ยอห์น 8 คำอธิบายและพระคำอ้างอิง

ผู้หญิงที่ถูกจับมา

ยอห์น 8:1-2
เทศกาลอยู่เพิงเพิ่งเสร็จ    เรื่องที่เกิดขึ้นในพระวิหารคงยังเป็นเรื่องที่คุยกันในเมือง   รุ่งเช้าวันต่อมาพระเยซูเสด็จกลับมาที่พระวิหาร  หลังจากที่ไปพักที่ภูเขามะกอกเทศ ไปถึงก็ทรงนั่งสอน. ผู้คนก็เข้ามาห้อมล้อมพระองค์มากมาย เวลาสอนนั้น อาจารย์ในสมัยโบราณจะนั่งและมีผู้คน รุมล้อมฟังอาจารย์… พระองค์ทรงสอนในพระวิหารบ่อย ๆ (5:19-47, 7:14-52)    ดูสิว่า พระเยซูทรงกล้าหาญที่จะกล่าวถึงพระบิดาของพระองค์ไม่หยุด..
1 **.มัทธิว 21:1, ลูกา 19:37. 2** ยอห์น 8:20, 18:20

ยอห์น 8:3-6
6 แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่สร้างความตระหนกให้ทุกคน  ธรรมาจารย์กับฟาริสี ไปจับผู้หญิงที่บอกว่ากำลังล่วงประเวณีมาให้พระเยซูตัดสินลงโทษ พวกเขาตั้งใจหาเรื่อง ต้องการหาจุดอ่อนเพื่อกล่าวโทษพระเยซู  ไม่ได้ต้องการความยุติธรรม หรือการทำตามบัญญัติโมเสส. พวกเขาต้องการทำลายทั้งผู้หญิงและพระเยซูต่อหน้าสาธารณชน หลายคนเชื่อว่า พวกเขาจัดฉากให้เกิดขึ้นเพื่อทำลายพระเยซูโดยเฉพาะ 
5 ในบัญญัติโมเสส เฉลยธรรมบัญญัติ   22:23,24. มีโทษสำหรับคนล่วงประเวณี   พวกที่จับผู้หญิงมา ต้องการให้พระเยซูพูดอะไร ๆ ที่ค้านบัญญัติของโมเสส. เขาถามพระเยซูชัดเจนว่า “ท่านจะว่าอย่างไร?” พวกเขาต้องการคำตอบทันที 6 ถ้าพระเยซูห้ามไม่ให้เอาหินขว้าง .. เท่ากับพระองค์ทรงทำผิดบัญญัติโมเสส.  และถ้าให้เอาหินขว้างก็เท่ากับขัดกับกฏหมายของโรมที่กุมอำนาจอยู่  เพราะโรมห้ามยิวจัดการลงโทษคนของตนเอง พระเยซูไม่ตรัสตอบทันที แต่กลับโน้มพระกายเขียนพื้นซึ่งคงเป็นพื้นทรายหรือดิน .. ไม่มีใครทราบว่า พระองค์ทรงเขียนอะไรที่พื้นดิน แต่คำกรีกที่ใช้นั้น เขียนว่า กราฟีอิน ซึ่งอาจหมายความว่า เขียนบันทึกกล่าวหา … ในพระคัมภีร์แปลบางเล่มมีคำ.. ราวกับว่าพระองค์ไม่ทรงได้ยินพวกเขา
3- 4** อพยพ 20:14, 5** เลวีนิติ 20:10, เฉลยธรรมบัญญัติ 22:21-24  6* *มัทธิว 22:15,18, 19:3

ยอห์น 8:7-8
8 แต่พวกเขาก็ถามไม่หยุด  พระองค์จึงทรงยืน และมองพวกเขาตาต่อตา.  คำของพระองค์นั้น ทำให้ทุกคนตะลึง ใครจะไปคาดคำตอบเช่นนี้..
“ใครไม่บาปก็ขว้างเป็นคนแรกเลย” … แทนที่จะเอาผิดกับผู้หญิง พระเยซูทรงชี้ความผิดของทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น !! คนที่เป็นพยาน เห็นความบาปของผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้มีส่วนร่วมในบาป ก็เอาหินขว้างได้  พวกเขาต้องการให้พระเยซูติดกับดัก  แต่พระเยซูกลับทรงย้อนพวกเขาว่า ถ้าเขาไม่มีบาปแบบนี้จริง ๆ ละก็ เขาลงโทษเธอได้ 
8 แล้วพระเยซูทรงให้เวลาพวกเขาคิด..ได้อ่านสิ่งที่ทรงเขียนบนดิน 
7** ฉธบ. 17:7, โรม 2:1-3, 21-25,  8**-

ยอห์น 8:9-11
11 พวกเขาได้คิดจริง ๆ. เริ่มรู้ตัวว่าพระเยซูหมายความอย่างไร คนที่อายุมากกว่าก็เข้าใจสิ่งที่พระเยซูตรัสทันที  คนอื่น ๆ อาจจะยังเถียงกันไปมา แต่แล้ว ก็ไม่มีใครเหลืออยู่เลย.. ยกเว้นผู้หญิงที่ถูกกล่าวหา ยืนอยู่ตรงนั้น
10 ขณะที่พระเยซูทรงก้มเขียนดิน พวกเขาเดินออกไป พระเยซูทรงยืดพระกาย.. ถามเธอว่า ไม่มีใครเอาผิดหรือ?  ลองคิดดูว่าตอนนั้นเธอจะรู้สึกอย่างไร อาจตกใจมากอยู่… แต่แล้ว เธอก็ได้รับพระคุณยิ่งใหญ่..
11 พระเยซูไม่ได้เอาผิดหญิงคนนี้ แต่พระองค์ทรงยกโทษให้และขอให้เธอหยุดทำบาป  สมกับเป็นองค์พระเยซูที่ตรัสว่า บรรดาผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา … เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยน และใจอ่อนน้อม มัทธิว  11:28,29. เราจะเห็นคนบาปสองแบบคือ คนที่ดูดีมีฐานะ มีความรู้ หรือเป็นคนดีมาก ๆ แต่หลบซ่อนบาปของตัวเองไว้    กับคนบาปที่ทำบาปให้เห็น  พวกแรกก็ชอบวิจารณ์  ชอบหาความผิด คอยกล่าวหาผู้อื่นไม่หยุดหย่อน คิดว่าตัวเองดีกว่าใคร ๆ 
พระเยซูทรงทำให้หญิงที่ถูกกล่าวหาได้รู้ว่า พระเจ้าทรงรักเธอ พระองค์พร้อมที่ให้เธอกลับใจ การเปลี่ยนชีวิตของเธอเกิดขึ้นช่วงเดียวกับที่เธอเห็นความอ่อนโยนที่พระองค์ปฏิบัติต่อเธอ
9* โรม 2:22 , ปัญญาจารย์​ 7:22, 1 ยอห์น 3:20, 10** อิสยาห์. 41:11-12 11* ยอห์น 3:17, 5:14, อิสยาห์ 1:16-18

