กิจการ 23 แผนดักฆ่า

เปาโลในสภายิว

แผนดักฆ่า

อธิบายเพิ่มเติม 1

เปาโลในสภายิว
กิจการ 23:1-3
ตอนนี้เปาโลไม่ได้อยู่ต่อหน้าประชาชนทั่วไปแล้ว แต่อยู่ต่อหน้าสมาชิกสภายิว .. แน่นอน เขาพร้อมที่จะเป็นพยานเรื่องพระเยซูคริสต์ แต่แล้วอานาเนียปุโรหิตหลวงซึ่งเป็นคนที่โหดร้ายและสวามิภักดิ์ต่อโรม สั่งทำร้ายเปาโลทันที ที่เป็นอย่างนั้น เพราะคำที่เปาโลกล่าวว่า “ข้ารู้ในใจว่าทำอย่างถูกต้อง” แนวคิดของเปาโลแตกต่างจากพวกยิว สำหรับเขา ความจริงสำคัญสุด แต่สำหรับพวกยิว กฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นมาและอารมณ์ อำนาจทางการเมืองเป็นสิ่งสำคัญ
สภายิวนี้ เรียกว่า สภาแซนเฮอดริน เป็นสภาสูงของศาสนายูดาห์ มีสมาชิกเจ็ดสิบคนตามแบบของผู้ใหญ่ในสมัยโมเสสเจ็ดสิบคน
กิจการ 23:3-5
เมื่อถูกตบปาก เปาโลก็บอกไปตรง ๆ เลยว่า คนที่สั่งนั้นเป็นคนตัดสินเขาตามกฎก็จริง แต่กลับทำผิดกฎที่สั่งอย่างนั้น บอกชัดว่า พระเจ้าจะทรงตบเขากลับ… คำกล่าวตอบโต้ครั้งนี้ทำให้พวกเขายิ่งโกรธแต่เปาโลก็ตอบเหมือนประชดประชันว่า จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเป็นปุโรหิต (ในเมื่อมีพฤติกรรมเช่นนี้กับนักโทษ) แต่แล้วก็ยอมรับว่าไม่ควรพูดร้ายต่อผู้ปกครอง
ในบันทึกประวัติศาสตร์บอกว่า อานาเนียผู้นี้ถูกฆ่าตายตอนที่มีการก่อกบฎต่อต้านโรมในปีค.ศ. 60
กิจการ 23:6-7
แล้วเปาโลก็สังเกตเห็นว่า ในสภาสูงแห่งนี้แบ่งเป็นฟาริสีกับสะดูสี ฟาริสีเชื่อเรื่องการคืนชีพ ส่วนสะดูสีคิดตามพวกกรีก ไม่เชื่อในเรื่องวิญญาณแบบนี้ (ปุโรหิตที่สั่งตบปากก็เป็นพวกสะดูสีด้วย). คำพูดของเปาโลพลิกสถานการณ์ ทำให้คนในสภาแบ่งพรรคแบ่งพวกเป็นสองฝ่าย
กิจการ 23:8-9
พวกที่เป็นฟาริสีเห็นว่า เปาโลไม่ผิด ไม่มีเหตุผลใดที่จะฟ้องร้องเขา นับได้ว่าวิธีการแบ่งพวกของเปาโลได้ผลจริง ๆ ทำให้ยิวสองฝ่ายต้องถกเถียงกันในศาลเรื่องความเชื่อที่แตกต่าง เราพบว่า ในพระคัมภีร์ได้บันทึกเรื่องราวที่ฟาริสีอย่างนิโคเดมัสกลับใจ และในกิจการ 15:5 แต่ไม่ได้มีบันทึกว่ามีสะดูสีกลับใจ
กิจการ 23:10-11
แล้วความโกลาหลที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ต่างอะไรกับฝูงชน ทำให้ทหารโรมต้องสั่งเอาตัวออกไปจากสภา นี่เป็นการช่วยชีวิตเปาโลไว้อีกครั้ง เมื่อเขาอยู่คนเดียว พระเจ้าทรงมาหาและตรัสยืนยันว่า เขาจะต้องทำเช่นนี้ในโรมด้วย พระองค์ทรงบอกเปาโลเป็นขั้น เป็นตอนที่ละอย่างชัดเจน ทรงย้ำให้รู้ว่า พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างเสมอ เปาโลมักได้รับนิมิตจากพระเจ้าเมื่อเขาเผชิญความยากลำบาก หรือต้องการการตัดสินใจที่ถูกต้องตามพระดำริของพระเจ้า
แผนดักฆ่า
กิจการ 23:12-15
จากนั้นพวกยิวสี่สิบคนก็มารวมตัวกันเพื่อสมคบคิดปลิดชีวิตเปาโล มีการสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่กินไม่ดื่มจนกว่าแผนจะสำเร็จ
กิจการ 23:16-18
แต่หลานชายของเปาโลซึ่งอยู่แถวนั้นพอดี ได้ยินเรื่องราวเข้า ก็รีบเข้าไปแจ้งข่าวให้เปาโลทราบทันที เปาโลไม่ได้อยู่ในคุก แต่เพียงได้รับการปกป้องให้อยู่ในกองทหาร เปาโลไม่รอช้า ส่งหลานไปหานายพัน .. นี่เป็นเรื่องที่แปลก นักโทษคนนี้มีความกล้า สามารถส่งคนไปรายงานนายพันลีเชียสได้ด้วย
ชีวิตของเปาโลได้รับการปกป้องอีกครั้ง ..
กิจการ 23:19-22
นายพันกับหลานชายคุยกันลับ ๆ เขากลับไม่ต้องการให้มีฆาตกรรมเกิดขึ้น เพราะว่ามันจะสร้างเรื่องลำบากใจให้กับเขาและรัฐบาลโรม นักโทษที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนายพันคนใด ต้องได้รับความปลอดภัยจนกว่าคดีจะสิ้นสุด
กิจการ 23:23-26
นายพันลงมือปกป้องชีวิตของเปาโลทันที ด้วยการส่งตัวไปให้เฟลิกซ์ผู้ว่าราชการของยูเดีย เฟลิกซ์ผู้นี้ ไต่เต้าจากการเป็นทาสจนกลายมาเป็นผู้ว่าราชการยูเดีย จากจดหมายทำให้เราทราบว่า นายพันชื่อ คลาวดิอัส ลีเซียส เขารายงานชัดเจนว่า เกิดอะไรขึ้น
กิจการ 23:27-30
เนื้อความในจดหมายนี้ ผู้เขียนคือลูกา น่าจะได้รับทราบมาจากการอ่านจดหมายต่อหน้าเฟลิกซ์ในเวลาต่อมา ที่สำคัญคือ เปาโลเป็นชาวโรมที่ถูกสภายิวหมายหัว จะได้รับอันตราย นายพันลีเชียสจึงจำต้องส่งนักโทษผู้นี้ต่อไปให้กับเฟลิกซ์
กิจการ 23:31-35
ที่จริงเฟลิกซ์จะส่งเปาโลต่อไปยังผู้ว่าการแคว้นซีเรียก็ได้ แต่เขาตัดสินใจจะดูคดีนี้เอง เพราะเมื่ออ่านจดหมายแล้ว ก็รู้ว่า คดีน่าจะจบง่าย ๆ เพราะหลักฐานอ่อนมาก และที่คุมขังครั้งนี้อยู่ในวังของเฮโรด

