เอเฟซัส 6 ยุทธภัณฑ์ทั้งชุด

เอเฟซัส 6:1
ผู้ที่เป็นลูก จงเชื่อฟังพ่อแม่ของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพราะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
เอเฟซัส 6:2-3
จงให้เกียรติพ่อแม่ของเจ้า นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาพ่วงมาด้วยเพื่อเจ้าจะมีชีวิตอย่างเป็นสุข และเจ้าจะมีชีวิตยืนยาวในโลก

เอเฟซัส 6:4
คนที่เป็นพ่อ ก็อย่ายั่วโมโหลูกของตนเอง แต่จงอบรม เลี้ยงดู
ฝึกฝนให้เขามีวินัย และสอนเขาตามทางของพระเจ้า

เอเฟซัส 6:5-6
ผู้ที่เป็นทาส จงเชื่อฟังนายฝ่ายโลกด้วยความเคารพ และมีความจริงใจ
ให้เหมือนกับที่เชื่อฟังพระคริสต์​ไม่ใช่เชื่อฟังเขาต่อหน้าเพื่อให้เขาพอใจ
เท่านั้น แต่ให้รับใช้เหมือนที่เป็นทาสผู้รับใช้พระคริสต์ ให้ท่านทำตามพระดำริของพระเจ้าจากใจของท่าน

เอเฟซัส 6:7-8
จงรับใช้อย่างเต็มใจ เหมือนกับที่ท่านรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่รับใช้มนุษย์ เพราะท่านรู้อยู่ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงให้รางวัลแก่ทุกคนที่ทำสิ่งดี ไม่ว่าคนนั้นเป็นทาสหรือเป็นไท
เอเฟซัส 6:9
ผู้ที่เป็นนายก็จงปฏิบัติต่อทาสอย่างเดียวกัน อย่าข่มขู่เคี่ยวเข็ญเขา ในเมื่อรู้อยู่ว่าองค์เจ้านายของท่านและของเขานั้นประทับในสวรรค์ และพระองค์ไม่ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใด

เอเฟซัส 6:10
สุดท้ายนี้ ขอให้ท่านเข้มแข็งขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้าและในฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่ของพระองค์
เอเฟซัส 6:11
จงสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้าให้ครบเพื่อท่านจะยืนหยัดต่อสู้กลลวงของมารได้
เอเฟซัส 6:12
เราไม่ได้ต่อสู้กับศัตรูที่เป็นเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเหล่าเทพผู้ครอง เทพผู้มีอำนาจ เทพผู้ครอบครองโลกแห่งความมืดนี้ และต่อสู้กับบรรดาวิญญาณชั่วในฟ้าอากาศ

เอเฟซัส 6:13
ดังนั้น จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อท่านจะต้านทานในวันอันชั่วร้าย
และหลังจากที่ต่อสู้จนถึงที่สุดแล้วท่านก็ยังยืนหยัดอย่างมั่นคง

เอเฟซัส 6:14
ดังนั้นจงยืนมั่นด้วยความจริงที่คาดเอวและสวมเสื้อเกราะแห่งความชอบธรรมป้องกันอก
เอเฟซัส 6:15-16
สวมรองเท้าที่ทำให้พร้อมที่จะประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขนอกจากนี้แล้ว จงถือโล่แห่งความเชื่อเพื่อใช้ดับลูกศรเพลิงทั้งสิ้นของมารร้าย
เอเฟซัส 6:17
จงสวมหมวกเหล็กแห่งความรอดและถือดาบแห่งพระวิญญาณ คือพระดำรัสของพระเจ้า

เอเฟซัส 6:18
จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกเวลาด้วยการอธิษฐาน และการวิงวอนในทุกเรื่อง จงกระตือรือร้นมีความอดทน และทูลวิงวอนเพื่อวิสุทธิชนของพระเจ้าทุกคน
เอเฟซัส 6:19
และอธิษฐานเผื่อข้าด้วย เพื่อว่าครั้งใดที่ข้าพูดพระเจ้าจะประทานถ้อยคำ
ที่จะสำแดงข้อลี้ลับแห่งข่าวประเสริฐได้อย่างกล้าหาญ
เอเฟซัส 6:20
เพราะข่าวประเสริฐข้าจึงเป็นทูตที่ถูกล่ามโซ่อยู่ ขออธิษฐานให้ข้าได้ประกาศด้วยใจกล้าอย่างที่ควร

เอเฟซัส 6:21
ทีคีกัส น้องชายที่รักเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะบอกทุกอย่างให้ท่านรับทราบ ท่านจะได้ทราบว่า ข้าเป็นอยู่อย่างไรและกำลังทำอะไร
เอเฟซัส 6:22
ที่ข้าส่งเขาไปหาท่านก็เพื่อว่าให้ท่านทราบข่าวว่า พวกเราเป็นอย่างไร และ
เขาจะให้กำลังใจท่านด้วย

เอเฟซัส 6:23-24
ขอให้สันติสุขและความรักด้วยความเชื่อจากพระเจ้า องค์พระบิดา และองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจงอยู่เหนือท่านทั้งหลาย ขอพระคุณอยู่กับคนทุกคนที่รัก
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วยความรักที่ไม่มีวันเสื่อมสลายไป

เอเฟซัส 6:1
ที่จริงแล้วท่านเปาโลได้ทบทวนบัญญัติสิบประการให้กับพี่น้องคริสเตียนอย่างเห็นได้ชัด การเชื่อฟังพ่อแม่จะทำให้ได้พรยิ่งใหญ่ และทำให้มีอายุยืนนานบนแผ่นดิน แต่เราสังเกตไหมว่า ท่านใช้คำว่าเชื่อฟังพ่อแม่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า หากว่าพ่อแม่เราไม่ได้เชื่อพระเจ้า และขอให้ทำในสิ่งที่ผิด เราก็ต้องเชื่อฟังพระเจ้าก่อน…​

เอเฟซัส 6:2-3
การให้เกียรติพ่อแม่เป็นเรื่องที่ลูกทุกคนต้องทำถึงแม้ว่าพ่อแม่จะไม่ได้เป็นคนที่เชื่อพระเจ้า การตัดสินใจที่จะเชื่อฟังหรือไม่เราตัดสินใจเองได้
แม้เราต้องตัดสินใจทำสิ่งที่ผิดใจพ่อแม่ แต่ถูกต้องกับพระเจ้า ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้เกียรติท่าน เราต้องฉลาดในการจัดการแต่ละสถานการณ์ แต่หากลูกให้เกียรติ ให้ความรักกับพ่อแม่ แม้มีความเชื่อไม่ตรงกัน ก็เป็นภาพที่งดงามมากเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วย

เอเฟซัส 6:4
มีนักเทศน์ท่านหนึ่งเล่าว่า เคยเห็นพ่อล้อลูกเล่นจนกระทั่งลูกโกรธจัด หรือยั่วโมโหลูกแล้วยังรู้สึกสนุก บางทีเอาเรื่องไม่ดีของลูกไปเล่าให้เพื่อน
ฟังต่อหน้าเขา นั่นเป็นการทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อกับลูก และทำลายสิทธิอำนาจในฐานะที่เป็นพ่อ หน้าที่ของพ่อแม่คือ การนำให้ลูกเดินตามทางของพระเจ้า โดยมีตัวเขาเป็นต้นแบบเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ และมีเกียรติมาก

เอเฟซัส 6:5-6
แม้ในโลกปัจจุบันไม่มีใช้คำว่า ทาสแล้ว แต่เราก็หมายความถึงลูกจ้างได้ ไม่ว่าจะทำอะไรที่เป็นการรับจ้าง ก็ถืออยู่ในกรณีที่ท่านอาจารย์เปาโลกำลังกล่าวถึงได้ จุดสำคัญของท่านคือ การที่เราจะรับใช้ในหน้าที่การงานเหมือนกับที่เรารับใช้พระคริสต์อยู่ เราทำหน้าที่อย่างดีไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นเห็นว่าทำ แต่มีแนวคิดที่ชัดเจนว่ากำลังรับใช้พระเจ้า เจ้านายเป็นตัวแทนของพระเจ้าที่มีในชีวิต

เอเฟซัส 6:7-8
การรับใช้อย่างซื่อสัตย์ และเต็มใจนั้น เราหาได้ไม่มากในโลกทุกวันนี้ ยิ่งมีโทรศัพท์มือถือติดตัว เราจะเห็นว่า แต่ละคนสามารถหลุดออกจากงานในมือหันไปหาโทรศัพท์ เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นที่สนใจได้อย่างรวดเร็วภายในวินาทีเดียวคนที่เป็นลูกจ้างจึงต้องมีจรรยาบรรณของตนเอง ไม่ว่าใครจะเห็นหรือไม่ เราก็ซื่อตรงต่อหน้าที่การงานในเวลา เพราะผู้ที่ให้รางวัลไม่ใช่แค่เจ้านายเท่านั้น แต่พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินพระทัยหลัก

เอเฟซัส 6:9
ในโลกโบราณ ทาสเป็นเหมือนมนุษย์อีกพันธ์ุราวกับไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์ที่กำลังรับใช้เจ้านายอยู่ การดูหมิ่นดูแคลนฐานะของทาสเป็นเรื่องปกติแต่สำหรับผู้เชื่อ ท่านเปาโลได้สอนให้เจ้านายปฏิบัติต่อทาสอย่างยุติธรรม ต่อพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เห็นชัดว่า ความเชื่อคริสเตียนเป็นความเชื่อที่เปลี่ยนสังคม ให้คนที่เชื่อมองคนอื่น เท่าเทียมกับตนไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม เพราะพระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใดเป็นพิเศษ

เอเฟซัส 6:10
การเป็นผู้ที่ติดตามพระเจ้านั้่น ทำให้เราเป็นคนเข้มแข็ง กล้าหาญ และสามารถทำอะไรเกินได้อย่างมหัศจรรย์ เพราะว่า ความเข้มแข็งที่แต่ละคนมีนั้น ไม่ได้มาจากตัวเอง แต่มาจากพระเจ้า เราเห็นคนที่ป่วยเป็นมะเร็ง แต่ยังรับใช้พระเจ้าอย่างสดชื่น เห็นเด็กที่รักพระเจ้ากล้าหาญ ใครอยู่ใกล้ก็ได้กำลังใจไปด้วย ผู้รับใช้ต่างแดนที่ต้องอดทนอดกลั้นอย่างเหลือเชื่อ การเข้มแข็งในพระเจ้าในฤทธิ์ของพระอค์ …..เป็นหน้าที่ ๆ เราต้องทำ

เอเฟซัส 6:11
ทุกวันนี้การมุสา การหลอกลวงของมารเกิดขึ้นดาษดื่น เต็มโลกของเรา เวลาเราดูข่าว ดูเฟซบุ๊ค เอ็กซ์ ไอจี ติ๊กตอก ฯลฯ เราไม่รู้เลยว่าไหนจริง ไหนหลอก มารเป็นผู้ควบคุมโลกของการมุสาเหล่านี้ มันก้าวเข้าไปในโลกวิทยาศาสตร์ การแพทย์ ศิลปะ ความเชื่อ ฯลฯ และสร้างกรอบความคิดบนพื้นฐานของการโกหกหลอกลวงขึ้นมาวิธีที่จะไม่ตกหลุมลวงของมารก็คือ การสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า

เอเฟซัส 6:12
เราต้องเข้าใจว่า เราไม่ได้แค่ต่อสู้กับมนุษย์ แต่ต่อสู้กับวิญญาณที่มองไม่เห็นซึ่งอยู่เบื้องหลังบุคคลที่เป็นศัตรูของความจริง ที่โลกนี้ต่อสู้กันไม่หยุดหย่อน ไม่อาจมีสันติสุขแท้จริงอย่างที่พระเจ้าประทานให้ก็เป็นเพราะมารครองโลกนี้อยู่และมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย มันจึงขยันที่จะหลอกลวงให้คนออกจากทางของพระเจ้าอย่างมากชีวิตในพระเจ้าไม่ใช่ชีวิตที่มีสันติสุขของพระเจ้าแต่อย่างเดียวแต่มีการต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อนด้วย

เอเฟซัส 6:13
ต้องชัดเจนว่า คนที่มีสิทธิจะใส่ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าได้นั้น ไม่ใช่ใคร ๆ ก็ได้ในโลก แต่เขาต้องเป็นคนของพระองค์ และติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิด ตามแบบหลุด ๆ รั่ว ๆ ก็ไม่ได้ด้วยเพราะการใส่ยุทธภัณฑ์นี้ มีความหมายถึงการที่เขาต้องเป็นทหารของพระคริสต์ เป็นผู้ที่จะต่อสู้เพื่อแผ่นดินของพระองค์ ต่อสู้เพื่อความจริง และเพื่อพี่น้องในพระคริสต์ และเพื่อตนเอง สำคัญคือ จะเห็นว่ามีทั้งการต้านทานและต่อสู้!

