1 ยอห์น 1 ความสว่าง ความรักและชีวิต

ที่มาจากปฐมกาล ที่ได้ยิน ได้เห็น ได้ดู และสัมผัส

(นี่เป็นสิ่งที่เราประกาศแก่ท่าน)
สิ่งที่มาจากปฐมกาล
สิ่งที่เราได้ยิน
สิ่งที่เราได้เห็นด้วยตา
สิ่งที่เราได้พินิจดูและได้สัมผัสด้วยมือของเรา
เกี่ยวข้องกับพระคำแห่งชีวิต
1 ยอห์น 1:1

ยอห์น 1:1, 4, 14, 2 เปโตร 1:16, ลูกา 24:39,

พอเราเห็นพระคำตอนนี้ เราก็นึกถึงพระกิตติคุณ
ยอห์นทันที (ในฉบับกรีก ไม่มีประโยคแรกแต่ใส่ไว้ให้เข้าใจง่ายว่าท่านยอห์นหมายถึงอะไร นี่เป็นประโยคเดียวที่ยาวมากเพราะหนึ่งประโยคนี้ยาวไปถึงข้อ 4 ) อ่านให้ดี สิ่งที่ท่านยอห์นกล่าวถึงคือ ข่าวสารเรื่องของพระเยซูนั่นเอง พระองค์ทรงมาจากปฐมกาล แต่เป็นพระเจ้า และอาจารย์ที่รักของท่านยอห์น เป็นผู้ที่ท่านได้อยู่ใกล้ชิดมาก ๆ

ชีวิตนั้นได้ปรากฏ
และเราได้เห็นชีวิตนั้น
เราเป็นพยาน และประกาศกับท่าน
ถึงชีวิตนิรันดร์ที่อยู่กับพระบิดา
และสำแดงให้แก่เรา
1 ยอห์น 1:2

ยอห์น 1:4, โรม 16:26, ยอห์น 21:24, ยอห์น 1:1,18, 16:28

“ชีวิตนิรันดร์ที่อยู่กับพระบิดา”ที่ท่านยอห์นกล่าว
ถึง ก็คือ พระเยซูคริสต์ก่อนที่พระองค์จะมาบังเกิดในโลกนี้ ยอห์น 1:4 และยังโยงกับยอห์น 3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ นั่นคือ พระบุตรพระเจ้าลงมาในโลกและทรงรับสภาพความเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ในองค์ ๆ เดียว และคนจำนวนมากได้สัมผัสกับพระองค์จริง ๆ

สิ่งที่เราเห็น และได้ยินเราประกาศแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะได้มีสัมพันธ์สนิทกับเราและเรามีสัมพันธ์สนิทกับพระบิดา และกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์
เราเขียนสิ่งเหล่านี้เพื่อว่า ความยินดีของเราจะสมบูรณ์พร้อม
1 ยอห์น 1:3-4

1 โครินธ์ 1:9, ยอห์น 17:21, 3, 15:11, 16:24

เวลานี้ท่านยอห์นเองได้บอกว่า เหตุผลที่ท่านเขียน
จดหมายฉบับนี้ก็เพื่อจะได้มีความยินดีอย่างเต็มเปี่ยม สมบูรณ์แบบ พระเจ้าผู้ที่เรามองไม่เห็นทรงสำแดงพระองค์ผ่านพระเยซู ซึ่งทำให้ผู้คน ได้ยิน ได้เห็น ได้สัมผัส ได้มีสัมพันธ์สนิทกับพระองค์จริง ๆ พระเยซูทรงเป็นผู้ที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เป็นผู้ที่พลิกโฉมของสังคมโลกโบราณ ผู้คนที่มาเชื่อพระองค์ เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อพี่น้องร่วมสังคม แทนเกลียดด้วยความรัก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

สัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าและพี่น้อง

และนี่เป็นสาระของข่าว ที่เราได้ยินจากพระองค์ และประกาศแก่ท่าน นั่นคือ พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และในพระองค์ไม่มีความมืดเลย
1 ยอห์น 1:5

1 ยอห์น 3:11, 1 ทิโมธี 6:16,ยอห์น 8:12, 1:9,
สดุดี 27:1

สาระของข่าวที่ได้ยินจากพระองค์นั้นก็คือ เรื่องของข่าวประเสริฐนั่นเองข้อต่อ ๆ ไปเราจะทราบว่า อะไรคือสาระนั้น. สิ่งที่ท่านยอห์นพูดนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ท่านคิดขึ้น มาเองตามใจ แต่ท่านได้ยินมาจากพระเยซูเอง และ ก็ตรงกับสิ่งที่พระเยซู ตรัสในยอห์น 8 และ 9 ดวงอาทิตย์ยังมีจุดมืดที่ดับ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีอะไรเช่นนั้นอยู่ในพระองค์

หากเราพูดว่า เรามีความสัมพันธ์กับพระองค์  แต่เรายังคงเดินในความมืดเท่ากับเราพูดเท็จ และไม่ได้ประพฤติตามความจริง
1 ยอห์น 1:6

1 ยอห์น 2:9-11, 1 ยอห์น 4:20, ยากอบ 2:14

พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง คนของพระองค์จึง
ต้องเป็นสว่างด้วย พระเยซูตรัสว่า ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราใช้ชีวิตโดยไม่มีความมืดแฝงอยู่ เป็นชีวิตที่โปร่งใส ไม่มีการแอบหมกบาปไว้ หากเรามั่นใจว่า เรามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าแล้วเราต้องไร้บาปที่ไม่ได้สารภาพพระเยซูทรงชำระเราแล้วด้วยพระโลหิตของพระองค์ เพื่อให้เรามีสัมพันธ์สนิทที่แท้จริง

แต่หากว่าเราเดินในความสว่าง
เหมือนที่พระองค์ทรงดำเนินในความสว่าง
เราก็มีสัมพันธ์สนิทต่อกันและกัน
และพระโลหิตของพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ก็ชำระเราให้สะอาดพ้นจากบาปทั้งสิ้น
1 ยอห์น 1:7

อิสยาห์ 2:5, 1 โครินธ์ 6:11, เอเฟซัส 5:8

ความสว่าง เป็นสัญลักษณ์บอกถึงพระลักษณะของพระเจ้า: ทรงงามเลิศตระการ พระสิริรุ่งโรจน์ ยังรวมไปถึงความบริสุทธิ์ ความจริงในพระองค์ และพระลักษณะที่ทรงสื่อสารกับมนุษย์อยู่เสมอ พลังที่ประทานให้มนุษย์ และสิทธิในการออกพระบัญชา การอยู่ในความสว่างของพระเจ้า ทำให้เรามีสัมพันธ์สนิทต่อกันและต่อพระเจ้าโดยที่ทุกคนได้รับการชำระโดยพระโลหิตแล้ว 

หากเรากล่าวว่า เราไม่มีความผิดบาป. เราก็กำลังหลอกตนเอง
และความจริงไม่ได้อยู่ในเรา
1 ยอห์น 1:8

ยากอบ 3:2, โรม 3:23, ปัญญาจารย์ 7:20


คำว่า “ฉันไม่ได้ทำผิด” ในเรื่องนั้นเรื่องนี้ยังพอรับได้ว่าเป็นจริง แต่ที่บอกว่า ฉันไม่มีบาปนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนกล้าพูดคำนี้ การพูด เช่นนี้ไม่ใช่แค่หลอกตัวเอง แต่เท่ากับโกหกด้วย เชื่อหรือไม่ว่า ยิ่งเราเข้าใกล้พระเจ้ามากเท่าไร เรายิ่งรู้สึกถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า และ ความสกปรกในชีวิตของเรามากเท่านั้น ท่านอิสยาห์เองได้อธิบายชัดเลยใน
อิสยาห์ 6:1-5

