พระวิญญาณเสด็จลงมาตามพระสัญญา



คำอธิบายจากท่านเปโตร



เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระเยซูโดยตรง




คำเชิญให้เชื่อพระเยซูคริสต์

ชีวิตของคริสตจักรแรก



อ่านพระคัมภีร์ มีคำอธิบายสั้นๆ และพระคำเชื่อมโยง
ยอห์น 9:1-3
ขณะที่พระเยซูเสด็จไปตามทาง ซึ่งไม่ไกลจากพระวิหาร พระองค์น่าจะเพิ่งออกมาจากการสนทนาที่ร้อนแรงก็ไปพบคนตาบอดแต่เกิดคนหนึ่ง ศิษย์ของพระองค์ก็ถามสิ่งที่คาใจคือ “ทำไมเขาตาบอดใครเป็นคนทำบาปจนกระทั่งเขาจึงตาบอด?” (เป็นความคิดแบบยิว ในพระคัมภีร์เดิมมีว่าบางครั้งบาปนำมาซึ่งการลงโทษจากพระเจ้า อพยพ 20:5, 34:7) ชายคนนี้ตาบอด ยิวคนไหนย่อมคิดว่าเขาทำบาปอยู่แล้ว หลายคนก็ตั้งคำถามคล้าย ๆ กันเช่นนี้ เราคิดว่าสิ่งไม่ดีเกิดจากผล ของบาปไปเสียทุกเรื่อง
แต่คำตอบของพระเยซู เป็นคำตอบที่ไม่ใช่มุมมองของมนุษย์ “เพื่อว่า ราชกิจของพระเจ้าจะปรากฏขึ้นจากตัวเขา”…. นี่ทำให้เราต้องมองหลายเหตุการณ์ในชีวิตของเราใหม่ว่า สิ่งที่เราดูว่าเป็นร้ายนั้น อาจจะเป็นเหตุที่ทำให้ราชกิจของพระเจ้าปรากฏชัดมากกว่าที่เราคิดก็เป็นได้
2**. ลูกา 13:2, ยอห์น 9:34, กิจการ 28:4 3
3** ยอห์น 11:4, โยบ 42:7ยอห์น 4:34, 5:19,36, 17:4, 11:9,10, 12:35, กาลาเทีย 6:10
ยอห์น 9:4-6 ก
ความสว่างของพระเยซู ได้เข้ามาในโลกมืดของชายตาบอด ตลอดเวลาสามสิบปีก่อนหน้านี้
พระเยซูไม่ได้ทรงทำการอัศจรรย์ใด ๆ แต่เมื่อพระองค์เริ่มราชกิจของพระเจ้า การอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นมากมายในหมู่ผู้คน เป็นการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน เป็นหมายสำคัญที่ทำให้รู้ว่า พระองค์คือพระเมสสิยาห์ ตามคำเผยของอิสยาห์ ในอิสยาห์ 42:7 และยังมีการอัศจรรย์ที่ไม่ได้บันทึกไว้อีกมากมาย พระเยซูตรัสชัดเจนว่า ทรงเป็นความสว่างของโลก มีนัยส่งไปถึงชายที่กำลังอยู่ในโลกมืดสนิทตั้งแต่เกิด ตรัสแล้วก็ทรงลงมือทันที..
5** ยอห์น 1:5,9 , 3:19, 8:12, 12:35, 46
6** มาระโก 7:33, 8:23
ยอห์น 9:6ข-8
ชายตาบอดที่นั่งขอทานอยู่ ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่รู้ว่ามีพระเมสสิยาห์มาอยู่ใกล้ ๆ เขาช่วยตัวเองไม่ได้
อยู่ดี ๆ ก็มีใครคนหนึ่งเอาโคลนมาทาตา ชายตาบอดก็ร่วมมือกับท่านที่มาสั่งทันทีด้วย เขาไม่ต่อล้อต่อเถียง ไม่ยื้อ ไม่ออกความเห็นใดๆ แต่ทำตามคำสั่ง และเขาก็มองเห็นเดี๋ยวนั้น
พระเยซูทรงเป็นพระผู้สร้าง ดังนั้นที่จะให้ตาใหม่กับชายคนนี้เป็นเรื่องเล็กสำหรับพระองค์ การ
กระทำของชายตาบอดเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า ในทางฝ่ายวิญญาณ ถ้าเราได้เชื่อฟังพระเจ้า เราจะได้มองเห็นความจริงฝ่ายวิญญาณได้ชัดเจนเช่นกันเป็นอีกครั้งในวันสะบาโตที่พระเยซูทรงรักษาโรค วันนี้พระองค์เลือกที่จะรักษาชายตาบอดที่พระองค์ทรงผ่านเขาไป ด้วยการทาโคลนที่ตา แถมยังใช้เขาให้ไปล้างตาอีก นี่เป็นการละเมิดกฎสะบาโตหยุมหยิมของฟาริสีโดยตรง พระองค์ทรงท้าทายมาก และชายตาบอดก็กล้าหาญเหมือนกัน เมื่อเราเห็นเขาโต้ตอบกับฟาริสีในเวลาต่อมา
7** เนหะมีย์ 3:15, อิสยาห์ 8:6, ลูกา 13:4, ยอห์น 9:11, 2 พงศ์กษัตริย์ 5:14
ยอห์น 9:9-12
เพื่อนบ้านของเขา ประหลาดใจมาก ไม่แน่ใจว่าเป็นคนที่เคยรู้จักหรือเปล่า เริ่มตั้งคำถามว่าใช่ชายตาบอดหรือไม่ ตัวเขาเองยอมรับว่าใช่ เขาบอกด้วยว่า พระเยซูเป็นผู้เอาโคลนทาตาและให้เขาไปล้างตาที่สระสิโลอัมตัวเขาเองยังไม่เห็นเลยว่า พระเยซูเป็นคนไหนในหมู่ผู้คน รู้แต่ว่าเป็นพระเยซูที่ทำให้เขาตาดี
เพื่อนบ้านเองอยากรู้ว่าพระเยซูอยู่ไหน อาจจะอยากไปถามให้แน่ใจ และจากนี้ไป ชายตาบอดต้องเผชิญกับคำถามมากมาย เพราะเขากลายเป็นตาดี. เขาเป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
เขาเป็นคนที่พ่อแม่ปล่อยให้มาเป็นขอทานเพราะตาบอดไม่มีใครสนใจที่เขากลายเป็นคนมองเห็นได้ แต่กลับคาดคั้นว่าทำไมมองเห็น
เขาเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก จะตายไปอย่างที่โลกลืม แต่พระเยซูกลับทำให้เขาเป็นที่รู้จักของคนทั้งหลายที่อ่านยอห์น 9
ยอห์น 9:13-16
ชายคนที่เคยตาบอดถูกนำมาหาฟาริสี เพราะว่าเขาหายบอดในวันสะบาโต แทนที่ทุกคนจะดีใจ กลับหาเรื่อง …คนที่ไม่เชื่อเรื่องการอัศจรรย์กำลังสอบสวน เรื่องที่เขาไม่เชื่อและต้องการสรุปอย่างที่เขาต้องการ … คนเหล่านี้มีคำตอบในใจแล้วว่าจะต้องจัดการกับพระเยซู ! พวกเขาเชื่อว่าพระเยซูเป็นคนหลอกลวง ไม่ปกติ
ฟาริสีก็สอบสวนอีกครั้งว่าหายบอดได้อย่างไร เมื่อเขาตอบฟาริสีกลุ่มหนึ่งลงความเห็นว่า พระเยซูไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะไม่รักษาสะบาโตแบบพวกเขา คนเหล่านี้สนใจกฎเกณฑ์มากกว่าความต้องการจำเป็นของผู้คน แต่คนอีกกลุ่มเห็นว่า พระเยซูน่าจะมาจากพระเจ้าจริง ๆ เพราะทำหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ คราวนี้มีความคิดแตกแยกกันในหมู่ยิว
พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ในวันสะบาโตทีไร ก็ก่อให้เกิดการแตกคอกันระหว่างพวกยิวอยู่บ่อย ๆ
(ยอห์น 6:52, 7:43, 10:19, มัทธิว 10:34-39) แต่ที่น่าสนใจในบทนี้คือ เราจะเห็นความเข้าใจของชายตาดีผู้นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ยอห์น 9:17-19
นี่ไง ชายผู้นี้เริ่มมองเห็นด้วยตัวเองแล้วว่า พระเยซูทรงเป็นผู้เผยพระคำของพระเจ้า เขาออกความเห็นด้วยตัวเอง แต่ยิวไม่พอใจกับคำตอบนี้ พระเยซูยังคงเป็นฝ่าย ตรงข้ามแน่นอน เพราะทรงละเมิดกฎสะบาโตที่พวกเขาตั้งขึ้นมา (5:9, 16, 7:21-24)
ต่อมายิวยังไม่ยอมเชื่อ สั่งตามพ่อแม่มาสอบสวนอีก เพราะพ่อแม่เท่านั้นที่จะยืนยันว่า ชายผู้นี้ตาบอดตั้งแต่เกิดจริงๆ ถ้าไม่ใช่ พวกเขาอาจมีข้อโต้แย้งพระเยซูได้อีก
ยอห์น 9:20-23
แต่พ่อแม่ก็ไหวตัวทัน พวกเขารู้ว่าถ้าตอบไม่ถูกใจ พวกเขาอาจจะถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้ามาในพระวิหารอีก การที่จะยอมรับพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ หรือองค์ผู้ที่พระเจ้าเจิมโดยเห็นต่างจากฟาริสีนั้น จะทำให้เขาถูกตัดขาดแน่นอน (การตัดคนออกจากพระวิหารนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยท่านเอสรา) ทั้งสองตอบตาม ความเป็นจริงว่าลูกชายตาบอดแต่เกิด นอกนั้น ไม่ขอตอบอะไรให้ไปถามเขาเอง
22** ยอห์น 7:13, 12:42, 19:38, กิจการ 5:13, ยอห์น 16:2
ยอห์น 9:24-27
เมื่อพ่อแม่ไม่ยอมตอบ เขาก็ถูกเรียกกลับมาสอบสวนอีกครั้ง คาดคั้นถามว่าพระเยซูใช้วิธีไหนที่ทำให้เขาหายตาบอดได้ ชายตาบอดกลายเป็นชายตาดี เขาถูกบังคับให้พูดความจริง (แบบที่ฟาริสีต้องการ)ซึ่งเขาก็พูดจริง (ตามเหตุการณ์จริง)มาตลอด ไป ๆ มาๆ ดูเหมือนว่าพวกฟาริสีต้องการให้เขาโกหกมากกว่าพูดความจริง
พวกเขาต้องการให้ชายผู้นี้พูดว่าพระเยซูเป็นคนบาป โดยอ้างว่า ถ้าเขายอมรับว่าพระเยซูเป็นคนบาปเท่ากับเขาถวายเกียรติพระเจ้านี่นับเป็นการกล่าวอ้างที่น่าเกลียดมาก เนื่องจากฟาริสีไม่ต้องการยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์แต่กลับต้องยอมรับความจริงว่า ทรงทำให้คนตาบอดมองเห็นได้
ชายที่ได้รับสายตาคืนมาเริ่มรำคาญเต็มทีก็เลยถามประชดไปเสียเลยว่า พวกฟาริสีคงอยากเป็นศิษย์พระเยซูแน่เลย. เขาไม่ได้กลัวฟาริสีเลยสักนิด น่าสนใจว่า มีคนที่เห็นต่างจากฟาริสีชัดเจนขนาดนี้ และไม่ได้มีความกลัวใด ๆ เขายืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง และจะไม่หันเหไปทางใดทั้งสิ้น
24** โยชูวา 7:19, 1 ซามูเอล 6:5, เอสรา 10:11, วิวรณ์ 11:13, ยอห์น 9:16
ยอห์น 9:28-31
แน่นอนที่ฟาริสีจะโกรธจัด ยิ่งต้องการกำจัดพระเยซู พวกเขาย่อมมองออกว่า ชายตาดีเห็นแล้วว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับพระเยซู พวกเขาอ้างว่าตนเป็นศิษย์โมเสส ทั้ง ๆ ที่ทำไม่เหมือนโมเสสสักนิดฟาริสีคิดว่าตนเองใช้ได้ เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ทั้ง ๆ ที่พฤติกรรมตอนนี้ของพวกเขามันกลับใช้ไม่ได้เลย
ส่วนชายตาดีเริ่มเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น เมื่อฟาริสีปฏิเสธ ไม่ยอมรับพระเยซู เขากลับมั่่นใจว่า พระเยซูทรงเป็นผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเจ้า เป็นผู้ที่นมัสการซึ่งพระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐาน เขายังยืนยันชัดเจนว่าพระเยซูมีฤทธิ์ ยิ่งคุยกับฟาริสีไป เขาก็ยิ่งเห็นความเกลียดชังที่แตกต่างจากความใส่ใจที่พระเยซู
มีให้เขา
29** อพยพ 19:19,20, 33:11, 34:29, กันดารวิถี 12:6-8, ยอห์น 5:45-47, 7:27,28, 8:14
30** ยอห์น 3:10
31** โยบ 27:9, 35:12, สดุดี 18:41, สุภาษิต 1:28, 15:29,28:9, อิสยาห์ 1:15,
เยเรมีย์ 11:11, 14:12, เอเสเคียล 8:18, มีคาห์ 3:4, เศคาริยาห์ 7:13, ยากอบ 5:16
ยอห์น 3:2, 9:1634 สดุดี 51:5, ยอห์น 9:2
ยอห์น 9:32-34
เขายิ่งมั่นใจว่าพระเยซูทรงมาจากพระเจ้า ถ้าไม่อย่างนั้น ทำอัศจรรย์ขนาดนี้ไม่ได้แน่ เขารู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครตาบอดแล้วเห็นได้มาก่อน ความมั่นใจของเขานั้นเต็มร้อย กล้าที่จะพูดกับฟาริสีอย่างไม่กลัวเกรงทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นแค่ขอทาน ตัวเขาเองมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณในระดับที่ดี ให้เหตุผลอย่างถูกต้อง นี่ทำให้ฟาริสีที่คงแก่เรียนโกรธจัด กล้าดีอย่างไรที่จะมาสอนคนมีความรู้อย่างพวกเขาและตอนนี้เอง เขาก็หมดสิทธิ์ที่จะเข้ามาในศาลาธรรมยิวอีกต่อไป ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง นับได้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์การข่มเหงผู้เชื่อที่เกิดขึ้นและบันทึกเป็นครั้งแรกในพระคัมภีร์
ยอห์น 9:35-38
เขามาพบพระเยซูอีกครั้ง …พระเยซูทรงจบการอัศจรรย์ครั้งนี้ด้วยการเปลี่ยนชีวิตของเขาทั้งกายและจิตวิญญาณ เมื่อพระเยซูทรงถามว่าเขาจะเชื่อบุตรมนุษย์หรือไม่ เขามั่นใจทันทีว่าจะเชื่อพระองค์ ชายตาบอดตอนนี้กลายเป็นคนทั้งตาดี ทั้งยังมีการมองเห็นฝ่ายวิญญาณด้วย เขาเห็นความดีของพระเจ้า เห็นความจริง เขายอมรับความจริงที่เห็น เมื่อเขามาเชื่อในพระองค์ เขาไม่อยู่ในความมืดต่อไป ทั้งทางร่างกาย และทางจิตวิญญาณ
ก่อนที่เขาจะเห็นได้พระเยซูเสด็จมาหาเขา เขาทำเองไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้แต่พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาในชีวิตของเขา แม้จะมีคนป่วยมากมาย คนง่อย ตาบอด หูหนวกอยู่ตรงนั้นคับคั่ง แต่พระเยซูทรงเลือกเขาคนนี้ ทรงเป็นพระผู้ช่วยที่ตามหาคนของพระองค์
แค่พระเยซูตรัสถามว่า เจ้าเชื่อวางใจในบุตรมนุษย์ไหม? ชายคนนี้ตอบรับพระองค์ทันที เขารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขานั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสมัยโบราณเลยเขารู้หลายอย่าง รู้ว่าพระเยซูเป็นฝ่ายพระเจ้า พระเยซูเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงฟัง พระองค์เป็นผู้เผยพระคำ เขาถามพระองค์ว่า ท่านผู้นั้นเป็นใครเพื่อว่ากระผมจะได้เชื่อพระองค์… เขาพร้อมเชื่อ แค่บอกมาว่าต้องเชื่ออะไร เป็นใจที่พร้อม เมื่อเขายอมรับพระองค์ เขานมัสการพระองค์ทันที เป็นการยอมรับและรู้ว่าพระองค์คือผู้ที่เขาสมควรจะยกย่องสุดชีวิต
จะรู้ได้อย่างไรว่าคนหนึ่งเชื่อพระองค์จริงหรือไม่
เขาได้รับการเปลี่ยนแปลงไหม เราดูว่า เขานมัสการพระองค์หรือเปล่า
35** ยอห์น 5:14, 1:7, 16:31, มัทธิว 14:33, 16:16, มาระโก 1:1, ยอห์น 10:36, 1 ยอห์น 5:13
37** ยอห์น 4:2638 มัทธิว 8:2
ยอห์น 9:39-41
คนตาบอดฝ่ายวิญญาณนั้น ดื้อด้าน ทำให้ถูกพิพากษา ไม่ยอมรับว่าตนบอดทำให้ความผิดยังคงค้างอยู่ เขาไม่สามารถรับการเปลี่ยนแปลงเพราะคิดว่าตนเองโอเคแล้ว พวกเขาคิดว่าตนเองตาสว่างกว่าใคร ๆ
คำของพระเยซูที่ตรัสว่า ถ้าเจ้าบอด เจ้าก็ไม่มีผิดการใช้คำว่าตาบอดในตอนนี้ มีความหมายถึงการบอดฝ่ายวิญญาณ ไม่เข้าเรื่องของวิญญาณ คนที่ยอมรับว่าตัวเองบอดฝ่ายวิญญาณและมาหาพระองค์ จะมองเห็น เข้าใจได้แต่คนที่คิดว่าตัวเองมองเห็นกลับกลายเป็นคนที่ตาบอด คนพวกนี้แทบไม่มีความหวังเหลืออยู่น่าเสียดาย ฟาริสีมีสายตาที่ดี แต่สายตาฝ่ายวิญญาณนั้นมองไม่เห็นอะไร
39 ยอห์น 3:17, 5:22,27, 12:47, มัทธิว 13:13, 15:14
40 โรม 2:1941 ยอห์น 15:22,24
เพิ่มเติมเรื่องความสว่างของโลก
เหล่านี้ เป็นพระคำที่บอกให้รู้ว่า บอด หมายถึงการมองความจริงไม่เห็น ไม่เข้าใจความจริงของพระเจ้า ไม่เข้าใจพระเจ้า
อิสยาห์ 43:8 กล่าวถึงคนที่มองเห็นแต่ก็ตาบอด
เยเรมีย์ 5:21 กล่าวถึงคนที่โง่เขลา ไร้ความคิด มีตา แต่มองไม่เห็น
อิสยาห์ 56:10 กล่าวถึงผู้นำอิสราเอลที่เป็นคนอารักขาที่ตาบอด มองอะไรไม่เห็นเลย และพระเยซูเองทรงเรียกฟาริสีว่าเป็นคนตาบอด
กิจการ 26:12-18 ท่านเปาโลเองถูกเรียกให้ไปเปิดตาเพือว่าคนที่ท่านประกาศจะหันจากความมืดสู่ความสว่าง พระเจ้าทรงเปิดตาฝ่ายวิญญาณของท่าน ในวันที่เดินทางไปเมืองดามัสกัส
เอเฟซัส 4:18 กล่าวถึงคนต่างชาติที่ใจมัวมืด
วิวรณ์ 3:17 บอกถึงคนในคริสตจักรเองที่ไม่รู้ตัวว่ายากไร้ ตาบอดและเปลือยกายอยู่
2 โครินธ์ 4:4 พระของยุคนี้ทำให้จิตใจผู้ไม่เชื่อมืดบอดไป
โรม 11:8 และพระเจ้าทรงเป็นผู้ให้มืดบอดด้วยพระเจ้าทรงให้เขามีจิตใจมึนชา มีตาที่ไม่อาจมองเห็น..
แต่แสงสว่างได้เข้ามาในโลก พระเมสสิยาห์เป็นผู้นำความสว่างเข้ามา และพระองค์ก็ตรัสแล้วตรัสอีก
แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจเลย
ยอห์น 9:4 ขณะที่พระเยซูอยู่ในโลก ตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก”
ยอห์น 12:46 เราเข้ามาในโลกในฐานะความสว่าง ทุกคนที่เชื่อในเราจะไม่อยู่ในความมืด
1 เปโตร 2:9 พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านออกจากความมืดเข้ามาสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์
สดุดี บทที่ 22 เป็นสดุดีที่บรรยายเหตุการณ์ล่วงหน้าหนึ่งพันปีก่อนที่จะเกิดจริงโดยกษัตริย์ดาวิด ด้วยการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และที่น่าทึ่งอย่างยิ่งคือ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์นั้น ตรงกับสิ่งที่กษัตริย์ดาวิดได้เขียนไว้ หลายอย่าง ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้น ยังไม่มีการคิดค้นการลงโทษด้วยไม้กางเขนเลย
เมื่อเราอ่านสดุดีบทนี้ ราวกับว่า พระเยซูเป็นผู้เขียนเอง เพราะความเจ็บปวดแบบที่เกิดขึ้นซึ่งบรรยายไว้ กษัตริย์ดาวิดไม่ได้ประสบในชีวิตของท่าน
สดุดีบทนี้แบ่งเป็นสองตอนใหญ่ ๆ คือ จากข้อ 1-21 และ 22-31
1 พระเจ้าของข้า พระเจ้าของข้า
เหตุใดพระองค์ทรงละทิ้งข้าไป?
เหตุใดทรงอยู่ห่างเกินที่จะช่วยกู้ ?
เหตุใดทรงห่างจากคำคร่ำครวญของข้า?
2 โอ พระเจ้าของข้า ข้าร้องทูลทั้งวัน
แต่พระองค์ไม่ทรงตอบ
ข้าร้องทั้งคืนและข้าไม่อาจสงบนิ่งได้
3 ถึงกระนั้น พระองค์ทรงบริสุทธิ์
ประทับเหนือการสรรเสริญของอิสราเอล
4 บรรพบุรุษของเราวางใจในพระองค์
พวกเขาวางใจ และพระองค์ก็ทรงช่วยกู้พวกเขา
5 พวกเขาร้องทูลต่อพระองค์ และได้รับการช่วยกู้
พวกเขาวางใจในพระองค์ และไม่ต้องอับอายเลย
6 แต่ตัวข้าเป็นเหมือนหนอนและไม่ใช่คน
มนุษย์ก็ดูหมิ่น ผู้คนก็เหยียดหยาม
7 ทุกคนที่เห็นข้าก็เยาะเย้ย แสยะปากและสั่นหัวกล่าวว่า
8 “เขาวางใจว่าพระยาห์เวห์จะทรงช่วยเขา ก็ให้พระองค์
มาช่วยสิ ในเมื่อพระองค์ทรงพอพระทัยเขา”
9 พระองค์ทรงเป็นผู้นำข้าออกจากครรภ์
ทรงทำให้ข้าวางใจยามที่ข้าอบอุ่นในอกแม่
10 ข้าถูกมอบไว้ให้พระองค์มาตั้งแต่เกิด
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้า
ตั้งแต่ที่ข้าอยู่ในครรภ์มารดา
11 ขออย่าทรงอยู่ไกลจากข้า
เพราะความทุกข์ใจอยู่ใกล้และไม่มีใครช่วยได้
12 เหล่ากระทิงอยู่ล้อมรอบข้า
วัวป่าที่แข็งแรงแห่งบาชานรุมล้อมข้าไว้
13 พวกมันอ้าปากกว้างใส่ข้า
ราวกับสิงโตที่กระหายเหยื่อและกำลังขู่คำราม
14 ข้าถูกเทลงเหมือนน้ำ และกระดูกทั้งสิ้นก็หลุดจากข้อ
ใจของข้าเป็นเหมือนขี้ผึ้ง มันหลอมละลายอยู่ภายในข้า
15 กำลังของข้าแห้งเหือดไปราวกับดินที่ถูกเผา
ลิ้นก็ติดแน่นกับขากรรไกร
และพระองค์ทรงวางข้าลงบนฝุ่นแห่งความตาย
16 เหล่าสุนัขรุมล้อมข้า คนชั่วทั้งหลายก็โอบล้อมข้าไว้
พวกเขาแทงมือ และเท้าของข้าจนทะลุ
17 ข้านับกระดูกของข้าได้ทุกท่อน
เหล่าศัตรูมองดูและจ้องมาที่ข้า
18 พวกเขาแบ่งเสื้อผ้าของข้า
และจับฉลากเอาเสื้อคลุมของข้าไป
19 โอ พระยาห์เวห์ ขออย่าทรงอยู่ห่างไกล
โอ พระกำลังของข้า ขอทรงรีบมาช่วยข้าด้วย
20 ขอทรงช่วยกู้วิญญาณจิตของข้าจากดาบ
ขอทรงช่วยกู้ชีวิตเดียวของข้า
จากอำนาจของสุนัขเหล่านั้น
21 ขอทรงช่วยข้าให้พ้นจากปากของสิงโต
พระองค์ทรงช่วยข้ามาแล้วจากเขาของเหล่าวัวป่า
พระคัมภีร์อ้างอิง
1. มัทธิว 27:46, มาระโก 15:34
2. ลูกา 18:7, สดุดี 42:3
3. ฉธบ. 10:21, สดุดี 148:14
4. ฮีบรู 11:8-32, อพยพ 14:13-14
5. อิสยาห์ 49:23
6. อิสยาห์ 41:14, 53:3
7. มัทธิว 27:39,
8. มัทธิว 27:43, สดุดี 91:14
9 . สดุดี 71:5-6
10. อิสยาห์ 46:3, 49:1
11. สดุดี 71:12,72:12, 10:1
12. สดุดี 22:21, 66:30, ฉธบ. 32:14
13. โยบ 16:10, สดุดี 35:21, 1 เปโตร 5:8
14. ดาเนียล 5:6,สดุดี 31:10
15. สุภาษิต 17:22, ยอห์น 19:28
16 . มัทธิว 27:35, ยอห์น 19:37
17. ลูกา 23:27,35, อิสยาห์ 52:14
18. มัทธิว 27:35, ลูกา 23:34
19. สดุดี 40:17, 70:5
20.สดุดี 35:17, 40:13,17,21:1
21. 2 ทิโมธี 4:17,อิสยาห์ 34:7
22 ข้าจะบอกถึงพระนามของพระองค์ให้แก่พี่น้อง
ในที่ประชุม ข้าจะสรรเสริญพระองค์
23 ผู้ที่ยำเกรงพระยาห์เวห์ สรรเสริญพระองค์เถิด!
วงศ์วานของยาโคบเอ๋ย ถวายพระเกียรติแด่พระองค์เถิด
และยืนด้วยความสะพรึงต่อพระพักตร์
เหล่าวงศ์วานของอิสราเอล!
24 เพราะพระยาห์เวห์ ไม่ทรงดูหมิ่นหรือรังเกียจความทุกข์
ของคนที่รับความทรมาน พระองค์ไม่ทรงซ่อนพระพักตร์จากเขา
แต่ทรงฟังเมื่อเขาร้องทูลขอความช่วยเหลือ
25 คำสรรเสริญของข้าในที่ประชุมใหญ่นั้น มาจากพระองค์
ข้าจะทำตามคำปฏิญาณต่อหน้าคนที่ยำเกรงพระยาห์เวห์
26 คนที่ทนทุกข์จะได้กินอิ่มอย่างพึงพอใจ
คนที่แสวงหาพระยาห์เวห์จะสรรเสริญพระองค์
ขอให้พระทัยของพระองค์ดำรงต่อไปเป็นนิตย์!
27 ทุกคนจนสุดปลายแผ่นดินโลกจะระลึกได้
และหันมาหาพระยาห์เวห์
และทุกครอบครัวในชาติต่าง ๆ จะนมัสการต่อพระพักตร์
28 เพราะพระราชอาณาจักรเป็นของพระยาห์เวห์
พระองค์ทรงปกครองเหนือชาติต่าง ๆ
29 คนร่ำรวยในโลกจะกินและนมัสการพระองค์
เหล่าคนที่ลงไปยังผืนดินจะคุกเข่าต่อพระพักตร์
ไม่เว้นแม้คนที่ไม่อาจรักษาชีวิตของตนไว้
30 วงศ์วานของเขาจะรับใช้พระองค์
คนรุ่นต่อไปจะได้ฟังเรื่องราวขององค์เจ้านาย
31 พวกเขาจะมาและประกาศความเที่ยงธรรมของพระองค์
ให้กับเหล่าคนที่กำลังจะเกิดมาว่า พระองค์ทรงทำสิ่งใด
22. ฮีบรู 2:12, โรม 8:29
23. สดุดี135:19,20
24. ฮีบรู 5:7, อิสยาห์ 50:6-9
25. สดุดี 35:18, 40:9,10,
สดุดี 61:8,ปญจ.5:4
26. สดุดี 69:32, อิสยาห์ 65:13
27. สดุดี 86:9, 2:8, วิวรณ์ 7:9-12
28.สดุดี 47:7,โอบาดีย์ 21, เศคาริยาห์ 14:9, มัทธิว 6:13
29. สดุดี 17:10, 45:12, ฮาบากุก 1:16, สดุดี 28:1, อิสยาห์ 26:19
30. 1 เปโตร 2:9, สดุดี 78:6
31. สดุดี 86:9, 102:18
ข้อ 1-2 พระผู้ที่ถูกทอดทิ้งคร่ำครวญ
ภาพของพระเยซูที่ทรงทนทุกข์โดดเดี่ยวบนไม้กางเขนชัดเจนมาก ขณะที่พระเยซูทรงถูกตรึงบนกางเขน พระองค์ทรงร้องว่า “พระเจ้าของข้า เหตุใดพระองค์จึงละทิ้งข้าพระองค์?” พระบิดาเจ้าทรงละทิ้งพระบุตรของพระองค์ในขณะที่ทรงเทพระพิโรธเพราะบาปของมนุษย์ลงบนพระบุตรจริง ๆ พระเยซูทรงรับโทษบาปแทนทุกคนที่เชื่อ เป็นการละทิ้งพระบุตรชั่วระยะหนึ่ง คำถามนี้ไม่ใช่คำถามแต่เป็นคำบอกความเจ็บปวด และความทุกข์ใจสุดทนทาน ไม่มีคำตอบจากสวรรค์เมื่อพระองค์ร้องทูล
จนพระเยซูตรัสว่า “โอ พระบิดา ข้าพระองค์ขอมอบจิตวิญญาณไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ลูกา 23:46.
ข้อ 3-5 ระลึกถึงพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ และวันที่พระเจ้า
เคยช่วยเหลือ พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และทรงสั่งให้คนของพระองค์บริสุทธิ์ด้วย บริสุทธิ์นี้คือการถูกแยกออกมาจากสิ่งที่เป็นมลทิน และด้วยความบริสุทธิ์นี้ พระองค์จึงทรงต้องแยกจากพระบุตรบนไม้กางเขน เป็นสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่านรก สำหรับพระเยซู. เพราะพระองค์ต้องถูกแยกจากพระบิดาที่เคยรักและอยู่ใกล้ชิดมาไม่เคยห่าง และพระเยซูยังต้องรับเอาพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์มาไว้บนพระองค์แต่เพียงผู้เดียว
แต่บนไม้กางเขน พระเยซูทรงรู้ว่า พระเจ้าบริสุทธิ์ และพระองค์จะทรงตอบคำร้องทูลเหมือนอย่างที่เคยทรงตอบคนอิสราเอล
ข้อ 6-8. ตัวข้าเป็นเหมือนหนอน ตอนที่พระเยซูทรงอยู่บนกางเขนนั้น พระองค์ถูกโบยมาก่อน เลือดโชก ร่างของพระองค์บอบช้ำจนแทบจำไม่ได้ “เขาถูกดูหมิ่นและทอดทิ้ง” อิสยาห์ 53:3 นอกจากโบยแล้ว พระองค์ยังถูกถ่มน้ำลายใส่ ถูกตบพระพักตร์ มีคำหยาบคายโอหังพรั่งพรูมาที่พระองค์ ร่างของพระองค์ดูไม่เหมือนมนุษย์ อิสยาห์ 52:14
คนรอบ ๆ ไม้กางเขนวันนั้น มีแต่ความเกลียดชังที่รุนแรงเกินมนุษย์. ดูเหมือนการถูกตรึงยังไม่พอสำหรับพวกเขา ดังนั้นจึงเยาะเย้ยพระเยซู และยังเยาะไปถึงพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลด้วย พวกเขานำหายนะมาสู่ตัวเอง.
ข้อ 9-11 พระเยซูทรงรำลึกถึงความซื่อตรงของพระเจ้าตั้งแต่ที่พระองค์ทรงมาเกิดในโลก ทรงระลึกว่า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของพระองค์มาตั้งแต่ที่ยังอยู่ในครรภ์ของมารีย์ พระเยซูทรงมั่นใจในความซื่อตรงของพระเจ้าตลอดเวลาที่ทรงดำเนินในโลกในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ทรงทูลขอพระเจ้าอย่าอยู่ห่างไกล เพราะไม่มีใครช่วยพระองค์ได้นอกจากพระเจ้าพระบิดาเท่านั้น
ข้อ 12-18 ความรู้สึกของพระเยซูบนไม้กางเขน ขณะที่โดดเดี่ยวบนกางเขน ศัตรูก็ขู่เข็ญคำรามอยู่รอบด้าน ความเกลียดชังสุดขีดเต็มอยู่ในบรรยากาศอันหดหู่ น่ากลัว โหดเหี้ยมอย่างดิบที่สุด คนเหล่านี้ถูกเรียกว่า เป็น กระทิง วัวป่า สุนัข สิงโต
เป็นภาพของคนต่อต้านพระเจ้า ที่ทำตัวเหมือนสัตว์กระหายเลือด
เวลานั้น พระองค์ผู้ทรงเป็นน้ำแห่งชีวิต ทรงกระหายน้ำ กำลังหายไปหมด พระทัยข้างในสลายเหมือนขี้ผึ้ง และพระเจ้าทรงวางให้พระองค์อยู่ในความตาย. พระคำตอนนี้ทำให้เราได้สัมผัสว่า พระองค์ทรงรู้สึกอย่างไร
ข้อ 19-21 คำอธิษฐานให้พ้นจากความตาย. จากข้อ 1-21 เราเห็นภาพชั่วโมงสุดท้ายก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์อย่างชัดเจน และพระเยซูก็ทรงร้องเรียกให้พระเจ้ามาช่วย ขอทรงช่วยให้พ้นจากมือของคนที่เปรียบเหมือนสัตว์ร้ายเหล่านั้น และจากนี้ไป เราจะได้เห็นว่า คำแห่งชัยชนะได้เกิดขึ้นแล้ว
ข้อ 22-23 พระเจ้าทรงช่วย ข้อความต่อจากนี้ มีเนื้อหาแตกต่างจากคำคร่ำครวญขอให้ช่วย เพราะเป็นเนื้อหาที่บอกว่า พระเจ้าทรงช่วยแล้ว พระเยซูทรงบอกถึงการช่วยเหลือให้กับพี่น้อง ชนชาติอิสราเอล เมื่อพระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์ไม่ได้เสด็จสู่สวรรค์ทันที แต่ทรงอยู่กับศิษย์และผู้เชื่ออีกถึงสี่สิบวัน. ในสี่สิบวันนั้น เราพอจะรู้แล้วว่า พระองค์ทรงทำสิ่งใด. ทรงย้ำเตือนให้พวกเขาได้รู้จักพระเจ้า ทรงสอนถึงราชอาณาจักรของพระเจ้า สี่สิบวันนั้นเพียงพอสำหรับการวางรากฐานการเริ่มต้นคริสตจักรของพระองค์ แม้ต่อไปพระองค์ไม่ได้อยู่ในโลก. แต่พระกายของพระองค์ได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลานั้น
ข้อ 24-25.นี่เป็นชัยชนะของพระเยซู พี่น้องที่อยู่กับพระเยซูในช่วงนั้นได้เห็นพระคุณของพระเจ้าที่ทรงอยู่กับพระบุตรและพวกเขา พระเยซูกับทุกคนได้มีเวลาที่จะสรรเสริญ ถวายเกียรติแด่พระเจ้าที่ทรงคืนชีพขึ้นมา พระเจ้าทรงพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่า พระองค์ทรงฤทธิ์ และเมื่อพระบุตรทรงร้องขอ พระองค์ก็ทรงช่วย
ข้อ 26-30 ความดีของพระเจ้าได้ขยายขอบเขตไปจนสุดโลก. ไม่เฉพาะคนอิสราเอลเท่านั้นที่จะได้หันมาหาพระเจ้า แต่ทุกชาติจะมีโอกาสได้รับพระคุณเหมือนกับศิษย์ของพระเยซู ..พระเจ้าทรงปกครองชาติต่าง ๆ และทรงประสงค์ที่จะให้มนุษย์ทั่วใต้ฟ้าได้รู้จักพระองค์ เราจะเห็นพันธกิจแห่งการประกาศพระนามในสดุดีบทนี้อย่างชัดเจน พระเยซูไม่ได้ทนทุกข์ แบกบาปเพื่อคนอิสราเอลเท่านั้น แต่เพื่อทุกคนในโลกด้วย ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้เลย และก่อนพระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ พระมหาบัญชาที่ทรงมีต่อทุกคนก็ยังสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้.
ข้อ 30-31 พระเจ้าทรงครอบครองเหนือทุกชาติ ทุกยุค และคนรุ่นที่กำลังจะเกิดมา พันธกิจที่พระเยซูทรงสั่งนั้น ไม่เฉพาะสำหรับสองพันปีก่อน แต่สำหรับคนทุกยุคที่จะตามมา และเราก็เห็นคนชาติต่าง ๆ จำนวนมากได้หันกลับมาหาพระเจ้า แม้คนที่อยู่ในวัฒนธรรม ศาสนาที่เคร่งครัด. คำสุดท้ายที่ว่า พระองค์ทรงทำสิ่งใด… ในภาษาเดิมมีความหมายชัดเจนว่า พระองค์ทรงทำสำเร็จ เหมือนกับคำตรัสของพระเยซูบนกางเขนที่ว่า “สำเร็จแล้ว!”
เป็นคำ ๆ เดียวกัน
แต่ยังมีผู้เผยพระคำเท็จอยู่ท่ามกลางผู้คน เหมือนกับที่มีครูสอนผิดท่ามกลางพวกท่านด้วย พวกเขาแอบนำคำสอนผิดที่สร้างความหายนะเข้ามา โดยถึงกับปฏิเสธองค์เจ้านายที่ทรงไถ่พวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขาย่อยยับอย่างรวดเร็ว
2 เปโตร 2:1
มัทธิว 24:5,24, 1 ทิโมธี 4:1-2
เปโตรเตือนให้ระวังคนสอนเท็จที่ใช้ประโยชน์จากพี่น้อง 1 ทิโมธี 4:1 เตือนแล้วว่า คนสอนเท็จเหล่านี้จะระบาดหนักในยุคสุดท้าย ครูสอนผิดมีอยู่ทุกยุค ตั้งแต่โบราณจนกระทั่งวันนี้ ศัตรูของพระเจ้าทำงานอย่างแข็งขันที่จะให้มีครูสอนผิดเหล่านี้ มาหลอกให้คนของพระเจ้าที่ไม่เอาใจใส่ติดตามพระดำรัสของพระองค์ให้ หลงไปจากความจริง คนพวกนี้แปลพระดำรัสของพระเจ้าตามใจตนเอง
มีคนมากมายจะติดตามหนทางหายนะของพวกเขา ทำให้เกิดการดูหมิ่นทางแห่งความจริงด้วยความโลภ พวกเขาจะหาประโยชน์จากท่านด้วยเรื่องที่กุขึ้นมา การกล่าวโทษพวกเขาก็มีมานานแล้ว และความพินาศของเขาไม่ได้หลับอยู่
2 เปโตร 2:2-3
โรม 2:24, ยูดา 1:10,15, 2 โครินธ์ 2:17, 1 เธสะโลนิกา 2:5 , 1 ทิโมธี 6:5
จากคำตอนนี้ของท่านเปาโล เราจะเห็นชัดว่า ในโลกโซเชียล มีการขายของที่หลอกลวงว่าจะทำให้ดูดี สวยงามถ้ากินอาหารที่เขาโฆษณา ในคริสตจักร ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรเลย หากคริสเตียนไม่ระวังตัว ก็จะมีความเห็นที่คล้อยตามคนที่เข้ามาหลอกลวง เช่นว่า พระเจ้าจะทรงทำให้เรารวยขึ้น ถ้าเราถวายทรัพย์เยอะ ๆ ทางของความจริงก็กลาย เป็นหลบอยู่ในพระคัมภีร์เท่านั้น ไม่มีใครอ่านพระคำต่อไป คอยแต่ฟังคนที่หลอกลวง
เพราะหากว่า พระเจ้ามิได้ทรงยกเว้นเหล่าทูตสวรรค์ที่ได้ทำบาป แต่ได้ทรงผลักพวกเขาลงนรก และล่ามโซ่ไว้ในความมืดมิดเพื่อรอวันพิพากษา
2 เปโตร 2:4
ยูดา 1:6, มัทธิว 25:41, วิวรณ์ 20:10
จากพระคำข้อนี้ เรารู้ว่า พระเจ้าทรงทำอย่างไรกับทูตสวรรค์ที่ทำบาปต่อพระองค์ พวกที่กบฎต่อพระเจ้าพร้อม ๆ กับซาตาน พวกเขาไม่ได้มีโอกาสลอยนวล ดูเหมือนว่าทูตที่ทำบาป จะไม่มีโอกาสรอดได้เหมือนกับมนุษย์ เพราะพระเยซูได้ทรง ทรงมีทางที่จะช่วยให้มนุษย์พ้นการพิพากษาผ่านไม้กางเขนของพระเยซู แต่ถ้าใครไม่รับพระเยซูคริสต์อีก ทางรอด ก็ไม่เหลืออีกเลย (ฮีบรู 2:16, วิวรณ์ 20:10)
และพระองค์ก็มิได้ยกเว้นโลกโบราณตอนที่ทรงให้น้ำท่วมโลกของคนอธรรม แต่ทรงปกป้องโนอาห์ ผู้เทศนาเรื่องความเที่ยงธรรมรวมทั้งอีกเจ็ดคน
2 เปโตร 2:5
2 เปโตร 3:6, 1 เปโตร 3:19-20,
นอกจากทูตสวรรค์ถูกจำจองแล้ว ในโลกโบราณ พระเจ้าก็ไม่ได้ยกเว้นคนอธรรมด้วย“พระเจ้าทรงเห็นว่า ความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป” (ปฐมกาล 6:5) ดังนั้นพระองค์จึงทรงกวาดล้างผู้คนทั้งสิ้นให้หมดไปจากแผ่นดินหลายคนไม่ได้กลัวพระพิโรธของพระเจ้า เขาจึง จมอยู่ในความบาปต่อไปเรื่อย ๆ แม้มีโอกาสกลับตัวก็ทิ้งโอกาสนั้นไป
แล้วพระองค์ทรงเผาเมืองโสโดม โกโมราห์ จนเป็นเถ้าถ่าน เพื่อใช้เป็นตัวอย่างถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคนอธรรม
2 เปโตร 2:6
ปฐมกาล 19:16, 28-29, ยูดา 1:7, ลูกา 17:28-30
โลท ซึ่งเป็นคนของพระเจ้า ได้เลือกเข้าไปอาศัยในเมืองที่ชั่วช้า และพระเจ้าทรงลงโทษทั้งสองเมืองนี้เพื่อเป็นตัวอย่างว่า พระองค์จะทรงลงโทษความชั่วร้ายอย่างไร ในปฐมกาล 18:20 เขียนว่า .. พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เสียงร้องกล่าวโทษเมืองโสโดมและโกโมราห์นั้น ดังเหลือเกิน บาปของพวกเขาก็หนักมาก” พระเจ้าทรงลงโทษ ทั้งทูตสวรรค์ที่ทำผิด คนอธรรมในโลกสมัยโนอาห์ และเมืองสองเมืองในสมัยของโลท เราสักคนจึงไม่ควรคิดว่าจะลอยนวลไปได้จากการพิพากษาโทษบาป
และทรงช่วยกู้โลทคนเที่ยงธรรมที่ต้องทุกข์หนักเพราะชีวิตโสโครกของคนชั่วช้า(เพราะในขณะที่เขาใช้ชีวิตเที่ยงธรรมทุกวัน ท่ามกลางคนพวกนั้น จิตใจของเขาจะทรมานนักจากการกระทำไร้คุณธรรมที่ได้เห็นและได้ยิน)
2 เปโตร 2:7-8
ปฐมกาล 19:16,29, 1 โครินธ์ 10:13, สดุดี 119:158, 136, เอเสเคียล 9:4
พระเจ้าทรงช่วยโลทให้พ้นจากเมืองโสโดมทันเวลา อ่านการช่วยเหลือของพระเจ้าจากปฐมกาล 19:12-29 พระองค์ทรงเอาเขาออกมาจากเมืองชั่วร้ายก่อนที่เขาเองจะกลายเป็นคนชั่วเหมือนชาวเมืองเหล่านั้น เพราะถึงแม้เขาจะเป็น คนของพระเจ้า แต่การอยู่ในเมืองแบบนั้น มันสุดจะทน และชีวิตก็พร้อมที่จะตกในความชั่วด้วย ในที่สุดถึงแม้โลทจะรอดมาอย่างหวุดหวิด แต่เขาสูญเสียทุกสิ่ง บ้านเรือน ภรรยา ออกมาตัวเปล่าพร้อมกับลูกสาวอีกสองคน
ดังนั้น พระเจ้าทรงทราบว่า จะช่วยคนเที่ยงธรรมให้พ้นจากการล่อล่วงอย่างไร และจะทรงกักขังคนอธรรมไว้เพื่อให้รับโทษในวันพิพากษา
2 เปโตร 2:9
1 โครินธ์ 10:13, สดุดี 34:15-`19, วิวรณ์ 3:10
จากตัวอย่างทั้งสองเรื่องที่ผ่านมา เราเห็นว่า พระเจ้าทรงลงโทษและทรงช่วย พระเจ้าทรงรู้ว่าจะช่วยให้เราพ้นจากการล่อลวงอย่างไร เมื่อเราเลือกให้พระองค์ทรงช่วย ทำได้โดยหันจากบาป สำนึกผิด และเข้ามาหาพระองค์ผู้ทรงพระคุณและเมตตา ให้เรารู้เสมอว่า พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ทำตัวเป็นมลทินไปตามกิเลสตัณหา
และยังเหยียดหยามผู้มีอำนาจปกครอง พวกเขากล้าบ้าบิ่น ไม่กลัวที่จะพูดสบประมาทเหล่าผู้ทรงอำนาจ……
2 เปโตร 2:10
ยูดา 1:4,7,8, อพยพ 22:28
รู้อะไรไหม? ครูสอนที่อ่านพระคัมภีร์จริง ๆ จะไม่มีอาการประเภทดูถูก ดูหมิ่นคนอื่น เขาจะใช้ความ สุภาพ อ่อนโยนตามแบบของพระเยซูคริสต์ ในการสอน ในการเทศนา แต่เหล่าครูสอนผิด มักจะอวดตัวว่าเก่ง สามารถไล่วิญญาณชั่ว และหาเงินจากการกระทำอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังสบประมาทใครอยู่ ท่านเปโตรกำลังเตือนคนเหล่านี้
ซึ่งแม้แต่ทูตสวรรค์ที่มีกำลังและฤทธิ์เดชมากกว่า ก็ยังไม่ใส่ร้ายสบประมาทพวกเขาต่อพระพักตร์พระเจ้า
2 เปโตร 2:11
ยูดา 1:9, 2 เธสะโลนิกา 1:7
ครูสอนผิดเหล่านี้ ทั้งเย่อหยิ่ง ยโส เกลียดชังอำนาจปกครองทุกชนิด เพวกเขาจะพูดใส่ร้าย ทุก ๆ อย่างในโลกฝ่ายวิญญาณอย่างไม่กลัวสิ่งใดทั้งสิ้น เราจะพบว่า มีบางคนที่บอกว่าตนเองมีความเชี่ยวชาญในด้านสงคราม การต่อสู้ฝ่ายวิญญาณ มาให้เขาช่วยได้แต่จริง ๆ แล้ว ทั้งหมดนี้มันเต็มดวยความเย่อหยิ่ง และอวดตัว ลองสังเกตกันดูด้วยตัวเอง จะเห็น ชัดเจนมาก ๆ ถึงแม้คริสเตียนมีสิทธิที่จะไล่ผีออกจากคนที่ถูกทรมานได้ แต่ในเรื่องการที่จะด่าว่า อำนาจเหล่านั้นไม่ใช่เป็นของมนุษย์
แต่คนเหล่านี้ เป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉานที่ทำตามสัญชาตญาณ มันเกิดมาเพื่อถูกจับและฆ่า พวกเขากล่าวคำดูหมิ่นสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ
ในที่สุดพวกเขาจะต้องถูกพบกับหายนะเหมือนสัตว์เหล่านั้น
2 เปโตร 2:12
ยูดา 1:10, เยเรมีย์ 12:3, สดุดี 92:6
คนเหล่านี้ คือเหล่าครูสอนเท็จทั้งหลายแตกต่างจากทูตสวรรค์ฝ่ายพระเจ้า เพราะคิดและทำโดยใช้ความอยาก ไม่ได้ใช้เหตุผลแบบที่ควรเป็น เขากล้าที่จะดูหมิ่นสิ่งที่พระเจ้า ทรงตั้งไว้ ไม่ว่าจะในโลกวิญญาณหรือโลกมนุษย์ ที่จริงแล้วในสังคมเราทุกวันนี้ เราเห็นคนที่กล้าท้าทายผู้มีอำนาจ โดยใช้วาจาสามหาวที่คิดว่า วาจา แบบนั้นจะช่วยให้เขามีชัย แปลกจริง ๆ เป็น อย่างนี้กันทั้งโลก
และจะได้รับความทุกข์ยากสนองคืน เพราะการอธรรมของตน เพราะพวกเขาคิดว่า การมั่วสุมสุดเหวี่ยงในเวลากลางวันนั้น คือความบันเทิงเริงใจ พวกเขามีมลทิน ด่างพร้อย หาความสำราญกับการหลอกตัวเอง ในขณะที่กินเลี้ยงกับท่าน
2 เปโตร 2 :13
ฟีลิปปี 3:19, โรม 13:13, 1 โครินธ์ 11:20
การอธรรมของพวกเขาจะได้รับการตอบสนองอย่างสาสม มันเป็นค่าจ้างของบาป. คนเหล่านี้ทำลายคริสตจักรของพระเจ้า ไม่ใช่มีน้อยคน แต่มีมากจนน่าเป็นห่วง พวกเขาจะบอกใคร ๆ ว่าตนรักพระเจ้า แต่การกระทำไม่ได้ไปกับคำพูด พวกเขาทั้งหลอกตัวเองและหลอกคนอื่น
ดวงตาเต็มด้วยความกระหายทางกาม ไม่สามารถหยุดทำบาปชั่ว คอยดักจับคนที่ไม่มั่นคง ใจนั้นมีความชำนาญในความโลภ เป็นคนที่ถูกแช่งสาป
2 เปโตร 2:14
เอเฟซัส 2:3, 2 เปโตร 3:16, 2:3
พระคำข้อนี้ทำให้เรารู้ว่า การมองของครูสอนผิดที่ท่านเปโตรกล่าวถึงนั้น เป็นสายตามองสิ่งต่ำ สิ่งที่สกปรก ไม่อาจหยุดทำบาปเพราะตายังมองสิ่งเหล่านั้นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ หรือเรื่องผลประโยชน์ ความละโมภในตัว ที่เขาดักจับคนไม่มั่นคง เพราะคนเหล่านั้นจะกลายมาเป็นเครื่องมือในการทำลายคนอื่นต่อไปได้ ดังนั้น ภาพของข้อนี้ ชัดเจนว่า เราต้องมั่นคง หนักแน่น เข้าใจพระคำของพระเจ้า เป็นอย่างดี เพื่อจะไม่ตกเป็นเหยื่อของคนเหล่านี้
พวกเขาละทิ้งทางที่ถูกต้อง แล้วก็หลงไปตามทางของบาลาอัม ลูกชายเบโอร์ที่รักรายได้จากการทำชั่ว แต่เขาถูกตำหนิเพราะเขาทำผิด ลาที่พูดไม่ได้กลับพูดออกมาด้วยเสียงมนุษย์ เพื่อห้ามความวิกลจริตของเขา
2 เปโตร 2:15-16
กันดารวิถี 22:5-7, 21-33, ยูดา 1:11
บาลาอัม เป็นต้นแบบของคนที่รับจ้างทำลายคนดี ทำลายสิ่งดีของพระเจ้าที่มีอยู่ คนเหล่านี้มีอยู่มากมายในโลก มีในคริสตจักรด้วย (โยชูวา 13:22, กันดารวิถี 22-24) แต่พระเจ้าทรงใช้ลา ให้พูดเพื่อเตือนสติเขา! เรื่องนี้ต้องตามกลับไปอ่านแล้วจะเห็นว่า ถึงบาลาอัมจะดึงดันขนาดไหน แต่ถ้าพระเจ้าทรงจัดการ ทุกอย่างจะสำเร็จ ครูสอนผิดเองต้องรู้ว่าไม่มีวันที่เขาจะชนะพระองค์ได้
พวกเขาเป็นบ่อไร้น้ำ เป็นหมอกที่ถูกพายุพัดไป มีความดำมืดนิรันดร์ที่ถูกเตรียมไว้รอคอยพวกเขาอยู่ เพราะพวกเขาใช้การโอ้อวดที่โง่เขลา ใช้ความอยากทางเพศ ดักจับคนที่เพิ่งหนีมาจากพวกที่เดินทางผิด
2 เปโตร 2:17-18
เยเรมีย์ 14:3, ยูดา 1:12-16, 2 เปโตร 2:20, 1:4, วิวรณ์ 13:5-6
ท่านเปโตรกล่าวว่าคนเหล่านี้เป็นบ่อไร้น้ำ นั่นคือเป็นบ่อเปล่า ๆ ไม่มีน้ำที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้คน เป็นหมอกที่อยู่ให้เห็นประเดี๋ยวเดียวแล้วก็ไม่อยู่อีกต่อไป สิ่งที่เราเห็นจากพวกเขาคือ การโอ้อวดในเรื่องที่ตอบสนองความอยาก ของคนที่ฟัเป็นการใช้กิเลสตัณหามาล่อลวง บอกว่าพระเจ้าจะให้สิ่งดี ๆ ให้ความมั่งคั่งให้อะไร ๆ ที่ทูลขอตามใจทุกอย่าง เจอคนสอนแบบนี้ จงหนีให้ไกล!
พวกเขาสัญญาให้อิสรภาพ แต่ตัวเองกลับเป็นทาสความเสื่อมทราม เพราะสิ่งใดมีชัยเหนือใคร เขาก็ย่อมเป็นทาสของสิ่งนั้น
2 เปโตร 2:19
ยอห์น 8:34, โรม 6:16-22, กาลาเทีย 5:13
พวกเขาสัญญาว่าทุกคนที่ตามเขาจะมีเสรีภาพซึ่งเป็นสถานะที่คนสมัยใหม่อยากได้ และเรียกร้อง คนที่สัญญาเช่นนี้ ตัวเองยังเป็นทาสของความอยากส่วนตนอยู่อย่างชัดเจน พวกเขาต้องการเงินทอง ต้องการแฟนคลับ ต้องการคนติดตามมาก ๆ เพราะนั่นหมายถึง ประโยชน์ส่วนตน ครูสอนผิด นักเทศน์สอนผิด เหล่านี้ยังเป็นทาสความคดโกงอย่างเห็นได้ชัด อีกอย่างของคนเหล่านี้คือ มักให้ร้ายคนอื่น และยกตัวเองว่าดีกว่าใคร
ถ้าหลังจากที่เขาได้หนีจากมลทินของโลกด้วยการรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์ แล้วยังกลับไปเกี่ยวข้องและแพ้มันอีก สุดท้าย ชีวิตของเขาจะเลวร้ายยิ่งกว่าเริ่มต้น
2 เปโตร 2:20
มัทธิว 12:45, ฮีบรู 10:26-27, 6:4-8, ฟีลิปปี 3:19
สภาพนี้ เป็นสภาพที่น่าเศร้าใจมาก ไม่ต่างอะไรกับคนที่เข้าไปฟื้นฟูบำบัดอาการเสพติด แล้วในที่สุดก็กลับไปติดยาอีกครั้ง และไม่สามารถออกมาได้อีกเลย ท่านเปโตรบอกไว้ล่วงหน้าให้รู้ว่า ใครก็ตามที่ได้พบพระเจ้าแล้ว และตัดสินใจหันหลัง กลับไปอยู่ในชีวิตเดิมๆ สุดท้ายแล้ว ชีวิตนั้นจะจมดิ่งลงไปในความบาปโดยถอนตัวไม่ขึ้น
หากว่าพวกเขาไม่รู้ทางแห่งความเที่ยงธรรม ก็จะดีกว่าที่รู้ทางแล้วยังกลับหันหลังให้บัญญัติบริสุทธิ์ที่เขาเคยยอมรับ
2 เปโตร 2:21
ลูกา 12:47, ยากอบ 4:17, เอเสเคียล 18:24
การที่เรามารู้จักพระเจ้าแล้ว เราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เรารู้ การหันกลับไปสู่มลทินของโลกนั้นน่าเสียดายมาก ๆ ไม่รู้เลยก็ดีกว่า ยุคนี้มีคน ไม่น้อยที่หันกลับจากทางของพระเจ้าไปในทางที่เขาเลือกเอง ส่วนใหญ่เป็นเพราะมาแตะทางของพระเจ้าแล้ว ไม่ถูกใจ ไม่เข้าใจ ไม่ตามหา ไม่เรียนรู้ ไม่สัมผัสพระเจ้าจริงดังนั้นจึงตัดสินใจใช้ชีวิตของตนเองตามทางที่ตนพอใจ
สิ่งนี้เกิดขึ้นตามสุภาษิตที่ว่า
“สุนัขกลับไปกินสิ่งที่มันสำรอกออกมา” และ “สุกรที่อาบน้ำแล้วก็จะกลับไปจมปลักอีก”
2 เปโตร 2:22
สุภาษิต 26:11
คนที่มีสิ่งดี ครอบครัวดี งานดี โรงเรียนดี แล้วยังตกไปอยู่ในสภาพเลวร้ายเพราะการตัดสินใจผิดนั้นน่าเสียดายมาก หากใครคนหนึ่งมีชีวิตที่ตามใจตนเอง ไม่สนใจสิ่งดี ๆ แต่หลงไปตามความรู้สึกพอใจทั้งที่มันส่งผลเสียกับตนเองและครอบครัวก็เหมือนสุภาษิตนี้เลย