กิจการ 20 คงไม่ได้พบกันอีก

กลับมายังมาซิโดเนีย โตรอัส และแคว้นเอเชียน้อย

การสอนครั้งนี้ ยาวนาน…..จนเกิดอัศจรรย์

เตือนใจพี่น้องที่มาจากเอเฟซัส

ให้ระมัดระวังอันตรายที่มีต่อคริสตจักร

พื้นฐานการรับใช้

อธิบายเพิ่มเติม

กิจการ 20:1-3
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากกลุ่มช่างเงินช่างทองในเอเฟซัส ทำให้เปาโลต้องออกจากที่นั่น โดยวางแผนที่จะไปเยรูซาเล็ม ผ่านมาซิโดเนียและอาคาเชีย
โดยที่เปาโลจะช่วยนำกลุ่มคนที่นำเงินถวายไปช่วยคนที่เยรูซาเล็มที่พวกเขาเจอกับการกันดารอาหารอย่างหนัก เราทราบเรื่องนี้เพราะว่าเปาโลได้เขียนถึงคริสตจักรโครินธ์ก่อนที่จะออกมาจากเอเฟซัส ( 1 โครินธ์ 16:1-4 )
เป็นอันว่าได้มีโอกาสเยี่ยมเมืองต่าง ๆ ที่เคยประกาศมาก่อนหน้านี้(ดูกิจการ 16-17) และไปพักในกรีก (ซึ่งหมายถึงอาคาเชียนั่นเอง ซึ่งน่าจะเป็นเมืองโครินธ์ ตามที่เขียนใน 1 โครินธ์ 16:5-7) สามเดือน ซึ่งระหว่างนั้นเอง ก็ได้ทำให้ชาวยิวในพื้นที่ไม่พอใจเหมือนเคย พวกเขาพยายามทำร้ายเปาโล ซึ่งเปาโลก็เลี่ยงโดยการเปลี่ยนเส้นทางจากเดิมจะไปแคว้นซีเรียทางเรือ ก็เลยไปทางบก
กิจการ 20:4-6
เปาโลให้พี่น้องส่วนหนึ่งไปรอที่เมืองโตรอัส พี่น้องเหล่านี้น่าจะเป็นคนจากคริสตจักรต่าง ๆ ที่ได้ถวายเงินเพื่อส่งไปเยรูซาเล็ม เราจะชินกับคนสองสามคนในกลุ่มนี้ อย่างเช่นกายอัส ทิโมธี พวกเขาเป็นคนที่เปาโลพบและสอนให้รู้จักทางของพระเจ้า และพยายามที่จะส่งต่อความเชื่อให้กับคนเหล่านี้ เพื่อพวกเขาจะสอนต่อไปได้ ( 2 ทิโมธี 2:2). เปาโลยังได้อยู่ที่เมืองฟีลิปปีพักหนึ่งเพื่อร่วมเทศกาลไร้เชื้อด้วย
ครั้งนี้เปาโลลงเรือข้ามทะเลอีเจียนไปทางตะวันตก เข้าไปทางแคว้นเอเชียน้อย ที่เมืองโตรอัส การเล่าเรื่องเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นการเล่าของลูกา ที่จากเนื้อความเราจะเห็นว่า ลูกาได้พูดคำว่า เรา หลาย ๆ ครั้ง ทำให้รู้ว่า ลูกาได้เดินทางไปพร้อมกับเปาโล
กิจการ 20:7-9 ก
น่าสนใจที่ลูกาเล่าว่า วันอาทิตย์ พี่น้องมาประชุมกัน พวกเขาไม่ได้ประชุมกันวันเสาร์ในศาลาธรรมอย่างยิวแล้ว เราไม่ทราบว่าเป็นเช้าหรือเย็น อย่างไรก็ดีการประชุมครั้งนี้ยืดยาวไปถึงเที่ยงคืน เนื่องจากในอาณาจักรโรม วันอาทิตย์คนที่เป็นทาสก็ยังต้องทำงาน พวกเขาจึงน่าจะประชุมกันตอนเย็นของวันอาทิตย์
(สตีเวน เจ โคล) พวกเขามาหักขนมปังด้วยกัน ก็คือ มีพิธีระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูด้วยกัน
และครั้งนี้เปาโลสอนนานมาก … จนมีคนหนึ่งหลับคาหน้าต่าง ในห้องมีตะเกียงหลายดวง อากาศก็ไม่ค่อยดี คนก็เหนื่อย แต่เปาโลก็ตื่นเต้นที่จะสอน
กิจการ 20:9
แล้วเด็กหนุ่มที่หลับคาหน้าต่างชื่อยุทิกัส ชื่อของเขาแปลว่า โชคดี เขาอาจเป็นทาสที่ทำงานมาทั้งวัน และมานั่งฟัง พยายามตื่นแต่ร่างกายก็ไม่ไหว แล้วในที่สุดเขาตกลงมาจากตึกชั้นที่สาม เมื่อมีคนวิ่งไปดูประคองเขาขึ้นมา ก็บอกว่าเขาตายแล้ว! และการที่ลูกาผู้เขียนซึ่งเป็นแพทย์ยืนยัน เราจึงเชื่อได้ว่า ยุทิกัสนี้สิ้นลมจริง
กิจการ 20:10-12
แต่เปาโลไม่นิ่งนอนใจ เขาลงไปข้างล่าง โอบยุทิกัสไว้ และบอกพี่น้องว่า ว่า ไม่ต้องตกใจ เขายังมีชีวิต .. ลูกาผู้เขียนไม่ได้บอกรายละเอียดเรื่องนี้เลย แต่เราเห็นได้ว่า การเข้าไปสัมผัสครั้งนี้ ทำให้ยุทิกัสมีชีวิตคืนขึ้นมา
ดูเหมือนการตกลงมาจากตึกสามชั้นไม่ได้ทำให้ยุทิกัสมีบาดแผลด้วย พวกเขาขึ้นไปบนตึก และยังไปหักขนมปังด้วยกัน เช้ามา ต่างก็ลาจากกันไป เป็นการจากไปที่ต่างมีความยินดีมาก ๆ
กิจการ 20:13-16
ข้อความตอนนี้ได้เล่ารายละเอียดว่า เปาโลเดินทางบกแล้วไปเจอพี่น้อง จากนั้นก็ลงเรือไปด้วยกัน ที่นั่นที่นี่หลายแห่ง โดยไม่แวะเอเฟซัส จนกระทั่งมาถึงเมืองมิเลทัสซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเอเฟซัสเท่าไรนัก ที่เปาโลทำเช่นนี้ น่าจะเป็นโอกาสที่ได้ประกาศกับเมืองระหว่างทาง หรือเป็นเวลาที่จะอยู่ตามลำพังเพื่อเดินไปอธิษฐานไป? เปาโลสั่งให้คนอื่นไปก่อน แต่ตัวเองกลับเดินเท้าไปยังอัสโสสซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ห่างโตรอัสประมาณ 40 กิโลเมตร
กิจการ 20:17-19
เปาโลส่งคนไปเชิญ ผู้ปกครองคริสตจักรเอเฟซัสที่รู้จักกันใกล้ชิด มาประชุมด้วยกันเพื่อจะได้สอนและหนุนใจพี่น้องเหล่านั้น โดยที่ไม่ไปแวะเอเฟซัสเลย
อย่างแรกที่เปาโลกล่าวถึงคือ เวลาที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพี่น้องในเอเฟซัสว่า เป็นอย่างไร การอยู่อย่างถ่อมตน การเจอกับแผนร้ายของยิวสารพัด
แคว้นเอเชียในที่นี้ คือดินแดนที่โรมครอบครองในแคว้นเอเชีย ซึ่งอยู่ในตุรกีปัจจุบันบางส่วน และพื้นที่เมืองโตรอัส มิเซีย ลิเดีย คาเรีย ฟรีเจียบางส่วน โดยมีเอเฟซัสเป็นเมืองหลวง
กิจการ 20:20-23
เปาโลได้สอนยิวในศาลาธรรม ตามบ้าน และสอนกรีกที่ของทิรันนัส (19:9) ชักชวนให้กลับใจเชื่อพระเยซู แต่แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงนำให้เขาไปเยรูซาเล็ม ซึ่งเปาโลเองก็รู้ดีว่า ต้องมีเรื่องร้าย ๆ รออยู่แน่นอน
กิจการ 20:24-25
ที่เปาโลต้องเรียกพวกเขามาคุยเพราะรู้ว่า จะไม่ได้มีโอกาสเจอกันอีก .. อ่านโรม 15:23 จะเข้าใจเหตุการณ์เบื้องหลัง แต่เป้าหมายชีวิตของเปาโลนั้นชัดเจนมาก คือ การประกาศข่าวดีของพระเยซู ไม่มีอะไรที่ทำให้เปาโลมุ่งมั่นไปกว่านี้อีกแล้ว สำหรับเปาโล พระบัญชาของพระเยซูในเรื่องนี้มีค่ายิ่งกว่าชีวิตของเขาเอง สิ่งที่ทำให้พวกเขาเสียใจคือ เปาโลได้แจ้งให้พวกรู้ว่า นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกัน
กิจการ 20:26-28
ตอนนี้เปาโลเห็นว่า งานในพื้นที่แถบนี้เสร็จลงแล้ว ได้บอกแผนการ พระประสงค์ของพระเจ้าทั้งสิ้นให้ทราบ โดยไม่ได้ปิดบังไว้เลย ดังนั้น เปาโลจะฝากพี่น้องไว้กับเหล่าผู้อาวุโสเหล่านี้ พวกเขามีหน้าที่จะต้องเลี้ยงดูพี่น้องต่อไป ชีวิตฝ่ายวิญญาณของพี่น้องอยู่ในมือพวกเขาแล้ว ทุกคนที่เข้ามาฟังเปาโล เป็นผู้ใหญ่พอที่จะช่วยกันรักษาคริสตจักรของพระเจ้าในเอเฟซัส ซึ่งเปาโลบอกว่า เป็นกลุ่มชนที่พระเจ้าทรงซื้อมาด้วยพระโลหิตของพระบุตรนั่นเอง
กิจการ 20:29-31
เปาโลรู้แก่ใจดีว่า ในอนาคตจะมีคนที่หลอกลวงเข้ามาในคริสตจักร และเราก็จะเห็นว่า ในคริสตจักรทุกวันนี้ก็จะเจอคนที่เข้ามาหลอก ปัญหาจากทั้งข้างนอกและข้างในคริสตจักรเอง สำคัญคือต้องตื่นตัว อยู่เฉย ๆ ไปวัน ๆ ไม่ได้ เวลาเปาโลรับใช้ ไม่ได้แค่ตั้งใจรับใช้ แต่เต็มด้วยหัวใจที่เป็นห่วง อธิษฐานร้องไห้เพื่อพวกเขา
กิจการ 20:32-35
เปาโลฝากพี่น้องไว้กับพระเจ้า ฝากไว้กับพระคุณที่จะสร้างและรักษาชีวิตของพวกเขาให้ปลอดภัย เปาโลรักพี่น้องจากเอเฟซัสที่ได้อยู่ด้วยกันนานถึงสามปี ดูเหมือนว่าเปาโลจะตระหนักดีว่า พี่น้องจะต้องเจอการข่มเหงอีกไม่น้อย และตัวเปาโลเองก็มีภาระหนักอยู่ข้างหน้าด้วย
เปาโลได้ย้ำเตือนพวกเขาว่า ได้รับใช้ท่ามกลางพวกเขาด้วยความคิดอย่างไร ต้องเห็นแก่คนที่อ่อนแอกว่า ต้องทำงานหนัก ชีวิตไม่ใช่อยู่สบาย ๆ ง่าย ๆ การดำเนินชีวิตที่เป็นตัวอย่างทำให้เปาโลสามารถพูดกับพี่น้องได้ว่า ให้ทำตามตัวอย่างชีวิตของเขา
คำที่บอกว่า การให้นั้นเป็นสุขกว่าการรับ ก็กลายเป็นพื้นฐานความคิดของการรับใช้ในแผ่นดินของพระเจ้าเพื่อผู้อื่น หลายศตวรรษต่อมา ทำให้คริสตจักรได้ส่งคนออกไปเพื่อประกาศและรับใช้ด้านต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นทางการศึกษา การแพทย์ การช่วยเหลือด้านอื่น ๆ
กิจการ 20:36-38
พวกเขาอธิษฐานด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน เป็นความรักของคนที่รักพระเจ้าและผ่านความยากลำบากมาด้วยกันเพื่อข่าวประเสริฐ เพื่อให้คนอื่นได้รับความรอด พวกเขารู้สึกว่า จะไม่ได้พบกับเปาโลอีก จึงรู้สึกเสียใจมาก แต่ยังมีความหวังว่า จะได้พบกันต่อพระพักตร์ของพระเจ้า ซึ่งเวลานี้พวกเขาก็คงได้พบกันแล้ว




