1 ทิโมธี 4 คนหนุ่มของพระเจ้า

อ่านคอลัมน์ด้านซ้ายลงไปเป็นพระคัมภีร์ฉบับถอดความ ช่องกลางเป็นภาพและข้อพระคำเชื่อมโยง ส่วนช่องขวามือสุด เป็นการอธิบายเบื้องต้น

พระวิญญาณได้ตรัสไว้ชัดเจนว่า ในภายหน้า จะมีคนที่ละทิ้งความเชื่อ หันไปติดตามวิญญาณล่อลวง และคำสอนของมารคำสอนดังกล่าวมาจากความหน้าซื่อใจคดของคนมุสาที่จิตสำนึกตายสนิท
1 ทิโมธี 4:1-2

1 ทิโมธี 4:1-2, 1 ยอห์น 2:18 ,วิวรณ์ 16:14

กิจการ 20:29-30 พระคำ
ข้อนี้ บอกว่าผู้เชื่อทั้งหลายนั้น พระวิญญาณทรงแต่งตั้งให้ผู้รับใช้ของพระองค์ดูแล จะมีคนที่เหมือนสุนัขป่าเข้ามาจะจัดการโดยไม่เว้นแกะสักตัว คนเหล่านี้จะชักชวนผู้เชื่อให้หลงตามเขาไป ยูดา 18 บอกว่า ในสมัยสุดท้าย จะมีคนเย้ยหยัน ซึ่งคน เหล่านี้จะทำตามตัณหาชั่วของตัว

มีการห้ามแต่งงาน ห้ามกินอาหารบางชนิดซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ สำหรับคนที่เชื่อและรู้ความจริง ให้กินด้วยการขอบพระคุณ เพราะ
ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นดีถ้ากินด้วยการขอบพระคุณก็ ไม่ห้ามเลยสักสิ่งเดียว สิ่งเหล่านั้น ได้รับการชำระด้วยพระคำและการอธิษฐานแล้ว

1 ทิโมธี 4:3-5

มัทธิว 7:15, เอเฟซัส 4:19

พวกที่สอนเท็จ มักจะนำ
เอากฎเกณฑ์ต่าง ๆ มาควบคุมวิถีชีวิตของคน พวกเอสซีนซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่งในศาสนายิวถือว่า การเป็นโสดสำคัญมากที่จะทำให้ชีวิตสะอาด
บริสุทธิ์ ยังมีคนที่ห้ามกินเนื้อในพวกยิว คนต่างชาติ ชาวโรม ท่านเปาโลได้บอกชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่พระดำริของพระเจ้า

ถ้าเจ้าได้แจกแจงสิ่งเหล่านี้ให้พี่น้องเข้าใจ เจ้าก็เป็นผู้รับใช้ที่ดีของพระเยซูคริสต์ซึ่งเติบโตด้วยถ้อยคำแห่งความเชื่อ ในหลักคำสอนที่ดีซึ่งเจ้ายึดถือทำตาม อย่าเข้าไปข้องเกี่ยวกับตำนาน เรื่องเล่าลี้ลับท่ีไร้สาระ แต่จงฝึกตนในทางของพระเจ้า
1 ทิโมธี 4:6-7

2 ทิโมธี 3:14,2:16,ฮีบรู 5:14

ผู้รับใช้ของพระเจ้าต้องอ่าน ศึกษา ใคร่ครวญเข้าใจในเนื้อหาของแต่ละเรื่องราว เพื่อจะได้สอน ชี้แจงให้ผู้ที่รู้น้อยกว่าได้เข้าใจ ทิโมธีเองก็เป็นคนที่เอาใจใส่เรื่องนี้มาแต่ยังเด็ก 2 ทิโมธี 3:15
อีกเรื่องคือ ไม่ให้ไปใส่ใจในตำนาน เรื่องราวลี้ลับที่มีอยู่มากมาย ในปัจจุบันมีมหาศาลในภาพยนต์ หนังสือต่าง ๆ

ในขณะที่การฝึกร่างกายมีประโยชน์ อยู่บ้าง แต่การฝึกในทางของพระเจ้าประโยชน์รอบด้าน คือให้ประโยชน์กับชีวิตนี้ และชีวิตหน้า
1 ทิโมธี 4:8

1 โครินธ์ 8:8, สดุดี 37:9

ท่านเปาโลหมายถึง
การฝึกอย่างนักกีฬาซึ่งนิยมกัน ในโลกกรีกโรมโบราณ ท่านบอกว่าการฝึกทางของพระเจ้านั้นสำคัญกว่ามาก เพราะให้ประโยชน์คุ้มไปถึงนิรันดร์กาล การฝึกทั้งสองอย่างนี้ต้องมีวินัย การทุ่มเท การทำอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง ใช้เวลามาก การทำให้ดีขึ้น ๆ ยิ่งฝึกมาก ทักษะก็ยิ่งเพิ่ม

ข้อความนี้ไว้ใจได้ สมควรรับไว้โดยไม่สงสัย ที่เราตรากตรำบากบั่น ก็เพื่อสิ่งนี้ คือเราเชื่อวางใจในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของคนที่เชื่อในพระองค์
1 ทิโมธี 4:9-10

