ฟีลิปปี 3 ทุกอย่างเพื่อพระคริสต์

1 เธสะโลนิกา 5:16
กาลาเทีย 5:15
สดุดี 119:115
โรม 2:28

ท่านเปาโลไม่เบื่อเลยที่จะบอกให้พี่น้องยินดีในพระเจ้า คนที่ไร้อิสรภาพ ไปไหนไม่ได้ มีทหารเฝ้าตลอดเวลา กลับยินดีเสมอ ดูเหมือนว่า เป็นทักษะที่ฝึกได้ เราต้องฝึกที่จะยินดีในพระเจ้าไม่หยุด ท่านเปาโลหมายความให้พี่น้องยินดีต่อเนื่อง..ไม่ว่าสถานการณ์รอบตัวจะเป็นอย่างไร
แล้วท่านก็ให้เขาระมัดระวังคนสอนผิดที่อ้างว่าต้องผ่านพิธีกรรมนี้ ต้องทำสิ่งนั้น ต้องเดินตามพวกเขา เพื่อว่าจะได้ไปสวรรค์ คนที่บอกว่าต้องดีเอง

เฉลยธรรมบัญญัติ 30:6
โรม 7:6
2 โครินธ์ 5:16,
11:18,22,23

ท่านบอกชัดเจนว่า เราต้องไม่เชื่อในความดีของเราเอง ไม่ว่าพื้นเพของเราจะเป็นอย่างไรนั้น ไม่เกี่ยว แม้ในชีวิตเราต้องทำสิ่งดี ทำดีมาก ๆ แต่การดีนั้น ไม่ได้ทำให้เราเหนือคนอื่น ทุกคนเท่าเทียมกัน ทุกคนควรอวดพระเยซู ไม่ใช่อวดตนเอง

2 โครินธ์ 11:22
โรม 11:1
กิจก่ี 23:6, 8:3,22:3-4

จะว่าไปแล้ว ท่านเปาโลนั้นมีคุณสมบัติครบถ้วนเรียกได้ว่า เป็นคนดี เพียบพร้อมด้วยชาติตระกูล ความรู้สูง มีความกระตือรือร้นมาก ทำตามธรรมบัญญัติแบบไม่มีที่ติได้เลย ท่านเปาโลไม่ได้อวดตัว ตอนนี้ท่านเพียงบอกว่า ถึงจะเป็นคนสมบูรณ์แบบอย่างนี้ มันก็ไม่มีความหมายอะไร

ลูกา 14:26,33
มัทธิว 16:26
ยอห์น 17:3
กิจการ 20:24
โรม 8:18

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะท่านรู้ดีว่า สิ่งเหล่านั้นไร้สาระ เมื่อท่านได้มาพบพระเยซูบนถนนไปเมืองดามัสกัสครั้งนั้น ชีวิตก็เปลี่ยนไป การมองโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สิ่งเดิม ๆ ที่เคยภาคภูมิใจ เคยใช้เป็นเครื่องมือในการใช้ชีวิต ท่านกลับมองว่ามันด้อยค่าไปแล้ว ด้อยค่าจริง ๆ ไม่น่าสนใจอีกต่อไป ต้องทิ้งไป พระเยซูต่างหากที่มีค่าสูงสุดในชีวิต

โคโลสี 2:2-3
1 โครินธ์ 2:2
2 โครินธ์ 5:21
โรม 8:1

ท่านเปาโลเห็นว่าทุกสิ่งที่ท่านเคยให้ความสำคัญ เป็นเหมือนมูลสัตว์ (ภาษากรีกสื่อว่าเป็นเช่นนั้น ) สกปรก เหม็น สิ่งที่เคยเป็นเกียรติก็ไม่ใช่อีกต่อไป ความดีที่เคยภูมิใจกลายเป็นขี้ริ้ว การมองโลกใหม่ของท่านเปาโลคือ ความดีของพระคริสต์เท่านั้น การมีพระคริสต์เท่านั้น เชื่อในพระองค์เท่านั้นจึงจะเป็นของดีที่แท้จริง

