2 เปโตร 2 คำเตือนเรื่องครูสอนผิด

ครูสอนผิดกับหายนะ

แต่ยังมีผู้เผยพระคำเท็จอยู่ท่ามกลางผู้คน เหมือนกับที่มีครูสอนผิดท่ามกลางพวกท่านด้วย พวกเขาแอบนำคำสอนผิดที่สร้างความหายนะเข้ามา โดยถึงกับปฏิเสธองค์เจ้านายที่ทรงไถ่พวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขาย่อยยับอย่างรวดเร็ว
2 เปโตร 2:1

มัทธิว 24:5,24, 1 ทิโมธี 4:1-2

เปโตรเตือนให้ระวังคนสอนเท็จที่ใช้ประโยชน์จากพี่น้อง 1 ทิโมธี 4:1 เตือนแล้วว่า คนสอนเท็จเหล่านี้จะระบาดหนักในยุคสุดท้าย ครูสอนผิดมีอยู่ทุกยุค ตั้งแต่โบราณจนกระทั่งวันนี้ ศัตรูของพระเจ้าทำงานอย่างแข็งขันที่จะให้มีครูสอนผิดเหล่านี้ มาหลอกให้คนของพระเจ้าที่ไม่เอาใจใส่ติดตามพระดำรัสของพระองค์ให้ หลงไปจากความจริง คนพวกนี้แปลพระดำรัสของพระเจ้าตามใจตนเอง

มีคนมากมายจะติดตามหนทางหายนะของพวกเขา ทำให้เกิดการดูหมิ่นทางแห่งความจริงด้วยความโลภ พวกเขาจะหาประโยชน์จากท่านด้วยเรื่องที่กุขึ้นมา การกล่าวโทษพวกเขาก็มีมานานแล้ว และความพินาศของเขาไม่ได้หลับอยู่
2 เปโตร 2:2-3

โรม 2:24, ยูดา 1:10,15, 2 โครินธ์ 2:17, 1 เธสะโลนิกา 2:5 , 1 ทิโมธี 6:5

จากคำตอนนี้ของท่านเปาโล เราจะเห็นชัดว่า ในโลกโซเชียล มีการขายของที่หลอกลวงว่าจะทำให้ดูดี สวยงามถ้ากินอาหารที่เขาโฆษณา ในคริสตจักร ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรเลย หากคริสเตียนไม่ระวังตัว ก็จะมีความเห็นที่คล้อยตามคนที่เข้ามาหลอกลวง เช่นว่า พระเจ้าจะทรงทำให้เรารวยขึ้น ถ้าเราถวายทรัพย์เยอะ ๆ ทางของความจริงก็กลาย เป็นหลบอยู่ในพระคัมภีร์เท่านั้น ไม่มีใครอ่านพระคำต่อไป คอยแต่ฟังคนที่หลอกลวง

เพราะหากว่า พระเจ้ามิได้ทรงยกเว้นเหล่าทูตสวรรค์ที่ได้ทำบาป แต่ได้ทรงผลักพวกเขาลงนรก และล่ามโซ่ไว้ในความมืดมิดเพื่อรอวันพิพากษา
2 เปโตร 2:4

ยูดา 1:6, มัทธิว 25:41, วิวรณ์ 20:10

จากพระคำข้อนี้ เรารู้ว่า พระเจ้าทรงทำอย่างไรกับทูตสวรรค์ที่ทำบาปต่อพระองค์​ พวกที่กบฎต่อพระเจ้าพร้อม ๆ กับซาตาน พวกเขาไม่ได้มีโอกาสลอยนวล ดูเหมือนว่าทูตที่ทำบาป จะไม่มีโอกาสรอดได้เหมือนกับมนุษย์ เพราะพระเยซูได้ทรง ทรงมีทางที่จะช่วยให้มนุษย์พ้นการพิพากษาผ่านไม้กางเขนของพระเยซู แต่ถ้าใครไม่รับพระเยซูคริสต์อีก ทางรอด ก็ไม่เหลืออีกเลย (ฮีบรู 2:16, วิวรณ์ 20:10)

และพระองค์ก็มิได้ยกเว้นโลกโบราณตอนที่ทรงให้น้ำท่วมโลกของคนอธรรม แต่ทรงปกป้องโนอาห์ ผู้เทศนาเรื่องความเที่ยงธรรมรวมทั้งอีกเจ็ดคน
2 เปโตร 2:5

2 เปโตร 3:6, 1 เปโตร 3:19-20,

นอกจากทูตสวรรค์ถูกจำจองแล้ว ในโลกโบราณ พระเจ้าก็ไม่ได้ยกเว้นคนอธรรมด้วย“พระเจ้าทรงเห็นว่า ความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป” (ปฐมกาล 6:5) ดังนั้นพระองค์จึงทรงกวาดล้างผู้คนทั้งสิ้นให้หมดไปจากแผ่นดินหลายคนไม่ได้กลัวพระพิโรธของพระเจ้า เขาจึง จมอยู่ในความบาปต่อไปเรื่อย ๆ แม้มีโอกาสกลับตัวก็ทิ้งโอกาสนั้นไป

พระเจ้าทรงทำอย่างไรกับคนแต่ละประเภท?

แล้วพระองค์ทรงเผาเมืองโสโดม โกโมราห์ จนเป็นเถ้าถ่าน เพื่อใช้เป็นตัวอย่างถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคนอธรรม
2 เปโตร 2:6

ปฐมกาล 19:16, 28-29, ยูดา 1:7, ลูกา 17:28-30

โลท ซึ่งเป็นคนของพระเจ้า ได้เลือกเข้าไปอาศัยในเมืองที่ชั่วช้า และพระเจ้าทรงลงโทษทั้งสองเมืองนี้เพื่อเป็นตัวอย่างว่า พระองค์จะทรงลงโทษความชั่วร้ายอย่างไร ในปฐมกาล 18:20 เขียนว่า .. พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เสียงร้องกล่าวโทษเมืองโสโดมและโกโมราห์นั้น ดังเหลือเกิน บาปของพวกเขาก็หนักมาก” พระเจ้าทรงลงโทษ ทั้งทูตสวรรค์ที่ทำผิด คนอธรรมในโลกสมัยโนอาห์ และเมืองสองเมืองในสมัยของโลท เราสักคนจึงไม่ควรคิดว่าจะลอยนวลไปได้จากการพิพากษาโทษบาป

และทรงช่วยกู้โลทคนเที่ยงธรรมที่ต้องทุกข์หนักเพราะชีวิตโสโครกของคนชั่วช้า(เพราะในขณะที่เขาใช้ชีวิตเที่ยงธรรมทุกวัน ท่ามกลางคนพวกนั้น จิตใจของเขาจะทรมานนักจากการกระทำไร้คุณธรรมที่ได้เห็นและได้ยิน)
2 เปโตร 2:7-8

ปฐมกาล 19:16,29, 1 โครินธ์ 10:13, สดุดี 119:158, 136, เอเสเคียล 9:4

พระเจ้าทรงช่วยโลทให้พ้นจากเมืองโสโดมทันเวลา อ่านการช่วยเหลือของพระเจ้าจากปฐมกาล 19:12-29 พระองค์ทรงเอาเขาออกมาจากเมืองชั่วร้ายก่อนที่เขาเองจะกลายเป็นคนชั่วเหมือนชาวเมืองเหล่านั้น เพราะถึงแม้เขาจะเป็น คนของพระเจ้า แต่การอยู่ในเมืองแบบนั้น มันสุดจะทน และชีวิตก็พร้อมที่จะตกในความชั่วด้วย ในที่สุดถึงแม้โลทจะรอดมาอย่างหวุดหวิด แต่เขาสูญเสียทุกสิ่ง บ้านเรือน ภรรยา ออกมาตัวเปล่าพร้อมกับลูกสาวอีกสองคน

ดังนั้น พระเจ้าทรงทราบว่า จะช่วยคนเที่ยงธรรมให้พ้นจากการล่อล่วงอย่างไร และจะทรงกักขังคนอธรรมไว้เพื่อให้รับโทษในวันพิพากษา
2 เปโตร 2:9

1 โครินธ์ 10:13, สดุดี 34:15-`19, วิวรณ์ 3:10

จากตัวอย่างทั้งสองเรื่องที่ผ่านมา เราเห็นว่า พระเจ้าทรงลงโทษและทรงช่วย พระเจ้าทรงรู้ว่าจะช่วยให้เราพ้นจากการล่อลวงอย่างไร เมื่อเราเลือกให้พระองค์ทรงช่วย ทำได้โดยหันจากบาป สำนึกผิด และเข้ามาหาพระองค์ผู้ทรงพระคุณและเมตตา ให้เรารู้เสมอว่า พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย

ลักษณะของคนที่บิดเบือนพระคำ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ทำตัวเป็นมลทินไปตามกิเลสตัณหา
และยังเหยียดหยามผู้มีอำนาจปกครอง พวกเขากล้าบ้าบิ่น ไม่กลัวที่จะพูดสบประมาทเหล่าผู้ทรงอำนาจ……
2 เปโตร 2:10