สดุดี 36:6

ที่เปาโลตรากตรำเพื่อนำให้คนมาพบพระเจ้า เป็นเพราะ….เขาวางใจในพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และความเชื่อนี้ทำให้เขามีชีวิตอยู่เพื่อถวายพระเกียรติของพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงช่วยมนุษย์ได้ทั้งโลก แต่คนอีกเป็นอันมากที่ปฏิเสธความรอด ของพระองค์จึงต้องสูญเสียชีวิตนิรันดร์ไปอย่างน่าเสียดายที่สุด

จงสั่งสอนสิ่งเหล่านี้ อย่าให้ใครดูหมิ่นเพราะเจ้ายังหนุ่ม แต่จงเป็นแบบอย่างแก่ผู้เชื่อทั้งในทางวาจา การดำเนินชีวิต ความรัก ความเชื่อและความบริสุทธิ์ จงทุ่มเทเวลาในการอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุม ทั้งในการเทศนา
สั่งสอนจนกว่าเราจะมา

1 ทิโมธี 4:11-13

คนหนุ่มสาวของพระเจ้า ไม่จำเป็นต้องเหมือนคนหนุ่มสาวทั่วไปเขาไม่ต้องทำตามพวกนั้น ไม่จำเป็นต้องดูเจ๋ง สูบบุหรี่ กินเหล้า เที่ยวกลางคืน คนหนุ่มสาวของพระเจ้าต้อง
แตกต่าง แต่ เราฉลาดที่เลือกทางที่สูงกว่า ดีกว่า สามข้อสั้น ๆ นี้ บอกครบเลยว่า คนหนุ่มสาวของพระเจ้ามีลักษณะแบบใด

อย่าละเลยของประทานซึ่งพระเจ้าทรงให้เจ้าผ่านทางการเผยพระคำเมื่อผู้ปกครองวางมือบนเจ้า
จงฝึกฝนสิ่งเหล่านี้เป็นชีวิตจิตใจ เพื่อทุกคนจะได้เห็นความก้าวหน้าของเจ้า

1 ทิโมธี 4:14-15

2 ทิโมธี 1:6 , กิจการ 6:6 ของประทาน คืองานของพระวิญญาณในบุคคล คนหนึ่งอย่างพิเศษ มาจากคำว่า คารีสหรือพระคุณ

เมื่อพระเจ้าประทานความสามารถพิเศษให้แล้ว หน้าที่ของเราคือการร่วมมือเพื่อให้ได้ผลสมบูรณ์แบบตัวอย่างของการวางมือ เพื่อรับใช้เฉพาะเจาะจงให้ไปดูที่กิจการ 13:1-3
ยิ่งกว่านั้น ทิโมธีจะต้องทำให้เกิดความก้าวหน้าขึ้นอีกใช่แล้ว ทั้งไม่ละเลย ทั้งฝึกฝน ทั้งทำให้ก้าวหน้า

จงเอาใจใส่ ดูแลทั้งชีวิตและคำสอนของตัวเจ้าเป็นอย่างดี
จงพากเพียรบากบั่น ในสิ่งเหล่านี้ เมื่อทำเช่นนั้นแล้วเจ้าจะช่วยทั้งตัวเจ้าและผู้ฟังให้รอดได้

1 ทิโมธี 4:16

การวางมือทำให้เรารู้ว่า ผู้ใหญ่ได้เห็นราชกิจของพระเจ้าในชีวิตของทิโมธี

เราต้องใส่ใจคือ ชีวิตของตัวเองทั้งภายนอกและภายใน ถ้าคำสอนดี ถูกต้อง น่าเชื่อถือแต่ชีวิตภายในของคนสอนกลับคดโกง ทุกสิ่งจะพังไม่เป็นท่า บากบั่นคือ มุมานะ พากเพียร ไม่ยอมถอย ไม่ยอมแพ้จะต้องช่วยทั้งตัวเอง และคนอื่นให้รอดได้ ถ้าคนอื่นรอดแล้วตัวเองพินาศนับเป็นความน่าเสียใจที่สุดของชีวิตคนนั้น

1 ทิโมธี 3 คุณสมบัติผู้รับใช้

คุณสมบัติของผู้ดูแล ผู้ปกครองในคริสตจักร

ข้อความต่อไปนี้เป็นจริง คือ ถ้าใครต้องการจะดูแลคนในคริสตจักร เท่ากับเขากำลังปรารถนางานที่มีเกียรติ ผู้ปกครองดูแลคนนี้ต้องเป็นคนไร้ตำหนิ มีภรรยาคนเดียวรู้จักประมาณตน ควบคุมตนเองได้ น่านับถือ มีน้ำใจรับรองแขก มีทักษะในการสอน
1 ทิโมธี 3:1-2

กิจการ 20:28, 1 เปโตร 5:2 ,2:25, ทิตัส 1:7, 3:2, โรม 12:13

จากภาษาเดิม ความต้องการ..คือการยื่นมือออกไปเพื่อบางสิ่ง แต่ความปรารถนา เป็นความเร่าร้อนในใจ การเป็นผู้ดูแลนี้คือการเป็นคนที่รับผิดชอบในการนำคริสตจักร เป็นผู้ปกครอง ผู้กล่าวพระคำ (ฮีบรู 13:7) รวมไปถึงช่วยเหลือคนที่อ่อนแอฝ่ายวิญญาณ ผู้ที่ทำหน้าที่นี้เราเรียกกันว่า ผู้ปกครอง

