พระคำสำหรับเด็กอายุ 8-11 ปี

อ่านพระคัมภีร์ มีคำอธิบายสั้นๆ และพระคำเชื่อมโยง
เป็นเนื้อหาที่บันทึกในพระคัมภีร์ใหม่
พระคำสำหรับเด็กอายุ 8-11 ปี
ดังนั้น ข้าจึงขอหนุนใจบรรดาผู้ใหญ่ท่ามกลางท่าน ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่เหมือนกัน เป็นพยานคนหนึ่งที่เห็นการทนทุกข์ของพระคริสต์ และเป็นผู้ที่มีส่วนในพระสิริรุ่งโรจน์ที่กำลังจะมาปรากฏ ว่า..
1 เปโตร 5:1
มัทธิว 26:37, โรม 8:17,18,
ครั้งนี้ท่านเปโตรกำลังขอร้องพี่น้องที่เป็นผู้สูงอายุซึ่งเป็นคนวัยเดียวกับท่านเอง พวกเขาเหล่านี้คือเหล่าผู้ปกครองในคริสตจักร เป็นคนที่มีปัญญาและเติบโตฝ่ายวิญญาณเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาทั้งสอน-เทศนาได้ (1 ทิโมธี 5:17) ท่านเปโตรเข้าใจความหมายลึกซึ้งของทั้งหมดที่เห็นจากพระเยซูคริสต์ ท่านรู้ว่า ที่พระเยซูต้องสิ้นพระชนม์นั้นเพื่อเป้าหมายประการใด และคำที่จะขอร้องต่อไปก็สำคัญยิ่ง
ให้ท่านเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้าซึ่งอยู่ท่ามกลางท่าน โดยปกครองดูแลไม่ใช่เพราะถูกบังคับแต่ดูแลอย่างเต็มใจตามน้ำพระทัยไม่ใช่เพราะสนใจผลประโยชน์ แต่ดูแลอย่างกระตือรือร้น
1 เปโตร 5:2
กิจการ 20:28, 1 โครินธ์ 9:17, 1 ทิโมธี 3:3,
สิ่งสำคัญสำหรับผู้ปกครองในคริสตจักรคือ การเลี้ยงดูผู้เชื่ออย่างที่พระเยซูทรงทำมาก่อน เขาทำเพราะเขารักพระองค์ และคนของพระองค์ (ยอห์น 21:15-17) ผู้เลี้ยงมีหน้าที่ทั้งปกป้อง แนะนำ ให้อาหาร คือพระคำของพระเจ้า ดูแลอย่างห่วงใย พร้อมที่ จะให้ชีวิตของตนแก่พี่น้อง (ยอห์น 10:11-14)
ทั้งหมดนี้ ทำด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง
โดยไม่ทำตัวเหนือบรรดาคนที่ท่านดูแลแต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น และเมื่อองค์พระผู้เลี้ยงใหญ่ทรงปรากฏ ท่านจะได้รับมงกุฎแห่งศักดิ์ศรีที่ไม่เลือนไป
1 เปโตร 5:3-4
เอเสเคียล 34:4, สดุดี 33:12, ฟีลิปปี 3:17, ฮีบรู 13:20, 2 ทิโมธี 4:8
การเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้าคือ เหล่าผู้เชื่อที่ ยังเป็นคนใหม่ ยังต้องการความเข้าใจในพระคำ พวกเขาไม่ใช่เรียนจากคำสอนด้วยปากเท่านั้น แต่พวกเขาเรียนรู้จากการกระทำของผู้เลี้ยงดู เรียนจากชีวิตที่เป็นต้นแบบ เหมือนอย่างอัครทูตเปาโล ที่ท่านเคยพูดว่า จงเลียนแบบข้า อย่างที่ข้าเลียนแบบพระคริสต์ 1 โครินธ์ 11:1 ดังนั้นเราจึงต้องเป็นผู้เลี้ยงที่ทำตามอย่างองค์พระผู้เลี้ยงใหญ่
เช่นเดียวกัน คนที่อายุน้อยกว่าก็ให้เชื่อฟังคนที่อาวุโสกว่า ขอให้ทุกคนถ่อมใจต่อกันและกัน เพราะว่า “พระเจ้าทรงต่อต้านคนที่เย่อหยิ่ง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจลง”
1 เปโตร 5:5
เอเฟซัส 5:21, สุภาษิต 3:34, อิสยาห์ 57:15
ขณะที่ท่านเปโตรสอนให้ผู้ใหญ่ดูแลผู้น้อยผู้น้อย คือลูกแกะ ก็จะต้องเชื่อฟัง และถ่อมตน ต่อผู้ใหญ่เหล่านั้น ต้องมีการตอบโต้กันระหว่างสองฝ่ายอย่างดี ผู้ใหญ่ต้องไม่วางก้าม แต่ให้ ความนับถือผู้น้อยด้วย ผู้น้อยก็ต้องให้เกียรติ ผู้ใหญ่ สังคมเช่นนี้จะไปได้ด้วยดีมีความสงบสุข ท่านเปโตรกล่าวถึงสุภาษิต 3:34 เพื่อให้เห็นว่าความถ่อมตนนั้นสำคัญต่อความสัมพันธ์ ของเรากับพระเจ้าโดยตรง!