พระคำเชื่อมโยง

1* 1 ทิโมธี 1:3
2* กิจการ 17:15; 18:1
3* 2 โครินธ์ 11:26
4* โคโลสี 4:10; กิจการ 19:29; 16:1; เอเฟซัส 6:21; 2 ทิโมธี 4:20
5* 2 ทิโมธี 4:13
6* อพยพ 12:14-15; 2 ทิโมธี 4:13
7* 1 โครินธ์ 16:2; กิจการ 2:42, 46; 20:11
8* กิจการ 1:13
10* 1 พงศ์กษัตริย์ 17:21; มัทธิว 9:23-24


16* กิจการ 18:21; 19:21; 21:4; 24:17; 2:1
18* กิจการ 18:19; 19:1, 10; 20:4, 16
19* กิจการ 20:3
20* กิจการ 20:2721* กิจการ 18:5; 19:10; มาระโก 1:15
22* กิจการ 19:21
23* กิจการ 21:4, 11
24* กิจการ 21:13; 2 ทิโมธี 4:7; กิจการ 1:17; กาลาเทีย 1:1
26* กิจการ 18:6

27* ลูกา 7:30
28* 1 เปโตร 5:2; 1โครินธ์ 12:28; เอเฟซัส 1:7, 14; ฮีบรู 9:14
29* มัทธิว 7:15
30* 1 ทิโมธี 1:20
31* กิจการ 19:8,10; 24:17
32* ฮีบรู 13:9; กิจการ 9:31; ฮีบรู 9:15
34* กิจการ 18:3
35* โรม 15:1
37* กิจการ 21:13; ปฐมกาล 45:14

1 โครินธ์ 12 หนึ่งเดียวที่แตกต่าง

พระวิญญาณทรงเป็นต้นตอแห่งของประทาน

1 โครินธ์ 12:1-2
พี่น้องทั้งหลาย เรื่องของประทานฝ่ายวิญญาณนั้น ข้าไม่ต้องการให้ท่านขาดความรู้ความเข้าใจ ท่านรู้อยู่ว่า แต่ก่อนท่านเป็นคนต่างความเชื่อ ท่านถูกชักจูงให้หลงผิดไปกราบไหว้รูปเคารพที่พูดไม่ได้
1 โครินธ์ 12:3
ข้าอยากให้ท่านเข้าใจว่า ไม่มีใครที่พูดโดยพระวิญญาณของพระเจ้า จะพูดออกมาว่า “ให้พระเยซูถูกแช่ง” และไม่มีใครอาจพูดว่า
“พระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า”ได้ นอกจากเขาพูดออกมาโดยพระวิญญาณทรงดลใจให้พูด

1 โครินธ์ 12:4-6
ของประทานจากพระวิญญาณมีต่างกัน แต่เป็นมาจากพระวิญญาณองค์เดียวกัน และมีการรับใช้ต่าง ๆ กัน แต่เป็นมาจากพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน มีผลงานต่าง ๆ กัน แต่เป็นพระเจ้าองค์เดียวกันที่ทรงให้เกิดผลในทุกคน
1 โครินธ์ 12:7-8
พระเจ้าประทานการสำแดงของพระวิญญาณให้แต่ละคนเพื่อประโยชน์ของทุกคนโดยทางพระวิญญาณองค์เดียวกัน พระเจ้าประทานให้คนหนึ่งมีคำที่เต็มด้วยปัญญา อีกคนมีถ้อยคำเต็มด้วยความรู้

