กิจการ 2 กำเนิดคริสตจักร

พระวิญญาณเสด็จลงมาตามพระสัญญา

คำอธิบายจากท่านเปโตร

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระเยซูโดยตรง

คำเชิญให้เชื่อพระเยซูคริสต์

ชีวิตของคริสตจักรแรก

คำอธิบายเพิ่มเติมและพระคำอ้างอิง กิจการ 2

ยอห์น 9 อธิบายเพิ่มเติม และพระคำเชื่อมโยง

ชายตาบอดกลายเป็นชายตาดี

ยอห์น 9:1-3
ขณะที่พระเยซูเสด็จไปตามทาง ซึ่งไม่ไกลจากพระวิหาร พระองค์น่าจะเพิ่งออกมาจากการสนทนาที่ร้อนแรงก็ไปพบคนตาบอดแต่เกิดคนหนึ่ง ศิษย์ของพระองค์ก็ถามสิ่งที่คาใจคือ “ทำไมเขาตาบอดใครเป็นคนทำบาปจนกระทั่งเขาจึงตาบอด?” (เป็นความคิดแบบยิว ในพระคัมภีร์เดิมมีว่าบางครั้งบาปนำมาซึ่งการลงโทษจากพระเจ้า อพยพ 20:5, 34:7) ชายคนนี้ตาบอด ยิวคนไหนย่อมคิดว่าเขาทำบาปอยู่แล้ว หลายคนก็ตั้งคำถามคล้าย ๆ กันเช่นนี้ เราคิดว่าสิ่งไม่ดีเกิดจากผล ของบาปไปเสียทุกเรื่อง 
แต่คำตอบของพระเยซู เป็นคำตอบที่ไม่ใช่มุมมองของมนุษย์ “เพื่อว่า ราชกิจของพระเจ้าจะปรากฏขึ้นจากตัวเขา”…. นี่ทำให้เราต้องมองหลายเหตุการณ์ในชีวิตของเราใหม่ว่า สิ่งที่เราดูว่าเป็นร้ายนั้น อาจจะเป็นเหตุที่ทำให้ราชกิจของพระเจ้าปรากฏชัดมากกว่าที่เราคิดก็เป็นได้
2**. ลูกา 13:2, ยอห์น 9:34, กิจการ 28:4 3
3** ยอห์น 11:4, โยบ 42:7ยอห์น 4:34, 5:19,36, 17:4, 11:9,10, 12:35, กาลาเทีย 6:10

ยอห์น 9:4-6 ก
ความสว่างของพระเยซู ได้เข้ามาในโลกมืดของชายตาบอด ตลอดเวลาสามสิบปีก่อนหน้านี้
พระเยซูไม่ได้ทรงทำการอัศจรรย์ใด ๆ แต่เมื่อพระองค์เริ่มราชกิจของพระเจ้า การอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นมากมายในหมู่ผู้คน เป็นการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน เป็นหมายสำคัญที่ทำให้รู้ว่า พระองค์คือพระเมสสิยาห์ ตามคำเผยของอิสยาห์ ในอิสยาห์ 42:7 และยังมีการอัศจรรย์ที่ไม่ได้บันทึกไว้อีกมากมาย พระเยซูตรัสชัดเจนว่า ทรงเป็นความสว่างของโลก มีนัยส่งไปถึงชายที่กำลังอยู่ในโลกมืดสนิทตั้งแต่เกิด ตรัสแล้วก็ทรงลงมือทันที..
5** ยอห์น 1:5,9 , 3:19, 8:12, 12:35, 46
6** มาระโก 7:33, 8:23

ยอห์น 9:6ข-8 
ชายตาบอดที่นั่งขอทานอยู่ ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่รู้ว่ามีพระเมสสิยาห์มาอยู่ใกล้ ๆ เขาช่วยตัวเองไม่ได้
อยู่ดี ๆ ก็มีใครคนหนึ่งเอาโคลนมาทาตา ชายตาบอดก็ร่วมมือกับท่านที่มาสั่งทันทีด้วย เขาไม่ต่อล้อต่อเถียง ไม่ยื้อ ไม่ออกความเห็นใดๆ แต่ทำตามคำสั่ง และเขาก็มองเห็นเดี๋ยวนั้น
พระเยซูทรงเป็นพระผู้สร้าง ดังนั้นที่จะให้ตาใหม่กับชายคนนี้เป็นเรื่องเล็กสำหรับพระองค์ การ
กระทำของชายตาบอดเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า ในทางฝ่ายวิญญาณ ถ้าเราได้เชื่อฟังพระเจ้า เราจะได้มองเห็นความจริงฝ่ายวิญญาณได้ชัดเจนเช่นกันเป็นอีกครั้งในวันสะบาโตที่พระเยซูทรงรักษาโรค วันนี้พระองค์เลือกที่จะรักษาชายตาบอดที่พระองค์ทรงผ่านเขาไป ด้วยการทาโคลนที่ตา แถมยังใช้เขาให้ไปล้างตาอีก นี่เป็นการละเมิดกฎสะบาโตหยุมหยิมของฟาริสีโดยตรง พระองค์ทรงท้าทายมาก และชายตาบอดก็กล้าหาญเหมือนกัน เมื่อเราเห็นเขาโต้ตอบกับฟาริสีในเวลาต่อมา
7** เนหะมีย์ 3:15, อิสยาห์ 8:6, ลูกา 13:4, ยอห์น 9:11, 2 พงศ์กษัตริย์ 5:14

ยอห์น 9:9-12
เพื่อนบ้านของเขา ประหลาดใจมาก ไม่แน่ใจว่าเป็นคนที่เคยรู้จักหรือเปล่า เริ่มตั้งคำถามว่าใช่ชายตาบอดหรือไม่ ตัวเขาเองยอมรับว่าใช่ เขาบอกด้วยว่า พระเยซูเป็นผู้เอาโคลนทาตาและให้เขาไปล้างตาที่สระสิโลอัมตัวเขาเองยังไม่เห็นเลยว่า พระเยซูเป็นคนไหนในหมู่ผู้คน รู้แต่ว่าเป็นพระเยซูที่ทำให้เขาตาดี
เพื่อนบ้านเองอยากรู้ว่าพระเยซูอยู่ไหน อาจจะอยากไปถามให้แน่ใจ และจากนี้ไป ชายตาบอดต้องเผชิญกับคำถามมากมาย เพราะเขากลายเป็นตาดี. เขาเป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
เขาเป็นคนที่พ่อแม่ปล่อยให้มาเป็นขอทานเพราะตาบอดไม่มีใครสนใจที่เขากลายเป็นคนมองเห็นได้ แต่กลับคาดคั้นว่าทำไมมองเห็น
เขาเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก จะตายไปอย่างที่โลกลืม แต่พระเยซูกลับทำให้เขาเป็นที่รู้จักของคนทั้งหลายที่อ่านยอห์น 9

การสอบสวนโดยคนที่ไม่เชื่อ

ยอห์น 9:13-16
ชายคนที่เคยตาบอดถูกนำมาหาฟาริสี เพราะว่าเขาหายบอดในวันสะบาโต แทนที่ทุกคนจะดีใจ กลับหาเรื่อง …คนที่ไม่เชื่อเรื่องการอัศจรรย์กำลังสอบสวน เรื่องที่เขาไม่เชื่อและต้องการสรุปอย่างที่เขาต้องการ … คนเหล่านี้มีคำตอบในใจแล้วว่าจะต้องจัดการกับพระเยซู ! พวกเขาเชื่อว่าพระเยซูเป็นคนหลอกลวง ไม่ปกติ
ฟาริสีก็สอบสวนอีกครั้งว่าหายบอดได้อย่างไร เมื่อเขาตอบฟาริสีกลุ่มหนึ่งลงความเห็นว่า พระเยซูไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะไม่รักษาสะบาโตแบบพวกเขา คนเหล่านี้สนใจกฎเกณฑ์มากกว่าความต้องการจำเป็นของผู้คน แต่คนอีกกลุ่มเห็นว่า พระเยซูน่าจะมาจากพระเจ้าจริง ๆ เพราะทำหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ คราวนี้มีความคิดแตกแยกกันในหมู่ยิว
พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ในวันสะบาโตทีไร ก็ก่อให้เกิดการแตกคอกันระหว่างพวกยิวอยู่บ่อย ๆ
(ยอห์น 6:52, 7:43, 10:19, มัทธิว 10:34-39) แต่ที่น่าสนใจในบทนี้คือ เราจะเห็นความเข้าใจของชายตาดีผู้นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

ยอห์น 9:17-19
นี่ไง ชายผู้นี้เริ่มมองเห็นด้วยตัวเองแล้วว่า พระเยซูทรงเป็นผู้เผยพระคำของพระเจ้า เขาออกความเห็นด้วยตัวเอง แต่ยิวไม่พอใจกับคำตอบนี้ พระเยซูยังคงเป็นฝ่าย ตรงข้ามแน่นอน เพราะทรงละเมิดกฎสะบาโตที่พวกเขาตั้งขึ้นมา (5:9, 16, 7:21-24)
ต่อมายิวยังไม่ยอมเชื่อ สั่งตามพ่อแม่มาสอบสวนอีก เพราะพ่อแม่เท่านั้นที่จะยืนยันว่า ชายผู้นี้ตาบอดตั้งแต่เกิดจริงๆ ถ้าไม่ใช่ พวกเขาอาจมีข้อโต้แย้งพระเยซูได้อีก

ยอห์น 9:20-23
แต่พ่อแม่ก็ไหวตัวทัน พวกเขารู้ว่าถ้าตอบไม่ถูกใจ พวกเขาอาจจะถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้ามาในพระวิหารอีก การที่จะยอมรับพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ หรือองค์ผู้ที่พระเจ้าเจิมโดยเห็นต่างจากฟาริสีนั้น จะทำให้เขาถูกตัดขาดแน่นอน (การตัดคนออกจากพระวิหารนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยท่านเอสรา) ทั้งสองตอบตาม ความเป็นจริงว่าลูกชายตาบอดแต่เกิด นอกนั้น ไม่ขอตอบอะไรให้ไปถามเขาเอง
22** ยอห์น 7:13, 12:42, 19:38, กิจการ 5:13, ยอห์น 16:2