องค์ผู้เป็นแสงสว่างแห่งโลก

ยอห์น 8:12-14. คำสนทนาเรื่องความสว่างของโลก
12. กลับมาที่คำสนทนาระหว่างยิวฟาริสี ธรรมาจารย์กับพระเยซู เป็นคำสนทนาที่ยาวพอสมควร …. ครั้งที่สองที่พระองค์ตรัสว่า “เราเป็น…..” ก่อนหน้านี้ ตรัสว่า เราเป็นอาหารแห่งชีวิต (6:35 ตอนที่ทรงเลี้ยงคน 5000 คน )  และก่อนหน้านี้ พระองค์ยังชวนให้คนเข้ามาหาน้ำแห่งชีวิต ซึ่งพระองค์หมายถึงองค์พระวิญญาณ  (7:37-38)
เมื่อไรที่มีการพูดถึงความสว่าง  คนยิวจะคิดถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้า  ไม่ว่าจะเป็นการทรงสร้างความสว่าง หรือการที่ทรงเป็นเสาไฟยามกลางคืนเมื่ออิสราเอลเดินในถิ่นกันดาร   ดังนั้น เมื่อพระองค์ตรัสว่าทรงเป็นความสว่างเท่ากับ พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นพระเจ้า” ชัดมาก   ทำให้พวกเขาโกรธที่พระองค์ยืนยันเช่นนี้(อิสยาห์เคยกล่าวไว้ว่า ผู้รับใช้ที่พระองค์จะส่งมา คือแสงสว่างของโลก อิสยาห์ 42:6, 49:6)  จริง ๆ แล้วเทศกาลอยู่เพิงเป็นเทศกาลแห่งไฟด้วย จะมีการจุดไฟสว่างเอาไว้ตลอดเทศกาลระลึกถึงการเดินในถิ่นกันดาร
13. เราก็อาจงงว่า ทำไมฟาริสีพูดเช่นนั้น หาว่า พระองค์เป็นพยานให้ตนเอง  คำของพระองค์จึงเชื่อถือไม่ได้ว่าทรงเป็นแสงสว่าง   ในระบบศาลของยิวจะต้องมีพยานสองปากขึ้นไป
14. พระองค์กำลังบอกว่าที่คำพยานของพระองค์เชื่อถือได้เพราะ  เป็นพยานเดียวก็ได้ แม้จะไม่ตรงตามบัญญัติของโมเสส    พระองค์ทรงรู้ว่าทรงมาจากสวรรค์ ทรงเป็นพระเจ้า ( 7:29, 33-34) แต่พวกเขาต่างหากที่ไม่รู้
12** ยอห์น 1:4, 9:5, 12:35, 1 เธสะโลนิกา 5:5,อิสยาห์ 49:6 13** ยอห์น 5:31  14**  ยอห์น 7:28, 9:29

ยอห์น 8:15-18
15.พระเยซูบอกให้ฟาริสีรู้ว่า พวกเขาไม่ได้มีสิทธิจะตัดสินพระองค์เลย พระองค์ต่างหากที่เป็นพระเจ้าสามารถตัดสินพวกเขาได้  (อ่านดาเนียล 7:9-14)   พวกเขากำลังประเมินพระองค์แบบมนุษย์ การรู้จัก และความเห็นของตัวเองที่มีต่อพระองค์  พวกเขาเห็นว่าพระองค์เป็นลูกช่างไม้ ไม่ได้เรียนในธรรมศาลาเหมือนพวกเขา
16. ถึงอย่างนั้น พยานของพระองค์มีสองท่านคือ ตัวพระองค์เอง และพระบิดา ดังนั้นจึงถูกต้อง
17.ตามธรรมบัญญัติที่วางไว้ว่าต้องมีพยานสองคนขึ้นไปจึงจะเชื่อถือได้. (ฉธบ.17:6)
18. (ตอนที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาจากยอห์นนั้น พระบิดาได้ลงมาตรัสว่า  ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของพระองค์ ให้คนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เห็น รวมถึงพวกฟาริสี ธรรมาจารย์บางคนที่ออกไปรับบัพติศมา).
ลูกา 3:21-22 พระบิดาทรงมาเยี่ยมเยี่ยนในวันที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาจากยอห์น อ่านยอห์น 1:29-34, 3:22-35 ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นพยานเรื่องพระเยซู
15** ยอห์น 7:24, 3:17,12:47, 18:36   16** ยอห์น 16:32  17** ฉธบ. 17:6, 19:15   18** ยอห์น 5:37

ยอห์น 8:19-20
19.  บิดาของท่านอยู่ที่ไหน? พวกเขาถามถึงบิดาที่เป็นมนุษย์ แต่พระเยซูกำลังตรัสถึงพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์ ฟาริสีมองฝ่ายเนื้อหนัง พระเยซูทรงกล่าวถึงพระบิดาผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ 
คนละมุมมอง เหมือนพูดกันคนละเรื่อง
เอากันจริง ๆ ฟาริสีและธรรมาจารย์รู้อยู่แล้วว่าพระองค์ไม่เหมือนใคร อย่างไร พระองค์พิเศษอย่างไร   ถ้าเขารู้จักพระองค์จริง ๆ เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะรู้จักพระบิดาด้วย … แต่ตอนนี้ฟาริสีและธรรมาจารย์ตามืด ตาบอด ขอเพียงแต่ได้ทำลายพระเยซูเป็นพอ  
ลองคิดถึงเปโตรในวันที่พระเยซูทรงถามเขาว่า ท่านว่าเราเป็นใคร เขาตอบอย่างชัดเจนเพราะเขารู้จักพระองค์ว่า “พระองค์คือพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า”. (มัทธิว 16:16)
20. ยอห์นได้บันทึกว่า เหตุการณ์นี้อยู่ในที่สาธารณะ คลังพระวิหารนั้นอยู่ด้านหน้าสุดของพระวิหาร เป็นที่ ๆ อยู่ใกล้ ๆ กับเจ้าหน้าที่และยามพระวิหาร   ผู้คนไม่น้อยได้ฟังคำสนทนาที่เกิดขึ้น 
19** ยอห์น 16:3, 14:7,     20** มาระโก 12:41, 43, ยอห์น  2:4, 7:30, ยอห์น 7:8

ยอห์น 8:21-23
21. จากการที่ฟาริสีและธรรมาจารย์ได้พยายามต่อต้านพระองค์ขนาดนี้ พวกเขาไม่ยอมรับผู้ที่พระเจ้าส่งมา  พระเยซูจึงทรงบอกอนาคตของพวกเขารู้กันไปเลย  ว่าที่ ๆ พระองค์จะไปพวกเขาไปไม่ได้  พระองค์กำลังตรัสถึงการสิ้นชีพ คืนชีพและเสด็จสู่สวรรค์
22. แต่พวกเขากลับเห็นว่าพระองค์จะฆ่าตัวตาย และที่สุดก็ไปนรก (ในความเชื่อยิวนั้น นรกเป็นที่สุดท้ายของคนที่ฆ่าตัวตาย)
ดูสิ พระองค์ตรัสว่าจะทรงไปสวรรค์ แต่เขากลับเข้าใจว่าพระองค์จะไปนรก   เราจะเห็นได้ชัดว่าฟาริสีเหล่านั้น ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ ไม่รู้อะไรในเรื่องฝ่ายวิญญาณเลย
23. แล้วพระเยซูจึงสรุปให้เข้าใจจริงว่า อะไรเป็นอะไร พระองค์มาจากสวรรค์ แต่พวกเขาเป็นคนที่ต่อต้านพระเจ้า มาจากเบื้องล่าง  ในภาษาเดิมเป็นการเล่นคำด้วย   ยอห์นบอกมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ใด ทรงเป็นพระดำรัสของพระเจ้าที่ทรงอยู่มาตั้งแต่ต้น ทรงเป็นความสว่างที่ลงมาในโลก  พวกเขาไม่ได้เข้าใจอะไรเลย
21** ยอห์น 7:34, 13:33, 8:24,  22** สดุดี 22:6   23** ยอห์น 3:31, 4:5