ดังนั้นจงถ่อมตนภายใต้พระหัตถ์ อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์
จะทรงยกชูท่านขึ้นในเวลาที่เหมาะสม
1 เปโตร 5:6
ยากอบ 4:10, ลูกา 14:11, สุภาษิต 29:23
เมื่อท่านเปโตรว่า “พระเจ้าทรงต่อต้านคนที่เย่อหยิ่ง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจลง” ท่านก็ต่อด้วยคำเตือนให้ถ่อมตนต่อพระเจ้าทันที การถ่อมตนต่อมนุษย์ด้วยกันมีผลทำให้คนนั้นถ่อมตนต่อพระเจ้าด้วย คนที่โอ้อวด คิดว่าพระเจ้าอยู่ไกล ไม่เกี่ยวกับตน คิดว่าพระเจ้าไม่ทรงฤทธิ์ที่จะลงโทษ และสามารถกล่าวคำดูหมิ่นองค์พระเจ้าอย่างไม่กลัว ชีวิตข้างหน้าของเขาน่าสยดสยอง พระพรของการถ่อมตนคือ พระเจ้าจะทรงยกคนนั้นขึ้นในเวลาที่เหมาะมาก ๆ
ให้ฝากความกังวลใจไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านอยู่แล้ว
1 เปโตร 5:7
สดุดี 55:22, ฟีลิปปี 4:6, สดุดี 37:5
ความกังวลใจเป็นเรื่องใหญ่มากในสังคมเราทุกวันนี้และมันก็กลายเป็นสาเหตุของโรคทางจิตหลาย อย่างเมื่อความกังวลนั้น อยู่อ้อยอิ่งเนิ่นนานในหัวใจสิ่งที่เราต้องมั่นใจคือ พระเจ้าทรงห่วงใยเราอยู่แล้ว แล้วก็ฝากความกังวลทุกเรื่องไว้กับพระองค์ เรื่องบางเรื่องที่กังวล เราสามารถแก้ปัญหาผ่านลุล่วงไปได้ แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราไม่อาจทำได้เองเลยแม้แต่นิดเดียว จำไว้ว่า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทรงใส่ใจเรา เราจึงควรเข้ามาหาพระองค์ด่วนที่สุด
จงมีสติรู้ตัว และตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะศัตรูของท่านคือมารกำลัง วนเวียนอยู่รอบ ๆ ดั่งสิงห์ที่ขู่คำราม จับจ้องหาคนที่มันจะขย้ำกินได้
1 เปโตร 5:8
เอเฟซัส 6:11, 4:27, โยบ 2:2, ยากอบ 4:7
พวกเราอาจไม่รู้ตัวว่าเคยโดนเจ้ามารนี้ขย้ำมาแล้ว
อย่าให้เป็นอย่างนั้นอีก ท่านเปโตร สั่งให้มีสติ สมองรับรู้รอบตัวว่า เกิดอะไรขึ้น และยังต้องตื่นตัวเสมอด้วย มันกำลังวนเวียนในทุก ๆ แห่งที่มันเข้าไปได้ มันรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเรามากกว่าตัวเราเสียอีก มันมีอำนาจทำลาย และทำให้เราขาดประสิทธิภาพ แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่า พระเยซูทรง จัดการปลดเขี้ยวเล็บของมันแล้วบนไม้กางเขน(อ่านโคโลสี 2:15) มันต้องการขย้ำให้ตาย อย่าล้อเล่นกับมันทีเดียว !
จงต่อสู้กับมาร มั่นคงในความเชื่อ เพราะท่านรู้ว่า พี่น้องผู้เชื่อทั่วโลกก็กำลังตกอยู่ในความทุกข์ยาก เช่นเดียวกันนี้
1 เปโตร 5:9
ยากอบ 4:7, กิจการ 14:22, เอเฟซัส 6:11-13,
เวลาที่มารพยายามเอาใจเราออกห่าง ให้ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เราต้องไม่อยู่เฉยปล่อยตามเลยเราต้องสู้กับมันด้วยการวางใจในพระสัญญาจะทำได้โดยเราต้องเตรียมตัวพร้อม มีพระสัญญา เก็บไว้ในตัวของเราล่วงหน้า เก็บไว้ตั้งแต่วันนี้
การทำเช่นนั้น เท่ากับเราถือพระแสงแห่งพระวิญญาณ
คือพระวจนะของพระเจ้าเตรียมสู้!(เอเฟซัส 6:17) เมื่อใดที่เราพร้อมสู้ มันก็รู้ว่า เรามีพระเยซูอยู่ในชีวิต
หลังจากที่ท่านได้ทนทุกข์ระยะหนึ่ง พระเจ้าแห่งพระคุณทั้งสิ้น ผู้ทรงเรียกท่านเข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์นิรันดร์ในพระคริสต์ จะทรงรื้อฟื้นท่านสู่สภาพดี จะทรงให้กำลัง และให้ท่านยืนอย่างมั่นคง
ขอพระราชอำนาจมีแด่พระองค์สืบไปเป็นนิตย์ อาเมน
1 เปโตร 5:10-11
2 โครินธ์ 4:17, 2 เธสะโลนิกา 3:3, วิวรณ์ 1:6, 1 เปโตร 4:11, โรม 11:36
การทนทุกข์และเข้าใจเป้าหมายก็จะทำให้เรา รับกำลังเข้มแข็งจากพระเจ้าได้ตั้งแต่เริ่มต้น
เพราะเรามีมุมมองที่เป็นจริงตามพระสัญญาในข้อนี้ ท่านเปโตรเองก็ต้องทนทุกข์มากมายในชีวิตเพราะเห็นแก่พระนามของพระเยซู และจบชีวิตด้วยการถูกตรึงกางเขนกลับหัว
ตามการบันทึกของ apocryphal Acts of Peter
อย่าลืมที่สำคัญคือ พระเจ้าแห่งพระคุณ ..