ไม่เสพของมึนเมา ไม่ก้าวร้าวแต่สุภาพอ่อนโยน ไม่ชอบ
การทะเลาะวิวาท ไม่เห็นแก่เงิน เป็นคนจัดการครอบครัวตัวเองได้ดีดูแลลูกหลานให้เคารพเชื่อฟัง
1 ทิโมธี 3:3-4

ทิตัส 1:6-7, 2:2, 3:2, ฮีบรู 13:5, กิจการ 10:2

หากคนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวได้ดูแลคริสตจักร จะดีมาก เพราะในคริสตจักรมี คนมาจากหลายครอบครัว มีนิสัยแตกต่างกันไป และเขาจะต้องจัดการดูแลคนที่แตกต่าง เหล่านี้ ช่วยให้อยู่ร่วมกันด้วยความรักห่วงใย กัน เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ของง่าย

หากเขาจัดการครอบครัวไม่ได้ จะมาดูแลคริสตจักรของพระเจ้าได้อย่างไรกัน เขาจะต้องไม่ใช่คนที่ เพิ่งเข้ามาเชื่อ ไม่อย่างนั้น เขาอาจกลายเป็นคนจองหอง ลืมตัว ถูกลงโทษอย่างพญามาร เขาต้องเป็นคนมีชื่อเสียงดีในหมู่คนภายนอก เพื่อว่าเขาจะไม่ต้องอับอายเสื่อมเสีย และติดกับดักมาร
1 ทิโมธี 3:5-7

เอเฟซัส 5:24, 5:32, กิจการ 20:28, 1เปโตร 5:5, อิสยาห์ 2:12, 2 โครินธ์ 8:21, โคโลสี 4:5, กิจการ 6:3

คริสตจักรเป็นที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตคน ถ้าผู้นำยังพ่ายแพ้ คริสตจักรก็จะตกที่นั่งลำบาก ส่วนคนที่เพิ่งเข้ามาเชื่อ ยังต้องเรียนรู้ทางของพระเจ้าอีกนานพอสมควร หากผู้นำยังไม่ได้ เข้าใจทางของพระเจ้าอย่างถ่องแท้ จะเป็น ผลร้ายกับทุกคน นอกจากนั้นยังต้องมีชื่อเสียงดีทั้งนอกและในคริสตจักรด้วย ทั้งนี้เพื่อไม่ให้คริสตจักรติดกับดักมาร!

คุณสมบัติมัคนายก

ฝ่ายมัคนายกของคริสตจักร
ก็เช่นกัน เขาต้องเป็นคนที่น่านับถือ ไม่พูดจากลับไปมา ไม่เสพของมึนเมา ไม่เป็นคนโลภคดโกง จะต้องยึดมั่นในความเชื่อที่ลึกซึ้งด้วยจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ ต้องตรวจสอบคนเหล่านี้ก่อน เมื่อเห็นว่า ไร้ข้อบกพร่อง ก็ให้เขารับใช้ดูแลงานต่าง ๆในคริสตจักร
1 ทิโมธี 3:8-10

ฟีลิปปี 1:1, เลวีนิติ 10:9, ยากอบ 3:10, 1 ทิโมธี 1:19, 1:5, 5:22, กิจการ 6:1-2

ท่านเปาโลต้องการให้มีการตรวจสอบคนที่จะเข้ามารับใช้พระเจ้า ต้องได้คนที่เหมาะสม ไว้ใจได้ เขาคนนั้นต้องพิสูจน์ว่าเขาเป็นคนจริง ไม่เสแสร้ง มีความเชื่อแท้ มั่นคง เชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง
แต่สมัยนี้เราไม่ค่อยจะเข้มงวดในเรื่องนี้เท่าไร อาจเป็นเพราะหาคนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวยากเกิน ก็เลยเรียก กันมาร่วมทำงานโดยไม่กลั่นกรอง

เช่นเดียวกัน ภรรยาของพวกเขาต้อง เป็นสตรีที่น่านับถือ ไม่ว่าร้ายผู้อื่น รู้จักประมาณตน วางใจได้ในทุกเรื่อง มัคนายกคริสตจักรต้องมีภรรยาคนเดียว ดูแลจัดการครอบครัวได้ดีผู้ที่รับใช้ดูแลงานในคริสตจักรเป็นอย่างดีก็ได้รับเกียรติมาก และ พวกเขามีความมั่นใจมากในความเชื่อของตนในพระเยซูคริสต์
1 ทิโมธี 3:11-13

ทิตัส 2:3, 3:2 ,สุภาษิต 10:18, 1 เปโตร 5:8, 4:10-11, ฮีบรู 6:10,

มีผู้ให้ความเห็นว่า คำว่าภรรยา ในภาษากรีก มีความหมายว่า “สตรี” เฉย ๆ ได้ด้วย ดังนั้น ท่านเปาโลอาจหมายถึงสตรีที่เป็นมัคนายก ผู้ดูแลคริสตจักรด้านอื่น ๆ ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่า ถ้าสตรีมา เป็นมัคนายก เธอก็ควรมีคุณสมบัติดังกล่าว การมีครอบครัวสามีเดียวภรรยาเดียวเป็นสิ่งที่ท่านเปาโลเน้นอย่างมากในบทนี้ ถ้าชายที่จะเป็นมัคนายกหรือผู้ปกครองผ่านข้อนี้ไม่ได้ ก็ไม่อาจทำหน้าที่นี้

