มาระโก 2 สี่เรื่องราวในคาเปอรนาอุม

หายทั้งจากบาปและจากโรค

1 สองสามวันผ่านไป พระเยซูทรงกลับเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุมอีกครั้ง
ชาวเมืองได้ยินว่า พระองค์มาประทับที่บ้าน
2 ผู้คนจึงพากันมารวมตัวกันที่นั่น จนไม่มีที่ว่าง แม้ตรงประตู
และพระองค์ทรงประกาศพระคำแก่พวกเขา   
3  มีชาย 4 คนหามชายเป็นอัมพาตมาหาพระองค์
4  เมื่อพวกเขาไม่อาจนำชายเป็นอัมพาตเข้ามาถึงพระองค์ เพราะคนแน่นมาก
    พวกเขาจึงขึ้นไปรื้อหลังคาเหนือพระเยซู 
    เมื่อรื้อสำเร็จ พวกเขาก็หย่อนแคร่ที่ชายอัมพาตนอนลงมา
5  เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อของพวกเขา ก็ตรัสกับชายอัมพาตว่า
    “ลูกเอ๋ย บาปทั้งหลายของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” 
​​​  (ภาษาเดิมทำให้ทราบว่าคำนี้เป็นคำพูดว่า พระเจ้าทรงให้อภัย) 
6 แต่มีพวกธรรมาจารย์นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็พากันคิดในใจของตนว่า
7  “เหตุใดชายคนนี้จึงกล่าวเช่นนี้?  นี่เขากำลังหมิ่นประมาทพระเจ้านี่นา
นอกเหนือจากพระเจ้าแล้ว จะมีใครอภัยบาปได้เล่า?”
8  เวลานั้นเอง พระเยซูทรงทราบในพระทัยว่า พวกเขากำลังคิดแบบนั้นกันอยู่ 
พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “เหตุใดพวกท่านจึงคิดในใจเช่นนั้น?
9  พูดอย่างไหนจะง่ายกว่ากัน ที่จะกล่าวกับคนป่วยว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ 
หรือกล่าวว่า ‘ จงลุกขึ้น หยิบแคร่ของเจ้าแล้วเดินไป’ ?
10  แต่เพื่อพวกท่านจะรู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะอภัยบาปได้”
พระองค์จึงตรัสกับชายอัมพาตว่า
11 “เราขอบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้น ยกแคร่ของเจ้าและกลับบ้านไป”
12 ชายคนนั้นลุกขึ้นทันที หยิบแคร่ของเขา เดินออกไปต่อหน้าทุกคน  พวกเขาต่างประหลาดใจและกล่าวสรรเสริญยกย่องพระเจ้าว่า “เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย!” 

“ตามเรามาเถอะ เลวี! “

13  พระเยซูทรงดำเนินไปริมทะเลอีก ผู้คนพากันมาหาพระองค์ และพระองค์ทรงสอนพวกเขา
14 ขณะที่ทรงผ่านไป ก็ทรงเห็นเลวีลูกชายของอัลเฟอัส
เขากำลังนั่นอยู่ที่ด่านเก็บภาษี พระองค์ตรัสกับเขาว่า
“ตามเรามา” เขาก็ลุกขึ้นและตามพระองค์ไป
15 ขณะที่พระเยซู รับประทานอาหารในบ้านของเลวี ก็มีคนเก็บภาษีหลายคน
รวมทั้งคนบาป (ในสายตาของยิว) กำลังนั่งรับประทานอาหารกับพระองค์ รวมทั้งพวกศิษย์
เพราะมีหลายคนติดตามพระองค์ไปด้วย
16 เมื่อผู้เชี่ยวชาญธรรมบัญญัติและพวกฟาริสีเห็นว่า
​​​​ พระองค์รับประทานอาหารกับคนบาปและคนเก็บภาษี
จึงกล่าวแก่พวกศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมท่านจึงกินอาหารกับคนเก็บภาษีและคนบาป?”
17 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินดังนั้นจึงตรัสกับพวกเขาว่า
​​​ “คนที่สุขภาพดีแล้วก็ไม่ต้องการหมอ  แต่คนเจ็บป่วยต้องการหมอ 
เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป”

ของใหม่ที่ไปด้วยกัน

18 ตอนนั้น ศิษย์ของยอห์นและพวกฟาริสีกำลังอยู่ในช่วงเวลาอดอาหาร
ดังนั้นพวกเขาจึงมาหาพระเยซู กล่าวว่า
“ศิษย์ของยอห์น และศิษย์ของฟาริสีพากันอดอาหาร แต่เหตุใดศิษย์ของท่านไม่อดอาหาร?”
19 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “แขกในงานเลี้ยงแต่งงานไม่อดอาหาร
ยามที่เจ้าบ่าวอยู่กับพวกเขา อย่างนั้นไม่ใช่หรือ? 
20 แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวถูกนำไปจากพวกเขา ถึงเวลานั้นพวกเขาจะอดอาหาร”
21”ไม่มีใครเย็บเศษผ้าที่ยังไม่หดตัว เข้ากับผ้าเก่า เพราะไม่อย่างนั้น ผ้าที่ปะไว้จะดึงรั้งผ้าเก่าให้
ขาดมากขึ้น  และรอยขาดก็จะแย่กว่าเดิม”
22 “และไม่มีใครเทน้ำองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า มิฉะนั้นเหล้าองุ่นใหม่จะทำให้ถุงนั้นขาด
ทั้งเหล้าองุ่นและถุงหนังจะเสียไป
ดังนั้นเหล้าองุ่นใหม่ก็จะต้องเทลงในถุงหนังใหม่”