1 โครินธ์ 12:9
และโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ให้อีกคนมีความเชื่อ โดยพระวิญญาณหนึ่งเดียวนี้ ทำให้อีกคนมีของประทานในการรักษาโรค
1 โครินธ์ 12:10
ให้อีกคนมีทำการประกอบด้วยฤทธิ์อำนาจ และให้อีกคนเผยพระดำรัสของพระเจ้า บางคนสังเกตวิญญาณต่าง ๆ ให้อีกคนพูดภาษาที่แปลกโดยให้อีกคนแปลภาษานั้นได้
1 โครินธ์ 12:11
พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงเป็นผู้กระทำสิ่งต่าง ๆดังกล่าวและทรงแบ่งสรรให้แต่ละคนตามชอบพระทัย

แต่ละคนเป็นส่วนในพระกายเดียวกัน

1 โครินธ์ 12:12เหมือนอย่างที่ร่างกายเป็นกายเดียวแต่ประกอบด้วยอวัยวะหลายส่วน และถึงแม้มีหลายส่วนก็ยังเป็นร่างเดียวกัน
พระคริสต์ก็ทรงเป็นเช่นนั้น
1 โครินธ์ 12:13
เพราะเราทั้งหลายได้บัพติศมาเข้าส่วนในพระกายเดียวโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน. ไม่ว่าจะเป็นยิว หรือกรีกหรือเป็นทาสหรือเป็นไท เราได้รับจากพระวิญญาณองค์เดียวกัน

ความแตกต่างและความเป็นหนึ่งเดียว

1 โครินธ์ 12:14-15 ตามความจริงแล้ว ร่างกายไม่ได้มีอวัยวะเดียว แต่ประกอบด้วยหลาย ๆ ส่วน หากเท้าจะพูดว่า “ข้าไม่ได้เป็นมือ ข้าจึงไม่ใช่ส่วนของร่างกาย” เท้านั้นก็ยังเป็นส่วนของร่างกายอยู่ดี หาได้หลุดจากการเป็นอวัยวะไม่
1 โครินธ์ 12:16-17
และหากหูจะพูดว่า ‘ข้าไม่ได้เป็นดวงตา ข้าจึงไม่ใช่อวัยวะในร่างกาย” หูนั้นก็ยังเป็นส่วนในร่างกายอยู่ดี ถ้าทั้งร่างเป็นดวงตาการได้ยินจะอยู่ที่ไหน ? ถ้าทั้งร่างเป็นหู แล้วการรับรู้กลิ่น
จะอยู่ที่ไหน?
1 โครินธ์ 12:18-20
พระเจ้าทรงจัดอวัยวะแต่ละส่วนในร่างกายตามชอบพระทัยของพระองค์ ถ้าอวัยวะทั้งหมด เป็นอวัยวะเดียวแล้วร่างกายจะอยู่ที่ไหน? ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า มีอวัยวะหลายส่วนในร่างกายเดียว

ทุกส่วนมีความสำคัญ

1 โครินธ์ 12:21
ดวงตาไม่อาจพูดกับมือว่า ข้าไม่ต้องการเจ้า และหัวไม่อาจพูดกับเท้าว่าข้าไม่ต้องการเจ้า
1 โครินธ์ 12:22-23
แต่จริงแล้ว อวัยวะในร่างกายที่ดูเหมือนอ่อนแอกว่า ก็ยังเป็นส่วนที่จำเป็นนัก อวัยวะที่เราเห็นว่า มีเกียรติน้อยเราก็ให้เกียรติเพิ่มเป็นพิเศษ ส่วนอวัยวะที่ไม่ควรให้ใครเห็นเราก็ปกปิดเอาไว้อย่างมีศักดิ์ศรี

พระเจ้าประทานตามน้ำพระทัย

1 โครินธ์ 12:28
และในคริสตจักรพระเจ้าได้ทรงตั้ง บางคนเป็นอัครทูตอย่างแรก อย่างที่สองคือ ผู้เผยพระคำ ที่สามคือผู้สอนพระคำ จากนั้นเป็นคนทำการอัศจรรย์ คนที่มีของประทานในการรักษาโรค ในการช่วยเหลือ ในการเป็นผู้นำ และบางคนก็รู้ภาษาที่แปลก
1 โครินธ์ 12:29-30
ทุกคนได้เป็นอัครทูตหรือ? ทุกคนได้เป็นผู้เผยพระคำหรือ? ทุกคนเป็นอาจารย์หรือ? ทุกคนทำการประกอบด้วยฤทธิ์เดชหรือ? ทุกคนมีของประทานในการรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาที่แปลกหรือ? ทุกคนแปลภาษาที่แปลกได้หรือ?
1 โครินธ์ 12:31
แต่พวกท่านจงกระตือรือร้นขวนขวายหาของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่า และข้าจะชี้แนะทางที่ดีสุดแก่พวกท่าน

1 โครินธ์ 12:1-2
ของประทานฝ่ายวิญญาณคือ ความสามารถ พลังจากพระเจ้าที่ประทานให้ผู้เชื่อ เพื่อรับใช้ตามที่พระวิญญาณให้สำเร็จตามที่พระองค์ทรงควบคุมดูแล เป็นความสามารถที่ใช้เพื่อ สร้างเสริมพี่น้องเพื่อคริสตจักรให้เป็นเกียรติพระสิริแด่พระคริสต์แตกต่างจากอภินิหารใด ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกมืดที่ไม่รู้จักพระเจ้า ซึ่งแต่ก่อนพี่น้องโครินธ์เป็นผู้ที่กราบไหว้รูปเคารพมาแต่เด็ก และอยู่ในพิธีกรรมที่เต็มด้วยพฤติกรรมน่าชังมากมาย

1 โครินธ์ 12:3
สภาพของคริสตจักรในโครินธ์นั้น สับสน วุ่นวายพอสมควร ไม่ต่างอะไรจากคริสตจักรสมัยใหม่ที่คิดว่าตัวเองก้าวหน้า และมีคำสอนประหลาดต่างจากพระคำของพระเจ้า การกล่าวว่า ให้พระเยซูถูกแช่งเป็นคำแช่งสาปที่รุนแรง พอพี่น้องถูกควบคุมโดยวิญญาณชั่ว พวกเขาอ้างว่าตนเองกำลังเผยพระคำของพระเจ้า กลับดูหมิ่นพระเจ้าทำให้พี่น้องงุนงงมาก พวกนี้มีความเชื่อพระเยซูตามใจตนเองแพร่ระบาดในโครินธ์

1 โครินธ์ 12:4-6
องค์พระวิญญาณ ผู้ประทับอยู่ในร่างกายของพี่น้องทุกคนที่เชื่อ ทรงเป็นผู้กำหนดว่า คนใดควรใช้ของประทานอันใดเพื่อให้คริสตจักรโดยรวมเติบโต เป็นแผ่นดินของพระเจ้าในโลกนี้จะเห็นว่า ของประทานแต่ละอย่างเหมาะกับการรับใช้ที่ไม่เหมือนกัน ผลงานที่เกิดขึ้นก็แตกต่างกันไปด้วยแต่ก็เพื่อพี่น้องผู้เชื่อจะได้เติบโต เป็นที่ชื่นชมของพระบิดาเจ้าไปด้วยกัน 

1 โครินธ์ 12:7-8
ท่านเปาโลได้บอกชัดเจนให้พี่น้องทุกคนทราบว่าของประทานเหล่านี้ เป็นเพื่อประโยชน์แก่ทุกคนของประทานที่จำเป็นในแต่ละพื้นที่ก็ไม่เหมือนกันดูอย่างคริสตจักรที่อยู่ในท้องที่ห่างไกล ในที่ ๆไม่ได้รับการติดต่อจากที่ไหน พวกเขาก็ต้องการคนที่เข้าใจเพื่อที่จะอธิบายให้พี่น้องได้เติบโตในพระเจ้า ในคริสตจักรที่เต็มด้วยความสับสนอย่างในโลกปัจจุบันก็ต้องการคนที่มีปัญญา มีความรู้ที่จะเตือนสติพี่น้องได้

1 โครินธ์ 12:9
คนที่มีของประทานในความเชื่อนั้น แตกต่างจากพี่น้องที่เชื่อโดยทั่วไป พวกเขามีความเชื่อแบบสุดสุดในพระเจ้า (ไม่รวมพวกสุดโต่งคิดเอาเอง)แต่คนที่มีความเชื่อเช่นนี้ จำเป็นมากในคริสตจักรส่วนเรื่องการรักษาโรคนั้น เรารู้อยู่ว่า โรคบางอย่างกินยาก็หายได้ พระเจ้าประทานความสามารถให้มนุษย์ค้นคว้า แต่ยังมีโรคที่รักษาไม่หาย คนป่วยที่ไม่อาจมาโรงพยาบาล ไม่มีเงิน สารพัดปัญหาฯลฯ คริสตจักรต้องการของประทานนี้จริง ๆ