เอเฟซัส 6:14
สิ่งแรกคือความจริงที่เอว ความชอบธรรมของพระคริสต์เป็นเสื้อเกราะป้องกันอก เสื้อผ้าสมัยก่อนเป็นเสื้อยาวที่ต้องการที่คาดเอวเพื่อไม่ให้เสื้อลุ่ยลงมาเดินลำบาก ความจริงทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปโดยสะดวก ก้าวหน้า ชัดเจน ในฝ่ายวิญญาณเราต้องการความจริงจากพระคำเพื่อต่อต้านความเท็จที่ระบาดในสังคม การใช้ความชอบธรรมป้องกันจิตใจความคิดของเรา

เอเฟซัส 6:15-16
ความพร้อมที่จะกล่าวพระนาม ประกาศความรอดเป็นเหมือนรองเท้า และยังต้องถือโล่ที่ดับเพลิงแห่งศรความมุสา ความโหดร้ายต่าง ๆ ของมารที่พุ่งมายังเรา ท่านเปาโลใช้คำว่าศรเพลิงของมาร ไม่ใช่ลูกธนูธรรมดา แต่พร้อมที่จะจุดไฟเผาไหม้ศัตรูเราจะเห็นว่ายุทธภัณฑ์ทั้งหมดมีทั้งสำหรับป้องกันต้านรับ และสำหรับที่จะรุกไปข้างหน้า พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้เราเอาแต่ตั้งรับอย่างเดียว 

เอเฟซัส 6:17
อีกสองอย่างในยุทธภัณฑ์คือ ความรอด และพระดำรัสของพระเจ้า ความรอดทำให้เราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงปกป้องให้พ้นภัยต่าง ๆ คนที่มีความรอดแล้ว ก็จะไม่ตกไปในเงื้อมมือของมารง่าย ๆ ยกเว้นว่าเขาไม่เห็นคุณค่าของความรอด และไม่รักษาความรอดนั้นไว้ ส่วนพระแสงของพระวิญญาณคือพระคำ เป็นส่วนที่จะบุกเข้าไปในเขตแดนของมาร ในหัวใจของคนที่ยังถูกมารครอบครอง

เอเฟซัส 6:18
แม้จะสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าแล้ว แต่เราต้องไม่ลืมว่า ทหารต้องลงมือรบ ไม่ใช่แค่เข้าประจำการแล้วนั่งกันเฉย ๆ การอธิษฐานที่ท่านเปาโลสั่งครั้งนี้ น่าสนใจมากคือคำ ทุกเวลา ทุกเรื่อง ทุกคน ใช่แล้ว ทุกเวลาคือนอกจากที่จะจัดเวลาสำหรับการอธิษฐานแล้ว ยังต้องนำทุกเรื่องมาทูลต่อพระเจ้า และพร้อมที่จะอธิษฐานเผื่อทุกคนที่เรื่องราวของเขามาถึงเรา ไม่ว่าเราจะรู้จักเขาหรือไม่ เพราะพระเจ้าทรงรู้จักทุกคนดี

เอเฟซัส 6:19
ผู้รับใช้ของพระเจ้าทุกคนที่ออกไปเป็นแนวหน้าต้องการและจำเป็นต้องมีคนที่อธิษฐานเผื่อในแนวหลัง จะปล่อยให้พวกเขาไปตามลำพังไม่ได้ เพราะพวกเขาเป็นเป้าของศัตรูที่พยายามทำลายทุกวิถีทาง โดยใช้ทุกอย่างที่จะล่อลวง ล่อหลอกให้พวกเขาล้มลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน ชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว ชื่อเสียง สุขภาพ ฯลฯ ท่านเปาโลเตือนให้เราเห็นตัวอย่างกว่าสองพันปีมาแล้ว …

เอเฟซัส 6:20
จากข้อความตอนนี้ทำให้เรารู้ว่า ท่านเปาโลมองตัวเองเป็นทูตแห่งข่าวประเสริฐที่ถูกจำจองก็เพราะการประกาศข่าวนั้น แต่ท่านไม่ได้มีกรอบความคิดแบบคนทั่วไป ท่านมองว่า ท่านคือทูตของพระเจ้าที่มีเครื่องประดับตัวที่งดงาม เพราะคำว่าโซ่นี้แม้จะหมายถึงโซ่ตรวน แต่หากเป็นทูตที่มีโซ่ความหมายกลับกลายเป็นเรื่องของเครื่องประดับที่ทูตมักสวมไปขณะที่ทำหน้าที่ของเขา

เอเฟซัส 6:21
ในการรับใช้พระเจ้า เราไม่ได้ทำงานคนเดียว แต่มีเพื่อนร่วมงานที่ไว้ใจได้ เราเห็นว่า ท่านเปาโลมีผู้ร่วมรับใช้ที่ซื่อสัตย์หลายคน และในยุคของท่านเอง ยังมีผู้รับใช้ในท้องที่ต่าง ๆ แต่ละคนออกไปประกาศ เป็นพยานตั้งคริสตจักรอย่างไม่กลัวตายคนรุ่นแรกได้เป็นตัวอย่างให้กับพวกเรา เป็นคนกลุ่มที่พระเจ้าจะตรัสกับเขาว่า “ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและซื่อสัตย์”  มัทธิว 25:21

เอเฟซัส 6:22
ขอบคุณพระเจ้าที่จดหมายของท่านเปาโลซึ่งเขียนจากเรือนจำ เขียนจากหลาย ๆ ที่ ได้กลายเป็นบทเรียนที่ทำให้เรารู้จักพระเจ้าอย่างมากมาย เป็วรรณกรรมจดหมายที่ขาดไม่ได้จริง ๆ งานของท่านทำให้เราทราบความหมายของการที่พระเยซูทรงมาบังเกิดในโลก ทำให้เราเห็นภาพของการรับใช้พระเจ้าในโลกโบราณ และเห็นความต่อเนื่องในการประกาศพระกิตติคุณ เห็นการติดต่อสื่อสารส่งกำลังใจ และการรับใช้ที่สู้ไม่ถอย

เอเฟซัส 6:23-24
คนที่รักพระเยซู เป็นคนที่ได้รับพรมากเหลือเกินเพราะในชีวิตของเขาจะมีทั้งพระคุณ ซึ่งเป็นความดีต่าง ๆ ของพระเจ้าที่เพิ่มมาจากพระคุณที่พระเจ้าได้ประทานให้คนในโลก เขามีสันติสุข มีความรักและความเชื่อที่ช่วยทำให้เขารับใช้ได้โดยไม่บ่นเต็มใจรับใช้ เพราะเขาได้รับพลังพิเศษจากพระเจ้า คนที่รับใช้พระเจ้าด้วยรักที่ไม่มีวันหายไปนั้นบอกได้ว่า พิเศษมาก

พระคำเชื่อมโยง

1* โคโลสี 3:20-25; สุภาษิต 23:22, 6:20, 1:8
2* อพยพ 10:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 27:16; มัทธิว 15:4-6; สุภาษิต 20:20
3* เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16;,4:40, 12:28, 12:25
4* โคโลสี 3:21; สุภาษิต 22:6, 29:15, 19:18 เฉลยธรรมบัญญัติ 6:7
5* 1 เปโตร 2:18-21; ทิตัส 2:9-10; โคโลสี 3:17-24; 1 ทิโมธี 6:1-3
6* โคโลสี 3:22-23; 1 เธสะโลนิกา 2:4; กาลาเทีย 1:10; เอเฟซัส 5:17
7* โคโลสี 3:23; เอเฟซัส 6:5-6; 1 โครินธ์ 10:31
8* โคโลสี 3:24, 3:11; ลูกา 14:14; มัทธิว 16:27

9* โคโลสี 3:25-4:1; กิจการ 10:34; โรม 2:11; โยบ 31:13-15
10* ฟีลิปปี 4:13; อิสยาห์ 40:31; โยชูวา 1:9; 1โครินธ์ 16:1311* 2 โครินธ์ 10:4; โรม 13:12; 1 เธสะโลนิกา 5:8; เอเฟซัส 6:13
12* โคโลสี 1:13; 2 โครินธ์ 4:4; เอเฟซัส 2:2; กิจการ 26:18
13* 2 โครินธ์ 10:4; เอเฟซัส 6:11-17, 5:16; ลูกา 21:36; มาลาคี 3:2
14* อิสยาห์ 59:17, 11:5; 1 เธสะโลนิกา 5:8; ลูกา 12:35; 1 เปโตร 1:1315* อิสยาห์ 52:7; โรม10:15; 2 โครินธ์ 5:18-21
16* 1 เปโตร 5:8-9; 1 ยอห์น 5:4-5; สดุดี 56:3-4
17* ฮีบรู 4:12; อิสยาห์ 59:17, 49:2 ; วิวรณ์

19:15; 1 เธสะโลนิกา 5:8
18* 1 เธสะโลนิกา 5:17; โคโลสี 4:2; 1 ทิโมธี 2:1; ฟีลิปปี 4:6
19* โคโลสี 4:3; กิจการ 4:29; 2 เธสะโลนิกา 3:1
20* 2 โครินธ์ 5:20; โคโลสี 4:4; 2 ทิโมธี 2:9; ฟีลิปปี 1:7
21* กิจการ 20:4; 2 ทิโมธี 4:12; ทิตัส 3:12
22* โคโลสี 4:7-8; ฟีลิปปี 2:25; 2 เธสะโลนิกา 2:17
23* กาลาเทีย 6:16, 5:6; 1 เปโตร 5:14; 1 ทิโมธี 1:14; สดุดี 122:6-9
24* มัทธิว 22:37; ทิตัส 3:15, 2:7; 2 ทิโมธี 4:22


มาระโก 7 เหนือประเพณี ใจ เชื้อชาติ โรคร้าย

ประเพณีดังเดิมสืบจากบรรพบุรุษ
1 แล้วมีฟาริสีและธรรมาจารย์จากเยรูซาเล็มมาห้อมล้อมพระเยซู
2 พวกเขาเห็นศิษย์ของพระองค์บางคนกินอาหารด้วยมือมลทินนั่นคือไม่ได้ล้างมือ
3 เพราะฟาริสีและพวกยิวจะไม่กิน จนกว่าจะได้ล้างมือตามประเพณีบรรพบุรุษเสียก่อน
4 และหากกลับจากตลาด ก็จะไม่กินจนกว่าจะได้ล้างมือ และยังมีประเพณีอื่น ๆ ที่ต้องทำตามอีกเช่น การล้างถ้วย การล้างเหยือก กาน้ำ และภาชนะอื่น ๆ
5 พวกฟาริสีและธรรมาจารย์จึงถามพระเยซูว่า “เหตุใดศิษย์ของท่านจึงไม่ดำเนินตามประเพณีบรรพบุรุษ? แต่กลับกินอาหารด้วยมือมลทิน?