ยอห์น 8:24-26
24. แล้วพระเยซูทรงแจ้งตรงไปตรงมาว่า หากพวกเขาไม่เชื่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พวกเขาจะต้องตายเพราะบาป ในภาษาเดิมพูดว่า ถ้าเจ้าไม่เชื่อว่า เราคือ “เราเป็น” (อีโกอีไมซึ่งเป็นชื่อที่พระเจ้าทรงเรียกพระองค์เองในวันที่พระองค์ทรงบอกชื่อของพระองค์แก่โมเสสที่พุ่มไม้ไฟ  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรียนได้อีกลึกซึ้งมาก )   
25. ได้ยินอย่างนี้ พวกเขาก็โกรธยิ่งขึ้น  เอาอีกแล้ว ชายคนนี้ทำตัวเสมอพระเจ้าอีกแล้ว… “ท่านเป็นใครกัน?”  พวกเขาถามอย่างนี้บ่อย ๆ แต่เมื่อพระเยซูทรงตอบว่าทรงเป็นพระคริสต์ ก็ไม่ยอมรับ    (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:39)  พวกเขาต้องได้คำตอบแบบที่ตนต้องการจึงจะพอใจ
26.  พระเยซูกำลังตรัสแก่ยิวและแก่เราว่า หากไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ที่พระองค์ทรงบอกแล้วละก็  เขาจะต้องตายเพราะบาปของเขา (ยอห์น16:9 บอกเราชัดว่า การไม่เชื่อคือการอยู่ในสถานะบาป)
24** ยอห์น 8:21, มาระโก 16:16  25** ยอห์น 4:26   26** ยอห์น 7:28, ยอห์น 3:32, 15:15

ยอห์น 8:27-30
27.  ความที่ไม่ยอมรับพระบุตรและพระบิดาตามที่พระเยซูตรัส พวกเขาจึงไม่เข้าใจอะไรเลย  ไม่รู้ว่าพระเยซูกำลังบอกเขาว่า มีพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงส่งพระองค์มา และพระบิดาตรัสอะไร พระเยซูก็จะบอกตามนั้น
28. แล้วพระองค์ก็ตรัสถึงอนาคตอันใกล้ว่า เมื่อไรที่ยิวยกพระองค์ขึ้น  (ไม่ได้หมายความว่ายกย่อง)  แต่เป็นการยกไม้กางเขนที่มีร่างของพระองค์ติดอยู่ แล้วตั้งขึ้น  เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พวกเขาจึงจะรู้ว่า พระองค์ทรงทำทุกอย่างตามพระบิดาบัญชา
29. และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  พระบิดากับพระเยซูใกล้ชิดกันเสมอ เพราะเป็นพระบุตรที่ทำให้พระบิดาพอพระทัย    30. แปลกที่เวลานั้น มียิวหลายคนตัดสินใจเชื่อพระองค์ !  แต่เชื่อแบบไหนกัน เราดูต่อไป
27** อิสยาห์ 6:9 , 2 โครินธ์ 4:3-4   28** ยอห์น 3:14, 12:32, 19:18,  โรม 1:4, ยอห์น 5:19,30, 3:11    29** ยอห์น 14:10, 8:16, 16:32, 4:34,5:30,6:38   30** ยอห์น7:31, 10:42, 11:45

ลูกอับราฮัมหรือลูกมาร ?

ยอห์น 8:31-34
31-32   แทนที่พวกเขาเชื่อ แล้วพระองค์จะเอาใจ  พระองค์กลับตรัสสิ่งที่แรงมาก   นั่นคือพระองค์ตรัสสื่อว่า พวกเขาเป็นทาสอยู่  เมื่อไรที่เขารู้ความจริง เขาจะเป็นอิสระ ความจริงของพระเจ้าเท่านั้น ที่ช่วยให้เราไม่ตกไปเป็นทาสคำโกหกของใคร 
33. พวกเขาโกรธและคิดว่าตัวเองไม่เคยเป็นทาสใคร  (พวกเขาลืมไปว่า  ในทางการเมืองแล้วพวกเขาเป็นทาสโรม  ในทางความเชื่อ พวกเขาเป็นทาสกฎบัญญัติอย่างสุดโต่ง  พวกเขาคิดว่าตนเองเป็นคนมีศีลธรรม ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นทาสบาป)
34. อย่างไรก็ตามพระเยซูทรงสนพระทัยฝ่ายวิญญาณ ทรงบอกเขาว่าถ้าเขาทำบาป เขาก็เป็นทาสของบาป  พอได้ยินอะไรแบบนี้ที่เหมือนจะดูถูกตัวพวกเขา พวกเขาก็จะรับไม่ได้เลย
พระเยซูทรงยื่นชีวิตอิสระที่มาจากการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า และการถูกลบบาปโดยพระองค์เอง แต่พวกเขารับคำของพระองค์ไม่ได้เลย 
31**  ยอห์น 14:15,23,  32**  ยอห์น 1:14,17,  14:6  โรม 6:14,18,22,   33** เลวีนิติ 25:42, มัทธิว 3:9, ลูกา 3:8   34** สุภาษิต  5:22, โรม 6:16, 2 เปโตร 2:19

ยอห์น 8:35-38
35. คนยิวคิดว่าตนเองเป็นลูกในครอบครัวของพระเจ้า ในฐานะที่เป็นลูกหลานอับราฮัม แต่พระเยซูกลับทรงแจ้งให้พวกเขารู้ว่าเขาเป็นเพียงทาสไม่ได้อยู่ในบ้านของพระเจ้านาน ๆ หรอก พระบุตรเท่านั้นที่อยู่ตลอดไป  
36. การเป็นอิสระจริง ๆ ที่พระเยซูกล่าวถึง คือการเป็นอิสระจากภาวะทาสบาป 
37 พระเยซูทรงรู้ว่าพวกเขาเป็นยิวแท้ เป็นลูกหลานของอับราฮัม ที่พระองค์ตรัสว่า เจ้าไม่มีคำของเราในตัว ความหมายคือ คำของพระเยซูไม่ได้เกิดผลในชีวิตของพวกเขาเลย ไม่ได้เปลี่ยนความคิดเดิมของพวกเขา ถ้าเป็นอับราฮัม เขาจะไม่คิดฆ่าพระเยซู
38.  และเมื่อพระองค์ตรัสว่า เจ้าทำสิ่งที่เจ้าฟังมาจากพ่อของเจ้า พระองค์ทรงหมายถึงมาร แต่พวกเขาคิดว่าพ่อของพวกเขาคืออับราฮัม   เป็นการสนทนาที่น่างุนงง ดูไปดูมา การสนทนานี้เหมือนว่า พระบิดาทรงสนทนากับเหล่าฟาริสีโดยตรง เพราะพระเยซูได้ตรัสว่า พระองค์ตรัสตามที่พระบิดาทรงสอนไว้ (ข้อ 28)
35** ปฐมกาล 21:10; กาลาเทีย 4:30, ลูกา 15:31  36** โรม 8:2, 2 โครินธ์ 3:17, กาลาเทีย 5:1
37**  ยอห์น  7:19   38**  ยอห์น 3:32, 5:19,30, 14:10    