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 24:16; 1โครินธ์ 4:4;
2โครินธ์ 1:12; 4:2; 2ทิโมธี 1:3
2* 1 พงศ์กษัตริย์ 22:24; เยเรมีย์ 20:2; ยอห์น 18:22
3* เลวีนิติ 19:35; เฉลยธรรมบัญญัติ 25:1-2; ยอห์น 7:51
5* เลวีนิติ 5:17-18; อพยพ 22:28; ปัญญาจารย์ 10:20
6* กิจการ 26:5; 3:5; กิจการ 24:15, 21

8* มัทธิว 22:23; มาระโก 12:8
ลูกา 20:27
9* กิจการ 25:25; 26:31; ยอห์น 12:29
11* กิจการ 18:9; 27:23-24; 21:18-19
12* กิจการ 23:21, 30; 25:3
14* กิจการ 4:5,23; 6:12; 22:5
20* กิจการ 23:12
23* กิจการ 8:40; 23:33

27* กิจการ 21:30, 33; 24:7
28* กิจการ 22:3029* กิจการ 18:15; 25:19; 25:25; 26:31
30* กิจการ 23:20; 24:8; 25:6
33* กิจการ 8:40; 23:26-30
34* กิจการ 6:9; 21:39
35* กิจการ 24:1, 10; 25:16; มัทธิว 27:27




สุขสันต์วันพระพร วันคริสตมาส…เพื่อเราทุกคน

จากเพลง Feliz navidad
ทูตสวรรค์พบมารีย์แจ้งว่าพระเจ้าจะทรงให้พระบุตรมาเกิดในครรภ์ของเธอ โดยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณ

เมื่อท้องแก่ เธอเดินทางไปเบธเลเฮมพร้อมกับโยเซฟ
คู่หมั้นที่ได้รับคำบัญชาจากพระเจ้าให้ดูแลปกป้องเธอ
พระเยซูบังเกิดพันผ้าอ้อมนอนในรางหญ้า

พระบุตรของพระเจ้า
ทรงลงมาบังเกิดในโลก
มาเป็นมนุษย์สุดพิเศษ
เพราะทรงเป็นมนุษย์และ
พระเจ้าด้วยใน
บุคคลเดียวกัน …​
พระองค์ทรงบริสุทธิ์
ไม่ทรงทำบาปเลย

กลับมีทูตสวรรค์มาเชิญไปพบพระเยซูองค์น้อยที่เพิ่งเกิด
แขกรับเชิญชุดแรก คือคนเลี้ยงแกะที่ยากจน
พระบุตรพระเจ้าทรงอยู่กับคนที่ต่ำต้อย

และพระบุตรของพระเจ้า
ก็ทรงได้รับการยกย่องจาก
เหล่านักปราชญ์จากตะวันออก
ที่ตามดวงดาวมาพบพระองค์

พระองค์ทรงเติบโตขึ้นเหมือน
เด็กทั่วไป ทรงทำงานช่างไม้
เหมือนกับโยเซฟ ที่ดูแลพระองค์
เหมือนพ่อ แต่พ่อที่แท้จริงของ
พระองค์คือพระบิดาเจ้าผู้สถิต
ในสวรรค์

เมื่ออายุ สามสิบพรรษา พระเยซู ทรงออกไปสั่งสอน รักษาโรค ขับผีที่ทรมานผู้คนประชาชนที่ยากจนต่างพากันติดตามพระองค์
ทรงสงสารพวกเขามาก และพระองค์ทรงรักพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รักพระองค์ตอบ

เหล่าผู้นำศาสนายิวอิจฉา ต่างพยายามสังหารพระองค์ แต่ไม่มีใครทำได้ จนสามปีต่อมา .. ถึงเวลาที่กำหนด พระเยซูทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน

ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
และสามวันต่อมาทรงคืนพระชนม์
แล้วพระองค์เสด็จสู่สวรรค์ต่อหน้าต่อตาผู้ที่ติดตามพระองค์ …..

วันคริสตมาส เป็นวันที่คนทั้งโลกมีความสุข
และให้ของขวัญแก่กันและกัน
เหตุผล ต้นเหตุของคริสตมาสแท้นั้น
คือพระเจ้าทรงรักเรา รักเรามาก ๆ
จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียว
ของพระองค์ลงมาในโลก เพื่อว่า
ใครก็ตาม คนใดก็ตามที่วางใจ
ในพระบุตรคือพระเยซู
จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

กิจการ 22 ขอเป็นพยานอีกครั้ง

คำอธิบายเพิ่มเติม

กิจการ 22:4-5
เปาโลเริ่มเล่าเรื่องว่าเขาก็เป็นเหมือนพี่น้องทุกคนที่อยู่ตรงนี้ มีความมุ่งมั่นต้องการกำจัดความเชื่อใหม่
ไม่ต้องการให้คนหันไปเชื่อพระเยซู สิ่งที่พูด เป็นความจริง เพราะว่าเหล่าปุโรหิตใหญ่เป็นพยานได้ว่า เขาเคยเกลียดชัง “ทางนั้น” จริง เท่ากับเปาโลกำลังบอกว่า ในอดีต เขาก็มีความคิดเหมือนกับพี่น้องยิว
กิจการ 22:6-9
เขาเล่าเหตุการณ์ย้อนหลังว่า เขาได้พบพระเยซูเอง พระองค์มาตรัสกับเขาโดยตรง พระเยซูผู้ที่คนยิวไม่เชื่อนี้ ได้มาพบกับเขา.. และเหตุการณ์นี้เองทำให้เขารู้ว่า พระเยซูที่คนยิวได้ตรึงบนกางเขน ผู้ที่เขาพยายามทำลายงานของพระองค์ เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้
กิจการ 22:10-13
พระเจ้าไม่ได้ทรงส่งรายการให้เปาโลรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่พระองค์ทรงสั่งเขาทีละอย่างชัดเจน สิ่งที่เปาโลเรียนรู้จากพระเจ้าคือ เมื่อรับคำสั่งก็จะลงมือทำ ไม่ต้องมีคำโต้แย้งใด ๆ
ขณะเดียวกัน พระเจ้าทรงส่งอานาเนียมา แม้อานาเนียจะทัดทานพระเจ้าหน่อยหนึ่ง แต่เขาก็ทำตามที่พระเจ้าทรงสั่ง ในใจอาจจะกลัวเปาโลอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ฝืนพระเจ้า
กิจการ 22:14-16
อานาเนียเข้าใจการทำงานของพระเจ้า และเขาอธิบายให้เปาโลเข้าใจเช่นกัน และยังบอกด้วยว่า หน้าที่สำคัญของเปาโลคือ การเป็นพยานเรื่องของพระเจ้าที่เปาโลได้เห็น แล้วก็ควรรับบัพติศมาชำระบาปเสียก่อน
กิจการ 22:17-21
นี่เป็นรายละเอียด …อีกอย่างที่ทำให้ยิวไม่อาจทนได้ .. พระเจ้าตรัสกับเปาโล เพื่อจะส่งเขาไปประกาศพระนามกับคนต่างชาติ
คนยิวเชื่อฝังใจว่า พระเจ้าทรงสร้างคนต่างชาติมาเพื่อทำให้นรกร้อนขึ้น พวกเขาดูหมิ่นคนต่างชาติว่าต่ำ ไม่เป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกเหมือนพวกเขา พอถึงคำว่า พระเจ้าทรงส่งให้เปาโลไปประกาศพระนามให้คนมาเชื่อพระเยซูผู้ที่พวกเขาพยายามประหาร รับไม่ได้จริง ๆ
กิจการ 22:22-23
จึงเกิดโกลาหลขึ้นในหมู่ผู้คน เราจะเห็นเลยว่า กลุ่มคนเหล่านี้ถูกกระตุ้นให้โกรธได้ง่ายมาก ๆ และคราวนี้ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่มีใครอยากให้โรมยกทัพมาจัดการ
กิจการ 22:24-25
นายทหารเข้ามาสงบความวุ่นวายโดยการหยุดคำของเปาโล จับเขาเข้าไปในกองทหาร สั่งโบยทันที แต่..เปาโลแจ้งก่อนจะถูกโบยว่า เขาเป็นพลเมืองของโรม
กิจการ 22:26-29
การเป็นพลเมืองโรมมีสิทธิหลายอย่าง และวิธีจะเป็นพลเมืองก็มีหลายอย่าง เป็นมาโดยกำเนิด อาจด้วยการซื้อสิทธิเป็นพลเมือง ดีที่เปาโลรีบบอก นายทหารจึงไม่ลงมือโบย
กิจการ 22:30
คนในสภาแซนเฮดรินไม่รู้เลยว่า ข้อหาจริง ๆ ที่ยิวมาฟ้องนั้นคืออะไร จึงสั่งปล่อย และเรียกประชุมสภาอย่างด่วนในวันนั้น ซึ่งมีทั้งปุโรหิตและสมาชิกสภา รวมไปถึงตัวนักโทษคือเปาโล

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 7:2
2* กิจการ 21:40
3* 2โครินธ์ 11:22; เฉลยธรรมบัญญัติ 33:3; กิจการ 5:34; 23:6; 26:5; กาลาเทีย 1:14;
โรม 10:2
4* 1ทิโมธี 1:13
5* กิจการ 23:14; 24:1; 25:15;
ลูกา 22:66; กิจการ 9:2

6* กิจการ 9:3; 26:12-13
9* กิจการ 9:7
12* กิจการ 9:17; 10:22; 1ทิโมธี 3:7
14* กิจการ 3:13; 5:30; 9:15; 26:16; 3:14; 7:52; 1โครินธ์ 9:1; 15:8; กาลาเทีย 1:12
15* กิจการ 23:11; 4:20; 26:16
16* ฮีบรู 10:22; โรม 10:13

17* กิจการ 9:26; 26:20
18* กิจการ 22:14; มัทธิว 10:14
19* กิจการ 8:3, 22:4; มัทธิว 10:17
20* กิจการ 7:54-8:1; ลูกา 11:48
21* กิจการ 9:15
22* กิจการ 21:35; 25:24
25* กิจการ 16:37

1 โครินธ์ 14 ของประทานแห่งคำพูด

1 โครินธ์ 14:1
จงมุ่งมั่นหาความรัก และปรารถนาของประทานจากพระวิญญาณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อจะได้เผยพระดำรัสของพระเจ้า 
1 โครินธ์ 14:2-3
ความแตกต่างของภาษาที่แปลกกับคำเผยพระดำรัส
เพราะคนที่พูดภาษาที่แปลก ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า เพราะว่า ไม่มีใครเข้าใจ สิ่งที่เขาพูดเป็นความลึกล้ำฝ่ายวิญญาณ แต่คนที่เผยพระดำรัสนั้นพูดกับผู้คน เพื่อเสริมสร้างให้เติบโตและมีทั้งการให้กำลังใจและปลอบโยนใจ
1 โครินธ์ 14:4-5

คนซึ่งพูดภาษาที่แปลกนั้น ทำให้ตัวเองเติบโตขึ้น แต่คนที่เผยพระดำรัสก็ทำให้คริสตจักรเจริญขึ้น ข้าอยากให้ท่านทุกคนได้พูดภาษาที่แปลก แต่ยิ่งกว่านั้น ข้าต้องการให้ท่านได้เปิดเผยพระดำรัสของพระเจ้า เพราะคนที่ได้เผยพระดำรัสของพระเจ้าก็ใหญ่กว่าคนที่พูดภาษาที่แปลก นอกจากว่า เขาจะแปลความหมายได้ด้วยเพื่อเป็นการเสริมสร้างคริสตจักร

1 โครินธ์ 14:6 พูดเพื่อให้เกิดประโยชน์
พี่น้องเอ๋ย ถ้าข้ามาหาท่านและพูดภาษาที่แปลกแล้วจะเป็นประโยชน์อะไรกับพวกท่านเล่า? ยกเว้นว่า ข้าจะพูดกับพวกท่านด้วยการสำแดงโดยความรู้ โดยเปิดเผยพระดำรัส โดยการสอนพวกท่าน

1 โครินธ์ 14:7-9 พูดให้เข้าใจเพื่อทุกคนจะได้ประโยชน์
แม้แต่สิ่งไร้ชีวิตที่มีเสียง อย่างเช่นเสียงของขลุ่ย หรือพิณ หากเล่นโดยไม่ได้ส่งเสียงออกมาเป็นทำนองอย่างชัดเจน เราจะรู้ได้อย่างไรว่า กำลังเล่นเพลงอะไรอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเป่าหรือดีด ถ้าเสียงของแตรศึกไม่ชัดเจน ใครเล่าจะเตรียมตัวเข้าทำสงคราม? ท่านทั้งหลายก็เหมือนกัน นอกจากว่าท่านจะกล่าวคำที่ชัดเจนเพื่อความเข้าใจคนจะเข้าใจคำพูดนั้นได้อย่างไรเล่า? สิ่งที่ท่านพูดก็จะลอยตามลมไป

1 โครินธ์ 14:10-11 ทุกภาษาเข้าใจได้ถ้าเรารู้ความหมาย
แน่ทีเดียว มีภาษามากมายในโลกนี้และไม่มีภาษาใดไร้ความหมายดังนั้น ถ้าข้าไม่เข้าใจความหมายของภาษาหนึ่ง ข้าก็เป็นดั่งคนต่างชาติสำหรับคนที่พูดภาษานั้น เขาคนนั้นก็เป็นคนต่างชาติสำหรับข้า
1 โครินธ์ 14:12-13
ท่านก็เหมือนกัน ในเมื่อท่านมีความกระตือรือร้นที่จะได้รับของประทานฝ่ายพระวิญญาณ ก็ขอให้ท่านแสวงหาสิ่งดีสุดที่จะทำให้คริสตจักรเจริญขึ้น ดังนั้น คนซึ่งพูดภาษาที่แปลก ก็ควรอธิษฐานขอให้ตนเองแปลได้ด้วย

1 โครินธ์ 14:14-15 ความเข้าใจนั้นสำคัญมาก
ถ้าข้าอธิษฐานด้วยภาษาที่แปลก เท่ากับวิญญาณข้าอธิษฐาน แต่ไม่มีประโยชน์ต่อความเข้าใจของข้าเลย จะสรุปอย่างไรดี? ข้าจะอธิษฐานในจิตวิญญาณด้วยความเข้าใจ ข้าจะร้องเพลงในจิตวิญญาณด้วยความเข้าใจ

1 โครินธ์ 14:16-17
มิฉะนั้นแล้ว ถ้าท่านสรรเสริญพระเจ้าในจิตวิญญาณ โดยคนที่อยู่ด้วยไม่เข้าใจแล้วเขาจะพูดว่า “อาเมน” ได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่ทราบว่า ท่านกล่าวคำขอบคุณอะไรออกไป ท่านอาจจะกล่าวคำขอบพระคุณที่ดีมาก แต่คนอื่นไม่ได้รับการเสริมสร้าง
1 โครินธ์ 14:18-19
ข้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพูดภาษาที่แปลกมากกว่าท่านทั้งหลายอีก แต่ว่าเมื่ออยู่ในคริสตจักร ข้าพอใจกับการกล่าวสักห้าคำด้วยความเข้าใจเพื่อว่าข้าจะได้สอนคนอื่น มากกว่าที่จะพูดเป็นพันคำด้วยภาษาที่แปลก

1 โครินธ์ 14:20 ของประทานนี้กับผู้ที่ยังไม่เชื่อ
พี่น้องเอ๋ย อย่ามีความคิดแบบเด็ก ๆ เรื่องความชั่วจงเป็นเหมือนเด็กทารก แต่ในทางความคิดจงมีความเข้าใจแบบผู้ใหญ่ที่โตแล้ว
1 โครินธ์ 14:21-22
ในบัญญัติเขียนไว้ว่า “เราจะพูดกับชนชาตินี้ด้วยคนที่พูดภาษาที่แปลกออกไป ด้วยริมฝีปากของคนต่างภาษาถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังไม่ฟังเสียงของเรา พระเจ้าตรัสดังนี้” ดังนั้น การพูดภาษาที่แปลกออกไปจึงไม่เป็นหมายสำคัญแก่คนที่เชื่อแต่เป็นเพื่อคนที่ยังไม่เชื่อส่วนคำเผยพระดำรัสนั้นไม่ใช่เพื่อคนที่ไม่เชื่อแต่เป็นสำหรับคนที่เชื่อแล้ว

1 โครินธ์ 14:23 ดังนั้น หากคนทั้งคริสตจักรมาร่วมประชุมกัน และทุกคนต่างพูดภาษาที่แปลกออกไป และมีคนที่ไม่เข้าใจ
หรือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเข้ามาพอดีพวกเขาก็จะเห็นว่า พวกท่านเลอะเลือนไปแล้วไม่ใช่หรือ?
1 โครินธ์ 14:24-25
แต่หากทุกคนเปิดเผยพระดำรัสพระเจ้าคนที่ไม่เชื่อ หรือคนที่ไม่เข้าใจเข้ามาพอดีสิ่งที่ได้ยินจะทำให้เขารู้ว่า ตนเป็นคนบาปและเขาจะถูกตักเตือน ความลับในใจของเขาจะถูกเปิดเผย และเขาจะก้มกราบลงนมัสการพระเจ้า และยอมรับว่า “พระเจ้า
ประทับท่ามกลางพวกท่านจริง”

1 โครินธ์ 14:26 ทำไปด้วยกัน ระเบียบเดียวกัน
ดังนั้น พี่น้องจะตัดสินใจอย่างไรเมื่อพวกท่านมาประชุมกัน ? บางคนก็ร้องเพลงสดุดี มีคำสอน มีการเผยพระดำรัส มีการพูดภาษาที่แปลก และมีการแปลภาษาเหล่านั้น จงทำทุกสิ่งให้เป็นการเสริมสร้างคริสตจักรเถิด
1 โครินธ์ 14:27-28
ถ้ามีคนพูดภาษาที่แปลกออกไปจงพูดเพียงสองคน หรืออย่างมากก็สามคน และให้พูดทีละคน แล้วให้คนหนึ่งแปลความถ้าหากไม่มีใครแปล เขาคนนั้นควรอยู่เงียบ ๆ แล้วพูดกับตนเอง และทูลต่อพระเจ้า

1 โครินธ์ 14:29-31
ให้ผู้เผยพระคำพูดได้สองสามคน และให้คนอื่นพิจารณาสิ่งที่เขาพูดด้วยความระมัดระวัง และหากคนที่นั่งอยู่ได้รับการสำแดงจากพระเจ้าขึ้นมา คนที่กำลังพูดนั้นก็ควรนิ่งเงียบก่อน เพราะว่าท่านเผยพระดำรัสได้ทีละคน เพื่อให้ทุกคนได้
เรียนรู้ และได้รับการหนุนน้ำใจ
1 โครินธ์ 14:32-33
เพราะจิตวิญญาณของผู้เผยพระดำรัสนั้นอยู่ในการควบคุมโดยตัวเขาเองเพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความสับสนวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข ดังที่ทรงเป็นอยู่ในทุก ๆ คริสตจักรของวิสุทธิชน

1 โครินธ์ 14:34-35ขอให้เหล่าสตรีนิ่งสงบในคริสตจักร
เพราะพวกเธอไม่ได้รับอนุญาตให้พูดพวกเธอควรยอมเชื่อฟังดังที่บัญญัติกล่าวไว้ หากพวกเธอต้องการรู้สิ่งใดให้ถามสามีที่บ้าน เพราะการที่สตรีจะพูดขึ้นมาในคริสตจักรก็เป็นเรื่องน่าอาย
1 โครินธ์ 14:36-37
พระดำรัสนั้นเกิดมาจากท่าน? หรือว่าท่านเป็นคนเดียวที่เข้าถึงพระดำรัสนั้น? หากคนใดคิดว่าตนเองเป็นผู้เผยพระดำรัสหรือเป็นคนอยู่ฝ่ายพระวิญญาณก็จงยอมรับเถิดว่า สิ่งที่ข้าเขียนถึงท่านเป็นพระบัญญัติจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

1 โครินธ์ 14:38-40 ข้อสรุปที่ชัดเจน
หากคนใดไม่เอาใจใส่ข้อความนั้น ผู้อื่นก็จะไม่ใส่ใจเขา
ดังนั้น พี่น้องเอ๋ยจงกระตือรือร้นที่จะเปิดเผยพระดำรัส
และอย่าห้ามการพูดภาษาที่แปลกเลย แต่ควรกระทำทุกสิ่งให้เหมาะสม อย่างมีระเบียบ

1 โครินธ์ 14:1
ในเมื่อความรักสำคัญที่สุด เราจึงตามทางความรักของพระเจ้า ไม่ใช่รักตามความหมายของโลกแต่เป็นรักบริสุทธิ์ตามโครินธ์ 13 นอกจากนั้น ผู้เชื่อควรตามหาของประทานในการเผยพระดำรัสของพระเจ้า จากที่เห็น พี่น้องในโครินธ์น่าจะเน้นการพูดภาษาที่แปลกมากกว่าการเผยพระดำรัสเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าดูดี ชาวโครินธ์ชอบเรื่องของภาษาอยู่แล้ว
1 โครินธ์ 14:2-3
การเผยพระดำรัสนั้น ชัดเจน เป็นหน้าที่ของการสร้างเสริมคริสตจักร หนุนใจ ให้กำลัง ปลอบใจมุ่งพูดสื่อสารกับคน พวกเขาเข้าใจสิ่งที่พูด และเกิดการเปลี่ยนแปลงในทัศนคติ ความคิด การกระทำแต่คนที่พูดภาษาที่แปลกกำลังพูดกับพระเจ้าเป็นเหมือนการอธิษฐาน ดังนั้นเมื่อมีการพูดภาษาที่แปลกโดยไม่มีการแปล จึงไม่ส่งผลใด ๆ กับพี่น้อง ยกเว้นภาษานั้นพูดเพื่อบางคนที่เข้าใจ
1 โครินธ์ 14:4-5
ชีวิตคริสเตียนเป็นชีวิตแบบที่ก้าวไปข้างหน้าตลอดไม่ใช่อยู่นิ่งกับที่ ซึ่งเป็นเหมือนการถอยหลังเข้าคลอง การพูดภาษาที่แปลกออกไปซึ่งพระเจ้า
ทรงนำให้พูดนั้น เป็นการช่วยให้ตนเองได้รับการชูใจ หนุนกำลัง มันไม่ได้ช่วยสร้างเสริมใครที่อยู่ตรงนั้น (ยกเว้นคนภาษานั้นมาได้ยิน) ท่านเปาโลจึงขอให้แสวงหารักและการเผยพระดำรัสเพราะทั้งสองจะช่วยให้คริสตจักรเติบโตขึ้น
การพูดภาษาที่แปลกในการอธิษฐานส่วนตัวกับพระเจ้าเป็นสิ่งดี เสริมสร้างตนเอง แต่หากเข้ามาอยู่ในที่ชุมนุมชนของพระเจ้าแล้ว ที่สำคัญคือ การสร้างชีวิตของพี่น้อง ท่านเปาโลจึงมองว่า การเผยพระดำรัสที่เข้าใจได้ ที่ทำให้เกิดการสำนึกผิดหรือการเตรียมตัวพร้อม จะเป็นสิ่งที่ส่งผลกว้างกว่าเรื่องส่วนตัว ยกเว้นเมื่อคน ๆ หนึ่งพูดภาษาที่แปลกแล้วยังแปลให้ด้วย นั่นก็เป็นสิ่งดีเช่นกัน
1 โครินธ์ 14:6
แม้กระทั่งท่านเปาโลเอง หากมัวพูดแต่ภาษาที่แปลกแล้วไม่สอน ไม่เพิ่มความรู้ ไม่ทำให้พี่น้องเจริญในพระเจ้า ก็ไม่มีประโยชน์
1 โครินธ์ 14:7-9
แล้วท่านเปาโลก็เอาเรื่องเครื่องดนตรีที่ส่งเสียงมาให้พี่น้องได้เข้าใจ ว่าหากเพลงนั้นไม่ได้สื่อความหมาย มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร คนที่เล่นเครื่องดนตรีไม่เป็นแล้วมาดีด สี ตี เป่าคนฟังก็จะไม่ประทับใจ แต่หากนักดนตรีได้มาเล่น สื่อความหมายของผู้ประพันธ์ ความงดงามความเข้าใจก็เกิดขึ้น ทำให้ผู้ฟังรู้สึกตามไปได้ดังนั้นการสื่อสารในคริสตจักรจะต้องชัดเจนไม่คลุมเครือ. การพูดภาษาที่แปลกซึ่งเข้าใจไม่ได้นั้น หากพูดเพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าฉันเป็นคนฝ่ายวิญญาณ ก็เป็นอันตราย แถมเป็นคำ ไร้สาระ พี่น้องชาวโครินธ์อาจจะสับสน และคิดว่าการพูดภาษาที่แปลกออกไปนั้น แสดงว่าคนพูดนั้นใกล้ชิดพระเจ้ามากกว่าคนอื่น เท่ากับแรงจูงใจในการพูดก็ผิดแล้ว ผิดแต่ต้นเลย
1 โครินธ์ 14:10-11
คำว่าภาษา มีความหมายถึงคำพูด ประโยค วลีที่เข้าใจได้ ภาษาเป็นของประทานที่ยิ่งใหญ่จากพระเจ้าให้กับทุกคนในโลก และเป็นสำหรับมนุษย์เท่านั้น นี่เป็นเครื่องหมายแสดงว่า เราเป็นผู้ที่ถูกสร้างมาตามพระฉายาของพระเจ้าจริง ๆ สัตว์จะมีภาษาจำกัดมาก ๆ ไม่เหมือนพวกเรา แต่คนเราที่อยู่ต่างสถานที่ ต่างบ้านเมืองก็มีภาษาที่เข้าใจกันเองในท้องถิ่น เราต้องมีการแปลเราจึงจะเข้าใจภาษาที่แตกต่างออกไปจากเรา
1 โครินธ์ 14:12-13
กล่าวโดยสรุปคือ ท่านเปาโลต้องการให้พี่น้องแสวงหาของประทานที่ดีสุด ซึ่งเป็นของประทานที่จะทำให้คริสตจักรเติบโตขึ้น คนที่พูดภาษาที่แปลกจึงควรรับผิดชอบ ขอพระเจ้าทรงช่วยให้เขาแปลความหมายได้ด้วย นั่นจึงจะสมบูรณ์แบบ ดังนั้นสรุปได้ว่า ภาษาที่ไม่เข้าใจ จะไม่เกิดประโยชน์ ต้องเป็นภาษาที่พี่น้องเข้าใจได้

1 โครินธ์ 14:14-15
ในชีวิตเรานั้น บางครั้งสิ่งที่เราทำเราก็ไม่ได้มีความเข้าใจขบวนการของมันทั้งหมด แต่มันก็ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ อย่างเช่นกินอาหาร แล้วอาหารไปทำขบวนการที่ทำให้ร่างกายเติบโตอย่างไร คนทั่วไปก็จะไม่เข้าใจ แต่ก็จะกินเสมอ ในการอธิษฐานฝ่ายวิญญาณเช่นกัน บางครั้งคนที่อธิษฐาน พูดภาษาที่แปลก ไม่เข้าใจ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาเติบโตขึ้น สำหรับท่านเปาโล การทำทุกสิ่งด้วยความเข้าใจก็ช่วยให้คนอื่นเติบโตด้วย
1 โครินธ์ 14:16-17
นี่เป็นการเตือนว่า การทำทุกสิ่งในคริสตจักรนั้น ต้องให้พี่น้องของเรามีความเข้าใจด้วยไม่ใช่หลงว่าตนเป็นคนฝ่ายวิญญาณ ติดต่อกับพระเจ้าได้อยู่คนเดียว การเสริมสร้างซึ่งกันและกัน เป็นเหตุผลที่เรามีชุมชนของพระเจ้า เราจำเป็นต้องใกล้ชิด และเชื่อมโยงการในการใช้ชีวิต เพื่อจะมีทั้งความรักความเข้าใจ และการช่วยเหลือกันในยามยากลำบาก
1 โครินธ์ 14:18-19
ท่านเปาโลที่เป็นผู้ก่อตั้งคริสตจักรได้กล่าวชัดว่าในชีวิตส่วนตัวของท่าน ท่านพูดภาษาที่แปลกมาก มากกว่าคนอื่น ๆ หมายความว่า เมื่อท่านอธิษฐานกับพระเจ้า ท่านก็ใช้ภาษาที่แปลกเสมอแต่ในชีวิตที่อยู่กับชุมชนผู้เชื่อ ท่านเลือกที่จะกล่าวคำที่คนเข้าใจ และรับการเสริมสร้าง เติบโตขึ้นท่านเลือกที่จะสื่อสารอย่างเข้าใจ แทนที่จะกล่าวอะไรที่ไม่มีใครเข้าใจได้ 

1 โครินธ์ 14:20
ท่านเปาโลต้องการให้พี่น้องเติบโตในพระเจ้าไม่คิดอย่างเด็กที่พยายามไล่ตามของประทานพูดภาษาที่แปลกเพราะทำให้เป็นคนที่ดูดี เหมือนเป็นคนฝ่ายวิญญาณท่านพูดซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ให้พี่น้องโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณได้แล้ว แต่การที่มีปัญหามากและต้องย้ำเช่นนี้ เพราะความคิดอย่างเด็ก ๆ ของพวกเขาฝังลึกแน่น ถ้าเราลองมองตัวเองก็จะเห็นปัญหาแบบเดียวกับพี่น้องโครินธ์
1 โครินธ์ 14:21
แล้วท่านเปาโลก็ย้อนกลับไปถึงครั้งที่อิสยาห์ได้พยากรณ์เนื่องจากว่า คนอิสราเอลดื้อดึงต่อพระเจ้ามาก ไม่กลับใจสักที พระเจ้าจึงจะทรงใช้คนต่างชาติเข้ามามีอำนาจเหนือพวกเขา พระเจ้าทรงทำจริง ๆ ให้อัสซีเรียเข้ามาบุก แต่กระนั้นคนอิสราเอลก็ยังไม่สำนึกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการสั่งสอนของพระเจ้า พวกเขายังคงดื้อดึงต่อไป อ่าน อิสยาห์ 28:11-12 พระเจ้าทรงใช้ภาษาอื่นมาสั่งสอนคนอิสราเอล
1 โครินธ์ 14:22
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ท่านเปาโลจึงชี้แจงว่า การมีภาษาที่แปลกออกไปนั้น ช่วยคนต่างชาติที่เข้ามาในหมู่พี่น้อง และได้ยินคำของพระเจ้าผ่านภาษาของพวกเขา ตามที่พระองค์ประสงค์จะตรัสกับแต่ละคนข้อ 21 และ 22 เป็นการช่วยป้องกันไม่ให้พี่น้องเอาแต่แสวงหาที่จะพูดภาษาที่แปลก โดยมีแรงจูงใจที่อยากอวดว่าตัวเองใกล้ชิดพระเจ้า นิสัยแบบเด็ก ๆ ทั้งที่พวกเขาควรเป็นผู้ใหญ่แล้ว
1 โครินธ์ 14:23
ดังนั้น หากคนทั้งคริสตจักรมาร่วมปลองคิดถึงวันที่คุณเข้าไปในคริสตจักรแห่งหนึ่งแล้วก็มีคนที่พูดภาษาที่แปลก ซึ่งคุณไม่เข้าใจไม่ได้พูดแค่คนเดียว แล้วมีคนแปล แต่พูดแข่งกัน เสียงดัง เราจะรู้สึกว่าพวกเขาเป็นอะไรกันนี่
เลอะเทอะจริง ๆ ทำไมไม่มีระเบียบ ทำไมทำสิ่งที่ไม่เข้าใจ สภาพแบบนี้ เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในที่ ๆขาดความเข้าใจ และยังเป็นเด็กอยู่ คิดว่า ทำอย่างนี้แล้วดูดี แต่ภาพที่ออกมากลับดูตรงข้าม
1 โครินธ์ 14:24-25
นี่ไง ประโยชน์ของการเผยพระดำรัสของพระเจ้าเพราะในการเปิดเผยนั้น จะมีคำที่เฉพาะเจาะจงกับคนบางคนในที่นั้น ทำให้เขารู้ว่า พระเจ้ากำลังตรัสกับเขาจริง ๆ เป็นโอกาสที่หลายคนจะได้ตระหนักว่า พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และทรงสื่อสารกับพวกเขาโดยตรง การยอมรับว่ามีพระเจ้านั้น จำเป็นกับทุกคนที่จะกลับใจใหม่
1 โครินธ์ 14:27-28
สำหรับท่านเปาโลแล้ว แม้การที่จะพูดภาษาที่แปลกในคริสตจักรก็จะต้องมีวินัย มีระเบียบไม่ให้มีการแข่งกันพูด แข่งกันแปล และหากใครไม่ได้รับคำจากพระเจ้าก็ขออยู่เงียบ ๆ อย่าทำแบบปลอม ๆ ขึ้นมา ซึ่งปรากฎว่า เราพบการพูดภาษาต่าง ๆ แบบปลอมขึ้นมาก็เยอะ ดังนั้นในวิถีปฏิบัติแล้ว ต้องให้อยู่ในความจริง อยู่ในระเบียบ มีการรับส่งในการรับใช้เรื่องนี้อย่างน่าดู ไม่ใช่เป็นการแก่งแย่งกัน
1 โครินธ์ 14:26
เราจะเห็นภาพว่า ในคริสตจักรเริ่มแรกนั้น พวกเขาทำอะไรกันบ้าง มีทั้งการร้องเพลง สอน การเทศนาและพูดภาษา แปลภาษา รวมทั้งการดูแลพี่น้องที่ยากจน (ดูจากหนังสือกิจการ) นอกจากนั้นมีการส่งคนออกไปประกาศตามพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งยังไม่เคยได้ยินเรื่องพระเยซู มีการตั้งกลุ่มพี่น้องตามบ้าน และสร้างคริสตจักร ทั้งหมดนี้มีเพื่อการเสริมสร้างให้ผู้เชื่อเติบโตในพระเจ้า

1 โครินธ์ 14:29-31
ตอนนี้ท่านเปาโลกล่าวถึงข้อควรปฏิบัติในยามที่มีการเผยพระคำในคริสตจักร เป็นรายละเอียดย่อยที่ควรทำ ท่านคงเห็นแล้วว่า ในอนาคตนั้นจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง จึงจัดระเบียบไว้ให้จากข้อ 28 ดูเหมือนว่า ท่านต้องการให้ทุกคนได้มีโอกาสมีของประทานนี้ เราจะเห็นว่า มีหลายครั้งขณะที่มีการเทศนา มีการเผยพระดำรัสของพระเจ้าส่งตรงให้ใครบางคนในหมู่พี่น้อง และเกิดการกลับใจ เปลี่ยนชีวิต นี่คือชีวิตในคริสตจักร!
1 โครินธ์ 14:32-33
ข้อความนี้ช่วยเรามาก ทำให้เรารู้ว่า ใครคนไหนเป็นของจริง เป็นของปลอมขณะที่มีการเผยพระดำรัสหรือพูดภาษาที่แปลก เพราะจะต้องมีการควบคุมตนเองได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในผลของพระวิญญาณ ไม่ใช่ขาดการควบคุม ส่งแต่อารมณ์อันรุนแรงออกมา การทำงานของพระวิญญาณในคริสตจักรจึงเป็นรูปแบบของความสงบไม่ใช่ความวุ่นวาย สันติ ไม่ใช่ความสับสน
1 โครินธ์ 14:34-35
เป็นอีกเรื่องที่ผู้หญิงสมัยใหม่อาจจะไม่เข้าใจดูเหมือนท่านเปาโลกำลังปิดกั้นผู้หญิงในคริสตจักรหรือเปล่า เราก็มีผู้หญิงโสดอยู่เยอะด้วย ทำให้รู้สึกแปลก ๆ เมื่ออ่านพระคำข้อนี้ ในสมัยก่อนนั้น เป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ชาย ในตะวันออกกลางก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ ที่ผู้หญิงจะออกไปไหนคนเดียวไม่ได้แต่ต้องมีสามีหรือญาติผู้ชายออกไปประกบเสมอ สรุปว่าในคริสตจักรโครินธ์ ภรรยาต้องไปถามสามีที่บ้าน 
1 โครินธ์ 14:36-37
พี่น้องจะต้องเข้าใจว่า พระกิตติคุณพระดำรัสของพระเจ้านั้น ไม่ได้เกิดจากความคิดของพวกเขาเอง ไม่ใช่พวกเขาเท่านั้นที่จะรู้จักพระทัย ต้องเข้าใจว่า พระเจ้าทรงสำแดงพระทัยของพระองค์ให้กับผู้รับใช้แต่ละคน รวมทั้งพวกเขาตามที่พระองค์ทรงเห็นดี ดังนั้น พี่น้องจึงต้องยอมรับท่านเปาโลในฐานะที่ท่านเป็นอัครทูตที่พระเยซูทรงตั้งไว้ว่า ทุกสิ่งที่ท่านเตือนสอนเป็นมาจากพระเจ้า
1 โครินธ์ 14:38-40
คำสุดท้ายของท่านเปาโลในบทนี้ เป็นการสรุปว่าพี่น้องทุกคนควรที่จะได้ยินพระดำรัสของพระเจ้าสามารถเปิดเผยเพื่อการเสริมสร้างพี่น้องในคริสตจักร แต่ระเบียบนั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความมีระเบียบชัดเจนในธรรมชาติเราก็เห็น ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุขเมื่อใดก็ตามที่ผู้เชื่อไปเน้นบางสิ่งมากเกินไป ก็ขาดความสมดุลย์ในคริสตจักร และมีโอกาสที่จะกลายเป็นตกขอบไปได้

ข้อพระคำเชื่อมโยง

1* 1 โครินธ์ 12:31; 14:39; กันดารวิถี 11:25,29
2* กิจการ 2:4; 10:46
3* โรม 14:19; 15:2; 1ทิโมธี 4:13
6* 1โครินธ์ 14:26
13* 1โครินธ์ 12:10
15* โคโลสี 3:16; สดุดี 47:7
16* 1โครินธ์ 11:24

20* สดุดี 131:2; 1 เปโตร 2:2
21* ยอห์น 10:34; อิสยาห์ 28:11-12
22* มาระโก 16:17
23* กิจการ 2:13
25* อิสยาห์ 45:14
26* 1โครินธ์ 12:8-10; 14:6; 2 โครินธ์ 12:19
29* 1โครินธ์ 12:10

30* 1เธสะโลนิกา 5:19-20
32* 1ยอห์น 4:1
33* 1โครินธ์ 11:16
34* 1ทิโมธี 2:11; ปฐมกาล 3:16
37* 2โครินธ์ 10:7
39* 1โครินธ์ 12:31
40* 1โครินธ์ 14:33