6 พระเยซูทรงตอบกลับว่า “อิสยาห์ได้กล่าวคำล่วงหน้าถึงพวกเจ้าคนหน้าซื่อใจคดอย่างถูกต้องที่เขียนไว้ว่า “คนเหล่านี้ให้เกียรติเราด้วยปาก แต่ใจของพวกเขาห่างจากเรา
7 พวกเขานมัสการเราอย่างไร้ความหมาย พวกเขาสอนกฎต่าง ๆ ของมนุษย์
8 เจ้าไม่ใส่ใจพระบัญชาของพระเจ้า และกลับไปถือรักษาประเพณีของมนุษย์”

9 พระองค์ตรัสต่อไปว่า “เจ้าได้หลบเลี่ยงพระบัญชาของพระเจ้าเพื่อจะได้รักษาประเพณีของตน
10เพราะโมเสสกล่าวว่า ..จงให้เกียรติบิดาและมารดาของเจ้า.. และ..คนใดที่ด่าแช่งพ่อแม่จะต้องรับโทษถึงชีวิต..
11 แต่เจ้ากลับกล่าวว่า ถ้าคนใดกล่าวแก่พ่อหรือแม่ว่า “สิ่งที่ท่านจะได้รับจากข้าพเจ้านั้น เป็น โกระบาน นั่นคือ ของถวายแด่พระเจ้าแล้ว”
12 พวกเจ้าก็ไม่อนุญาตให้เขาทำสิ่งใดให้กับพ่อ แม่อีกต่อไป
13 เท่ากับเจ้าได้ยกเลิกพระดำรัสของพระเจ้าด้วยประเพณีที่เจ้าทำสืบเนื่องกันต่อ ๆ มา
และเจ้ายังทำแบบนี้อีกหลายอย่างด้วย”

สิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน
14 อีกครั้งที่พระเยซูทรงเรียกฝูงชนเข้ามา และตรัสว่า
“ทุกคนจะฟังเรา และจงเข้าใจตามนี้
15ไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปในร่างมนุษย์แล้วจะทำให้เขาเป็นมลทิน
แต่สิ่งที่ออกมาจากมนุษย์ต่างหากที่ทำให้เขาเป็นมลทิน
16 ใครมีหูก็จงฟังเถิด


17 หลังจากที่พระเยซูทรงละจากผู้คนและเข้ามาในบ้าน
ศิษย์ของพระองค์ก็ถามเรื่องคำอุปมานั้น
18 “เจ้ายังคิดไม่ออกอีกหรือ?” พระองค์ตรัสถาม “เจ้าไม่เข้าใจหรือว่า สิ่งใด ๆ จากภายนอก ที่เข้าไปในร่างของมนุษย์ ไม่ได้ทำให้เขาเป็นมลทิน
19 เพราะมันไม่ได้เข้าไปในใจ แต่เข้าไปในท้อง แล้วก็ออกจากร่างกายไป”
(พระองค์ทรงประกาศว่า อาหารทั้งสิ้น ไม่มีมลทิน)
20 แล้วตรัสต่อไปว่า “สิ่งที่ออกมาจากมนุษย์คือสิ่งที่ทำให้เขาเป็นมลทิน
21 เพราะจากใจของมนุษย์ คือความคิดชั่ว ความผิดทางเพศ การขโมย ฆาตกรรม และการล่วงประเวณี
22 ความโลภ ความชั่วร้าย การหลอกลวง ราคะตัณหา การอิจฉา การสบประมาทผู้อื่น ความยโสจองหอง และความโง่เขลา
23ความชั่วเหล่านี้มาจากข้างในและทำให้มนุษย์เป็นมลทิน

ความเชื่อของหญิงซีเรียฟินิเชีย
24 แล้วพระเยซูทรงละจากที่นั่นเข้าไปยังเขตเมืองไทระโดยไม่ทรงประสงค์จะให้ใครรู้ว่าทรงอยู่ที่นั่น ทรงเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง แต่แล้ว ก็มีคนสังเกตเห็นพระองค์จนได้
25 มีหญิงคนหนึ่งที่มีลูกสาวตัวเล็ก ๆ ถูกวิญญาณโสโครกสิงอยู่ ได้ยินข่าวเรื่องพระองค์ เธอจึงเข้ามาหมอบแทบพระบาท
26 เธอเป็นหญิงชาวกรีก ที่เกิดในซีเรียฟินิเชีย และเธอเฝ้าอ้อนวอนขอให้พระเยซูทรงช่วยขับผีออกจากลูกสาวของเธอ


27 “ต้องให้ลูก ๆ กินอิ่มก่อนนี่นา ไม่ถูกต้องเลยที่จะเอาขนมปังของลูกโยนให้ลูกสุนัข” พระองค์ตรัส
28“ใช่แล้วเจ้าค่ะ พระผู้เป็นเจ้า” เธอตอบ “แม้แต่สุนัขใต้โต๊ะก็ยังกินเศษอาหารที่เหลือจากลูก”
29 พระเยซูจึงตรัสกับเธอว่า “เพราะคำตอบนี้ เจ้าไปได้ ผีร้ายได้ออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว”
30 เธอจึงกลับบ้านไปพบว่า ลูกสาวนอนอยู่บนเตียง และผีออกไปจากตัวเด็กน้อยแล้ว

ทรงรักษาคนหูหนวกเป็นใบ้
(Matthew 9:27–34)
31 แล้วพระเยซูทรงละจากแคว้นเมืองไทระและทรงเดินทางผ่านไซดอนไปยังทะเลสาบกาลิลี เข้าไปในเขตทศบุรี
32 มีบางคนนำคนหูหนวกที่เกือบพูดไม่ได้มาหาพระองค์ และพวกเขาขอพระองค์ทรงวางมือบนเขา
33 ดังนั้น พระองค์ทรงนำเขาออกมาจากฝูงชน อยู่เป็นส่วนตัว และทรงเอานิ้วพระหัตถ์แยงเข้าไปในหูของเขา จากนั้นทรงถ่มน้ำลายเอาไปแตะที่ลิ้นของช่ายคนนั้น
34 และทรงมองไปยังฟ้าสวรรค์ ถอนพระทัยลึก ๆ ตรัสกับเขาว่า “เอฟฟาธา” ซึ่งหมายความว่า จงเปิดออก
35 ทันใดนั้นเอง หูของเขาก็เปิด ลิ้นของเขาก็เคลื่อนไปมาได้ และเขาก็เริ่มต้นพูดเป็นปกติ
36 พระเยซูทรงสั่งพวกเขาไม่ให้บอกใคร แต่ยิ่งสั่งพวกเขาก็ยิ่งประกาศโพทนาเรื่องนี้มากขึ้น ๆ
37 ผู้คนแปลกใจมาก และกล่าวว่า “พระองค์ทรงทำทุกอย่างดีมาก ดูสิ ทรงทำให้แม้แต่คนหูหนวกได้ยิน และคนใบ้พูดได้”

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 7:1-13
จากพระคำตอนนี้ เราจะเห็นว่า ฟาริสีและธรรมาจารย์ได้ให้ความสำคัญกับประเพณีของบรรพบุรุษเป็นอย่างมาก กฎเล็ก กฎน้อยเหล่านี้ เป็นกฎที่เล่าต่อกันมา พวกเขาเชื่อว่าถ้าทำตามกฎเหล่านี้ ก็จะช่วยให้ทำตามพระบัญญัติได้ และการทำได้ ก็จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย พวกเขาบังคับการใช้ชีวิตของผู้ึคน แม้การล้างมือ ก่อนกินอาหาร วิธีการกิน​ฯลฯ และการทำตามกฎเหล่านี้ ทำให้พวกฟาริสี ธรรมาจารย์ทั้งหลาย มีความรู้สึกว่า ตนเองดีเหนือชาวบ้านชาวเมืองธรรมดา และยังยกระดับกฎเล็กน้อยเหล่านี้เหนือพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานแก่โมเสส
พวกเขาถึงกับเข้าใจว่า การที่ทำตามประเพณีเช่นการล้างมือให้สะอาด เป็นหนึ่งในวิธีการที่จะทำให้ได้รับความรอดบางครั้งเราเองก็มีความคิดคล้ายคลึงกัน เพียงแต่เปลี่ยนเนื้อหาเพราะสังคมเปลี่ยนไป
เราอาจจะบอกคนหนึ่งว่า คุณจะเข้าหาพระเจ้าได้ก็ต้องเลิกเหล้า บุหรี่เสียก่อน คุณต้องเป็นคนสะอาดก่อนจึงจะเข้าหาพระเจ้าได้ ซึ่งความจริงนั้น พระเยซูได้ทรงตายเพื่อคนบาปทั้ง ๆ ที่เขายังเป็นคนบาปอยู่ การสนใจในพระบัญชาจริง ๆ ของพระเจ้า เงื่อนไขจริงของพระเจ้าสำคัญกว่าความคิดอันย้อนแย้งและสับสนของพวกเรา
ในข้อสิบสามพระเยซูได้กล่าวถึงการที่พวกเขายกเลิกพระดำรัสตรง ๆ ของพระเจ้า แล้ว เอาข้อบังคับทางประเพณีต่าง ๆ มาใช้แทนพระคำตอนนี้ เตือนเราว่า อย่าได้ถือเอาความเห็นของมนุษย์มาเหนือพระคำของพระเจ้าเด็ดขาด ทั้งยอห์นผู้ให้บัพติศมา และพระเยซู ได้กลายเป็นศัตรูสำคัญของเหล่าปุโรหิต ฟาริสี และธรรมาจารย์ เพราะไม่ยอมให้กฎของพวกเขามาเหนือพระดำรัสของพระเจ้า!

มาระโก 7:14-23
สืบเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า กฎต่าง ๆ ทำให้คนเราสะอาดขึ้นมาได้ ธรรมาจารย์ ฟารีสี ปุโรหิตทั้งหลายจึงระวังรักษากฎเพื่อที่จะให้ตนเองไม่เป็นมลทิน ไม่ใช่แค่พวกเขา แม้แต่ศิษย์ของพระเยซูเองก็ยังคงเชื่อเช่นนั้น พอพระเยซูตรัสบอกว่า ความสกปรกมาจากในตัวมนุษย์เอง ทำให้พวกเขาถึงงง ตั้งแต่เป็นเด็กมาก็รู้ว่า ต้องรักษากฎที่มาจากศาลาธรรมชีวิตจึงจะสะอาดนี่นา
เป็นอีกครั้งที่พระเยซูตรัสว่า ใครมีหูจงฟังเถิด ซึ่งจริง ๆ แล้ว คำ ๆ นี้สำคัญมาก บอกให้รู้ว่า คนแต่ละคนมีความสามารถในการฟัง และไตร่ตรอง และนำไปใช้ในชีวิตไม่เท่ากัน คนที่ฟังดี และคิดต่อได้ดี จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนและเจริญขึ้น คงจะต้องกลับไปหาเยเรมีย์ 17:9-10 ที่เตือนไว้ว่า ใจของมนุษย์นั้นหลอกลวงและชั่วร้ายเหนืออื่นใด ดังนั้นการที่ใครคนหนึ่งจะสะอาดเฉพาะพระเจ้าได้ ต้องใช้เงื่อนไขกฎแห่งพระคุณของพระเจ้า กฎการสำนึกผิด การกลับใจ การให้อภัยบาปจากพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยกฎที่เกิดจากการกระทำ ดังนั้นเราจึงเห็นว่า การนำพระคำของพระเจ้าไปใช้ในชีวิตเป็นเรื่องของจิตใจที่เปลี่ยน ไม่ใช่การกระทำตามกฎใหม่ ๆ ที่คิดว่าใช้ได้