ยอห์น 8:39-41
39 บางคนเริ่มสับสนแล้ว ยังยืนกรานว่าตนเองเป็นลูกหลานอับราฮัม แต่พระเยซูก็ทรงยืนยันว่า อับราฮัมจะไม่ทำอย่างที่พวกเขากำลังพยายามทำอยู่    พวกเขาเป็นลูกหลานอับราฮัมแค่เชื้อสาย แต่ไม่ใช่ด้วยความเชื่อ
40. “แต่เจ้าพยายามฆ่า คนที่บอกความจริง” ในฐานะมนุษย์พระองค์เป็นคนที่ได้รับทุกสิ่งมาจากพระเจ้า ก่อนที่มาจากเป็นมนุษย์ 
41 ตอนนี้พวกเขากำลังกล่าวหาว่า พระเยซูเป็นลูกนอกสมรสของมารีย์   เวลาอีกฝ่ายไม่สามารถต่อสู้ความในศาล หรือในการโต้แย้งได้ สิ่งที่มักทำกันคือ การกล่าวหาทำให้อีกฝ่ายหมดความน่าเชื่อถือ. คำตอบของพวกเขาทำให้เรารู้สึกว่า เขาภูมิใจที่เชื่อพระเจ้าองค์เดียว ไม่ได้เป็นเหมือนคนต่างชาติที่มีพระมากมาย  เวลาพวกเขาพูดถึงพระเยซูว่าเป็นชาวสะมาเรีย (ข้อ 48) หรือกล่าวว่าพระองค์จะไปหาคนต่างชาติ (7:35)  พวกเขาพูดด้วยความรู้สึกดูถูกคนเหล่านั้น    พวกเขารู้สึกจริง ๆ ว่าเขาเหนือชนชาติอื่น ๆ เพราะพวกเขาเป็นคนของพระเจ้า
39** มัทธิว 3:9, ยอห์น 8:37, โรม 2:28, กาลาเทีย 3:7,29   40** ยอห์น 8:37,26,   41** ฉธบ 32:6, อิสยาห์ 63:16, มาลาคี 1:6

ยอห์น 8:42-44 ก
42. คำตรัสของพระเยซูตอนนี้ เด็ดจริง ๆ  ถ้าพวกเขาเป็นคนของพระเจ้าจริง เขาจะรักพระองค์ พระองค์ไม่ได้มาเอง แต่พระบิดาทรงส่งพระองค์มาในโลก 
43. พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงเป็นคนละองค์  ทรงออกมาจากแก่นแท้ของพระเจ้า มาอยู่ในโลกมนุษย์ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง !
คำสนทนาตอบโต้กันนี้ แรงตลอด … สิ่งที่พระเยซูตรัสชัดเจน  พวกเขาไม่มีอาจรับสิ่งที่พระองค์ตรัสได้เลย 
44 ก.พระองค์ทรงถามเขา แล้วพระองค์ทรงตอบให้ว่า อาการจริง ๆ ของการไม่ยอมรับพระองค์มาจากไหน  ไม่ใช่แค่ ว่าพวกเขาเป็นทาสบาปเท่านั้น  แต่เป็นเพราะ พวก เขาเป็นของลูกของมาร และพวกเขากำลังทำตามความต้องการของมารอยู่  ถ้าเขาเป็นลูกอับราฮัมจริง ๆ เขาจะไม่ทำเช่นนี้
42** 1 ยอห์น 5:1, ยอห์น 16:27, 17:8, 25, 5:43, กาลาเทีย 4:4  43**  ยอห์น 7:17, 44ก**  มัทธิว 13:38, 1 ยอห์น 3:8, 2:16, 3:8-10, 15

ยอห์น 44ข- 47
44ข. จากนั้นพระเยซูก็ทรงอธิบายให้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร พระองค์อธิบายนิสัยใจคอของมาร พ่อของพวกเขาคือมารได้โกหก และฆ่ามนุษย์มาตั้งแต่แรก   มารไม่ยืนในความจริง  มันเป็นพวกมุสาไปเสียทุกเรื่อง ถึงจะพูดจริงบางส่วนก็เพียงเพื่อเอาไว้ล่อให้คนตายใจ   มันเรียกดีว่าชั่ว เรียกชั่วว่าดี  มันเป็นผู้สนับสนุนความชั่วร้ายทุกรูปแบบ
45. คนที่เชื่อคำโกหกมานาน ๆ เมื่อเจอกับความจริงกลับทำใจให้เชื่อไม่ได้    
46. ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าพระองค์ทำบาปเลย  แต่ก็ไม่มีใครเชื่อพระองค์ 
น่าแปลกที่คนยิวที่กำลังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ปฏิเสธว่า เขาต้องการฆ่าพระองค์
47.  พระองค์สรุปว่า คนของพระเจ้าจะฟังพระดำรัส  ทรงถามเขา และทรงตอบให้อีก
44 ข**  ยูดา 6   45** 2 ทิโมธี 4:3-4, 2  เธสะโลนิกา 2:10   46**  มาระโก 11:31   47** ลูกา 8:15, ยอห์น 10:26, 1 ยอห์น 4:6

ยอห์น 8:48-51
48. คราวนี้พวกเขาทนแทบไม่ได้ พวกเขาไม่อาจปฏิเสธคำของพระเยซู ดังนั้นจึงเลี่ยงไปกล่าวหาว่าพระเยซูเป็นชาวสะมาเรีย ซึ่งเป็นกลุ่มเชื้อชาติที่ยิวทั้งดูหมิ่นและเกลียดชัง  ไม่แค่นั้น หาว่าพระองค์ถูกผีสิงด้วย! พวกเขาใช้วิธีกล่าวหาอีกฝ่ายเมื่อไม่สามารถสู้คำของพระองค์ได้
49-50 เมื่อพระองค์ตรัสว่า เราถวายเกียรติพระบิดา ไม่ได้หาเกียรติให้ตัวเอง และพระเจ้าจะทรงเป็นผู้ตัดสินทุกอย่าง  เท่ากับว่าพระองค์ไม่ได้มีผีสิงแน่นอน เพราะผีจะไม่ถวายเกียรติพระเจ้า  พวกเขาต่างหากที่เป็นลูกมาร
51. การทำตามคำของพระองค์ มีความหมายว่า เชื่อในพระองค์ จะไม่เห็นความตาย  คือจะไม่ตกนรกไป 
48** ยอห์น 7:20, 10:20,  49** ยอห์น   5:41   50**  ยอห์น 7:18,  ฟีลิปปี 2:6-8  51** ยอห์น 5:24, 11:26

ยอห์น 8:52-54
52. ความตายในที่นี้ พระเยซูทรงหมายถึงความตายของจิตวิญญาณ
53. แต่ฟาริสีคิดถึงความตายฝ่ายร่างกาย   พวกเขามองว่าพระเยซูยกตัวเองใหญ่กว่าอับราฮัม
54. เกียรติของพระเยซูไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้คนเหล่านี้. แต่พระเจ้าต่างหากทรงให้เกียรติพระเยซูอย่างสูงส่งที่สุด 
52** ยอห์น 7:20, 10:20, เศคาริยาห์ 1:5, ฮีบรู 11:13  53**  ยอห์น 10:33, 19:7  54**  ยอห์น 5:31,32,41, กิจการ 3:13

ยอห์น 8:55-56
55. อับราฮัมยินดีที่เห็นวันของเรา นั่นคือ อับราฮัมได้เห็นพระสัญญาของพระเจ้าว่า จะให้เชื้อสายของเขาได้เป็นพระพรต่อโลก  พระเยซูคือเชื้อสายอับราฮัมที่ทำให้ทั้งโลกได้รับพรจริง ๆ  แต่ยิวไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูพูด เพราะพวกเขาไม่ยอมรับการเป็นพระเจ้าของพระองค์ 
56. เป็นไปได้อย่างไรที่อับราฮัมจะเห็นวันนี้ได้ ในเมื่อตายไปแล้ว แต่พระเยซูกลับกล่าวถึงอับราฮัมราวกับว่า เขามีชีวิตอยู่  
55** ยอห์น 7:28,29, 15:10  56** ลูกา 10:24, มัทธิว 13:17, ฮีบรู 11:13