เจ้าเหนือวันสะบาโต


23 วันสะบาโตหนึ่ง พระเยซูทรงเดินผ่านเข้าไปในนาข้าว
     ระหว่างที่เดินไปนั้น ศิษย์ของพระองค์ก็เริ่มเด็ดรวงข้าวไปพลาง
24 เหล่าฟาริสีพูดกับพระองค์ว่า “ดูสิ ทำไมพวกเขาจึงทำสิ่งที่ผิดกฏวันสะบาโต?”
25  พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าไม่เคยอ่านเลยหรือว่า กษัตริย์ดาวิดทรงทำอะไรยามที่ท่านและผู้ติดตามพากันหิวโซและไม่มีอะไรกิน  
26  ท่านได้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าสมัยที่ท่านอาบีอาธาร์เป็นมหาปุโรหิต และกินขนมปังบริสุทธิ์ซึ่งเป็นการทำผิดกฎบัญญัติ เพราะเป็นขนมปังสำหรับปุโรหิตเท่านั้น และท่านยังส่งให้ผู้ติดตามของท่านด้วย”
27  แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า  “วันสะบาโตนั้นสร้างไว้เพื่อมนุษย์  ไม่ใช่สร้างมนุษย์เพื่อวันสะบาโต 
28  ด้วยเหตุนี้เอง บุตรมนุษย์จึงเป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต”


คำอธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง

มาระโก 2:1-12
เรื่องนี้ปรากฎอยู่ที่ มัทธิว 9:1-8 และ ลูกา 5:17-26. ด้วย
เมืองคาเปอรนาอุมอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบกาลิลี. พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ที่เมืองนี้หลายครั้ง คาดว่าในช่วงเวลานั้นมีประชากรประมาณ 1,500 คน เมืองนี้อยู่ใต้ระดับน้ำทะเล  204 เมตร (netbible.org)
ท่านมาระโกเริ่มต้นเล่าเรื่องเหล่านี้แบบรวดเร็ว พระเยซูมา คนได้ยินข่าว พวกเขามารวมกัน พระเยซูทรงสอนพระคำ..ชายสี่คนหามเพื่อนที่เป็นอัมพาตมาหาพระองค์​ พวกเขารื้อหลังคา. บ้านของคนปาเลสไตน์สมัยก่อนมีบันไดขึ้นไปหลังคาด้วย ตัวหลังคามักทำด้วยไม้แผ่น หรือขื่อที่ใช้ดินพอกกับใบปาล์มช่วยปิดกันลมฝน
ข้อ 5 พระเยซูทรงเห็นความเชื่อของชายทั้งสี่และชายเป็นอัมพาตที่ตั้งใจมาพบพระองค์ให้ได้ เวลานั้น พระองค์ทรงตอบพวกเขาทันที โดยพวกเขาไม่ต้องพูดอะไร แค่ทำให้เห็นก็รู้แล้วว่าต้องการอะไร
คำของพระเยซูที่ว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยนั้น มีความหมายว่า บาปได้รับการอภัยจากพระเจ้าแล้ว” แต่ในวันนั้นมีคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องธรรมบัญญัตินั่นอยู่ พวกเขารู้สึกไม่พอใจกับคำตรัสนั้น หงุดหงิดคิดในใจว่าพระเยซูกำลังทำตัวเสมอพระเจ้า เพราะมีพระเจ้าเท่านั้นที่จะอภัยบาปได้
ทันทีที่พวกเขาคิด พระเยซูก็ทรงทราบว่าพวกเขาคิดอะไรกัน จึงตรัสถามว่าทำไมต้องคิดชั่งใจในเรื่องนี้ อะไรง่ายกว่ากัน การพูดยกโทษบาป หรือทำให้เห็นเลยว่า ชายคนนี้หายโรคแล้ว?
พระองค์จึงทรงสั่งให้เขาลุกเดินกลับบ้านให้เห็นต่อหน้าต่อตาเสียเลย
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พวกเขานึกขึ้นได้ว่า ไม่เคยเห็นการอัศจรรย์อย่างนี้มาก่อน เป็นไปได้อย่างไร คนที่เป็นอัมพาตจะเดินได้คล่องขนาดนี้ แถมขนแคร่กลับบ้านเองด้วย
คนยิวเองไม่เชื่อว่า ใครจะยกโทษให้ใครได้จริง นอกจากพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาจึงคิดว่าสิ่งที่ พระเยซูตรัสเป็นการหมิ่นพระเจ้า แต่พระเยซูกำลังจะชี้แจงให้พวกเขาได้รู้ว่า พระองค์นี่แหละคือพระเจ้า!
ทรงเรียกพระองค์เองว่า บุตรมนุษย์ ซึ่งมีความหมายว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมา ทรงเป็นตัวแทนของมนุษย์ต่อพระเจ้า (ดาเนียล 7:13-14)
เหตุการณ์วันนี้ ทำให้คนที่อยู่ ได้ประสบว่า พระเยซูทรงยกโทษบาปได้ พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ พระองค์ทรงมีอำนาจเหนือความเจ็บป่วย ทุกคนในบ้านเป็นพยานได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนในบ้านนั้น จะรับว่าทรงเป็นพระเจ้า
1*มัทธิว 9:1. 3*มัทธิว 4:24, 8:6, กิจการ 8:7,9:33, 7* โยบ 14:4, อิสยาห์ 43:25, ดาเนียล 9:9, 9* มัทธิว 9:5, 12*มัทธิว 15:31, ฟีลิปปี 2:11,