มาระโก 7:24-30
น่าเสียดายจริง ๆ ในขณะที่ผู้นำยิว ธรรมาจารย์คนอื่น ๆ และแม้แต่ศิษย์ของพระองค์เอง ยังไม่ค่อยเข้าใจว่า พระองค์คือผู้ใด พวกเขาติดตามพระองค์และเห็นการอัศจรรย์มากมาย แต่ก็ยังขาดความเข้าใจในบางเรื่อง เราเห็นว่า แม้แต่ผีมาร (1:24; 5:7)และธรรมชาติยังยอมรับ (4:39) และเชื่อฟังพระองค์มากกว่าคนเสียอีก เป็นจริงอย่างที่ยอห์น 1:11 บันทึกไว้ว่า พระองค์เสด็จมายังบ้านเมืองของพระองค์แต่คนของพระองค์กลับไม่ต้อนรับพระองค์​ นี่เป็นบันทึกเดียวที่กล่าวถึงการที่พระเยซูออกไปนอกเขตแดนอิสราเอล และเป็นการเดินทางออกไปไกลมาก
พระเยซูทรงประสงค์ที่จะพักผ่อน และทรงเข้าไปในบ้านของคน ๆ หนึ่งที่ต้อนรับพระองค์ แต่มีคุณแม่ชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว รู้ว่า พระเยซูทรงอยู่ในบ้านนั้น ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยไม่ให้ใครรับรู้ และการพบปะครั้งนี้ ดูเหมือนพระเยซูทรงไม่สนพระทัยคนที่ตั้งใจมาหาพระองค์เสียด้วย
พระเยซูจะทรงทำอะไรกับหญิงต่างชาติที่มาขอให้ช่วยขับผีออกจากลูกสาวตัวเล็ก ๆ ซึ่งนอนซมอยู่ที่บ้าน?
จากเรื่องนี้ พระเยซูทรงทำเหมือนเมินเฉยต่อคำขอร้อง และยังเปรียบเธอเหมือนลูกสุนัขในบ้านที่คอยกินอาหารตกจากโต๊ะนาย แต่เธอยินดีที่จะเป็นลูกสุนัขตัวนั้น ขอเพียงพระเยซูทรงรักษาลูกสาวของเธอ
แล้วพระเยซูก็ทรงรักษาเพราะเธอตั้งใจมาหาพระองค์ คำตอบของเธอเป็นที่พอพระทัย แสดงถึงความเชื่อที่ไม่ยอมแพ้ แม้ว่าจะเป็นคนต่างชาติที่ยิวไม่ชอบ จะเห็นภาพชัดเจนของความเชื่อที่ก้าวข้ามทั้งความเป็นหญิงต่างชาติ เป็นคนที่ดูต่ำต้อย ก้าวข้ามคำที่เหมือนดูถูก แต่ความเชื่อยิ่งใหญ่นัก เป็นคนที่ได้รับพระพรเหนือธรรมาจารย์ และศิษย์เสียด้วยซ้ำ

มาระโก 7:31-37
​​​ เหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นขณะที่พระเยซูอยู่ในแคว้นทศบุรีทางตะวันออกของทะเลสาบกาลิลี เป็นถิ่นที่อยู่ของคนต่างชาติ มีคนนำพาชายหูหนวกและเกือบใบ้คนหนึ่ง มาหาพระเยซู คนที่ได้ยิน ได้รู้เรื่องของพระองค์มีน้ำใจพามา มีความเชื่อว่าเขาจะหายโรค
สำหรับชายคนนี้ พระองค์ทรงสัมผัสตัวเขา เอานิ้วของพระองค์แยงเข้าหู ทรงใช้น้ำลายของพระองค์แตะลิ้นเขาด้วย พระองค์ทรงช่วยทั้งหู และปากของเขาในเวลาเดียวกัน พระเยซูทรงมองไปยังฟ้าสวรรค์ ทรงติดต่อกับพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์ แล้วถอนพระทัยที่บาปร้ายในโลกทำให้ชายคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานแล้วพระดำรัสสั่งของพระเยซูทำให้ชายหูหนวกที่เกือบพูดไม่ได้ มีหูที่เปิด และลิ้นสามารถขยับไปมาได้สามารถพูดเป็นปกติ ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาพูดไม่ชัด เพราะหูไม่ได้ยินคำที่ถูกต้องเลย
จากเรื่องนี้ทำให้เรามั่นใจว่า ในวันนี้พระเยซูทรงทำให้คนที่หูหนวกฝ่ายวิญญาณได้ยินเสียงของพระเจ้าเป็นครั้งแรกได้ เช่นกัน เรามีความเชื่อเหมือนเพื่อนที่นำเขามาหาพระเจ้าได้
ดูสิ เมื่อพระเจ้าทรงอยู่ท่ามกลางประชาชนของพระองค์ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อิสยาห์บอกเราไว้ใน อิสยาห์ 35:5-6
4 จงกล่าวแก่คนที่ขลาดกลัวว่า “จงเข้มแข็ง อย่ากลัวไป พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่นี่ พระองค์เสด็จมาพร้อมกับการแก้แค้นการตอบสนองของพระองค์กำลังมาพระองค์จะทรงช่วยเจ้า 5 แล้วคนตาบอดจะมองเห็นคนหูหนวกจะได้ยิน
6 คนง่อยจะโลดเหมือนกวางและลิ้นของคนใบ้จะร้องเพลงแห่งความยินดี

การห้ามบอกใครเรื่องการหายโรคนี้ ไม่ได้ผล ชายหูหนวกเที่ยวประกาศให้ใคร ๆ รู้ว่า เขาได้ยินแล้ว พูดได้แล้ว นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิต เมื่อเราได้เปิดหูฝ่ายวิญญาณของเรา ได้ยินสิ่งที่พระเจ้าตรัสอย่างที่ไม่เคยมาก่อน ก็จะมีความตื่นเต้น และต้องขอบอกให้โลกรู้อย่างชายคนนี้แหละ

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 15:1-20
2* มัทธิว 15:20
3* มาระโก 7:5, 8,9,13; กาลาเทีย 1:14; 1 เปโตร 1:18
5* มัทธิว 15:2
6* มัทธิว 23:13-29; อิสยาห์ 29:13
9* สุภาษิต 1:25; อิสยาห์ 24:5; เยเรมีย์ 7:23-24
10* อพยพ 20:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16; มัทธิว 5:4; อพยพ 21:17; เลวีนิติ 20:9; สุภาษิต 20:20

11* มัทธิว 15:5; 23:18
14* มัทธิว 15:10; 16:9, 11, 1215* อิสยาห์ 59:3; ฮีบรู 12:15
16* มัทธิว 11:15
17* มัทธิว 15:15
18* อิสยาห์ 28:9-11; 1โครินธ์ 3:2; ฮีบรู 5:11-14
20* สดุดี 39:1 มัทธิว ยากอบ
21* ปฐมกาล สดุดี เยเรมีย์ มัทธิว กาลาเทีย 2 เปโตร 1 เธสะโลนิกา
22* ลูกา โรม 1 เปโตร วิวรณ์ 1ยอห์น

24* มัทธิว มาระโก
25* มาระโก ยอห์น วิวรณ์31* มัทธิว มาระโก ยอห์น ลูกา กิจการ 1โครินธ์
32* มาระโก ลูกา
33* มาระโก ยอห์น
34* มาระโก ยอห์น
35* อิสยาห์ 35:5-636* มาระโก 5:43
37* มาระโก 6:51; 10:26; มัทธิว 12:22


เอเฟซัส 5 พระคริสต์กับคริสตจักร

เอเฟซัส 5:1
ดังนั้น ขอให้ท่านเลียนแบบพระเจ้าสมกับที่เป็นบุตรที่รักยิ่งของพระองค์
เอเฟซัส 5:2
และให้ใช้ชีวิตในความรัก เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักเรา และทรงสละชีวิตของพระองค์เพื่อเป็นของถวายที่มีกลิ่นหอม เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า

เอเฟซัส 5:3
อย่าให้มีพฤติกรรมผิดทางเพศและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความสกปรกทุกชนิด อย่าให้มีความโลภในหมู่พวกท่านซึ่งไม่เหมาะแก่วิสุทธิชนของพระเจ้า
เอเฟซัส 5:4
อย่าให้มีการพูดหยาบโลนลามก ไร้สาระ คำตลกที่หยาบคายซึ่งไม่เป็นการสมควร แต่ควรมีการพูดขอบคุณพระเจ้ามากกว่า
เอเฟซัส 5:5
ขอให้แน่ใจได้เลยว่า คนที่ทำผิดทางเพศ คนที่ใช้ชีวิตสกปรกโสมม คนโลภและคนไหว้รูปเคารพ จะไม่มีส่วนรับมรดกในอาณาจักรของพระคริสต์และพระเจ้า

เอเฟซัส 5:6-7
อย่าให้ใครหลอกท่านด้วยคำที่ไร้สาระ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น การลงโทษของพระเจ้าจะมาถึงคนที่ไม่เชื่อฟัง ดังนั้น อย่ามีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับคนเหล่านั้นเลย
เอเฟซัส 5:8-9
เมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้….ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงใช้ชีวิตอย่างลูกของความสว่างเพราะผลของความสว่างพบได้ในความดี ความเที่ยงธรรมและความจริงทั้งสิ้น!

เอเฟซัส 5:10-12
จงค้นหาว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยสิ่งใดและอย่าเข้าไปมีส่วนกับการงานไร้ค่าของความมืด แต่ให้เปิดเผยการเหล่านั้นเพราะเป็นเรื่องน่าอายแม้จะพูดถึงสิ่งที่พวกเขาแอบทำ 
เอเฟซัส 5:13-14
แต่ทุกสิ่งถูกเปิดเผยให้กระจ่างด้วยความสว่างนั้น เพราะความสว่างทำให้ทุกสิ่งเป็นที่รู้ชัด ดังนั้น จึงมีคำกล่าวว่า “จงตื่นขึ้นเถิด ผู้ที่หลับอยู่ จงฟื้นขึ้นจากความตายและพระคริสต์จะทรงส่องสว่างให้แก่ท่าน”

เอเฟซัส 5:15-16
จงระวังในการใช้ชีวิต อย่าเป็นเหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้ใช้ชีวิตอย่างคนมีปัญญา จงฉวยใช้เวลาให้ถูกต้องในทุกโอกาสเพราะทุกวันนี้ ชั่วช้านัก
เอเฟซัส 5:17-18
ดังนั้นอย่าเป็นคนโง่เขลา แต่ให้เข้าใจพระดำริของพระเจ้าว่าเป็นอย่างไรและอย่าเมามายด้วยเหล้า เพราะมันทำให้ชีวิตเสียไปได้ แต่จงเปี่ยมล้นด้วยองค์พระวิญญาณ

เอเฟซัส 5:19
จงสนทนากันโดยการใช้คำจากเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายวิญญาณ จงร้องเพลงและสร้างทำนองเพลงในใจถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า
เอเฟซัส 5:20-21
จงขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดาสำหรับทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้าของเราอยู่เสมอ จงยอมฟังกันและกันด้วยความยำเกรงในพระคริสต์ 

เอเฟซัส 5:22-23
ภรรยา จงเชื่อฟังสามี เหมือนที่เชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า เนื่องจากสามีเป็นเหมือนศีรษะของภรรยา แบบเดียวกับที่พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักรซึ่งเป็นพระกายและพระองค์ยังทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักรอีกด้วย
เอเฟซัส 5:24
คริสตจักรยอมเชื่อฟังพระคริสต์อย่างไร ภรรยาก็ควรยอมเชื่อฟังสามีในทุก ๆ เรื่องอย่างนั้น

เอเฟซัส 5:25-26
ส่วนสามีก็จงรักภรรยาของตนเหมือนกับที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักรและประทานชีวิตของพระองค์ให้แก่คริสตจักร เพื่อพระองค์จะทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์ โดยการชำระด้วยน้ำผ่านทางพระคำของพระเจ้า
เอเฟซัส 5:27
เพื่อว่าพระองค์จะทรงได้รับคริสตจักรที่งดงามไร้มลทินมาเป็นของพระองค์ไร้ริ้วรอยและไร้ตำหนิใด ๆแต่เป็นคริสตจักรที่บริสุทธิ์ และไม่มีที่ติเลย