ยูดา 1:4,7,8, อพยพ 22:28

รู้อะไรไหม? ครูสอนที่อ่านพระคัมภีร์จริง ๆ จะไม่มีอาการประเภทดูถูก ดูหมิ่นคนอื่น เขาจะใช้ความ สุภาพ อ่อนโยนตามแบบของพระเยซูคริสต์ ในการสอน ในการเทศนา แต่เหล่าครูสอนผิด มักจะอวดตัวว่าเก่ง สามารถไล่วิญญาณชั่ว และหาเงินจากการกระทำอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังสบประมาทใครอยู่ ท่านเปโตรกำลังเตือนคนเหล่านี้

ซึ่งแม้แต่ทูตสวรรค์ที่มีกำลังและฤทธิ์เดชมากกว่า ก็ยังไม่ใส่ร้ายสบประมาทพวกเขาต่อพระพักตร์พระเจ้า
2 เปโตร 2:11

ยูดา 1:9, 2 เธสะโลนิกา 1:7

ครูสอนผิดเหล่านี้ ทั้งเย่อหยิ่ง ยโส เกลียดชังอำนาจปกครองทุกชนิด เพวกเขาจะพูดใส่ร้าย ทุก ๆ อย่างในโลกฝ่ายวิญญาณอย่างไม่กลัวสิ่งใดทั้งสิ้น เราจะพบว่า มีบางคนที่บอกว่าตนเองมีความเชี่ยวชาญในด้านสงคราม การต่อสู้ฝ่ายวิญญาณ มาให้เขาช่วยได้แต่จริง ๆ แล้ว ทั้งหมดนี้มันเต็มดวยความเย่อหยิ่ง และอวดตัว ลองสังเกตกันดูด้วยตัวเอง จะเห็น ชัดเจนมาก ๆ ถึงแม้คริสเตียนมีสิทธิที่จะไล่ผีออกจากคนที่ถูกทรมานได้ แต่ในเรื่องการที่จะด่าว่า อำนาจเหล่านั้นไม่ใช่เป็นของมนุษย์

แต่คนเหล่านี้ เป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉานที่ทำตามสัญชาตญาณ มันเกิดมาเพื่อถูกจับและฆ่า พวกเขากล่าวคำดูหมิ่นสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ
ในที่สุดพวกเขาจะต้องถูกพบกับหายนะเหมือนสัตว์เหล่านั้น
2 เปโตร 2:12

ยูดา 1:10, เยเรมีย์ 12:3, สดุดี 92:6

คนเหล่านี้ คือเหล่าครูสอนเท็จทั้งหลายแตกต่างจากทูตสวรรค์ฝ่ายพระเจ้า เพราะคิดและทำโดยใช้ความอยาก ไม่ได้ใช้เหตุผลแบบที่ควรเป็น เขากล้าที่จะดูหมิ่นสิ่งที่พระเจ้า ทรงตั้งไว้ ไม่ว่าจะในโลกวิญญาณหรือโลกมนุษย์ ที่จริงแล้วในสังคมเราทุกวันนี้ เราเห็นคนที่กล้าท้าทายผู้มีอำนาจ โดยใช้วาจาสามหาวที่คิดว่า วาจา แบบนั้นจะช่วยให้เขามีชัย แปลกจริง ๆ เป็น อย่างนี้กันทั้งโลก

บาปของครูสอนผิด

และจะได้รับความทุกข์ยากสนองคืน เพราะการอธรรมของตน เพราะพวกเขาคิดว่า การมั่วสุมสุดเหวี่ยงในเวลากลางวันนั้น คือความบันเทิงเริงใจ พวกเขามีมลทิน ด่างพร้อย หาความสำราญกับการหลอกตัวเอง ในขณะที่กินเลี้ยงกับท่าน
2 เปโตร 2 :13

ฟีลิปปี 3:19, โรม 13:13, 1 โครินธ์ 11:20

การอธรรมของพวกเขาจะได้รับการตอบสนองอย่างสาสม มันเป็นค่าจ้างของบาป. คนเหล่านี้ทำลายคริสตจักรของพระเจ้า ไม่ใช่มีน้อยคน แต่มีมากจนน่าเป็นห่วง พวกเขาจะบอกใคร ๆ ว่าตนรักพระเจ้า แต่การกระทำไม่ได้ไปกับคำพูด พวกเขาทั้งหลอกตัวเองและหลอกคนอื่น

ดวงตาเต็มด้วยความกระหายทางกาม ไม่สามารถหยุดทำบาปชั่ว คอยดักจับคนที่ไม่มั่นคง ใจนั้นมีความชำนาญในความโลภ เป็นคนที่ถูกแช่งสาป
2 เปโตร 2:14

เอเฟซัส 2:3, 2 เปโตร 3:16, 2:3

พระคำข้อนี้ทำให้เรารู้ว่า การมองของครูสอนผิดที่ท่านเปโตรกล่าวถึงนั้น เป็นสายตามองสิ่งต่ำ สิ่งที่สกปรก ไม่อาจหยุดทำบาปเพราะตายังมองสิ่งเหล่านั้นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ หรือเรื่องผลประโยชน์ ความละโมภในตัว ที่เขาดักจับคนไม่มั่นคง เพราะคนเหล่านั้นจะกลายมาเป็นเครื่องมือในการทำลายคนอื่นต่อไปได้ ดังนั้น ภาพของข้อนี้ ชัดเจนว่า เราต้องมั่นคง หนักแน่น เข้าใจพระคำของพระเจ้า เป็นอย่างดี เพื่อจะไม่ตกเป็นเหยื่อของคนเหล่านี้

พวกเขาละทิ้งทางที่ถูกต้อง แล้วก็หลงไปตามทางของบาลาอัม ลูกชายเบโอร์ที่รักรายได้จากการทำชั่ว แต่เขาถูกตำหนิเพราะเขาทำผิด ลาที่พูดไม่ได้กลับพูดออกมาด้วยเสียงมนุษย์ เพื่อห้ามความวิกลจริตของเขา
2 เปโตร 2:15-16

กันดารวิถี 22:5-7, 21-33, ยูดา 1:11

บาลาอัม เป็นต้นแบบของคนที่รับจ้างทำลายคนดี ทำลายสิ่งดีของพระเจ้าที่มีอยู่ คนเหล่านี้มีอยู่มากมายในโลก มีในคริสตจักรด้วย (โยชูวา 13:22, กันดารวิถี 22-24) แต่พระเจ้าทรงใช้ลา ให้พูดเพื่อเตือนสติเขา! เรื่องนี้ต้องตามกลับไปอ่านแล้วจะเห็นว่า ถึงบาลาอัมจะดึงดันขนาดไหน แต่ถ้าพระเจ้าทรงจัดการ ทุกอย่างจะสำเร็จ ครูสอนผิดเองต้องรู้ว่าไม่มีวันที่เขาจะชนะพระองค์ได้

พวกเขาเป็นบ่อไร้น้ำ เป็นหมอกที่ถูกพายุพัดไป มีความดำมืดนิรันดร์ที่ถูกเตรียมไว้รอคอยพวกเขาอยู่ เพราะพวกเขาใช้การโอ้อวดที่โง่เขลา ใช้ความอยากทางเพศ ดักจับคนที่เพิ่งหนีมาจากพวกที่เดินทางผิด
2 เปโตร 2:17-18

เยเรมีย์ 14:3, ยูดา 1:12-16, 2 เปโตร 2:20, 1:4, วิวรณ์ 13:5-6

ท่านเปโตรกล่าวว่าคนเหล่านี้เป็นบ่อไร้น้ำ นั่นคือเป็นบ่อเปล่า ๆ ไม่มีน้ำที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้คน เป็นหมอกที่อยู่ให้เห็นประเดี๋ยวเดียวแล้วก็ไม่อยู่อีกต่อไป สิ่งที่เราเห็นจากพวกเขาคือ การโอ้อวดในเรื่องที่ตอบสนองความอยาก ของคนที่ฟัเป็นการใช้กิเลสตัณหามาล่อลวง บอกว่าพระเจ้าจะให้สิ่งดี ๆ ให้ความมั่งคั่งให้อะไร ๆ ที่ทูลขอตามใจทุกอย่าง เจอคนสอนแบบนี้ จงหนีให้ไกล!