ข้าเขียนถึงท่านสั้น ๆ โดยมีสิลวานัสพี่น้องผู้ร่วมรับใช้ที่ซื่อสัตย์ช่วย ข้าเขียนมาเพื่อหนุนน้ำใจท่าน และประกาศว่า นี่คือพระคุณแท้จริง ของพระเจ้า จงยืนหยัดตั้งมั่นในพระคุณนี้
1 เปโตร 5:12
2 โครินธ์ 1:19, 1 เธสะโลนิกา 1:1, 2 เธสะโลนิกา 1:1
สังเกตเห็นไหมว่า ทั้งท่านเปโตร ท่านเปาโลไม่ได้ทำงานพระเจ้าเดี่ยว ๆ แต่ท่านมีผู้ช่วยอยู่ เคียงข้างเสมอ สิลวานัสเป็นผู้ช่วยเขียนจดหมายตามคำบอกของท่านเปโตร ท่านรับรองว่า เขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์ในการทำงานรับใช้ จากนั้นท่านกล่าวถึงพระคุณแท้จริงของพระเจ้าเราต้องเข้าใจว่า พระคุณมาถึงเราอย่างไร และเราจะยืนหยัดในพระคุณนั้น ไปจนวันที่เรายืนต่อพระพักตร์พระเจ้าในวันสุดท้าย
คริสตจักรในเมืองบาบิโลน ผู้ซึ่งได้รับเลือกจากพระเจ้าเหมือนกับท่าน ส่งความคิดถึงมายังท่าน มาระโกลูกชายของข้าก็เช่นกัน
1 เปโตร 5:13
กิจการ 12:12, 25, 15:37,39, โคโลสี 4:10,
ฟิเลโมน 24
เมืองบาบิโลน ที่ท่านเปโตรกล่าวถึงนับว่าเป็นสถานที่ ๆ คลุมเครือ เพราะเราไม่ทราบว่าที่ไหน หรือว่าเป็นชื่อที่ท่านเปโตร เรียกกรุงโรม แต่สิ่งที่เรารู้จากข้อความนี้คือ คนของพระเจ้าได้อยู่ตามที่ต่าง ๆ ในเมืองไกลจากเยรูซาเล็ม กระจัดกระจายไปทั่ว ๆ ตะวันออกกลาง ส่วนมาระโกนั้น ได้รับการดูแล สอนจากท่านเปโตร ด้วย ที่เรียกว่าลูกชายเพราะท่านรักมาก สนิทมาก เหมือนที่ท่านเปาโลสนิทกับทิโมธีนั่นเอง
จงทักทายกันและกันด้วยการจุมพิตจากความรัก ขอสันติสุขมีกับท่านทุกคนที่อยู่ในพระคริสต์
1 เปโตร 5:14
เอเฟซัส 6:23, โรม 16:16, 1:7, 2 โครินธ์ 13:12
ท่านเปโตรกำลังกล่าวถึงการทักทายกันด้วยความรัก ตามแบบวัฒนธรรมของตะวันออกกลาง ถ้าเป็นวัฒนธรรมไทย เราคงบอกว่า จงทักทายกันด้วยการไหว้อย่างนอบน้อม ด้วยความรักต่อกันและกัน ถ้าคิดให้ดี การไหว้นั้นสามารถแสดงออกได้ด้วยว่า คนไหว้รู้สึกอย่างไร รู้สึกปลอม ๆ หรือไหว้ ทักทายด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน คนบางคนสักแต่ไหว้โดยไม่คิดอะไร แต่จากพระคำข้อนี้ เราทักทายด้วยความรัก และในหัวใจก็มีคำอธิษฐานอวยพรให้คน ๆ นั้นด้วยไปพร้อมกันก็ได้ ดีนะ ถ้าต่อไปเราทำอย่างนี้กัน
ดังนั้น ในเมื่อพระคริสต์ ได้ทนทุกข์เพื่อเราแล้วด้วยพระกายแล้ว ก็ให้ท่านได้ใช้ความคิดอย่างเดียวกันกับพระองค์เป็นอาวุธด้วย เพราะผู้ที่ทนทุกข์ทางกาย ก็จบสิ้นกับบาปแล้ว
1 เปโตร 4:1
กาลาเทีย 5:24, 1 เปโตร 3:18, โคโลสี 3:3-5
อาวุธที่จะสู้กับบาปก็คือ การที่เราจะไม่หวั่นกับการทนทุกข์ ไม่โวยวาย เมื่อมีสิ่งที่เรารู้สึกเหมือนไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น ถ้าเรามีทัศนคติอย่างพระเยซูคริสต์ เราจะไม่ทำบาป การคิดอย่างนั้นเท่ากับเรากำลังตัดความสัมพันธ์กับบาปที่อาจจะเกิดขึ้นในชีวิต ทั้งนี้ ท่านเปโตรกล่าวกับพี่น้องที่กำลังทนทุกข์เพราะความเชื่อ ความคิดแบบนี้เป็นอาวุธสู้บาป!
เพื่อว่าจะไม่ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในกายนี้ตามตัณหาชั่วของมนุษย์แต่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
1 เปโตร 4:2
ยอห์น 1:13, เอเฟซัส 4:22-24, ทิตัส 3:3-8
มีความคิดอย่างพระเยซูเป็นอาวุธสู้บาป แบบประจำวัน ไม่ใช่นาน ๆ ที เพื่อว่าจะได้ใช้ชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงสร้าง และทรงเลือกเรามาให้อยู่ในร่มพระคุณ เราต้องเข้าใจว่า พระเยซูคริสต์ทรงมีคุณค่ามาก สมกับที่เราต้องทนทุกข์เพื่อพระนามเมื่อไรที่เราต้องเลือกระหว่างการทนทุกข์ กับการทำบาป ให้เราเลือกข้างพระเยซูเถอะ ชีวิตของเราเหลือน้อยลง ๆ ทุกวัน
เราได้ใช้เวลาในชีวิตมามากพอแล้วในการทำตามใจอย่างคนนอก นั่นก็คือการปล่อยตัวตามราคะตัณหา ตามใจอยากที่ชั่ว การเมาเหล้า การเลี้ยงอย่างสนุกสุดเหวี่ยง การสำมะเลเทเมา และการไหว้รูปเคารพที่น่าขยะแขยง
1 เปโตร 4:3
เอเฟซัส 5:18, 1 โครินธ์ 6:11, 1 เธสะโลนิกา 4:5