ยอห์น 8:57-59
57-58 คนในพระวิหารที่คุยอยู่กับพระเยซู​โกรธมากที่พระองค์ยืนยันว่าทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ตรัสชัดเจนต่อหน้าพวกเขาว่าพระองค์อยู่ก่อนอับราฮัมเสียอีก  ดังนั้น ถ้ามีใครมาพูดว่า พระเยซูไม่เคยอ้างว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ก็ต้องมาดูพระคัมภีร์บทนี้  พระองค์ตรัสแล้วตรัสอีก ยืนยันอยู่ตลอดเวลา 
59. ในที่สุดความโกรธของยิวถึงระดับที่จะเอาหินขว้างพระองค์ ! ซึ่งเป็นวิธีการลงโทษที่ไม่ต้องใช้การพิจารณาคดีเลย  เป็นที่ยอมรับกันในหมู่ยิวเมื่อเห็นใครท้าทายบทบัญญัติของโมเสสหรือประเพณีที่สืบต่อกันมา พวกเขาเห็นว่าพระเยซูดูหมิ่นพระเจ้า แถมยังบอกว่าอยู่มาก่อนอับราฮัม ดังนั้นจึงพร้อมที่จะขว้างพระองค์ด้วยตัวเอง  
เราเริ่มต้นบทนี้ด้วยการพยายามจะเอาหินขว้างหญิงล่วงประเวณี แต่แล้วกลับหันมาต้องการขว้างใส่พระเยซู
57-    58** มีคาห์ 5:2, ยอห์น 17:5, ฮีบรู 7:3, วิวรณ์ 12:13, อพยพ 3:14, อิสยาห์ 43:13, ยอห์น 17:5, 24, โคโลสี 1:17, วิวรณ์ 1:8   59 ยอห์น 10:31, 11:8, ลูกา 4:30, ยอห์น 10:39


กิจการ 1 พระเยซูเสด็จไป พระวิญญาณเสด็จมา

หนังสือกิจการนี้ เป็นเรื่องราวของคริสตจักรที่ขยายจากเยรูซาเล็มไปตามที่ต่าง ๆ จนถึงโรม  และบุคคลสำคัญที่ถูกบันทึกไว้คือองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงทำการผ่านเหล่าอัครทูตของพระเยซูคริสต์ 
ผู้เขียนคือท่านลูกา เป็นทั้งเพื่อนร่วมงาน ทั้งแพทย์ประจำตัวของท่านเปาโล  ท่านเขียนโดยได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  เวลาเขียนน่าจะอยู่ราว ๆ ปี ค.ศ. 60-68  งานเขียนของท่านทำให้เราเห็นว่า พระเยซูทรงเริ่มต้นคริสตจักรอย่างไร ลักษณะของคริสตจักรเป็นอย่างไร  และคริสตจักรมีหน้าที่อย่างไรบ้าง   
สิ่งสำคัญคือ คริสตจักรจะต้องถวายพระเกียรติแด่พระคริสต์เสมอ  ต้องภักดีต่อพระองค์ ด้วยฤทธิ์ของพระวิญญาณที่ทรงทำการผ่านพระกายของพระองค์

พระสัญญาเรื่องพระวิญญาณ

เลือกคนแทนยูดาส

คำอธิบายเพิ่มเติม คลิกที่นี่

กิจการ 1 อธิบายและพระคำอ้างอิง

กิจการ 1:1-3 ท่านลูกาบอกให้รู้พระเยซูทรงอยู่อีกสี่สิบวันหลังคืนพระชนม์
ท่านลูกาอ้างอิงไปถึงงานเขียนครั้งที่แล้วคือหนังสือลูกา   หนังสือกิจการเป็นเล่มที่สองของท่าน  โดยทั้งสองเล่มส่งไปให้ผู้อ่านคนเดียวกันชื่อ เธโอฟีลัส (ชื่อแปลว่า ที่รักของพระเจ้า)
ท่านลูกาบอกชัดเจนว่าในหนังสือเล่มแรกได้กล่าวถึงสิ่งที่พระเยซูตั้งต้นทำ และคำสอนของพระองค์ ส่วนในเล่มนี้ ท่านกล่าวถึงการที่พระเยซูทรงยืนยันด้วยพระองค์เองว่าพระองค์ทรงคืนชีพจากความตาย  พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่จริง  ในสี่สิบก่อนเสด็จสู่สวรรค์​  ซึ่งแค่ในพระคัมภีร์เราก็เห็นหลาย ๆ ตอนแล้วที่อัครทูต ศิษย์  และคนอื่น ๆ ได้เห็น ได้คุย กินอาหารกับพระองค์ในช่วงเวลานั้น (อ่านพระกิตติคุณ 4 เล่ม ในบทสุดท้ายจะเห็นชัดเจน )
งานและคำสอนของพระเยซูก่อนที่จะทรงเสด็จสู่สวรรค์ก็คือเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า  เรื่องการที่พวกเขาจะต้องออกไปประกาศพระนามของพระองค์นี่เป็นรากฐานแห่งความเชื่อของคริสเตียนที่ได้เห็น ได้อยู่กับพระองค์ ตลอดเวลาที่ทรงอยู่กับพวกเขา

1* ลูกา 1:3  2-มาระโก 16:19,กิจการ 1:9,11,22, มัทธิว 28:19, มาระโก 16:15, ยอห์น 20:21, กิจการ 10:42  3* มัทธิว 28:17, มาระโก 16:12,14, ลูกา 24:34-36, ยอห์น 20:19,26, 21:1,14, 1 โครินธ์ 15:5-7

กิจการ 1:4-5  พระสัญญาเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ก่อนที่พวกเขาจะทำตามพระบัญชานั้น พระเยซูทรงกำชับหนักแน่นให้พวกเขารอรับพระวิญญาณในกรุงเยรูซาเล็มก่อน  อย่าออกไปจากเมือง!
พระวิญญาณทรงเป็นผู้ที่จะขับเคลื่อนงาน และคนที่จะทำ    ท่านลูกากำลังรายงานว่า งานทั้งหมดที่จะทำต่อไปเกิดขึ้นจากพลังแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์คือผู้ที่สำคัญที่สุด สำหรับการสร้างคริสตจักร
คำว่า บัพติศมา ในที่นี้แปลว่า จุ่ม พระเยซูทรงกล่าวถึงยอห์นว่าได้ให้การจุ่มน้ำบัพติศมา เป็นการบอกว่ากลับใจใหม่ ได้รับการชำระ แต่ พระเยซูจะเป็นผู้ให้คริสเตียนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ยอห์น 7:39)  
ซึ่งเป็นการรับพระวิญญาณและฤทธิ์เดชของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในชีวิต จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง และทำให้ชีวิตเกิดผลไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

4*  ลูกา 24:49, ยอห์น 14:16,17,26, 15:26, กิจการ 2:33 5* มัทธิว 3:11,มาระโก 1:8, ลูกา 3:16, ยอห์น 1:33, กิจการ 11:16, โยเอล 2:28

กิจการ1:6-7 คำถามของศิษย์ก่อนจะจากกัน การเสด็จสู่สวรรค์ 
ตั้งแต่สมัยของเนบูคัดเนสซาร์ ยิวก็ไม่ได้มีอาณาจักรของตนเอง  ดังนั้นยิวทุกคนปราถนาให้มีพระเมสสิยาห์มาช่วยกู้พวกเขา   พวกศิษย์ก็สงสัยว่า พระเยซูจะทรงกู้ชาติกลับคืนมา จึงถามพระองค์ตรง ๆ  พวกเขายังติดที่จะมองพระองค์เป็นภาพของอำนาจทางการเมือง พระเยซูไม่ตอบคำถามตรง ๆ แต่บอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะรู้

6* ลูกา 19:11, 17:20  7* 1 เธสะโลนิกา 5:1, มัทธิว 24:36, มาระโก 13:32,

8 คำสอนครั้งสุดท้ายและพระสัญญาก่อนการเสด็จสู่สวรรค์ พระเยซูทรงเตือนพวกเขาว่า พระวิญญาณจะเสด็จมาเป็นฤทธิ์เดชเพื่อให้พวกเขาเป็นพยานเพื่อพระองค์จนสุดปลายโลกเลยทีเดียว

8* กิจการ 2:1,4, ลูกา 24:48-49, ยอห์น 15:27, กิจการ 8:1, 5, 14, มัทธิว 28:19, มาระโก 16:15, โรม 10:18, โคโลสี 1:23, วิวรณ์ 14:6

9-11  พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ ขณะที่พระองค์กำลังอยู่ต่อหน้าต่อตา กำลังตรัสอวยพรพวกเขา (ลูกา 24:51) พระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นไป ทรงลอยขึ้นไปและลับไปจากสายตาของศิษย์ที่อยู่ด้วยในเวลานั้น ตามพระดำรัสในยอห์น  7:33-34  พระองค์เสด็จสู่สวรรค์นอกเยรูซาเล็มที่บ้านเบธานี เนินเขามะกอกเทศ   และมีทูตสวรรค์มา
บอกพวกเขาว่า พระองค์จะทรงกลับมาในแบบเดียวกัน คือมาด้วยพระกายนี้ ณ สถานที่นี้
คนที่อยู่ในเหตุการณ์พบว่า พระเยซูทรงคืนชีพจริง เพราะเขาได้ยินพระองค์ อยู่กับพระองค์ และยังได้เป็นพยานการเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์ด้วย

9*  ลูกา 24:50,51, สดุดี 68:18,110:1, มาระโก 16:19, ลูกา 23:43, ยอห์น 20:17, กิจการ 1:2, ฮีบรู 4:14, 9:24, 1 เปโตร 3:22 10* มัทธิว 28:3, มาระโก 16:5, ลูกา 24:4, ยอห์น 20:12, กิจการ 10:3,30 11* ดาเนียล 7:13, มาระโก 13:26, ลูกา 21:27,  ยอห์น 14:3,  2 เธสะโลนิกา 1:10, วิวรณ์ 1:7

12-14  มีรายชื่อของคนที่ไปยังห้องชั้นบน ซึ่งคงมีคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อนี้ด้วย  เราจะเห็นว่ามีทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่เข้าไปร่วมกันอธิษฐานในห้องชั้นบน และมีมากถึง 120 คน คนเหล่านี้เป็นผู้เชื่อที่จะสร้างคริสตจักรร่วมกับพระวิญญาณในยุคแรกนี้

12* ลูกา 24:52  13- มาระโก 14:15, ลูกา 22:12, กิจการ 9:37, 39, 20:8, มัทธิว 10:2-4, ลูกา 6:15, ยูดา 1 14* กิจการ 2:1,46, ลูกา 23:49, 55, มัทธิว 13:55 

15-19   เปโตร ตอนนี้ท่านทำหน้าที่เป็นผู้ที่นำให้พันธกิจดำเนินต่อไป โดยได้อ้างถึงคำของราชาดาวิดที่บันทึกไว้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ทรยศพระบุตรพระเจ้า  ท่านยืนยันว่า พระคำของพระเจ้าจะต้องสำเร็จทุกอย่าง มัทธิว  27:3-8 ได้กล่าวถึงการสิ้นชีวิตของยูดาสว่า เขาแขวนคอตาย แต่ในกิจการ 1 ตอนนี้บอกว่าเขาตกลงมา ไส้ทะลักออกมา มีความเห็นว่า เขาแขวนคอแล้วเมื่อร่างค่อย ๆ เน่าเปื่อย ร่างก็คงหล่นลงมาตามนั้น เปโตรได้กล่าวย้อนไปที่พระคำสดุดี ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ทรยศพระเยซู คือให้ที่ของเขาร้าง ไม่มีใครอยู่ และให้คนมาแทนตำแหน่งของเขา

15* ลูกา 22:32, วิวรณ์ 3:4 16* สดุดี 41:9, ลูกา 22:47  17* มัทธิว 10:4, กิจการ 1:25   18* มัทธิว 27:3-10, มาระโก 14:21, 26:14, 15

20-23 เปโตรได้เสนอให้เลือกคนแทนยูดาส คุณสมบัติของคนที่เลือกมาทั้งสอง   คือต้องอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้นการทำงานของพระเยซู จากที่พระองค์รับบัพติศมาจนถึงวันที่เสด็จสู่สวรรค์  คนๆ นี้สามารถเล่าเรื่องที่ตนเห็นด้วยตาของตนเองได้เหมือนอัครทูตคนอื่น ๆ
และก็มีการเสนอชื่อสองคน ที่มีคุณสมบัติดังกล่าว

20* สดุดี 69:25, 109:8,22* กิจการ 1:8-9, 2:32 23* กิจการ 15:22

24-26  อัครทูตอธิษฐานและจับฉลากเลือกคนที่พระเจ้าทรงเลือก  ในยุคก่อนที่จะมีการเติมด้วยพระวิญญาณ สมัยโมเสสใช้วิธีนี้กันตามกันมาหลายร้อยปี  (เลวีนิติ  16:8)  พระเจ้าก็ทรงให้คำตอบกับพวกเขาตามความเชื่อมั่นที่เขามีต่อพระองค์  และนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์