มาระโก 2:13-17
เรื่องนี้ปรากฏใน มัทธิว 9:9-13 และ ลูกา 5:27-32 ด้วย
ต่อมาเมื่อทรงไปริมทะเล ก็พบเลวีที่ด่านเก็บภาษี นอกจากทรงสอนประชาชนแล้ว ยังทรงชวนให้ตามพระองค์ ซึ่งเขาก็ตอบพระองค์ทันทีและยังเชิญพระองค์ไปรับประทานอาหารที่บ้านพร้อมกับเพื่อน ๆ ของเขา และคนอื่น ๆ ในมื้อนี้มีศิษย์ของพระองค์อีกหลายคนได้ร่วมโต๊ะด้วย
แต่คนเก่งธรรมบัญญัติและฟาริสีก็ (คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มยิวที่ทุ่มเทชีวิตให้กับการรักษาบัญญัติ และกฏทางพิธีกรรมต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด) ยังหาเรื่อง ข้ออ้างของพวกเขาคือ พระองค์ทรงกินอาหารกับคนเก็บภาษี คนบาป (การกินอาหารแบบนี้ คือการเอนตัวลงข้าง ๆ กินอาหารไปกับคนอื่น ๆ ท่าทางการกินจึงดูสนิทสนมกันมาก )พระองค์ก็เลยบอกพวกเขาไปว่า พระองค์ไม่ได้มาหาคนดีอย่างพวกเขา แต่มาหาคนที่รู้ว่าตนเองเป็นคนบาป
การเก็บภาษีสมัยนั้น จะมีการตั้งด่านที่ท่าเรือ ทางเข้าเมืองเพื่อเก็บภาษีสินค้าที่เข้ามาขายในพื้นที่ ใครอยากเป็นคนเก็บภาษีก็จะต้องไปเข้าประมูลเพื่อให้ตนมีสิทธิที่จะเก็บภาษีได้ คนพวกนี้จะจ้างคนเก็บภาษีมาประจำที่ด่าน พวกเขาจะเก็บเงินภาษีสูงกว่าปกติเพื่อส่วนต่างจะเป็นของพวกเขา อีกส่วนก็ส่งให้กับรัฐไป ธุรกิจนี้เต็มด้วยการคดโกง การให้สินบน และอื่นๆ ที่สามารถทำเงินจากช่องโหว่ของกฎหมาย
เท่ากับว่า เลวี คนที่พระเยซูทรงเรียก เป็นคนที่ใคร ๆ ก็เกลียดชังเพราะหน้าที่การงานของเขา แต่พระเยซูกลับไม่ได้มองเรื่องนั้น พระองค์ทรงมาเรียกคนบาปอย่างเลวีนี่แหละ
แต่สิ่งที่พวกฟาริสีกำลังจะบอกก็คือ เขาเห็นว่า พระเยซูไม่ได้เป็นคนสะอาด ไม่ได้แยกตัวออกจากคนบาป คำว่าคนบาปของพวกเขา คือ คนที่ไม่ได้สนใจรักษาบัญญัติของโมเสส ในสายตาของพวกเขา คนเหล่านี้ชั่วร้าย และไร้ค่า
13* มัทธิว 9:9, 14* มัทธิว 9:9-13, ลูกา 5:27-32, มัทธิว 4:19, 8:22, 19:21, ยอห์น 1:43, 12:26, 21:22, ลูกา 18:28 15* มัทธิว 9:10, 17* มัทธิว 9:12, 13, 18:11, ลูกา 5:31,32, 19:10

มาระโก. 2:18-22
ศิษย์ของยอห์น(ผู้ให้บัพติศมา) ยังไม่ได้ติดตามพระเยซูจริงจัง อาจารย์ของพวกเขายังติดคุกอยู่ (มัทธิว 4:12) พวกเขาอาจอดอาหารอธิษฐานเผื่ออาจารย์ของเขา ส่วนฟาริสีจะอดอาหารอธิษฐานกันสัปดาห์ละสองครั้ง ตามกฎของฟาริสี (ในพระคัมภีร์เดิมมีบอกให้อดอาหารในวันลบมลทินบาป ปีละครั้ง เลวีนิติ 16:31 พูดถึงการบังคับใจตนเอง ซึ่งหมายความถึงการอดใจไม่กิน)
ดังนั้นการอดอาหารของฟาริสีจึงเป็นข้อบังคับที่พวกเขาเขียนขึ้นมาทีหลังเป็นการแสดงออกว่าพวกเขาเคร่งครัดมาก
เวลาพระเยซูตรัสตอบเขา ก็ไม่ได้ตอบตรง ๆ ตรัสเป็นคำเปรียบเทียบและตั้งคำถามอีก
เรื่องที่พระองค์ตรัสถึงงานเลี้ยงสมรสมีความหมายถึง เวลาที่พระเมสสิยาห์อยู่กับพวกเขา และพระองค์กำลังตรัสถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย ซึ่งดู ๆ ไปแล้ว จะมีใครเข้าใจว่าพระองค์ทรงหมายถึงอะไรในเวลานั้น พวกเขายังไม่รู้ชัดว่า พระองค์คือผู้ใดจนกว่าจะถึงวันที่ทรงถามเปโตร
(มาระโก 8:27-30) คำตอบที่พวกเขาได้ก็อาจจะเป็นว่า เมื่อไรที่พระองค์ไม่อยู่แล้ว พวกศิษย์จะอดอาหารอธิษฐานเองนั่นแหละ
แต่แล้วทรงตรัสเป็นเรื่องอีกเรื่องถึงเหล้าองุ่นใหม่ต้องใส่ในถุงหนังใหม่ พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไรกัน?
ในสมัยนั้น เขาเก็บเหล้าองุ่นไว้ในถุงหนัง ถ้าเป็นเหล้าใหม่ ต้องใส่ในถุงหนังใหม่ที่มีความยืดหยุ่นสูง. เหล้าใหม่มันจะขยายตัวมาก ดังนั้น ถ้าเกิดเอาเหล้าใหม่ใส่ถุงเก่าที่ยืดแล้ว มันจะยืดอีกจนขาด ความหมายคือ คำสอนและทุกสิ่งที่ตรัสนั้นเป็นของใหม่ที่ไม่อาจเอาไปอยู่รวมกับกฎเกณฑ์ของศาสนายิวที่ฟาริสียึดมั่นได้เลย เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงสอนนั้นเป็นเรื่องของชีวิตที่เปลี่ยนจากภายใน เป็นเรื่องของการที่พระเจ้าทรงปกครองใจ ไม่ใช่ให้กฎบัญญัติมาครองใจ
18* มัทธิว 9:14, 17, ลูกา 5:33-38, 20*กิจการ 1:9, 13:2, 3, 14:23,

มาระโก 2:23-28
อีกครั้งที่ฟาริสีหาเหตุกล่าวโทษพระเยซู เพียงเพราะศิษย์ของพระองค์เด็ดรวงข้าวกิน (พวกเขาไม่ได้เก็บข้าวแล้วใส่ย่ามไป) แค่เด็ดกินตรงนั้น พวกเขาก็มองว่าเป็นการผิดกฎสะบาโตที่พวกเขาตั้งกันขึ้นมา พระเยซูจึงทรงย้อนถามไปถึงวันที่ปุโรหิตกับดาวิดที่กำลังหนีกษัตริย์ซาอูลได้ละเมิดกฎ โดยเอาอาหารให้คนที่ไม่ใช่ปุโรหิตกินเพื่อจะมีแรงหนีต่อไปได้
เรื่องราวนั้นคือ ….ในสมัยที่กษัตริย์ซาอูลซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอลครอบครองนั้น ตอนนั้นท่านอาบีอาธาร์เป็นมหาปุโรหิต ดูแลฝ่ายวิญญาณของอิสราเอล แต่ผู้ที่เป็นปุโรหิตที่มอบอาหารให้ดาวิดนั้นคือ อาหิเมเลค ซึ่งเป็นปุโรหิตประจำที่เมืองโนบ อ่าน 1 ซามูเอล 21:1
ดาวิดกำลังหนีกษัตริย์ซาอูล และต้องการอาหาร และอาหิเมเลคไม่มีอาหารอื่นนอกจากขนมปังบริสุทธิ์ และก็มอบให้ดาวิดไปเพื่อให้กับผู้คนที่ติดตามท่านมา
พระเยซูกำลังบอกพวกเขาว่า วันสะบาโตมีไว้ให้พักผ่อน มีเพื่อมนุษย์ ให้เป็นพรสำหรับเขา แต่ฟาริสีกลับเปลี่ยนวันแห่งพระพรให้กลายเป็นวันแห่งภาระหนักที่ต้องแบก ต้องคอยระมัดระวังไม่ให้ผิดกฎ
และพระองค์จึงเสริมให้เขารู้ว่า พระองค์ทรงเป็นเจ้า เหนือวันสะบาโต พระองค์ไม่ได้ใหัมันเป็นภาระที่ต้องแบก แต่เป็นพระพรให้กับชีวิตของคนอื่น ดังนั้น ในวันสะบาโตจะทรงทำอะไรที่ทรงเห็นสมควรย่อมได้เสมอ
23* ลูกา 6:1-5, เฉลยธรรมบัญญัติ 23:25, 24* อพยพ 20:10, 31:15, 25* 1 ซามูเอล 21:1-6, 26* เลวีนิติ 24:5-9, 27* เฉลยธรรมบัญญัติ 5:14 28* มัทธิว 12:8

บรรณานุกรม
netbible.org
Macarthur, John. The MacArthur Study Bible.

1 ยอห์น 1 ความสว่าง ความรักและชีวิต

ที่มาจากปฐมกาล ที่ได้ยิน ได้เห็น ได้ดู และสัมผัส

(นี่เป็นสิ่งที่เราประกาศแก่ท่าน)
สิ่งที่มาจากปฐมกาล
สิ่งที่เราได้ยิน
สิ่งที่เราได้เห็นด้วยตา
สิ่งที่เราได้พินิจดูและได้สัมผัสด้วยมือของเรา
เกี่ยวข้องกับพระคำแห่งชีวิต
1 ยอห์น 1:1

ยอห์น 1:1, 4, 14, 2 เปโตร 1:16, ลูกา 24:39,

ชีวิตนั้นได้ปรากฏ
และเราได้เห็นชีวิตนั้น
เราเป็นพยาน และประกาศกับท่าน
ถึงชีวิตนิรันดร์ที่อยู่กับพระบิดา
และสำแดงให้แก่เรา
1 ยอห์น 1:2

ยอห์น 1:4, โรม 16:26, ยอห์น 21:24, ยอห์น 1:1,18, 16:28

สิ่งที่เราเห็น และได้ยินเราประกาศแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะได้มีสัมพันธ์สนิทกับเราและเรามีสัมพันธ์สนิทกับพระบิดา
และกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์
เราเขียนสิ่งเหล่านี้เพื่อว่า ความยินดีของเราจะสมบูรณ์พร้อม
1 ยอห์น 1:3-4

1 โครินธ์ 1:9, ยอห์น 17:21, 3, 15:11, 16:24

สัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าและพี่น้อง

และนี่เป็นสาระของข่าว ที่เราได้ยินจากพระองค์
และประกาศแก่ท่าน นั่นคือ พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง
และในพระองค์ไม่มีความมืดเลย
1 ยอห์น 1:5

1 ยอห์น 3:11, 1 ทิโมธี 6:16,ยอห์น 8:12, 1:9,
สดุดี 27:1

หากเราพูดว่า เรามีความสัมพันธ์กับพระองค์  แต่เรายังคงเดินในความมืดเท่ากับเราพูดเท็จ
และไม่ได้ประพฤติตามความจริง
1 ยอห์น 1:6

1 ยอห์น 2:9-11, 1 ยอห์น 4:20, ยากอบ 2:14

แต่หากว่าเราเดินในความสว่าง
เหมือนที่พระองค์ทรงดำเนินในความสว่าง
เราก็มีสัมพันธ์สนิทต่อกันและกัน
และพระโลหิตของพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า
ก็ชำระเราให้สะอาดพ้นจากบาปทั้งสิ้น
1 ยอห์น 1:7

อิสยาห์ 2:5, 1 โครินธ์ 6:11, เอเฟซัส 5:8


หากเรากล่าวว่า เราไม่มีความผิดบาป
เราก็กำลังหลอกตนเอง
และความจริงไม่ได้อยู่ในเรา
1 ยอห์น 1:8

ยากอบ 3:2, โรม 3:23, ปัญญาจารย์ 7:20


แต่หากว่าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อตรงและเที่ยงธรรมจะทรงอภัยบาปให้เรา และชำระเราจากความอธรรมทั้งสิ้น
1 ยอห์น 1:9

สุภาษิต 28:13, โรม 13:24-26, สดุดี 51:2



หากเราพูดว่า เราไม่เคยทำบาปเท่ากับเรากล่าวหาว่า พระองค์ทรงมุสา และพระดำรัสของพระองค์ไม่ได้อยู่ในเรา
1 ยอห์น 1:10

1 ยอห์น 5:10, สดุดี 130:3

อธิบายเพิ่มเติม

1 ยอห์น 1:1
พอเราเห็นพระคำตอนนี้ เราก็นึกถึงพระกิตติคุณ
ยอห์นทันที (ในฉบับกรีก ไม่มีประโยคแรกแต่ใส่ไว้ให้เข้าใจง่ายว่าท่านยอห์นหมายถึงอะไร นี่เป็นประโยคเดียวที่ยาวมากเพราะหนึ่งประโยคนี้ยาวไปถึงข้อ 4 ) อ่านให้ดี สิ่งที่ท่านยอห์นกล่าวถึงคือ ข่าวสารเรื่องของพระเยซูนั่นเอง พระองค์ทรงมาจากปฐมกาล แต่เป็นพระเจ้า และอาจารย์ที่รักของท่านยอห์น เป็นผู้ที่ท่านได้อยู่ใกล้ชิดมาก ๆ

1 ยอห์น 1:2
“ชีวิตนิรันดร์ที่อยู่กับพระบิดา”ที่ท่านยอห์นกล่าว
ถึง ก็คือ พระเยซูคริสต์ก่อนที่พระองค์จะมาบังเกิดในโลกนี้ ยอห์น 1:4 และยังโยงกับยอห์น 3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ นั่นคือ พระบุตรพระเจ้าลงมาในโลกและทรงรับสภาพความเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ในองค์ ๆ เดียว และคนจำนวนมากได้สัมผัสกับพระองค์จริง ๆ

1 ยอห์น 1:3-4
เวลานี้ท่านยอห์นเองได้บอกว่า เหตุผลที่ท่านเขียน
จดหมายฉบับนี้ก็เพื่อจะได้มีความยินดีอย่างเต็มเปี่ยม สมบูรณ์แบบ พระเจ้าผู้ที่เรามองไม่เห็นทรงสำแดงพระองค์ผ่านพระเยซู ซึ่งทำให้ผู้คน ได้ยิน ได้เห็น ได้สัมผัส ได้มีสัมพันธ์สนิทกับพระองค์จริง ๆ พระเยซูทรงเป็นผู้ที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เป็นผู้ที่พลิกโฉมของสังคมโลกโบราณ ผู้คนที่มาเชื่อพระองค์ เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อพี่น้องร่วมสังคม แทนเกลียดด้วยความรัก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

1 ยอห์น 1:5
สาระของข่าวที่ได้ยินจากพระองค์นั้นก็คือ เรื่องของข่าวประเสริฐนั่นเองข้อต่อ ๆ ไปเราจะทราบว่า อะไรคือสาระนั้น. สิ่งที่ท่านยอห์นพูดนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ท่านคิดขึ้น มาเองตามใจ แต่ท่านได้ยินมาจากพระเยซูเอง และ ก็ตรงกับสิ่งที่พระเยซู ตรัสในยอห์น 8 และ 9 ดวงอาทิตย์ยังมีจุดมืดที่ดับ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีอะไรเช่นนั้นอยู่ในพระองค์

1 ยอห์น 1:6 พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง คนของพระองค์จึง
ต้องเป็นสว่างด้วย พระเยซูตรัสว่า ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราใช้ชีวิตโดยไม่มีความมืดแฝงอยู่ เป็นชีวิตที่โปร่งใส ไม่มีการแอบหมกบาปไว้ หากเรามั่นใจว่า เรามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าแล้วเราต้องไร้บาปที่ไม่ได้สารภาพพระเยซูทรงชำระเราแล้วด้วยพระโลหิตของพระองค์ เพื่อให้เรามีสัมพันธ์สนิทที่แท้จริง

1 ยอห์น 1:7
ความสว่าง เป็นสัญลักษณ์บอกถึงพระลักษณะของพระเจ้า: ทรงงามเลิศตระการ พระสิริรุ่งโรจน์ ยังรวมไปถึงความบริสุทธิ์ ความจริงในพระองค์ และพระลักษณะที่ทรงสื่อสารกับมนุษย์อยู่เสมอ พลังที่ประทานให้มนุษย์ และสิทธิในการออกพระบัญชา การอยู่ในความสว่างของพระเจ้า ทำให้เรามีสัมพันธ์สนิทต่อกันและต่อพระเจ้าโดยที่ทุกคนได้รับการชำระโดยพระโลหิตแล้ว 

1 ยอห์น 1:8
คำว่า “ฉันไม่ได้ทำผิด” ในเรื่องนั้นเรื่องนี้ยังพอรับได้ว่าเป็นจริง แต่ที่บอกว่า ฉันไม่มีบาปนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้าพูดคำนี้ การพูด เช่นนี้ไม่ใช่แค่หลอกตัวเอง แต่เท่ากับโกหกด้วย เชื่อหรือไม่ว่า ยิ่งเราเข้าใกล้พระเจ้ามากเท่าไร เรายิ่งรู้สึกถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า และ ความสกปรกในชีวิตของเรามากเท่านั้น ท่านอิสยาห์เองได้อธิบายชัดเลยใน
อิสยาห์ 6:1-5

1 ยอห์น 1:9
พระคำข้อนี้ เป็นข้อที่คริสเตียนทุกคนจำได้เพราะถึงแม้เราเข้ามาอยู่ในพระเจ้าแล้ว แต่เรายังต้องการพระเจ้าทุก ๆ วัน ในชีวิตที่ดำเนินไปแต่ละวันนั้น มีโอกาสทำผิด ไม่ตรงตามเป้าหมายที่พระเจ้าทรงประสงค์อยู่เสมอ การสารภาพแปลว่า ประณามบาปในแบบที่พระเจ้าจะทรงกล่าวถึงมัน เรายอมรับความบาปนั้น ไม่ดื้อรั้น เป็นการแต่รู้ว่า บาปเป็นสิ่งที่ต้านพระเจ้าไม่ใช่แค่ผิดหรือพลาด

1 ยอห์น 1:10
ข้อ 6 เราบอกว่าเราสนิทกับพระเจ้า แต่ยังเดินในความมืด ข้อ 8 เราว่า เราไม่มีความผิดบาป ข้อนี้เป็นการกล่าวว่าสิ่งที่เราเคยทำมานั้น ไม่ใช่บาป
เราจะเห็นความสัมพันธ์ของข้อ 5-6, 7-8, 9-10
เมื่อเราอ่านและพิจารณาให้ดี ข้อหลังเป็นการ ปฏิเสธความจริงที่ข้อก่อนหน้าได้กล่าวไว้ พระคัมภีร์ในหนึ่งยอห์นห้าข้อสุดท้ายนับเป็นพื้นฐานการใช้ชีวิตคริสเตียนที่สำคัญมาก เราต้องใช้ชีวิตในความสว่าง สนิทกับพระเจ้า! E 2024 12 02

2 เปโตร 3 พระสัญญาของพระเจ้าไม่เนิ่นช้า

เพื่อนที่รัก นี่เป็นจดหมายฉบับที่สองที่ข้าเขียนถึงท่าน ในจดหมายทั้งสองฉบับ ข้าต้องการให้เป็นคำกระตุ้นเตือนใจบริสุทธิ์ของท่านเพื่อว่าท่านจะได้จำคำที่ผู้เผยพระคำบริสุทธิ์กล่าวไว้ รวมทั้งพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดที่ประทานผ่านเหล่าอัครทูตของท่าน
2 เปโตร 3:1-2

2 เปโตร 1:13, 2 ทิโมธี 1:6, 2 เปโตร 1:21, ยูดา 1:17, ลูกา 1:10

สิ่งที่ท่านเปโตรอยากให้พี่น้องจำได้ก็คือ การเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ ซึ่งผู้เผยพระคำในอดีตได้กล่าวไว้ในพระคัมภีร์เดิม รวมทั้งอัครทูตเอง ก็ได้ส่งต่อคำสอนเรื่องนี้มาด้วย ท่านเปโตรเองก็ยังเป็นห่วงที่จะเตือนสติไม่ให้พี่น้องลืมพระคำของพระเจ้า

อย่างแรก ให้ระวังสิ่งนี้คือ ในยุคสุดท้าย
จะมีคนช่างเยาะเย้ยเข้ามา โดยใช้ชีวิตตามตัณหาชั่วของตน กล่าวว่า
“ไหนล่ะ คำสัญญาว่าพระองค์จะเสด็จมา? ตั้งแต่ที่บรรพบุรุษของเราตายไป ทุกอย่างก็ยังคงเป็นไปเหมือนเดิม มาตั้งแต่เริ่มสร้างโลก”
2 เปโตร 3:3-4

2 เปโตร 2:10, ยูดา 1:18, ปฐมกาล 6:1-7, เยเรมีย์ 17:15, 5:12-13

เราไม่ต้องแปลกใจเมื่อเห็นคนที่มาถากถางพระคำของพระเจ้า เพราะท่านเปโตรเตือนไว้แล้ว ยุคสุดท้ายในความหมายของพระคัมภีร์คือ ตั้งแต่วันที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์จนถึงวันที่พระองค์จะเสด็จมาอีกที พวกเราอยู่ในยุคสุดท้าย แต่คนพวกนี้ เป็นคนที่มีปัญหาทั้งทางศีลธรรม และทางความเชื่อ พวกเขาต้องการให้คนเห็นว่าเขาเป็นฝ่ายถูกต้อง และพระเจ้าเป็นฝ่ายผิด

พวกเขาจงใจที่จะลืมว่า นานมาแล้ว
ฟ้าสวรรค์เกิดขึ้น และแผ่นดินเกิดขึ้นจากน้ำและโผล่ขึ้นมาจากน้ำ โดยพระดำรัสของพระเจ้า และแล้วโลกในสมัยนั้นก็ถูกทำลาย
เมื่อน้ำนี้ท่วมแผ่นดินจนมิด
2 เปโตร 3:5-6

ปฐมกาล 1:6-9, สดุดี 24:2,136:6, ปฐมกาล 7:11, 12, 21-23

ตอนนี้ท่านเปโตรกำลังกล่าวว่าฟ้าสวรรค์ แผ่นดินถูกสร้างขึ้นมาโดยพระดำรัสของพระเจ้าโดยตรง และ คนที่ชอบท้าทายพระเจ้านั้น ลืมไปว่าในอดีต พระเจ้าทรงสร้างโลก และทรงทำลายได้ด้วยพระองค์เอง โลกจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับพระเจ้า ดังนั้น การที่พวกเขาเยาะหยันว่า สิ่งต่าง ๆ ก็ยังเหมือนเดิมนั้น พวกเขาไม่สำนึกว่า ตนเองไม่
สามารถในเรื่องใด นอกจากใช้ปากถากถางไปวัน ๆ

แต่ด้วยพระดำรัสเดียวกัน ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินที่มีในปัจจุบันก็ถูกเก็บไว้ให้ไฟเผาผลาญ ถูกเก็บไว้จนถึงวันพิพากษา
และวันหายนะของคนอธรรม
2 เปโตร 3:7