1 โครินธ์ 12:10
ยังมีของประทานอีกห้าอย่างที่พระเจ้าประทานฤทธิ์เดช เผยพระดำรัส สังเกตวิญญาณ พูดภาษาที่แปลกออกไปและความสามารถที่จะแปล
ภาษานั้นทั้งหมดนี้เราจะเห็นว่า มีคริสตจักรที่แสวงหาของประทานเหล่านี้ กับคริสตจักรที่ไม่เชื่อในเรื่องของประทาน มีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป ที่พระเจ้าทรงให้ของประทานเหล่านี้ มีเหตุผลที่ชัดเจน สำคัญคือ ช่วยให้พี่น้องเจริญขึ้น

1 โครินธ์ 12:11
มีข้อถกเถียงกันว่า ของประทานเหล่านี้ยังคงมีอยู่ในคริสตจักรหรือไม่ ประเด็นเรื่องของประทาน กลายเป็นสิ่งที่ทำให้คริสเตียนมีความเห็นขัดแย้งกัน บางพวกก็ว่า พระวิญญาณยังทรงทำการอยู่ บางพวกก็ว่า เรื่องนี้มีเฉพาะคริสตจักรยุคแรกเท่านั้น แต่ถ้าเรามองอย่างยุติธรรมว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา คริสตจักรยังคงยืนหยัดอยู่ได้ เพราะมีผู้ที่มีของประทานเหล่านี้ เป็นหลักช่วยให้พี่น้องได้ไม่หลงทางไป โดยเฉพาะในโลกที่เน้นชั่วเป็นดี…

1 โครินธ์ 12:12
การเปรียบเทียบด้วยการใช้ร่างกายมนุษย์นั้นเป็นการเปรียบที่ชัดเจนที่สุด พี่น้องในโครินธ์มีแนวโน้มที่จะมองว่า ของประทานฝ่ายวิญญาณ
บางอย่างมีศักดิ์ศรี และเกียรติยศ มากกว่าของประทานอีกอย่าง โดยไม่ได้คิดถึงโดยรวม ท่านเปาโลจึงใช้ภาพร่างกายมาอธิบายว่า ของประทานทุกอย่างเป็นที่ต้องการ เหมือนกับร่างกายต้องการอวัยวะหลายอย่างจึงประกอบเป็นร่างได้

1 โครินธ์ 12:13
ท่านเปาโลทำให้เรามองเห็นว่า ในความเป็นหนึ่งเดียวของร่างกายมนุษย์นั้น มีอวัยวะส่วนต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนกัน ทำงานต่างกันอย่างน่ามหัศจรรย์ ถ้าเรามองภาพคริสตจักรอย่างที่ท่านบอก เราก็จะรู้สึกเป็นหนึ่งกับทุก ๆ คนที่อยู่ในคริสตจักร พี่น้องที่แตกต่างเชื้อชาติ ฐานะ จะรักกันได้ ไม่เหมือนกับชาวโลกที่เอาเรื่องเหล่านี้มาเหยียดกันเราได้บัพติศมาเข้าส่วนโดยพระวิญญาณเดียวกันเราได้ดื่มจากพระวิญญาณองค์เดียวกัน

1 โครินธ์ 12:14-15
การเปรียบเทียบคริสตจักรเป็นร่างกายของมนุษย์นับเป็นการให้ภาพที่สวยงาม ชัดเจนมาก ๆ ทุกคนในคริสตจักรต่างมีความสำคัญทั้งสิ้น ไม่มีคนไหนที่จะต้องถูกปฏิเสธเพราะเชื้อชาติ หรือฐานะ หน้าตา ความรักในคริสตจักรทำให้โลกรู้ว่าคนที่เชื่อในพระเจ้าแตกต่างจากพวกเขา คริสตจักรคือกลุ่มคนที่เชื่อพระเจ้าเหมือนกัน มารวมตัวกันนมัสการ รับใช้พระเจ้าองค์เดียวกัน และเติบโตไปด้วยกันในองค์พระวิญญาณ

1 โครินธ์ 12:16-17
พี่น้องในคริสตจักรแต่ละคนนั้น ต่างมีหน้าที่มีความสามารถ มีความเป็นตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งเป็นที่ต้องการในคริสตจักรโดยรวม หากคนหนึ่งกล่าวว่า “ฉันไม่ได้เป็นนักเทศน์ ฉันจึงไม่มีส่วนในคริสตจักร” ก็คงไม่ถูกต้อง หากทุกคนเป็นผู้นำ ใครเป็นผู้ตาม? หากทุกคนเป็นนักเทศน์ ใครจะฟัง? เราเห็นพี่น้องอาวุโสที่ตั้งใจอธิษฐานเห็นเด็กเล็ก ๆที่เข้ามาทำให้คริสตจักรสดชื่น มีชีวิตชีวา นี่แหละคือชุมชนคนของพระเจ้า


1 โครินธ์ 12:18-20
พระคำข้อนี้ทำให้เราคิดถึงการทรงสร้างของพระเจ้าที่ทรงจัดหน้าที่ทุกอย่างของอวัยวะทุกส่วนสมบูรณ์แบบตามที่มันควรจะเป็นไป เช่นเดียวกัน พระวิญญาณประทานความสามารถแต่ละอย่างให้เหมาะกับแต่ละคน แต่ละสถานการณ์ ให้สมบูรณ์แบบอยู่แล้วในแต่ละคริสตจักร จึงไม่ควรที่จะมีการอิจฉาตาร้อน หรือน้อยอกน้อยใจหากของประทานของตนนั้นไม่เหมือนกับคนอื่น นี่เป็นจุดอ่อนของพี่น้องในโครินธ์

1 โครินธ์ 12:21
ชัดเจนมาก ในคริสตจักรนั้น พี่น้องต่างต้องการซึ่งกันและกัน ถ้าทุกคนพยายามหาส่วนดี และส่วนที่พระเจ้าประทานให้แต่ละคน นำสิ่งนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวมแล้ว จะดีมาก สิ่งที่ทำให้คริสตจักรไม่เติบโตเพราะบางคนเกลียดชังบางคนไม่ต้องการให้อยู่ในที่เดียวกับตน ขาดความรักขาดความเห็นใจ แม้กระทั่งคนที่พิการซ้ำซ้อนยังเป็นส่วนของคริสตจักรได้ เขาจะเป็นผู้ที่ช่วยสร้างให้คนอื่นได้แสดงความเมตตา นั่นคือพระพร

1 โครินธ์ 12:22-23
เมื่อพระเจ้าทรงสร้างร่างกายมา ทุกส่วนมีความจำเป็นทั้งสิ้น แม้แต่ใส้ติ่งที่หลายคนคิดว่า ไม่มีประโยชน์ แต่ทางการแพทย์ก็พบประโยชน์ของไส้ติ่งแล้ว … อวัยวะแต่ละส่วนน่าดูหรือไม่ควรดูแตกต่างกันไป เรามีบางส่วนที่ปิดบังไว้เพื่อศักดิ์ศรี เราไม่เปลือยกายเดินไปมา แต่เราปกปิดไว้เพื่อเกียรติยศของคน ๆ นั้น ดังนั้นพี่น้องที่อาจจะทำงานแบบไม่มีใครเห็น หรือดูเป็นผู้เล็กน้อยก็ไม่ได้ขาดความสำคัญในคริสตจักรเลย

1 โครินธ์ 12:24-25
ในทางของพระเจ้านั้น แตกต่างจากทางของมนุษย์พระเจ้าทรงให้เกียรติต่อคนที่ดูเล็กน้อย เท่ากับคนที่ดูดีกว่า ดูโดดเด่นกว่า ทรงมองที่ใจไม่ใช่แค่ภายนอก จุดเด่นของพระคำข้อนี้คือ อวัยวะทุกส่วนควรห่วงใยซึ่งกันและกัน พระเยซูตรัสว่า ที่เราปฏิบัติต่อผู้เล็กน้อยที่สุดอย่างไร ก็เหมือนปฏิบัติต่อพระองค์ด้วย เราทุกคนพลาดเรื่องนี้ได้ทุกวัน โดยไม่ได้มองว่า คนเล็กน้อย อวัยวะที่มองไม่เห็นนั่นแหละคือตัวแทนของพระองค์