จดหมายที่ท่านเปโตรส่งไป คงจะไปหาพี่น้องคริสเตียนที่เป็นชาวต่างชาติ เพราะท่านกล่าวถึงกิจกรรมบาปที่พวกเขามักจะมีพิธีกรรมที่น่าสะอิดสะเอียนด้วย มีทั้งการดื่ม กิน และทำผิดทางเพศประกอบการไหว้รูปเคารพ
พวกเขาแปลกใจที่เวลานี้
ท่านไม่ได้ใช้ชีวิตเสเพลตามพวกเขา และพวกเขาก็กล่าวร้ายพวกท่าน พวกเขาจะต้องให้การต่อพระองค์ผู้ทรงพร้อมที่จะพิพากษา ทั้งคนเป็นและคนตาย
1 เปโตร 4:4-5
1 เปโตร 2:12, ยูดา 1:10, กิจการ 10:42, โรม 14:9,กาลาเทีย 5:25
เวลาคนไปทำชั่ว ไม่มีใครแปลกใจ แต่เมื่อคนไม่ทำตามสิ่งชั่ว ก็จะมีคนแปลกใจ ทำไมคริสเตียน แปลกไปจากคนอื่น ไม่หลิ่วตาชั่วตามพวกเขา แทนที่พวกเขาจะทำตามสิ่งที่ดีจากชีวิตเรา กลับมาใส่ร้ายเสียอีก สิ่งนี้เกิดขึ้นทุกวัน ! แต่ผู้ที่ถูกใส่ร้ายนั้นต้องเข้าใจว่า พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้ง เพราะการพิพากษาของพระเจ้านั้น มีแน่ ๆ พอถึงวันนั้น พวกเขาจะรู้ว่าตนเองโง่เพียงใดที่ใช้ชีวิตเสเพล
ด้วยเหตุนี้ จึงมีการประกาศข่าวประเสริฐ แม้แก่คนที่ตายไปแล้ว
เพื่อถึงแม้ว่าทางร่างกายเขาอาจถูกพิพากษาโดยมนุษย์ แต่เขาอาจจะได้มีชีวิตฝ่ายวิญญาณ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
1 เปโตร 4:6
1 เปโตร 1:12, 3:19, โรม 8:9,13 ,กาลาเทีย 5:25
ข้อความตอนนี้อาจทำให้เรางง คิดว่าเป็นการประกาศให้กับคนที่ตายฝ่ายร่างกายไปแล้ว แต่ข้อนี้มีความหมายว่า เป็นการประกาศให้กับคนที่ตายแล้วฝ่ายวิญญาณ ก็คือคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้านั่นเอง พวกเขามีโอกาสที่จะกลับใจ และใช้ชีวิตตามทางของพระเจ้า ตามน้ำพระทัยของพระองค์ และการกลับใจใหม่นี้ กำลังเกิดขึ้นอยู่ทุกชั่วโมงในโลกเรา เมื่อพระคำของพระเจ้าถูกประกาศไปก็จะมีคนเชื่อ
ตอนจบของสิ่งทั้งปวงใกล้เข้ามาแล้ว เพราะฉะนั้น พวกท่าน จงมีสติรู้ตัวรอบคอบ
และเตรียมใจตนเพื่ออธิษฐาน
1 เปโตร 4:7
โรม 13:11, ฮีบรู 9:26, ยากอบ 5:8-9, 1 ยอห์น 2:18
ตอนจบของทุกสิ่งในโลก คือเมื่อพระเยซูเสด็จมา!
ถ้าเราคิดว่าจะไม่มีพรุ่งนี้อีกต่อไป สติของเราก็จะไม่อยู่นิ่ง แต่ตื่นตัว เตรียมพร้อม การอธิษฐานของเราจะไม่เหมือนเดิม ความเร่าร้อนจะเกิดขึ้นเพราะยังมีหลายเรื่องที่เราต้องทูลขอให้พระเจ้าทรงโปรดเมตตาการที่จะรู้ว่าต้องใช้เวลาทำอะไรให้เกิดผลดีต้องมีสติจริง ๆ ปล่อยตามสบายไม่ได้
เหนือสิ่งใด จงรักกันและกันให้มาก เพราะความรักยกโทษบาปได้มากมาย
จงต้อนรับกันและกัน โดยไม่บ่น
1 เปโตร 4:8-9
สุภาษิต 10:12, 17:9, ฮีบรู 13:2, 2 โครินธ์ 9:7, โรม 12:13
รักกันให้มาก ท่านเปโตรหมายถึง “รักกันอย่างแรงกล้า” เป็นความรักที่กระตือรือร้น ที่จะให้ ช่วย เป็นห่วง เป็นใย เป็นรักที่ร้อนแรงโดยไม่มีอะไรแฝง รักอย่างที่พระเยซูทรงรัก แต่ไม่ได้หมายความว่ายอมให้เขาทำบาปไปเรื่อย แต่เป็นการไม่เปิดโปง และหาทางช่วยให้พ้นบาปนั้น การต้อนรับอย่างเต็มใจ เป็นเรื่องที่ผู้เชื่อต้อง ฝึกฝน และหากมีความรัก เราจะมีน้ำใจต้อนรับโดยไม่ยากเย็น
ในเมื่อแต่ละคนได้รับของประทานมา ก็ควรใช้ของประทานนั้น ในการปรนนิบัติกันและกัน ในฐานะเป็นผู้อารักขาพระคุณนานัปการของพระเจ้า
1 เปโตร 4:10
โรม 12:6-8, 1 โครินธ์ 4:1-2, 1 โครินธ์
12:4
ไม่มีใครสักคนที่ขาดของประทานซึ่งสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น คนเกียจคร้านมีข้ออ้างที่จะไม่ใช้ของประทานนั้น พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้เราใช้ความสามารถที่มี เพื่อเสริมสร้างกันและกัน การทำเช่นนั้น เท่ากับเราทำหน้าที่ของผู้ดูแลรักษาพระคุณของพระเจ้าในโลกนี้
คนใดจะพูด ก็ให้พูดในฐานะที่เป็นคำมาจากพระเจ้า คนใดจะรับใช้ ก็ให้รับใช้ตามกำลังที่พระเจ้าประทาน เพื่อว่าพระเจ้าจะได้รับพระเกียรติโดยพระเยซูคริสต์ในทุกสิ่ง ขอพระสิริรุ่งโรจน์ และฤทธานุภาพสูงสุด จงมีแด่พระองค์สืบไปเป็นนิตย์ อาเมน
1 เปโตร 4:11
เอเฟซัส 4:29, 5:20, 1 โครินธ์ 4:1-2
เมื่อเรารับใช้ พระเจ้าจะทรงรับพระเกียรติ จากการรับใช้ที่จริงใจ ตามการทรงเรียก ตามของประทานที่พระเจ้าให้เรามา หากทุกคนในพระกายพระคริสต์ ขยัน รักรับใช้ตามของประทานแล้ว ชุมชนนั้นก็จะไม่ขาดสิ่งดี แต่จะเป็นที่น่าชื่นชม เจริญก้าวหน้า เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่พระเจ้า