2 เปโตร 3:10,12, 2 เธสะโลนิกา 1:8, วิวรณ์ 21:1, 2 เปโตร 2:9

ไม่ว่าจะเป็นการสร้างหรือเป็นการทำลายพระเจ้าทรงใช้พระดำรัสอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์ ครั้งหน้าที่โลกจะเจอมหันตภัยใหญ่กว่าน้ำท่วมนั้น คือไฟที่เผาผลาญ วันพิพากษาของพระเจ้านั้น มีแน่นอนแต่เราทั้งหลายคิดว่าคงไม่มี คงไม่เกิดแล้วจึงทำตัวตามสบาย ไม่คิดอะไรเลย ตอนนี้ถือว่า ท่านเปโตรได้เตือนแล้ว

แต่เพื่อนที่รักของข้า อย่าลืมความจริงที่ว่า
สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว
หนึ่งวันก็เหมือนพันปี
และพันปีก็เหมือนหนึ่งวัน
2 เปโตร 3:8

สดุดี 90:4, โรม 11:25,

สำหรับมนุษย์ หนึ่งวันเหมือนสั้นมาก หนึ่งเดือนก็ไม่ยาวนัก หนึ่งปี ก็ยังพอเข้าใจ พอหนึ่งร้อยปีก็เข้าใจยากขึ้น พันปีเรานึกไม่ออกเลยว่าหากชีวิตอยู่นานขนาดนั้นจะเป็นอย่างไร แต่สำหรับพระเจ้า เวลาไม่ใช่กรอบของพระองค์ ท่านเปโตรบอกเราชัดเจนว่า เวลาขนาดไหนก็เหมือน ๆ กันสำหรับพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงอยู่นอกกรอบเวลาไม่เหมือนมนุษย์เลย

พระผู้เป็นพระเจ้ามิได้ทรงชักช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ตามอย่างที่บางคนคิด แต่พระองค์ทรงอดทนต่อพวกท่าน ไม่ทรงประสงค์ให้ใครสักคนพินาศ แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนได้กลับใจ
ถอดความจาก 2 เปโตร 3:9

ฮาบากุก 2:3, อิสยาห์ 30:18, เอเสเคียล 33:11, โรม 2:4

ในขณะที่เรามองโลกในวันนี้ เราก็ท้อใจว่า ผู้คนต่าง มีความคิดห่างจากทางของพระเจ้ามากขึ้น คนรุ่นใหม่ที่เกิดมา ก็ยิ่งห่างไป แต่พระเจ้าทรงมองต่างจากเรา พระองค์ทรงให้โอกาสที่มนุษย์จะได้กลับใจมากขึ้นพระองค์ทรงส่งผู้รับใช้ของพระองค์ไปยังที่ต่าง ๆ ทรงส่งพระคำของพระองค์ไปยังที่ ๆ ใครเข้าไปไม่ถึงพระเจ้าทรงอดทนต่อเราเพราะไม่ประสงค์ให้ใครสักคน ถูกทิ้งลงในนรก! 

วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า

แต่วันของพระผู้เป็นเจ้าจะมาเหมือนอย่างขโมยลอบเข้ามา ฟ้าสวรรค์จะสูญสิ้นหายไปด้วยเสียงดังกึกก้อง เทหวัตถุบนท้องฟ้าจะถูกเผาผลาญและสูญสลายไป แผ่นดินโลกและงานต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นบนโลกจะถูกเปิดเผย
2 เปโตร 3:10

วิวรณ์ 3:3, 21:1,16:15, มัทธิว 24:35, 1 เธสะโลนิกา 5:2

เวลาที่พระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้งนั้น ไม่ได้มีการ เตรียมต้อนรับจากแผ่นดินโลกล่วงหน้าสองสามวัน การเตรียมตัวคือ การเตรียมพร้อมชีวิตเสมอ เพราะพระองค์มาอย่างทันทีทันควัน รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เมื่อพระองค์มานั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การเปลี่ยนแปลงของโลกที่ เราอยู่อย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนด้วยไฟ ไม่ใช่ด้วยน้ำท่วมเหมือนสมัยโนอาห์ ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราพร้อมที่จะรับพระองค์ไหม?

ในเมื่อสรรพสิ่งจะถูกทำลายไปเช่นนี้ จึงชัดเจนว่า ท่านควรเป็นคนอย่างไร
ให้ใช้ชีวิตบริสุทธิ์ในทางของพระเจ้ารอคอยและเร่งวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นวันที่ฟ้าสวรรค์จะถูกเผาและสูญสลายไป และเทหวัตถุในนั้นจะหลอมละลายไปกับความร้อนยิ่ง
2 เปโตร 3:11-12

1 เปโตร 1:15, ฟีลิปปี 1:27, มีคาห์ 1:4, อิสยาห์ 34:4, สดุดี 50:3

ท่านเปโตรกล่าวไว้ชัดเจนว่า ชีวิตควรจะบริสุทธิ์ อยู่ในทางของพระเจ้า ไม่ใช่ใช้เวลาหมดไปกับทุก ๆอย่างในชีวิตประจำวัน
โดยไม่ได้หันมาหา ติดตามทางของพระเจ้า ความคิดของเราอาจจะอยู่ในหน้าที่การงานในการดำรงชีวิต แต่ก็ต้องให้ความสำคัญมีความปรารถนาวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า น่าแปลกที่โลกนี้จะถูกทำลาย แต่มนุษย์จะมีชีวิตนิรันดร์กับพระเยซูเจ้า!

แต่ตามพระสัญญาของพระองค์ เรารอคอยฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินใหม่ ที่ความเที่ยงธรรมดำรงอยู่
ถอดความจาก 2 เปโตร 3:13

อิสยาห์ 65:17, 66:22, วิวรณ์  21:1

จากคำของท่านเปโตรในตอนนี้ เราจะเห็นได้ชัดว่า โลกเก่าคือโลกที่เรากำลังมีชีวิตอยู่นี้จะต้องถูกทำลายไป และจะมีฟ้าใหม่ แผ่นดินใหม่ซึ่งเป็นแผ่นดินที่เต็มด้วยความดีของพระเจ้า เป็นภาพเดียวกับอิสยาห์ 65:17 เป็นภาพของโลกที่สมบูรณ์แบบอย่างที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยไว้ตั้งแต่ที่ทรงสร้างโลกนี้มา
เราอยากเห็นวันนั้นไหม?

ขอให้ไร้ตำหนิ ไร้ด่างพร้อย

ดังนั้น ที่รักของข้า ในเมื่อท่านกำลังรอคอยสิ่งนี้ จงพยายามอย่างยิ่งที่จะให้พระองค์ทรงพบท่านไร้จุดด่างพร้อยไร้ที่ตำหนิ พร้อมใจสงบสุข
2 เปโตร 3:14

1 โครินธ์ 1:8, 15:58, 1 เธสะโลนิกา 3:12,13, 5:23

การที่ท่านเปโตรได้เตือนเราล่วงหน้าในเรื่องนี้ ก็เพื่อว่า เราจะใช้ชีวิตแบบที่พระเจ้าผู้พิพากษา จะทรงพอพระทัย ท่านได้เตือนให้เรามีความพยายามมาก ๆ ไม่ใช่อยู่อย่างเฉย เฉื่อย ชา ด้านตายกับพระคำ ของพระองค์ การที่จะมีชีวิตไร้ตำหนิ ไม่มีประเด็นที่เสียหายในชีวิตนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเอง แต่เป็นสิ่งที่คริสเตียนต้องพยายามเพื่อ
พระเจ้าของเรา

จงระลึกว่า ความอดทนอดกลั้นขององค์พระผู้เป็นเจ้านำมาซึ่งความรอด ตามที่เปาโลน้องชายที่รัก ได้เขียนถึงท่านตามสติปัญญาที่พระเจ้าประทานให้เขา
2 เปโตร 3:15

สดุดี 86:15, โรม 2:4, 1 เปโตร 3:20

ในขณะที่พระเจ้าทรงรออยู่นั้น พระองค์ทรงให้โอกาสทั้งคนไม่เชื่อ ได้มาพบพระองค์ ส่วนคนที่เชื่อแล้ว จะได้มีโอกาสพยายามใน การที่จะใช้ชีวิตอย่างถูกต้องในทางของพระองค์ ในสดุดี 22:27 กล่าวว่าคนทั่วโลกจะคิดได้และหันกลับมาหาพระเจ้า ทุกครอบครัวจะพากัน มาหมอบกราบองค์พระเจ้า และท่านเปโตรได้กล่าวถึงเปาโลว่า ได้เขียนสิ่งต่างๆ แบบเดียวกับท่านด้วยการดลใจจากพระเจ้าด้วย

ในจดหมายทุกฉบับที่เขาเขียน ก็ได้กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านี้ มีบางสิ่ง ในนั้นที่ยากจะเข้าใจ ซึ่งคนไม่ได้เรียนรู้กับคนที่ไม่มั่นคงก็นำเอาไปบิดเบือนเช่นเดียวกับที่เขาบิดเบือนพระคำข้ออื่น ๆ เป็นเหตุให้พวกเขาพบกับหายนะ
2 เปโตร 3:16

โรม 8:19, 1 โครินธ์ 15:24, 1 เธสะโลนิกา 4:15, 2 เธสะโลนิกา 1:10, 2 ทิโมธี 3:16

ท่านเปาโลเองได้เขียนเรื่องการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าชัดมาก ๆ ในหนังสือ 2 เธสะโลนิกา แต่คนที่อ่าน ก็ไม่เข้าใจ ก็นำไปบิดเบือนตามความคิดของตน ในประวัติศาสตร์ เราพบว่า มีคนมากมายได้แปลความเรื่องการเสด็จมาขององค์พระเยซูแตกต่างกันไป ทำให้แบ่งความคิด เป็นหลายฝักหลายฝ่าย มีการอ่าน แล้วตีความ ไปตามแบบที่ตัวเองต้องการ

ดังนั้น เพื่อนที่รักของข้า
ในเมื่อท่านรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้า ก็จงระมัดระวังให้ดี เพื่อว่าท่านจะไม่หลงกลไปตามความผิดของคนอธรรม ทำให้ท่านสูญเสียความหนักแน่นมั่นคงของท่านไป
2 เปโตร 3:17

โคโลสี 2:8, มาระโก 13:23, เอเฟซัส 4:14, 1 โครินธ์ 10:12

ท่านเปโตรได้สรุปทุกสิ่งที่ท่านได้กล่าวมา และก็ยังย้ำเตือนว่า ให้ระวังตัวอยู่เสมอ ซึ่งเมื่อเรา ได้อ่านจดหมายของท่านมาจนจบ เราจะเห็นว่า ส่วนใหญ่เป็นการเตือนพี่น้องคริสเตียนที่กระจัดกระจายกันให้ระวังเหล่าครูสอนเท็จที่เดินทางไปทั่ว ตามเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่ ครูสอนเท็จยังคงโหมกระหน่ำทำงานของ พวกเขาอย่างไม่หยุดยั้งในโลกปัจจุบันด้วย คำเตือนของท่านจึงไม่ตกยุคเลยอย่าลืมคำของท่าน … จำ รับรู้ มุ่งมั่น ระวังตัว

แต่จงเติบโตขึ้นในพระคุณและความรู้ในพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอดคือพระเยซูคริสต์
ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ทั้งวันนี้ และวันแห่งนิรันดร์กาล อาเมน
2 เปโตร 3:18

โคโลสี 1:10, เอเฟซัส 4:15, โรม 11:36, 2 ทิโมธี

ท่านเปโตรยังคงเตือนสติให้ผู้อ่านยึดมั่นในพระคุณ
และขยันหาความรู้ในพระเยซูคริสต์ เราต้องไม่อยู่เฉย แต่พยายามรู้จักพระองค์ให้มากขึ้นทุก ๆ วัน เราจะเติบโตได้ในพระเจ้า ต้องอยู่ในกรอบของพระคุณ และพระเยซูคริสต์ไม่ใช่ด้วยวิธีอื่น ๆ และท่านจบจดหมายด้วยการถวายพระเกียรติแด่พระเยซูคริสต์