เอเฟซัส 5:28-29
เช่นกัน สามีควรรักภรรยาของตนเหมือนที่เขารักร่างกายของตนเอง ผู้ที่รักภรรยาเท่ากับรักตนเอง
เพราะไม่มีใครเกลียดชังร่างกายของตนแต่จะเฝ้าดูบำรุงรักษาเหมือนที่พระคริสต์ทรงทำแก่คริสตจักร
เอเฟซัส 5:30-31
เพราะเราทั้งหลายเป็นอวัยวะส่วนต่าง ๆ ในพระกายของพระองค์ด้วยเหตุนี้ ผู้ชายจึงละบิดามารดาไปผูกสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับภรรยาและทั้งสองก็เป็นเนื้อหนึ่งเดียวกัน

เอเฟซัส 5:32-33
นี่เป็นคำที่ลี้ลับซับซ้อน แต่ข้ากำลังพูดถึงพระคริสต์ และคริสตจักร
อย่างไรก็ตาม ทุกคนจงรักภรรยาของตนให้เหมือนกับที่รักตนเอง และ
ภรรยาก็จงเคารพให้เกียรติสามีของตน

เอเฟซัส 5:1
ท่านเปาโลไม่ได้ขอให้เราเลียนแบบมนุษย์ กลับขอให้เลียนแบบพระเจ้า เพราะพระองค์เป็นต้นแบบที่ไม่มีข้อตำหนิเลยสักนิด ในการเลียนแบบพระเจ้านั้น เราต้องการพลังของพระวิญญาณที่จะทรงช่วยให้เราทำตามพระองค์ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เอเฟซัส 5:2
การใช้ชีวิตในความรักของผู้เชื่อยังมีกันหลายระดับ บางคนก็ได้ใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่น สละชีวิตสบาย ๆ เพื่อออกไปรับใช้ในที่ ๆ ยากลำบาก กันดาร ไม่สุขสบายเหมือนอยู่ในบ้านเมืองของตน แต่บางคนก็ยังสนใจแค่ตัวเอง ไม่เห็นคนข้างเคียงที่ต้องการกำลังใจ การสนับสนุนเพื่อให้ก้าวหน้าต่อไป แต่ความรักของพระเยซูที่มีต่อเรานั้นมหาศาล ไม่มีใครเทียบได้ เพราะพระบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุดได้ทรงสละชีวิตให้เราเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า

เอเฟซัส 5:3
หากเรารักใคร รักนั้นจะต้องปลอดความคิดชั่วพฤติกรรมที่ผิด ความคิดสกปรกทั้งหลาย เพราะหากมีความคิดอย่างนี้ เท่ากับเป็นการทำร้ายอีกฝ่ายอย่างน่ากลัวน่าชังเป็นอย่างยิ่ง คนของพระเจ้าจะต้องมีชีวิตที่ปราศจากความคิดชั่วที่กล่าวมา พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ คนของพระองค์ต้องมีชีวิตจิตใจที่บริสุทธิ์อย่างพระองค์ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญ มองข้ามไม่ได้เลย!

เอเฟซัส 5:4
คำพูดหยาบโลนก็มาจากใจที่ครุ่นคิดเรื่องที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศทั้งหลายของมนุษย์ คนที่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ ก็จะไม่พูดหยาบคายที่โยงไปถึงเรื่องสกปรกต่าง ๆ ในชีวิตมนุษย์ มัทธิว 15:18 พระเยซูตรัสว่า ใจคิดอย่างไร ปากก็พูดออกมาอย่างนั้นสุภาษิต 4:23 จงรักษาใจด้วยสุดความพยายามเพราะทุกสิ่งที่เจ้าทำ.. ก็ออกมาจากใจทั้งสิ้น การขอบพระคุณเป็นทางหนึ่งช่วยให้เราไม่คิดชั่ว

เอเฟซัส 5:5
อาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้หมายถึงเฉพาะเมื่อเราตายไปแล้ว แต่การอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าคือ
การอยู่ใต้การครอบครอง การปกป้องดูแลจากพระเจ้าตั้งแต่ในชีวิตนี้ เมื่อเรามาเชื่อวางใจ รับพระเยซู
เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เท่ากับเราได้เข้ามาอยู่ในส่วนหนึ่งของอาณาจักรในโลกนี้ อาณาจักรของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ และทรงบัญชาให้คนในอาณาจักรของพระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์1 เปโตร 1:15-16

เอเฟซัส 5:6-7
ในสังคมคริสเตียน ยังมีคนสอนที่สร้างคำสอนขึ้นมาเอง ไม่ได้สอนตามพระคำอันบริสุทธิ์ ดังนั้น เราซึ่งเป็นผู้เชื่อจะต้องรู้และเข้าใจพระคำของพระเจ้า ต้องค้นหา จดจำใคร่ครวญ เพื่อเราจะไม่หลงเชื่อไปตามคำสอนที่ผิดจากพระคำ มีหลายคนวางกฎของพระเจ้าใหม่ตามใจตนเอง และทุกวันนี้ยังมีการสอนผิดกันอย่างดาษดื่นอย่างไม่มีความอายเลย ยิ่งในโลกใหม่บนโซเชียลมีเดีย ก็เกิดคนชักจูงผิดอีกมาก..​วิบัติ!

เอเฟซัส 5:8
พระคำตอนนี้บอกเราว่าในอดีตเราอยู่โลกมืดแต่ตอนนี้เราอยู่ในพระเจ้า เป็นโลกแห่งความสว่าง พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ที่เราจะกลับไปสู่โลกมืดที่นำไปสู่ความตายอีกต่อไป การใช้ชีวิตทุกวัน ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะเลือกเดินทางไหน เป็นการตัดสินใจที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ เพราะทางที่เราเดินไปในชีวิตนั้น จะมีหนทางซ้าย ขวา หน้า หลังที่เรา
ต้องเลือกเดิน ท่านเปาโลบอกเราชัดว่า ให้ใช้ชีวิตแบบคนในความสว่าง โปร่งใส สะอาด ชัดเจน

เอเฟซัส 5:9
ก่อนที่จะนึกถึงผลแห่งความสว่าง ลองมาคิดดูว่าผลของชีวิตที่มืดนั้นคืออะไร เราจะเข้าใจผลของความสว่างนั้นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น สันติสุขที่ได้จากความสว่างนั้น สุดยอดจริง ๆ เพราะว่าชีวิตมนุษย์เรานั้นประกอบด้วยความทุกข์ใจ และปัญหามากมายซึ่งต้องการให้หมดไป แต่ของเหล่านี้มักไม่หมดไปจากเรา เราจึงต้องการชีวิตที่มีแสงสว่าง
ของพระเจ้านำทางให้เราฝ่าฟันไปได้ โดยไปพร้อมกับพระองค์

เอเฟซัส 5:10-12
มีคนหนึ่งพูดว่า “ผมกลัวที่จะเสียความโปรดปรานของพระเจ้าไป” นี่แสดงว่า เขามีความเกรงใจ มีความเข้าใจว่า การมีชีวิตอยู่กับพระเจ้านั้น ไม่ใช่ทำอะไรตามใจตัวเอง แต่เป็นการทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย นั่นคือเป้าหมายของชีวิตที่ดำเนินตามความสว่าง คนในโลกนี้ชินชากับการพูดถึงสิ่งที่แอบทำในที่มืด แต่คนของพระเจ้าจะต้องเข้าใจว่าชีวิตตามความสว่างนั้น ต้องโปร่งใส ไม่ทำแอบทำสิ่งที่น่าละอาย จึงไม่มีอะไรที่จะต้องเอามาพูด

เอเฟซัส 5:13-14
นี่ไง ความสว่างทำให้ทุกสิ่งเป็นที่รู้…ชัด เพราะอะไร? เพราะมองเห็น ถ้ามืด ก็คือมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ท่านเปาโลนำคำของท่านอิสยาห์ 60:1มากล่าวซ้ำว่า ให้คนที่หลับตื่นขึ้นมา เพื่อพระคริสต์จะส่องแสงมายังชีวิตเรา นั่นคือ พระเยซูทรงคืนชีวิตขึ้นมาและทรงเป็นแสงสว่างของโลก เราจึงต้องใช้ชีวิต ติดตามพระองค์ ไม่ให้ชีวิตของเรามืดอีกต่อไป แต่เป็นชีวิตที่โปร่งใส ไม่มีการคดโกง หรือความมืดใด ๆ แอบอยู่ต่อไป

เอเฟซัส 5:15-16
การฉวยโอกาสที่จะทำสิ่งดีเพื่อพระเจ้านั้น ขอให้เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตเรา ฉวยโอกาสที่จะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าในชีวิตประจำวัน เพื่อให้คนอื่นได้รู้จักพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการลงมือช่วยเหลือ การอธิษฐานเผื่อ สมัยของท่านเปาโล ท่านยังกล่าวว่า เป็นยุคที่ชั่วช้านัก.. สมัยของเราสิ ยิ่งกว่าอีก เพราะความชั่วนั้นแพร่ไปได้อย่าง
รวดเร็ว อินเตอร์เน็ตแรงเท่าไร ความชั่วก็แพร่ไปได้เร็วเท่านั้น ระบาดเร็วราวกับโรคร้าย

ถอดความจาก เอเฟซัส 5:17-18
ท่านเปาโลเตือนพี่น้องในเมืองเอเฟซัสทุก ๆ ด้าน หากพี่น้องเข้าใจพระดำริของพระเจ้าชัด พวกเขาก็จะเป็นคนฉลาดในการใช้ชีวิตเมื่อเขาติดตามพระดำรินั้น แล้วยังเตือนไม่ให้เมาเหล้า เพราะการเมาเหล้าทำให้คนสติดีกลายเป็นคนขาดการยับยั้งชั่งใจดูไม่น่าเคารพอีกต่อไป คำสุดท้ายท่านให้เราเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณ
ซึ่งจะช่วยทั้งตัวเราและคนรอบข้างได้

เอเฟซัส 5:19
ท่านเปาโลกำลังบอกให้เราทำยิ่งกว่าพูดดีต่อกัน ท่านให้เราใช้พระคำของพระเจ้ามาเป็นคำสนทนา ซึ่งจะช่วยสร้างเสริมกันและกัน ช่วยให้แต่ละคนได้เติบโตในพระเจ้า เข้าใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นทั้งส่วนตัว และทั้งเป็นกลุ่ม การร้องเพลงคนเดียวถวายพระเจ้า กับการร้องเพลงพร้อม ๆ กันกับคนจำนวนมากถวายพระเจ้า คือส่วนประกอบสำคัญของการเติบโตฝ่ายวิญญาณ

เอเฟซัส 5:20-21
ชีวิตของเราทุกคนมีความยากง่ายไม่เท่ากัน โอกาสในชีวิตก็ไม่เท่ากัน และวิธีการ จัดการชีวิตก็แตกต่างกันไป แต่ยังมีสองสิ่งที่จะช่วยให้เราสามารถเผชิญกับทุกสิ่งที่ประดังเข้ามาได้ นั่นคือ ใจที่ขอบพระคุณ และยอมฟังกัน การขอบคุณพระเจ้าทำให้เรามีพลังและการยอมฟังกันก็ช่วยให้เรามีทางออกที่ดีขึ้นด้วย

เอเฟซัส 5:22-23
เราจะเห็นได้ว่า สามีเป็นผู้ที่รับผิดชอบในชีวิตฝ่ายวิญญาณของครอบครัว รองลงมาจากพระคริสต์ทีเดียว บางคนเห็นพระคัมภีร์ข้อนี้แล้วก็รับไม่ค่อยได้เพราะรู้อยู่ว่า คนเราที่เป็นทั้งสามีและภรรยาต่างมีข้อบกพร่องของตัวเองที่แตกต่างกันไป แต่ที่สุดนี่คือคำสั่งของพระเจ้าเพื่อทั้งภรรยาและสามี

เอเฟซัส 5:24
ที่คริสตจักรของพระคริสต์ผ่านการทำลายล้างการข่มเหง ตามฆ่า จำคุก เผาทั้งเป็น มีการต่อต้านความเชื่อในพระเจ้ามาตลอดทุกยุคตั้งแต่
คริสตจักรยุคแรกสมัยท่านเปาโลและมาถึงตอนนี้ ท่านเปาโลสอนให้ภรรยาเชื่อฟังสามีในทุกเรื่อง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าถ้าสามีบอก
ให้เลิกติดตามพระเจ้า เธอควรจะทำตาม แต่..เรื่องเหล่านี้ พระเจ้าให้เราใช้สติปัญญา รู้ว่าพระเจ้าเป็นที่หนึ่ง พระองค์จะทรงให้ทางออกแน่

