร้ายสิงอยู่ในตัวทำให้มีพลังเกินกำลังคนธรรมดา และที่สำคัญ วิญญาณชั่วนั้น ผลักดันให้เขาทำร้ายตัวเองไม่หยุดหย่อน แต่มาตอนนี้ พระเยซูเสด็จมาใกล้ ๆ ที่เขาอยู่ !
มาระโก 5:6-10
ปฏิกริยาของมารต่อพระเยซูเมื่อเห็นพระเยซูมันวิ่งมานมัสการพระองค์ คุกเข่าลง มันหมดอำนาจเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระเยซู มันไม่เคยเห็นพระองค์มาก่อนเลย. พระเยซูตรัสสั่งให้วิญญาณโสโครกออกมาจากตัวเขา วิญญาณในตัวจึงร้องเสียงดัง
** มันใช้คำถามว่า ท่านต้องการอะไรจากพวกมัน
** มันรู้ว่า พระเยซูคือ พระบุตรของพระเจ้าสูงสุดเสียด้วย มันเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง (ไม่เหมือนคนมากมายที่ไม่ยอมเชื่อว่ามีพระเจ้า)
** มันขอให้พระเยซูเมตตา ไม่ทรมานมัน (ดูเหมือนการที่จะออกจากการสิงชายคนนี้เป็นสื่งที่ทรมานวิญญาณชั่ว) เราเห็นชัดว่า มันไม่มีอำนาจเหนือพระเยซูสักนิด มันรู้ว่าพระเยซูอยู่เหนือมันแน่นอน มัทธิวบันทึกว่าอย่าทำร้ายมันก่อนเวลา …
** เมื่อพระเยซูถามชื่อ มันตอบว่า กอง เพราะมีอยู่หลายตนในตัวชายคนนั้น นี่เป็นเหตุผลที่เขาทรมานเหลือเกิน
** มันขอที่จะอยู่ในเขตแดนนั้นต่อไป มันรู้ว่าจะทำอะไรก็ต้องอยู่ภายใต้อำนาจของพระเจ้า
มาระโก 5:11-13
**มารขอร้องพระเยซูให้ไปสิงในฝูงหมูแทนสิงชายคนนั้น แน่นอนพระเยซูจะไม่ทรงยอมให้พวกมันไปจัดการกับคนอื่น ตอนนี้มันต้องการบ้านใหม่ และเห็นว่า ฝูงหมูก็ยังดีกว่าถูกไล่ไปยังบึงไฟ ทำไมพระเยซูทรงยอม? … ทำไมพระองค์ไม่จัดการส่งมันลงบึงไฟเลย?
อาจมีเหตุผลหลายอย่างตามที่คนเราในสมัยใหม่คิดกัน อย่างเช่น แต่ที่เราเห็นอย่างหนึ่งคือ เมื่อพระเจ้าทรงอนุญาตสิ่งใด สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้
หมูทั้งฝูง พอถูกมารสิง มันก็กระโจนลงน้ำไปหมด
มาระโก 5:14-20
ชาวเมืองกังวลว่า หากพระเยซูอยู่อีกอาจจะทำลายฝูงหมูอื่นอีกก็เป็นได้
ยังมีฝูงสัตว์อื่น ๆ อีก พวกเขามองไม่เห็นสิ่งดีที่พระองค์ทรงทำให้กับชาวเมืองที่ถูกผีเข้า พวกเขาจึงขอให้พระองค์ออกไปจากดินแดนนั้น อย่าได้มาทำลายเครื่องมือทำมาหากินของพวกเขา
ชาวเมืองไม่ได้เห็นการดีที่พระเยซูทรงทำเพื่อชายที่ทรมานจากผีเข้าสิงเลย และไม่สนใจด้วยว่า มีคนได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จากผีเป็นกองทัพ!