กาลาเทีย 2:20
2 ทิโมธี 2:11-12
ยอห์น 11:24

แม้ว่าท่านเปาโลจะรู้พระคัมภีร์เดิมจนทะลุปรุโปร่ง แต่​มาวันนี้ เมื่อพบพระคริสต์
หัวใจของท่านก็มุ่งมั่นจะรู้จักพระองค์ให้ดีขึ้น มากขึ้น ใกล้ชิดขึ้น ไม่เคยมีวันที่รู้จักพอแล้ว ท่านหาพระองค์แล้วหาพระองค์อีก กลายเป็นชีวิตที่เฝ้าหาพระเจ้า ทั้งรู้จักส่วนตัว ทั้งรู้จักฤทธิ์เดชแห่งการคืนชีพ ทั้งรู้จักความเจ็บปวดและความตายของพระองค์ ท่านไม่สนใจว่าจะทนทุกข์เท่าไรเพราะรู้ว่าพระคริสต์ทรงทนทุกข์มากกว่านั้น

วิ่งสู่เส้นชัย

1 ทิโมธี 6:11-12
2 เปโตร 1:5-8
2 โครินธ์ 7:1
ลูกา 9:62
ฮีบรู 12:1-2

ผู้ที่จะชนะในการแข่งขัน จะต้องไม่พอใจสภาพของตน ต้องทำให้ดีขึ้นเสมอ เขาต้องมีสมาธิในการฝึกฝน ต้องแน่วแน่ว่าจะได้ชัยชนะอย่างไร ต้องอุทิศตน และมีโค้ชที่ดี ทัศคติของท่านชัดเจนมาก
การลืมสิ่งที่ผ่านมาคือ ไม่ยอมให้มันมาเป็นอุปสรรคของการก้าวต่อไป เราจะต้องไม่เป็นแค่คนดูการแข่งขัน แต่เราจะต้องเอาตัวลงไปแข่งเหมือนอย่างท่านเปาโล

1 โครินธ์ 9:24
1 เปโตร 5:10
วิวรณ์ 3:21
กาลาเทีย 5:10
ยากอบ 1:4-5
1 โครินธ์ 15:51-52
1 เธสะโลนิกา 4:15-17

เป้าหมายนั้น กรีกว่า สโกโพส เป็นจุดที่นักกีฬามุ่งหัวใจสายตาไปที่นั่น ท่านเปาโลรู้ว่าเมื่อไปถึงเป้าหมายท่านจะพบพระคริสต์ ท่านจะพบพระองค์ต่อหน้าต่อตา เราต้องวิ่งสุดกำลังเหมือนท่านเพื่อรางวัล ซึ่งหมายความถึงได้รับเมื่อถึงเป้าหมาย ไม่ได้ก่อนหน้านั้น รางวัลนั้นน่าจะเป็นรางวัลที่พระเจ้าประทานเมื่อเราไปเฝ้าพระองค์ที่บัลลังก์พิพากษา ดังนั้นเราต้องรู้ว่า เวลานี้เรากำลังวิ่งแข่งในลู่วิ่งแห่งชีวิตอยู่
คนที่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด เป็นคนที่โตแล้ว และเราไม่จำเป็นต้องไปเริ่มต้นที่จุดแรก แต่เราอยู่ตรงไหน ก็เริ่มติดตามพระเจ้าต่อไปจากตรงนั้นเลย

เราเป็นประชากรอาณาจักรสวรรค์

ฟีลิปปี 4:9
1 โครินธ์ 4:16
เอเฟซัส 4:17
โรม 16:18
2 เปโตร 2:3

สิ่งสำคัญยิ่งคือการรู้จักพระเจ้าให้มากขึ้น ลึกซึ้ง ใกล้ชิดขึ้นตามที่ท่านเปาโลสอน
แต่แล้วท่านเปาโลก็มากล่าวถึงคนที่ไม่ได้ทำตามอย่างท่าน และแถมทำตัวต่อต้านพระเจ้าด้วย ในสังคมตอนนั้น ยังมีคนสนับสนุนการใช้ชีวิตไร้กฎ เอาแต่หาความสนุกใส่ตัว พวกนี้แตกต่างจากคนในข้อ 2 ที่เคร่งครัดจนเกินเลย มีคนไม่น้อย พวกเขาใช้ชีวิต และพูดตรงข้ามกับไม้กางเขน สนใจปากท้อง อวดสิ่งที่ไม่ควรอวด หมกมุ่นในทางโลก พระของเขาคือตัวเอง สิ่งที่ตนอยากกินอยากได้

เอเฟซัส 2:19
โคโลสี 3:1-4
1 ยอห์น 3:2
เอเฟซัส 1:19-20
ยอห์น 11:24-26

เรารอคอย หมายถึงตั้งอกตั้งใจคอย การที่เรารอคอยการเสด็จมาของพระเจ้านั้น ตอนนี้เราแน่วแน่รอ หรือว่าคิดว่ามาเมื่อไรก็เมื่อนั้น … แรงจูงใจสำคัญของเราคือ เมื่อพระเจ้าเสด็จมา พระองค์จะทรงเห็นเราพร้อมรับพระองค์
และวันนั้น ร่างกายของเราจะเปลี่ยนแปลงใหม่ จากร่างกายที่ตายได้เป็นร่างกายที่เป็นอมตะ

ฟีลิปปี 2 ถ่อมตนอย่างองค์พระคริสต์

รากฐานของความเป็นหนึ่งเดียวกัน

โคโลสี 3:12
1 ยอห์น 4:12
2 โครินธ์ 13:14
สดุดี 133:1

ที่คริสเตียนควรฟังกันและกัน เพราะว่าทั้งพระเยซูและอัครทูตต่างเน้นเรื่องการถ่อมตน พระเยซูเองทรงทำเป็นตัวอย่างให้เห็น สี่อย่างที่สำคัญคือ ในพระเจ้า เราต่างหนุนใจกัน ปลอบใจกัน สนิทกับพระวิญญาณ รักและเห็นใจกัน การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันช่วยให้ทั้งชุมชนคริสเตียนอยู่อย่างเป็นสุข

กาลาเทีย 5:26
โรม 12:10
ฟีลิปปี 4:2
โรม 15:1

คนทั่วไปส่วนใหญ่เอาตัวเองมาก่อน ใส่ใจเกียรติ ศักดิ์ศรีของตนเอง แต่ท่านเปาโลกลับสอนตรงข้ามคือ ให้คนอื่นมาก่อนตน และยังต้องคิดถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย ให้สิ่งดี ๆ กับคนอื่น นี้เป็นพระคำที่มาจากคำสอนของพระเยซูที่ว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

2 โครินธ์ 8:9
อิสยาห์ 42:1
1 เปโตร 2:21

ท่านเปาโลกล่าวย้อนไปถึงตอนที่พระเยซูยังอยู่ในสวรรค์กับพระบิดา ว่าพระองค์ทรงคิดอย่างไร พระองค์ทรงยอมเปลี่ยนจากฐานะพระเจ้า มาเป็นฐานะพระเจ้า-มนุษย์ ยิ่งกว่านั้นทรงมารับสภาพเป็นมนุษย์ที่เป็นทาส!

มัทธิว 26:39
ฮีบรู 5:8,2:9
กิจการ 2:23
เอเฟซัส 1:21

เมื่อเราอ่านพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงเป็นผู้รับใช้คนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นใคร ทรงพร้อมที่จะรักษาโรคให้ สั่งสอน อวยพร ยกโทษ มัทธิว 20:28 บอกชัดว่าพระองค์มาเพื่อรับใช้และมอบชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่คนมากมาย ผู้ที่จำนนต่อพระเจ้าจะไม่หลีกเลี่ยงชีวิตที่ต้องเสียสละ พระองค์ถูกกระทำจนสิ้นพระชนม์ด้วยน้ำมือมนุษย์ แต่แล้ว พระเจ้าทรงมอบเกียรติยิ่งใหญ่เมื่อทรงคืนชีพจากความตาย พระนามของพระองค์เป็นนามที่อยู่เหนือนามทั้งหลายในเอกภพ

อิสยาห์ 45:23-25
ยอห์น 13:13
โรม 14:11

พระเจ้าทรงยกให้พระเยซูอยู่เหนือสรรพสิ่งในสวรรค์ ในโลกและใต้โลก (ซึ่งหมายถึงคนที่หลงหายไป) ทุกคนจะต้องสยบต่อพระองค์ ถ้าเรายอมต่อพระองค์ในวันนี้ เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่หากปฏิเสธพระองค์ ก็จะต้องไปยอมสยบต่อพระองค์ในวันที่ทรงพิพากษา ซึ่ง..สายเกินไปที่จะได้ความรอด

ฟีลิปปี 1:5-6, 4:15, ยอห์น 6:27, เอเฟซัส 6:5, 1:5, ฮีบรู 13:20,21

แต่การที่เราจะใช้ชีวิตอย่างที่ท่านเปาโลบอกมานั้น เราต้องการพลังจากข้างใน
เป็นพระเจ้าที่ทรงทำการในชีวิตของเรา การที่ผู้เชื่อจะทำตัวสมกับที่ได้รับความรอดอย่างที่ท่านเปาโลกล่าว มีความหมายว่า ทำให้สำเร็จครบถ้วนจนถึงรอดร้อยเปอร์เซ็นต์ เราต้องทำให้ถึงเป้าหมาย พระเจ้าทรงมีแผนการให้เราทุกคน แตกต่างกันไปในรายละเอียด และนี่คือสิ่งที่น่าตื่นเต้น เราแต่ละคนจึงต้องติดตามพระเจ้าด้วยตัวของเราเอง และเติบโตอย่างที่พระองค์ทรงวางแผนไว้

1 เปโตร 4:9
โรม 14:1
มัทธิว 5:15

ท่านเปาโลบอกชัดว่า ลูกของพระเจ้าจะต้องไม่เป็นคนที่บ่น ด่า ให้ร้าย คดโกง บิดเบือน หากเรายอมให้พระเจ้าทำราชกิจของพระองค์ในชีวิต ไม่ต่อต้าน แต่ร่วมมือกับพระองค์ งานของพระองค์ในชีวิตเราก็ราบรื่นขึ้น ไม่ต้องเสียเวลากับการเรียนรู้อะไรนาน ๆ ทั้งที่ไม่จำเป็น การเชื่อและเชื่อฟังเป็นปัจจัยที่ช่วยให้คนของพระเจ้าเติบโตเร็วและแข็งแรง

2 โครินธ์ 1:14
กาลาเทีย 2:2
2 ทิโมธี 4:6
โรม 15:16

ความยินดีที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความยินดีในปัจจุบัน แม้เปาโลจะต้องสละชีวิต (ท่านเห็นแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นเพราะท่านถูกจองจำในโรม และท่านอาจจะโดนลงโทษ ) แต่เมื่อพี่น้องยึดมั่น ทำตามพระคำของพระเจ้า เปาโลก็เป็นสุขว่า ไม่เสียแรงเปล่า อ่านมาถึงตอนนี้ พอจะเห็นว่า ผู้ที่รับใช้อย่างเสียสละนั้นคือคนที่มีใจที่ยอมต่อพระเจ้า และเขามีความสุขได้แม้อยู่ท่ามกลางความทุกข์ยาก

โรม 16:21
2 ทิโมธี 3:10

ตัวอย่างจากทิโมธี เขาค่อย ๆ เพิ่มหัวใจทั้งรับใช้และเสียสละมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่รับใช้พระเจ้า กลายเป็นคนที่มีหัวใจแบบพระคริสต์ รับใช้พี่น้องอย่างจริงใจ เอาใจใส่ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ในขณะเดียวกันท่านเปาโลก็พูดถึงคนที่เอาแต่ประโยชน์ของตนเองด้วย มีผู้เชื่อหลายนิสัยใจคออยู่ในชุมชนผู้เชื่อแน่นอน เป็นอย่างนี้มาแต่โบราณ

1 โครินธ์ 4:17
3 ยอห์น 1:14

ทิโมธีได้รับใช้กับเปาโลในการประกาศ และยังได้รับใช้ในคริสตจักรด้วย ทำให้เขาเติบโตมีหัวใจผู้รับใช้เต็มเปี่ยม พี่น้องมีความพอใจในการงานของทิโมธี (กิจการ 16:2) ต่อมาเปาโลก็ได้เขียนจดหมายสอนทิโมธีอีกสองฉบับ และท่านได้ส่งเขามาเป็นตัวแทนของท่านยังคริสตจักรฟีลิปปีด้วย

ฟีลิปปี 4:18
ฟิเลโมน 2
2 โครินธ์ 8:23
ฟีลิปปี 1:8

ยังมีอีกคนที่ท่านเปาโลส่งมาเยี่ยมพี่น้อง คือ เอปาโฟรดิทัส ชื่อแปลว่า มีเสน่ห์ เป็นคนต่างชาติ ไม่ใช่ยิวอย่างท่านเปาโล เขาเป็นคนที่นำของถวายจากพี่น้องมาให้ท่านที่โรม ท่านเปาโลยกย่องว่าเป็นน้องชาย ผู้ร่วมงาน เพื่อนทหารที่ร่วมรับใช้ ลองคิดดูแล้วกันว่า เขามีเสน่ห์น่าคบหาขนาดไหน

สดุดี 34:19
1 โครินธ์ 10:13
2 ทิโมธี 1:4

หัวใจเอปาโฟรดิทัสนั้นเฝ้าห่วงคนอื่น เป็นคนที่ซื่อตรงแม้ต้องเดินทางไกลก็สามารถรักษาของถวายจากพี่น้องได้ เขาเป็นคนที่เป็นตัวอย่างของคนฝ่ายสนับสนุน แล้ววันหนึ่งเขาป่วยหนัก จนเกือบตาย ทำให้กลับไปฟีลิปปีช้า

1 ทิโมธี 5:17
1 เธสะโลนิกา 5:12
1 โครินธ์ 16:17

ท่านเปาโลว่า เขาเกือบตายเพื่องานของพระเจ้า เราไม่ทราบรายละเอียด แต่หัวใจของเขาเป็นเหมือนพระเยซู เขาไม่ดัง เขาไม่เด่น ไม่ใช่อาจารย์ที่ใคร ๆ จะมาฟังเขาพูด แต่รับใช้ด้านที่จำเป็น ทำให้ท่านเปาโลทำงานได้สะดวกขึ้น เขาเป็นพระพรสำหรับท่านเปาโลและคริสตจักร เป็นที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

ฟีลิปปี 1 จดหมายจากนักโทษผู้มีความสุข

นี่เป็นจดหมายที่ท่านเปาโลซึ่งถูกจำจองในโรม เขียนถึงพี่น้องในเมืองฟีลิปปี จดหมายฉบับนี้มีความลึกซึ้งมาก ที่ท่านจะอ่านต่อไปเป็นเพียงบทแนะนำที่ทำให้เข้าใจเบื้องหลังต่าง ๆ ของจดหมายฉบับนี้ ขอชวนให้ท่านอ่านและศึกษาเจาะลึกจดหมายแห่งความยินดีนี้ แล้วความยินดีจะไม่ห่างหายไปจากใจเลย.

คำทักทายและคำอธิษฐานเผื่อ

1 ทิโมธี 3:8-13
กิจการ 16:12-15

จดหมายสมัยนั้นจะนำด้วยชื่อของผู้เขียนและผู้รับ และคำอวยพร และครั้งนี้ท่านเขียนมากับทิโมธี ซึ่งเป็นผู้รับใช้ที่ฟีลิปปีด้วย ท่านเขียนถึงพี่น้อง และผู้นำที่ดูแลทั้งคนและงานต่าง ๆ เมื่อพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าอยู่ในชีวิต เราก็จะสงบสุขแม้ว่าอาจจะมีความทุกข์และปัญหามากมาย

1 โครินธ์ 1:4
เอเฟซัส 1:16
1 เธสะโลนิกา 1:2
โรม 12:13

ขณะที่ท่านเปาโลถูกขังอยู่นั้น มีคนมาเยี่ยมเสมอ มีทหารประกบตัว ยามที่ท่านคิดถึงพวกเขา ท่านอธิษฐานเผื่อไม่หยุด งานของท่านเพื่อพวกเขาไม่จบที่การสอน แต่ยังรับใช้พวกเขาได้แม้จะอยู่ห่างไกล และคำอธิษฐานเต็มด้วยความยินดี ใจของท่านเปาโลมุ่งมั่นประกาศข่าวเรื่องพระเยซู สิ่งที่พี่น้องทำ จึงทำให้ท่านยินดีมากเหลือเกิน พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมงานแท้ของท่าน

ยอห์น 6:29
1 เธสะโลนิกา 5:23-24
เอเฟซัส 4:12

จะทรงทำให้สำเร็จคือ เมื่อพระเจ้าทรงเริ่มต้นราชกิจแห่งความรอดในชีวิตของใครคนหนึ่ง พระองค์จะทรงทำจนสำเร็จ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้มีส่วน เพราะเราเองก็ต้องเชื่อฟัง ลงมือทำตามซึ่งเป็นส่วนของเราด้วย ความรอดที่เราได้รับเป็นขบวนการเปลี่ยนชีวิต ชำระใจที่ใช้เวลา ต่อเนื่องตลอดชีวิตของเรา

2 โครินธ์ 7:3
2 ทิโมธี 2:9
โคโลสี 4:18

ที่ท่านเปาโลรู้สึกว่าเหมาะสมที่ท่านจะยินดี เพราะพี่น้องฟีลิปปีมีส่วนร่วมในพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อชาวโลก ท่านกล่าวว่ารักพวกเขาคือมีพวกเขาในหัวใจ เป็นพวกเดียวกันในการรับใช้

โรม 1:9
2ทิโมธี 1:4
โคโลสี 1:9
1 เธสะโลนิกา 3:12

พี่น้องชาวฟีลิปปีเป็นคนที่รักมาก พวกเขาแสดงออกมาเป็นการกระทำ แต่ท่านเปาโลก็ยังอธิษฐานขอให้พวกเขารักมากขึ้น ดูเหมือนความรักนั้นไม่มีขอบเขต ไม่พอ ท่านขอให้เป็นรักที่มีความเข้าใจ รักที่มีปัญญา

โรม 12:2
1 เธสะโลนิกา 3:13,5:23,
1 ยอห์น 4:1
เอเฟซัส 2:10

การที่เห็นว่าอะไรดีที่สุดคือ มีความสามารถในการแยกความแตกต่างของสิ่งดี ไม่ดีได้ ผู้เชื่อจำต้องรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต ผลความชอบธรรมในชีวิตไม่ได้มาจากตัวเอง แต่จากพระคริสต์นั่นคือชีวิตที่รับการเปลี่ยนแปลงจริง และชัดเจน ทั้งหมดนี้เพื่อพระเจ้าจะทรงรับพระเกียรติในชีวิตของผู้เชื่อ

อย่างไร ๆ ก็ประกาศพระคริสต์

โรม 8:28,37
2 ทิโมธี 2:9
ฟีลิปปี 1:7,4:22

สิ่งที่เกิดกับท่านเปาโลคือ ข่าวดีได้ถูกประกาศไปในหมู่ทหารรักษาพระองค์ของซีซาร์ เพราะท่านถูกจับขังในบ้านแต่จะมีทหารจากวังมาเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นการถูกจำจองจึงไม่เป็นอุปสรรคในสายตาของท่านเปาโล
ท่านไม่ได้อยู่นอกน้ำพระทัยพระเจ้าเลย งานของพระองค์ก็ยังดำเนินต่อไป ระหว่างนี้เองที่ท่านเขียนจดหมาย เอเฟซัส ฟีลิปปี โคโลสีและฟิเลโมน

เอเฟซัส 6:19
1 เธสะโลนิกา 2:2
โคโลสี 4:4

ความกล้าหาญของท่านเปาโลเป็นตัวอย่างที่ ทำให้คริสเตียนเห็นแล้ว ก็มีใจกล้ามากขึ้น ผู้นำที่กล้าหาญ และมีมุมมองที่เข้าใจ เห็นเบื้องหลังของทุกเหตุการณ์ว่า มาจากพระเจ้า ทำให้พี่น้องเริ่มไม่กลัวและกล้าที่จะออกไป

โรม 16:17-18
ฟีลิปปี 2:3,1:10-12 , 2 โครินธ์ 4:1-2

เราต้องเข้าใจว่า การประกาศพระกิตติคุณของพระเจ้านั้น ทำด้วยคนหลายแบบ หลายนิสัย อย่างไรเสีย ฤทธิ์ของพระเจ้าอยู่ที่พระคำของพระองค์ พวกที่สอนผิดจริง ๆ ก็ต้องจัดการ แต่ยังมีพวกที่สอนถูกต้อง แรงจูงใจไม่เข้าทางก็มี บางคนดีใจที่เปาโลเข้าคุกไปได้ จะได้ไม่มีคู่แข่ง

2 ทิโมธี 1:11-12
1 โครินธ์ 9:16-17
ลูกา 9:50
มาระโก 9:38-40

สำหรับบางคนยังต้องการประกาศ แต่ก็ผสมโรงเรื่องราวบางอย่างที่ทำให้ท่านเปาโลต้องยุ่งยากขึ้น แต่ท่านยืนยันว่า ท่านยินดีที่มีการประกาศข่าวประเสริฐ อย่าลืมว่าคนประเภทนี้ไม่ได้หายไปจากโลก แต่เกิดขึ้นมาใหม่ มีวิธีใหม่อยู่เสมอ สิ่งที่ต้องเปลี่ยนคือตัวเราเองที่จะต้องจัดการกับความรู้สึกของตนเองและมุ่งหน้าทำงานของพระเจ้าต่อไป

อยู่เพื่อพระคริสต์

2 โครินธ์ 1:11
โรม 8:28
1 เปโตร 4:16
อิสยาห์ 54:4

ท่านเปาโลมีความชัดเจน ท่านเชื่อว่า พระเจ้าทรงอยู่เหนือเหตุการณ์ทุกอย่าง แม้หนทางจะดูมืดมนนัก ท่านเชื่อว่าเมื่อพี่น้องอธิษฐานเผื่อท่านจะได้รับการช่วยเหลือจากพระวิญญาณ ท่านต้องการให้พระเจ้าได้รับเกียรติในร่างกายของท่านไม่ว่าจะเป็นหรือตาย คนของพระเจ้ามีอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนใครคือ ไม่กลัวความตาย เพราะเขารู้ว่าอะไรอยู่หลังความตายนั้น

กาลาเทีย 2:20 2 โครินธ์ 5:6,8
1 เปโตร 4:2
2 โครินธ์ 5:8

ความคิดของท่านเปาโลกลายเป็นสโลแกนของผู้กล้าในพระคริสต์ “อยู่เพื่อพระคริสต์ ตายเพื่อพระองค์!” จะอยู่หรือจะตายก็ได้กับได้… ถ้าตายก็ได้ถวายเกียรติแด่พระเยซู และได้ไปอยู่ใกล้พระองค์

2 โครินธ์ 5:8,12, 1:14,24 โรม 15:3

แต่ถ้ามีชีวิตอยู่ก็จะช่วยให้พี่น้องเกิดผลมากขึ้น และถวายเกียรติพระเยซูเพราะได้มาพบกันอีก ดีทั้งสองแบบ ไม่มีอะไรที่ทำให้ท่านเปาโลต้องหม่นหมองเลย

ต่อสู้และทนทุกข์เพื่อพระคริสต์

เอเฟซัส 4:1
1 เธสะโลนิกา 2:12
1 โครินธ์ 1:10

คำที่ท่านขอร้องคือ ให้พี่น้องฟีลิปปีมีชีวิตสมกับข่าวประเสริฐ สมกับเป็นประชากรในอาณาจักรของพระเจ้า ให้ได้ข่าวดีจากพวกเขาว่ามีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต่อสู้เพื่อข่าวประเสริฐไปด้วยกัน นี่เป็นความชื่นใจของท่านเปาโล

2 ทิโมธี 1:7-8
1 เปโตร 4:13
กิจการ 5:41
โคโลสี 1:29
1 เธสะโลนิกา 2:2

ท่านเปาโลบอกเหตุผลว่า เหตุใดเขาจึงไม่ต้องกลัวฝ่ายตรงข้ามไม่ว่าจะพวกไหน เป็นพวกเดียวกัน หรือคนนอก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตพระเจ้าเป็นผู้ทรง
อนุญาตให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ยากรูปแบบใด การข่มเหง การล่อลวง ความทุกข์ยากอื่น ๆ ให้จำเหตุผลนี้ไว้