เอเฟซัส 5:25-26
ส่วนสามี ได้รับคำสั่งให้รักภรรยาเหมือนที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และไม่ได้แค่ตรัส แต่ทรงลงมือทำด้วยการประทานชีวิตของพระองค์
ให้แก่ผู้เชื่อ .. เป็นการทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์เราพบสามีของบางครอบครัว ก็เป็นผู้ที่ทำตามพระคริสต์ เขาเป็นคนที่น่านับถือ น่ายกย่อง แต่ก็มีสามีที่ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านเปาโลได้สั่งไว้ และทำให้เกิดความสับสน มีจำนวนมากที่ภรรยากลายเป็นหัวหน้าครอบครัว…

เอเฟซัส 5:27
เป้าหมายของครอบครัวที่ดีคือ สามีจะได้มีภรรยาที่งดงาม ไร้มลทินมาเป็นของเขา เปรียบได้กับที่พระคริสต์ทรงได้คริสตจักรที่ไร้ตำหนิมาเป็นของ
พระองค์ ไม่ใช่อยู่ ๆ พระองค์จะได้่คริสตจักรที่งดงามมา แต่เป็นเพราะพระองค์ทรงสละพระชนม์ของพระองค์ ทรงดูแลพวกเขา ผลของการที่ทรง
สละชีวิตนั้นคือ ทำให้คริสตจักรได้บริสุทธิ์ สะอาดได้รับการชำระ นี่เป็นเรื่องที่สามีต้องเข้าใจ และเขาจะรู้เองว่า จะต้องทำอย่างไรบ้าง

เอเฟซัส 5:28-29
การรักภรรยาของตนเหมือนที่รักร่างกายของตนเอง เป็นแนวคิดที่แปลกจากความคิดของคนในสมัยโบราณเป็นอย่างยิ่ง เพราะใคร ๆ ก็คิด
ว่า ผู้หญิงมีฐานะเทียบเท่ากับสัตว์เลี้ยงเสียด้วยซ้ำคำของท่านเปาโลเป็นการปฏิวัติความคิดของผู้เชื่อให้เข้าใจว่า ผู้หญิงและผู้ชายเป็นคนที่มีความเท่าเทียมกันในสายพระเนตรของพระเจ้า การรักภรรยาแบบพระคริสต์รักคริสตจักรเท่ากับเขาต้องยอมสละสิทธิส่วนตัวของเขาหลายอย่างเพื่อเธอ

เอเฟซัส 5:30-31
นี่เป็นอีกความคิดที่ผู้เชื่อในพระเจ้าสมัยก่อนนั้นจะต้องเปลี่ยนแปลง คือภรรยากับสามีเป็นเนื้อเดียวกันเพราะตกลงกันแล้วว่าจะใช้ชีวิตด้วยกัน
ผู้ชายที่เคยเป็นลูกชายของพ่อแม่ ได้กลายเป็นเนื้อเดียวกันกับผู้หญิงอีกคน ไม่ได้อยู่เป็นลูกชายในบ้านเหมือนเดิม แต่ไปสร้างบ้าน สร้าครอบครัว
ใหม่ เขาทั้งสองต่างเป็นอวัยวะในพระกายของพระเจ้า เขาทั้งสองต้องเป็นหนึ่งเดียวในฝ่ายกายฝ่ายวิญญาณ และความคิด

เอเฟซัส 5:32-33
พระเยซูทรงสละชีวิตของพระองค์เพื่อคริสตจักรและคริสตจักรก็เชื่อฟัง ติดตามพระองค์จนกระทั่งทุกวันนี้่ ยังมีความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับ
ผู้เชื่ออยู่ทั่วทุกประเทศ และความสัมพันธ์นี้เป็นต้นแบบของความสัมพันธ์ในครอบครัว พระเจ้าทรงประสงค์ให้สามีภรรยาได้มีความสัมพันธ์ที่เต็มด้วยความรัก เห็นใจและเป็นคู่ทุกข์คู่ยากตลอดชีวิตในโลก สรุปใจความว่า สามีรักภรรยา และภรรยาก็ให้เกียรติแก่สามี …​

พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 6:36; 1 ยอห์น 4:11; 1 เปโตร 1:14-16
2* 1 เธสะโลนิกา 4:9; ยอห์น 13:34; โคโลสี 3:14
3* โคโลสี 3:5-7; ลูกา 12:15;
กาลาเทีย 5:19-21
4* มัทธิว 12:34-35; ทิตัส 3:9; โรม 1:28; ฟีลิปปี 4:6
5* โคโลสี 3:8; เอเฟซัส 4:29; 1 โครินธ์ 6:9-10
6โรม 1:18; มัทธิว 24:4; โคโลสี 2:8 7 วิวรณ์ 18:4; 1 ทิโมธี 5:22; เอเฟซัส 5:11
8* ยอห์น 8:12; 1 ยอห์น 1:7; กิจการ 26:18; โคโลสี 1:13
9* 1 ยอห์น 3:9-10 ; 3 ยอห์น 1:11 ; กาลาเทีย 5:22-23
10* โรม 12:1-2; ฮีบรู 12:28; สดุดี 19:14; 1 เปโตร 2:5
11* โรม 13:12; 1 ทิโมธี 5:20; 2 ยอห์น 1:10-11; 2 เธสะโลนิกา 3:6


12* เอเฟซัส 5:3; โรม 2:16; เยเรมีย์ 23:24 ; ปัญญาจารย์ 12:14
13* ยอห์น 3:20-21; 1โครินธ์ 4:5; โฮเชยา 2:10
14* อิสยาห์ 60:1;โรม 13:11-12; อิสยาห์ 26:19; เธสะโลนิกา 5:615* โคโลสี 4:5; ยากอบ 3:13; ฟีลิปปี 1:27; 1 โครินธ์ 14:20
16* โคโลสี 4:5; อาโมส 5:13; ยอห์น 12:35; เอเฟซัส 6:13
17* โรม 12:2; 1 เธสะโลนิกา 5:18; โคโลสี 1:9; เอเฟซัส 5:15
18* สุภาษิต 20:1; โรม 13:13; ลูกา 1:15; กาลาเทีย 5:21-25
19* โคโลสี 3:16; 1 โครินธ์ 14:26; สดุดี 95:2; ยากอบ 5:13
20* โคโลสี 3:17; 1 เธสะโลนิกา 5:18; ฮีบรู 13:15; ฟีลิปปี 4:6
21* ฟีลิปปี 2:3; เอเฟซัส 5:24, 5:22; 1 เปโตร 5:5

22* โคโลสี 3:18-4:1; 1 เปโตร 3:1-6; ทิตัส 2:5; ปฐมกาล 3:16
23* 1โครินธ์ 11:3-10; โคโลสี 1:18; เอเฟซัส 4:15, 1:22-23
24* เอเฟซัส 5:33; ทิตัส 2:7; โคโลสี 3:20
25* 1 เปโตร 3:7; โคโลสี 3:19; เอเฟซัส 5:28; ปฐมกาล 2:24
26* ยอห์น 15:3; ฮีบรู 10:22; ยอห์น 17:17-19; 3:5 เอเสเคียล 36:25
27* โคโลสี 1:22; ฮีบรู 9:14; 1 เปโตร 1:19; เอเฟซัส 1:4
28* เอเฟซัส 5:25; มัทธิว 19:5; ปฐมกาล 2:21-2429* เอเฟซัส 5:31; เอเสเคียล 34:14-15; ยอห์น 6:50-58
30* 1โครินธ์ 6:15, 12:12-27; โรม 12:531* ปฐมกาล 2:24; มัทธิว 19:5; มาระโก 10:7-8
32* วิวรณ์ 21:2; 2 โครินธ์ 11:2; อิสยาห์ 54:5
33* 1 เปโตร 3:2-7; เอเฟซัส 5:22, 25; โคโลสี 3:19



เอเฟซัส 4 ชีวิตที่เปลี่ยนจริง

เอเฟซัส 4:1-2
ดังนั้น ข้าซึ่งเป็นนักโทษเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า จึงขอร้องให้ท่านใช้ชีวิตอย่างเหมาะสมกับการทรงเรียกที่ท่านได้รับมา ด้วยความถ่อมตนความสุภาพอ่อนโยน ด้วยความอดทนต่อกันและกันด้วยความรัก
เอเฟซัส 4:3
ให้มุ่งรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระวิญญาณ ด้วยสันติสุขที่ผูกพันเราไว้

เอเฟซัส 4:4-6
มีเพียงกายเดียว และพระวิญญาณเดียว เหมือนกับที่ทรงเรียกท่านมาสู่ความหวังเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว มีพระเจ้าองค์เดียวผู้ทรงเป็นพระบิดาของมนุษย์ทั้งปวง ผู้ทรงอยู่เหนือสรรพสิ่งผ่านทะลุทั้งสิ้น และอยู่ในทั้งหมด


เอเฟซัส 4:7-8
แต่ว่า พระเจ้าประทานพระคุณแก่เราแต่ละคนตามที่พระคริสต์ทรงดำริมอบให้
ดังนั้น จึงมีคำกล่าวว่า เมื่อพระองค์เสด็จสู่ที่สูง พระองค์ทรงนำเหล่าเชลยไปและทรงให้ของประทานแก่มนุษย์

เอเฟซัส 4:9-10
คำว่า“พระองค์เสด็จสู่ที่สูง”นั้นมีความหมายครอบคลุมถึงอะไร ก็คือ ได้เสด็จลงสู่เบื้องล่างของโลกด้วย
พระองค์ผู้ทรงลงไปยังเบื้องล่างคือผู้ทรงขึ้นไปสู่ที่สูงเหนือฟ้าสวรรค์สูงสุด เพื่อจะทรงเติมให้เต็มทั้งจักรวาล

เอเฟซัส 4:11-12
และพระองค์ทรงแต่งตั้งให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเผยพระคำ บางคนประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นผู้เลี้ยงและครูอาจารย์ เพื่อเตรียมวิสุทธิชนของพระเจ้าสำหรับการรับใช้ในการเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์
เอเฟซัส 4:13
จนกระทั่งเราทุกคนได้มีน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ
และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า
คือชีวิตเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อ ถึงระดับความบริบูรณ์ของพระคริสต์ 

เอเฟซัส 4:15
แต่พูดความจริงด้วยความรัก ให้เราเติบโตในทุกด้าน
สู่พระคริสต์พระองค์ผู้ทรงเป็นศีรษะ
เอเฟซัส 4:16
จากพระองค์นั้นร่างกายทุกส่วนยึดต่อสานสัมพันธ์กัน
โดยเส้นเอ็นที่พระองค์ทรงมอบให้เพื่อสร้างตัวเองขึ้นในความรัก โดยแต่ละส่วนทำงานอย่างเหมาะสม

เอเฟซัส 4:17
บัดนี้ ข้าขอบอกและยืนยันในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ต่อจากนี้ไป ท่านไม่ควรใช้ชีวิตอย่างคนต่างชาติ ซึ่งคิดแต่สิ่งไร้สาระ
เอเฟซัส 4:18
ความเข้าใจของเขานั้นมืดมัวและแยกออกจากชีวิตของพระเจ้าเพราะว่าพวกเขาไม่รู้อะไรและเพราะจิตใจของ
พวกเขานั้นแข็งกระด้างนัก

เอเฟซัส 4:19
พวกเขาไม่มีความยับยั้งชั่งใจปล่อยตัวให้กับแรงกิเลส
หัวใจเร่าร้อนที่จะทำสิ่งสกปรกทุกอย่าง
เอเฟซัส 4:20-21
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ท่านเรียนรู้จากพระคริสต์
เมื่อท่านได้ยินเรื่องแท้จริงของพระองค์
และได้รับคำสอนตามความจริงในพระเยซู

เอเฟซัส 4:22-23
ขอให้ท่านถอดชีวิตเดิมออก คือตัวเก่าที่คดโกงเสื่อมโทรมจากความใฝ่ต่ำที่หลอกลวงเพื่อรับการสร้าง
ความคิดใหม่จิตใจใหม่
เอเฟซัส 4:24
ให้ท่านสวมตัวตนใหม่ ซึ่งเป็นตัวตนที่รับการสร้างตามอย่างพระเจ้าในความเที่ยงธรรมและความบริสุทธิ์แท้

เอเฟซัส 4:25
ดังนั้น ท่านจะต้องละทิ้งสิ่งที่เป็นความเท็จและให้พูดความจริงต่อเพื่อนบ้านของเราเพราะเราต่างเป็น
อวัยวะของกายเดียวกัน
เอเฟซัส 4:26-27
“ท่านโกรธได้แต่อย่าทำบาป อย่าให้ความโกรธยังคงค้างอยู่เมื่อตะวันตกดิน” อย่าให้โอกาสแก่มาร
เอเฟซัส 4:28
คนที่เคยขโมย ก็อย่าขโมยอีกแต่ต้องทำงานใช้มือของตนทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อว่าจะมีสิ่งที่แบ่งปัน
ให้กับคนที่ขัดสน

เอเฟซัส 4:29
อย่ายอมให้คำหยาบคายออกมาจากปากของท่าน
แต่จงพูดสิ่งที่ดีเพื่อเสริมสร้างคนที่ต้องการเป็นคุณความดีแก่คนที่ได้ยิน
เอเฟซัส 4:30
และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย ท่านได้รับการประทับตราโดยพระองค์
สำหรับวันที่ทรงไถ่

เอเฟซัส 4:31-32
ท่านจะต้องกำจัดทั้งความขมขื่น ความเกรี้ยวกราด
การตะโกนใส่กัน การใส่ร้ายคนอื่น รวมไปถึงการมุ่งร้ายทุกแบบ
จงมีใจเมตตาและสงสาร เห็นใจกันและให้อภัยกันและกันเหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงอภัยท่านในพระคริสต์

เอเฟซัส 4:1-2
แล้วท่านเปาโลที่เน้นว่าตัวท่านเองเป็นนักโทษเพื่อพระเจ้า..​ขอร้องให้พี่น้องในคริสตจักรได้ใช้ชีวิตอย่างดี.. นั่นคือมีการสำรวจชีวิตของตน มีการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นเสมอ ทำตัวให้เหมาะกับที่พระเจ้าได้ทรงเรียก และรับเข้ามาเป็นคนในครอบครัวของพระองค์ ทำอย่างไรหรือ? ท่านบอกง่าย ๆ ถึงการมีความสัมพันธ์ต่อคนอื่นด้วยใจถ่อม
สุภาพ อดทน อดกลั้นต่อกันด้วยความรัก
นี่เป็นชีวิตที่น่าอยู่ด้วย…

เอเฟซัส 4:3
การที่เราจะมีความถ่อมตน ความสุภาพอ่อนโยนและความอดทนที่กล่าวมา ทำให้เราสามารถรักษาให้พี่น้องมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ ความอดทนนั้นสำคัญยิ่ง เพราะนั่นคือการยอมรับว่าทุกคนมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข ช่วยเหลือกันจนเติบโตเป็นเหมือนพระคริสต์ มีสันติต่อกัน ไม่ทำร้ายกันและกัน การมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รู้ไหมว่า…ในพระวิญญาณเป็นความสัมพันธ์ดีที่สุดในโลก

เอเฟซัส 4:4-6
ความเป็นหนึ่งเดียวกันที่ท่านเปาโลกล่าวถึงนั้นล้ำลึก มีมิติที่เราไม่คาดฝัน เพราะเป็นหนึ่งเดียวในพระกาย พระวิญญาณ ความหวัง องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน (พระเยซูคริสต์) รวมไปถึงความเชื่อ บัพติศมา พระบิดาองค์เดียวกันการเป็นหนึ่งเดียวกันเช่นนี้ ทำให้ผู้เชื่ออยู่ในสถานะที่แตกต่างไปจากคนทั่วไป เพราะพวกเขาเป็นหนึ่งในพระกาย เป็นหนึ่งในพระเจ้าองค์ตรีเอกานุภาพ!

เอเฟซัส 4:7
พระคุณแก่เราที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ ความรอดแก่ทุกคนที่เชื่อ พระคุณนี้ผ่านมาทางไม้กางเขน การสิ้นพระชนม์ เพื่อเราทั้งหลายทรงให้เราซึ่งเป็นศัตรูของพระเจ้าได้มาคืนดีกับองค์พระบิดาโดยที่พระเจ้าทรงใช้ท่านเปาโลและผู้รับใช้คนอื่น ๆ ให้ประกาศพระคุณแก่คนต่างชาติ แต่เพิ่มขึ้นจากนั้นคือพระคุณเฉพาะที่พระเจ้าประทานแก่แต่ละคนตามที่พระองค์ทรงดำริ

เอเฟซัส 4:8
พระคำตอนนี้เอามาจาก สดุดี 68:18 กล่าวเรื่องพระคุณของพระเยซูอยู่ แล้วมาพูดเรื่องพระเยซูเสด็จสู่ที่สูง ท่านเปาโลกำลังบอกเราว่าพระเยซูทรงเป็นกษัตริย์นักรบที่ทรงรบชนะบนไม้กางเขน จากนั้นทรงนำสิ่งที่ริบได้กลับไปยังบ้านเมือง นั่นคือพระองคฺ์ทรงนำเชลยที่ทรงไถ่แล้ว กลับไปยังแผ่นดินสวรรค์ จากนั้นทรงแจกจ่ายสิ่งที่ริบคืนมานั้นให้กับทั้งอาณาจักรของพระองค์นั่นคือ ของประทานฝ่ายวิญญาณที่ทรงให้กับคริสตจักร (John Acarthur’s commentary)

เอเฟซัส 4:9-10
ตรงนี้ท่านเปาโลบอกเราว่า พระเยซูทรงลงมาในโลก และเสด็จสู่สวรรค์ (กิจการ2) พระองค์เป็นผู้เดียวที่ทรงทำเช่นนี้ ชีวิตของพระองค์เป็นจริงตามที่มีคำบอกล่วงหน้าถึงพระองค์ทุกประการ​ทรงเกิด ทำการของพระเจ้า สิ้นชีพและคืนชีพมาจึงทรงมีสิทธิปกครองเหนือคริสตจักรทุกประการ บัดนี้พระองค์ทรงอยู่ทั่วในจักรวาล เต็มด้วยฤทธิ์ สิทธิอำนาจสูงสุด และสิทธิที่จะประทานแก่คริสตจักรตามที่ทรงพอพระทัย

เอเฟซัส 4:11-12
เราน่าจะตั้งคำถามว่า ทำไมของประทานที่กล่าวถึงนี้จึงสำคัญมาก… ร่างกายจะเติบโตได้ต้องมีการกินอาหาร ใช้กำลังพักผ่อน … ร่างกายก็จะเติบโตอย่างที่สมควร ของประทานที่พระเจ้าได้ให้แก่คริสตจักรที่ชัดเจนคือ การที่จะให้มีผู้ให้อาหารฝ่ายวิญญาณที่ดีเป็นอาหารสุขภาพ ไม่ใช่อาหารเน่าเสียที่จะส่งผลร้ายต่อร่างกาย เราต้องรู้ว่า ผู้ที่มีของประทานนี้ก็จะช่วยให้คริสตจักรของพระเจ้าเติบโตไปได้ดี

เอเฟซัส 4:13
อาหารฝ่ายวิญญาณของพี่น้อง จะต้องช่วยให้พวกเขามีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่แตกแยก มีความถ่อมตน สุภาพ ความรักอย่างที่เคยกล่าวมา นอกจากนั้น เป้าหมายที่สำคัญคือ พระกายนี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ที่จะเกิดผล ส่งผลช่วยเหลือชีวิตของผู้อื่นต่อไปอีก ให้ถึงระดับอย่างที่พระคริสต์ทรงประสงค์ นั่นคือผู้เชื่อที่เป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผล มีความเชื่อมั่นคง สร้างพระกายให้เข้มแข็ง ไม่ใช่เป็นคนสร้างปัญหา หรือทำลายคนอื่น

เอเฟซัส 4:15
การพูดความจริงนั้น มักมาพร้อมกับความเจ็บปวดของฝ่ายที่ถูกแก้ไข ดังนั้น การพูดความจริงด้วยความถ่อม สุภาพ ความอดทนด้วยความรัก จากเอเฟซัส 4:1-2 จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งและจะพูดความจริงด้วยท่าทีเช่นนี้ ก็ต้องมีการฝึกด้วย พยายามเข้าใจอีกฝ่ายว่า เขาคิดเห็นอย่างไรอยู่ เพราะว่า ทุกคนจะตอบโต้ความจริงต่างกันไป บางคนก็รับฟังได้อย่างรวดเร็ว เป็นคนฉลาดเปิดใจ แต่บางคนก็ใจปิด.. คนพูดความจริงจึงต้องคอยระวัง

เอเฟซัส 4:16
การสร้างคริสตจักรที่แข็งแรง เติบโต มีสุขภาพดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับคน ๆ เดียว ชื่อก็บอกแล้วว่า เป็นพระกายที่มีอวัยวะหลายส่วน แต่ละส่วนต้องทำงาน ถามหน้าที่ของตน เช่นหากเป็นหัวใจ นึกจะเลิกเต้น ก็เลิกตามใจตัวเองไม่ได้ ดังนั้นพี่น้องในความเชื่อ จะต้องทำงานร่วมกันเพื่อสร้างแผ่นดินของพระเจ้า ถ้าหากว่าเราเข้าใจหน้าที่ของตนเองไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ซึ่งมีคนเห็นหรือไม่ แต่พระบิดาทรงเห็นเสมอว่าเราทำอะไรอยู่

เอเฟซัส 4:17
ในเมื่อผู้เชื่อมีส่วนในพระกายพระคริสต์ การใช้ชีวิตจึงแตกต่าง การคิดจึงแตกต่างจากคนที่ไม่เชื่อในเรื่องฝ่ายวิญญาณ โดยที่จะไม่คิดแต่สิ่งไร้สาระเหมือนคนทั่วไป คำว่าไร้สาระของท่านเปาโลนั้น อาจดูแรง แต่หากเราพิจารณาดี ๆเราจะเห็นความคิดที่โลกพยายามยัดเยียดใส่ให้คนในสังคมคิดเหมือนแม้ว่ามันอันตราย และเป็นคำโกหก ความคิดเหล่านี้ไม่เคยหยุด มีมาตั้งแต่โบราณจนปัจจุบัน ในภาพยนต์ เพลง podcast รายการต่าง ๆ มีทั้งใช้ได้และไร้สาระ ต้องระวัง!