1 โครินธ์ 12:26-27
นึกถึงตอนเราปวดฟัน บางทีก็จะตามด้วยปวดหูปวดหัวไปด้วย ถ้าพี่น้องเป็นทุกข์ใจ เมื่อคนในชุมชนผู้เชื่อทุกข์ใจตาม ก็จะมีการช่วยเหลือกันโดยไม่ได้คิดเอาบุญคุณ เมื่อพี่น้องมีเกียรติได้เหรียญทองขึ้นมา พี่น้องทั้งหมดก็ชื่นชมตามไม่ได้มีการอิจฉาตาร้อน นี่แหละคือพระกายแท้ ๆไม่ใช่ว่า คนหนึ่งได้ดี อีกคนพยายามกดลง ชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้าแตกต่างจากโลกนะ


1 โครินธ์ 12:28
จะเห็นว่า หน้าที่ในคริสตจักรนั้นมีหลายอย่างแต่ละคนมีหน้าที่เพื่อสร้างเสริมคนอื่น ๆ ให้เจริญขึ้น อัครทูตคือผู้ที่ถูกส่งออกไปเป็นเหมือนทูตพิเศษของพระเจ้า ผู้เผยพระคำ คือคนที่กล่าวคำที่ทำให้พี่น้องได้เข้าใจพระทัยของพระเจ้าในสถานการณ์ปัจจุบัน ยังมีผู้สอนพระคำให้กระจ่างผู้ทำการอัศจรรย์นั้นจะทำด้วยการทรงนำของพระวิญญาณ มิใช่อ้างทำเอง ทำเพื่อประโยชน์ของพี่น้อง พระเจ้าทรงเลือกหน้าที่ให้เอง


1 โครินธ์ 12:29-30
ไม่มีใครสักคนที่จะเป็นได้ทุก ๆ อย่าง เพราะแค่อย่างสองอย่างก็เต็มที่แล้ว พระคำตอนนี้บอกเราชัดเจนว่า หากใครคนหนึ่งบอกว่าตนเองมีของประทานทุกอย่างล่ะก็ คนนั้นน่ากลัวจริง ๆ ว่าจะหลอกหรือเปล่า ข้อความตอนนี้ทำให้เราเห็นว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีทุกอย่าง พระเจ้าทรงเกลี่ยของประทานให้กับทุกคนที่
คริสตจักรจะทำงานได้อย่างราบรื่น ต่างกันแต่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

1 โครินธ์ 12:31
ดูเหมือนว่าของประทานนี้เป็นสิ่งที่เราแสวงหาได้ด้วย ไม่ใช่เพื่ออวดว่าตนเองมี แต่เพื่อรับใช้พี่น้องให้เติบโต แม้ว่าจะเป็นของประทานจากพระเจ้าตามพระทัยของพระองค์ แต่ก็เป็นสิ่งดีที่จะปรารถนาได้ของประทานจากพระเจ้า แต่ยังมีทางที่ดีที่สุดซึ่งท่านเปาโลกำลังจะแนะให้กับพี่น้อง เพราะว่าสิ่งที่ท่านจะบอกนี้ เป็นส่วนประกอบสำคัญในการใช้ของประทานจากพระเจ้าให้มีผลดีเต็มร้อย

พระคำเชื่อมโยง

1* 1 โครินธ์ 12:4; 14:1,37
2* เอเฟซัส 2:11; สดุดี 115:5
3* มัทธิว 16:17
4* โรม 12:3-8; เอเฟซัส 4:4
5* โรม 12:6
6* 1โครินธ์ 15:28

8* 1โครินธ์ 2:6-7; โรม 15:14
9* 2 โครินธ์ 4:13; มาระโก 3:15; 16:18
10* มาระโก 16:17; โรม 12:6; 1 ยอห์น 4:1; กิจการ 2:4-11
11* โรม 12:6; ยอห์น 3:8
12* โรม 12:4-5; กาลาเทีย 3:16

13* โรม 6:5; โคโลสี 3:11; ยอห์น 7:37-39
18* 1โครินธ์ 12:28; โรม 12:3
27* โรม 12:5; เอเฟซัส 5:30
28* เอเฟซัส 4:11; 2:20; 3:5; กิจการ 13:1;
1 โครินธ์ 12:10, 29; กันดารวิถี 11:17;
โรม 12:8
31* 1โครินธ์ 14:1, 39

สุภาษิต 1 ปัญญาเรียกหา

ทำไมกษัตริย์โซโลมอนจึงเขียนหนังสือสุภาษิต?
1 สุภาษิตของกษัตริย์โซโลมอนแห่งอิสราเอล
โอรสของกษัตริย์ดาวิด
2 เพื่อ จะเรียนรู้จักสติปัญญากับคำสั่งสอน
เพื่อเข้าใจถ้อยคำที่เต็มด้วยสติปัญญาลึกล้ำ
3 เพื่อรับคำสอนแห่งปัญญา ความเที่ยงธรรม
ความยุติธรรมและความซื่อสัตย์ 
4 เพื่อให้คนที่อ่อนต่อโลก จะได้มีความหลักแหลม 
ให้คนหนุ่มได้มีความรู้และปฏิภาณ 
5 ให้คนที่มีปัญญาได้ฟังและเพิ่มความรู้
และคนที่หยั่งรู้จะได้รับคำแนะนำ
6 เพื่อจะเข้าใจสุภาษิตและคำอุปมา คำคม
และข้อปริศนาของคนมีปัญญา
7 ความยำเกรงพระยาห์เวห์
เป็นจุดเริ่มต้นของความรู้ 
คนโง่ดูหมิ่นปัญญาและคำสั่งสอน





หน้าที่ของพ่อแม่และลูก
8 จงฟัง ลูกชายของเรา ฟังคำสอนของพ่อ
และอย่าละทิ้งคำของแม่
9 เพราะมันเป็นเหมือนมาลัยงดงามบนหัวของเจ้า
และเป็นดั่งสร้อยทองคล้องคอเจ้า

เมื่อคนชั่วมาชักชวน
10 ลูกชายของเราเอ๋ย หากคนบาปหลอกล่อ
ขออย่ายอมตามพวกเขาไป 
11 เพราะหากเขากล่าวชวนว่า
“มากับเรา ไปซุ่มดักรอเชือดใครสักคน
เรามารุมคนบริสุทธิ์กันเถอะ
12 เราจะกลืนพวกเขาทั้งเป็น
เหมือนว่าเราเป็นแดนคนตาย 
เรามากลืนเขาทั้งเป็น เหมือนส่งไปหลุมศพ 
13 เราจะยึดทรัพย์สินมีค่า
และสะสมของเหล่านี้ให้เต็มบ้าน 
14 มาเสี่ยงจับฉลากกับเรา 
แล้วเราจะได้แบ่งเงินกันใช้ “


อย่าเดินไปกับคนชั่ว
15 ลูกชายของเราเอ๋ย
อย่าเดินไปทางเดียวกับพวกเขา
อย่าก้าวเข้าไปในทางของพวกเขาเลย
16 เพราะเท้าของพวกเขาวิ่งไปหาความลำบาก
และพวกเขาดักทำร้ายคน
17 โง่จริงที่เราจะเหวี่ยงตาข่ายดักทั้ง ๆ ที่นกก็เห็น 
18  คนเหล่านี้ซุ่มอยู่เพื่อฆ่าตัวเองแท้ ๆ 
พวกเขาดักล่าชีวิตของตัวเอง
19 นี่เป็นหนทางของคนที่ทำกำไรอย่างคดโกง
และมันคร่าชีวิตของพวกเขาเอง