ข้าหวังว่าจะมาหาเจ้าในไม่ช้านี้ แต่ที่เขียนมาก่อนก็เพื่อว่า หากข้าเกิดล่าช้า เจ้าจะได้รู้ว่า ควรทำอย่างไรในครอบครัวของพระเจ้าซึ่งก็คือคริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ อันเป็นเสาหลักและเป็นรากฐานแห่งความจริง
1 ทิโมธี 3:14-15

ฟีเลโมน 1:22, 3 ยอห์น 1:14, 1 เปโตร 2:5, เอเฟซัส 2:21-22, ,มัทธิว 16:16

ท่านเรียกว่า คริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ คริสตจักรที่กล่าวถึงนี้คือ ผู้เชื่อทั้งโลกที่อาศัยอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในโลก แต่ละชุมชนคริสเตียน เป็น พระกายของพระองค์ คริสตจักรเป็นเสาหลัก และเป็นรากฐานแห่งความจริง หากคริสตจักรอ่อนแอ ไม่เชื่อฟังคำของพระเจ้าก็จะทำให้รากฐานอ่อนแอตามไปด้วย

ความล้ำลึกแห่งทางของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่นัก ไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ นั่นคือ พระองค์ได้ทรงปรากฏในกายมนุษย์ พิสูจน์แล้วโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เหล่าทูตสวรรค์ได้เห็นพระองค์ ชาติทั้งหลายได้ยินการประกาศเรื่องพระองค์ ชาวโลกได้เชื่อในพระองค์ พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไปสู่พระสิริรุ่งโรจน์
1 ทิโมธี 3:16

ยอห์น 1:14, โรม 16:25, ฮีบรู 1:3, โคโลสี 1:23, กิจการ 20:28

พระคำข้อนี้มหัศจรรย์ คือว่า พระเยซูทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ เดินดินอย่างเรา(ยอห์น 1:14) พระวิญญาณทรงทำราชกิจพร้อมไปกับพระองค์ เมื่อทรงอยู่ในโลกนี้ (ยอห์น 16:7,10 โรม 1:4) และทรงให้พระองค์คืนชีพจากความตาย ทูตสวรรค์เอง ได้เห็นราชกิจและการคืนชีพนั้น พวกเขา ยังมาเป็นพยานในวันที่ทรงคืนชีพขึ้นมา (ยอห์น 20:12)มีการประกาศพระนามของพระองค์ไปทั่วโลก เริ่มจากสมัยคริสตจักรยุคแรกจนนาทีนี้ (โคโลสี 1:23) มีคนตอบรับพระองค์และได้รับความรอดเป็นพัน ๆ ล้านคน และพระองค์ทรงถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ต่อหน้าต่อตาศิษย์ (กิจการ 1:9)จำนวนมากมาย

1 ทิโมธี 2 อธิษฐานมีพลัง…

คอลัมน์ซ้ายสุด เป็นพระคัมภีร์ถอดความ คอลัมน์กลางเป็นภาพและพระคัมภีร์เชื่อมโยง ส่วนคอลัมน์ขวาสุดสีครามนั้น เป็นคำอธิบายเพิ่มเติม

อธิษฐานเผื่อใครหรือ?

ดังนั้นก่อนอื่นใด ข้าขอกำชับให้เจ้าได้ทูลคำร้องขอ อธิษฐาน วิงวอนเพื่อผู้อื่น และขอบคุณพระเจ้า เพื่อทุกคน เพื่อกษัตริย์ทั้งปวง และผู้มีสิทธิอำนาจทั้งหลาย เพื่อว่าพวกเราจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ สันติ อยู่ในทางของพระเจ้า อย่างสง่างาม
1 ทิโมธี 2:1-2

มัทธิว 6:9-10, เอสรา 6:10, โรม 13:1, เยเรมีย์ 29:7, 1 เปโตร 2:9-13

ทูลคำร้องขอ …. คือการขอจากพระเจ้าตามน้ำพระทัย
อธิษฐาน … สนทนา สื่อสาร สัมพันธ์กับพระเจ้า
วิงวอนเพื่อผู้อื่น ทูลขอเพื่อความจำเป็นของผู้อื่น
ขอบคุณพระเจ้า …เพื่อใคร…ทุกคน และผู้มีอำนาจ
ผลที่ได้คือ…..ชีวิตสงบที่เป็นเช่นนี้เพราะในโลกเรามีคริสเตียนที่ทนทุกข์เพื่อพระเจ้ามากมายจริง ๆ เราจำเป็นต้องมีผู้ปกครองที่เป็นธรรม.. ชีวิตจึงจะสงบสุขได้


การทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดีและเป็นที่พอพระทัย ของพระเจ้าผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์ทรงประสงค์ที่จะให้ทุกคนได้รับความรอด
และมารู้จักกับความจริง

1 ทิโมธี 2:3-4

ฮีบรู 13:16, โรม 12:2, 2 ทิโมธี 1:9,

การอธิษฐานเพื่อคนอื่นไม่ใช่แค่คนที่เชื่อเท่านั้น แต่สำหรับคนที่ไม่ได้เชื่อด้วย พระเจ้าทรงประสงค์ให้ทุกคนได้พบความจริง คนที่เราคิดว่า ไม่มีทางรอดได้แล้ว เราก็ยังอธิษฐานขอพระเมตตาจากพระเจ้าต่อไป เผื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงเมตตาเขา การอธิษฐานอย่างแรงกล้า ร้อนใจอย่างเอลียาห์จะเกิดผล (ยากอบ 5:17)