เพื่อนที่รัก อย่าแปลกใจกับการทดสอบร้อนแรงที่มาเพื่อทดสอบท่าน มันเป็นเหมือน สิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับท่าน
1 เปโตร 4:12
1 เปโตร 1:6-7, 2 ทิโมธี 3:12
เมื่อมีความทุกข์ใจ ความทุกข์ยาก ปัญหาที่ยากการจนตรอกหาทางออกไม่ได้ หลายคนจะคิดว่า ทำไมเรื่องนี้จึงต้องเกิดกับเราด้วย ไม่น่าเลย อย่าลืมว่า เราอยู่ในโลกที่เต็มด้วยคน คน คน ที่สร้างปัญหา ที่มีปัญหาเยอะไปหมด ยังมีสภาพแวดล้อม อาหารการกิน ความเจ็บป่วย เราต้องไม่แปลกใจ อะไรเกิดกับคนอื่นได้ ก็เกิดกับเราได้เหมือนกัน แต่ที่ไม่เหมือนคือพระเจ้าทรงเห็น ทรงอยู่กับเราที่วางใจพระองค์
แต่จงยินดีว่า ท่านได้มีส่วนในความทุกข์ของพระคริสต์ เพื่อว่าท่านจะได้ยินดีอีกด้วย เมื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์มาปรากฏ
1 เปโตร 4:13
ยากอบ 1:2-3, 2 ทิโมธี 2:12, โรม 8:17
นอกจากไม่ให้แปลกใจที่การทดสอบเกิดขึ้น แต่ท่านเปโตรยังให้เรายินดีว่า ได้มีส่วนในความทุกข์ของพระคริสต์ นี่เป็นความคิดที่ต่างไปจากที่คนในโลกคิดความทุกข์ยากเป็นเรื่องธรรมดาในสายตาของผู้เชื่อ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เขาได้รับการยกเว้น เมื่อเราทนทุกข์ เราก็ได้ยินดี และยิ่งยินดีมากขึ้นเมื่อพระเยซู เสด็จกลับมาด้วยสง่าราศี
หากท่านถูกเยาะเย้ยเนื่องจากพระนามของพระคริสต์ ท่านก็ได้รับพระพร เพราะพระวิญญาณแห่งพระสิริ และองค์พระเจ้าประทับเหนือท่าน
1 เปโตร 4:14
มัทธิว 5:11, ลูกา 6:22, 1 เปโตร 3:14
ท่านเปโตรได้ยินพระเยซูตรัสเช่นนี้ในวันที่พระองค์เทศนาบนภูเขาด้วย มัทธิว 5:1-12 เมื่อพวกเขาจะติเตียน ข่มเหง กล่าวร้ายเจ้า เป็นความเท็จเพราะเรา เจ้าก็เป็นสุขจงชื่นชมยินดี เพราะบำเหน็จของพวกเจ้ามี เต็มบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะพวกเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระคำที่อยู่มา ก่อนเจ้าเหมือนกัน
อย่าให้ใครสักคนในหมู่พวกท่าน ทนทุกข์เพราะเป็นฆาตกร หรือขโมย หรือคนทำชั่ว หรือเป็นพวกที่เข้าไปยุ่มย่ามเรื่องของคนอื่น
1 เปโตร 4:15
2 เธสะโลนิกา 3:11, 4:11, 1 ทิโมธี 5:13
หากผู้เชื่อทำผิดต่อคนอื่น หรือทำผิดกฎหมายก็สมควรที่จะได้รับการลงโทษเหมือนคนอื่น ๆ แต่ที่แย่กว่าคือ เขาได้ทำให้พระนามของพระเจ้าเป็นที่เสื่อมเสีย ไม่ใช่ว่าเมื่อทนทุกข์ด้วยสาเหตุที่ตนทำผิด เป็นการทนทุกข์เพื่อพระเจ้า. เราจึงต้องมองให้ดีว่า ปัญหาในชีวิตเกิดจากอะไรเกิดจากความโง่เขลาของตนเองหรือจากการที่ คนอื่นมาข่มเหงพระนาม
แต่หากว่าใครต้องทนทุกข์เพราะเขาเป็นคริสเตียน ก็อย่าให้เขารู้สึกอาย แต่ให้เขาถวายพระสิริแด่พระเจ้า เพราะเขามีพระนามนั้นในชีวิต
1 เปโตร 4:16
1 เปโตร 3:17-18, ฟีลิปปี 1:29
การที่ถูกข่มเหงจากเพื่อนหรือพี่น้องเพราะว่าเราเป็นคริสเตียน เป็นสิ่งที่เราต้องรู้ว่า ไม่ต้องอายเมื่อเกิดเรื่องขึ้น แปลว่า พระนามนั้นมีชีวิตในเราและเหตุการณ์นี้จะกลับทำให้เราได้ถวายพระเกียรติ แด่พระเจ้าอย่างไม่คาดฝัน ในสมัยก่อนเขาเรียก คริสเตียนว่า “ สาวก ผู้เชื่อ ศิษย์พระเยซู คนที่ เป็นของทางนั้น” ต่อมาจึงเรียกว่าคริสเตียน (กิจการ 11:26) หมายถึงคนที่กลับใจ เชื่อ ติดตามพระเยซูอย่างจริง
เพราะถึงเวลาที่การพิพากษาจะต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า
และหากเริ่มต้นที่เรา ผลการพิพากษาจะเป็นอย่างไรกับคนที่ไม่เชื่อข่าวประเสริฐของพระเจ้า
1 เปโตร 4:17
อิสยาห์ 10:12, ลูกา 10:12, 2 เธสะโลนิกา 1:8
การพิพากษาของพระเจ้านั้น เริ่มต้นที่ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เพราะพวกเขาจะต้องเป็นคนที่ได้รับการชำระ และเดินในทางของพระเจ้า พวกเขามีหน้าที่ต่อพระเจ้าและผู้อื่น ต้องกลับใจจริง เชื่อจริง ตัดขาดจากบาปจริง ..
และ “ถ้าคนชอบธรรมเกือบจะไม่รอด แล้วคนอธรรมและคนบาปจะเป็นอย่างไร?”