เอเฟซัส 4:18
ลองสังเกตดี ๆ นะว่า ความคิดของคนในโลกที่อยู่ในโซเชียลมีเดียชัดเจนมาก (เราพูดถึงความคิดของคนที่ไร้สาระจริง ๆ เราก็จะเห็นชัด) อย่างแรกคือ คิดกลับทาง ความจริงกลายเป็นเท็จ ความดีกลายเป็นชั่ว ชั่วกลายเป็นดี สองคือ ถ้าใครไม่คิดเหมือนเขา ก็จะลงมือทำลายคนนั้นด้วยวิธีต่าง ๆทั้งชื่อเสียง การงาน และอะไรที่ทำลายได้ พวกนี้ต้องการเป็นผู้นำความคิดทั้งที่ตัวเองไม่สามารถคิดสร้างสรรค์ได้เลย

เอเฟซัส 4:19
ความที่ใจแข็งกระด้าง มีความตั้งใจที่จะฝืนความรักของพระเจ้า ฝืนไม่ยอมรับว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง ทรงเป็นเจ้าเหนือหัวของมนุษย์ทุกคน พวกเขากลับใช้ความชั่วของตนปิดกั้นความจริง โรม 1:18-20 พวกเขาไม่ยอมให้พระเจ้าอยู่เหนือชีวิตเพราะอยากทำตามใจของตน ตามความเร่าร้อนที่มีอยู่ในตัว ไม่ต้องการควบคุมตนเอง บางคนก็ดูเป็นปัญญาชนน่าจะเข้าใจ แต่การที่เขาไม่ต้องการอยู่ใต้พระเจ้าทำให้เขาปฏิเสธพระองค์

เอเฟซัส 4:20-21
ท่านเปาโลเปรียบเทียบว่า คนที่เดินตามทางโลก ใช้ชีวิตตามใจตนเอง เป็นชีวิตที่ไร้ค่า มืดมน ไปตามใจปรารถนาทางเพศอย่างสุด ๆ ซึ่งเป็นจริงในหมู่ชาวเอเฟซัส ไม่มีความละอาย มโนธรรมหายไป ชีวิตไม่มีพระเจ้า ท่านเปาโลย้ำเตือนว่า เมื่อมาเชื่อพระเยซูแล้ว ชีวิตจะไม่เหมือนเดิม ไม่มีพฤติกรรมเลวร้ายอย่างเดิมอีก และเราทุกคนมีหน้าที่ร่วมมือกับพระเจ้าเพื่อเปลี่ยนชีวิต

เอเฟซัส 4:22-23
ที่จะร่วมมือกับพระเจ้าในการสร้างความคิด ชีวิตใหม่นั้น ท่านเปาโลบอกเราว่า ให้เราถอดชีวิตเดิมออก ใช้คำเหมือนกับถอดเสื้อผ้าเก่า โสโครกออกเราต้องมีความพยายามที่จะเลิกพฤติกรรมเดิมไม่ใช่ปล่อยไปเฉย ๆ ไม่มีความพยายามที่จะเปลี่ยนชีวิต ก่อนที่จะได้ชีวิตความคิดใหม่ ต้องมีการโละของเก่าทิ้งก่อน จะมีทั้งดีและเลวอยู่ด้วยกันไม่ได้ เวลาของเน่า เอาไว้ในที่ดี ก็จะพาของดีเสียตามกันไป

เอเฟซัส 4:24
เมื่อถอดชีวิตเดิมออกแล้ว ก็ให้สวมชีวิตใหม่ของเก่าที่เน่าเสียของชีวิตต้องทิ้งไป แล้วรับชีวิตใหม่ของพระเจ้าเข้ามา เป็นชีวิตที่ตรงกันข้ามกับของเดิม เพราะเป็นชีวิตที่ได้รับการสร้างด้วยความเที่ยงธรรม และความบริสุทธิ์ของพระเยซูด้วยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อทำให้เราเป็นคนเที่ยงธรรม คำเปรียบเทียบของท่านเปาโลง่าย ชัดเจน และเราคงไม่ลืม เปลี่ยนเสื้อทุกวันก็เปลี่ยนนิสัยใจคอ และชีวิตทุกวันด้วย

เอเฟซัส 4:25
เสื้อตัวหนึ่งที่จะต้องถอดทิ้งคือ เสื้อของการโกหกชีวิตที่ชินกับการพูดโกหกนั้น ก็จะชินกับการโกหกโดยไม่ได้สำนึกเลยว่า ตนเองกำลังกล่าวเท็จอยู่เราอาจไม่ทราบว่า หากในที่ทำงานมีคนหลายชาติทำงานด้วยกันอยู่ พี่ไทยของเรานั้นจะได้ชื่อเสียอย่างหนึ่งคือ พูดอ้อมค้อม ไม่ตรงความจริงบอกว่าจะได้งานวันนี้แน่ แต่ที่จริงเพื่อนยังไม่ได้เริ่มต้นงานเลย บอกว่างานโอเค ดีแล้ว แต่ยังไม่ได้จับสักนิด ทำให้เจ้าของงานเสียหายมาไม่น้อย

เอเฟซัส 4:26-27
มาถึงอารมณ์โกรธบ้าง การโกรธมีหลายแบบพระเจ้าเองทรงโกรธที่มนุษย์โง่เง่า ไม่ฟังพระองค์สิ่งดีที่พระองค์ทรงยื่นให้ พวกเขาก็เมิน แต่ตอนนี้เรากำลังพูดถึงความโกรธของมนุษย์ซึ่งมีทั้งความโกรธที่พลุ่งพล่าน โกรธขมขื่น โกรธแบบแค้นฝังลึก โกรธแบบว่าคนที่เราโกรธตายไปแล้วแต่เราก็ยังไม่เลิกโกรธ เมื่อมีอารมณ์โกรธที่ไม่เลิกราเท่ากับเรากำลังเปิดช่องให้มารเข้ามาทำร้ายชีวิต ท่านเปาโลจึงให้เราระงับความโกรธ

เอเฟซัส 4:28
นอกจากความโกรธที่ต้องถอดออกจากชีวิต ก็ยังมีเรื่องการขโมยด้วย ซึ่งการขโมยสมัยก่อน อาจเป็นการขโมยข้าวของ ทรัพย์สิน วัวควาย ฯลฯแต่สมัยนี้มีการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา มีการขโมยข้อมูล เอาข้อมูลที่สำคัญไปขายทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เป็นข้อมูลของตนเอง แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ก็คือรูปแบบการขโมยสมัยใหม่ที่ล้ำยุคขึ้นไปอีก ที่สำคัญท่านเปาโลให้เราทำงานด้วยมือ ด้วยตัวเองเพื่อจะเป็นประโยชน์กับตัวและคนอื่น

เอเฟซัส 4:29
ท่านเปาโลละเอียดมาก รู้ว่า สิ่งสกปรกโสโครกในชีวิตของเรานั้น มันอยู่ชิดตัวเรา ออกจากใจออกจากปากของเรา คำโกหก คำหยาบคายและความโกรธมักไปด้วยกัน คำเหล่านี้รวมไปถึงการใส่ร้ายป้ายสี พยานเท็จ เป็นของที่มักมาเป็นชุดเดียวกัน บางคนเห็นการพูดหยาบคายเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อมาเป็นคนของพระเจ้าแล้ว เราไม่ทำอย่างนั้นอีกต่อไป ทั้งต้องขอพระเจ้าทรงช่วย และมีความตั้งใจ พยายามหลุดจากสิ่งนี้

เอเฟซัส 4:30
จากที่เราอ่านมาและกำลังจะอ่านต่อไป เราน่าจะสรุปได้ว่า สิ่งที่ทำให้พระวิญญาณทรงเสียพระทัยก็คือชีวิตเดิมที่ไม่สะอาด พระองค์ทรงประทับตราเราไว้ ทรงให้เราเป็นพระวิหารที่พระองค์สถิตอยู่ ชีวิตที่สกปรกจึงไม่สมควรที่จะอยู่ในเรา ต้องถอดทิ้ง และสวมชีวิตใหม่ ให้สมกับเป็นคนที่พระเจ้าทรงจองไว้ให้ถึงวันของพระองค์ที่การไถ่จะสมบูรณ์จะเป็นของพระองค์ร้อยเปอร์เซนต์ ช่วงนี้ก็ต้องมีความพยายามต่อไปที่จะก้าวสู่เป้าหมายชีวิตแท้

เอเฟซัส 4:31
นี่ไงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พระวิญญาณทรงเสียพระทัย ชีวิตของผู้เชื่อต้องหยุดความข่มขื่นใจที่มีต่อคนอื่น แม้ว่าอีกฝ่ายจะรังควาญไม่เลิกบางครั้งเราจะเห็น คนที่อ้างว่าตนเชื่อพระเจ้า แต่กลับยังมีบาปมลทินทางปากเช่นนี้ หรือว่าถ้าเราเป็นเสียเอง ก็พอจะประเมินได้ว่า ยังไม่ยอมสยบให้กับพระเจ้าจริง ๆ ยังต้องการเก็บนิสัยชั่วร้ายเหล่านี้ไว้คริสเตียนแท้จริงจะต้องหยุดจากพฤติกรรมที่กล่าวมานี้ทั้งหมด

เอเฟซัส 4:32
และการจะหยุดพฤติกรรมร้าย ๆ ทางปาก ใจที่คอยคิดร้ายต่อคนอื่นนั้น แล้วไม่มีสิ่งดีใส่เข้าไปก็เหมือนกับการถอดเสื้อสกปรกออก แต่ยังไม่ได้สวมใส่เสื้อแห่งการยกโทษ การไถ่ของพระเจ้ายังเปลือยอยู่ ดังนั้น เมื่อหยุดนิสัยร้าย ก็ต้องสวมนิสัยดีเข้าไป โดยเอาพระเยซูคริสต์เป็นต้นแบบของตน พระเจ้าทรงอภัยให้เราอย่างไร เราก็ไม่มีสิทธิที่จะถือโทษใครอีกต่อไป เพราะว่าเราได้รับการยกโทษบาปที่หนักหนาจากพระองค์แล้ว

พระคำเชื่อมโยง

1* 1 เธสะโลนิกา 2:12; โคโลสี 1:10; ฟีลิปปี 1:27
2* โคโลสี 3:12-13; 1 โครินธ์ 13:7
3* โคโลสี 3:14; 1 โครินธ์ 1:10
4* โรม 12:5; เอเฟซัส 2:18;
1โครินธ์ 12:2-13
5* 1โครินธ์ 8:6; 1 เปโตร 3:21;
ยูดา 3; ฮีบรู 6:6
6* มาลาคี 2:10; โรม 11:36
7* 1โครินธ์ 12:7, 11; โรม 12:3;
1 เปโตร 4:10
8* สดุดี 68:18; โคโลสี 2:15
9* ยอห์น 3:13; 20:17; มัทธิว 12:40; ยอห์น 6:33
10* กิจการ 1:9; ฮีบรู 7:26
11* เยเรมีย์ 3:15; 1โครินธ์ 12:28-29; เอเฟซัส 2:20

12* 1 เธสะโลนิกา 5:11-14; ; เอเฟซัส 4:16; 1โครินธ์ 12:27
13* โคโลสี 2:2; 1:28; ยอห์น 17:21; 1โครินธ์ 14:20
14* 1โครินธ์ 14:20; ฮีบรู 13:9; โรม 16:17-1815* เอเฟซัส 1:22; 4:25; เศคาริยาห์ 8:16; 2 เปโตร 3:18
16* โคโลสี 2:19; ยอห์น 15:5
17* โรม 1:21; 1 เปโตร 4:3-4; 1 เธสะโลนิกา 4:1-2
18* มัทธิว 13:15; เอเฟซัส 2:12; โรม 1:21-23; ยอห์น 12:40
19* 1 ทิโมธี 4:2; โคโลสี 3:5; โรม 1:24-26
20* ทิตัส 2:11-14; ยอห์น 6:45; มัทธิว 11:29
21* 1 ยอห์น 5:20; เอเฟซัส 1:13; ฮีบรู 3:7-8

22* โรม 6:6; ฮีบรู 12:1; ยากอบ 1:21
23* โรม 12:2; 8:6; สดุดี 51:10; โคโลสี 3:10
24* โคโลสี 3:10-14; 2 โครินธ์ 5:17; โรม 6:4, 7:6; 12:2
25* เศคาริยาห์ 8:16; สุภาษิต 12:22; โคโลสี 3:9
26* ยากอบ 1:19; สดุดี 4:4; 37:8
27* ยากอบ 4:7; 1 เปโตร 5:8;
เอเฟซัส 6:16
28* 1 เธสะโลนิกา 4:11-12; 1 ทิโมธี 6:18; กาลาเทีย 6:1029* โคโลสี 3:8; 1 เธสะโลนิกา 5:11; ปัญญาจารย์ 10:12
30* อิสยาห์ 7:1331* โคโลสี 3:8, 19; ยากอบ 4:11; ทิตัส 3:3
32* 2 โครินธ์ 6:10; มาระโก 11:25