เพราะมีพระเจ้าเพียงองค์เดียว และมีคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เพียงผู้เดียวเท่านั้น คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพเป็นมนุษย์ พระองค์ประทานชีวิตของพระองค์เองเป็นค่าไถ่ทุกคน คำยืนยันนี้เกิดขึ้นตาม เวลาอันเหมาะสม
1 ทิโมธี 2:5-6

1 โครินธ์ 8:6, กาลาเทีย 3:21, มาระโก 10:45

จากอิสราเอลโบราณที่ต้องมีปุโรหิตเป็นตัวกลางระหว่างพระเจ้ากับประชาชน แต่บัดนี้ ไม่มีตัวกลางอื่นแล้ว นอกจากพระเยซูเท่านั้น
(ฮีบรู 9:11-15) พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และทรงเป็นมนุษย์ ไม่มีใครมีลักษณะเช่นนี้เลยในจักรวาล ( โรม 8:34)
เรามีพระเจ้าองค์เดียวคือพระบิดา มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวคือพระเยซู (1 โครินธ์ 8:6)

เรื่องของชาย หญิง ในคริสตจักร

และเพราะเหตุนี้ ข้าจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศ และเป็นอัครทูต (ข้าพูดความจริง ไม่โกหก) ข้าเป็นครูสอนความเชื่อแท้จริงแก่บรรดาคนต่างชาติ ดังนั้น ข้าอยากให้ผู้ชายทุกแห่ง ได้ชูมืออันบริสุทธิ์อธิษฐาน โดยไม่โกรธขึ้งหรือโต้เถียงกัน
1 ทิโมธี 2:7-8

เอเฟซัส 3:7-8, 1 ทิโมธี 1:11, 2 ทิโมธี 1:11,

การรับแต่งตั้งเป็นผู้ประกาศข่าวดีของเปาโลนี้ มีการ ยืนยันหลายที่ เอเฟซัส 3:7-8 กาลาเทีย 1:15
ส่วนผู้ชายในที่นี้ หมายถึงผู้นำในการนมัสการ การยกมือขึ้นอธิษฐานเป็นแบบของคนยิว พวกเขาจะต้องมีชีวิต ที่สะอาด และท่านห้ามไม่ให้ พวกเขาโกรธกัน เถียงกัน สงสัยว่า นิสัยใจคอของคนที่นั่นคงจะเลือดร้อนกันไม่น้อย

ส่วนผู้หญิง ข้าขอให้แต่งกาย
สุภาพเรียบร้อย เหมาะสม
ไม่ใช่ถักผมประดับทอง ไข่มุก หรือสวมเสื้อผ้าราคาแพงแต่ประดับตัวด้วยการทำความดี ซึ่งเหมาะกับผู้หญิงที่ประกาศตัวว่าเป็นคนอยู่ในทางของพระเจ้า

1ทิโมธี 2:9-10

1 เปโตร 3:3-4

ท่านเปาโลขอให้สตรีแต่งกายแบบที่บ่งบอก จิตใจที่อ่อนสุภาพ ถ่อมตน การที่เพื่อไม่ให้ดึงสายตา ของผู้คนเมื่อเข้ามานมัสการพระเจ้า ดูเหมือนพระคำข้อนี้จะแตกต่างจากที่เราเห็นกันในคริสตจักรทุกวันนี้

ให้ผู้หญิงเรียนรู้เงียบ ๆ ยอมเชื่อฟัง ข้าไม่อนุญาตให้ผู้หญิงสั่งสอน หรือมีอำนาจเหนือผู้ชาย แต่ให้นิ่งสงบ
1 ทิโมธี 2:11-12

(โคโลสี 3:11) อธิบายเพิ่มเติม 1 ทิโมธี 2:11-12 ,1 โครินธ์ 14:34, ทิตัส 2:5

ที่ท่านเปาโลกล่าวอย่างนี้เพราะในช่วงเวลานั้นมีปัญหาในคริสตจักรเอเฟซัส คือมีกลุ่มผู้หญิงที่เข้ามาแล้วสอนเท็จในคริสตจักร ดังนั้นการที่ขอให้ผู้หญิงนิ่งและฟังคำสอนจึงน่าจะเป็นเรื่องเฉพาะของคริสตจักรที่ทิโมธีทำงานอยู่โดยตรง
ท่านเปาโล มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้หญิงที่เป็นผู้เชื่อ อย่างเช่นนางนุมฟาที่มีคริสตจักรในบ้าน (โคโลสี 4:15)เฟบี ที่เป็นผู้ดูแลงานในคริสตจักร​(โรม 16:1-2)
และท่านเองก็ใส่ใจเรื่องความเท่าเทียมกันด้วย

ด้วยว่า พระเจ้าทรงสร้างอาดัม ก่อนเอวา และอาดัมไม่ได้ถูกหลอกล่อ ผู้หญิงต่างหากที่ถูกหลอกล่อและได้ทำบาป แต่ผู้หญิงจะรอดได้ ด้วยการคลอดบุตร หากว่าเธอยังดำรงในความเชื่อ ความรัก ความบริสุทธิ์ การควบคุมตนเอง
1 ทิโมธี 2:13-15