24* 1 ซามูเอล 16:7  25* กิจการ 1:17  26* โยชูวา 18:10, เลวีนิติ 16:8

ยอห์น 7 เทศกาลอยู่เพิงสุดท้าย

ก่อนเทศกาล…ไม่เชื่อ

ระหว่างเทศกาล โต้แย้ง

หลังเทศกาล แตกคอ

คำอธิบายเพิ่มเติม

คำแนะนำของน้องชายที่ไม่เชื่อ

1-5  ระหว่างบทที่ 6 กับ 7 นั้น ระยะเวลาห่างกันนานหลายเดือน  เพราะเรื่องในบทที่ 6 เกิดในช่วงเทศกาลปัสกา(เมษายน)แต่ในบทที่7 เป็นเทศกาลอยู่เพิง (กันยายนหรือ ตุลาคม)  และในช่วงนี้ พวกยิวก็คิดไว้แล้วว่าจะกำจัดพระองค์ให้ได้
คำว่า “งาน”  เออร์กอน .. 2041 การลงแรงทำงาน  อาชีพ การกระทำงาน หนัก ความสำเร็จในงาน รับจ้าง ออกแรง  น้องชายพระเยซูกำลังหมายถึงงานที่พระเยซูทรงทำอย่างมหัศจรรย์ ด้วยฤทธิ์เดช
 เทศกาลอยู่เพิง  เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนจะอยู่ในเพิงใบไม้เพื่อระลึกถึงความซื่อตรงของพระเจ้า ระหว่างที่อิสราเอลเดินทางในถิ่นกันดาร  และเป็นช่วงที่เขาขอบพระคุณสำหรับการเก็บเกี่ยวด้วย (เลวีนิติ 23:39-41
ชื่อของน้องชายร่วมมารดาของพระเยซูที่มัทธิวกล่าวถึง 13:55 คือ ยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาส
ยากอบกับยูดาส เป็นผู้ที่ต่อมาได้เชื่อและรับใช้อย่างซื่อสัตย์  เป็นผู้เขียนจดหมายฝาก ยากอบและยูดา พวกเขากลับใจเชื่อพระเยซูว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ หรือพระคริสต์ หลังจากที่เห็นพระองค์ทรงคืนชีพ กิจการ 1:14, 1 โครินธ์ 15:7
1 ยอห์น 5:18, 7:19,25, 8:37,40 คำว่ายิวในที่นี้ หมายถึงผู้ที่มีอำนาจทางศาสนา
2 เลวีนิติ 23:34, 42-43  3 มัทธิว 12:46 5 สดุดี 69:8, มาระโก 3:21

น้องกับพี่ อยู่คนละโลก

6-10  “เวลาของเรา” พระเยซูน่าจะหมายถึงการตรึงบนไม้กางเขน แต่น้อง ๆ ของพระองค์ไม่ได้เข้าใจตามนั้น คิดว่าเป็นเวลาที่จะต้องไปเทศกาล  ไปให้ใคร ๆ รู้จัก
โลกไม่อาจชังน้อง ๆ ของพระเยซูเพราะเป็นพวกเดียวกัน  เวลานั้นพวกเขายังไม่เชื่อวางใจพระองค์  คนที่ติดตามพระเยซูจริง ๆ จะรู้ว่า โลกไม่ชอบคนของพระองค์นั้น ความรู้สึกเป็นอย่างไร
ในภาษากรีก เป็นประโยคปัจจุบัน พระเยซูกำลังตรัสว่า ตอนนี้ เรายังไม่ไป .. และจะไม่ไปตามวิธีที่น้อง ๆ แนะนำด้วย  พระองค์ทรงมีวาระ ความมุ่งหมายของพระองค์ตามพระทัยพระบิดาอยู่แล้ว
น้องชายของพระเยซูชวนให้พระเยซูไปเปิดตัว แต่พระองค์กลับเดินทางไปเยรูซาเล็มเงียบ ๆ   ตามเวลาของพระองค์ 
6 ยอห์น 2:4, 8:20  7 ยอห์น 15:19, 3:19     8 ยอห์น8:20

ผู้คนต่างรอหาพระเยซู

11-13  ยิวที่ตามหาพระเยซูเป็นพวกที่ต้องการกำจัดพระองค์ น่าจะเป็นกลุ่มที่รุนแรงไม่น้อยเพราะประชาชนต่างซุบซิบถึงพระเยซู ไม่มีใครกล้าพูดเปิดเผยเลย  พวกยิว จงเกลียดจงชังพระเยซูจนเห็นได้ชัด 
11 ยอห์น 11:56   12 ยอห์น 9:16, 10:19, ลูกา7:16   13 ยอห์น 9:22, 12:42,19:38

ไม่ยอมรับ แต่ก็ยอมรับ

14-16  น่าจะใกล้เวลาของพระเยซูแล้ว เพราะระหว่างเทศกาลนั้นเอง พระเยซูก็ทรงเริ่มต้นสอนประชาชนในลานพระวิหารอย่างเปิดเผย   คำสอนของพระองค์นั้นพวกยิวเองยังยอมรับว่า อยู่ในระดับสูงมาก  เนื้อหา การสื่อและการอธิบายทำให้พวกเขาเองทึ่งไม่น้อย
พวกเขาไม่ต้องสงสัยนานว่า พระเยซูเรียนมาจากไหน ในเมื่อไม่ได้เข้าเรียนแบบพวกเขา  พระองค์ทรงตอบชัดเจน ว่าสิ่งที่พระองค์ตรัส มาจากพระบิดาโดยตรง  ในขณะที่พวกธรรมาจารย์ ฟาริสีทั้งหลาย เรียนรู้กันตามประเพณีสืบต่อกันมา  พระเยซูทรงเรียนจากพระบิดาเจ้า เหนือกว่าพวกเขาด้วยประการทั้งปวง
จริง ๆ แล้ว ศิษย์ของพระองค์ก็ไม่ได้ผ่านโรงเรียนแบบฟาริสี แต่พวกเขาได้เรียนจากพระเยซู  
14 มาระโก 6:34    15     มัทธิว13:54    16 ยอห์น 3:11,

17-18 พวกยิวคิดว่าตัวเองรู้จักพระเจ้าด้วยการเรียนพระคัมภีร์ จดจำและนำมาอภิปรายกัน
แต่การรู้จักพระเจ้าที่พระเยซูบอกนั้น คือ คนที่ตั้งใจทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าต่างหากที่รู้จักพระองค์จริง คนเหล่านั้นจะรู้ความจริง และจะเชื่อว่าพระเยซูสอนคำที่มาจากเบื้องบน ดู 6:44 ไม่มีใครมาหาพระเยซูได้นอกจากพระบิดาทรงส่งมาให้  6:29 งานของพระเจ้าคือให้เชื่อผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา
17 ยอห์น 3:21, 8:43  18 ยอห์น 5:41, 8:50, 2 โครินธ์ 5:21

ทรงชี้แจงให้ฟาริสีมองเห็นตัวเอง

19-24 ตอนนี้อาจเข้าใจยากนิดหนึ่งเพราะข้อความดูซับซ้อน เรื่องของเรื่องคือ ยิวเองไม่ได้รักษาบัญญัติของโมเสสจริงจัง เพราะเขาถือว่าเด็กอายุแปดวันก็ต้องให้สุหนัต ไม่ว่าวันนั้นจะไปตกอยู่วันสะบาโตหรือไม่ แต่พวกเขากับคาดคั้นไม่ยอมให้พระเยซูรักษาโรคในวันสะบาโต ดู ๆ ไป ก็น่าจะเป็นแค่ข้อแก้ตัว พวกเขาต้องการหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ 
19 เฉลยธรรมบัญญัติ 33:4, มัทธิว 12:14    20  ยอห์น 8:48,52    22  เลวีนิติ  12:3, ปฐมกาล 17:9-14,   23 ยอห์น  5:8,9,16   24 สุภาษิต 24:23

ความเห็นที่แตกต่าง ความรู้ที่ไม่ถูกต้องเรื่องพระผู้ช่วยให้รอดที่จะมา

25-27 ไป ๆ มา ๆ คนก็เริ่มสงสัยว่า จริง ๆ แล้วถึงแม้พวกยิวจะต่อต้านพระเยซูมากเพียงใด ลึก ๆ พวกเขาอาจจะเชื่อแล้วว่า พระองค์คือ พระคริสต์ หรือ พระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าทรงส่งมาจริง ๆ  นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดของผู้คนต่อเนื่องกันมาว่า พวกเขาจะไม่รู้ถิ่นกำเนิดของผู้ที่เป็นพระเมสสิยาห์  แต่ใน มีคาห์ 5:2 พระเจ้าตรัสก่อนหน้าแล้วว่า พระเมสสิยาห์จะเกิดที่เมืองเบธเลเฮม พวกเขาคิดกันว่าพระเยซูมาจากนาซาเร็ธก็ต้องเกิดที่นั่นด้วย … พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระองค์เลย 
25 มัทธิว 21:38, 26:4, ลูกา 22:2, ยอห์น 5:18, 8:37,40   26 ยอห์น 7:48,   27 มัทธิว 13:55, มาระโก 6:3, ลูกา 4:22