ดังนั้น ให้ทุกคนที่ทนทุกข์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ฝากจิตวิญญาณของพวกเขาไว้กับ พระผู้สร้างผู้ทรงซื่อตรง และมุ่งทำดีต่อไปเถิด
1 เปโตร 4:18-19
สุภาษิต 11:31, สดุดี 37:5-7, 2 ทิโมธี 1:12
ยังมีความเข้าใจผิดในหมู่ผู้เชื่อว่า เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราก็ไ่ม่ต้องทำอะไรอีก ท่านเปโตรกำลังบอกสิ่งที่ตรงข้าม จากที่อ่านมาเราจะเห็นว่า พระเยซูทรงให้ความรอดกับเราโดยที่พระองค์ทรงสละชีวิตของพระองค์เอง เมื่อเรามาหาพระองค์ เราก็ต้องถวายชีวิตหมดสิ้นกับพระองค์เหมือนกัน ความรอดนั้นมีค่าเท่ากับชีวิตของพระเยซู ทุกคนที่จะตามพระเจ้าต้องเอาชนะตนเองแบกกางเขนของตนทุกวันและตามพระองค์ไป
เช่นเดียวกัน ขอให้ภรรยาเชื่อฟังสามีของตนเพื่อว่า หากสามีคนใดไม่เชื่อพระคำของพระเจ้า แต่การกระทำของภรรยาอาจชนะใจเขาโดยไม่พูดอะไร เมื่อเขาเห็นชีวิตที่บริสุทธิ์ ความยำเกรงพระเจ้าในชีวิตของท่าน
1 เปโตร 3:1-2
โคโลสี 3:18, 1 โครินธ์ 11:3,7:16, 14:34, เอเฟซัส 5:33,ฟีลิปปี 1:27, ปฐมกาล 3:16,มัทธิว 18:15
ข้อนี้ ท่านเปโตรบอกภรรยาว่า พวกเธอควรทำอย่างไรเพื่ออาจจะชนะใจของสามี ในโลกความ เป็นจริงเราจะเห็นว่า บางครอบครัวภรรยาชนะใจได้จริง ๆ โดยไม่ต้องพูดอะไร แต่บางครอบครัว สามีก็ไม่เชื่อต่อไป ยังตกอยู่ในความบาปต่อไป ท่านเปโตรไม่ได้ยินยันว่าจะสำเร็จแต่สิ่งดีที่เกิดขึ้นคือ ตัวภรรยาเอง ได้ทำตามพระทัยของพระเจ้า
การประดับตัวของท่านไม่ควรจะเป็นแค่ภายนอกอย่างเช่น การถักผม การสวมอัญมณีทองคำ หรือเสื้อผ้าสวยล้ำแต่ให้เป็นการประดับด้วยตัวตนจริงที่อยู่ภายใน เป็นความงามที่ไม่มีวันสูญคือหัวใจที่อ่อนโยนและสงบสุภาพ ซึ่งพระเจ้าทรงเห็นว่ามีค่ายิ่งนัก
1 เปโตร 3:3-4
1 ทิโมธี 2:9-10, โรม 12:2, 2:29, 7:22, อิสยาห์ 3:18-24,โคโลสี 3:12,
ท่านเปโตรมีภรรยาด้วย สิ่งที่ท่านกล่าวถึงในตอนนี้ ไ่ม่ได้หมายความว่า แต่งตัวสวยไม่ได้ แต่ให้สิ่งนั้นมาเป็นรองความสวยงามที่เกิดขึ้นจากข้างใน เป็นความงามอย่างสงบ งามอย่างอ่อนโยนในการกระทำ เป็นความงามที่มีค่าในสายพระเนตร พระเจ้าซึ่งแตกต่างจากความงามในสายตาของ
มนุษย์อย่างสิ้นเชิง
สตรีผู้ที่หวังใจในพระเจ้าในอดีตได้ประดับตัวให้งดงามเช่นนี้โดยการที่พวกเธอยอมต่อสามี เหมือนอย่างที่ซาราห์ได้เชื่อฟังอับราฮัมและเรียกเขาว่า นายท่าน ท่านเองก็จะเป็นลูกหลานของเธอโดยการทำสิ่งดีและไม่หวั่นต่อสิ่งใด
1 เปโตร 3:5-6
ทิตัส 2:3-4 ,ปฐมกาล 18:12, โรม 9:7-9
ผู้หญิงคนหนึ่ง เลือกได้ว่าเธอจะชนะใจสามีด้วยวิธีของตัวเอง หรือทำตามอย่างที่พระเจ้าตรัสความสำเร็จที่ได้มาก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าท่านเปโตรขอให้สตรีหันกลับไปดูซาราห์ว่า เธอประดับชีวิตของเธอด้วยใจนิ่งสงบและเชื่อฟัง ให้เกียรติสามีของตน ยกเว้นมีครั้งหนึ่งที่เธอพลาดเรื่องฮาการ์ เมื่อเธอตัดสินใจด้วยตัวเอง (ปฐมกาล16)ผลที่เกิดขึ้นก็ร้ายแรง และยังส่งผลมาจนทุกวันนี้)
ส่วนด้านของสามีก็เช่นกัน ให้ใช้ชีวิตกับภรรยาด้วยความเข้าใจว่าเธออ่อนแอกว่า และให้เกียรติเธอว่า เป็นผู้ร่วมทางชีวิตแห่งพระคุณ เพื่อว่าการอธิษฐานของท่านจะไม่มีอุปสรรคขัดขวาง
1 เปโตร 3:7
1 โครินธ์ 7:3, 12:23, เอเฟซัส 5:25, โคโลสี 3:19,
การใช้ชีวิตกับภรรยาอยู่กินด้วยกัน ทำมาหากินมีครอบครัวที่ดี ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ใครก็รู้ ครอบครัวดี น่ารัก ความสุขก็มาก ครอบครัวพัง มีแต่การทะเลาะวิวาท ทุกข์ก็เยอะ ในสมัยก่อนนั้น การที่สามีจะให้เกียรติภรรยาเป็นเรื่องยากเพราะพวกเขามองผู้หญิงต่ำกว่าผู้ชาย คำสอนของท่านเปโตรเรื่องนี้จึงฉีกไปจากสังคมคนนอกทั่วไป ความเข้าใจการให้เกียรติว่าภรรยาเป็นผู้ร่วมทางชีวิตนั้น ทำให้ตัวเขาเองเกิดผลในการอธิษฐานต่อพระเจ้า
สุดท้ายนี้
ให้ท่านทั้งหลายอยู่ด้วยกัน
โดยมีใจเดียวกัน
ให้เห็นใจกัน รักกันอย่างพี่น้อง มีใจสงสารกันและถ่อมตนต่อกัน
1 เปโตร 3:8
โรม 12:10, 1 เปโตร 1:22, ยากอบ 3:17