ยอห์น 9:24-27
เมื่อพ่อแม่ไม่ยอมตอบ เขาก็ถูกเรียกกลับมาสอบสวนอีกครั้ง คาดคั้นถามว่าพระเยซูใช้วิธีไหนที่ทำให้เขาหายตาบอดได้ ชายตาบอดกลายเป็นชายตาดี เขาถูกบังคับให้พูดความจริง (แบบที่ฟาริสีต้องการ)ซึ่งเขาก็พูดจริง (ตามเหตุการณ์จริง)มาตลอด ไป ๆ มาๆ ดูเหมือนว่าพวกฟาริสีต้องการให้เขาโกหกมากกว่าพูดความจริง
พวกเขาต้องการให้ชายผู้นี้พูดว่าพระเยซูเป็นคนบาป โดยอ้างว่า ถ้าเขายอมรับว่าพระเยซูเป็นคนบาปเท่ากับเขาถวายเกียรติพระเจ้านี่นับเป็นการกล่าวอ้างที่น่าเกลียดมาก เนื่องจากฟาริสีไม่ต้องการยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์แต่กลับต้องยอมรับความจริงว่า ทรงทำให้คนตาบอดมองเห็นได้
ชายที่ได้รับสายตาคืนมาเริ่มรำคาญเต็มทีก็เลยถามประชดไปเสียเลยว่า พวกฟาริสีคงอยากเป็นศิษย์พระเยซูแน่เลย. เขาไม่ได้กลัวฟาริสีเลยสักนิด น่าสนใจว่า มีคนที่เห็นต่างจากฟาริสีชัดเจนขนาดนี้ และไม่ได้มีความกลัวใด ๆ เขายืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง และจะไม่หันเหไปทางใดทั้งสิ้น
24** โยชูวา 7:19, 1 ซามูเอล 6:5, เอสรา 10:11, วิวรณ์ 11:13, ยอห์น 9:16

ยอห์น 9:28-31
แน่นอนที่ฟาริสีจะโกรธจัด ยิ่งต้องการกำจัดพระเยซู พวกเขาย่อมมองออกว่า ชายตาดีเห็นแล้วว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับพระเยซู พวกเขาอ้างว่าตนเป็นศิษย์โมเสส ทั้ง ๆ ที่ทำไม่เหมือนโมเสสสักนิดฟาริสีคิดว่าตนเองใช้ได้ เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ทั้ง ๆ ที่พฤติกรรมตอนนี้ของพวกเขามันกลับใช้ไม่ได้เลย 
ส่วนชายตาดีเริ่มเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น เมื่อฟาริสีปฏิเสธ ไม่ยอมรับพระเยซู เขากลับมั่่นใจว่า พระเยซูทรงเป็นผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเจ้า เป็นผู้ที่นมัสการซึ่งพระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐาน เขายังยืนยันชัดเจนว่าพระเยซูมีฤทธิ์ ยิ่งคุยกับฟาริสีไป เขาก็ยิ่งเห็นความเกลียดชังที่แตกต่างจากความใส่ใจที่พระเยซู
มีให้เขา
29** อพยพ 19:19,20, 33:11, 34:29, กันดารวิถี 12:6-8, ยอห์น 5:45-47, 7:27,28, 8:14
30** ยอห์น 3:10
31** โยบ 27:9, 35:12, สดุดี 18:41, สุภาษิต 1:28, 15:29,28:9, อิสยาห์ 1:15,
เยเรมีย์ 11:11, 14:12, เอเสเคียล 8:18, มีคาห์ 3:4, เศคาริยาห์ 7:13, ยากอบ 5:16
ยอห์น 3:2, 9:1634 สดุดี 51:5, ยอห์น 9:2

ยอห์น 9:32-34
เขายิ่งมั่นใจว่าพระเยซูทรงมาจากพระเจ้า ถ้าไม่อย่างนั้น ทำอัศจรรย์ขนาดนี้ไม่ได้แน่ เขารู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครตาบอดแล้วเห็นได้มาก่อน ความมั่นใจของเขานั้นเต็มร้อย กล้าที่จะพูดกับฟาริสีอย่างไม่กลัวเกรงทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นแค่ขอทาน ตัวเขาเองมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณในระดับที่ดี ให้เหตุผลอย่างถูกต้อง นี่ทำให้ฟาริสีที่คงแก่เรียนโกรธจัด กล้าดีอย่างไรที่จะมาสอนคนมีความรู้อย่างพวกเขาและตอนนี้เอง เขาก็หมดสิทธิ์ที่จะเข้ามาในศาลาธรรมยิวอีกต่อไป ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง นับได้ว่าเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์การข่มเหงผู้เชื่อที่เกิดขึ้นและบันทึกเป็นครั้งแรกในพระคัมภีร์

ตาดีแท้ ตาบอดแท้

ยอห์น 9:35-38
เขามาพบพระเยซูอีกครั้ง …พระเยซูทรงจบการอัศจรรย์ครั้งนี้ด้วยการเปลี่ยนชีวิตของเขาทั้งกายและจิตวิญญาณ เมื่อพระเยซูทรงถามว่าเขาจะเชื่อบุตรมนุษย์หรือไม่ เขามั่นใจทันทีว่าจะเชื่อพระองค์ ชายตาบอดตอนนี้กลายเป็นคนทั้งตาดี ทั้งยังมีการมองเห็นฝ่ายวิญญาณด้วย เขาเห็นความดีของพระเจ้า เห็นความจริง เขายอมรับความจริงที่เห็น เมื่อเขามาเชื่อในพระองค์ เขาไม่อยู่ในความมืดต่อไป ทั้งทางร่างกาย และทางจิตวิญญาณ
ก่อนที่เขาจะเห็นได้พระเยซูเสด็จมาหาเขา เขาทำเองไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้แต่พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาในชีวิตของเขา แม้จะมีคนป่วยมากมาย คนง่อย ตาบอด หูหนวกอยู่ตรงนั้นคับคั่ง แต่พระเยซูทรงเลือกเขาคนนี้ ทรงเป็นพระผู้ช่วยที่ตามหาคนของพระองค์
แค่พระเยซูตรัสถามว่า เจ้าเชื่อวางใจในบุตรมนุษย์ไหม? ชายคนนี้ตอบรับพระองค์ทันที เขารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขานั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสมัยโบราณเลยเขารู้หลายอย่าง รู้ว่าพระเยซูเป็นฝ่ายพระเจ้า พระเยซูเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงฟัง พระองค์เป็นผู้เผยพระคำ เขาถามพระองค์ว่า ท่านผู้นั้นเป็นใครเพื่อว่ากระผมจะได้เชื่อพระองค์… เขาพร้อมเชื่อ แค่บอกมาว่าต้องเชื่ออะไร เป็นใจที่พร้อม เมื่อเขายอมรับพระองค์ เขานมัสการพระองค์ทันที เป็นการยอมรับและรู้ว่าพระองค์คือผู้ที่เขาสมควรจะยกย่องสุดชีวิต
จะรู้ได้อย่างไรว่าคนหนึ่งเชื่อพระองค์จริงหรือไม่
เขาได้รับการเปลี่ยนแปลงไหม เราดูว่า เขานมัสการพระองค์หรือเปล่า
35** ยอห์น 5:14, 1:7, 16:31, มัทธิว 14:33, 16:16, มาระโก 1:1, ยอห์น 10:36, 1 ยอห์น 5:13
37** ยอห์น 4:2638 มัทธิว 8:2

ยอห์น 9:39-41
คนตาบอดฝ่ายวิญญาณนั้น ดื้อด้าน ทำให้ถูกพิพากษา ไม่ยอมรับว่าตนบอดทำให้ความผิดยังคงค้างอยู่ เขาไม่สามารถรับการเปลี่ยนแปลงเพราะคิดว่าตนเองโอเคแล้ว พวกเขาคิดว่าตนเองตาสว่างกว่าใคร ๆ
คำของพระเยซูที่ตรัสว่า ถ้าเจ้าบอด เจ้าก็ไม่มีผิดการใช้คำว่าตาบอดในตอนนี้ มีความหมายถึงการบอดฝ่ายวิญญาณ ไม่เข้าเรื่องของวิญญาณ คนที่ยอมรับว่าตัวเองบอดฝ่ายวิญญาณและมาหาพระองค์ จะมองเห็น เข้าใจได้แต่คนที่คิดว่าตัวเองมองเห็นกลับกลายเป็นคนที่ตาบอด คนพวกนี้แทบไม่มีความหวังเหลืออยู่น่าเสียดาย ฟาริสีมีสายตาที่ดี แต่สายตาฝ่ายวิญญาณนั้นมองไม่เห็นอะไร
39 ยอห์น 3:17, 5:22,27, 12:47, มัทธิว 13:13, 15:14
40 โรม 2:1941 ยอห์น 15:22,24

เพิ่มเติมเรื่องความสว่างของโลก
เหล่านี้ เป็นพระคำที่บอกให้รู้ว่า บอด หมายถึงการมองความจริงไม่เห็น ไม่เข้าใจความจริงของพระเจ้า ไม่เข้าใจพระเจ้า
อิสยาห์ 43:8 กล่าวถึงคนที่มองเห็นแต่ก็ตาบอด
เยเรมีย์ 5:21 กล่าวถึงคนที่โง่เขลา ไร้ความคิด มีตา แต่มองไม่เห็น
อิสยาห์ 56:10 กล่าวถึงผู้นำอิสราเอลที่เป็นคนอารักขาที่ตาบอด มองอะไรไม่เห็นเลย และพระเยซูเองทรงเรียกฟาริสีว่าเป็นคนตาบอด
กิจการ 26:12-18 ท่านเปาโลเองถูกเรียกให้ไปเปิดตาเพือว่าคนที่ท่านประกาศจะหันจากความมืดสู่ความสว่าง พระเจ้าทรงเปิดตาฝ่ายวิญญาณของท่าน ในวันที่เดินทางไปเมืองดามัสกัส
เอเฟซัส 4:18 กล่าวถึงคนต่างชาติที่ใจมัวมืด
วิวรณ์ 3:17 บอกถึงคนในคริสตจักรเองที่ไม่รู้ตัวว่ายากไร้ ตาบอดและเปลือยกายอยู่

2 โครินธ์ 4:4 พระของยุคนี้ทำให้จิตใจผู้ไม่เชื่อมืดบอดไป
โรม 11:8 และพระเจ้าทรงเป็นผู้ให้มืดบอดด้วยพระเจ้าทรงให้เขามีจิตใจมึนชา มีตาที่ไม่อาจมองเห็น..
แต่แสงสว่างได้เข้ามาในโลก พระเมสสิยาห์เป็นผู้นำความสว่างเข้ามา และพระองค์ก็ตรัสแล้วตรัสอีก
แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจเลย
ยอห์น 9:4 ขณะที่พระเยซูอยู่ในโลก ตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก”
ยอห์น 12:46 เราเข้ามาในโลกในฐานะความสว่าง ทุกคนที่เชื่อในเราจะไม่อยู่ในความมืด
1 เปโตร 2:9 พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านออกจากความมืดเข้ามาสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์

2 เปโตร 2 คำเตือนเรื่องครูสอนผิด

ครูสอนผิดกับหายนะ

แต่ยังมีผู้เผยพระคำเท็จอยู่ท่ามกลางผู้คน เหมือนกับที่มีครูสอนผิดท่ามกลางพวกท่านด้วย พวกเขาแอบนำคำสอนผิดที่สร้างความหายนะเข้ามา โดยถึงกับปฏิเสธองค์เจ้านายที่ทรงไถ่พวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขาย่อยยับอย่างรวดเร็ว
2 เปโตร 2:1

มัทธิว 24:5,24, 1 ทิโมธี 4:1-2

เปโตรเตือนให้ระวังคนสอนเท็จที่ใช้ประโยชน์จากพี่น้อง 1 ทิโมธี 4:1 เตือนแล้วว่า คนสอนเท็จเหล่านี้จะระบาดหนักในยุคสุดท้าย ครูสอนผิดมีอยู่ทุกยุค ตั้งแต่โบราณจนกระทั่งวันนี้ ศัตรูของพระเจ้าทำงานอย่างแข็งขันที่จะให้มีครูสอนผิดเหล่านี้ มาหลอกให้คนของพระเจ้าที่ไม่เอาใจใส่ติดตามพระดำรัสของพระองค์ให้ หลงไปจากความจริง คนพวกนี้แปลพระดำรัสของพระเจ้าตามใจตนเอง

มีคนมากมายจะติดตามหนทางหายนะของพวกเขา ทำให้เกิดการดูหมิ่นทางแห่งความจริงด้วยความโลภ พวกเขาจะหาประโยชน์จากท่านด้วยเรื่องที่กุขึ้นมา การกล่าวโทษพวกเขาก็มีมานานแล้ว และความพินาศของเขาไม่ได้หลับอยู่
2 เปโตร 2:2-3

โรม 2:24, ยูดา 1:10,15, 2 โครินธ์ 2:17, 1 เธสะโลนิกา 2:5 , 1 ทิโมธี 6:5

จากคำตอนนี้ของท่านเปาโล เราจะเห็นชัดว่า ในโลกโซเชียล มีการขายของที่หลอกลวงว่าจะทำให้ดูดี สวยงามถ้ากินอาหารที่เขาโฆษณา ในคริสตจักร ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรเลย หากคริสเตียนไม่ระวังตัว ก็จะมีความเห็นที่คล้อยตามคนที่เข้ามาหลอกลวง เช่นว่า พระเจ้าจะทรงทำให้เรารวยขึ้น ถ้าเราถวายทรัพย์เยอะ ๆ ทางของความจริงก็กลาย เป็นหลบอยู่ในพระคัมภีร์เท่านั้น ไม่มีใครอ่านพระคำต่อไป คอยแต่ฟังคนที่หลอกลวง

เพราะหากว่า พระเจ้ามิได้ทรงยกเว้นเหล่าทูตสวรรค์ที่ได้ทำบาป แต่ได้ทรงผลักพวกเขาลงนรก และล่ามโซ่ไว้ในความมืดมิดเพื่อรอวันพิพากษา
2 เปโตร 2:4

ยูดา 1:6, มัทธิว 25:41, วิวรณ์ 20:10

จากพระคำข้อนี้ เรารู้ว่า พระเจ้าทรงทำอย่างไรกับทูตสวรรค์ที่ทำบาปต่อพระองค์​ พวกที่กบฎต่อพระเจ้าพร้อม ๆ กับซาตาน พวกเขาไม่ได้มีโอกาสลอยนวล ดูเหมือนว่าทูตที่ทำบาป จะไม่มีโอกาสรอดได้เหมือนกับมนุษย์ เพราะพระเยซูได้ทรง ทรงมีทางที่จะช่วยให้มนุษย์พ้นการพิพากษาผ่านไม้กางเขนของพระเยซู แต่ถ้าใครไม่รับพระเยซูคริสต์อีก ทางรอด ก็ไม่เหลืออีกเลย (ฮีบรู 2:16, วิวรณ์ 20:10)

และพระองค์ก็มิได้ยกเว้นโลกโบราณตอนที่ทรงให้น้ำท่วมโลกของคนอธรรม แต่ทรงปกป้องโนอาห์ ผู้เทศนาเรื่องความเที่ยงธรรมรวมทั้งอีกเจ็ดคน
2 เปโตร 2:5

2 เปโตร 3:6, 1 เปโตร 3:19-20,

นอกจากทูตสวรรค์ถูกจำจองแล้ว ในโลกโบราณ พระเจ้าก็ไม่ได้ยกเว้นคนอธรรมด้วย“พระเจ้าทรงเห็นว่า ความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป” (ปฐมกาล 6:5) ดังนั้นพระองค์จึงทรงกวาดล้างผู้คนทั้งสิ้นให้หมดไปจากแผ่นดินหลายคนไม่ได้กลัวพระพิโรธของพระเจ้า เขาจึง จมอยู่ในความบาปต่อไปเรื่อย ๆ แม้มีโอกาสกลับตัวก็ทิ้งโอกาสนั้นไป

พระเจ้าทรงทำอย่างไรกับคนแต่ละประเภท?

แล้วพระองค์ทรงเผาเมืองโสโดม โกโมราห์ จนเป็นเถ้าถ่าน เพื่อใช้เป็นตัวอย่างถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคนอธรรม
2 เปโตร 2:6

ปฐมกาล 19:16, 28-29, ยูดา 1:7, ลูกา 17:28-30

โลท ซึ่งเป็นคนของพระเจ้า ได้เลือกเข้าไปอาศัยในเมืองที่ชั่วช้า และพระเจ้าทรงลงโทษทั้งสองเมืองนี้เพื่อเป็นตัวอย่างว่า พระองค์จะทรงลงโทษความชั่วร้ายอย่างไร ในปฐมกาล 18:20 เขียนว่า .. พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เสียงร้องกล่าวโทษเมืองโสโดมและโกโมราห์นั้น ดังเหลือเกิน บาปของพวกเขาก็หนักมาก” พระเจ้าทรงลงโทษ ทั้งทูตสวรรค์ที่ทำผิด คนอธรรมในโลกสมัยโนอาห์ และเมืองสองเมืองในสมัยของโลท เราสักคนจึงไม่ควรคิดว่าจะลอยนวลไปได้จากการพิพากษาโทษบาป

และทรงช่วยกู้โลทคนเที่ยงธรรมที่ต้องทุกข์หนักเพราะชีวิตโสโครกของคนชั่วช้า(เพราะในขณะที่เขาใช้ชีวิตเที่ยงธรรมทุกวัน ท่ามกลางคนพวกนั้น จิตใจของเขาจะทรมานนักจากการกระทำไร้คุณธรรมที่ได้เห็นและได้ยิน)
2 เปโตร 2:7-8

ปฐมกาล 19:16,29, 1 โครินธ์ 10:13, สดุดี 119:158, 136, เอเสเคียล 9:4

พระเจ้าทรงช่วยโลทให้พ้นจากเมืองโสโดมทันเวลา อ่านการช่วยเหลือของพระเจ้าจากปฐมกาล 19:12-29 พระองค์ทรงเอาเขาออกมาจากเมืองชั่วร้ายก่อนที่เขาเองจะกลายเป็นคนชั่วเหมือนชาวเมืองเหล่านั้น เพราะถึงแม้เขาจะเป็น คนของพระเจ้า แต่การอยู่ในเมืองแบบนั้น มันสุดจะทน และชีวิตก็พร้อมที่จะตกในความชั่วด้วย ในที่สุดถึงแม้โลทจะรอดมาอย่างหวุดหวิด แต่เขาสูญเสียทุกสิ่ง บ้านเรือน ภรรยา ออกมาตัวเปล่าพร้อมกับลูกสาวอีกสองคน

ดังนั้น พระเจ้าทรงทราบว่า จะช่วยคนเที่ยงธรรมให้พ้นจากการล่อล่วงอย่างไร และจะทรงกักขังคนอธรรมไว้เพื่อให้รับโทษในวันพิพากษา
2 เปโตร 2:9

1 โครินธ์ 10:13, สดุดี 34:15-`19, วิวรณ์ 3:10

จากตัวอย่างทั้งสองเรื่องที่ผ่านมา เราเห็นว่า พระเจ้าทรงลงโทษและทรงช่วย พระเจ้าทรงรู้ว่าจะช่วยให้เราพ้นจากการล่อลวงอย่างไร เมื่อเราเลือกให้พระองค์ทรงช่วย ทำได้โดยหันจากบาป สำนึกผิด และเข้ามาหาพระองค์ผู้ทรงพระคุณและเมตตา ให้เรารู้เสมอว่า พระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย

ลักษณะของคนที่บิดเบือนพระคำ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ทำตัวเป็นมลทินไปตามกิเลสตัณหา
และยังเหยียดหยามผู้มีอำนาจปกครอง พวกเขากล้าบ้าบิ่น ไม่กลัวที่จะพูดสบประมาทเหล่าผู้ทรงอำนาจ……
2 เปโตร 2:10

ยูดา 1:4,7,8, อพยพ 22:28

รู้อะไรไหม? ครูสอนที่อ่านพระคัมภีร์จริง ๆ จะไม่มีอาการประเภทดูถูก ดูหมิ่นคนอื่น เขาจะใช้ความ สุภาพ อ่อนโยนตามแบบของพระเยซูคริสต์ ในการสอน ในการเทศนา แต่เหล่าครูสอนผิด มักจะอวดตัวว่าเก่ง สามารถไล่วิญญาณชั่ว และหาเงินจากการกระทำอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังสบประมาทใครอยู่ ท่านเปโตรกำลังเตือนคนเหล่านี้

ซึ่งแม้แต่ทูตสวรรค์ที่มีกำลังและฤทธิ์เดชมากกว่า ก็ยังไม่ใส่ร้ายสบประมาทพวกเขาต่อพระพักตร์พระเจ้า
2 เปโตร 2:11

ยูดา 1:9, 2 เธสะโลนิกา 1:7

ครูสอนผิดเหล่านี้ ทั้งเย่อหยิ่ง ยโส เกลียดชังอำนาจปกครองทุกชนิด เพวกเขาจะพูดใส่ร้าย ทุก ๆ อย่างในโลกฝ่ายวิญญาณอย่างไม่กลัวสิ่งใดทั้งสิ้น เราจะพบว่า มีบางคนที่บอกว่าตนเองมีความเชี่ยวชาญในด้านสงคราม การต่อสู้ฝ่ายวิญญาณ มาให้เขาช่วยได้แต่จริง ๆ แล้ว ทั้งหมดนี้มันเต็มดวยความเย่อหยิ่ง และอวดตัว ลองสังเกตกันดูด้วยตัวเอง จะเห็น ชัดเจนมาก ๆ ถึงแม้คริสเตียนมีสิทธิที่จะไล่ผีออกจากคนที่ถูกทรมานได้ แต่ในเรื่องการที่จะด่าว่า อำนาจเหล่านั้นไม่ใช่เป็นของมนุษย์

แต่คนเหล่านี้ เป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉานที่ทำตามสัญชาตญาณ มันเกิดมาเพื่อถูกจับและฆ่า พวกเขากล่าวคำดูหมิ่นสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ
ในที่สุดพวกเขาจะต้องถูกพบกับหายนะเหมือนสัตว์เหล่านั้น
2 เปโตร 2:12

ยูดา 1:10, เยเรมีย์ 12:3, สดุดี 92:6

คนเหล่านี้ คือเหล่าครูสอนเท็จทั้งหลายแตกต่างจากทูตสวรรค์ฝ่ายพระเจ้า เพราะคิดและทำโดยใช้ความอยาก ไม่ได้ใช้เหตุผลแบบที่ควรเป็น เขากล้าที่จะดูหมิ่นสิ่งที่พระเจ้า ทรงตั้งไว้ ไม่ว่าจะในโลกวิญญาณหรือโลกมนุษย์ ที่จริงแล้วในสังคมเราทุกวันนี้ เราเห็นคนที่กล้าท้าทายผู้มีอำนาจ โดยใช้วาจาสามหาวที่คิดว่า วาจา แบบนั้นจะช่วยให้เขามีชัย แปลกจริง ๆ เป็น อย่างนี้กันทั้งโลก

บาปของครูสอนผิด

และจะได้รับความทุกข์ยากสนองคืน เพราะการอธรรมของตน เพราะพวกเขาคิดว่า การมั่วสุมสุดเหวี่ยงในเวลากลางวันนั้น คือความบันเทิงเริงใจ พวกเขามีมลทิน ด่างพร้อย หาความสำราญกับการหลอกตัวเอง ในขณะที่กินเลี้ยงกับท่าน
2 เปโตร 2 :13

ฟีลิปปี 3:19, โรม 13:13, 1 โครินธ์ 11:20

การอธรรมของพวกเขาจะได้รับการตอบสนองอย่างสาสม มันเป็นค่าจ้างของบาป. คนเหล่านี้ทำลายคริสตจักรของพระเจ้า ไม่ใช่มีน้อยคน แต่มีมากจนน่าเป็นห่วง พวกเขาจะบอกใคร ๆ ว่าตนรักพระเจ้า แต่การกระทำไม่ได้ไปกับคำพูด พวกเขาทั้งหลอกตัวเองและหลอกคนอื่น

ดวงตาเต็มด้วยความกระหายทางกาม ไม่สามารถหยุดทำบาปชั่ว คอยดักจับคนที่ไม่มั่นคง ใจนั้นมีความชำนาญในความโลภ เป็นคนที่ถูกแช่งสาป
2 เปโตร 2:14

เอเฟซัส 2:3, 2 เปโตร 3:16, 2:3

พระคำข้อนี้ทำให้เรารู้ว่า การมองของครูสอนผิดที่ท่านเปโตรกล่าวถึงนั้น เป็นสายตามองสิ่งต่ำ สิ่งที่สกปรก ไม่อาจหยุดทำบาปเพราะตายังมองสิ่งเหล่านั้นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ หรือเรื่องผลประโยชน์ ความละโมภในตัว ที่เขาดักจับคนไม่มั่นคง เพราะคนเหล่านั้นจะกลายมาเป็นเครื่องมือในการทำลายคนอื่นต่อไปได้ ดังนั้น ภาพของข้อนี้ ชัดเจนว่า เราต้องมั่นคง หนักแน่น เข้าใจพระคำของพระเจ้า เป็นอย่างดี เพื่อจะไม่ตกเป็นเหยื่อของคนเหล่านี้

พวกเขาละทิ้งทางที่ถูกต้อง แล้วก็หลงไปตามทางของบาลาอัม ลูกชายเบโอร์ที่รักรายได้จากการทำชั่ว แต่เขาถูกตำหนิเพราะเขาทำผิด ลาที่พูดไม่ได้กลับพูดออกมาด้วยเสียงมนุษย์ เพื่อห้ามความวิกลจริตของเขา
2 เปโตร 2:15-16

กันดารวิถี 22:5-7, 21-33, ยูดา 1:11

บาลาอัม เป็นต้นแบบของคนที่รับจ้างทำลายคนดี ทำลายสิ่งดีของพระเจ้าที่มีอยู่ คนเหล่านี้มีอยู่มากมายในโลก มีในคริสตจักรด้วย (โยชูวา 13:22, กันดารวิถี 22-24) แต่พระเจ้าทรงใช้ลา ให้พูดเพื่อเตือนสติเขา! เรื่องนี้ต้องตามกลับไปอ่านแล้วจะเห็นว่า ถึงบาลาอัมจะดึงดันขนาดไหน แต่ถ้าพระเจ้าทรงจัดการ ทุกอย่างจะสำเร็จ ครูสอนผิดเองต้องรู้ว่าไม่มีวันที่เขาจะชนะพระองค์ได้

พวกเขาเป็นบ่อไร้น้ำ เป็นหมอกที่ถูกพายุพัดไป มีความดำมืดนิรันดร์ที่ถูกเตรียมไว้รอคอยพวกเขาอยู่ เพราะพวกเขาใช้การโอ้อวดที่โง่เขลา ใช้ความอยากทางเพศ ดักจับคนที่เพิ่งหนีมาจากพวกที่เดินทางผิด
2 เปโตร 2:17-18

เยเรมีย์ 14:3, ยูดา 1:12-16, 2 เปโตร 2:20, 1:4, วิวรณ์ 13:5-6

ท่านเปโตรกล่าวว่าคนเหล่านี้เป็นบ่อไร้น้ำ นั่นคือเป็นบ่อเปล่า ๆ ไม่มีน้ำที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้คน เป็นหมอกที่อยู่ให้เห็นประเดี๋ยวเดียวแล้วก็ไม่อยู่อีกต่อไป สิ่งที่เราเห็นจากพวกเขาคือ การโอ้อวดในเรื่องที่ตอบสนองความอยาก ของคนที่ฟัเป็นการใช้กิเลสตัณหามาล่อลวง บอกว่าพระเจ้าจะให้สิ่งดี ๆ ให้ความมั่งคั่งให้อะไร ๆ ที่ทูลขอตามใจทุกอย่าง เจอคนสอนแบบนี้ จงหนีให้ไกล!

พวกเขาสัญญาให้อิสรภาพ แต่ตัวเองกลับเป็นทาสความเสื่อมทราม เพราะสิ่งใดมีชัยเหนือใคร เขาก็ย่อมเป็นทาสของสิ่งนั้น
2 เปโตร 2:19

ยอห์น 8:34, โรม 6:16-22, กาลาเทีย 5:13

พวกเขาสัญญาว่าทุกคนที่ตามเขาจะมีเสรีภาพซึ่งเป็นสถานะที่คนสมัยใหม่อยากได้ และเรียกร้อง คนที่สัญญาเช่นนี้ ตัวเองยังเป็นทาสของความอยากส่วนตนอยู่อย่างชัดเจน พวกเขาต้องการเงินทอง ต้องการแฟนคลับ ต้องการคนติดตามมาก ๆ เพราะนั่นหมายถึง ประโยชน์ส่วนตน ครูสอนผิด นักเทศน์สอนผิด เหล่านี้ยังเป็นทาสความคดโกงอย่างเห็นได้ชัด อีกอย่างของคนเหล่านี้คือ มักให้ร้ายคนอื่น และยกตัวเองว่าดีกว่าใคร

อันตรายของการกลับไปทางเดิม

ถ้าหลังจากที่เขาได้หนีจากมลทินของโลกด้วยการรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์ แล้วยังกลับไปเกี่ยวข้องและแพ้มันอีก สุดท้าย ชีวิตของเขาจะเลวร้ายยิ่งกว่าเริ่มต้น
2 เปโตร 2:20

มัทธิว 12:45, ฮีบรู 10:26-27, 6:4-8, ฟีลิปปี 3:19

สภาพนี้ เป็นสภาพที่น่าเศร้าใจมาก ไม่ต่างอะไรกับคนที่เข้าไปฟื้นฟูบำบัดอาการเสพติด แล้วในที่สุดก็กลับไปติดยาอีกครั้ง และไม่สามารถออกมาได้อีกเลย ท่านเปโตรบอกไว้ล่วงหน้าให้รู้ว่า ใครก็ตามที่ได้พบพระเจ้าแล้ว และตัดสินใจหันหลัง กลับไปอยู่ในชีวิตเดิมๆ สุดท้ายแล้ว ชีวิตนั้นจะจมดิ่งลงไปในความบาปโดยถอนตัวไม่ขึ้น

หากว่าพวกเขาไม่รู้ทางแห่งความเที่ยงธรรม ก็จะดีกว่าที่รู้ทางแล้วยังกลับหันหลังให้บัญญัติบริสุทธิ์ที่เขาเคยยอมรับ
2 เปโตร 2:21

ลูกา 12:47, ยากอบ 4:17, เอเสเคียล 18:24

การที่เรามารู้จักพระเจ้าแล้ว เราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เรารู้ การหันกลับไปสู่มลทินของโลกนั้นน่าเสียดายมาก ๆ ไม่รู้เลยก็ดีกว่า ยุคนี้มีคน ไม่น้อยที่หันกลับจากทางของพระเจ้าไปในทางที่เขาเลือกเอง ส่วนใหญ่เป็นเพราะมาแตะทางของพระเจ้าแล้ว ไม่ถูกใจ ไม่เข้าใจ ไม่ตามหา ไม่เรียนรู้ ไม่สัมผัสพระเจ้าจริงดังนั้นจึงตัดสินใจใช้ชีวิตของตนเองตามทางที่ตนพอใจ

สิ่งนี้เกิดขึ้นตามสุภาษิตที่ว่า
“สุนัขกลับไปกินสิ่งที่มันสำรอกออกมา” และ “สุกรที่อาบน้ำแล้วก็จะกลับไปจมปลักอีก”
2 เปโตร 2:22

สุภาษิต 26:11

คนที่มีสิ่งดี ครอบครัวดี งานดี โรงเรียนดี แล้วยังตกไปอยู่ในสภาพเลวร้ายเพราะการตัดสินใจผิดนั้นน่าเสียดายมาก หากใครคนหนึ่งมีชีวิตที่ตามใจตนเอง ไม่สนใจสิ่งดี ๆ แต่หลงไปตามความรู้สึกพอใจทั้งที่มันส่งผลเสียกับตนเองและครอบครัวก็เหมือนสุภาษิตนี้เลย