กาลาเทีย 6 แบกภาระไปด้วยกัน

ช่วยรื้อฟื้นคนที่ทำบาป

พี่น้องของข้า หากพบว่าใครคนหนึ่งทำบาป คนที่อยู่ฝ่ายวิญญาณก็ควรจะช่วยให้เขากลับมาในทางของพระเจ้า
ด้วยความอ่อนโยน
โดยระลึกอยู่เสมอว่า ท่านเองก็อาจถูกล่อลวงได้เช่นกัน
กาลาเทีย 6:1

โรม 15:1; 2 เธสะโลนิกา 3:15; 2 ทิโมธี 2:25; ยูดา 1:22-23

เราทุกคนมีโอกาสทำผิดพลาดได้เหมือน ๆ กัน
จะน้อยจะมาก อยู่ที่ว่าเราเดินตามพระวิญญาณ
ของพระเจ้า หรือว่าตามใจปรารถนาของเราเอง
เมื่อเห็นเพื่อนทำผิดอยู่ เราก็ไม่ควรที่จะปล่อยเฉยไว้ แต่ต้่องหาทางที่จะช่วยให้เขากลับมาในทางของพระเจ้า และต้องไม่คิดว่า เราดีกว่าเขา แต่ต้องถ่อมตนรู้ตัวเสมอว่า โอกาสพลาดของเราก็มีเหมือนกัน นั่นเป็นท่าทีที่ถูกต้องในการช่วยเพื่อน

จงช่วยรับภาระของกันและกัน
การทำเช่นนี้เป็นการใช้ชีวิตตาม
กฎของพระคริสต์
กาลาเทีย 6:2

โรม 15:1; 1 เธสะโลนิกา 5:14; ยอห์น 13:34; 1 ยอห์น 4:21

ข้อสองเป็นความต่อจากข้อแรก บางทีเพื่อนที่ทำความผิดนั้น ไม่สามารถสู้ไหวกับภาระบาปที่ตนก่อขึ้น เราจะช่วยเขาอย่างไรได้บ้าง เขายอมให้เราช่วยหรือไม่ อย่างหนึ่งที่ทำได้ให้เพื่อนคืออธิษฐานเผื่อและเดินไปกับเขา คุยกันเพื่อช่วยให้พ้นภาระบาปที่มีอยู่ บางคนตั้งใจทำบาป แต่บางคนทำบาปเพราะความกดดันจากรอบข้าง เพราะความต้องการของเนื้อหนัง หากเรากลับไปอ่านกาลาเทีย 5 เราจะเข้าใจความหมายของท่านเปาโลได้ดีขึ้นกฎของพระคริสต์คือ ทุกอย่างที่พระเยซูทรงสอนทั้งโดยตรงจากพระองค์ และผ่านอัครทูต สรุปได้จากข้อที่ว่า รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

เพราะหากใครคนหนึ่งคิดว่าเขาเป็นคนสำคัญ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ใช่ ก็เท่ากับเขาหลอกตนเอง
กาลาเทีย 6:3

สุภาษิต 26:12; 1 โครินธ์ 3:18,8:2; โรม 12:3

แค่การคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ ก็เป็นความเย่อหยิ่งแล้ว เมื่อคิดว่าเราดีกว่าคนอื่น เราก็จะไม่ช่วยใครที่กำลังตกอยู่ในความบาป และก็จะไม่รับความช่วยเหลือจากใครด้วยเช่นกัน เราต้องเข้าใจว่าเราไม่ใช่คนที่เหนือกว่าใคร มีโอกาสถูกล่อลวงได้เหมือนกันตามที่ข้อหนึ่งได้กล่าวไว้ เราไม่อาจรับโทษบาปจากพระเจ้าแทนกันและกันได้แต่เราทูลขอให้เพื่อนของเราหยุดใช้ชีวิตทำบาปเพื่อช่วยให้เขาไม่ตกในความหายนะได้ และเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องทำ

ให้ทุกคนประเมินการงานของตนเอง และเขาก็จะได้ภูมิใจในตัวเองโดยไม่ต้องเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น เพราะแต่ละคนจะต้องแบกภาระของตนเอง
กาลาเทีย 6:4-5

2 โครินธ์ 13:5, 11:12-13; สดุดี 26:2; 1 โครินธ์ 11:28; เยเรมีย์ 32:19; โรม 14:10-12,2:6-9

ท่านเปาโลให้เรามองดูตัวเองว่า มีชีวิตอย่างไร พระเจ้าทรงเปลี่ยนชีวิตเราจากวันที่เราพบพระองค์ครั้งแรกมาอย่างไรบ้าง พระองค์ทรงเสริมกำลังให้เราได้รับใช้พระองค์อย่างไร พระเจ้าประทานพระวิญญาณให้แก่ผู้เชื่ออย่างไร้ขีดจำกัด (ยอห์น 3:34) เราจึงภูมิใจได้ในพระองค์ ในตัวเองที่ได้รับการเปลี่ยนจากพระเจ้า และนี่เองทำให้เราไม่ต้องเปรียบเทียบตัวเองกับใคร แต่ละคนพระเจ้าทรงใช้แตกต่างกันเพื่อแผ่นดินของพระองค์

ทำดีให้กับพี่น้องในความเชื่อ

คนที่ได้รับคำสั่งสอนจากพระวจนะก็ควรแบ่งสิ่งดี ๆ ให้กับคนที่สอน
กาลาเทีย 6:6

1 ทิโมธี 5:17-18; โรม 15:27; เฉลยธรรมบัญญัติ 12:19

นี่เป็นหลักการของพระเจ้าในการที่จะให้พระวจนะของพระองค์ได้ไปถึงทุกคน ภาพที่ชัดเจนคือคนที่มีหน้าที่เจาะจงมาก ๆ ในการรับใช้ด้าน
การสอนพระคำ ก็ต้องใช้เวลาที่มีอยู่ทุ่มเทใน
การเรียนรู้จักพระเจ้าเพื่อที่จะมาแบ่งให้ผู้ที่ต้อง
ทำมาหากินเป็นหลัก แบ่งให้ผู้ที่มีความรู้น้อย
เพื่อจะได้เติบโตในพระเจ้าไปด้วยกัน การที่ผู้รับคำสอนจะแบ่งสิ่งดี ๆ ให้กับผู้สอนจึงเป็นสิ่งที่สมควร และผู้สอนเองคือผู้รับใช้ในพระดำรัสของพระเจ้า ไม่ใช่ผู้ที่จะเป็นนายเหนือพี่น้องผู้ให้สิ่งดีก็ไม่ใช่เป็นนายเหนือผู้สอน

อย่าถูกหลอกอีกต่อไป ท่านมาล้อเล่นกับพระเจ้าไม่ได้ ทุกคนจะเก็บเกี่ยวสิ่งที่เขาหว่านลงไปเพราะคนที่หว่านเพื่อเนื้อหนัง
ของตน จะรับความเน่าเปื่อยของเนื้อหนัง แต่คนที่หว่านเพื่อพระวิญญาณจะได้เก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณ
กาลาเทีย 6:7-8