พวกเขาสัญญาให้อิสรภาพ แต่ตัวเองกลับเป็นทาสความเสื่อมทราม เพราะสิ่งใดมีชัยเหนือใคร เขาก็ย่อมเป็นทาสของสิ่งนั้น
2 เปโตร 2:19

ยอห์น 8:34, โรม 6:16-22, กาลาเทีย 5:13

พวกเขาสัญญาว่าทุกคนที่ตามเขาจะมีเสรีภาพซึ่งเป็นสถานะที่คนสมัยใหม่อยากได้ และเรียกร้อง คนที่สัญญาเช่นนี้ ตัวเองยังเป็นทาสของความอยากส่วนตนอยู่อย่างชัดเจน พวกเขาต้องการเงินทอง ต้องการแฟนคลับ ต้องการคนติดตามมาก ๆ เพราะนั่นหมายถึง ประโยชน์ส่วนตน ครูสอนผิด นักเทศน์สอนผิด เหล่านี้ยังเป็นทาสความคดโกงอย่างเห็นได้ชัด อีกอย่างของคนเหล่านี้คือ มักให้ร้ายคนอื่น และยกตัวเองว่าดีกว่าใคร

อันตรายของการกลับไปทางเดิม

ถ้าหลังจากที่เขาได้หนีจากมลทินของโลกด้วยการรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์ แล้วยังกลับไปเกี่ยวข้องและแพ้มันอีก สุดท้าย ชีวิตของเขาจะเลวร้ายยิ่งกว่าเริ่มต้น
2 เปโตร 2:20

มัทธิว 12:45, ฮีบรู 10:26-27, 6:4-8, ฟีลิปปี 3:19

สภาพนี้ เป็นสภาพที่น่าเศร้าใจมาก ไม่ต่างอะไรกับคนที่เข้าไปฟื้นฟูบำบัดอาการเสพติด แล้วในที่สุดก็กลับไปติดยาอีกครั้ง และไม่สามารถออกมาได้อีกเลย ท่านเปโตรบอกไว้ล่วงหน้าให้รู้ว่า ใครก็ตามที่ได้พบพระเจ้าแล้ว และตัดสินใจหันหลัง กลับไปอยู่ในชีวิตเดิมๆ สุดท้ายแล้ว ชีวิตนั้นจะจมดิ่งลงไปในความบาปโดยถอนตัวไม่ขึ้น

หากว่าพวกเขาไม่รู้ทางแห่งความเที่ยงธรรม ก็จะดีกว่าที่รู้ทางแล้วยังกลับหันหลังให้บัญญัติบริสุทธิ์ที่เขาเคยยอมรับ
2 เปโตร 2:21

ลูกา 12:47, ยากอบ 4:17, เอเสเคียล 18:24

การที่เรามารู้จักพระเจ้าแล้ว เราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เรารู้ การหันกลับไปสู่มลทินของโลกนั้นน่าเสียดายมาก ๆ ไม่รู้เลยก็ดีกว่า ยุคนี้มีคน ไม่น้อยที่หันกลับจากทางของพระเจ้าไปในทางที่เขาเลือกเอง ส่วนใหญ่เป็นเพราะมาแตะทางของพระเจ้าแล้ว ไม่ถูกใจ ไม่เข้าใจ ไม่ตามหา ไม่เรียนรู้ ไม่สัมผัสพระเจ้าจริงดังนั้นจึงตัดสินใจใช้ชีวิตของตนเองตามทางที่ตนพอใจ

สิ่งนี้เกิดขึ้นตามสุภาษิตที่ว่า
“สุนัขกลับไปกินสิ่งที่มันสำรอกออกมา” และ “สุกรที่อาบน้ำแล้วก็จะกลับไปจมปลักอีก”
2 เปโตร 2:22

สุภาษิต 26:11

คนที่มีสิ่งดี ครอบครัวดี งานดี โรงเรียนดี แล้วยังตกไปอยู่ในสภาพเลวร้ายเพราะการตัดสินใจผิดนั้นน่าเสียดายมาก หากใครคนหนึ่งมีชีวิตที่ตามใจตนเอง ไม่สนใจสิ่งดี ๆ แต่หลงไปตามความรู้สึกพอใจทั้งที่มันส่งผลเสียกับตนเองและครอบครัวก็เหมือนสุภาษิตนี้เลย

กิจการ 2 อธิบายเพิ่มเติม และพระคำอ้างอิง

คำนำ

กิจการบทที่ 2 นี้ได้บันทึกเหตุการณ์สำคัญมากคือ การเริ่มต้นของคริสตจักรด้วยคนจำนวน 120 คน รวมอีก 3000 คนในวันเดียว!  เมื่อเราอ่านกิจการบทนี้ ช่วงที่จะสับสนนิด ๆ คือ ช่วงที่ท่านเปโตร
เทศนา อธิบายคำพยากรณ์ของท่านโยเอล และพลิกกลับไปถึงข้อเขียนสดุดีของกษัตริย์ดาวิด เหตุการณ์ทั้งบทแบ่งเป็น
-พระวิญญาณเสด็จลงมาเหนือผู้เชื่อที่รวมใจกันอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง
-พวกเขาชาวกาลิลี พูดสรรเสริญพระเจ้าเป็นภาษาต่าง ๆ ที่เข้าใจได้
-ผู้คนที่มาจากพื้นที่ห่างไกลเยรูซาเล็ม รู้ว่าพวกเขาพูดอะไรต่างแปลกใจ

-ท่านเปโตรอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นโดยอ้างถึงคำพยากรณ์ของท่านโยเอล
-จากนั้นกล่าวถึงสิ่งที่กษัตริย์ดาวิดได้เขียนไว้ถึงหนึ่งในลูกหลานของท่าน
ซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาว่าจะให้เป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่
-ท่านเปโตรยืนยันว่าพระเยซูทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าและพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอด
คนที่ฟังพากันกลับใจ 3000 คน

ชีวิตประจำวันของคนในคริสตจักรยุคแรก คืออัครทูตยังคงทำสิ่งมหัศจรรย์ รักษาคนป่วย
มีการพบกันในพระวิหาร พบกันในบ้าน ฟังคำสอน หักขนมปังระลึกถึงพระเยซู อธิษฐานด้วยกัน
ส่วนในชีวิตประจำวันก็คือใช้ชีวิตด้วยกัน แบ่งปันสิ่งที่มี เป็นสังคมที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย ในชีวิตประจำวันของคนยิว

พระวิญญาณเสด็จมาตามพระสัญญา

กิจการ 2:1-3
เทศกาลเพนเตคอสต์ เป็นเทศกาลที่ดึงดูดยิวจากพื้นที่ห่างไกล เทศกาลอื่น ๆ อยู่ในช่วงเวลาที่มีพายุ การเดินทางลำบาก เทศกาลนี้ฉลองกันในวันที่ห้าสิบหลังจากเทศกาลปัสกา วันที่ 16 เดือนนิสาน (ซึ่งเป็นเทศกาลที่พระเยซูสิ้นพระชนม์พอดี) เป็นการระลึกถึงการที่พระเจ้าประทานบัญญัติให้จากภูเขาซีนายและเป็นการถวายผลแรกแด่พระเจ้า ถ้าจะนับจากวันที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ พวกเขารอมาสิบวันพอดี
เมื่อพวกศิษย์มารวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พระสัญญาที่พระเยซูตรัสไว้ก็เกิดขึ้น มีเสียงพายุสนั่นจากฟ้า เสียงดังสนั่นได้บอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาด้วยฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่ ดังก้องไปทั้งบ้านที่เขารวมกันอยู่ คำว่าวิญญาณ เป็นคำเดียวกับ ลม ลมหายใจ นี่เป็นเสียงของพระวิญญาณที่กำลังเทลงมายังศิษย์ทั้งหลาย ไม่ใช่เป็นลมที่พัดแรง แต่เป็นเสียงเหมือนพายุ

การเทลงมาของพระวิญญาณครั้งนี้ …มีคนเป็นพยานต้นเรื่องถึง 120 คน และไม่ใช่แค่เสียงพายุกล้าเท่านั้น แต่พวกเขายังเห็นเปลวไฟเล็ก ๆ เหนือทุกคน ไฟ เป็นสัญลักษณ์ของการสถิตของพระเจ้า ( ปฐมกาล 15:17, อพยพ 3:2-6, ลูกา 3:16) แต่ครั้งนี้เป็นไฟที่ประหลาด แบ่งให้กับทุกคน มัทธิว 3:11 ยอห์นผู้ให้บัพติศมาบอกว่า พระเยซูจะบัพติศมาท่านด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยไฟ…
พวกเขาได้ยิน ได้สัมผัสด้วยตา และได้กล่าวออกมาด้วยปากของพวกเขา

นี่เป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ อิสราเอลไม่เคยมีอย่างนี้มาก่อน สิบวันหลังจากที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์พระองค์ก็ได้ส่งพระวิญญาณผู้ทรงเต็มด้วยฤทธิ์เดชลงมายังคนของพระองค์ คนทั้งหลายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีเป้าหมายเดียวกัน พระเจ้าองค์เดียวกัน คริสตจักรที่พระเจ้าทรงประสงค์ได้เกิดขึ้นแล้ว ตรงตามพระสัญญาของพระเยซูในมัทธิว 16:18 ที่ว่าพระองค์จะทรงสร้างคริสตจักร และประตูแห่งความตายจะเอาชนะคริสตจักรไม่ได้ และอีกครั้งใน ยอห์น 14:26 พระบิดาจะทรงส่งพระวิญญาณมาในนามของพระองค์เพื่อสอนทุกสิ่งให้ เราจะเห็นจากเหตุการณ์นี้ว่า การบัพติศมาด้วยพระวิญญาณนั้น นำให้ผู้เชื่อได้กลายเป็นพระวิหารแห่งพระวิญญาณ ที่ต้องเติมด้วยพระวิญญาณเสมอ
1** เลวีนิติ 23:15, กิจการ 1:14, โรม 15:6,
2** กิจการ 4:31, ยอห์น 3:8,
3** มัทธิว 3:11,

กิจการ 2:4-8
พอพระวิญญาณทรงเติมเต็มพวกเขา พระองค์ทรงบันดาลให้เขาพูดเป็นภาษาต่าง ๆ ตามท้องถิ่นของคนที่เข้ามาเยี่ยมกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้น ซึ่งน่าจะไม่ต่ำกว่ายี่สิบภาษา ทั้งชายหญิงที่อยู่ในห้องน้ันต่างพูดภาษาท้องถิ่นแตกต่างกันไป ทำให้เรารู้ว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะให้ทั้งชายหญิงเป็นผู้กล่าวพระคำ และทรงเปิดโลกของทุกคนที่เข้ามาให้รู้ว่า พระองค์พอพระทัยให้ชนทุกชาติได้ยินข่าวประเสริฐของพระองค์ ไม่มีอุปสรรคของชาวยิว ชาวต่างชาติตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

คนยิวที่ได้ยินภาษาท้องถิ่นของเขา เป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้า มาจากพื้นที่แถบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งพวกเขามักจะเดินทางเข้ามากรุงเยรูซาเล็มในช่วงเวลาเทศกาล และเทศกาลเพนเตคอสต์ ก็เป็นช่วงเวลาของปีที่เดินทางสะดวกที่สุด อากาศจะดีไม่มีอุปสรรคมากเหมือนช่วงอื่น ๆ ของปี พอได้ยินคำกล่าวยกย่องถึงราชกิจอัศจรรย์ของพระเจ้าเป็นภาษาตนดังนั้น
ก็เลยมาชุมนุมกัน ต่างได้ฟังเรื่องราวในภาษาของตน พวกเขาตั้งคำถามแรกเพราะประหลาดใจมากว่า คนกาลิลีมาพูดภาษาถิ่นของพวกเขาได้อย่างไร พวกเขาตื่นตะลึง ประหลาดใจ พิศวง
4** กิจการ 1:5, มาระโก 16:17, กิจการ 10:46, 19:6, 13:52, 1 โครินธ์ 12:10,28, 30, 13:1
5** ลูกา 2:25, กิจการ 8:2, 10:7, 13:50 
6** กิจการ 4:32, 3:1
7** กิจการ 1:11, 2:12, 14:11-12, มัทธิว 26:73. 8** –

กิจการ 2: 9-13
ตอนที่พระวิญญาณทรงลงมาเหนืออัครทูตและพี่น้องผู้เชื่อในวันเพนเตคอสต์นั้น คนที่ได้ยินพวกเขาพูดภาษาของตนต่างถามกันเป็นคำถามที่สองว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร?”
เมื่อเราย้อนไปที่กิจการ 1:4-8 ซึ่งเป็นคำบัญชาของพระเยซูให้พวกเขารอตามพระสัญญาของพระบิดา พระองค์ตรัสว่า อีกไม่กี่วัน พวกเขาจะได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณ เพื่อจะได้ออกไปเป็นพยานฝ่ายพระเยซู ตั้งแต่ในเมืองหลวง ในสะมาเรีย จนสุดปลายแผ่นดิน
จริง ๆ แล้ว นี่เป็นรูปแบบเดียวกันกับก่อนที่พระเยซูจะทำราชกิจของพระองค์ พระวิญญาณทรงลงมาเหนือพระองค์ ในครั้งที่ทรงรับบัพติศมาจากยอห์น ดังนั้น ศิษย์ของพระเยซูจะทำการของพระองค์โดยขึ้นอยู่กับพระวิญญาณเช่นกัน
“เพนเตคอสต์ มีความหมายว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมคริสตจักรของพระองค์ให้พร้อมด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณเพื่อว่าพระเจ้าจะทรงได้รับพระเกียรติสิริท่ามกลางชาติต่าง ๆ ในโลกนี้ ” อ่านเพิ่มเติม ฮาบากุก 2:14
ชาวยิวที่มาจากพื้นที่ต่าง ๆ นั้นได้ยินภาษาท้องถิ่นของเขาจากปากชาวกาลิลีที่ไม่เคยพูดภาษาของพวกเขามาก่อน คำที่พูดคือ พวกเขากล่าวถึงงานอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า จะไม่ให้พวกเขาตกใจ ประหลาดใจ งุนงงได้อย่างไร
ในวันนี้เอง เป็นวันเริ่มต้นของการประกาศพระสิริของพระเจ้าไปตามชาติต่าง ๆ จนสุดปลายโลก โดยพระเจ้าทรงเริ่มให้ด้วยพระวิญญาณของพระองค์เอง
9** 1 เปโตร 1:1, กิจการ 18:2, 16:6, วิวรณ์ 1:11 10** กิจการ16:6,
11** ฮีบรู 2:4, อพยพ 15:11. 12** กิจการ 17:20,

คำเทศนาแรกของท่านเปโตร

กิจการ 2:14-16
คำเทศนาของท่านเปโตรในวันเพนเตคอสต์.
เมื่อท่านเปโตรยืนกล่าวคำปกป้องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น. ท่านยืนขึ้นพร้อมกับอัครทูตอีก 11 ท่าน
ไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว และทุกคนที่กำลังพูดภาษาต่าง ๆ ก็หยุดพูด ทุกคนกลายเป็นฟังท่านเปโตรที่กำลังพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง เป็นคำกล่าวที่ไม่ได้เตรียมมาก่อน แต่เป็นช่วงเวลาที่พระวิญญาณทรงทำการในท่านเปโตร นี่เป็นคำเทศนาแรกต่อผู้คนจำนวนมากที่กำลังจะเชื่อ และเกิดเป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ในวันนั้น
การเกิดขึ้นของคริสตจักรครั้งนี้ มีพลังเหลือล้นจากพระเจ้า เหมือนระเบิดที่รุนแรง และคำเทศนาครั้งแรกนั้นก็ขยายเลื่องลือออกไปทั่วดินแดน กลายเป็นการประกาศที่นำออกไปโดยผู้คนจากที่ต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงในชีวิตคนที่เกิดขึ้นทำให้รู้ว่านี่เป็นการทำงานของพระเจ้า
ท่านบอกตรงๆ ว่านี่เก้าโมงเช้าเอง ใครจะไปดื่มเหล้ากัน ส่วนใหญ่แล้วคนยิวที่เคร่งครัดจะไม่กินหรือดื่มจนกว่าบ่ายสามหลังจากที่พวกเขาอธิษฐานกันเสร็จแล้ว
แล้วท่านเปโตรก็กล่าวถึงคำพยากรณ์นานกว่า 700 ปีที่ท่านโยเอลได้กล่าวไว้ นี่แสดงว่าท่านเข้าใจคำพยากรณ์นั้นเป็นอย่างดี …
14. อิสยาห์ 58:1, 15** 1 เธสะโลนิกา 5:7, 1 ซามูเอล 1:15. 16** โจเอล 2:28-32

กิจการ 2:17-18
เปโตรอธิบายเหตุการณ์ประหลาดของวันเพนเตคอสต์ให้ทุกคนได้เข้าใจ
สิ่งที่เกิดขึ้น ที่ทุกคนเห็นนั้น พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าผ่านผู้เผยพระคำโจเอลมาก่อนแล้ว
ยุคสุดท้ายคือ ช่วงเวลาระหว่างพระเยซูเสด็จมาบังเกิดในโลกจนถึงวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาอีกที
พระเจ้าจะทรงเทพระวิญญาณมาเหนือคนของพระองค์
โดยไม่จำกัดอายุ เพศ ชนชั้น และจะส่งต่อไปยังทุกชนชาติด้วยไม่เว้นใครเลย พระเยซูคริสต์ทรงทำลายกำแพงที่กั้นระหว่างคนยิวกับคนต่างชาติเรียบร้อย
แต่น่าเสียดาย ยังมียิวที่ไม่ยอมรับเรื่องนี้ คิดว่าพวกเขาเท่านั้นที่พระเจ้าทรงเลือก เปโตรอธิบายเหตุการณ์ประหลาดของวันเพนเตคอสต์ให้ทุกคนได้เข้าใจ
สิ่งที่เกิดขึ้น ที่ทุกคนเห็นนั้น พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าผ่านผู้เผยพระคำโยเอลมาก่อนแล้ว
ยุคสุดท้ายคือ ช่วงเวลาระหว่างพระเยซูเสด็จมาบังเกิดในโลกจนถึงวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาอีกที
พระเจ้าจะทรงเทพระวิญญาณมาเหนือคนของพระองค์
โดยไม่จำกัดอายุ เพศ ชนชั้น และจะส่งต่อไปยังทุกชนชาติด้วยไม่เว้นใครเลย พระเยซูคริสต์ทรงทำลายกำแพงที่กั้นระหว่างคนยิวกับคนต่างชาติเรียบร้อย
แต่น่าเสียดาย ยังมียิวที่ไม่ยอมรับเรื่องนี้ ยังมียิวที่คิดว่า พวกเขาเท่านั้นที่พระเจ้าทรงเลือก
17** อิสยาห์ 44:3, เอเสเคียล 11:9, เศคาริยาห์ 12:10, ยอห์น 7:38, กิจการ 10:45, กิจการ 21:9
18** กิจการ 21:4,9, 1 โครินธ์ 12:10

กิจการ 2:19-21
สิ่งที่พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้า ได้สำเร็จไปส่วนหนึ่งแล้วคือการที่พระเจ้าเทพระวิญญาณลงมา
แต่ยังมีคำพยากรณ์อีกที่ยังไม่สำเร็จ คือกล่าวถึงวันที่พระเจ้าจะเสด็จมา
เป็นวันที่จะเห็นหมายสำคัญเกิดขึ้นในธรรมชาติ ในท้องฟ้า ทุกดวงตาจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
และมีการเชิญชวนให้ใครก็ตามที่ร้องออกพระนามของพระเจ้าจะรับการช่วยให้รอด ไม่ได้จำกัดแค่คนยิวอีกต่อไป
19** โยเอล 2:30-31, มาลาคี 4:1-6, เศฟันยาห์ 1:14-18
20** อิสยาห์ 13:10, เอเสเคียล 32:7, มัทธิว 24:29, มาระโก 13:24,25, ลูกา 21:25
21** โรม 10:12-13, สดุดี 86:5, ฮีบรู 4:16

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระเยซูโดยตรง

กิจการ 2:22-24
เมื่อกล่าวถึงคำพยากรณ์แล้ว ท่านเปโตรหันมากล่าวถึงพระเยซู
เรื่องนี้สำคัญ เพราะขณะที่ท่านเปโตรและผู้เชื่อยืนยันว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ หรือพระผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมเพื่อนำความรอดบาปมาให้โลกนี้ ยิวส่วนใหญ่ไม่เชื่อ พวกเขาคิดว่าเขาต้องรอต่อไปความเห็นของพวกเขาคือ “ท่านเยซูผู้นี้ไม่ใช่พระเมสสิยาห์” พระเมสสิยาห์จะต้องเป็นนักรบนำพาให้พวกเขาพ้นจากอำนาจการปกครองของคนต่างชาติต่างหาก

คำเทศนาต่อไปตอนนี้ ท่านเปโตร พิสูจน์ให้คนยิวรู้ว่า คนที่พวกเขาตรึงบนไม้กางเขนนั้น เป็นพระเมสสิยาห์จริง ๆเพราะในสามปีที่ผ่านมา พวกเขาได้เห็นการอัศจรรย์ สิ่งที่น่าพิศวง และหมายสำคัญที่พระเยซูทรงกระทำ ผู้ที่ฟังท่านเปโตรอยู่นั้น ก็ได้เห็นเป็นพยานอยู่แล้ว …

ท่านเปโตรยืนยันว่า พระเยซูถูกมอบไว้ให้กับพวกเขาตามที่พระเจ้าทรงวางแผนล่วงหน้า ไม่ใช่เพราะพระเยซูอ่อนแอ พ่ายแพ้คนชั่ว แต่เพราะพระเจ้าทรงกำหนดให้เป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงยอมให้ชาวโรมเป็นผู้ตรึงพระองค์ตามความต้องการของเหล่าผู้นำยิวทั้งหลาย
แต่แล้วพระเจ้าก็ทรงทำตามแผนของพระองค์ต่อไป โดยการให้พระเยซูคืนชีพขึ้นมา ที่พระเยซูคืนชีพเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และทรงมีอำนาจเหนือความตาย

22** ยอห์น 3:2, 5:6, 14:10-11, อิสยาห์ 50:5,กิจการ 10:38
23** มัทธิว 26:4, ลูกา 22:22, กิจการ 3:18, 4:28, 1 เปโตร 1:20, กิจการ 5:30,
24** โรม 8:11, 1 โครินธ์ 6:14, 2 โครินธ์ 4:14, เอเฟซัส 1:20, โคโลสี 2:12, 1 เธสะโลนิกา 1:10, ฮีบรู 13:20

กิจการ 2:25-32
พระคำช่วงนี้ ข้อ 25 -32 นี้ เมื่ออ่านครั้งแรกอาจจะเข้าใจยากสักนิด เพราะท่านเปโตรเองก็
กล่าวย้อนไปมา สรุปว่า กษัตริย์ดาวิด เขียนสดุดี 16:8-11 โดยกล่าวถึงผู้หนึ่งที่อยู่ข้างขวามือ ทำให้ท่านไม่กลัว ใจก็ยินดี ลิ้นก็สรรเสริญ มีความหวังใจ เพราะ พระเจ้าจะไม่ทิ้งให้อยู่ในแดนตาย ไม่ต้องเปื่อยเน่า จะคืนชีพขึ้นมา ผู้นั้นกษัตริย์ดาวิดเรียกว่า “องค์บริสุทธิ์” ซึ่งเป็นหนึ่งในวงศ์วานของท่านเป็นลูกหลานของท่านที่ยิ่งใหญ่กว่าท่านมากมายนัก
ดาวิดเองไม่ได้เห็นว่า องค์บริสุทธิ์เป็นใคร แต่คำของท่านเป็นคำพยากรณ์ล่วงหน้ากว่าพันปี!

25** สดุดี 16:8-11, 62:6, 109:31, อิสยาห์ 41:13. 26** สดุดี 16:9, 71:23, 30:11.     27** กิจการ 13:30-37, วิวรณ์ 1:18,    28** สดุดี 16:11, 21:6.   29** กิจการ 13:36.   30** สดุดี 132:11, 89:3-4, เยเรมีย์ 33:14-15   31** สดุดี 16:10, กิจการ  13:15 32** กิจการ 2:24, กิจการ 1:8, 3:15

กิจการ 2:33-36
พระเยซูผู้ที่คืนชีพมานั้น ตอนนี้ ได้ไปอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าบนสวรรค์แล้ว
และพระองค์เคยสัญญาจะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์
พระองค์ก็ทรงทำให้เห็นต่อหน้าต่อตาในวันนี้
เปโตรย้ำอีกชัดเจนว่า พระเจ้าทรงตั้งให้พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเมสสิยาห์
(คือเป็นทั้งเจ้านาย และพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์)
33** กิจการ 5:31, ฮีบรู 10:12, ยอห์น 14:26, กิจการ 2:1-11,17 , 10:45. 34** สดุดี 68:18, 110:1, มัทธิว 22:42-45 35** โรม 16:20 36** โรม 14:8-12, 2 โครินธ์ 5:10

คำเชิญให้เชื่อพระเยซู

กิจการ 2:37-41
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำการในจิตใจของผู้คนที่ยืนตรงนั้น (ยอห์น 16:8-11) พวกเขารู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจมาก ๆ พร้อม ๆ กัน เหตุคือพวกเขาปฏิเสธพระเยซู!
เมื่อได้ยินเรื่องการสิ้นชีพ คืนชีพ พระวิญญาณทรงช่วยให้เขาสำนึกถึงบาปในชีวิต
และทรงช่วยให้พวกเขาไม่ต่อต้านอีกต่อไป แต่ยอมรับความจริงที่ได้ยินจากท่านเปโตร และพวกเขาอยากรู้ว่าต้องทำอย่างไร ในเมื่อได้ยินเรื่องเหล่านี้แล้ว
เปโตรบอกทันทีให้พวกเขาเปลี่ยนความคิด ให้เขากลับใจ ซึ่งหมายความว่า ให้เปลี่ยนการดำเนินชีวิตแบบเดิมที่เป็นชีวิตบาป หันหลังให้ทางนั้น หันมาหาพระเจ้า วางใจในพระเยซู และการหันจากบาปนั้นจะทำได้สำเร็จเพราะพระเจ้าทรงช่วยเราและอย่างที่สองท่านให้พวกเขารับบัพติศมา เพื่อสื่อให้ผู้อื่นรู้ว่า ตนตัดสินใจแล้วว่าจะเดินทางของพระเจ้า จะเชื่อวางใจพระเยซู
จากนั้นพวกเขาจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระเจ้า
ท่านเปโตรย้ำว่า พระเจ้าทรงเรียกทั้งพวกเขา และลูกหลานของพวกเขาที่กำลังจะเกิดมาด้วย รวมไปถึงชนชาติต่าง ๆ ที่พระเจ้าจะทรงเรียกไม่ว่าจะเป็นใครอยู่ในศาสนาอะไร
ท่านเองเตือนพวกเขาให้ช่วยตนเองให้พ้นจากความหลงผิดของคนที่ได้ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขน
และในหมู่คนเหล่านั้น มีคนที่ยอมรับคำของเปโตร และรับเชื่อ 3000คนในวันเดียว!
นี่คือวันที่คริสตจักรเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
37** ลูกา 3:10,  กิจการ 22:10 38** ลูกา 24:47, กิจการ22:16, 10:48 39** โยเอล 2:28,32, เอเฟซัส 2:13, 4:4, โรม 8:30. 40**  ฟีลิปปี 2:15, ฉธบ. 32:5. 41** กิจการ 4:4, 13:48, 16:31-34

ชีวิตของคริสตจักรแรก

กิจการ 2:42-43
ผู้เชื่อจากคน 120 คน กลายเป็น 3120 คนในวันเดียว เชื่อแล้วอยู่เฉยหรือ? เปล่าเลย
อัครทูตช่วยสอนพวกเขา มีการพบปะกันเพื่อคุยกันเรื่องของชีวิตใหม่
มีการหักขนมปังคือ การระลึกถึงพระเยซูคริสต์ มีการอธิษฐานเผื่อกันและกัน
ส่วนอัครทูตยังทำการอัศจรรย์ หมายสำคัญต่าง ๆ เพื่อช่วยคนป่วย คนมีปัญหาชีวิต
ความยำเกรงพระเจ้าอยู่ในบรรยากาศนั้น การอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขารู้ว่า
พระเยซูที่ทรงทำการอัศจรรย์และหมายสำคัญนั้น ยังคงทำการของพระองค์ไม่หยุดยั้ง
ผ่านผู้ที่เชื่อในพระองค์​
42** กิจการ 1:14, ฮีบรู 10:25, 1 ยอห์น 1:3
43** กิจการ 2:22, 9:40, 5:15-16

กิจการ 2:44-45
บัดนี้พวกเขามีพระวิญญาณอยู่ในชีวิต เป็นพระคริสต์ที่ทรงคืนชีพอยู่ในพวกเขา
จึงเกิดความแตกต่างอย่างชัดเจน ทุกคนมีหัวใจคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง อยู่กันเป็นชุมชน ตอนนี้พวกเขายังอยู่ในเยรูซาเล็ม
ความรักในหมู่พี่น้องเกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากการบังคับ แต่มาจากความเข้าใจในความรักของพระเยซู เกิดจากหัวใจที่เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
ผู้เขียนได้บันทึกการมีน้ำใจที่เสียสละอย่างที่พวกเขาไม่เคยเป็นมาก่อน
คนที่เคยตระหนี่ถี่เหนียวก็เปลี่ยนแปลงไป เป็นการเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนสังคม
เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นอย่างนี้ไปได้
44** กิจการ 4:32,34,37, 5:2. 45**  อิสยาห์ 58:7, 1 ยอห์น 3:17, 1 ทิโมธี 6:18-19

กิจการ 2:46-47
พวกเขากลายเป็นกลุ่มชนที่คนอื่นต้องจับตามอง การไปประชุมที่พระวิหารก็ง่ายสำหรับ
ให้พวกเขารวมตัวกันมากฟังพระคำไปพร้อม ๆ กัน การรวมตัวในบ้านก็ช่วยให้มีโอกาส
ถามสิ่งที่สงสัย ช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ได้มีการอธิษฐานเผื่อกันอย่างใกล้ชิด
พวกเขาได้สรรเสริญพระเจ้าและเป็นที่ชื่นใจของคนอื่น ๆ ด้วย แถมยังมีคนเข้ามาเชื่อ
ทุก ๆ วันอีก … อย่างนี้พวกฟาริสีจะว่าอย่างไร? รัฐบาลโรมจะทนไหม?
46**  กิจการ 1:14, ลูกา 24:30,53, 2:42, 20:7, 1 โครินธ์ 10:16
47**. กิจการ 5:14, 16:5, 1 โครินธ์ 1:18

2 เปโตร 1 เริ่มต้นที่ความเชื่อ

หนุนใจให้รู้ว่าพระเจ้าทรงทำอะไรเพื่อเรา

จากซีโมน เปโตร ทาสรับใช้และอัครทูตของพระเยซูคริสต์
ถึงพี่น้องที่ได้รับความเชื่ออันมีค่าเช่นเดียวกับเราผ่านทางความชอบธรรมของพระเจ้าและ พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา
2 เปโตร 1:1

โรม 1:1, 12, 3:21, กิจการ 15:14,

ท่านเปโตรกำลังกล่าวถึงตนเองว่าเป็นทั้งทาสผู้รับใช้ของพระเจ้าเหมือนอย่างพี่น้อง และก็ยังอยู่ในฐานะอัครทูต คือผู้ที่พระเจ้า ทรงส่งออกไปประกาศพระนามด้วยความเชื่อที่มีอยู่นั้นทรงคุณค่าและเป็นความเชื่อที่เหมือนกัน มาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน ได้มาเพราะความชอบธรรมของพระเยซูเหมือนกัน

ขอพระคุณและสันติสุขมีอย่างทวีคูณ เหนือพวกท่าน ในการรู้จักพระเจ้า และพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
2 เปโตร 1:2

ยูดา 1:2, 1 เปโตร 1:2, ยอห์น 17:3

การรู้จักพระเจ้าจริง ๆ รู้มากขึ้นทุกวันมีความหมายว่าสนิทสนมขึ้น ติดตาม และทำตามพระองค์มากขึ้น ความเชื่อของเรานั้น มีพื้นฐานอยู่ที่การรู้จักความจริงของพระองค์ ยิ่งเรารู้จักพระเจ้ามากเท่าไร พระคุณและสันติสุขในชีวิตจะเพิ่มมากขึ้นทวีคูณ (ไม่ว่าเหตุการณ์รอบข้างจะเป็นอย่างไรก็ตาม)

ฤทธิ์เดชจากเบื้องบนได้นำให้เรามีทุกสิ่ง ที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต และการติดตามพระเจ้าด้วยการรู้จักพระเจ้าผู้ทรงเรียกเรามายังพระสิริและความดีเลิศของพระองค์​
2 เปโตร 1:3

1 เปโตร 1:5, 1 เธสะโลนิกา 2:12, 2 เธสะโลนิกา 2:14, 1 เปโตร 5:10

คำกุญแจในหนังสือสองเปโตรนี้คือ “ความรู้ และการรู้จักพระเจ้า”  เป็นความรู้จักพระบิดาและพระเยซูอย่างลึกซึ้ง  และวิธีที่จะใกล้ชิดกับพระองค์ คือต้องสนิทสนมกับพระองค์ รู้จักพระลักษณะเฉพาะของพระองค์มากขึ้นทุก ๆ วัน  นี่เป็นชีวิตที่มีเกียรติมาก ฤทธิ์เดชจากเบื้องบน ..พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทำให้เราได้รับความรอด มนุษย์ไม่สามารถทำเองได้
คำว่า ความดีเลิศนี้ ภาษากรีกมีความหมายว่าเป็นคุณสมบัติ ลักษณะที่น่าปรารถนาทุกอย่างครบถ้วน (กรีก- อาเรเต คุณความดี ความล้ำเลิศ)

พื่อว่าโดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์จึงประทานพระสัญญายิ่งใหญ่และล้ำค่าแก่เรา เพื่อว่าท่านจะได้เข้ามามีส่วนใน พระลักษณะของพระเจ้า จะพ้นจากความเสื่อมทรามของโลกที่เกิดจากความทะยานอยากที่ชั่ว
2 เปโตร 1:4

2 โครินธ์ 1:20, 7:1, 3:18,

พระสัญญานี้มีรากฐานมาจากพระสิริและ ความดีเลิศของพระองค์ พระเจ้าประทานสัญญาเพื่อให้เราได้เข้ามีส่วนในลักษณะของพระองค์ที่บริสุทธิ์ยิ่ง
การเข้ามีส่วน (กรีก:คอยโนนอย หมายถึงผู้เข้ามามีส่วนแบ่ง) เราไม่ได้เข้าไปมีส่วนในความเป็นพระเจ้าของพระองค์ แต่เรารับส่วนแบ่งพระลักษณะของพระองค์จนเราเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น
พระสัญญาที่ยิ่งใหญ่นั้น ขยายความในกิจการ 2:14-41 : การเทพระวิญญาณให้คนของพระเจ้า

ชีวิตแบบที่มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า

เพราะเหตุนี้เอง จึงขอให้ท่านทุ่มเทอย่างที่สุด จากความเชื่อที่มีอยู่ ให้เพิ่มความดีงาม จากความดีงามให้เพิ่มความรู้
2 เปโตร 1:5

2 เปโตร 3:18, 1 เปโตร 3:7, โคโลสี 2:3

การที่จะมีชีวิตเป็นลูกของพระเจ้า มีส่วนใน พระองค์นั้น ไม่ใช่ว่าได้แล้ว ก็จะอยู่เฉย ๆ หรือกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม พระเจ้าทรงให้เราทุ่มสุดกำลังของเราด้วย เพราะสิ่งที่เราได้มานั้น มีค่ายิ่งนัก จะทำเป็นเหมือนสิทธิที่ยังไง ๆก็เป็นของฉันไม่ได้ เริ่มต้นจากความเชื่อ ทำให้เราได้รับชีวิตนิรันดร์ จากนั้น ก็ต้องมีสิ่งดี ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาในชีวิต ไม่เริ่มจากความเชื่อ ก็จะกลายเป็นแค่คนมีศีลธรรมเท่านั้น แต่ไม่มีชีวิตของพระเจ้า

จากความรู้ เพิ่มด้วยการควบคุมตนเองจากการควบคุมตนเองเพิ่มความอดทนลงไป จากความอดทนนั้น เพิ่มด้วยชีวิตมีคุณธรรมแบบพระเจ้า
2 เปโตร 1:6

ลูกา 21:19, 2 เปโตร 1:3, กิจการ 24:25

เมื่อเริ่มด้วยความเชื่อในพระเจ้าแล้ว เราต้องใช้ชีวิตให้ดี แสวงหาความรู้ในพระเจ้า รู้จักพระองค์มากขึ้นทุกวัน จากนั้นก็ต้องรู้จักบังคับตน ในโลกที่วุ่นวาย ซับซ้อน เต็มด้วยความบาปโดยเฉพาะบาปทางเพศที่มันเข้ามาประชิดตัวเราในสื่อสังคม ในอุปกรณ์ที่เราใช้ทุกวัน ความอดทนนั้นคือการสู้ต่อไปแม้มีการต่อต้าน รับภาระหนัก ๆ ได้ ชีวิตมีคุณธรรมแบบพระเจ้า กรีก: eusebeia มีความหมายครอบคลุมถึงการอุทิศถวายแด่พระเจ้า จริงใจ ซื่อตรง

จากชีวิตมีคุณธรรมแบบพระเจ้า เพิ่มด้วยความรักฉันพี่น้องจากความรักฉันพี่น้อง เติมลงไปด้วยความรัก
2 เปโตร 1:7

กาลาเทีย 6:10, โรม 12:10, 1 เปโตร 1:22

เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว คริสเตียนยังต้องใช้ชีวิตอย่างที่สมควรกับพระเจ้าความรักในหมู่พี่น้อง คำนี้ใช้ในกรีก: ฟีลาเดเฟีย คือการที่จะมีความคิดที่เหมาะควรกับพี่น้อง มีน้ำใจต่อกันส่วนความรักสุดท้ายนั้น ท่านเปโตรใช้คำว่า อากาเป เป็นความรักขั้นสูงสุด เป็นการหาสิ่งดี สวัสดิภาพให้กับผู้อื่น แม้ต้องแลกด้วยการเสียสละ

เพราะหากว่าท่านมีคุณสมบัติตามที่กล่าวมา และยังมีเพิ่มพูนขึ้นอีก ท่านก็จะไม่เป็นคนไร้ค่า ไม่ไร้ผลในความรู้เรื่องพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
2 เปโตร 1:8

ยอห์น 17:3, ฟีลิปปี 3:8, โคโลสี 1:10

คุณสมบัติดังกล่าวตั้งแต่ความเชื่อไปจนจบสมบูรณ์ที่ความรักนี้ จะต้องมีการพัฒนา เติบโต เพิ่มพูนขึ้น การที่ไม่มีการพัฒนาทำให้เราเป็นคนไร้ผล พูดง่าย ๆ คือ ถ้าทำธุรกิจแล้วละก็ เท่ากับประสบความล้มเหลว (คำว่าไร้ค่า= อารกูส ไร้ผล =อาคาพูส เป็นคนละคำในภาษากรีก) ผู้เชื่ออย่างเราจึงควรมีเป้าหมายในชีวิตที่จะเติบโตงดงาม ชีวิตทั้งมีค่าและเกิดผล การที่เรารู้ แล้วเชื่อฟัง แสดงว่าเรารู้จักพระเจ้าจริง

คนที่ขาดคุณสมบัติดังกล่าว ก็เป็นคนสายตาสั้นจนบอด เพราะได้ลืมไปว่า ตนได้รับการชำระจากบาปในอดีตแล้ว
2 เปโตร 1:9

เอเฟซัส 5:26,ทิตัส 2:14, 1 ยอห์น 2:11

แต่หากในชีวิตไม่มีคุณสมบัติที่กล่าวมาล่ะ ? จะเกิดอะไรขึ้น แสดงว่า เราไม่รู้จักพระเจ้าจริง เพราะเราไม่สนใจที่จะทำให้ชีวิตของเรามีกำไร เพียบพร้อมด้วยการเพิ่มพูนคุณความดีของพระเจ้าในชีวิต ท่านเปโตรถึงกับว่าเป็นคนตาสั้นจนบอด ท่านยากอบเรียกว่าความเชื่อที่ตายแล้ว (ยากอบ 2:17,26) การลืม ในที่นี้คือ การไม่เอาใจใส่ ไม่เข้าใจความหมายแท้ของการที่พระเจ้าได้ทรงไถ่

ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย จงหมั่นย้ำเตือนตนเองถึงการทรงเรียก และการทรงเลือกท่าน ตราบเท่าที่ท่านปฏิบัติตามทางนี้ ท่านจะไม่มีวันสะดุดล้มลง
2 เปโตร 1:10

2 โครินธ์ 13:5, 1 ยอห์น 3:19, ยากอบ 2:10, ยูดา 1:24

เมื่อเราได้ตามสิ่งที่ท่านเปโตรเตือนไว้ก่อนหน้านี้ เท่ากับว่า เรากำลังย้ำเตือนให้ตัวเองรู้ว่าพระเจ้าทรงเรียก(โดยผ่านข่าวประเสริฐ 2 เธสะโลนิกา 2:14) และทรงเลือกเรา (ก่อนการวางรากสร้างโลก เอเฟซัส 1:4)เราต้องเอาใจใส่ชีวิตที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ อย่าให้หลุด หลง สะดุดไปเพราะสิ่งที่ล่อหลอกในโลกนี้ ความดีทั้งแปดอย่างที่ท่านเปโตรกล่าวถึงเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นจากใจจริง แกล้งทำไม่ได้ เมื่อความดีต่าง ๆ นี้เกิดขึ้นในชีวิต เท่ากับเป็นการพิสูจน์ว่า เราได้บังเกิดใหม่จริง. กำลังเหมือนพระเยซูมากขึ้นทุกวัน 

ด้วยวิธีนี้ ท่านจึงมีคุณสมบัติที่จะได้รับการต้อนรับเข้าสู่
อาณาจักรนิรันดร์ของพระเยซูคริสต์
ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอดของเราอย่างเหลือล้น
2 เปโตร 1:11

สดุดี 145:13, 1 ทิโมธี 6:17, 2 เปโตร 3:18

มีบางท่านให้ความเห็นว่าเป็นการเข้าโดยมีเสียงเพลงร้องต้อนรับเข้าไปที่นั่นเหมือนกับ นักรบที่ชนะกลับมาจากการรบ หรือนักกีฬาที่ชนะกลับมา ผู้คนต่างโห่ร้องต้อนรับด้วยความยินดียิ่งนัก เราจะเข้าไปในสวรรค์ด้วยวิธีไหน เข้าไปเงียบ ๆ หรือ มีการร้องไชโยที่ได้เข้ามา หรือว่าเข้าสวรรค์โดยหนีจากไฟนรก อย่างหวุดหวิด หนีออกมาแบบไม่คิดชีวิต ?

จำเป็นที่ต้องเตือนกันบ่อย ๆ

ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงจะเตือนท่านถึงเรื่องดังกล่าวเสมอไม่ขาด แม้ว่าท่านรู้อยู่แล้ว และได้ยืนมั่นในความจริงนั้น
2 เปโตร 1:12

ฟีลิปปี 3:1, 1 ยอห์น 2:21, ยูดา 1:5, 1 เปโตร 5:12

จากข้อ 1 -11 ท่านเปโตรได้แนะนำให้เรารู้ว่า ควรมีคุณสมบัติใดในชีวิตเพื่อให้เหมาะกับอาณาจักรของพระเจ้าที่ผู้เชื่อกำลังจะเข้าไป ท่านเปโตร ยินดีที่จะเตือนแล้วเตือนอีก เพื่อผู้เชื่อจำไม่ลืม ผู้ที่อ่านจดหมายของท่านเปโตรนี้จึงควรรักษาสิ่งดีต่าง ๆ นี้ตลอดเวลาทุกวันที่เราเดินตามพระเจ้าอยู่

ความเร่งด่วนในหัวใจ

ตราบเท่าที่ข้ายังอยู่ในเต็นท์นี้
ข้ามองเห็นว่าการคอยเตือนฟื้น
ความจำให้ท่านเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
2 เปโตร 1:13

2 เปโตร 3:1, 2 โครินธ์ 5:1,4

เพราะการที่จะได้เข้าไปสู่อาณาจักรนิรันดร์ เป็นเรื่องสำคัญมาก ดังนั้นคำว่า …ตราบที่ยังอยู่ใน เต็นท์นี้… เท่ากับตอนนี้ท่านเปโตร กำลังคิดถึงความตายท่านถือว่าร่างกายเป็นเพียงที่อาศัยของชีวิตเพียงชั่วคราวใ ช้พักพิงไม่นานนัก เหมือนกับที่ผู้เขียนสดุดีเคยอธิษฐานว่า“ขอทรงสอนให้เรานับวันเวลาของเรา เพื่อเราจะมีปัญญา” สดุดี 90:12

เพราะข้ารู้ว่า อีกไม่นาน
ข้าก็ต้องปล่อยเต็นท์นี้ไป
ดังที่พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงทำให้ข้าเห็นชัดเจนแล้ว
2 เปโตร 1:14

2 โครินธ์ 5:1, 2 ทิโมธี 4:6, ยอห์น 13:36, 21:18-19

ตอนที่ท่านเปโตรยังหนุ่มแน่น เป็นชาวประมงที่ออกมาติดตามพระเยซู ท่านมีพลังคนหนุ่ม แต่ใกล้วันที่พระเยซูจะเสด็จสู่สวรรค์ พระองค์ตรัส ให้เขาได้รู้ว่า ในยามชรา จะมีคนพาเขาไปในที่ ๆ
ไม่อยากไป ท่านรู้ดีว่า ท่านจะได้ตายอย่างที่ถวายพระเกียรติพระเจ้า ดูเหมือนท่านจะเห็นว่าอีกไม่นานท่านจะถูกลงโทษจากโรมแน่นอน
คำว่า ปล่อยเต็นท์นี้ หรือเอาเต็นท์นี้ออกไป หมายถึงความตาย และจากร่างนี้ไป

และข้าจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อว่า ท่านยังจะระลึกถึงสิ่งเหล่านี้เสมอยามที่ข้าจากไปแล้ว
2 เปโตร 1:15

เฉลยธรรมบัญญัติ 31:19-29

ความพยายามของท่านประสบความสำเร็จเกินคาด แม้เวลาจะผ่านไปสองพันปีแล้ว แต่จดหมายของท่านก็ยังช่วยให้คริสเตียนได้นำมาใช้เป็นเครื่องนำทางชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ พระเจ้ายังทรงใช้งานเขียนของท่าน ให้เป็นรากฐานของคริสตจักร ของความเชื่อที่ถูกต้องมาทุกยุคทุกสมัย เราเองก็ควรคิดแบบท่านด้วยว่า เรามีอะไรดี ๆ ส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปบ้าง

คำพยานที่จริงจากผู้เห็นเหตุการณ์

ตอนที่เราแจ้งให้ท่านทราบถึงฤทธิ์เดชและการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์เจ้านั้น เราไม่ได้พูดตามเรื่องราวที่มนุษย์ปั้นแต่งขึ้น แต่เราเป็นพยานที่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ด้วยตัวเอง
2 เปโตร 1:16

1 โครินธ์ 1:17, มัทธิว 28:18, เอเฟซัส 1:19-22, 1 เปโตร 5:4, , มัทธิว 17:1-5, ลูกา 1:2

ท่านเปโตรยืนยันชัดเจนว่าท่านไม่ได้ใช้เรื่องราวจากเหล่าครูสอนผิดที่คิดเรื่องขึ้นมาเอง แต่ท่านเองเป็นคนที่เห็นสิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของพระเยซู เด็ดสุดก็คือวันที่ท่านได้เห็นพระเยซู องค์พระเมสสิยาห์บนภูเขา และทรงเปลี่ยนร่างจากมนุษย์เป็นพระเจ้าที่ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งนัก (มัทธิว 17:1-8) และทรงส่องแสงประกายราวกับดวงอาทิตย์ !

เพราะเมื่อพระองค์ทรงรับพระเกียรติและพระสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้าพระบิดาก็มีพระสุรเสียงจากพระสิริรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่มายังพระองค์ว่า
“นี่คือลูกชายที่รักของเรา เป็นผู้ที่เราโปรดปรานมาก”
2 เปโตร 1:17

สดุดี 2:7, อิสยาห์ 42:1, มัทธิว 17:5, มาระโก 9:7, ลูกา 1:35, 9:35

Transfiguration of Jesus, 1520 (Oil on Canvas), by Raphael

ท่านเปโตรกำลังสื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ว่าพระเยซูที่ทรงเปลี่ยนร่างให้ท่านเห็นองค์นี้คือ พระเมสสิยาห์ผู้ที่ พระเจ้าทรงเจิมตั้งให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดบาปของชาวโลกจริง ๆ เพราะยังมีพระสุรเสียงของ
พระบิดาเจ้ายืนยันว่าทรงเป็นพระบุตรที่รัก ที่พระบิดาทรงโปรดปรานด้วย ดูสิ พระเจ้าผู้ที่เดินดินอย่างคนทั่วไป ได้สำแดงพระองค์จริงให้เปโตรและเพื่อนได้เห็น

และพวกเราเองได้ยินพระสุรเสียงนี้ จากสวรรค์ เวลาที่เราอยู่กับพระองค์
บนภูเขาบริสุทธิ์
2 เปโตร 1:18

มัทธิว 17:1

Painting:  “Transfiguration”
[cropped] by the Danish Lutheran artist Carl Bloch
[Public domain], via Wikimedia Commons

ความมหัศจรรย์ครั้งนี้ยังเพิ่มระดับให้กับเปโตร และเพื่อนด้วยการที่พวกเขาได้ยินเสียงจากสวรรค์ ยากอบและยอห์นก็ได้เห็น ได้ยินเสียงนี้ด้วย ผู้ที่บันทึกเรื่องราวสำคัญคือ มัทธิว มาระโกและลูกา ครั้งนี้เป็นครั้งที่เปโตรเล่าถึงเหตุการณ์ด้วยตัวเอง ถ้าเราคิดให้ดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมทำให้พวกเขายิ่งมั่นใจมากขึ้นว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เพราะพระบิดาเจ้าทรงมา แจ้งให้พวกเขาทราบด้วยพระองค์เอง

นี่เอง ที่ทำให้เรามีความมั่นใจคำพยากรณ์ในอดีตมากยิ่งขึ้น จะเป็นการดีหากท่านใส่ใจคำนั้น เพราะเป็นเหมือนกับตะเกียงที่สองแสงในที่มืด จนกว่าเช้าตรู่
ดาวประจำรุ่งก็จะส่องแสงเข้ามาในใจท่าน
2 เปโตร 1:19

ยอห์น 1:4-5, 9, สุภาษิต 4:18, วิวรณ์ 2:28, 22:16, 2 โครินธ์ 4:5-7

การที่ได้อยู่ในเหตุการณ์พระเยซูทรงเปลี่ยน
พระกายจากมนุษย์เป็นพระเจ้านั้น นับว่ามหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่พระเจ้า ตรัสเกี่ยวกับพระเยซูมาตั้งแต่อดีตนั้น ยิ่งทำให้เขามั่นคง มั่นใจมากยิ่งขึ้น และท่านเองได้
ชักชวนให้เราใส่ใจคำพยากรณ์เรื่องพระเยซู
ผู้เชื่อในพระเจ้าควรใส่ใจพระคัมภีร์เดิมและคำสอน แท้จากอัครทูต คำเหล่านั้นเป็นแสงสว่าง
สำหรับชีวิตของทุกคน

อย่างแรกท่านต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าใครจะ แปลความของพระผู้เผยพระคำตามใจตัวเองไม่ได้ เพราะคำจากผู้เผยพระคำ ไม่ได้เกิดจากความต้องการของมนุษย์. แต่เป็นการที่มนุษย์พูด เพราะเขาได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์​
2 เปโตร 1:20-21

โรม 12:6, เยเรมีย์ 23:26, 2 ทิโมธี 3:16, 2 ซามูเอล 23:2, ลูกา 1:70, กิจการ 1:16, 3:18, 1 เปโตร 1:11

คำพยากรณ์แท้จริงมาจากการที่พระเจ้าตรัส ผ่านคนของพระองค์ในเวลาที่เขาได้รับการขับเคลื่อนด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น ไม่ใช่จะพูดเมื่อไรตามใจของคนพูดได้ คำว่า ดลใจจากพระวิญญาณในภาษากรีกมี ความหมายถึงการไปตามกัน อย่างเช่นเรือถูกลมพัดไป เรือแล่นไปตามกระแสน้ำ พระวิญญาณทรงนำให้เขาพูดตามพระองค์ ผู้เชื่อจะต้องไม่หลงเชื่อตามความเห็นครูสอนผิด