28 -31  ทุกอย่างที่พวกเขาพูดกัน พระเยซูทรงทราบหมด สิ่งที่ตรัสในตอนนี้ว่า พวกเขารู้จักพระองค์ น่าจะเป็นคำกระทบกระเทียบพวกเขามากกว่า    เรื่องนี้สำคัญมาก พระเยซูจึงตรัสด้วยเสียงอันดัง  ไม่ว่าใครจะคิดว่าพระองค์เป็นใครมาจากไหน ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า พระเจ้าที่ส่งพระองค์มานั้น ทรงเป็นจริง คนยิวคิดว่า พวกเขารู้จักพระเจ้าพระบิดา แต่ความจริงแล้ว พวกเขากลับต่อต้านพระองค์ และพระบุตรที่ทรงส่งมา 
ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาของพระเยซู ก็ไม่มีใครจะจับพระองค์ไปได้ หลายครั้งแล้วที่เป็นเช่นนี้  หลายคน เชื่อ…  ตอนนี้คนเริ่มแตกคอ มีความเห็นไม่เหมือนกัน  ปรากฏว่าจำนวนไม่น้อยที่หันมาเชื่อพระองค์ พวกเขาเห็นว่า  พระเมสสิยาห์ที่เขาคิดว่าจริงมา ก็ไม่มีทางจะทำการอัศจรรย์ได้มากกว่าพระเยซู
28 ยอห์น 8:14,5:43,โรม 3:4, ยอห์น 1:18, 8:55   29 มัทธิว 11:27, ยอห์น 8:55,17:25      30 มาระโก 11:18, มัทธิว 21:46, ยอห์น 7:32,44, 8:20, 10:39    31 มัทธิว 12:23

ความพยายามจับกุมพระเยซู

32-36   ความจริงแล้ว ฟาริสีกับปุโรหิตใหญ่ไม่ถูกคอกันมานานมาก  แต่ครั้งนี้พวกเขามีศัตรูคนเดียวกัน จึงส่งเจ้าหน้าที่ของพระวิหารออกไปเพื่อจะจับพระเยซู.   ที่ ๆ พวกเขาไปไม่ได้ก็คือ ที่ ๆ พระองค์จะเสด็จไปหาพระบิดาหลังจากที่พระองค์คืนชีพแล้ว
33 ยอห์น 13:33, มาระโก 16:19, ลูกา 24:51, กิจการ 1:9, ฮีบรู 9:24, 1 เปโตร 3:22      34 โฮเชยา 5:6, มัทธิว 5:20, 1 โครินธ์ 6:9, 15:50, วิวรณ์ 21:27     35  สดุดี 147:2, อิสยาห์ 11:12, 56:8, เศฟันยาห์ 3:10, ยากอบ 1:1,  1 เปโตร 1:1

คำเชิญที่ยิ่งใหญ่สำหรับทุกคน

37-39. เทศกาลอยู่เพิงครั้งนี้ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเป็นเทศกาลปัสกา ซึ่งเป็นเทศกาลที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  พระองค์ทรงอยู่ลานพระวิหาร และตรัสหลังจากที่มีการเทน้ำออกมาเพื่อระลึกถึงการที่พระเจ้าประทานน้ำให้ในถิ่นกันดาร ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่เน้นกันในเทศกาล 
พระเยซูทรงเรียกให้คนมาหาพระองค์และดื่ม  ทรงเรียกทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครที่กระหาย. พระองค์ทรงหมายความว่า ใครก็ตาม ขอให้มา และเชื่อพระองค์ พระองค์ทรงสัญญาจะให้เขามีน้ำแห่งชีวิตไหลออกมาจากใจ. ท่านยอห์นได้บันทึกไว้ให้เราเข้าใจว่า เมื่อพระเยซู สิ้นชีพและคืนชีพแล้ว  คนที่เชื่อจะได้รับพระวิญญาณของพระองค์อย่างแน่นอน 
37 เลวีนิติ 23:36, กันดารวิถี 29:35, เนหะมีย์ 8:18, อิสยาห์ 55:1   39 ยอห์น 12:16, 13:31, 17:5

ประชาชนฉงน ผู้นำศาสนาไม่ยอมรับ

40-44  มีคนที่แน่ใจในความจริงที่พระเยซูตรัส  เขาเชื่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ (พระเมสสิยาห์)แน่นอน ตรงนี้ทำให้เรารู้ว่าคนไม่น้อยไม่รู้สถานที่บังเกิดของพระเยซู พวกเขาคิดว่า พระองค์มาจากกาลิลีทางเหนือ  มีคนที่แน่ใจว่า พระเยซูคือพระเมสสิยาห์ หรือพระคริสต์ แต่ก็ยังมีคนไม่รู้และค้านแบบไม่รู้ไปดื้อ ๆ อย่างนั้น  เห็นได้ชัดว่า พระเยซูทรงทำให้คนต้องคิด ต้องชั่งน้ำหนัก ให้เหตุผล และทำให้คนแตกคอกันจากสิ่งที่พวกเขาเห็นตรงหน้า 
40 เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15,18   41 ยอห์น 4:42,6:69    42 สดุดี 132:11, เยเรมีย์ 23:5, มีคาห์  5:2, ,มัทธิว 2:5, ลูกา 2:4, 1 ซามูเอล 16:1,4    43 ยอห์น 7:12    44 ยอห์น7:30

45-49 การจับกุมพระเยซูไม่สำเร็จ  ที่เป็นเช่นนั้นเพราะยังไม่ถึงเวลาของพระองค์   ยามพระวิหารเองก็เห็นว่า พระเยซูตรัสไม่เหมือนใครเลย ทำให้ฟาริสีเองหงุดหงิดมากขึ้น  ภาพนี้เราเลยเห็นชัดเจนว่า เหล่าธรรมาจารย์และฟาริสีต่างมีความเย่อหยิ่ง ไม่ยอมรับความจริงที่พระเยซูตรัสเลย 
46 มัทธิว 13:54,56, ลูกา 4:22

คนที่เป็นฝ่ายพระเยซู

50-51 คราวนี้นิโคเดมัสออกตัวให้ใคร ๆ รู้ว่า เขาปกป้องพระเยซูอยู่  เขาเปิดเผยตัวแล้วว่า เขาเป็นฝ่ายพระองค์  เขาพยายามชี้แจงเหตุผลที่ถูกต้องตามธรรมเนียม แต่ไม่มีใครฟัง52  จากข้อนี้ เราเห็นเลยว่า ฟาริสี ก็ไม่ได้รู้จริงนัก เขาก็ไม่รู้ด้วยว่า จริงแล้ว พระเยซูทรงเกิดที่เบธเลเฮม เขาไม่รู้ว่าโยนาห์และนาฮูม มาจากกาลิลี  พวกเขาพูดอะไรก็ได้ที่คิดว่าจะทำให้ตนชนะ  น่าอายจริงที่เรื่องนี้ถูกบันทึกมานานเข้าปีที่สองพันกว่า
50 ยอห์น 3:1-2, 19:39  51 เฉลยธรรมบัญญัติ 1:16-17,19:15  52 อิสยาห์ 9:1-2, ,มัทธิว 4:15,