2 โครินธ์ 9:6; โฮเชยา 10:12; โยบ 4:8; โรม 2:6-10; โรม 8:13; ยากอบ 3:18; 2 เปโตร 2:19

เราทุกคนเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราหว่าน ในพระคัมภีร์ข้อนี้กล่าวถึงการหว่านในเรื่องของชีวิตฝ่ายวิญญาณ ท่านเปาโลเอาหลักการของการปลูกพืชมาบอกเราเรื่องชีวิตจริง การใช้ชีวิตของเราในแต่ละวันการหว่านเพื่อเนื้อหนังก็หมายความไปถึงการตอบสนองความต้องการฝ่ายเนื้อหนัง จะได้รับผลของบาปที่ทำลายชีวิต ส่วนการหว่านเพื่อพระวิญญาณก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ไม่เฉพาะชีวิตนิรันดร์ แต่รวมถึงคุณภาพของชีวิตที่ได้เดินไปกับพระวิญญาณ ยอดเยี่ยมที่สุด

เราจึงต้องไม่อ่อนล้าในการทำดี เพราะในเวลาที่เหมาะสม เราจะได้เก็บเกี่ยวผล หากเราไม่ล้มเลิกไปก่อน
ดังนั้น เมื่อใดที่เรามีโอกาส ก็ให้เราทำดีกับคนทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่อยู่ในครอบครัวแห่งความเชื่อ
กาลาเทีย 6:9-10

1 โครินธ์ 15:58; 2 เธสะโลนิกา 3:13; อิสยาห์ 40:30-31; ฮีบรู 10:35-39; 13:6; สุภาษิต 3:27; 1 เธสะโลนิกา 5:15

เป็นข้อความอ่านง่าย เข้าใจง่ายจากท่านเปาโลเราต้องถามว่า การอ่อนล้าหรือการหมดใจ เลิกล้มที่จะทำดีนั้น เกิดจากอะไร มันอาจจะ
เกิดจากการที่คนไม่ได้เห็นความดีที่เราทำ
เราเลยเลยท้อใจล้มเลิกไป แต่หากว่า เรารู้ว่า
นี่เป็นคำสั่งจากพระเจ้า และพระองค์ทรงเห็น
ทุกอย่างที่ทำ ความท้อใจก็ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะพระเจ้าทรงทำการดีนั้นไปกับเรา และทรงอวยพระพรให้ทุกการดี

ข้อความลงท้ายของท่านเปาโล

ดูสิว่า ตอนนี้ข้าเขียนเป็นตัวหนังสือที่ใหญ่โตเพียงไร นี่ข้าเขียนด้วยตัวเอง คนที่ต้องการได้หน้าจากเนื้อหนัง กำลังพยายามกดดันให้ท่านรับสุหนัต
ที่เขาทำอย่างนั้น เพื่อว่าเขาจะไม่ถูกข่มเหงเพราะไม้กางเขนของพระคริสต์
กาลาเทีย 6:11-12

1 โครินธ์ 16:21-23; โรม 16:22; กาลาเทีย 5:11; โคโลสี 2:23; กิจการ 15:1

จากข้อนี้ เราจะเห็นว่า เปาโลมีความหนักใจไม่น้อยที่เขียนหนังสือกาลาเทียนี้ ในส่วนอื่น ๆ ท่านน่าจะเป็นผู้กล่าวคำออกมาให้อีกคนเขียนให้ ท่านย้ำแล้วย้ำอีกถึงการที่จะต้องอยู่ใต้พระคุณ ไม่ใช่ใต้กฎบัญญัติ ซึ่งเรื่องนี้ มันเกิดขึ้นทุกวันในคริสตจักรปัจจุบันด้วย เรามักมีกฎเกณฑ์เพื่อช่วยให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่บางครั้งสิ่งเหล่านั้นก็มากั้นทำให้เราไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำคนที่พยายามให้พี่น้องทำตามกฎบัญญัติ ก็เพื่อเขาจะได้ไม่ถูกคนที่รักกฎบัญญัติมากมาข่มเหงเขา

เพราะแม้กระทั่งคนที่เข้าสุหนัตเองก็ไม่ได้เชื่อฟังบัญญัติ แต่พวกเขาต้องการให้ท่านเข้าสุหนัตเพื่อว่า เขาจะได้คุยโอ่เรื่องที่ท่านเข้าสุหนัตตามคำชวนของเขา
กาลาเทีย 6:13

1 โครินธ์ 5:6; ฟีลิปปี 3:3; โรม 2:17-25

เหล่าครูสอนผิดทั้งหลาย ต้องการให้คริสเตียนชาวกาลาเทียได้เข้าสุหนัต เพื่อจะไปอวดใคร ๆ ว่าพวกเขาทำให้คริสเตียนเดินตามบัญญัติของยิวสำเร็จ ในขณะที่ท่านเปาโลพยายามให้พระคริสต์ก่อเกิดในตัวของคริสเตียน (กาลาเทีย4:19) คนเหล่านี้กลับสนใจแค่เครื่องหมายภายนอก
ผู้ที่พยายามอวดความดีของตนเอง อวดการทำ
ตามบัญญัติ ก็เป็นพวกที่น่าสมเพชนัก พวกเขา
ไม่เข้าใจว่า การบังเกิดใหม่ในพระเจ้าคือการได้รับชีวิตที่เปลี่ยนแปลงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

แรงจูงใจในการรับใช้ของท่านเปาโล

แต่ข้าจะไม่อวดเรื่องใดเลย นอกจากอวดเรื่องไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์เจ้า ซึ่งเป็นที่ทำให้โลกถูกตรึงจากข้า และข้าเองจากโลก เพราะว่า จะเข้าสุหนัตหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร สิ่งที่สำคัญคือ การบังเกิดใหม่ เป็นคนที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นใหม่
กาลาเทีย 6:14-15

โรม 6:6;เยเรมีย์ 9:23-24; กาลาเทีย 2:20; 2 โครินธ์ 5:17; โคโลสี 3:10-11; กาลาเทีย 5:6

เหตุการณ์ที่พระเยซูทรงถูกตรึงที่กางเขน เป็นเรื่องของความอับอาย พระองค์ทรงถูกกระทำเยี่ยงทาส การตรึงนั้น เป็นการลงโทษของโรมสำหรับทาส สำหรับอาชญากรที่ชั่วร้าย ที่ท่านเปาโลจะอวดเรื่องไม้กางเขนเท่านั้นจึงทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึกประหลาดใจมาก ๆ ที่ว่าท่านถูกตรึงจากโลกมีความหมายว่า อิทธิพลของโลกที่เคยมีต่อท่านนั้น ไม่อาจมีอำนาจเหนือท่านได้อีก

ขอพระพรเพื่อพี่น้อง

ขอให้ทุกคนที่กระทำตามกฎนี้
และชนอิสราเอลแท้ของพระเจ้า
ได้รับสันติสุขและพระเมตตาของพระเจ้า
ถอดความจากกาลาเทีย 6:16