ใจเดียวกันคืออย่างไร? ตอบไม่ยากเลย นั่นคือการมีใจของพระคริสต์ ถ้าทุกคนคิดได้อย่าง พระองค์ ความปรองดองก็เกิดขึ้น อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข สามารถปรับเข้าหากันได้ แม้นิสัยใจคเราไม่เหมือนกันเลย เพราะพระเจ้าทรงสร้างเรามาให้แต่ละคนมีเอกลักษณ์ของตนเองชัดเจนตั้งแต่เล็ก ๆ
อย่าทำร้ายตอบแทนการร้าย หรืออย่าดูหมิ่นตอบแทนการดูหมิ่นในทางตรงกันข้าม จงให้พรแก่เขาเสมอไป เพราะว่าท่านได้รับการเลือกมาให้ทำเช่นนี้ เพื่อว่าท่านจะได้รับพระพรเป็นมรดก
1 เปโตร 3:9
สุภาษิต 7:13, มัทธิว 5:44, มัทธิว 25:34, โรม 12:17,
เหตุใดเราจึงขอพรเพื่อคนที่ร้ายต่อเรา?เหตุใดพระเจ้าทรงให้เราขอพรเพื่อคนที่ดูหมิ่น?แล้วพระเจ้าจะทรงให้พรกับเขาตามที่เราขอตามที่พระองค์ทรงเห็นสมควร ซึ่งอาจไม่ตรงใจเรา เพราะเราเป็นผู้ถูกกระทำ แต่แล้วคำตอบคือ พระเจ้าทรงเลือกให้เราขอพรเพื่อคนที่ร้ายต่อเรา ก็เพื่อเราเองจะได้รับพร เป็นมรดก และถ้าศัตรูของเราได้พร ล้ำเลิศคือได้รู้จักพระเจ้าจริง ๆ ขึ้นมา เขาจะกลายเป็นมิตร ไม่เป็นศัตรูต่อไป
เพราะว่าคนใดรักชีวิตและอยากเห็นวันดี ๆ จะต้องรักษาลิ้นจากความชั่ว รักษาปากไม่ให้พูดด้วยอุบาย และเขาจะต้องหันจากความชั่วร้ายทำสิ่งที่ดี เขาจะต้องตามหาสันติและมุ่งมั่นต่อสู้เพื่อจะได้สันตินั้น
1 เปโตร 3:10-11
สดุดี 34:12-16, ยากอบ 1:26, สดุดี 37:27, โรม 12;18,
จากเหตุการณ์บ้านเมืองของเราในเวลานี้ ทำให้เรารู้ว่า สันติสุขในบ้านเมืองไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายเลย การจะมีสันติสุขในครอบครัว ในที่ทำงานเป็นเรื่องที่ต้องตั้งใจ ต้องมีความอดกลั้น และต้องมีความรักจริง ๆ จึงจะมีสันติได้ บางครั้งก็ต้องมองข้าม ให้อภัย ให้พรทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่าไม่น่าจะให้สักนิด .. หากย้อนไปอ่านเปโตรบทที่ 3 ตั้งแต่ข้อแรกแล้วชีวิตเราเปลี่ยนจริง ๆ ตามนั้น มันจะเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก
เพราะว่าพระเนตรของพระเจ้า
เฝ้าดูผู้ที่เชื่อฟังพระองค์
ทรงฟังคำอธิษฐานของพวกเขา
แต่ทรงต่อต้านทุกคนที่ทำชั่ว
1 เปโตร 3:12
ยอห์น 9:31, สดุดี 34:15-16, สุภาษิต 15:29,
พระคำตอนนี้ตั้งแต่ข้อ 10-12 ท่านเปโตรอ้างอิงมาจากสดุดี 34:12-16 เรามั่นใจได้ว่า พระเจ้าทรงมองคนที่ติดตามและเชื่อฟังพระองค์ และทรงตอบคำอธิษฐาน และทรงต่อต้านคนชั่วแน่นอน เราอย่านึกว่าพระองค์ไม่ทรงเอาพระทัยใส่ ถ้าพระองค์ไม่ต่อต้านจัดการกับคนชั่วส่วนหนึ่ง ป่านนี้โลกคงเป็นจุณ แต่ถ้าพระองค์จะทรงกำจัดคนชั่วทุกคน โลกก็จะไม่เหลือใครเช่นกัน
ใครจะมาทำร้ายท่านได้ หากท่านมุ่งติดตามสิ่งที่ดี ?แต่หากท่านต้องทนทุกข์ เพื่อเห็นแก่ความเที่ยงตรง ท่านก็จะเป็นสุข อย่าไปกลัวการข่มขู่ของเขา หรืออย่ากังวลใจไป
1 เปโตร 3:13-14
สุภาษิต 16:7, โรม 8:28, 3 ยอห์น 1:11, ยากอบ 1:12, 1 เปโตร 2:19-20, อิสยาห์ 8:12-13
ที่จริงแล้ว เมื่อใครคนหนึ่งต้องการติดตามสิ่งที่ดี ถูกต้อง ก็ไม่น่าจะมีใครมาขัดขวาง แต่ในโลกความเป็นจริงนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น คนไม่น้อยที่ทำดีให้กับสังคม กลับถูกทำร้าย คนที่ต่อสู้เพื่อเป็นปากเป็นเสียงให้กับคนที่ยากลำบาก อาจจะต้องเสี่ยงชีวิตเพราะไปขัดผลประโยชน์ของบางคน พระเจ้าทรงให้คริสเตียนรู้ว่า ถ้า ตั้งใจติดตามพระองค์ ทำสิ่งที่ดีแล้ว พระองค์ทรงให้พรเขา ทรงให้เขาเป็นสุขได้แม้จะต้องทนทุกข์
ขอให้ใจของท่านยกย่องว่า
พระคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เตรียมตัวพร้อมที่จะตอบทุกคนที่ถามว่า เหตุใดท่านจึงมีความหวัง แต่ขอให้ตอบด้วยความสุภาพและนับถือ
1 เปโตร 3:15
สดุดี 119:46, ทิตัส 3:7, ลูกา 21:14-15, 2 ทิโมธี 2:25-26
แทนที่เราจะกลัว เรากลับมอบตัวเองให้กับพระเจ้าอีกครั้ง และมีคำตอบให้กับคนที่ถามว่า เหตุใดจึงเชื่อ เหตุใดจึงเป็นคริสเตียนเหตุใดจึงทำอย่างนั้น อย่างนี้ เราตอบทุกคนได้
อย่างกระจ่างแจ้งถ้าเตรียมพร้อม โดยตอบคำถามด้วยความสุภาพต่อคนที่ถามและความนับถือองค์พระผู้เป็นเจ้า