1 โครินธ์ 11:8-9, ปฐมกาล 2:18,22, 27, 3:12-13, ทิตัส 2:12

คนที่พ่ายแพ้ต่อการล่อหลอกของมารคือเอวาจากนั้นเธอก็ทำบาปและชักชวนอาดัมให้ทำตาม และนี่ก็เป็นสิ่งที่น่าจะเชื่อมโยงกับการสอนผิด เป็นไปได้ไหมที่เมื่อมีการสอนผิด พวกผู้หญิงในคริสตจักรเอเฟซัส ก็พากันคล้อยตามไปง่าย ๆ

1 ทิโมธี 1 จดหมายจากท่านเปาโล

ทิโมธีเป็นผู้ช่วยท่านเปาโลพร้อม ๆ กับทิตัส เขาได้รับงานที่สำคัญคือ ดูแลเสริมสร้างคริสตจักรที่ท่านเปาโลได้ก่อตั้งในเมืองเอเฟซัส เขาเป็นลูกครึ่งกรีกยิว และเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับพระเจ้ามาก เปาโลถือว่าเขาเป็นผู้ร่วมงานรับใช้ ท่านรักเขาเหมือนกับลูกชาย

ทิโมธีเป็นคนหนุ่มที่มีโรคประจำตัว (1 ทิโมธี 5:23) และดูเหมือนสมาชิกก็ไม่ได้ให้ความเคารพเขาอย่างที่สมควร ( 1 ทิโมธี 2:2-8) ท่านเปาโลหนุนใจเขามาก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะท้อใจง่ายเหมือนกัน

ส่วนเมืองเอเฟซัสนั้น เป็นเมืองใหญ่ที่สนใจกราบไหวเทพีไดอานา เป็นเทพีที่หลงไหลเรื่องเพศ รูปปั้นของเทพีนี้ ก็ชักชวนให้คนหันไปสนใจกิจกรรมทางเพศทุกชนิด ท่านเปาโลทำงานในเมืองนี้ถึงสามปี

ท่านเปาโลได้เขียนทิโมธีฉบับที่หนึ่งเพื่อหนุนใจทิโมธีและแนะนำว่าควรจะดูแลคริสตจักรอย่างไรบ้าง ท่านเน้น
ให้เขาสอนอย่างถูกต้อง (1-11)
ให้ประกาศพระกิตติคุณ (12-17)
และปกป้องความเชื่อ (18-20)

คอลัมน์ซ้ายสุด เป็นพระคัมภีร์ถอดความ คอลัมน์กลางเป็นภาพและพระคัมภีร์เชื่อมโยง ส่วนคอลัมน์ขวาสุดนั้น เป็นคำอธิบายเพิ่มเติม

คำทักทาย

จดหมายจากข้า เปาโล
อัครทูตของพระเยซูคริสต์
ตามคำบัญชาของพระผู้ช่วยให้รอดของเรา และพระเยซูคริสต์ ความหวังของเรา
1 ทิโมธี 1:1

1 เปโตร 1:3, ทิตัส 2:13

พระผู้ช่วยให้รอด soter คำนี้หมายถึงผู้ช่วยกู้ ผู้รักษา ผู้อุปถัมภ์ ผู้ปลดปล่อย ใช้กับทั้งพระบิดาและพระเยซู

ท่านเปาโลเขียนจดหมายนี้โดยประสงค์จะแนะนำให้ทิโมธีได้รู้ว่าจะบริหารคริสตจักรให้ดีที่สุดอย่างไร จะทำอย่างไรพี่น้องจึงจะเติบโตในทางของพระเจ้าอย่างดี และไม่หลงเชื่อเหล่าครูสอนผิด

ถึง ทิโมธี ลูกชายแท้ในความเชื่อของข้า ขอพระคุณ พระเมตตาและสันติสุขจากพระเจ้า พระบิดา และพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจงอยู่ในตัวเจ้า
1 ทิโมธี 1:2

2 ทิโมธี 1:2, ทิตัส 1:4 ,
กาลาเทีย 1:3

ปกติแล้วท่านเปาโลจะขอพระคุณและสันติสุขให้ผู้รับจดหมายแต่สำหรับฉบับนี้ท่านขอสามประการ พระคุณ พระเมตตาและสันติสุขให้แก่ทิโมธี

ไม่เอาคำสอนอื่น สอนอย่างถูกต้อง

ตอนที่ข้าไปยังแคว้นมาซิโดเนีย ข้าได้ออกคำสั่งให้เจ้าอยู่ในเมืองเอเฟซัสต่อ เพื่อจะได้หยุดบางคนไม่ให้เผยแพร่คำสอนอื่น
1 ทิโมธี 1:3

กิจการ 20:1,3, โรม 16:17,
2 โครินธ์ 11:4, กาลาเทีย 1:6

ออกคำสั่ง: เป็นคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ท่านเปาโลใช้คำทหาร

พันธกิจหลักของทิโมธีคือการหยุดคำสอนผิดที่ระบาดอยู่ในสังคมคริสเตียนในเมืองเอเฟซัส เนื้อหาของสิ่งที่คนเหล่านี้สอนนั้น หนีความเชื่อในพระเจ้า ไปเน้นสิ่งที่ไร้สาระ อื่น ๆ พยายามเอาพระคุณของพระเจ้าเปลี่ยนเป็นกฎเกณฑ์ทางศาสนา

ทั้งไม่ให้หมกมุ่น คลั่งไคล้กับตำนานต่าง ๆ รวมถึงลำดับวงศ์ตระกูลที่ไม่จบสิ้น ทำให้เกิดการทุ่มเถียงกันมากกว่าแผนงานของพระเจ้าซึ่งดำเนินไปด้วยความเชื่อ
1 ทิโมธี 1:4

1ทิโมธี 6:3,4,20, ทิตัส 1:14

ก่อนหน้านี้หลายร้อยปี ธรรมาจารย์ได้เพิ่มเติมกฎและตำนานเข้าไปในพระคัมภีร์เดิม ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตประจำวันเรื่องเล็กน้อย มีกฎที่คนต้องทำตามหลายร้อยข้อ พวกเขาสุดโต่ง ต่อต้านความรอดโดยความเชื่อหัวชนฝา

เป้าหมายของคำสั่งกำชับคือ
ความรักจากใจบริสุทธิ์
จากจิตสำนึกดี
และความเชื่อที่จริงใจ
1 ทิโมธี 1:5

โรม 13:8-10,กาลาเทีย5:14, เอเฟซัส 6:24

ความรัก จิตสำนึกดี ความเชื่อ สามอย่างนี้เป็นสิ่งที่ทิโมธีจะต้องปลูกฝังให้พี่น้อง เพื่อทุกคนจะมีมุมมองที่ถูกต้อง เป็นฐานของชีวิตที่สำคัญ .. จิตสำนึกดีคือ ไม่มีความผิดติดค้างในใจ แม้ในที่ไม่มีใครเห็นก็ไม่ทำผิด

บางคนเฉไฉไปจากสิ่งเหล่านี้ หันไปคุยเรื่องไร้สาระ ขนาดว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองพูด ไม่รู้ว่าตัวเองยืนยันเรื่องอะไรอยู่ เขาก็ยังคงใฝ่ฝัน ที่จะเป็นครูสอนบัญญัติ
1 ทิโมธี 1:6-7

1 ทิโมธี 6:4,20 , ทิตัส 3:9, 2 ทิโมธี 2:23-24

หากคนที่เป็นครูสอนฝ่ายวิญญาณ ไม่มีฐานความดีสามอย่างดังกล่าวในชีวิต
แต่ยังอยากเป็นคนสอนพระคำของพระเจ้า เราต้องสงสัย ระวังไว้ว่า เขาจะสอนได้ถูกต้องหรือ ?

เรารู้ว่า บัญญัตินั้นเป็นสิ่งดีหากใช้อย่างถูกต้อง นี่หมายความว่า บัญญัติไม่ได้มีสำหรับผู้ถูกต้องชอบธรรม แต่มีไว้สำหรับคนดื้อด้าน ละเมิดกฎมีไว้สำหรับคนอธรรม กับคนบาป สำหรับคนไร้พระเจ้า ไร้ศาสนา สำหรับคนที่ฆ่าพ่อแม่ของตนและฆาตกร
1 ทิโมธี 1 :8-9

โรม 7:12,5:20, 1 เปโตร 4:18

คนสอนผิด ไม่ได้นำคนเข้าใกล้พระเจ้า แต่จะนำคนออกจากทางของพระเจ้า บัญญัติมีไว้สำหรับคนดื้อ แต่ความเชื่อมีไว้สำหรับคนที่จะวางใจพระเจ้าในทุกส่วนของชีวิต

(บัญญัติมีไว้)สำหรับคนสำส่อน รักร่วมเพศ สำหรับค้นค้ามนุษย์ และคนโกหก สำหรับคนที่ให้การเท็จและสำหรับสิ่งอื่น ๆ ที่ขัดแย้งกับคำสอนถูกต้อง ตามข่าวประเสริฐอันเลื่องลือของพระเจ้าผู้ทรงเป็นที่สรรเสริญ ซึ่งเป็นข่าวประเสริฐ ที่ทรงมอบให้ข้าประกาศ
1 ทิโมธี 1:10-11

1 ทิโมธี 6:15, 2 ทิโมธี 4:3, 1 โครินธ์ 9:17

ข่าวประเสริฐเลื่องลือของพระเจ้าคือ พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ ยุติธรรม ทรงชังความบาป เมื่อมนุษย์ทำผิด ต้องถูกลงโทษ ขณะเดียวกัน พระเจ้าทรงรักมนุษย์ ทรงเปิดทางให้เขาทุกคนกลับมาหาพระองค์ได้ ด้วยการให้พระบุตรมารับโทษบาปแทนทุกคนที่เชื่อในพระองค์

พระคุณที่ท่วมล้นชีวิต ประกาศพระกิตติคุณ

ข้าขอบพระคุณองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ประทานกำลังให้ข้า เพราะพระองค์ทรงเห็นว่า ข้าซื่อตรง จึงทรงแต่งตั้งให้ข้าได้รับใช้ในราชกิจของพระองค์
1 ทิโมธี 1:12

ฟีลิปปี 4:13 , 1 โครินธ์ 15:10,7:25, โคโลสี 1:25

พระเจ้าทรงเห็นว่า เปาโลซื่อตรง? แม้ว่าในอดีตเขาทำร้ายคนของพระองค์อย่างรุนแรง แต่เมื่อทรงใช้เขา ก็ทรงใช้อย่างถึงที่สุดเช่นกัน

แต่พระคุณของพระผู้เป็นเจ้าของเรานั้น ได้เทลงมาท่วมท้นล้นชีวิตข้า พร้อมกับความเชื่อ และความรักที่มีในองค์พระเยซูคริสต์
1 ทิโมธี 1:14