ชายคนนี้ที่เป็นอิสระแล้ว ขอไปกับพระเยซู แต่ทรงให้เขากลับไปแจ้งให้ครอบครัว พี่น้องเข้าใจว่า พระเจ้าทรงดีต่อเขาอย่างไร เขาก็ตกลงทำตามนั้น เขากลายเป็นคนที่ประกาศให้ชาวเมืองแถบนั้นได้รู้ว่า พระเยซูคือผู้ใด และทรงทำอะไรเพื่อเขา พื้นที่ ๆ เขาเป็นพยานก็ไม่ใช่พื้นที่ยิวแต่เป็นของชาวต่างชาติ
ลูกสาวเอ๋ย
มาระโก 5:21-23
นายศาลาธรรมไยรัส น่าจะเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่ของฟาริสี และหากใคร ในหมู่ผู้ทำงานในศาลาธรรม รู้ว่าเขามาหมอบที่พระบาทของพระองค์เช่นนี้ คงเกิดเรื่องขึ้นแน่ แต่ตอนนี้ เรื่องเหล่านั้น ไม่สำคัญต่อไยรัสแต่อย่างใด เขาเพียงขอแค่ลูกสาวมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้นเอง ชีวิตของลูกสาวย่อมสำคัญกว่าความบีบคั้นจากสังคมยิวไยรัสรู้ดีว่า พระเยซูทรงมีฤทธิ์ที่จะช่วยลูกสาวของเขาได้ เขาต้องเคยได้ยินและได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเยซูมาบ้างแล้ว
มาระโก 5:24-34
และยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ป่วยมานานสิบสองปี และหาหมอที่ไหนก็ไม่ช่วยให้หาย แต่กลับทำให้ฐานะยากจนลงไปเรื่อย ๆ เธอกำลังอยู่ในหมู่ชนที่เบียดเสียดกับพระเยซู เธอให้เหตุผลกับตัวเองว่า พระเยซูเป็นผู้ที่รักษาโรคให้หาย ท่านคือผู้มีฤทธิ์ ฉันว่าแค่แตะท่านผู้ทรงฤทธิ์ ฉันหายโรคแน่.. ไม่มีใครสอนเธอเรื่องนี้ ไม่มีใครบอกมาก่อนว่ามันเป็นไปได้ นี่เป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นเมื่อเห็นพระเยซู เมื่อเข้าไปใกล้พระองค์ เธอพยายามที่สุดที่จะเข้าไปแตะชายเสื้อให้ได้
ขณะที่คนกำลังตื่นเต้น และรีบร้อนกับการไปดูพระเยซูรักษาโรคให้ลูกสาวไยรัส หญิงคนนี้เบียดเสียดเข้ามาเงียบ ๆ แต่มั่นใจ มั่นคง ไม่มีอะไรมาทำให้เธอหันกลับ (อย่าลืมว่าจริง ๆ แล้ว การมีเลือดไหลแบบนี้เท่ากับเธอเป็นคนมลทินในกฎของยิว ถ้าใครรู้ว่าเธอมีอาการแบบนี้ จะเกิดการลุกฮือแน่นอน เพราะเธอต้องแยกตัวออกมา จะมาชิดใกล้กับผู้คนแบบนี้ไม่ได้) ต่อให้ใครมาลากเธอออกไป เธอก็จะยังแตะพระองค์ให้ได้
ทันทีที่เธอแตะต้องชายเสื้อของพระเยซู แอบแตะเท่านั้น เลือดที่ไหลอยู่ก็หยุด ทันทีที่ฤทธิ์ซ่านออกจากพระเยซู ก็ทรงรู้สึก พระองค์ทรงรักษาเธอแล้ว พระองค์ทรงรู้อยู่แล้วว่า เธอมาใกล้ ๆ เธอคิดอะไรอยู่
ในหมู่คนจำนวนมากเป็นร้อย มีสองคนที่รู้ว่า เกิดการทำงานของฤทธิ์เดชขึ้น
คนหนึ่งหายโรค อีกท่าน..ปล่อยฤทธิ์ออกไปรักษาโรคนั้น!
เมื่อพระเยซูทรงหันมาถามว่า ใครแตะเรา? ทำให้ศิษย์และผู้คนรู้สึกรำคาญ เพราะกำลังรีบ พวกเขาให้เหตุผลถูกแล้วที่ว่า คนมากมายเบียดเสียดกันอยู่
แต่พระเยซูทรงประสงค์จะให้กำลังใจเธอ พระองค์ทรงมองไปรอบ ๆ ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวสำหรับหญิงผู้นี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเธอก็รีบหมอบต่อพระบาทบอกความจริงอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่เธอได้รับคืนมา ไม่ใช่คำต่อว่า แต่เป็นพระเมตตาที่ย้ำให้เธอรู้ว่า ความเชื่อที่เธอมีต่อพระองค์ทำให้เธอหายโรคสนิทแล้ว ให้กลับไป ทรงเรียกเธอว่า ลูกสาว ตอนนี้เป็นลูกสาวของพระองค์แล้ว เธอจะไม่ต้องทรมานเหมือนเดิมอีก
ลูกสาวใครได้ฟื้นขึ้นมา?
มาระโก 5:35
เราไม่ทราบว่าเหตุการณ์ตรงนี้กินเวลากี่นาที แต่ในช่วงวิกฤตินั้นเองที่มีคนมาจากบ้านของไยรัส และบอกข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของเขา “ลูกสาวท่านตายแล้ว!” ในขณะที่มีหญิงคนหนึ่งหายจากโรคที่เป็นมานาน 12 ปี ลูกสาวของชายอีกคน อายุ 12 ปีเหมือนกันได้สิ้นชีวิตลง ไยรัสทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะคิดอย่างไร แต่พระเยซูตรัสกับเขาทันทีว่า อย่ากลัวไปเลย จงเชื่อเท่านั้น
แน่นอนที่ความเชื่อของหญิงโลหิตตก ต้องทำให้ไยรัสเองสยบต่อคำของพระเยซู ไม่มีอะไรที่ทรงทำไม่ได้ พระเยซูทรงฤทธิ์มาก จนเขามากราบขอความช่วยเหลือจากพระองค์ และพระองค์ยังทรงมุ่งหน้าไปบ้านของเขา แน่นอนที่เขาจะไม่ห้ามพระองค์ เขาจะเชื่อเท่านั้น เขาจะไม่กลัว พระเยซูจะทรงเรียกชีวิตลูกสาวของเขาคืนมา
มาระโก 5:36-43
เมื่อมาถึงบ้าน พระเยซูตรัสบอกทุกคนว่า เด็กน้อยแค่หลับอยู่ ในสายพระเนตรของพระองค์ ความตายไม่ใช่การสิ้นสุด เพราะในอาณาจักรของพระเจ้า จะมีการฟื้นคืนชีวิตได้อยู่แล้ว ความตายไม่ชนะพระองค์ แต่คนที่อยู่ในบ้านไยรัส ซึ่งกำลังร้องไห้ตามพิธี เป็นการบอกความโศกเศร้า กลับกลายเป็นหัวเราะเยาะพระเยซู
แล้วพระเยซูทรงอนุญาตพ่อแม่และศิษย์ใกล้ชิดสามคนเข้าไปกับพระองค์ คือเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายยากอบ (ทั้งสามเป็นคนที่ไปบนภูเขาและเจอเหตุการณ์พระเยซูทรงคืนร่างเป็นพระเจ้า…9:2 กับวันที่ทรงอธิษฐานก่อนสิ้นพระชนม์ 14:32-33)
แล้วพระเยซูทรงจับมือเด็กหญิงตรัสว่า ให้ลุกขึ้น เป็นภาษาอาราเมค ที่ใช้กันทั่วไปอยู่แล้ว เด็กหญิงก็ลุกขึ้นตามคำสั่งของพระองค์ ทั้งพ่อ แม่ และศิษย์ต่างตกตะลึง ชีวิตของเด็กหญิงกลับคืนมา
แต่พระเยซูจากบ้านนี้ไป โดยตรัสให้พ่อแม่ เก็บสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องไว้ก่อน จะไม่มีใครตามพระองค์ไป แต่ทั้งบ้านก็ได้รับรู้ว่า เด็กหญิงผู้นี้ไม่ได้ตายอย่างที่พระเยซูตรัส เธอแค่นอนหลับไปเท่านั้น
พระคำเชื่อมโยง
1* มัทธิว 8:28–34
2* มาระโก 1:23; 7:25
7* กิจการ 19:13
8* มาระโก 1:25; 9:25
11* เฉลยธรรมบัญญัติ 14:8
15* มัทธิว 4:24; 8:16; ลูกา 10:39 ;
อิสยาห์ 61:10
17* กิจการ 16:39
18* ลูกา 8:38, 39
20* สดุดี 66:16; มัทธิว 9:8, 33
21* ลูกา 8:40
22* มัทธิว 9:18-26
23* กิจการ 9:17; 28:8
25* เลวีนิติ 15:19,25
27* มัทธิว 14:35,36
30* ลูกา 6:19; 8:46
33* สดุดี 89:7
34* มัทธิว 7:50; 8:48
35* ลูกา 8:4936* ยอห์น 11:40
38* กิจการ 9:39
39* ยอห์น 11:4; 11
40* กิจการ 9:4042* มาระโก 1:27; 7:3743* มัทธิว 8:4; 12:16-19; 17:9