ดู กิจการ 2:14-39,3:11-26,4:8-12
รักษาจิตสำนึกให้ดีเพื่อว่า
เมื่อท่านถูกใครกล่าวร้ายทั้งที่ท่านทำดี คนนั้นจะอับอายที่เขากล่าวหาท่าน
หากว่านี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ‘การทนทุกข์เพราะทำความดีนั้นก็ดีกว่าทนทุกข์เพราะทำชั่ว’
1 เปโตร 3:16-17
1 ทิโมธี 1:5, ฮีบรู 13:18, 1 เปโตร 3:21, 2:12,15,3:14,4:19, กิจการ 21:14, 2
สิ่งที่ท่านเปโตรได้เตือนพี่น้องนั้น เป็นสิ่งที่ท่าน ผ่านมาหลายต่อหลายครั้ง ตัวอย่างมีอยู่ในหนังสือกิจการ 5 ท่านประกาศพระนามพระเจ้า แต่พวกผู้ใหญ่ในศาสนายิวก็พยายามปิดปากให้ท่านและพี่น้องหยุดพูดพระนามพระเยซูแต่ท่านเปโตรก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร กลับรู้สึกดีใจ ภูมิใจที่ถูกดูหมิ่นเพราะท่านทำสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า
เพราะว่า พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อบาปครั้งเดียวก็พอแล้ว พระองค์ผู้ทรงธรรม ทำเช่นนี้แก่คนอธรรมเพื่อทำให้พวกเขาได้เข้ามาหาพระเจ้า พระกายของพระองค์สิ้นไปแต่ฝ่ายวิญญาณทรงมีชีวิตอยู่
1 เปโตร 3:18
ฮีบรู 9:26,28, 1 เปโตร 4:6
ครั้งเดียวพอ นั่นคือ การถวายชีวิตของพระเยซูเป็นเครื่องบูชานั้น ไม่ต้องทำซ้ำเหมือนกับเครื่องบูชาอื่น ๆ ไม่ต้องมีความดีของมนุษย์มาเสริมพระเยซูทรงใช้พระโลหิตของพระองค์ไถ่คนบาป ที่ทรงทำเช่นนี้ก็เพื่อคนบาปอย่างเราจะได้มาหาพระเจ้าได้ และพระองค์ได้ทรงคืนพระชนม์ มีพระกายใหม่ที่ไร้ความจำกัดในเวลา สถานที่ ไม่ทรงมีพระกายแบบมนุษย์อีกต่อไป. อ่าน 1 เปโตร 1:19
และโดยทางวิญญาณพระองค์ได้เสด็จไปประกาศแก่บรรดาวิญญาณที่ถูกจำจอง ซึ่งในอดีต ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ครั้งที่พระองค์ทรงอดกลั้น รอคอยให้พวกเขากลับใจในสมัยโนอาห์ ขณะที่ท่านกำลังต่อเรือใหญ่ ในเรือนั้นมีไม่กี่คน แค่แปดคนที่ได้รับความช่วยเหลือให้รอดชีวิตจากน้ำ
1 เปโตร 3:19-20
1 เปโตร 4:6, อิสยาห์ 61:1, ฮีบรู 11:7,ปฐมกาล 6:3, 5, เอเฟซัส 5:26
พระคัมภีร์ตอนนี้อาจเป็นข้อที่เข้าใจยากมาก มีความเห็นจากดร. ไมเคิล ไฮเซอร์ว่า พระวิญญาณของพระเยซูทรงลงไปบอกวิญญาณที่ติดคุกว่า พวกเขายังคงพ่ายแพ้ แม้ว่าพระองค์จะถูกตรึงบนไม้กางเขน แต่แผนการความรอดและการปกครองของพระเจ้านั้นไม่ได้หยุดชะงักไป ยังคงดำเนินต่อไป การสิ้นพระชนม์คือชัยชนะเหนือทุกวิญญาณชั่วที่ต่อต้านพระเจ้า และพระองค์ทรงเป็นคือมาจากความตายแล้ว
สถิตอยู่ขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เหนืออำนาจ
ร้ายทั้งปวง (Heiser, The Unseen Realm, p. 339)
และน้ำซึ่งเป็นสัญลักษณ์หมายถึงบัพติศมา บัดนี้ช่วยให้ท่าน รอดเช่นกัน ไม่ใช่เป็นการล้างสิ่งสกปรกออกจากร่าง แต่เป็นการถวายปฏิญาณต่อพระเจ้าเพื่อเราจะมีจิตสำนึกที่ดีต่อพระองค์ ความรอดนั้นมาได้ ด้วยการคืนชีพของพระเยซูคริสต์
1 เปโตร 3:21
กิจการ 16:33, เอเฟซัส 5:26, ทิตัส 3:5, โรม 10:10
น้ำท่วมครั้งโนอาห์ ได้ชำระล้างบาปและความชั่วร้ายออกไป เป็นการเริ่มต้นใหม่ของโลกนี้ การรับบัพติศมาบอกถึงความหมายฝ่ายวิญญาณ ของการจุ่มน้ำ นั่นก็คือ ผู้รับบัพติศมาได้รับการชำระชีวิต จิตสำนึกของเขาได้รับการเปลี่ยนแปลง และเขาได้ประกาศให้รู้ว่าเขาเชื่อพระเยซูแล้ว เป็นหลักฐานที่บอกว่าเขาหันหลังให้กับชีวิตเดิม เขาได้รับความรอด เพราะการสิ้นชีพ-คืนชีพของพระเยซู เป็นการเริ่มต้นใหม่ของเขา
พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ และประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าโดยทั้งทูตสวรรค์ เหล่าผู้ที่มีสิทธิอำนาจ และเทพที่มีฤทธิ์ทั้งหลาย ถูกจัดไว้ให้อยู่ใต้อำนาจของพระองค์
1 เปโตร 3:22
สดุดี 110:1, โรม 3:38, ฮีบรู 1:6
ในที่สุด พระองค์เสด็จสู่สวรรค์ พระเจ้าทรงยกย่องพระเยซูสูงสุด ทรงอยู่เหนือวิญญาณทั้งสิ้นในจักรวาล ดังนั้นเราจะเห็นว่า แม้พระองค์ ทรงทนทุกข์จนสิ้นพระชนม์ แต่ชัยชนะสุดท้าย กลับเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว