1 เปโตร 1 ใช้ชีวิตอย่างคนบังเกิดใหม่

ทักทายพี่น้องที่ห่างไกล

ข้า เปโตร อัครทูตของพระเยซูคริสต์ ถึงคนต่างถิ่น ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกซึ่งอาศัยกระจัดกระจายในแคว้นปอนทัสแคว้นกาลาเทีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นเอเชีย และแคว้นบิธิเนีย
1 เปโตร 1:1

ยากอบ 1:1 คนต่างถิ่นในที่นี้ ท่านเปโตรหมายถึงผู้ที่อาศัยในบ้านเมืองนั้นเพียงชั่วคราว

พี่น้องที่ท่านเปโตรเขียนจดหมายถึงนั้น อาศัยในเอเชียน้อย พวกเขากำลังเผชิญกับการ ข่มเหงเพราะความเชื่อในพระเยซู ท่านเปโตรห่วงใย พี่น้องเหล่านี้ จึงหนุนใจให้พวกเขาคิดถึง พระเยซูผู้ได้คืนพระชนม์และจะเสด็จมาอีกที
อย่างน้อยประโยคแรกก็ทำให้ผู้อ่านอบอุ่นขึ้นมา เพราะท่านบอกว่าพวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก…

พระบิดาทรงเลือกท่านไว้ตาม
ที่ทรงรู้ล่วงหน้า โดยพระวิญญาณทรงชำระท่านไว้ให้บริสุทธิ์เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อฟัง และรับการประพรมจากพระโลหิตของพระเยซูคริสต์
ขอพระคุณและสันติสุขเพิ่มพูนแก่ท่านมากมาย
1 เปโตร 1:2

เอเฟซัส 1:4, โรม 8:29, 2 เธสะโลนิกา 2:13 , โรม 1:5, ฮีบรู 10:22, 12:24, โรม 1:7,

คำว่าเชื่อฟังนี้ หมายถึงการฟังที่ยอมจำนน ยอมรับ ยอมทำตาม

การทรงเลือกของพระเจ้าไม่ใช่สุ่มเอา
แต่ทรงเลือกตามที่ทรงรู้ล่วงหน้าด้วย
พระปัญญาหยั่งรู้ของพระองค์ พระวิญญาณทรงชำระเรา แยกเราออกจากโลก ขบวนการนี้ สำคัญสำหรับชีวิตเราเพื่อเราจะเชื่อฟังพระเจ้าโดยพลังแห่งพระวิญญาณ เราเองเชื่อฟังพระเจ้าด้วยกำลังตัวเองไม่พอ

มรดกจากเบื้องบน

ถวายพระพรแด่พระเจ้าคือพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา!
พระองค์ทรงให้เราเกิดใหม่ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่เข้ามาสู่ความหวังที่มีชีวิตโดยการที่พระเยซูคริสต์ทรงคืนชีพจากความตาย
1 เปโตร 1:3

เอเฟซัส 1:3, กาลาเทีย 6:16, ยอห์น 3:3,5, 1 โครินธ์ 15:20,

เมตตา คือใจที่สงสาร การแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจ คำนี้ใช้กับพระเจ้า อย่างใน ลูกา 1:50, โรม 15:9, กับพระเยซู ยูดา 21 หรือกับมนุษย์ทั่วไป มัทธิว 12:7

ถ้าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์แล้วไม่คืนชีพ ความเชื่อของเราก็ไม่ต่างอะไรคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า พระเจ้าทรงให้เราได้เกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ไม่ใช่ชีวิตแบบเดิม เป็นคนใหม่สิ่งเก่าล่วงไป (2 โครินธ์ 5:17) และเราได้ความหวังที่มีชีวิต ไม่ใช่ ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แต่เป็นความหวังที่ดำรงอยู่ทุกวัน เติบโต สดชื่นตลอดชีวิตเพราะพระเยซูทรงคืนชีพขึ้นมา

เข้ามาสู่มรดกที่ไม่เสื่อมสลาย ไร้มลทิน ไม่เลือนหายไป ซึ่งเก็บเตรียมไว้ในสวรรค์สำหรับท่าน ท่านได้รับการปกป้องด้วยฤทธิ์ของ พระเจ้า ผ่านทางความเชื่อในความรอด ซึ่งพร้อมจะเปิดเผยในวาระสุดท้าย
1 เปโตร 1:4-5

โคโลสี 1:5

ทั้งหมดที่กล่าวมา ท่านเปโตรบอกว่า
พระเจ้าทรงพร้อมเปิดเผยให้เราได้เห็น รับรู้ ได้รับในวันที่พระเยซูเสด็จกลับมา เมื่อเราได้ มาทบทวนว่า พระเจ้าทรงให้อะไรกับเราบ้าง เมื่อเราเข้ามาอยู่ในร่มพระคุณของพระองค์ ทัศนคติของเราก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งหมด ได้มาเพราะพระเมตตาของพระบิดา

ท่านจึงมีความยินดีในสิ่งที่กล่าวมานี้ แม้ว่าชั่วระยะหนึ่ง
จำเป็นที่ท่านต้องเผชิญ ทุกข์ทน สู้กับความยากลำบากต่าง ๆ
1 เปโตร 1:6

มัทธิว 5:12, 2 โครินธ์ 4:17, ยากอบ 1:2

เมื่อเราบังเกิดใหม่ เราก็มีชีวิตใหม่ ความหวัง ที่เติบโต เบิกบาน เราได้รับสัญญาว่าจะได้มรดกที่มั่นคงถาวรซึ่งพระเจ้าทรงเก็บไว้ในสวรรค์ให้แก่เรา เราจะได้ความปกป้องจากพระเจ้า ดังนั้น เมื่อเราทั้งหลายต้องเจอความยากลำบากเราจึงยังคงยินดี

เพื่อว่า การทดสอบความเชื่อแท้ของท่านที่มีค่ายิ่งกว่าทอง ซึ่งแม้ว่าถูกทำลายได้ ก็ยังถูกทดสอบด้วยไฟ และจะได้ผลลัพธ์เป็นคำสรรสริญ และพระสิริรุ่งโรจน์ และพระเกียรติในเวลาที่พระเยซูทรงปรากฎ
1 เปโตร 1:7

ยากอบ 1:3, โยบ 23:10,

แต่ละประโยคของท่านเปโตรนั้น ทั้งยาว และเข้าใจยาก แต่เมื่อเข้าใจแล้ว จะเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิตคริสเตียนได้อย่างมั่นคง ดูข้อความนี้ ท่านกล่าวว่า ความเชื่อของเราจะถูกทดสอบด้วยความยากลำบาก ดังนั้น เราจึงต้องไม่มองความยากลำบาก
เป็นสิ่งที่ขวางชีวิต แต่มันคือตัวทดสอบความเชื่อเป็นตัวชำระให้บริสุทธิ์ ทำให้เราเองได้เห็นว่า เรามีความเชื่ออย่างไร เป็นความเชื่อแบบไหน

ท่านรักพระองค์ แม้ว่าท่านไม่เคยเห็นพระองค์ และแม้ว่าไม่ได้เห็นพระองค์ในเวลานี้ท่านก็ยังเชื่อพระองค์ และยินดียิ่ง สุดจะพรรณาเป็นความยินดีที่เปี่ยมด้วยศักดิ์ศรีเนื่องจากท่านได้รับตามผลแห่งความเชื่อ นั่นคือ ความรอดพ้นของจิตวิญญาณ
1 เปโตร 1:8-9

1 ยอห์น 4:20, ยอห์น 20:29

คริสเตียนที่ท่านเปโตรเขียนจดหมายถึง มีจำนวนมากที่ไม่เคยเห็นพระเยซู แต่พวกเขาก็วางใจในพระองค์ เพราะมีคนประกาศ เป็นพยานให้เขารู้ ที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะพวกเขามีสัมพันธ์สนิทกับ พระเจ้าทางจิตใจ จิตวิญญาณของพวกเขา เขาจึงรู้แน่ว่า พระองค์ทรงพระชนม์อยู่

เหล่าผู้เผยพระคำซึ่งได้กล่าวถึงพระคุณที่จะมาถึงท่านนั้น ต่างได้สืบค้น ไถ่ถามถึงเรื่องความรอดที่จะมาถึงท่านอย่างรอบคอบ ละเอียดลออ
1 เปโตร 1 :10

ผลที่ได้รับจากการวางใจพระเจ้าแม้ตกอยู่ในความยากลำบาก ต้องทนทุกข์นั้น คือ ความรอดพ้นจากบาป ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เผยพระคำในสมัยพันธสัญญาเดิมได้ค้นคว้า และศึกษาอย่างเอาจริงเอาจัง พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะพบพระผู้ช่วยให้รอดอย่างพระเยซูในสมัยของพวกเขาเลย พวกเขาปรารถนาจะเห็นอย่างที่คนในยุคพระเยซูได้เห็น

พวกเขาสืบค้นว่า ที่พระวิญญาณของพระคริสต์ในใจพวกเขาทรงกล่าวถึง นั้นจะเป็นใคร เป็นในยุคใดเมื่อพระองค์ทรงกล่าวล่วงหน้าถึงการทนทุกข์ของพระคริสต์(พระเมสสิยาห์)รวมทั้งพระสิริรุ่งโรจน์ที่จะตามมา
1 เปโตร 1:11

2 เปโตร 1:21

เราจะเห็นว่า ท่านเปโตรได้กล่าวถึงการทนทุกข์กับพระสิริหรือเกียรติ เป็นของที่คู่กันไปเสมอ คำว่า “พระวิญญาณของพระคริสต์” มีปรากฏอีกครั้งเดียวใน โรม 8:9 พระวิญญาณทรงมาจากพระคริสต์ และกล่าวถึงพระคริสต์ผ่านผู้เผยพระคำในอดีต ซึ่งตอนนั้นพวกเขาก็ไม่เข้าใจไม่เห็นภาพที่สมบูรณ์ของคำที่พวกเขาพูดออกมา

เป็นที่ปรากฏแก่พวกเขาว่า
พวกเขาไม่ได้รับใช้ตนเอง แต่รับใช้ท่านเรื่องเหล่านี้ถูกแจ้งให้ท่านผ่านทางคนที่ประกาศพระกิตติคุณให้แก่ท่านโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งถูกส่งมาจากสวรรค์ เหล่าทูตสวรรค์ต่างปรารถนาที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้
1 เปโตร 1:12

เอเฟซัส 3:10

ที่ว่า เขาไม่ได้รับใช้ตนเอง แต่รับใช้ท่านนั้นคือว่าผู้เผยพระคำเข้าใจว่า พระเจ้าไม่ได้ให้สิ่งที่พวกเขากล่าวล่วงหน้าให้สำเร็จในยุคของเขา แต่เป็นยุคต่อมา ซึ่งกลายเป็นยุคของท่านเปโตรนั่นเองพระคริสต์หรือพระเมสสิยาห์ได้เสด็จมาในโลกหลังจากที่พวกเขาพูดเป็นร้อยเป็นพันปี พระวิญญาณทรงทำให้คนของพระเจ้าเกิดความเข้าใจ พร้อมกับทรงบันดาลใจ ทรงทำให้คนที่ฟังคนที่ได้ยิน ได้เข้าใจ

การมีชีวิตต่อพระพักตร์พระบิดา

ดังนั้น จงเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม จงเอาจริงเอาจัง ตั้งความหวังในพระคุณที่จะมาถึงท่านเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาปรากฏ ในฐานะที่เป็นลูกที่มีหัวใจเชื่อฟัง อย่าทำตามความปรารถนาชั่วอย่างตอนที่ไม่รู้จักความจริง
1 เปโตร 1:13-14

โรม 12:2, 1 เปโตร 4:2,

ท่านเปโตรขอให้พวกเขามีใจมุ่งมั่นเตรียมพร้อมเหมือนกับคนที่ถลกแขนเสื้อขึ้นพร้อมที่จะทำงาน การเอาจริงเอาจังคือ การควบคุมคำพูดและการกระทำ ไม่พูดโพล่งไร้สาระ การมีความหวังในการเสด็จมาของพระคริสต์คือหน้าที่ของผู้เชื่อทุกคน

แต่ในเมื่อพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านทรงบริสุทธิ์ ท่านก็จงบริสุทธิ์ในการกระทำทุกอย่าง
เพราะมีคำเขียนว่า “เจ้าจงเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์”
1 เปโตร 1:15-16

2 โครินธ์ 7:1, เลวีนิติ 11:44,45,19:2,20:7

คำว่า “บริสุทธิ์” หมายถึงการแยกออกจากบาป เพื่อพระเจ้า เราต้องสู้เพื่อชีวิตจะไร้บาป แน่นอน ที่เรายังมีบาป แต่ใจจะต้องมุ่งมั่นที่จะถูกแยกออกอย่างที่พระเจ้าตรัสสั่ง คำที่ท่านเปโตรใช้นั้นมาจาก เลวีนิติ 11:44-45, 19:2 ,20:7
ท่านเป็นคนที่จะอ้างกลับไปถึงพระคัมภีร์เดิมบ่อย ๆ

และหากท่านร้องทูลต่อพระองค์ในฐานะพระบิดา ผู้ทรงตัดสินความอย่างไร้อคติ ตามการกระทำของแต่ละคน จงระวังที่จะประพฤติตนด้วยความยำเกรงตลอดเวลาที่อยู่ในโลกในฐานะคนต่างถิ่น
ถอดความจาก 1 เปโตร 1:17

กิจการ 10:34

คำกล่าวข้างบนที่ว่าร้องทูลพระองค์ในฐานะพระบิดา ก็คือ หากท่านเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า เท่ากับท่านรู้ว่าพระองค์ทรงเที่ยงตรง ไม่ลำเอียงในการพิพากษา ดังนั้นท่านก็จะรู้ดีว่าท่านควรใช้ชีวิตอย่างไรในโลก เพื่อว่าในวันที่เราต้องให้การต่อพระเจ้านั้น เราจะได้ทำได้ดีในฐานะเป็นคนต่างถิ่น ผู้เชื่อในพระเจ้ารู้ว่า โลกนี้ไม่ใช่ที่สุดท้ายของเขาดังนั้นจึงไม่ยึดติดกับสิ่งใด ๆ ในโลก

ท่านรู้อยู่แล้วว่า ท่านได้รับการไถ่ออกมาจากการใช้ชีวิตที่ไร้สาระซึ่งท่านรับมาจากบรรพบุรุษ โดยไม่ใด้ไถ่ด้วยสิ่งที่สูญไปได้ดั่งเงินหรือทอง แต่ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์ ดั่งเลือดลูกแกะที่ไร้มลทิน หรือจุดด่างดำ
1 เปโตร 1:18-19

กิจการ 20:28, 1 เปโตร 1:2, อพยพ 12:5, อิสยาห์ 53:7

ชีวิตที่ไร้สาระ หรือบางเล่มว่า การกระทำที่ว่างเปล่านั้นก็คือ ชีวิตที่จบแล้วต้องอยู่ห่างจากพระเจ้าเป็นนิตย์ พระเยซูคริสต์ได้ทรงใช้พระโลหิตของพระองค์ ซื้อชีวิตเราคืนมาจากสภาพการเป็นทาสบาป เพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตเป็นอิสระจากบาป และมีชีวิตที่ไม่ไร้สาระอีกต่อไปเป็นชีวิตที่จะได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรพระเจ้าเต็มตัว บริบูรณ์

พระองค์ทรงถูกเลือกไว้ก่อนวางรากฐานโลก แต่ทรงให้พระองค์ปรากฏในยุคสุดท้ายเพื่อพวกท่านโดยพระองค์ ท่านได้เชื่อพระเจ้าผู้ทรงทำให้พระองค์คืนชีพจากตาย และประทานพระสิริรุ่งโรจน์แก่พระองค์ เพื่อให้ความเชื่อและความหวังของท่านได้อยู่ในพระเจ้า
1 เปโตร 1:20-21

โรม 3:25, กาลาเทีย 4:4, กิจการ 2:24, 33

ก่อนมีโลกนี้ ก่อนอาดัมเอวา พระเจ้าได้ทรงวางแผนงานของการไถ่มนุษย์ไว้แล้ว และผู้ที่พระเจ้าทรงเตรียมสำหรับการนี้ก็คือ องค์พระเยซูคริสต์
ยุคสุดท้ายในที่นี้ หมายถึงยุคที่พระเมสสิยาห์หรือองค์พระเยซูคริสต์ ได้เสด็จเข้ามาบังเกิดในโลกจนถึงวันที่พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้ง

บัดนี้ท่านได้ชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยการเชื่อฟังความจริงจนท่านรักพี่น้องอย่างจริงใจ ดังนั้นจงรักกันและกันอย่างแรงกล้า จากใจที่บริสุทธิ์
1 เปโตร 1:22

กิจการ 15:9, ยอห์น 13:34, โรม 12:10, ฮีบรู 13:1, 1 เปโตร 2:17, 3:8

การที่ชีวิตใครคนหนึ่งจะรับการชำระหลังจากที่เราดำเนินไปกับพระเจ้านั้น ขึ้นอยู่กับการเชื่อฟังความจริงของพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญ เชื่อ และทำตาม จะได้รับการชำระจากพระเจ้า สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจากการเชื่อฟัง คือ พี่น้องรักกันอย่างแรงกล้า คำนี้ ในภาษาเดิมแปลว่า รักกันจนสุดขอบเขต เป็นรักที่เราทำเองไม่ได้
คนที่พระเจ้าทรงชำระด้วยพระคำของพระองค์จึงจะได้รับกำลังที่จะทำเช่นนี้ได้

เพราะท่านได้เกิดใหม่แล้ว ไม่ได้เกิดจากเมล็ดพันธ์ุที่เสื่อมไปได้ แต่จากเมล็ดพันธ์ุที่ไม่ตาย คือจากพระวจนะที่มีชีวิตและยืนยงถาวรตลอดไป
1 เปโตร 1:23

ยอห์น 1:13, 1 เธสะโลนิกา 2:13, ยากอบ 1:18,

เท่าที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ เราจะเห็นว่า พระคำของพระเจ้านั้นสำคัญสำหรับชีวิตมากเหลือเกินหากหันกลับไปอ่าน 2 ทิโมธี 3:15-17 เราจะได้ข้อสรุปที่ว่า พระคำของพระเจ้าคือพลังขับเคลื่อนชีวิตของเราไปสู่ความดี ความรอด พระวิญญาณของพระเจ้าทรงให้พระคำของพระเจ้าช่วยสร้างชีวิตของเราขึ้น พระคำนั้น ก็คือ เรื่องราวแห่งพระกิตติคุณที่ช่วยเราให้รอด

เพราะมนุษย์ทั้งหลายเป็นเหมือนหญ้า ศักดิ์ศรีของพวกเขาเป็นเหมือนดอกหญ้า หญ้าจะเหี่ยวแห้งไป และดอกหญ้าก็ร่วงหล่น แต่พระคำของพระเจ้ายืนยงตลอดไปพระคำนี้ เป็นข่าวประเสริฐที่ได้ประกาศให้แก่ท่านแล้ว
1 เปโตร 1:24-25

อิสยาห์ 40:6-8, ยากอบ 1:10, ยอห์น 1:1,

พระคำ กรีกว่า เรมา คือสิ่งที่พูดออกมา กล่าวออกมา ในขณะที่คำว่าโลโกส หมายถึงพระคัมภีร์ทั้งหมด เรมาหมายถึงประโยคต่าง ๆ ที่มาจากพระคัมภีร์

มีหลายตอนในพระคัมภีร์บอกเราว่า คนเรานั้น ชีวิตสั้นเหมือนดอกไม้ในทุ่ง และเปรียบเทียบให้เห็นว่า พระคำของพระเจ้ายืนนานถาวร
จากความจริงในโลก ก็เป็นเช่นนั้น ไม่ว่ามนุษย์ จะล้มหายตายจากไปกี่รุ่น ต่อกี่รุ่น แต่พระคัมภีร์ที่พระเจ้า
ทรงบันดาลใจให้คนของพระองค์เขียนขึ้นมา
เพื่อสื่อให้รู้ถึงพระดำริต่าง ๆ ตั้งแต่ต้น จนจบโลก
ก็ยังคงดำรงอยู่ทุกวันนี้ และจะอยู่ตลอดไป

ยอห์น 6 อาหารแห่งชีวิต

มีคำอธิบายในช่วงสุดท้าย ส่วนข้อพระคัมภีร์เล็ก ๆ ใต้ภาพ เป็นข้อพระคัมภีร์เชื่อมโยงที่ทำให้เรามองเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนขึ้น

การเลี้ยงครั้งใหญ่ 5000 คน

มัทธิว 14:13-21,มาระโก 6:32-35, ลูกา 9:10-12, ยอห์น 6:32,21:1, มัทธิว 4:23, 8:16,9:35, 14:36, 15:30, 19:2, 14:14,,เทศกาล เลวีนิติ 23:5,7 , เฉลยธรรมบัญญัติ 16:1

มัทธิว 14:13-21, ยอห์น 1:43

ยอห์น 1:40, 2 พงศ์กษัตริย์ 4:43

มัทธิว 15:36, 1 เธสะโลนิกา 5:18, ลูกา 24:30

ปฐมกาล 49:10, เฉลยธรรมบัญญัติ18:15}18, ยอห์น 1:21, 7:40, กิจการ 3:22, 7:37

ยอห์น 18:36, 7:3-4,

พระเยซูทรงเดินบนน้ำทะเล

มัทธิว 14:23, มาระโก 6:47

มัทธิว 17:6, อิสยาห์ 43:1-2

พระเยซูผู้เป็นอาหารแห่งชีวิต

มาระโก 1:37, ยอห์น 6:15-21, ยอห์น 6:2, ลูกา 8:40,

คำถามแรกเมื่อพบพระเยซู ยอห์น 1:38-39 , โรม 16:18, ฟีลิปปี 2:21

คำถามที่สอง โคโลสี 3:2, อิสยาห์ 55:2, กิจการ 6:30,16:31, มัทธิว 19:16

ยอห์น 12:37, 1 โครินธ์ 1:22, สดุดี 105:40, 78:24-25

กาลาเทีย 4:4, ยอห์น 1:9, 1 ยอห์น 1:1-2, ยอห์น 17:8, 4:15

ยอห์น 7:37-38, 4:13-14, วิวรณ์ 22:17, 1 เปโตร 1:8-9, ลูกา 16:31, ยอห์น 17:24, 10:28-29

ยอห์น 5:30, 4:34, 3:13, ฟีลิปปี 2:7-8, ยอห์น 18:9, 17:12, 10:27-30

โรม 6:23, ยอห์น 5:24,

พระเยซูทรงอธิบายว่าเหตุใดพวกเขาไม่รับพระองค์ ยอห์น 7:12, 6:51-52, ลูกา 4:22

ยอห์น 6:65, 12:32, เอเฟซัส 2:4-10,อิสยาห์ 54:13, เยเรมีย์ 31:33-34

อาหารแท้จากสวรรค์ ยอห์น 1:18, 7:29, 5:24,37, 3:36, 1 ยอห์น 4:12, 1 โครินธ์ 10:16-17, ยูดา 1:5

ยอห์น 6:33,58, 11:25-26, ลูกา 22:19, ฮีบรู 10:5-12, 20

การต้อนรับพระเยซูคืออย่างไร? ความหมายแท้ ยอห์น 10:19,9:16 , 1 ยอห์น 5:12

ยอห์น 15:4-7, 1 ยอห์น 2:6,27,28, 3:6,24,

1 ยอห์น 3:24, 4:15-16, 15:4-5, ยอห์น 6:24, 47-51, 41,31-34, 18:20

คำแห่งชีวิตนิรันดร์ ที่หลายคนปฏิเสธ

ปฏิกริยาต่อคำของพระเยซู 2 เปโตร 3:16, ยอห์น 8:43, 2:24-25, มาระโก 16:19, ยอห์น 3:13

เหตุผลที่คนไม่รับพระองค์ กาลาเทีย 5:25, ฮีบรู 4;12, ยอห์น 10:26, 2 ทิโมธี 2:19,

ยอห์น 6:44-45, 6:37, 3:27

พวกศิษย์รับพระองค์แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด 1 ยอห์น 2:19, ลูกา 9:62, ฮีบรู 10:38

พระเยซูทรงรู้จักศิษย์ทุกคนอย่างดี มัทธิว 16:16, มาระโก 8:29, ลูกา 9:20, ยอห์น 1:49,11:27, 12:4,13:2,26
มัทธิว 26:14-16

ยอห์น 6:1-15 นี่เป็นหมายสำคัญครั้งที่สี่ ซึ่งท่านยอห์นได้บันทึกไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ และทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นการอัศจรรย์ที่พระกิตติคุณทั้งสี่ได้บันทึกเอาไว้ ท่านยอห์นมักบอกรายละเอียดที่ท่านอื่นละเอาไว้ ทำให้เราเห็นฤทธิ์อำนาจของพระเยซูชัดเจน และยังเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่มาก่อนคำของพระเยซูที่ตรัสว่า ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิตด้วย (ข้อ 22-40) |
ทั้ง ๆ ที่ผู้คนมาเพราะอยากเห็นการอัศจรรย์ แต่พระเยซูก็ไม่ได้รู้สึกทางลบกับพวกเขา ทรงทั้งสั่งสอน และรักษาโรคให้จนเย็น พระองค์ทรงถามฟีลิปว่าจะเลี้ยงพวกเขาอย่างไร การตอบโต้ของฟีลิปทำให้เราเห็นว่า เขายังคิดไม่ออกว่า พระเยซูสามารถทำการอัศจรรย์ที่เกินคาดได้ เขามองเห็นจำนวนคนก็ท้อแล้ว ในบันทึกว่า 5000 คน หมายถึงเฉพาะผู้ชาย แต่ถ้าเรารวมผู้หญิงและเด็กเข้าไปก็น่าจะถึงสองหมื่น หลังจากการเลี้ยงคนจำนวนมหาศาลด้วยขนมปังเล็ก ๆ 5 ชิ้น กับปลา 2 ตัวของเด็กชายคนหนึ่ง ข้อ 14 พวกเขาพูดกันว่า พระองค์คือ ผู้เผยพระคำ เขาพอใจพระองค์ และคิดว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้นำที่ช่วยพวกเขาได้อย่างที่ต้องการ ข้อ 15 จึงคุยกันว่า จะบังคับให้พระองค์เป็นกษัตริย์ของพวกเขา แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของพระเยซู

ยอห์น 6: 16-21 การดำเนินบนน้ำทะเลเป็นหมายสำคัญที่ห้า ที่ท่านยอห์นบันทึก เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์และพระบุตรของพระเจ้า (ยอห์น 20:30-31) การอัศจรรย์ทุกครั้งทำให้เราได้เห็นว่า พระองค์ทรงอยู่เหนือกฎธรรมชาติ
สบาย ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้พลังมากเลย หลังจากที่เลี้ยงคนจำนวนมากนั้นแล้ว ศิษย์ของพระองค์ก็มุ่งหน้าไปทางตะวันตกทันที ทะเลกาลิลีนี้แปลก อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 700 ฟุต ดังนั้น ลมเย็นจากภูเขาทางเหนือ และที่ราบสูงทางตะวันออกเฉียงใต้ก็มักจะพัดเข้ามาทำให้เกิดพายุอย่างทันควันได้เสมอ
ในหนังสือมัทธิว 14:26 ,มาระโก 6:49 บอกว่าเขาคิดว่าพระองค์เป็นผีเสียด้วยซ้ำ เพราะบรรยากาศเอื้อให้คิดอย่างนั้น
พวกเขารู้สึกหวาดกลัวมาก แต่ครั้งนี้เอง ไม่เฉพาะแค่ดำเนินบนน้ำเท่านั้น พระเยซูยังทรงสั่งให้พายุสงบ แถมเรือก็ไปถึงอีกฝั่งทันที พวกเขาจึงเห็นชัดเลยว่า ทรงยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติทุก ๆ ด้าน

ยอห์น 6:22-29
วันต่อมา ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์การเลี้ยงใหญ่นั้น ก็ตามหาพระเยซู พวกเขารู้ว่าพระองค์ไม่ได้กับศิษย์ด้วย จึงตัดสินใจพากันข้ามจาก ด้านตะวันออกของทะเลมาด้านตะวันตกที่เมืองคาเปอร์นาอูม ในหมู่คนเหล่านั้นมีพวกยิวอยู่ด้วย (มัทธิว 15) แปลกที่ถามว่า พระองค์มาถึงเมื่อไร และแปลกที่พระเยซูไม่ทรงตอบคำถามนั้นกลับตรัสบอกเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงมาหาพระองค์… เขาทั้งต้องการอาหาร หมายสำคัญ และกษัตริย์ที่จะช่วยพวกเขา
คำถามต่อมาคือ ต้องทำอย่างไรเพื่อจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย… แต่นั่นเป็นพื้นฐานที่เข้าใจพระเจ้าผิด พระเยซูทรงตอบทันทีว่า สิ่งที่ต้องทำคือการเชื่อพระองค์เอง เชื่อองค์เยซูที่พระเจ้าทรงส่งมา
นี่เป็นความเข้าใจผิดของคนเป็นจำนวนมาก พวกเขาคิดว่าต้องทำดีจึงจะมาหาพระเจ้าได้ แต่พระเยซูทรงชัดเจน …ต้องเชื่อพระองค์!”

ยอห์น 6:30-37 ประชาชนที่ตามพระองค์มานั้น ยังต้องการเห็นหมายสำคัญ การอัศจรรย์อีก พวกเขาอ้างไปถึงอดีต คราวที่บรรพบุรุษของพวกเขาอยู่ในถิ่นกันดาร โดยการนำของโมเสส เขาได้รับการเลี้ยงดูเป็นเวลานานมากด้วยมานา และนกคุ่ม
พูดเป็นนัย ๆ ว่า พระเยซูจะเลี้ยงแค่มื้อเดียวเองหรือ เขาต้องการอาหารจากพระองค์ทุกมื้อจากนี้ไป
แต่พระเยซูตรัสตอบเขาว่า คนที่เลี้ยงพวกเขาไม่ใช่โมเสส แต่เป็นพระบิดาต่างหาก จากนั้นทรงโยงไปเรื่องที่สำคัญคือ พระองค์นี้แหละ คืออาหารแห่งชีวิต คืออาหารแท้จากสวรรค์ที่พระเจ้าทรงส่งลงมา พระองค์หมายความว่า ทรงเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณที่พวกเขาต้องกิน ดื่มเข้าไป(นั่นคือเชื่อวางใจพระองค์) เพื่อจะมีชีวิต เป็นเรื่องของอาหารเลี้ยงวิญญาณ
ข้อสังเกต.. สิ่งที่พวกเขาต้องการ พระองค์ไม่ให้ แต่อาหารที่ทรงเสนอให้ คือพระองค์เอง พวกเขากลับไม่รับ การเชื่อในพระเยซูนั้น ไม่ซับซ้อน เพราะการเชื่อคือการออกมาจากชีวิตเดิม และเข้ามาหาพระองค์ พระเยซูตรัสชัดเจนว่า การเข้ามาหาพระองค์นั้น เป็นราชกิจของพระบิดา และพระบุตรจะไม่มีการปฏิเสธคนที่พระบิดาส่งมาให้พระองค์

ยอห์น 6:38-51 การสนทนากันครั้งนี้ พระเยซูตรัสตรง ๆ หลายครั้งว่า พระบิดา พระบิดา… และทรงย้ำว่า พระองค์ถูกส่งมาจากพระบิดา และใครที่มาหาพระเยซูจะมีชีวิตนิรันดร์ นี่เป็นความประสงค์ของพระบิดา
และแล้ว พวกยิวก็เริ่มเอะใจ ไม่พอใจที่พระองค์ตรัสเช่นนั้น พวกเขาไม่ยอมเชื่อว่าพระองค์ลงมาจากสวรรค์ ยังไงกัน จะยกตัวเองมากเกินไปแล้ว ก็เป็นลูกชายโยเซฟ แล้วมาอ้างอย่างนี้ได้ไง…
ในขณะที่พวกเขาคิดว่าตนเองมีเชื้อสายอิสราเอล เป็นคนพิเศษของพระเจ้า พระเยซูกลับทรงบอกเขาว่า คนที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์นั้น เป็นการเลือกจากพระบิดา ไม่ใช่มาจากเชื้อสาย
และในที่สุด พวกเขาก็เริ่มเข้าใจว่า มานาที่พระเจ้าส่งลงมา ก็ยังไม่ใช่อาหารแห่งชีวิต เพราะคนที่กินก็ตายตาม ๆ กัน
แต่อาหารใหม่จากสวรรค์นี้ จะให้ชีวิตตลอดไป …. พระองค์ตรัสอีกประโยคที่ทำให้เราตะลึงก็คือ อาหารที่จะให้ชีวิตจริง ๆ กับโลกคือเลือดเนื้อของพระองค์

ยอห์น 6:52-59 ในหนังสือยอห์น ผู้เขียนจะบันทึกคำตรัสแบบเปรียบเทียบของพระเยซูไว้หลายครั้ง เช่นการเกิดใหม่
น้ำแห่งชีวิต อาหารแห่งชีวิต เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ทำให้พวกยิวเริ่มไม่พอใจ โต้เถียงกัน กินเนื้อ ดื่มโลหิตนั่นคือ รับเอาพระองค์ทั้งหมด และพระองค์เน้นด้วยทรงเป็นเนื้อแท้ เลือดแท้… ท่านยอห์นเป็นคนที่เน้นเรื่องของ จริง, แท้ บ่อย ๆ ในข้อเขียนของท่าน
คำ “พระบิดาผู้ทรงพระชนม์” บ่งบอกว่า พระองค์ทรงมีชีวิตในพระองค์เอง และทรงมอบชีวิตนั้นให้พระบุตร (ยอห์น 5:21) ทั้งพระบิดาพระบุตรทรงทำให้คนคืนชีพ

ยอห์น 6:60-71 พวกเขาบอกว่ายากที่จะรับได้ นั่นหมายถึงว่า ไม่อยากรับว่า พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า และในบางครั้ง พระเยซูเองก็ตรัสอะไรยากที่จะเข้าใจด้วย (มัทธิว 23:15, ยอห์น 4:17-18)
ข้อ65 ทำให้เรารู้ว่า มนุษย์ไม่หาพระเจ้าเอง แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เริ่มช่วยให้เขาแสวงหาพระองค์ มนุษย์เป็นผู้ที่จะตอบสนองการเริ่มต้นของพระเจ้า
ในหมู่คนที่ติดตามพระเยซูนั้น มีคนที่เชื่ออย่างจริงใจ กับคนที่ต้องการจะได้ประโยชน์ และเราพบว่า ทุกคนที่พระเยซูทรงเลือกมาตั้งแต่ต้นก็ตัดสินใจที่จะติดตามพระองค์ไป เปโตรเองเป็นคนที่บอกชัดว่า จะไปเอาใครที่ไหนมาเปรียบกับพระองค์ ไม่มีเลย เขามั่นใจเต็มร้อยว่า พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า
แต่แล้วสิ่งที่น่าเสียดายคือ ยูดาสไม่เลือกที่จะเป็นคนของพระเจ้า เขาปฏิเสธพระเยซูทั้งที่เคยได้ยิน ได้เห็น และอยู่กับพระองค์มานานเท่า ๆ กับอัครทูตคนอื่น

ฟีลิปปี 4 พระเจ้าแห่งสันติสุข

โครงร่างคริสตจักรที่เข้มแข็ง

ฟีลิปปี 1:27
1 โครินธ์ 15:58
ฮีบรู 12:14
1 เปโตร 3:8-11
เอเฟซัส 6:13

หลังจากที่พูดมาหลายเรื่อง ท่านบอกเขาว่าพวกเขาเป็นที่รัก คิดถึงแล้วสบายใจ และในวันที่ท่านยืนต่อพระที่นั่งของพระเจ้า ถ้าพวกเขายืนมั่น นั่นก็คือมงกุฎของท่านต่อพระพักตร์ของพระเจ้า การยืนมั่น ไม่ได้ให้ไปยืนที่ไหน เพราะไม่มีที่ไหนมั่นคง นอกจากยืนมั่นในพระเจ้า แต่ในชุมชนทุกแห่งอาจมีความขัดแย้งเกิดขึ้นได้ สตรีสองคนที่มีปัญหาในคริสตจักร ท่านสั่งให้เธอทั้งสองคืนดีกันเสีย ให้มีใจเดียวกัน คิดอย่างเดียวกัน

วิวรณ์ 13:8 ,3:5, 21:27,20:12,15
ลูกา 10:20

แม้ว่าทั้งสองจะเป็นผู้ร่วมงานของท่านเปาโล แต่ก็กลับมีความเห็นต่างกัน หรืออาจมีเรื่องราวต่อกัน และครั้งนี้ท่านเปาโลได้กล่าวถึงเคลเมนท์ ซึ่งเป็นอีกคนที่รับใช้พระเจ้าด้วยกันกับท่าน สิ่งสำคัญคือ ท่านแน่ใจว่าคนเหล่านี้ ถึงแม้ยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่พวกเขามีชื่อบันทึกในหนังสือแห่งชีวิต เรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าเรามีชื่อจดไว้เท่ากับเรามีสิทธิเป็นพลเมืองของสวรรค์ ได้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าอย่างที่ไม่เคยมาก่อน

เอาชนะความกังวล

1 เธสะโลนิกา 5:16-18
ยากอบ 1:2-4,5:8-9
1 เปโตร 4:13,5:7

จดหมายฉบับนี้ของท่านเปาโลเป็นจดหมายแห่งความยินดี การมีความกังวลนั้น ถ้ากังวลไม่หยุดหย่อน ไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นเหมือนยาพิษของใจ ที่จะทำให้เราไม่มีความสุข ท่านเปาโลบอกวิธีที่จะทำให้ใจทุกข์เป็นสุขด้วยการวางทุกอย่างไว้กับพระเจ้า เชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงเปิดทาง และประทานความสามารถที่เราจะผ่านเหตุการณ์ยากๆ ไปได้ เมื่อปัญหามันยากเกิน ซับซ้อนเกิน อย่าหยุดที่จะหันมาพึ่งพาพระเจ้า เราจะพ้นจากอาการทางจิต ทางร่างกายที่ไม่พึงประสงค์

ยอห์น 14:27
2 เธสะโลนิกา 3:16
อิสยาห์ 26:3
โคโลสี 3:15

ใจและความคิดของเราต้องการโล่ป้องกัน ไม่ให้คิดสิ่งที่ทำให้เราตกต่ำ ไม่ให้เราหมกมุ่นในสิ่งที่ทำลายชีวิตของเรา สิ่งที่ช่วยป้องกันให้เราไม่คิดสิ่งชั่วร้ายก็คือเมื่อเรามีสันติสุขในใจนั่นเอง คนสบายใจมีสันติสุขของพระเจ้า จะไม่ข้องแวะกับสิ่งสกปรกใด ๆ อย่างอัตโนมัติ เพราะเขาไม่ต้องพยายามควานหาความสุขจากอะไร ๆ ที่ไม่ใช่ต้นตอความสุขแท้ อย่าลืม.เด็ดขาดว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยเสมอเมื่อเราขอความช่วยเหลือจากพระองค์

คิดสิ่งที่ทำ ทำสิ่งที่คิด

ยากอบ 3:17
ทิตัส 2:7
โรม 12:9-21
กาลาเทีย 5:22

แล้วท่านเปาโลก็บอกถึงแปดสิ่งที่ควรคิดถึง ท่านไม่พูดเป็นนามธรรม แต่กล่าวเป็นรูปธรรมชัดเจน เมื่อความคิดวนเวียนอยู่ในสิ่งเหล่านี้ เราก็จะไม่มีเวลาไปคิดเรื่องไร้สาระ เรื่องสกปรกใด ๆ เช้ามาเราจึงยังไม่ควรเปิดฟังข่าวใด ๆ เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยข่าวที่ตรงข้ามกับแปดข้อที่ควรคิด เราควรอยู่กับพระคำของพระเจ้า จบวันด้วยพระคำของพระองค์ ให้ข้อมูลข่าวสารของโลกเป็นรองจากพระคำ
เราลองดูทั้งแปดสิ่งนี้ แล้วเราจะเห็นว่า เมื่อเราคิดถึงพระบิดา พระบุตร และองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะได้ครบทั้งหมดเลย!

2 เปโตร 1:10
ยากอบ 1:22
1 เธสะโลนิกา 4:1-8
ยอห์น 13:17

รางวัลของการที่ทำตามสิ่งที่เรียน รับ ได้ยิน ได้เห็นจากท่านเปาโล คือการที่พระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงอยู่กับเรา แม้ว่าในโลกของคริสเตียนจะมีหลายความคิดแตกต่างกันไป มีหลายคริสตจักร มีหลายกลุ่ม แต่สิ่งที่ท่านเปาโลสอนนั้นยอดเยี่ยม ติดตามไปจะไม่หลงทาง
การมีพระเจ้าแห่งสันติสุขอยู่กับเรานั้น ยอดเยี่ยมจริง ๆ ไม่ว่าโลกจะโกลาหลเพียงใด เรายังจะมีสันติสุขได้ ประหลาดนัก

น้ำใจชาวเมืองฟีลิปปี

2 โครินธ์ 11:9, 7:6-7
กาลาเทีย 6:10
ฮีบรู 13:5-6
1 ทิโมธี 6:6-9
2 โครินธ์ 9:8

เราจะเห็นว่า ท่านเปาโลมีความสัมพันธ์สนิทกับพี่น้องชาวฟีลิปปี ทั้ง ๆ ที่เวลาผ่านไปนานแล้วถึง 10 ปีหลังจากที่ท่านตั้งคริสตจักรในเมืองนี้ พวกเขาห่วงใยสนับสนุนงานรับใช้เสมอ แม้มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ขาดการติดต่อกัน ท่านเล่าให้เขาฟังว่า ท่านพอใจกับการจัดเตรียมของพระเจ้าทุกรูปแบบ ความพอใจของท่านไม่ได้ขึ้นอยู่กับมีมากหรือน้อย แต่ดูเหมือนขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดที่ท่านมีกับพระเจ้า

2 โครินธ์ 11:27,12:7-10,11:9
มัทธิว​ 11:29
อิสยาห์ 41:10
โคโลสี 1:11

ท่านบอกเขาว่าจะมีมากหรือขัดสน จะอิ่มหรือหิว ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หลายคนเมื่อขาด เมื่อต้องการแล้วไม่ได้ก็จะเกิดอาการหงุดหงิด งุ่นง่าน ไม่สบายใจเพราะรู้สึกว่า ต้องมีมาก ๆ มีเกินพอจึงจะมีความสุข ความรู้สึกเพียงพอ พึงใจแบบนี้ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ก็เกิดขึ้นมา แต่เป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ต้องฝึกฝน หยุดบ่น ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับใคร ไม่โลภ เมื่อเรามั่นใจในพระเจ้าอย่างท่านเปาโลในทุก ๆ สถานการณ์ เราจึงพึงพอใจได้ไม่ว่าจะมีหรือขาด

ฮีบรู13:16 ,10:34
ฟีลิปปี 1:7
2 โครินธ์ 11:8-12


พระคัมภีร์สอนเรื่องการใช้จ่าย การเงินมากเหมือนกัน และในข้อนี้ท่านเปาโลก็กล่าวถึงการช่วยเหลือที่คริสตจักรฟีลิปปีได้ช่วยท่านจริงจัง พวกเขาให้ด้วยใจกว้างขวาง ไม่ได้ไปดูว่าคนอื่นทำอย่างไร แต่มีน้ำใจเอง ทำให้เขาเป็นผู้มีส่วนในการรับใช้ เป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ออกไปแนวหน้า เป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญยิ่ง ทำให้งานของพระเจ้าขยายออกไป เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าด้วย (18)

1 เธสะโลนิกา 2:9, 2:18
ทิตัส 3:14
ฮีบรู 6:10

จากพระคำข้อนี้ จะเห็นว่า ตอนที่เปาโลทำงานในเมืองเธสะโลนิกา คนชาวเมืองฟีลิปปีก็มีน้ำใจรักคนอีกเมือง และช่วยเหลือท่านเปาโลจริง ๆ ท่านเปาโลเองก็อวยพรเขาไปกลาย ๆ ในข้อนี้ด้วย ท่านรู้ว่า พระเจ้าจะทรงอวยพระพรในน้ำใจนี้ และพวกเขาก็จะยิ่งรับใช้ปรนนิบัติในการสนับสนุนเพิ่มขึ้นอีก

ฮีบรู 13:16
2 โครินธ์ 9:8-12
สดุดี 84:11,23:1-5
1 เปโตร 5:10
โรม 11:36
กาลาเทีย 1:4-5

นี่เป็นเคล็ดลับแห่งการมีชีวิตที่ถวายได้ไม่มีวันหมด เมื่อเราถวายด้วยใจยินดี เมื่อเราใส่ใจในการช่วยเหลือ นั่นคือการนมัสการพระเจ้า เป็นของถวายที่พระเจ้าทรงพอพระทัย และพระเจ้าจะประทานให้เรามีเพื่อที่จะรับใช้ต่อไป นี่เป็นความจริงที่คริสเตียนจำนวนมากมายประสบมาแล้ว เราจึงไม่ต้องกังวล เพราะว่าพระเจ้าจะทรงใช้เราให้ทำงานแบบนี้ต่อไป

คำอำลา คำอวยพร

โรม 16:21-22
ฟีลิปปี 1:13
2 โครินธ์ ๅ_ซๅภ

ถึงแม้ท่านเปาโลจะถูกกักกันตัวไว้ในบ้าน และมีทหารมาเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เราจะเห็นว่า ท่านไม่ได้ขาดความสัมพันธ์กับพี่น้องเลย คนในวังซีซาร์ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าข้าราชการของโรมทั้งหลาย ก็มาพบพระเจ้าเพราะนักโทษชายเปาโลท่านนี้ ท่านจึงเป็นต้นแบบของคนที่มีความสุขความยินดีของพระเจ้า ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด

ฟีลิปปี 3 ทุกอย่างเพื่อพระคริสต์

1 เธสะโลนิกา 5:16
กาลาเทีย 5:15
สดุดี 119:115
โรม 2:28

ท่านเปาโลไม่เบื่อเลยที่จะบอกให้พี่น้องยินดีในพระเจ้า คนที่ไร้อิสรภาพ ไปไหนไม่ได้ มีทหารเฝ้าตลอดเวลา กลับยินดีเสมอ ดูเหมือนว่า เป็นทักษะที่ฝึกได้ เราต้องฝึกที่จะยินดีในพระเจ้าไม่หยุด ท่านเปาโลหมายความให้พี่น้องยินดีต่อเนื่อง..ไม่ว่าสถานการณ์รอบตัวจะเป็นอย่างไร
แล้วท่านก็ให้เขาระมัดระวังคนสอนผิดที่อ้างว่าต้องผ่านพิธีกรรมนี้ ต้องทำสิ่งนั้น ต้องเดินตามพวกเขา เพื่อว่าจะได้ไปสวรรค์ คนที่บอกว่าต้องดีเอง

เฉลยธรรมบัญญัติ 30:6
โรม 7:6
2 โครินธ์ 5:16,
11:18,22,23

ท่านบอกชัดเจนว่า เราต้องไม่เชื่อในความดีของเราเอง ไม่ว่าพื้นเพของเราจะเป็นอย่างไรนั้น ไม่เกี่ยว แม้ในชีวิตเราต้องทำสิ่งดี ทำดีมาก ๆ แต่การดีนั้น ไม่ได้ทำให้เราเหนือคนอื่น ทุกคนเท่าเทียมกัน ทุกคนควรอวดพระเยซู ไม่ใช่อวดตนเอง

2 โครินธ์ 11:22
โรม 11:1
กิจก่ี 23:6, 8:3,22:3-4

จะว่าไปแล้ว ท่านเปาโลนั้นมีคุณสมบัติครบถ้วนเรียกได้ว่า เป็นคนดี เพียบพร้อมด้วยชาติตระกูล ความรู้สูง มีความกระตือรือร้นมาก ทำตามธรรมบัญญัติแบบไม่มีที่ติได้เลย ท่านเปาโลไม่ได้อวดตัว ตอนนี้ท่านเพียงบอกว่า ถึงจะเป็นคนสมบูรณ์แบบอย่างนี้ มันก็ไม่มีความหมายอะไร

ลูกา 14:26,33
มัทธิว 16:26
ยอห์น 17:3
กิจการ 20:24
โรม 8:18

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะท่านรู้ดีว่า สิ่งเหล่านั้นไร้สาระ เมื่อท่านได้มาพบพระเยซูบนถนนไปเมืองดามัสกัสครั้งนั้น ชีวิตก็เปลี่ยนไป การมองโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สิ่งเดิม ๆ ที่เคยภาคภูมิใจ เคยใช้เป็นเครื่องมือในการใช้ชีวิต ท่านกลับมองว่ามันด้อยค่าไปแล้ว ด้อยค่าจริง ๆ ไม่น่าสนใจอีกต่อไป ต้องทิ้งไป พระเยซูต่างหากที่มีค่าสูงสุดในชีวิต

โคโลสี 2:2-3
1 โครินธ์ 2:2
2 โครินธ์ 5:21
โรม 8:1

ท่านเปาโลเห็นว่าทุกสิ่งที่ท่านเคยให้ความสำคัญ เป็นเหมือนมูลสัตว์ (ภาษากรีกสื่อว่าเป็นเช่นนั้น ) สกปรก เหม็น สิ่งที่เคยเป็นเกียรติก็ไม่ใช่อีกต่อไป ความดีที่เคยภูมิใจกลายเป็นขี้ริ้ว การมองโลกใหม่ของท่านเปาโลคือ ความดีของพระคริสต์เท่านั้น การมีพระคริสต์เท่านั้น เชื่อในพระองค์เท่านั้นจึงจะเป็นของดีที่แท้จริง

กาลาเทีย 2:20
2 ทิโมธี 2:11-12
ยอห์น 11:24

แม้ว่าท่านเปาโลจะรู้พระคัมภีร์เดิมจนทะลุปรุโปร่ง แต่​มาวันนี้ เมื่อพบพระคริสต์
หัวใจของท่านก็มุ่งมั่นจะรู้จักพระองค์ให้ดีขึ้น มากขึ้น ใกล้ชิดขึ้น ไม่เคยมีวันที่รู้จักพอแล้ว ท่านหาพระองค์แล้วหาพระองค์อีก กลายเป็นชีวิตที่เฝ้าหาพระเจ้า ทั้งรู้จักส่วนตัว ทั้งรู้จักฤทธิ์เดชแห่งการคืนชีพ ทั้งรู้จักความเจ็บปวดและความตายของพระองค์ ท่านไม่สนใจว่าจะทนทุกข์เท่าไรเพราะรู้ว่าพระคริสต์ทรงทนทุกข์มากกว่านั้น

วิ่งสู่เส้นชัย

1 ทิโมธี 6:11-12
2 เปโตร 1:5-8
2 โครินธ์ 7:1
ลูกา 9:62
ฮีบรู 12:1-2

ผู้ที่จะชนะในการแข่งขัน จะต้องไม่พอใจสภาพของตน ต้องทำให้ดีขึ้นเสมอ เขาต้องมีสมาธิในการฝึกฝน ต้องแน่วแน่ว่าจะได้ชัยชนะอย่างไร ต้องอุทิศตน และมีโค้ชที่ดี ทัศคติของท่านชัดเจนมาก
การลืมสิ่งที่ผ่านมาคือ ไม่ยอมให้มันมาเป็นอุปสรรคของการก้าวต่อไป เราจะต้องไม่เป็นแค่คนดูการแข่งขัน แต่เราจะต้องเอาตัวลงไปแข่งเหมือนอย่างท่านเปาโล

1 โครินธ์ 9:24
1 เปโตร 5:10
วิวรณ์ 3:21
กาลาเทีย 5:10
ยากอบ 1:4-5
1 โครินธ์ 15:51-52
1 เธสะโลนิกา 4:15-17

เป้าหมายนั้น กรีกว่า สโกโพส เป็นจุดที่นักกีฬามุ่งหัวใจสายตาไปที่นั่น ท่านเปาโลรู้ว่าเมื่อไปถึงเป้าหมายท่านจะพบพระคริสต์ ท่านจะพบพระองค์ต่อหน้าต่อตา เราต้องวิ่งสุดกำลังเหมือนท่านเพื่อรางวัล ซึ่งหมายความถึงได้รับเมื่อถึงเป้าหมาย ไม่ได้ก่อนหน้านั้น รางวัลนั้นน่าจะเป็นรางวัลที่พระเจ้าประทานเมื่อเราไปเฝ้าพระองค์ที่บัลลังก์พิพากษา ดังนั้นเราต้องรู้ว่า เวลานี้เรากำลังวิ่งแข่งในลู่วิ่งแห่งชีวิตอยู่
คนที่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด เป็นคนที่โตแล้ว และเราไม่จำเป็นต้องไปเริ่มต้นที่จุดแรก แต่เราอยู่ตรงไหน ก็เริ่มติดตามพระเจ้าต่อไปจากตรงนั้นเลย

เราเป็นประชากรอาณาจักรสวรรค์

ฟีลิปปี 4:9
1 โครินธ์ 4:16
เอเฟซัส 4:17
โรม 16:18
2 เปโตร 2:3

สิ่งสำคัญยิ่งคือการรู้จักพระเจ้าให้มากขึ้น ลึกซึ้ง ใกล้ชิดขึ้นตามที่ท่านเปาโลสอน
แต่แล้วท่านเปาโลก็มากล่าวถึงคนที่ไม่ได้ทำตามอย่างท่าน และแถมทำตัวต่อต้านพระเจ้าด้วย ในสังคมตอนนั้น ยังมีคนสนับสนุนการใช้ชีวิตไร้กฎ เอาแต่หาความสนุกใส่ตัว พวกนี้แตกต่างจากคนในข้อ 2 ที่เคร่งครัดจนเกินเลย มีคนไม่น้อย พวกเขาใช้ชีวิต และพูดตรงข้ามกับไม้กางเขน สนใจปากท้อง อวดสิ่งที่ไม่ควรอวด หมกมุ่นในทางโลก พระของเขาคือตัวเอง สิ่งที่ตนอยากกินอยากได้

เอเฟซัส 2:19
โคโลสี 3:1-4
1 ยอห์น 3:2
เอเฟซัส 1:19-20
ยอห์น 11:24-26

เรารอคอย หมายถึงตั้งอกตั้งใจคอย การที่เรารอคอยการเสด็จมาของพระเจ้านั้น ตอนนี้เราแน่วแน่รอ หรือว่าคิดว่ามาเมื่อไรก็เมื่อนั้น … แรงจูงใจสำคัญของเราคือ เมื่อพระเจ้าเสด็จมา พระองค์จะทรงเห็นเราพร้อมรับพระองค์
และวันนั้น ร่างกายของเราจะเปลี่ยนแปลงใหม่ จากร่างกายที่ตายได้เป็นร่างกายที่เป็นอมตะ