สติปัญญาร้องเรียกจากถนน เกิดอะไรขึ้นบ้าง?
20 ปัญญาร้องเรียกอยู่บนถนน
เธอส่งเสียงดังที่ลานชุมนุม
21 เธอร้องเสียงดังกว่าเสียงอึกทึกบนถนน
เธอพูดที่ทางเข้าประตูเมืองว่า
22 “ เจ้าคนโง่เอ๋ย เจ้าจะรักความเขลาไปอีกนานเท่าใด?
เจ้าคนช่างเยาะจะพอใจกับการเยาะเย้ยไปอีกนานแค่ไหน?
เจ้าคนเขลาจะชังความรู้ไปอีกนานเท่าใด?
23 หากเจ้าสนใจคำเตือนของเรา
เราก็จะเทวิญญาณของเราเหนือเจ้า
และสอนถ้อยคำของเราให้เจ้า


24 ในเมื่อเราเรียกเจ้าและเจ้าปฏิเสธ
เรายื่นมือออกมา แต่ไม่มีใครใส่ใจ
25 ในเมื่อเจ้าละทิ้งคำปรึกษาทั้งสิ้นของเรา
และไม่ยอมรับการแก้ไขจากเรา
26 ถึงคราวของเรา เราจะหัวเราะกับความหายนะของเจ้า
เราจะเยาะเย้ยเมื่อเจ้ากลัวลาน
27 เมื่อความกลัวโถมเข้ามาหาเจ้าเหมือนอย่างพายุ
และความหายนะมาถึงเจ้าดั่งลมหมุน
เมื่อความลำบาก และความทุกข์ใจมาเหนือเจ้า
28 ตอนนั้นพวกเขาจะร้องหาเรา แต่เราจะไม่ตอบ
พวกเขาจะค้นหาเรา แต่จะไม่เจอ
29 เพราะพวกเขาชังความรู้
และไม่เลือกที่จะยำเกรงพระเจ้า
30 เพราะพวกเขาไม่สนใจคำแนะนำของเรา
และละเลยคำตักเตือนทั้งสิ้นของเรา
31พวกเขาจะได้กินผลจากหนทางของพวกเขา
และจะได้อิ่มกับแผนชั่วของตน
32 ที่คนไม่รู้ประสาจะถูกฆ่าเพราะเขาไม่ยอมฟังใคร
และความเฉยเมยของคนโง่จะทำลายพวกเขาเอง
33 แต่ใครก็ตามที่ฟังเสียงของเรา
จะมีชีวิตอย่างปลอดภัย
และไม่ต้องกลัวอันตรายใด ๆ

คำอธิบายเพิ่มเติม

สุภาษิตเป็นข้อความซึ่งพระเจ้าทรงส่งผ่านชายชราทรงปัญญาที่สุดในโลก ที่ได้เห็นหนทางของมนุษย์ในตลอดชีวิตอันยาวนานของท่าน  ท่านสังเกตและเห็นว่า เกิดอะไรขึ้น และได้สรุปเห็นหลักการในชีวิตของมนุษย์ ว่าถ้าทำอย่างหนึ่งก็จะมีอย่างหนึ่งเกิดขึ้น  การกระทำทุกอย่างมีผลของมัน   ท่านได้มุ่งเน้นสอนเยาวชนในเรื่องการใช้ชีวิตให้ดี
สุภาษิตที่เขียนขึ้นมานี้เป็นเรื่องของสติปัญญา หลักการที่ได้ลงมือปฏิบัติจริง เกิดผลขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน. ที่เราเดินตามหลักการในพระคัมภีร์นั้นก็เพื่อว่าเราจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์เป็นอันดับแรก
ความดีสูงสุดที่เราจะมีในชีวิตของเด็กหนุ่มสาวก็คือ ความรอด และการดำเนินชีวิตที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้นทุกวัน  สุภาษิตนี้จะนำให้เราไปรู้จักพระเยซูคริสต์ในอีกด้านของพระองค์ นี่คือสิ่งที่น่าประหลาดของหนังสือสุภาษิต
หนังสือสุภาษิตนี้ช่วยให้เราเห็นความเขลาของเราในหลาย ๆ เรื่อง และสิ่งที่ผู้เขียนสอนจะช่วยให้เราฉลาดขึ้น ดีจริง ใคร ๆ ก็อยากมีปัญญา และฉลาดขึ้นกันทั้งนั้น

สุภาษิต 1:1-7 ทำไมกษัตริย์โซโลมอนจึงเขียนหนังสือสุภาษิต?
เราได้รู้แล้วว่า ทำไมกษัตริย์โซโลมอนเขียนหนังสือสุภาษิตให้กับเยาวชนในบ้านเมืองที่ท่านปกครองอยู่
ท่านเน้นที่จะให้ประชาชนของท่านเป็นคนมีปัญญา มีความรู้ มีความเข้าใจ เป็นคนฉลาด และท่านก็เริ่มต้นบอกเคล็ดลับของความเป็นคนที่มีความรู้คือ ยำเกรงพระเจ้า ... ความยำเกรงดังกล่าวไม่ใช่ความกลัวจนลนลาน กลัวว่าพระองค์จะทำร้ายหรือลงโทษ แต่เป็นความยำเกรง นับถือ ให้เกียรติ และยกย่องพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น และก็กลัวด้วยคือกลัวที่จะทำอะไร คิดอะไรต่อต้านพระองค์
และท่านยังบอกอีกว่า ถ้าเรายำเกรงพระเจ้าเราจะได้รับผลอย่างไรบ้าง …ดู 8:13; 9:10,10:27, 14:26-27,15:33, 16:6, 19:23; 22:4
ส่วนใหญ่ในหนังสือสุภาษิต มีโซโลมอนเป็นผู้เขียน และยังมีผู้เขียนท่านอื่นที่เขียนบางบทตอนท้าย ๆ ด้วย
สติปัญญาเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็อยากได้ ในภาษาฮีบรูว่า ค๊อกมา חָכְמָה มีความหมายรวมไปถึง .. ความชำนาญในการใช้ชีวิต การทำงาน ความสามารถในการบริหารงานต่าง ๆ การทำสงคราม ความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณ ไปดูความหมายเพิ่มเติมได้ที่ https://biblehub.com/hebrew/2451.htm

สุภาษิต 1:8-9 หน้าที่ของพ่อแม่และลูก
พ่อแม่มีหน้าที่สอนสิ่งที่ดีให้ลูก ๆ ของตน แต่ ความที่โลกนี้เปลี่ยนไป พ่อแม่ที่รับผิดชอบมีน้อยลงไปเรื่อย ๆ
คนที่มีความรับผิดชอบสูงก็เกิดไม่อยากมีลูกเสียอีก … ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยได้คือ เยาวชนของเราต้องรู้จักหนังสือสุภาษิต เพื่อให้ข้อความเหล่านี้ได้สอนใจ และนำทางชีวิตของเขา

สุภาษิต 1:10-19 เมื่อคนชั่วมาชักชวน
สิ่งที่สำคัญคือ อย่าให้คนอื่นมาหลอกล่อให้เราทำชั่วอย่างพวกเขา ซึ่งตอนนี้ รายการความชั่วนั้น มีมากมายไม่เฉพาะแค่ที่โซโลมอนบอกเอาไว้ เยาวชนของเราต้องมีความเข้าใจที่จะเลือกสิ่งดีที่สุดให้กับชีวิตของตน และรู้ว่าจะฟัง ไม่ฟังใคร
การตักเตือนในตอนนี้ ได้ใช้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมาเล่าให้เยาวชนได้เข้าใจว่า คนชั่วจะชักชวนประมาณไหน ต้องสังเกตคำพูดของพวกเขาอย่างไร

สุภาษิต 1:20-23 เมื่อคนชั่วมาชักชวน
ครั้งนี้ ซาโลมอนได้กล่าวถึงปัญญาในฐานะที่เป็นสตรีผู้หนึ่ง เธอคือปัญญา ที่ท่านทำเช่นนี้ ทำให้ผู้อ่านได้เข้าใจการเรียกหาของปัญญาได้ดีขึ้น แทนที่จะเป็นคำนามธรรมที่มองไม่เห็น เหมือนกับที่อิสยาห์เองกล่าวถึงพระเมสสิยาห์ว่าทรงเป็นที่ปรึกษาที่ล้ำเลิศ (อิสยาห์ 9:6) ในมุมมองของพระคัมภีร์แล้ว พระปัญญาเป็นบุคคลไม่ใช่แค่นามธรรมที่ไม่มีชีวิต
ปัญญาส่งเสียงดังเรียก แต่คนไม่ได้ยิน ไม่ชอบปัญญา ชอบฟังอย่างอื่นที่สนุกมากกว่า ปัญญาพยายามที่จะเรียกร้องความสนใจ แต่ไม่มีใครเอาใจใส่เธอเลย
ปัญญาบอกด้วยว่า หากสนใจคำเตือน ก็จะได้รับคำสอนจากปัญญา

สุภาษิต 1:24-33 เมื่อเราเรียกเจ้าและเจ้าปฏิเสธ
ในเมื่อไม่มีใครฟัง ปัญญาก็บอกว่า เวลาต้องการเธอ ก็จะไม่พบเธอ ดังนั้น เราจึงต้องไม่ให้สายเกินไปที่เราจะหันกลับมาหาปัญญา คือพระคำของพระเจ้า เพราะวันหนึ่งที่เดือดร้อน เราอาจหาพระองค์ไม่พบแล้วก็เป็นได้ ข้อ 29 คนทั้งหลายชังความรู้ ไม่เลือกความยำเกรงพระเจ้า ..เขาจะได้กินผลจากการเลือกของเขา เป็นข้อความที่ตรงกันข้ามกับข้อ 7 ที่บอกว่า ความยำเกรงพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของความรู้
โยบ 28:28 สรุปให้เรารู้ว่า ความยำเกรงพระเจ้านั่นคือปัญญา และที่จะหนีจากความชั่ว คือความเข้าใจ

ข้อพระคำเชื่อมโยง

1* 1 พงศ์กษัตริย์ 4:32
4* สุภาษิต 9:4
5* สุภาษิต 9:9
6* สดุดี 78:2
7* โยบ 28:28
8* สุภาษิต 4:1
9* สุภาษิต 3:22
10* ปฐมกาล 39:7-10

11* เยเรมีย์ 5:26
12* สดุดี 28:1
15* สดุดี 1:1, 119:101
16* อิสยาห์ 59:7
19* 1 ทิโมธี 6:10
20* ยอห์น 7:37
23* โยเอล 2:28
24* เยเรมีย์ 7:13

25* ลูกา 7:30
26* สดุดี 2:4
27* สุภาษิต 10:24-25
28* อิสยาห์ 1:15
29* โยบ 21:14; สดุดี 119:173
30* สดุดี 81:11
31* โยบ 4:8
33* สุภาษิต 3:24-26; สดุดี 112:7

กิจการ 19 การต่อสู้ที่แปลกออกไป

เปาโลในเมืองเอเฟซัส

การอัศจรรย์ที่ทำให้หมอผีเปลี่ยนชีวิต

ความวุ่นวายจากกลุ่มนายช่าง

คำอธิบายเพิ่มเติม

เปาโลในเมืองเอเฟซัส
กิจการ 19:1-3
นี่เป็นการเดินทางออกไปประกาศเยี่ยมเยี่ยนครั้งที่สาม ของเปาโล และบทนี้เราได้รู้ว่า เปาโลได้อยู่ในเอเฟซัสประมาณสามปั เป็นความสุข ที่ได้กลับมายังเอเฟซัสอีก และเมื่อพบพี่น้องก็รู้สึกว่าต้องคุยกันเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพี่น้องเอเฟซัสก็ไม่เคยรู้จักเลย ซึ่งคล้ายกับอปอลโลแรก ๆ ที่รู้เรื่องของพระเจ้าแต่ยังรู้ไม่ครบถ้วน
กิจการ 19:4-7
พี่น้องเหล่านี้ฟังคำของท่าน ฟังความหมายของบัพติศมาของยอห์น และของพระเยซูว่าแตกต่างกันอย่างไร
พวกเขาจึงได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพูดภาษาต่าง ๆ มีการเผยพระคำด้วย เหมือนกับวันแรกที่พระวิญญาณทรงเติมเต็มเหล่าคนที่รอคอยพระองค์ในเยรูซาเล็ม (กิจการ 2)
กิจการ 19:8-10
ยิวที่เกลียดชังเรื่องที่เปาโลพยายามจะอธิบายให้เข้าใจก็ใช้วิธีเดิม คือ การให้ร้ายความจริง วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้กันมาแต่โบราณจนกระทั่งวันนี้ เวลานี้ มีคำ ๆ หนึ่งบอกว่า การโฆษณาชวนเชื่อสามารถเปลี่ยนประเทศได้ ซึ่งเป็นความจริง เราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการโหมพูดสิ่งที่ต้องการซำ้แล้วซำ้เล่าจนคนได้ยินบ่อยก็เชื่อว่าเป็นจริง
เปาโลจึงแก้ไขโดยการออกไปคุยเรื่องของพระเจ้าในห้องใหญ่ของทีรัสนัส และได้ใช้ที่นั่นนานถึงสองปี ทำให้คนชาติต่าง ๆ ที่อยู่ในเมือง ที่ไม่เคยเข้าไปในศาลาธรรมได้ยินเรื่องของพระเยซูด้วย

การอัศจรรย์ที่ทำให้หมอผีเปลี่ยนชีวิต
กิจการ 19:11-12
การอัศจรรย์นี้มีความหมายถึงอำนาจ ฤทธิ์เดชซึ่งมาจากคำกรีกว่า ไดนามิส การอัศจรรย์จากเปาโลเป็นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านตัวเขา ทำแบบวิเศษมากคือ ตรงเป้าหมาย ซึ่งไม่ได้เกิดจากการวางมือเสียด้วยซ้ำ ในเมืองอื่น ๆ เราไม่ค่อยเห็นการอัศจรรย์แบบนี้ แต่สำหรับเอเฟซัสเป็นสิ่งที่เหมาะมากเพราะพวกเขาเชื่อในเรื่องอำนาจผีไม่น้อย ดูจากจดหมายของเปาโลที่เขียนมายังพี่น้องในเอเฟซัส โดยมีการอ้างถึงวิญญาณต่าง ๆ หลายครั้ง การอัศจรรย์เหล่านี้ทำให้รู้ว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าวิญญาณที่พวกเขาเชื่อถือ
กิจการ 19:13-14
และแล้ว ก็เกิดการเลียนแบบขึ้น มียิวหัวใสคิดทำตามเปาโล ทำตัวเป็นหมอผีเพื่อจะได้เงินจากครอบครัวของคนที่ถูกผีสิง แม้กระทั่งลูกชายของเสวาหัวหน้าปุโรหิตยังเลียนแบบด้วย พวกเขาช่างกล้าที่จะเอาพระนามของพระเยซูมาหาเงิน เป็นความกล้าทางมืดที่ไม่ได้หมดไปจากโลกนี้ แม้กระทั่งในหมู่ผู้เชื่อที่ไม่ค่อยเข้าใจพระคัมภีร์ หรือแค่เชื่อเผิน ก็จะโดนคนที่ไวในการหาประโยชน์เข้าตัวปอกลอกด้วยวิธีการแบบนี้ (ยิ่งในอเมริกา และในอัฟริกา จะพบสิบแปดมงกุฎสายนี้ไม่น้อย)
กิจการ 19:15-16
ที่เปาโลช่วยรักษาโรคและไล่ผีออกในพระนามพระเยซูได้ ก็เพราะพระเจ้าทรงสัญญาจะให้อำนาจนี้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ที่ออกไปในพระนาม (พระมหาบัญชาระบุชัดเจน ดูมัทธิว 28:18-20)
แต่เรื่องนี้ลูกชายของเสวาไม่ได้รู้ด้วย พวกเขาคิดว่า ใช้พระนามพระเยซู ก็เหมือนใช้มนต์ของหมอผี พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้าให้ทำอย่างนั้น พวกเขาเองไม่รู้จักพระองค์เสียด้วยซ้ำ
ที่ผีมารต้องออกจากคนที่มันสิงอยู่เวลาเปาโลไล่มันออกไป เพราะเปาโลมีอำนาจของพระเยซูอยู่ มันรู้ว่าพระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้า เรื่องนี้ ผีทุกตัวรู้ดี (ดูมาระโก 3:11-12, 5:7)
“พระเยซูข้ารู้จัก เปาโลข้าเคยได้ยิน แต่พวกเจ้าเป็นใคร?” นี่เป็นคำถามของผี จริง ๆ มันไม่สนใจด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใคร กลุ่มวิญญาณชั่วที่สิงในคนรู้ว่าลูกชายเสวาเป็นของปลอม มันเลยใช้ให้คนที่ถูกสิง กระโจนใส่ ทำร้ายพวกเขาจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน
กิจการ 19:17-18
เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นที่ฮือฮาในหมู่คนยิว กรีก พวกเขาแปลกใจที่ผีเองยังรู้จักพระเยซู และจัดการกับตัวปลอมได้ ในขณะที่คนชาวโรมันชอบรูปเคารพและพระต่าง ๆ แต่คนยิวบางส่วนกลับสนใจเรื่องฝ่ายวิญญาณเพื่อที่จะหาเงินเข้ากระเป๋า มีอาชีพเป็นหมอผี และเมื่อเห็นว่า แค่ผ้าที่เคยแตะต้องตัวเปาโลมายังมีฤทธิ์ขนาดนั้น พวกเขาจึงสวมรอยใช้พระนามของพระเจ้าในทางที่ผิด เหมือนอย่างลูกชายของเสวา
เรื่องนี้ทำให้หมอผีจำนวนหนึ่งที่มีปัญญา ต้องมาจำนนต่อฤทธิ์เดชจริงของพระเจ้า
กิจการ 19:19-20
ไม่ใช่แค่กลับใจเท่านั้น แต่ยังเผาตำราแพง ๆ ทั้งหมดด้วย ทำให้เราเห็นว่า พระเจ้าทรงเปิดตาพวกเขาให้เห็นความจริงและยอมรับว่า พระเจ้ายิ่งใหญ่ ถ้าไม่เห็นจริง คงไม่เผาสิ่งที่ช่วยให้ทำมาหากินคล่อง ๆ แบบนี้
เหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อทำให้พระคำของพระเจ้าขยายออกไปอีก มีฤทธิ์มากขึ้นอีกในเมืองเอเฟซัสและรอบ ๆ
นี่เป็นตัวอย่างให้เราเห็นว่า หากยังมีสิ่งใดที่ทำให้เราไม่บริสุทธิ์ในสายพระเนตร เราต้องทำลายมันทิ้งเสีย
กิจการ 19:21-23
การที่ได้เกิดผลในเอเฟซัส ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ที่นั่นตลอดไป เปาโลมีความหวังว่าจะเยี่ยมพี่น้องคริสเตียนที่อยู่ในโรมด้วย เป็นคริสเตียนที่เชื่อด้วยการประกาศของพี่น้องท่านอื่น ๆ ด้วยการทรงนำของพระวิญญาณ เปาโลจึงเดินทางผ่านไปยังมาซิโดเนีย อาคายา โดยให้ทิโมธีกับเอรัสทัสไปล่วงหน้าก่อน แต่แล้ว ยังไม่ทันไรก็เกิดความวุ่นวายขึ้น …