โรม 5:20, 2 ทิโมธี 1:13,2:22

ท่านเปาโลมั่นใจว่า พระเจ้าทรงเลือกท่านไว้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ (กาลาเทีย 1:13-16) พระคุณของพระเจ้าท่วมชีวิตของท่าน ยิ่งเขาทำร้ายพระองค์มากเท่าไร เขาก็รักและจำนนต่อพระองค์มากเท่านั้น

ข้อความต่อไปนี้ ทั้งสัตย์จริง และสมควรที่ทุกคนจะรับไว้ คือพระเยซูคริสต์ได้เสด็จเข้ามาในโลกเพื่อช่วยคนบาปให้รอด ข้าเป็นคนบาปร้ายสุดในบรรดาคนบาปนั้น
1 ทิโมธี 1:15

2 ทิโมธี 2:11, มัทธิว 1:21, ลูกา 19:10,ยอห์น 3:16-17

คำที่สมควรรับเพราะเป็นความจริงคือ พระเยซูทรงมาเพื่อช่วยคนบาปให้รอด
นี่เป็นคำสำคัญสำหรับคนบาปอย่างเราทุกคน พระองค์ทรงมาเพื่อช่วยฉันให้รอด!

และด้วยเหตุนี้ ข้าจึงได้รับพระเมตตา เพื่อว่าพระเยซูคริสต์จะทรงอดกลั้นพระทัยอย่างยิ่งในตัวข้า ซึ่งเป็นคนบาปร้ายสุด เป็นตัวอย่างให้คนทั้งปวงที่จะเข้ามาเชื่อเพื่อรับชีวิตนิรันดร์
1 ทิโมธี 1:16

1 ทิโมธี 1:13,ลูกา 7:47,เอเฟซัส 2:7

ท่านเปาโลเอาตัวเองที่ทำร้ายพระเจ้าสุด ๆ เป็นตัวอย่างว่า หากพระเจ้าทรงอดกลั้นพระทัยกับคนอย่างเขาได้ คนในโลกทุกคนก็ไม่เว้น พระเจ้าทรงอดทนต่อเขาทั้ง ๆ ที่พระองค์จะกำจัดเขาเมื่อไรก็ได้ (1โครินธ์ 15:9)

ขอพระเกียรติและพระสิริจงมีแด่จอมราชาองค์นิรันดร์ ผู้ทรงเป็นอมตะ ผู้ที่เราไม่อาจเห็นได้ด้วยตา ผู้ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าแต่องค์เดียวตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน
1 ทิโมธี 1:17

สดุดี 10:16, โรม 1:23,
วิวรณ์ 19:1, ยูดา 1:25

พระเยซูองค์นี้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว ไม่มีผู้อื่นมาเทียบพระองค์ได้ การที่เราไม่เห็นพระองค์ ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาอ้างว่า ไม่มีพระองค์

จงต่อสู้อย่างเข้มแข็ง ปกป้องความเชื่อ

ทิโมธี ลูกชายของข้า ที่ข้าออกคำสั่งกำชับเจ้าอย่างนี้ ก็สอดคล้องกับคำกล่าวล่วงหน้าจากพระเจ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับเจ้า เพื่อว่าคำเหล่านั้นจะช่วยให้เจ้าต่อสู้อย่างเข้มแข็ง
1 ทิโมธี 1:18

1 ทิโมธี 4:14, 6:20,2 ทิโมธี 4:1-3

ทิโมธีได้รับการแต่งตั้งมาทำงานนี้ ( 1 ทิโมธี 4:14 ) ท่านเปาโลหนุนใจให้เขาต่อสู้ไม่ถอย เพราะพระเจ้าทรงเรียกเขามา สู้คนเหล่านั้นที่พยายามทำลายความจริงของพระเจ้า ครั้งนี้ท่านใช้ออกคำสั่ง เหมือนทหารอีก
ก่อนส่งใครไปรับใช้จะมีการอธิษฐาน วางมือและส่งออกไป ( กิจการ 13:1-3 )

จงยึดมั่นในความเชื่อและจิตสำนึกที่ดี บางคนละทิ้งสิ่งนี้ไป ความเชื่อของเขาจึงอับปาง
1 ทิโมธี 1:19

1 ทิโมธี 6:9, 1 ทิโมธี 3:9,
2 เปโตร 2:1-3

การทิ้งความเชื่อ และความรู้ผิดชอบชั่วดี นั้น ส่งผลให้ความเชื่อพบกับหายนะ !

จิตสำนึกที่ดี คือ คนนั้นจะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ว่าจะมีคนเห็นหรือไม่

ฮีเมเนอัสกับอเล็กซานเดอร์ ก็เป็นคนแบบนี้ ซึ่งข้าได้มอบพวกเขาไว้กับซาตาน เพื่อพวกเขาจะได้เรียนรู้ว่า จะต้องไม่หมิ่นประมาทพระเจ้า
1 ทิโมธี 1:20

2 ทิโมธี 2:16-18, 1 โครินธ์ 11:32

การมอบให้กับซาตานคือการให้ออกไปจากคริสตจักร พ้นจากร่มพระคุณของพระเจ้า ไปอยู่ใต้การควบคุมของมาร ไม่ให้มีเนื้อร้ายอยู่ในชุมชนผู้เชื่อ นี่เป็นความเมตตาต่อทั้งสองคน เพื่อให้เขาเรียนรู้ความจริง ว่าอะไรปลอดภัย อะไรไม่ปลอดภัย