กาลาเทีย 3:29; ฟีลิปปี 3:3; โรม 9:6-8

กฎดังกล่าวคือ กฎแห่งชีวิตคริสเตียนที่ขึ้นอยู่กับพระคำของพระเจ้า เป็นกฎหรือบัญญัติแห่งความรัก ที่บอกว่า จงรักพระเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้าและรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
ท่านเปาโลจบด้วยการขอให้สันติสุขและพระเมตตาของพระเจ้าอยู่กับพี่น้องผู้เชื่อ และเราทุกคนอยากได้พรแบบนี้เช่นกัน พรแห่งสันติสุขเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมในชีวิต เพราะชีวิตที่วุ่นวายนั้นเหนื่อยที่สุด

จากนี้ไป อย่าให้ใครทำให้ข้าต้องยุ่งยากเลย เพราะข้ามีรอยประทับตราว่าเป็นของพระเยซูเจ้าในร่างของข้าแล้ว
ขอให้พระคุณแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา อยู่กับวิญญาณจิตของพี่น้องทั้งหลายเถิด อาเมน
กาลาเทีย 6:17-18

2 โครินธ์ 1:5, 4:10; โคโลสี 1:24; กาลาเทีย 5:11-12; 2 ทิโมธี 4:22; โรม 16:20; ฟิเลโมน 1:25

เมื่ออ่านพระคำข้อนี้ หลายคนก็สงสัยว่า รอยประทับตราของท่านเปาโลนั้นคืออะไร เราต้องย้อนกลับไปดูวีรกรรมทั้งหลายของท่านเปาโลในหนังสือกิจการ จะเห็นว่า ท่านถูกจำคุก ถูกโบย เหล่านั้นทำให้เกิดรอยแผลเป็นในร่างของท่าน ไม่ใช่รอยประทับใด ๆ อย่างอื่นที่บางคนคิดว่าเป็นเหมือนรอยสักอะไรทำนองนั้นที่ว่าอย่าให้ต้องยุ่งยากคือ ท่านขอร้องคริสเตียนว่า
อย่าหลงกลครูสอนผิดอีกต่อไป



กาลาเทีย 4 สิ่งตรงข้าม ทาส-ไท บัญญัติ-พระคุณ

เราเป็นผู้รับมรดก

ข้าหมายความว่า แม้ผู้รับมรดกจะเป็นเจ้าของทุกสิ่ง แต่ตราบใดที่เขายังเป็นเด็ก ก็ไม่ต่างอะไรกับเป็นทาส เขาอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ปกครอง และผู้จัดการทรัพย์สิน จนกว่าจะถึงวันที่บิดาของเขากำหนดให้เขาได้รับมรดกนั้น
กาลาเทีย 4:1-2

กาลาเทีย 4:23; 2 พงศ์กษัตริย์ 11:12; 10:1-2;

ท่านเปาโลเปรียบเทียบคนของพระเจ้าก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมา กับหลังจากที่พระองค์มาบังเกิดในโลกแล้ว อีกที โดยในบทที่ 3:23-29. ท่านก็ทำให้เห็นความแตกต่างของการตกเป็นทาสของบัญญัติและการมีอิสระในพระคริสต์ ตอนนี้ท่านกล่าวว่า หากยังไม่ถึงเวลา ผู้รับมรดกคนหนึ่งก็เปรียบได้กับลูกที่ยังอายุไม่ถึง เขาก็เหมือนทาสคนหนึ่ง ที่ยังไม่มีอะไรเป็นของตนเอง

เมื่อถึงเวลาที่ได้รับมรดก เขาก็จะเป็นอิสระจากผู้ดูแลทั้งสองและมีความรับผิดชอบในสิ่งที่เขาได้รับในพระคริสต์

เราก็เช่นเดียวกัน
ในเมื่อเรายังเป็นเด็ก
เราตกอยู่ใต้อำนาจ
ของหลักการพื้นฐานของโล

กาลาเทีย 4:3

โคโลสี 2:8; 2:20; กาลาเทีย 4:9, 2:4, 4:31-5:1; กิจการ15:10

หลักการพื้นฐานของโลกที่เราอยู่ใต้อำนาจคือหลักการทั่วไปที่เชื่อกันอยู่ อย่างเช่น กฎบัญญัติทางศาสนา ศีลต่าง ๆ ที่มนุษย์พยายามปฏิบัติโดยเชื่อว่าจะทำให้เป็นคนดี พ้นทุกข์ ถ้าเป็นสมัยนี้ ก็น่าจะรวมไปถึงคำคมทั้งหลายที่มนุษย์ยึดมั่นเพื่อว่าชีวิตจะดีขึ้น บางอย่างก็ไม่น่าจะเป็นอันตราย แต่มีหลักการพื้นฐานที่ขัดกับพระประสงค์ของพระเจ้าชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักการที่เราต้องพึ่งตนเอง เพื่อจะได้รับชีวิต
เพราะความจริงคือพระองค์เท่านั้นที่ทรงช่วยให้เรารับชีวิตแท้ได้

ผู้รับมรดกเป็นอิสระ

แต่เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง พระเจ้าทรงส่งพระบุตรลงมา ให้บังเกิดจากมารดาที่เป็นมนุษย์ เกิดใต้บัญญัติเพื่อไถ่คนที่อยู่ใต้บัญญัติ เพื่อว่าเราจะรับสิทธิเป็นบุตรพระเจ้าอย่างสมบูรณ์
กาลาเทีย 4:4-5

อิสยาห์ 7:14; มาระโก 1:15; 1 ยอห์น 4:14; มัทธิว 1:23 ; ฮีบรู 9:15; 1 เปโตร 1:18-20; เอเฟซัส 1:5

เวลาที่พระเยซูมาบังเกิดนั้น เหมาะสมกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ที่ว่ามารดาเป็นมนุษย์ มีความหมายชัดเจนว่า บิดาไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นพระบิดา พระบุตรพระเจ้าได้ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงสิทธิ์ทุกประการที่จะไถ่บาปของมนุษย์ได้ ยิ่งกว่านั้น เมื่อเราได้รับการไถ่บาปจากพระองค์แล้ว ทรงเพิ่มฐานะให้เราเป็นบุตรของพระเจ้าไม่เหมือนคนที่ไม่เชื่อ แม้ว่าคนเหล่านั้นเป็นของพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงสร้างเขามา แต่พวกเขาไม่ได้เป็นบุตรที่ได้รับการไถ่จากพระเยซู!

เราเป็นลูกของพระเจ้า

เพราะท่านเป็นลูกของพระเจ้า พระองค์ทรงได้ส่งพระวิญญาณของพระบุตร เข้ามาในใจของเราเพื่อเรียกว่า
“อับบา พระบิดาที่รัก” ดังนั้นท่านจึงไม่เป็นทาสต่อไปแต่เป็นบุตร และหากท่านเป็นบุตรท่านก็เป็นผู้รับมรดกผ่านพระคริสต์
กาลาเทีย 4:6-7

โรม 8:15-17, 5:5; ฟีลิปปี 1:19; เอเฟซัส 2:18; กาลาเทีย 3:29-4:2; 1 โครินธ์ 3:21-23; โรม 8:16-17

คำว่าอับบา เป็นภาษาอาราเมคที่เด็ก ๆ ใช้เรียกพ่อ สุดยอดแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิต จากคนที่ละเมิดพระเจ้ากลับได้รับการอภัยบาป ยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงส่งพระวิญญาณเข้ามาในใจ เพื่อให้เราได้สนิทสนมกับพระองค์ ยังไม่พอ พระเจ้าทรงให้เราได้เป็นผู้รับมรดกฝ่ายวิญญาณทุกประการที่ทรงเตรียมไว้ในพระคริสต์ นี่คือพระคุณซ้อนพระคุณหลายต่อ

เลือกว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร

ก่อนนี้ ตอนที่ท่านยังไม่รู้จักพระเจ้า ท่านเป็นทาสของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่พระเจ้า แต่บัดนี้ท่านได้รู้จักพระเจ้าแล้ว พูดอีกอย่างคือ พระเจ้าทรงรู้จักท่าน แล้วท่านจะกลับไปยังอำนาจที่อ่อนแอ ไร้ค่าทำไม? ท่านต้องการกลับเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นอีกครั้งหรือ?
กาลาเทีย 4:8-9

1 เธสะโลนิกา 4:5; 1 โครินธ์ 8:3-4; 2 เธสะโลนิกา 1:8; เอเฟซัส 2:11-12; กาลาเทีย 3:3; โรม 8:3

สิ่งที่ทำให้ท่านเปาโลประหลาดใจนักคือ
เหมือนกับว่า ได้เป็นเจ้าชายแล้วทำไมยังอยากกลับไปเป็นทาสอีก ในสุภาษิตไทยก็คือเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นสิ่งที่ไร้ค่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า และก็ติดตามมันไป
ทุกวันนี้ เราเห็นตำตากันว่า คนจำนวนมากพร้อมที่จะติดตามสิ่งที่ให้โทษกับชีวิตของตนเองและสื่อต่าง ๆ ก็ชวนให้คนทำตามวิถีแบบนั้น เราจะช่วยอะไรใครไม่ได้เลย ถ้าเรายังอยู่เฉยในโซนสบายของชีวิตเรา

ท่านคอยถือ
วัน เดือน ฤดู และปี
ข้าเกรงว่า แรงที่ข้าได้ทำไปเพื่อท่านนั้น จะเป็นการไร้ประโยชน์
กาลาเทีย 4:10-11

โคโลสี 2:16-17; โรม 14:5; เลวีนิติ 23:1-44; 1 เธสะโลนิกา 3:5; กาลาเทีย 2:2; 2 ยอห์น 1:8

ในสังคมยิวสมัยก่อนของท่านเปาโล
ท่านพบว่า คนในศาสนายิว สนใจที่จะทำพิธีต่าง ๆตามเทศกาล ตามกฎที่วางไว้ แทนที่จะใส่ใจทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า พิธีกรรมต่าง ๆ ดูเหมือนศักดิ์สิทธิ์ทำให้เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ นึกว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าจะพอพระทัย
แต่..เรากลับเข้าใจผิด!
โลกทุกวันนี้ ก็ตามสิ่งไร้ค่าเช่นกัน เราควรถามตัวเองว่า มีอะไรที่ไร้ค่าแล้วเรายังตั้งใจติดตามมันอยู่ แล้วกลับลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป

ระลึกถึงครั้งแรกที่พบกัน

พี่น้องทั้งหลาย ข้าขอร้องว่า
ขอให้ท่านเป็นเหมือนอย่างข้า เพราะข้าได้เป็นเหมือนท่าน ท่านเองไม่ได้ทำผิดอะไรต่อข้าเป็นส่วนตัว ท่านรู้อยู่แล้วว่า ตอนที่ข้าประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่าน เป็นช่วงที่ข้าเจ็บป่วย
กาลาเทีย 4:12-13

2 โครินธ์ 2:5; 1 พงศ์กษัตริย์ 22:4; ปฐมกาล 34:15; 1 โครินธ์ 2:3; 2 โครินธ์ 12:7-10

ท่านเปาโลขอร้องให้ชาวกาลาเทียเลียนแบบชีวิตของท่านเพื่อว่าพวกเขาจะได้ไม่ถูกหลอกไปตามคนที่พึ่งในกฎศาสนายิว แต่ไม่พึ่งพระคุณพระเจ้า ท่านเคยเป็นคนที่หลงคิดว่าตนเป็นคนดี เคร่งครัดแต่มาบัดนี้ ท่านรู้ตัวว่า ชีวิตของท่านขึ้นอยู่กับพระเมตตาของพระเจ้าไม่ใช่ความดีของตนเองตอนที่ท่านไปประกาศในกาลาเทียนั้น ชาวกาลาเทียดีต่อท่าน ไม่เหมือนพวกยิวที่คอยขัดขวางและทำร้าย
(กิจการ13:13-14) และตอนนั้นเองเปาโลก็ป่วยด้วย (เราไม่ทราบว่าท่านป่วยด้วยโรคอะไร)

แต่ถึงแม้ว่าป่วยขนาดนั้นซึ่งดูเป็นการทดลองใจท่าน ท่านก็ไม่ได้ดูหมิ่นหรือปฏิเสธข้าเลย ท่านกลับต้อนรับข้าราวกับเป็นทูตสวรรค์จากพระเจ้า ราวกับข้าเป็นพระเยซูคริสต์เสียด้วยซ้ำ!
กาลาเทีย 4:14

มัทธิว 10:40; 1 เธสะโลนิกา 2:13; 2 โครินธ์ 5:20

ท่านเปาโลยังจำได้ว่า ขนาดที่ป่วยหนักพอควรแล้วประกาศพระนามพระเจ้า ชาวกาลาเทียก็ไม่ได้คิดมาก ไม่ดูหมิ่นผู้รับใช้ของพระเจ้า
พวกเขาได้ต้อนรับท่านเปาโลดีมาก ๆ ท่านรู้สึกว่าพวกเขาปฏิบัติต่อท่านราวกับท่านเป็นองค์พระเยซูเอง … การทำเช่นนั้นของชาวกาลาเทียทำให้เห็นว่า พวกเขามีน้ำใจต้อนรับแขกและเป็นคนดีอยู่แล้ว และบางครั้งคนดีเหล่านี้ก็อาจเป็นคนเชื่อคนอื่นง่ายเหมือนกัน ทำให้พวกเขาหลงกลยิวที่สอนผิด

แล้วตอนนี้ความยินดีแบบนั้นหายไปไหน? เพราะข้าเป็นพยานได้เลยว่าหากเป็นไปได้ ท่านก็คงควักดวงตาของ
ท่านมอบให้ข้า แล้วทำไมตอนนี้ข้าจึงกลายเป็นศัตรูของท่านเพียงเพราะข้ายังคงบอกความจริงแก่ท่าน?
กาลาเทีย 4:15-16

1 ยอห์น 3:16-18; 1 เธสะโลนิกา 5:13, 2:8; โคโลสี 4:13; อาโมส 5:10; สุภาษิต 9:8


ใช่แล้ว ชาวกาลาเทียเป็นคนเชื่อคนง่าย
เขาเคยมีความสุขกับท่านเปาโล แต่มาบัดนี้กลับหลงเชื่อครูยิวที่สอนผิด และพวกนี้ไม่ใช่แค่สอนผิดเท่านั้น แต่ได้ใส่ร้ายท่านเปาโลด้วย
คนกาลาเทียกับคนในสมัยปัจจุบัน ก็ไม่ได้ต่างกันมากนักคือ ไม่ค่อยคิดอะไรเอง แต่เมื่อมีข่าวอะไรที่น่าตื่นเต้น ก็จะเชื่อไปตามนั้นโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง มีคนกล่าวว่าคนเรามักเชื่อด้วยอารมณ์ไม่ใช่ด้วยเหตุผล การโฆษณาชวนเชื่อด้วยวิธีต่าง ๆ จึงได้ผลเสมอ

ระวังคนหวังผลประโยชน์

ข้ารู้ว่าคนเหล่านี้พยายามเอาชนะใจท่าน แต่ก็เป็นเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง เขาต้องการให้ท่านแยกจากข้า ความกระตือรือร้นนั้นดี ถ้าเป้าหมายดี แต่ควรเป็นอย่างนั้นทุกเวลา ไม่ใช่เฉพาะตอนที่ข้าอยู่กับพวกท่านเท่านั้น
กาลาเทีย 4:17-18

2 เปโตร 2:3; 2 โครินธ์ 11:13-15; โรม 16:18; วิวรณ์ 3:19; ฟีลิปปี 2:12; ทิตัส 2:14

คนยิวที่เคร่งศาสนายิว พยายามเอาคริสเตียนชาวกาลาเทียไปเป็นพวกด้วยการเอาใจทุกวิถีทาง
พวกเขาหลงไปง่าย เพราะชาวกาลาเทียยังไม่เข้าใจและอาจจะไม่เห็นความแตกต่างของความเชื่อคริสเตียนและความเชื่อศาสนายิว พวกเขาอาจเห็นความกระตือรือร้นของยิว ก็เลยคิดว่า ดีกว่า เที่ยงธรรมกว่า เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าจึงจำเป็นที่เราจะต้องเข้าใจหลักการพื้นฐานของความเชื่อให้กระจ่างและมั่นคง

ลูก ๆ ของข้าเอ๋ย ข้ากำลังต้องผ่านความเจ็บปวดราวกับหญิงคลอดบุตร จนกว่าพระคริสต์จะได้ก่อองค์ขึ้นในตัวท่าน ข้าปรารถนาที่จะอยู่กับพวกท่านในเวลานี้เลย และเปลี่ยนน้ำเสียงของข้า เพราะข้าสับสนกับพวกท่านนัก
กาลาเทีย 4:19-20

เอเฟซัส 4:13; โรม 8:29, 13:14; โคโลสี 4:12; 1 เธสะโลนิกา 2:17-18, 3:9

ตอนนี้เองท่านเปาโลกำลังบอกว่า ท่านรักพี่น้องเหล่านี้เหมือนลูก ๆ ท่านแสดงให้เห็นว่า จิตใจปวดร้าวเพียงใดที่ชาวกาลาเทียเข้าใจผิด หลงผิดไปจากทางแห่งพระคุณของพระเจ้า
เมื่อเราได้นำคนหนึ่งมาหาพระเจ้า ไม่ใช่ว่าหนทางจะราบรื่นไปเสียหมด เพราะมีปัจจัยอื่นแทรกเข้ามาได้ตลอดเวลา เราจึงต้องเจ็บปวด อธิษฐานกับพระเจ้า และดูแล จนกว่าจะได้เห็นพระคริสต์ในแต่ละชีวิต

ระบบของโลกกับระบบของพระคุณ

ขอบอกข้ามา ท่านที่ต้องการอยู่ใต้บทบัญญัติ ท่านไม่เข้าใจบทบัญญัติหรือ?เพราะมีคำเขียนว่า อับราฮัมมีลูกชายสองคน คนหนึ่งจากหญิงเป็นทาสและอีกคนจากหญิงที่เป็นไท
กาลาเทีย 4:21-22

กาลาเทีย 3:10; 3:23-24;โรม 10:3-10; 7:5-6; ปฐมกาล 16:15; 21:10

และแล้วท่านเปาโลก็เริ่มอธิบายคำเปรียบเทียบที่คนไทยอย่างเราจะเข้าใจยาก เริ่มจากมีการเปรียบเทียบระหว่างสองอย่างคือลูกชายจากแม่ที่เป็นหญิงทาส กับลูกชายของแม่
ที่เป็นหญิงไท ทั้งสองมีความหมายถึงบทบัญญัติกับพระสัญญา ท่านกำลังต้องการสื่อว่าพี่น้องกาลาเทียจะเลือกอะไรระหว่าง การที่จะต้องทำตามบัญญัติ หรือการเป็นอิสระในพระคริสต์

ลูกที่เกิดจากหญิงทาสนั้นเกิดตามธรรมชาติมนุษย์ ในขณะที่ลูกชายจากหญิงที่เป็นไทเกิดขึ้นมาตามพระสัญญาของพระเจ้า
กาลาเทีย 4:23

ฮีบรู 11:11; โรม 9:7-8; ปฐมกาล 21:1-2; 18:10-14

ลูกชายของอับราฮัมคนแรก เกิดจากสาวใช้ของภรรยาอับราฮัมชื่อนางฮาการ์ เธอเป็นหญิงสาวที่พร้อมจะตั้งครรภ์ ลูกที่เกิดมาคืออิชมาเอลได้เกิดตามธรรมชาติมนุษย์
ส่วนลูกชายคนที่สองคืออิสอัค เกิดจากซาราห์ ภรรยาที่มีอายุมากเกินกว่าที่จะมีบุตร และในเวลาที่อับราฮัมก็มีอายุมากด้วย เขาเกิดมาได้เพราะอับราฮัมเชื่อในพระดำรัสของพระเจ้าว่าจะให้เขามีลูก นี่เป็นความแตกต่างของศาสนายิวที่พึ่งบัญญัติ กับคริสเตียนที่พึ่งพระเยซู


นี่เป็นการเปรียบเทียบ หญิงสองคนเปรียบได้กับพันธสัญญาสองอย่าง คนหนึ่งมาจากภูเขาซีนาย เกิดลูกเป็นทาส นั่นคือฮาการ์ ฮาการ์หมายถึงภูเขาซีนายในอาระเบีย เธอสอดคล้องกับเยรูซาเล็มปัจจุบัน เพราะเธอเป็นทาสพร้อมกับลูก ๆ ของเธอ แต่เยรูซาเล็มเบื้องบนนั้นเป็นไท และเธอเป็นแม่ของเรากาลาเทีย 4:24-26

กาลาเทีย 4:25; 1 โครินธ์ 10:11; ,มัทธิว 13:35; ฮีบรู 12:18, 22; กาลาเทีย 1:17; ฟีลิปปี 3:20

พันธสัญญาที่ภูเขาซีนายกับฮาการ์ก็เหมือนกัน คือทำให้ผู้ที่เชื่อต่อมา หรือลูกหลานกลายเป็นทาสบัญญัติ ซึ่งก็เหมือนกับเยรูซาเล็มที่เป็นศูนย์กลางของศาสนายิวเป็นที่ ๆ คนยิวพยายามทำตามบัญญัติเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย
เปรียบเทียบเช่นนี้ เพราะท่านเปาโลต้องการเน้นให้เห็นถึงชีวิตทาสบัญญัติ ก้บชีวิตที่เป็นอิสระภายใต้พระคุณของพระคริสต์

เพราะมีคำเขียนว่า “จงยินดีเถิด หญิงที่เป็นหมัน ผู้ไม่เคยมีบุตร จงตะโกน ร้องเสียงดังเถิดผู้ที่ไม่เคยต้องเจ็บปวดกับการคลอดบุตร เพราะลูกหลานของหญิงที่ถูกทอดทิ้งก็มีมากกว่าลูกหลานของหญิงที่มีสามี
กาลาเทีย 4:27

อิสยาห์ 4:27; สดุดี 113:9; 1 ซามูเอล 2:5

ท่านเปาโลกำลังอ้างอิสยาห์ 54:1 ข้อความตอนนี้กล่าวถึงการที่พระเจ้าทรงรื้อฟื้นอิสราเอลจากการเป็นเชลย จากการพิพากษาของพระเจ้าเป็นคำพยากรณ์ที่บอกว่า จำนวนของคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์นั้นจะมีมากกว่าคนยิวที่ยึดบทบัญญัตินั่นก็คือ คนที่จะเป็นลูกหลานของพระสัญญาจะมีจำนวนเกินหน้าเกินตาของคนยิว และในวันนี้ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทั้งโลกเต็มด้วยคนที่เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์

แต่ท่านพี่น้องทั้งหลายเป็นลูกหลานของพระสัญญาเหมือนกับอิสอัคเวลานั้น คนที่เกิดมาตามธรรมชาติคอยข่มเหงคนที่เกิดด้วยวิญญาณและบัดนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น!
กาลาเทีย 4:28-29

กาลาเทีย 4:23, 3:29; โรม 9:8-9; ปฐมกาล 21:9; กาลาเทีย 5:11; โรม 8:13

ที่ว่าคนเกิดตามธรรมชาติคอยข่มเหงคนที่เกิดด้วยวิญญาณหมายความว่าอย่างไรหรือ?
เราพบว่าคนยิวซึ่งถือบทบัญญัติอย่างเคร่งครัดก็มีความพยายามอย่างมากที่จะให้ผู้ที่เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า ตกหลุมเดียวกับพวกเขาคือกลายเป็นคนที่ถือบัญญัติ คิดว่าต้องทำความดีเพื่อที่จะโอเคกับพระเจ้า ในโลกปัจจุบันมีคนที่บอกว่าเชื่อพระเยซูคริสต์ แต่ก็ยังถือว่าไม้กางเขนของพระเยซูไม่เพียงพอ

แต่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าอย่างไร? “จงโยนหญิงทาสและลูกชายของเธอออกไป เพราะลูกของหญิงทาสจะไม่ได้รับส่วนมรดกกับลูกชายของหญิงที่เป็นไท”
ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราจึงไม่ได้เป็นลูกหลานของหญิงที่เป็นทาส แต่เป็นลูกหลานของหญิงที่เป็นไท
กาลาเทีย 4:30-31

ปฐมกาล 21:10-12; ยอห์น 8:35-36; โรม 8:15-17; กาลาเทีย 5:13; ยอห์น 1:12-13

ความหมายก็คือ เราต้องโยนทิ้งความเชื่อที่ว่า“ตนเองต้องทำตามบัญญัติจึงจะรอด” ออกไปให้พ้น เพราะความเชื่อในพระคุณ กับความเชื่อในการทำตามบทบัญญัตินั้นไปด้วยกันไม่ได้
ยังมีคนที่เชื่อพระเยซูอีกเป็นจำนวนมากที่
เข้าใจผิดในเรื่องนี้ ความหมายของท่านเปาโลมิได้บอกว่าเราต้องไม่ทำความดี แต่ท่านกำลังบอกซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า การทำความดี ไม่อาจทำให้คนๆ หนึ่งรอด แต่เมื่อรอดแล้ว เราต้องทำสิ่งดีตามที่พระเจ้าทรงบัญชา ยากอบ 1:25

สดุดี 109 ขอพระเจ้าทรงตอบสนองคนชั่วร้าย

ถึงหัวหน้านักร้อง บทสดุดีของดาวิด

กษัตริย์ดาวิดคร่ำครวญถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
1 ข้าแต่องค์พระเจ้าผู้ที่ข้าสรรเสริญ ขออย่าทรงเฉยอยู่
2 เพราะคนชั่ว และคนที่หลอกลวงกำลังอ้าปากใส่ร้ายข้า
พวกเขาปรักปรำข้าด้วยคำโกหก
3 พวกเขารุมข้าด้วยคำแห่งความเกลียดชัง
โจมตีข้าพระองค์โดยไร้เหตุ
4 เขากล่าวหาข้า ทั้ง ๆ ที่ข้ามีใจเป็นมิตร
ข้ายังอธิษฐานเผื่อพวกเขา
5พวกเขาใช้ความชั่วตอบแทนความดีของข้า
และใช้ความเกลียดชังตอบแทนความรักของข้า

กษัตริย์ดาวิดร้องทูลขอทรงจัดการศัตรู
6 พวกเขากล่าวว่า “ขอตั้งคนชั่วมาปรักปรำเขา
และให้ศัตรูยืนอยู่ขวามือของเขา”
7 เมื่อถูกสอบสวน ขอให้เขาถูกตัดสินว่า
เป็นผู้ผิด และให้คำอธิษฐานของเขาถือว่าเป็นบาป
8ขอให้เขาอายุสั้นลง ให้ผู้อื่นมายึดตำแหน่งผู้นำของเขาไป
9 ขอให้ลูก ๆ ของเขากำพร้าพ่อ และภรรยาของเขาเป็นม่าย
10 ขอให้ลูกหลานของเขาต้องเร่ร่อนไป
ขอทานไป ขอให้พวกเขาถูกไล่ออกจากที่อยู่ซึ่งเป็นที่ร้างปรักหักพัง
11 ขอให้เจ้าหนี้ยึดทุกอย่างที่เขามีอยู่
ขอให้คนต่างถิ่นเข้ามาปล้นผลจากแรงงานของเขา
12 ขออย่าให้ใครเมตตาเขา อย่าให้ใครสงสารลูกกำพร้าของเขา
13 ขอให้ผู้ที่สืบเชื้อสายของเขาพินาศไป
ให้ชื่อของพวกเขาถูกลบออกไปในคนรุ่นต่อมา
14 ขอพระยาห์เวห์ยังทรงจำความชั่วของบรรพบรุษของพวกเขา
และอย่าทรงลบบาปของมารดาของเขา
15 ขอให้บาปเหล่านั้น อยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์เสมอ
เพื่อพระองค์จะทรงลบความทรงจำเรื่องของพวกเขา
ออกจากแผ่นดินโลก
16 เพราะเขาไม่เคยคิดที่จะกรุณาใครเลย
เอาแต่ข่มเหงคนยากจนและคนขัดสน และคนจึงท้อใจจนตาย
17 เขารักที่จะแช่งผู้อื่น จึงขอให้คำแช่งตกอยู่เหนือเขา
เขาไม่เต็มใจที่จะให้พร ก็ขอให้พรห่างไกลจากเขา
18 เขาสวมการแช่งสาปราวกับสวมเสื้อผ้า
ขอให้มันซึมซับเข้าไปในร่างกายของเขาเหมือนน้ำ
ซึมเข้าไปในกระดูกของเขาเหมือนน้ำมัน
19ขอให้การแช่งนั้นเป็นดั่งเสื้อผ้าคลุมตัวของเขา
รัดแน่นดั่งเข็มขัดที่เขาคาดไว้เสมอ
20 ขอพระยาห์เวห์ทรงตอบแทนลงโทษเหล่าคนที่กล่าวหาข้า
คนที่กล่าวร้ายต่อข้า


ความเจ็บปวดใจของกษัตริย์ดาวิด
21โอ พระยาห์เวห์ องค์เจ้านายของข้า ขอทรงดีต่อข้า
เพื่อพระนามของพระองค์ ขอทรงช่วยกู้ข้าให้รอด
เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดียิ่งนัก

22 เพราะข้ายากจน ขัดสนยิ่ง
จิตใจของข้าก็เป็นแผลบาดเจ็บภายใน
23ข้าจากไปราวกับเงาในเวลาเย็น
ข้าถูกสลัดทิ้งออกไปดั่งตั๊กแตน
24 เข่าของข้าอ่อนล้าเพราะอดอาหาร
ร่างกายของข้าซูบลงหนังติดกระดูก
25 ข้ากลายเป็นที่เยาะเย้ย เป็นขี้ปากของพวกเขา
เมื่อพวกเขาเห็นข้า ก็ส่ายหน้ากัน

กษัตริย์ดาวิดขอพระเจ้าทรงช่วย
26 โอ พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้า ขอทรงช่วยข้า
ขอทรงช่วยข้าให้รอดตามความรักมั่นคงของพระองค์

27 ขอให้พวกเขารู้ว่า นี่เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์
ให้รู้ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ทำการนี้เอง
28 แม้ว่าพวกเขาสาปแช่ง แต่พระองค์ก็ทรงอวยพร
ขอให้พวกที่เข้ามาโจมตีข้า ต้องอับอายขายหน้าไป
ขอให้ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ชื่นชมยินดี
29 ขอให้คนที่กล่าวหาข้านั้น รับความอัปยศ
และคลุมตัวด้วยความอับอายขายหน้า

กษัตริย์ดาวิดสรรเสริญพระเจ้า
30 ปากของข้าจะขอบพระคุณพระยาห์เวห์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ข้าจะสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางคนมากมาย

31เพราะพระองค์ประทับที่ขวามือของคนที่ขัดสน
เพื่อช่วยชีวิตเขา ให้พ้นจากผู้ที่กล่าวโทษเขานั้น

ข้อพระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 83:1, 28:1; เฉลยธรรมบัญญัติ 10:21; เยเรมีย์ 17:14

2* สดุดี 52:4; สุภาษิต 6:17; เยเรมีย์ 9:5; กิจการ 6:13

3* สดุดี 69:4,35:7, 88:17; ยอห์น 15:24-25; โฮเชยา 11:12

4* สดุดี 69:12-13, 55:16-17, 38:20; 2 โครินธ์ 12:15

5* สุภาษิต 17:13; สดุดี 55:12-15, 38:20; ยอห์น 13:18

6* เศคาริยาห์ 3:1; มัทธิว 5:25; ยอห์น 13:2

7* สุภาษิต 28:9; 21:27, 15:8; กาลาเทีย 3:10

8* สดุดี 55:23, กิจการ 1:16-26

9* อพยพ 22:24; เยเรมีย์ 18:21

10* สดุดี 37:25; ปฐมกาล 4:12-14; อิสยาห์ 16:2; โยบ 30:3-9

11*โยบ 5:5, 20:18, 18:9-19; ผู้วินิจฉัย 6:3-6

12* ยากอบ 2:13; ลูกา 11:50-51

13* สุภาษิต 10:7; สดุดี 37:28; โยบ 18:19

14* เยเรมีย์ 18:23; เนหะมีย์ 4:5; อพยพ 20:5

15* สดุดี 34:16, 90:8; โยบ 18:17; อาโมส 8:7

16* สดุดี 34:18; ยากอบ 2:13; มาระโก 14:24-36

17* มัทธิว 7:2; สุภาษิต 14:14; 2 เธสะโลนิกา 2:10-11; เอเสเคียล 35:6

18* สดุดี 73:6; กันดารวิถี 5:22; 1 เปโตร 5:5; โคโลสี 3:12

19* สดุดี 109:29; 132:18; 109:18

20* 2 ทิโมธี 4:14; 1 เธสะโลนิกา 2:15-16; 1 โครินธ์ 12:3

21* สดุดี 69:16; 31:3, 79:9-10

22*สดุดี 86:1; 40:17; 2 โครินธ์ 8:9; ยอห์น 12:27

23* อพยพ 10:19; ยากอบ 4:14; ปัญญาจารย์ 8:13, 6:12

24*ฮีบรู 12:12, 2 โครินธ์ 11:27; มัทธิว 4:2

25* สดุดี 22:6-7, 69:19-20 ; โรม 15:3;
มัทธิว 27:39

26* สดุดี 119:86, 69:16, 57:1; ฮีบรู 5:7

27* โยบ 37:7 1 พงศ์กษัตริย์ 18:36-37 ; อพยพ 8:19

28* กันดารวิถี 23:20; ฮีบรู 12:2; ยอห์น 16:22; อิสยาห์ 65:13-16

29* สดุดี 35:26, 132:18; โยบ 8:22; มีคาห์ 7:10

30*สดุดี 111:1; 35:18; ฮีบรู 2:12

31* สดุดี 16:8; 121:5; 73:23; กิจการ 5:30-31

เราไม่ทราบว่าใครโจมตีกษัตริย์ดาวิดในช่วงนี้ แต่จากการอ่านเราพบว่า เป็นการใส่ร้าย พูดคำมุสาใส่ท่าน และท่านเองก็ทูลขอพระเจ้าให้ตอบแทนพวกเขาให้สาสมเสียด้วย
นี่คือตัวจริงของกษัตริย์ดาวิด นักรบที่เก่งกล้า ศัตรูของท่านเหมือนรู้ว่า วิธีที่จะจัดการกับท่านได้คือ การใส่ร้าย และเป็นวิธีเดียวกันกับที่มนุษย์ยุคปัจจุบันลงมือทำ
อ่านพระคำบทนี้ แล้วเราอาจจะรู้สึกกระอักกระอ่วนว่า นี่หมายความว่าอย่างไร ทำไมคนของพระเจ้าจึงขอให้พระเจ้าทำลายศัตรูอย่างถอนรากถอนโคนอย่างนี้ เอ เราควรทำอย่างที่พระเยซูทรงสอนนี่นา จงรักศัตรู และอวยพรแก่ผู้ที่แช่งดาท่าน

แต่หากเราอ่านไปและพิจารณาดูให้ดี พระคำบทนี้ มีความเกี่ยวข้องกับพระเยซูมาก
ข้อ 25 ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ใน มัทธิว 27:39 ที่ว่า ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างส่ายหน้า พูดสบประมาทพระองค์
ในข้อที่ 8 ให้คนมายึดตำแหน่งของเขาไป เป็นการกล่าวล่วงหน้าถึงยูดาส อิสคาริโอท (กิจการ 1:16-26)
และถ้าเราอ่านพระคำบทนี้ จากข้อ 6-20โดยนึกถึงโลกฝ่ายวิญญาณ ศัตรูของพระคริสต์ ที่พยายามใส่ร้ายพระองค์ ใช้มนุษย์มาพูดจาดูหมิ่นจาบจ้วงพระเจ้า
และถ้าเราเข้าใจว่า เราไม่ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับวิญญาณชั่วในสถานอากาศ อย่างที่พระเยซูทรงพบเจอ เราจะรู้ว่า นี่เป็นความยุติธรรมที่มารควรได้รับ ( 2 เธสะโลนิกา 2:8)

สดุดี 108 แด่พระเจ้าผู้ทรงให้เราชนะศัตรู

ภาพของคุณdimitrisvetsikas1969 จาก pixabay.com

บทเพลงสดุดีของกษัตริย์ดาวิด
1 ข้าแต่พระเจ้า จิตใจของข้าแน่วแน่
ข้าจะร้องเพลงและเล่นดนตรีอย่างสุดจิตสุดใจ
2 จงตื่นขึ้นเถิดพิณใหญ่ และพิณเขาคู่
ข้าจะปลุกอรุณรุ่ง
3 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าจะยกย่องพระองค์ท่ามกลางชนชาติต่าง ๆ
ข้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางประชาชาติทั้งปวง
4 เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ยิ่งใหญ่
สูงเหนือฟ้าสวรรค์ ความซื่อตรงของพระองค์ สูงเทียมเมฆ
5 โอพระเจ้า ขอทรงเป็นที่ยกย่องเหนือฟ้าสวรรค์
ขอพระสิริของพระองค์แผ่ออกไปทั้งแผ่นดินโลก
6 ขอทรงให้เราได้รับชัยชนะด้วยพระหัตถ์ขวา
เพื่อให้ผู้ที่พระองค์ทรงรัก จะได้รับการช่วยให้รอด

7 พระเจ้าตรัสจากสถานนมัสการของพระองค์ว่า
“ด้วยชัยชนะ เราจะแบ่งเชเคม และแบ่งหุบเขาเมืองสุคคท
8 กิเลอาดเป็นของเรา มนัสเสห์เป็นของเรา เอฟราอิมเป็นหมวกป้องกันศีรษะของเรา ยูดาเป็นคทาของเรา
9โมอับเป็นอ่างชำระของเรา เราเหวี่ยงรองเท้าของเราลงบนเอโดม เราโห่ร้องด้วยความมีชัยเหนือฟีลิสเตีย
10 ใครจะพาข้าไปยังเมืองป้อม?ใครจะนำข้าไปยังเอโดม?
11 โอ พระเจ้า พระองค์ไม่ทรงยอมรับพวกเรา
และไม่เสด็จออกไปพร้อมกับกองทัพของเราแล้วหรือ?
12 ขอทรงช่วยเราทั้งหลายเพื่อต่อต้านศัตรูเพราะความช่วยเหลือของคนนั้นก็ไร้ค่า
13 โดยพระเจ้า เราจึงได้รับชัยชนะ
พระองค์ทรงเป็นผู้เหยียบศัตรูของเราลง

ข้อพระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 57:7-11, 145:21-146-2, 71;15, 104:33

2* สดุดี 103:22,81:2, 69:30, 57:8

3* สดุดี 22:22,27, 117:1; เศฟันยาห์ 3:14

4* สดุดี 36:5,103:11, 89:2; เอเฟซัส 2:4-7

5* สดุดี 57:5, 148:13; มัทธิว 6:9-10,13; อิสยาห์ 6:3

6* สดุดี 60:5-12; 2 พงศาวดาร 32:20-22; โคโลสี 3:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 33:12

7*2 เปโตร 1:3-4; 1 เปโตร. 1:8; 1:3; อาโมส 4:2

8* ปฐมกาล 49:10; สดุดี 122:5; 2 ซามูเอล 5:5

9* ยอห์น 13:14; 13:8; อิสยาห์ 14:29-32; สดุดี 60:8-10

10* โอบาดีย์ 1:3-4; เยเรมีย์ 49:7-16; อิสยาห์ 63:1-6

11*สดุดี 44:9; 2 พงศาวดาร 13:12; 20:15; 1 ซามูเอล 17:36, 29:1-11

12*เยเรมีย์ 17:5-8; เพลงคร่ำครวญ 4:17; อิสยาห์ 2:22, 30:3-5, 31:3

13* สดุดี 118:6-13; อิสยาห์ 63:3; สดุดี 18:42, 60:12

สดุดีบทนี้ เป็นสดุดีชวนให้วางใจพระเจ้าเพราะพระสัญญาของพระองค์ ข้อความนำมาจากสดุดีบทที่ 57:7-11 และ 60:5-12 คำว่า ข้าจะปลุกอรุณรุ่ง มีความหมายเปรียบว่า เมื่อความรอดของพระเจ้าเคลื่อนเข้ามาเหมือนรุ่งอรุณ ข้าก็จะสรรเสริญพระเจ้า
สดุดี108:1-6 กษัตริย์ดาวิดสรรเสริญพระเจ้าอย่างสูง เพราะความรักมั่นคงและความซื่อตรงของพระองค์ยิ่งใหญ่สูงส่งนัก พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้พระเจ้าทำให้พระองค์เองเป็นที่ยกย่องเหนือฟ้าสวรรค์ และช่วยท่านให้พ้นจากความทุกข์ต่าง ๆ ชัยชนะแท้จริงในชีวิตมาจากพระเจ้าเท่านั้น

สดุดี 108:7-13 ข้อ 7-9 ทำให้เราเห็นการที่พระเจ้าทรงปราบศัตรูให้ราบคาบ กษัตริย์ดาวิดทรงทราบดีว่า
การช่วยเหลือจากคนนั้น ไร้ค่าจริง ๆ แต่หากพระเจ้าทรงทำให้ พระองค์ก็จะทรงเป็นผู้ปราบศัตรูเอง
สูตรสำเร็จของท่านคือ เมื่อพระเจ้าปราบศัตรูแล้ว เป็นการปราบที่แน่นนอน ถาวร ไม่มีใครเปลี่ยนกลับคืนได้