ความวุ่นวายจากกลุ่มนายช่าง

กิจการ 19:24-25
นั่นคือช่างเงินที่ทำรูปเคารพเกิดรู้ตัวขึ้นมา โดยมีเดเมตริอัสเป็นหัวหน้าแกนนำ โดยเรียกช่างทองมาเพื่อแจ้งให้รู้ว่า “ทางนั้น” คือความเชื่อในพระเยซูเป็นภัยต่ออาชีพของพวกเขา
อาชีพของพวกเขาคือการทำรูปหล่อวิหารอารเทมิสที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในโลกโบราณ ใคร ๆ ก็เห็นว่าเทพีนี้ให้ความอุดมสมบูรณ์กับชีวิต ช่างเงินเหล่านี้กำลังอยู่ช่วงขาขึ้น กำลังโกยเงินทองมากมายจากการขายรูปหล่อเล็ก ๆ ให้คนเอาไปไว้บูชาตามบ้าน
ที่แปลกคือ วิหารอารเทมิสเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งที่มหัศจรรย์ของโลกโบราณด้วย
กิจการ 19:26-27
เหตุผลของ เดเม-ตริอัส ช่างน่าเชื่อถือสำหรับช่างเงินทั้งหลายที่มารวมตัวกัน พวกเขาเห็นด้วยกับเดเม-ตริอัส ในเมื่อพวกเขาขายของเหล่านี้ หากคนไปเชื่อ “ทางนั้น” ก็เท่ากับธุรกิจต้องล่มสลาย. แปลกที่คนเชื่อพระเยซู ไม่ได้มาขอให้พวกเขาสร้างรูปเคารพของพระเยซูเลย คนเชื่อพระเยซูนมัสการพระเจ้าที่มองไม่เห็น ทั้งร้องเพลงด้วยกัน อธิษฐานด้วยกัน แต่ไม่มีรูปเคารพสักรูป!
กิจการ 19:28-29
พอคนเริ่มไม่พอใจก็เริ่มจากเพื่อนร่วมงานของเปาโล คือ กายอัส และอาริสทาคัส เอาเข้าไปสำเร็จโทษในโรงละครซึ่งเป็นโรงใหญ่จุคนได้ประมาณ สองหมื่นสี่พันคน เป็นที่ ๆ ชาวเมืองจะพบกันเพื่อดูละคร และถกเถียงกันในเรื่องต่าง ๆ
กิจการ 19:30-32
เปาโลไม่ได้กลัวเลย แต่จะเข้าไปช่วยเพื่อน แต่..หัวเด็ดตีนขาด ไม่มีใครยอมให้เปาโลมีส่วนตรงนี้ พวกเขาคงต้องลากเปาโลออกไป เพราะเรื่องแบบนี้ เปาโลถนัดมาก!! ขณะนั้นเองคนก็เริ่มงุนงงว่า มาทำอะไรกันอยู่ เนื่องจากต่างคนต่างตะโกน ไม่เป็นเรื่อง
กิจการ 19:33-34
พวกยิวต้องการให้คนรู้ว่า ยิวกับเปาโลไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน แต่.. ช่างเงินช่างทองถือว่าถ้าเป็นยิวก็เป็นพวกเปาโลแน่นอน อเล็กซานเดอร์จึงไม่มีโอกาสจะพูดเลย
กิจการ 19:35-37
ผู้ว่าการเมืองเป็นคนเก่ง สามารถที่ทำให้คนที่กำลังโกรธสงบลงได้ ผู้ว่าจะไม่ยอมให้พวกเขาก่อจลาจลเพราะเดี๋ยวโรมจะเข้ามาคุมเข้มมากขึ้น ทำให้เขาทำงานไม่สะดวก จะกลายเป็นว่า โรมส่งคนมาควบคุมพวกเขาเอง อย่างนี้ ผู้ว่าก็รับไม่ได้เหมือนกัน
กิจการ 19:38-41
ใครมีเรื่องกับใคร ก็ไปฟ้องศาล อย่ามาทำให้บ้านเมืองต้องจลาจลอย่างนี้ ท่านให้ทุกคนเลิกชุมนุมได้
คนที่เข้ามาชุมนุมกันตอนนี้ก็เหนื่อยอ่อนไปตาม ๆ กัน ยังไม่ได้พักกันเลย เคยอยู่ทำงานไปกลับมาต้องโห่ร้องตะโกนสองชั่วโมง พวกเขาก็ฟังเหตุผลของผู้ว่าด้วย เป็นอันว่าเลิกรากันไป

พระคำเชื่อมโยง

1* 1 โครินธ์ 1:12; 3:5-6; กิจการ 18:23
2* 1 ซามูเอล 3:7
3* กิจการ 18:25
4* มัทธิว 3:11
5* กิจการ 8:12, 16; 10:48
6* กิจการ 6:6; 8:17; 2:4; 10:46
8* กิจการ 17:2; 18:4; 1:3; 28:23
9* 2 ทิโมธี 1:15; กิจการ 9:2; 19:23; 22:4; 24:14

10* กิจการ 19:8; 20:31
11* มาระโก 16:20
12* กิจการ 5:15
13* มัทธิว 12:27; มาระโก 9:38; 1โครินธ์ 1:23; 2:2
17* ลูกา 1:65; 7:16
18* มัทธิว 3:6
20* กิจการ 6:7; 12:24

21* โรม 15:25; กิจการ 20:22; 20* โรม 1:13; 15:22-29
22* 1 ทิโมธี 1:2; โรม 16:23
23* 2 โครินธ์ 1:8; กิจการ 9:2
24* กิจการ 16:16, 19
26* อิสยาห์ 44:10-20
29* โรม 16:23; โคโลสี 4:10
33* 2 ทิโมธี 4:14; กิจการ 12:17