แต่หากว่าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อตรงและเที่ยงธรรมจะทรงอภัยบาปให้เรา และชำระเราจากความอธรรมทั้งสิ้น
1 ยอห์น 1:9

สุภาษิต 28:13, โรม 13:24-26, สดุดี 51:2

พระคำข้อนี้ เป็นข้อที่คริสเตียนทุกคนจำได้เพราะถึงแม้เราเข้ามาอยู่ในพระเจ้าแล้ว แต่เรายังต้องการพระเจ้าทุก ๆ วัน ในชีวิตที่ดำเนินไปแต่ละวันนั้น มีโอกาสทำผิด ไม่ตรงตามเป้าหมายที่พระเจ้าทรงประสงค์อยู่เสมอ การสารภาพแปลว่า ประณามบาปในแบบที่พระเจ้าจะทรงกล่าวถึงมัน เรายอมรับความบาปนั้น ไม่ดื้อรั้น เป็นการแต่รู้ว่า บาปเป็นสิ่งที่ต้านพระเจ้าไม่ใช่แค่ผิดหรือพลาด

หากเราพูดว่า เราไม่เคยทำบาปเท่ากับเรากล่าวหาว่า พระองค์ทรงมุสา และพระดำรัสของพระองค์ไม่ได้อยู่ในเรา
1 ยอห์น 1:10

1 ยอห์น 5:10, สดุดี 130:3

ข้อ 6 เราบอกว่าเราสนิทกับพระเจ้า แต่ยังเดินในความมืด ข้อ 8 เราว่า เราไม่มีความผิดบาป ข้อนี้เป็นการกล่าวว่าสิ่งที่เราเคยทำมานั้น ไม่ใช่บาป
เราจะเห็นความสัมพันธ์ของข้อ 5-6, 7-8, 9-10
เมื่อเราอ่านและพิจารณาให้ดี ข้อหลังเป็นการ
ปฏิเสธความจริงที่ข้อก่อนหน้าได้กล่าวไว้ พระคัมภีร์ในหนึ่งยอห์นห้าข้อสุดท้ายนับเป็นพื้นฐานการใช้ชีวิตคริสเตียนที่สำคัญมาก เราต้องใช้ชีวิตในความสว่าง สนิทกับพระเจ้า!

2 เปโตร 3 พระสัญญาของพระเจ้าไม่เนิ่นช้า

เพื่อนที่รัก นี่เป็นจดหมายฉบับที่สองที่ข้าเขียนถึงท่าน ในจดหมายทั้งสองฉบับ ข้าต้องการให้เป็นคำกระตุ้นเตือนใจบริสุทธิ์ของท่านเพื่อว่าท่านจะได้จำคำที่ผู้เผยพระคำบริสุทธิ์กล่าวไว้ รวมทั้งพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดที่ประทานผ่านเหล่าอัครทูตของท่าน
2 เปโตร 3:1-2

2 เปโตร 1:13, 2 ทิโมธี 1:6, 2 เปโตร 1:21, ยูดา 1:17, ลูกา 1:10

สิ่งที่ท่านเปโตรอยากให้พี่น้องจำได้ก็คือ การเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ ซึ่งผู้เผยพระคำในอดีตได้กล่าวไว้ในพระคัมภีร์เดิม รวมทั้งอัครทูตเอง ก็ได้ส่งต่อคำสอนเรื่องนี้มาด้วย ท่านเปโตรเองก็ยังเป็นห่วงที่จะเตือนสติไม่ให้พี่น้องลืมพระคำของพระเจ้า

อย่างแรก ให้ระวังสิ่งนี้คือ ในยุคสุดท้าย
จะมีคนช่างเยาะเย้ยเข้ามา โดยใช้ชีวิตตามตัณหาชั่วของตน กล่าวว่า
“ไหนล่ะ คำสัญญาว่าพระองค์จะเสด็จมา? ตั้งแต่ที่บรรพบุรุษของเราตายไป ทุกอย่างก็ยังคงเป็นไปเหมือนเดิม มาตั้งแต่เริ่มสร้างโลก”
2 เปโตร 3:3-4

2 เปโตร 2:10, ยูดา 1:18, ปฐมกาล 6:1-7, เยเรมีย์ 17:15, 5:12-13

เราไม่ต้องแปลกใจเมื่อเห็นคนที่มาถากถางพระคำของพระเจ้า เพราะท่านเปโตรเตือนไว้แล้ว ยุคสุดท้ายในความหมายของพระคัมภีร์คือ ตั้งแต่วันที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์จนถึงวันที่พระองค์จะเสด็จมาอีกที พวกเราอยู่ในยุคสุดท้าย แต่คนพวกนี้ เป็นคนที่มีปัญหาทั้งทางศีลธรรม และทางความเชื่อ พวกเขาต้องการให้คนเห็นว่าเขาเป็นฝ่ายถูกต้อง และพระเจ้าเป็นฝ่ายผิด

พวกเขาจงใจที่จะลืมว่า นานมาแล้ว
ฟ้าสวรรค์เกิดขึ้น และแผ่นดินเกิดขึ้นจากน้ำและโผล่ขึ้นมาจากน้ำ โดยพระดำรัสของพระเจ้า และแล้วโลกในสมัยนั้นก็ถูกทำลาย
เมื่อน้ำนี้ท่วมแผ่นดินจนมิด
2 เปโตร 3:5-6

ปฐมกาล 1:6-9, สดุดี 24:2,136:6, ปฐมกาล 7:11, 12, 21-23

ตอนนี้ท่านเปโตรกำลังกล่าวว่าฟ้าสวรรค์ แผ่นดินถูกสร้างขึ้นมาโดยพระดำรัสของพระเจ้าโดยตรง และ คนที่ชอบท้าทายพระเจ้านั้น ลืมไปว่าในอดีต พระเจ้าทรงสร้างโลก และทรงทำลายได้ด้วยพระองค์เอง โลกจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับพระเจ้า ดังนั้น การที่พวกเขาเยาะหยันว่า สิ่งต่าง ๆ ก็ยังเหมือนเดิมนั้น พวกเขาไม่สำนึกว่า ตนเองไม่
สามารถในเรื่องใด นอกจากใช้ปากถากถางไปวัน ๆ

แต่ด้วยพระดำรัสเดียวกัน ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินที่มีในปัจจุบันก็ถูกเก็บไว้ให้ไฟเผาผลาญ ถูกเก็บไว้จนถึงวันพิพากษา
และวันหายนะของคนอธรรม
2 เปโตร 3:7

2 เปโตร 3:10,12, 2 เธสะโลนิกา 1:8, วิวรณ์ 21:1, 2 เปโตร 2:9

ไม่ว่าจะเป็นการสร้างหรือเป็นการทำลายพระเจ้าทรงใช้พระดำรัสอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์ ครั้งหน้าที่โลกจะเจอมหันตภัยใหญ่กว่าน้ำท่วมนั้น คือไฟที่เผาผลาญ วันพิพากษาของพระเจ้านั้น มีแน่นอนแต่เราทั้งหลายคิดว่าคงไม่มี คงไม่เกิดแล้วจึงทำตัวตามสบาย ไม่คิดอะไรเลย ตอนนี้ถือว่า ท่านเปโตรได้เตือนแล้ว

แต่เพื่อนที่รักของข้า อย่าลืมความจริงที่ว่า
สำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว
หนึ่งวันก็เหมือนพันปี
และพันปีก็เหมือนหนึ่งวัน
2 เปโตร 3:8

สดุดี 90:4, โรม 11:25,

สำหรับมนุษย์ หนึ่งวันเหมือนสั้นมาก หนึ่งเดือนก็ไม่ยาวนัก หนึ่งปี ก็ยังพอเข้าใจ พอหนึ่งร้อยปีก็เข้าใจยากขึ้น พันปีเรานึกไม่ออกเลยว่าหากชีวิตอยู่นานขนาดนั้นจะเป็นอย่างไร แต่สำหรับพระเจ้า เวลาไม่ใช่กรอบของพระองค์ ท่านเปโตรบอกเราชัดเจนว่า เวลาขนาดไหนก็เหมือน ๆ กันสำหรับพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงอยู่นอกกรอบเวลาไม่เหมือนมนุษย์เลย

พระผู้เป็นพระเจ้ามิได้ทรงชักช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ตามอย่างที่บางคนคิด แต่พระองค์ทรงอดทนต่อพวกท่าน ไม่ทรงประสงค์ให้ใครสักคนพินาศ แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนได้กลับใจ
ถอดความจาก 2 เปโตร 3:9

ฮาบากุก 2:3, อิสยาห์ 30:18, เอเสเคียล 33:11, โรม 2:4

ในขณะที่เรามองโลกในวันนี้ เราก็ท้อใจว่า ผู้คนต่าง มีความคิดห่างจากทางของพระเจ้ามากขึ้น คนรุ่นใหม่ที่เกิดมา ก็ยิ่งห่างไป แต่พระเจ้าทรงมองต่างจากเรา พระองค์ทรงให้โอกาสที่มนุษย์จะได้กลับใจมากขึ้นพระองค์ทรงส่งผู้รับใช้ของพระองค์ไปยังที่ต่าง ๆ ทรงส่งพระคำของพระองค์ไปยังที่ ๆ ใครเข้าไปไม่ถึงพระเจ้าทรงอดทนต่อเราเพราะไม่ประสงค์ให้ใครสักคน ถูกทิ้งลงในนรก! 

วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า

แต่วันของพระผู้เป็นเจ้าจะมาเหมือนอย่างขโมยลอบเข้ามา ฟ้าสวรรค์จะสูญสิ้นหายไปด้วยเสียงดังกึกก้อง เทหวัตถุบนท้องฟ้าจะถูกเผาผลาญและสูญสลายไป แผ่นดินโลกและงานต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นบนโลกจะถูกเปิดเผย
2 เปโตร 3:10

วิวรณ์ 3:3, 21:1,16:15, มัทธิว 24:35, 1 เธสะโลนิกา 5:2

เวลาที่พระเยซูเสด็จกลับมาอีกครั้งนั้น ไม่ได้มีการ เตรียมต้อนรับจากแผ่นดินโลกล่วงหน้าสองสามวัน การเตรียมตัวคือ การเตรียมพร้อมชีวิตเสมอ เพราะพระองค์มาอย่างทันทีทันควัน รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เมื่อพระองค์มานั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การเปลี่ยนแปลงของโลกที่ เราอยู่อย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนด้วยไฟ ไม่ใช่ด้วยน้ำท่วมเหมือนสมัยโนอาห์ ตอนนี้เรารู้สึกว่าเราพร้อมที่จะรับพระองค์ไหม?

ในเมื่อสรรพสิ่งจะถูกทำลายไปเช่นนี้ จึงชัดเจนว่า ท่านควรเป็นคนอย่างไร
ให้ใช้ชีวิตบริสุทธิ์ในทางของพระเจ้ารอคอยและเร่งวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นวันที่ฟ้าสวรรค์จะถูกเผาและสูญสลายไป และเทหวัตถุในนั้นจะหลอมละลายไปกับความร้อนยิ่ง
2 เปโตร 3:11-12

1 เปโตร 1:15, ฟีลิปปี 1:27, มีคาห์ 1:4, อิสยาห์ 34:4, สดุดี 50:3

ท่านเปโตรกล่าวไว้ชัดเจนว่า ชีวิตควรจะบริสุทธิ์ อยู่ในทางของพระเจ้า ไม่ใช่ใช้เวลาหมดไปกับทุก ๆอย่างในชีวิตประจำวัน
โดยไม่ได้หันมาหา ติดตามทางของพระเจ้า ความคิดของเราอาจจะอยู่ในหน้าที่การงานในการดำรงชีวิต แต่ก็ต้องให้ความสำคัญมีความปรารถนาวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า น่าแปลกที่โลกนี้จะถูกทำลาย แต่มนุษย์จะมีชีวิตนิรันดร์กับพระเยซูเจ้า!

แต่ตามพระสัญญาของพระองค์ เรารอคอยฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินใหม่ ที่ความเที่ยงธรรมดำรงอยู่
ถอดความจาก 2 เปโตร 3:13

อิสยาห์ 65:17, 66:22, วิวรณ์  21:1

จากคำของท่านเปโตรในตอนนี้ เราจะเห็นได้ชัดว่า โลกเก่าคือโลกที่เรากำลังมีชีวิตอยู่นี้จะต้องถูกทำลายไป และจะมีฟ้าใหม่ แผ่นดินใหม่ซึ่งเป็นแผ่นดินที่เต็มด้วยความดีของพระเจ้า เป็นภาพเดียวกับอิสยาห์ 65:17 เป็นภาพของโลกที่สมบูรณ์แบบอย่างที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยไว้ตั้งแต่ที่ทรงสร้างโลกนี้มา
เราอยากเห็นวันนั้นไหม?

ขอให้ไร้ตำหนิ ไร้ด่างพร้อย

ดังนั้น ที่รักของข้า ในเมื่อท่านกำลังรอคอยสิ่งนี้ จงพยายามอย่างยิ่งที่จะให้พระองค์ทรงพบท่านไร้จุดด่างพร้อยไร้ที่ตำหนิ พร้อมใจสงบสุข
2 เปโตร 3:14

1 โครินธ์ 1:8, 15:58, 1 เธสะโลนิกา 3:12,13, 5:23

การที่ท่านเปโตรได้เตือนเราล่วงหน้าในเรื่องนี้ ก็เพื่อว่า เราจะใช้ชีวิตแบบที่พระเจ้าผู้พิพากษา จะทรงพอพระทัย ท่านได้เตือนให้เรามีความพยายามมาก ๆ ไม่ใช่อยู่อย่างเฉย เฉื่อย ชา ด้านตายกับพระคำ ของพระองค์ การที่จะมีชีวิตไร้ตำหนิ ไม่มีประเด็นที่เสียหายในชีวิตนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเอง แต่เป็นสิ่งที่คริสเตียนต้องพยายามเพื่อ
พระเจ้าของเรา

จงระลึกว่า ความอดทนอดกลั้นขององค์พระผู้เป็นเจ้านำมาซึ่งความรอด ตามที่เปาโลน้องชายที่รัก ได้เขียนถึงท่านตามสติปัญญาที่พระเจ้าประทานให้เขา
2 เปโตร 3:15

สดุดี 86:15, โรม 2:4, 1 เปโตร 3:20

ในขณะที่พระเจ้าทรงรออยู่นั้น พระองค์ทรงให้โอกาสทั้งคนไม่เชื่อ ได้มาพบพระองค์ ส่วนคนที่เชื่อแล้ว จะได้มีโอกาสพยายามใน การที่จะใช้ชีวิตอย่างถูกต้องในทางของพระองค์ ในสดุดี 22:27 กล่าวว่าคนทั่วโลกจะคิดได้และหันกลับมาหาพระเจ้า ทุกครอบครัวจะพากัน มาหมอบกราบองค์พระเจ้า และท่านเปโตรได้กล่าวถึงเปาโลว่า ได้เขียนสิ่งต่างๆ แบบเดียวกับท่านด้วยการดลใจจากพระเจ้าด้วย

ในจดหมายทุกฉบับที่เขาเขียน ก็ได้กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านี้ มีบางสิ่ง ในนั้นที่ยากจะเข้าใจ ซึ่งคนไม่ได้เรียนรู้กับคนที่ไม่มั่นคงก็นำเอาไปบิดเบือนเช่นเดียวกับที่เขาบิดเบือนพระคำข้ออื่น ๆ เป็นเหตุให้พวกเขาพบกับหายนะ
2 เปโตร 3:16

โรม 8:19, 1 โครินธ์ 15:24, 1 เธสะโลนิกา 4:15, 2 เธสะโลนิกา 1:10, 2 ทิโมธี 3:16

ท่านเปาโลเองได้เขียนเรื่องการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าชัดมาก ๆ ในหนังสือ 2 เธสะโลนิกา แต่คนที่อ่าน ก็ไม่เข้าใจ ก็นำไปบิดเบือนตามความคิดของตน ในประวัติศาสตร์ เราพบว่า มีคนมากมายได้แปลความเรื่องการเสด็จมาขององค์พระเยซูแตกต่างกันไป ทำให้แบ่งความคิด เป็นหลายฝักหลายฝ่าย มีการอ่าน แล้วตีความ ไปตามแบบที่ตัวเองต้องการ

ดังนั้น เพื่อนที่รักของข้า
ในเมื่อท่านรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้า ก็จงระมัดระวังให้ดี เพื่อว่าท่านจะไม่หลงกลไปตามความผิดของคนอธรรม ทำให้ท่านสูญเสียความหนักแน่นมั่นคงของท่านไป
2 เปโตร 3:17

โคโลสี 2:8, มาระโก 13:23, เอเฟซัส 4:14, 1 โครินธ์ 10:12

ท่านเปโตรได้สรุปทุกสิ่งที่ท่านได้กล่าวมา และก็ยังย้ำเตือนว่า ให้ระวังตัวอยู่เสมอ ซึ่งเมื่อเรา ได้อ่านจดหมายของท่านมาจนจบ เราจะเห็นว่า ส่วนใหญ่เป็นการเตือนพี่น้องคริสเตียนที่กระจัดกระจายกันให้ระวังเหล่าครูสอนเท็จที่เดินทางไปทั่ว ตามเมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่ ครูสอนเท็จยังคงโหมกระหน่ำทำงานของ พวกเขาอย่างไม่หยุดยั้งในโลกปัจจุบันด้วย คำเตือนของท่านจึงไม่ตกยุคเลยอย่าลืมคำของท่าน … จำ รับรู้ มุ่งมั่น ระวังตัว

แต่จงเติบโตขึ้นในพระคุณและความรู้ในพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอดคือพระเยซูคริสต์
ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ทั้งวันนี้ และวันแห่งนิรันดร์กาล อาเมน
2 เปโตร 3:18

โคโลสี 1:10, เอเฟซัส 4:15, โรม 11:36, 2 ทิโมธี

ท่านเปโตรยังคงเตือนสติให้ผู้อ่านยึดมั่นในพระคุณ
และขยันหาความรู้ในพระเยซูคริสต์ เราต้องไม่อยู่เฉย แต่พยายามรู้จักพระองค์ให้มากขึ้นทุก ๆ วัน เราจะเติบโตได้ในพระเจ้า ต้องอยู่ในกรอบของพระคุณ และพระเยซูคริสต์ไม่ใช่ด้วยวิธีอื่น ๆ และท่านจบจดหมายด้วยการถวายพระเกียรติแด่พระเยซูคริสต์

กิจการ 3 อธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง

การอัศจรรย์กับขอทานในพระวิหาร

กิจการ 3:1-3
โดยปกติแล้ว คนยิวที่เคร่งจะอธิษฐานสามเวลาคือ เก้าโมงเช้า เที่ยง และบ่ายสาม และในทางเข้าพระวิหารด้านนั้น ก็มักจะมีคนขอทานมานั่งอยู่กันไม่น้อย ชายขอทานที่เป็นอัมพาตตั้งแต่เกิดคนหนึ่งก็มาที่นี่ทุกวันเช่นกัน
ส่วนท่านยอห์นและท่านเปโตรเองก็ยังใช้พระวิหารในการอธิษฐาน ในการพบปะผู้เชื่ออยู่ พวกเขายังไม่ถูกไล่ออกไป ดังนั้นคนที่เชื่อ พระเยซูก็ยังใช้ประโยชน์ของสถานที่นี้เหมือนอย่างที่เคยเมื่อครั้งยังไม่ได้เชื่อ
1* กิจการ 2:46, 10:3, 10:30, สดุดี 55:17, มัทธิว 27:45
2* กิจการ 14:8, ยอห์น 9:8, กิจการ 3:10

กิจการ3: 4-7
อัครทูตทั้งสองไม่ได้สนใจคนอื่น แต่กลับมาสนใจชายเป็นอัมพาตคนนี้ ท่านคงได้รับการเตือนใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพิเศษเพื่อรักษาชายคนนี้ แล้วท่านก็บอกชายขอทานชัดเจนว่า ไม่มีเงิน ไม่มีทองจะให้ แต่ที่มีนั้นเป็นสิ่งที่ชายขอทานไม่คาดคิด! คำว่า ในพระนามพระเยซูคริสต์
 พระนามของพระเยซูเป็นสัญลักษณ์ อำนาจแทนพระเยซูดังนั้น เมื่อกล่าวว่าในพระนามพระเยซูจึงหมายถึงพระองค์เองโดยตรง อัครทูตกำลังเชิญให้พระเยซูคริสต์เสด็จมารักษาชายผู้นี้ด้วยพระองค์เอง เมื่อท่านกล่าวถึงพระนามเท่ากับเป็นการเชิญพระองค์มา
แล้วชายผู้นี้ก็ยืนได้ ขามีกำลังอย่างทันทีทันใด นี่เป็นการอัศจรรย์แรกของอัครทูตที่ท่านลูกาบันทึกไว้ แต่ความจริงแล้วมีการอัศจรรย์อื่น ๆ เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ (ดูในกิจการ 2) การที่ชายเป็นอัมพาตหายป่วย เป็นการดึงความสนใจของผู้คนให้หันมาฟังสิ่งที่ท่านเปโตรกำลังจะกล่าวต่อไป
6* กิจการ 14:9-10, 4:10, 2 โครินธ์ 8:97* กิจการ 9:41, ลูกา 13:13, มาระโก 9:27

กิจการ 3:8-10
ชายที่เดินได้ใหม่ ๆ คนนี้ตื่นเต้นที่สุด เขาดีใจสรรเสริญพระเจ้าไป และใคร ๆ ก็เห็นว่าเป็นคนที่เคยจับเจ่าขอทานริมทางเข้าพระวิหาร พวกเขาก็เคยให้ทานกับชายคนนี้ มาวันนี้เขากลับเดินได้ …. พวกเขาจึงดีใจไปกับเขา แต่ขณะนั้นยังไม่รู้ว่า มีคำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคน
8* กิจการ 14:10, อิสยาห์ 35:6, ยอห์น 5:8-9
9* กิจการ 4:16, 21, มาระโก 2:11-12
10* ยอห์น 9:8, กิจการ4:21-22, ยอห์น 5:20

คำเทศนาที่เฉลียงโซโลมอน

กิจการ 3:11-13
พอผู้คนได้ยินเรื่องนี้ต่อ ๆ กันไป พวกเขาก็อยากเห็นด้วยตาตนเองว่ามีคนพิการแต่เกิดเดินได้ ใครล่ะไม่อยากเห็น? กลายเป็นว่ามีคนเข้ามามุงดูกันเป็นจำนวนมากและนี่เป็นโอกาสที่อัครทูตเปโตรฉวยไว้ เพื่อจะอธิบายให้กับพวกเขาเข้าใจว่า ผู้ที่ให้หายป่วยคือพระเจ้าที่ชาวยิวทั้งหลายนับถือ
การเดินได้ของชายอัมพาตเกี่ยวข้องกับพระเยซูโดยตรง เกี่ยวอย่างไรหรือ? นั่นคือพระเจ้าทรงให้เขาเดินได้ เพื่อเป็นเกียรติของพระเยซูต่อหน้าหมู่คนยิว เห็นกันต่อหน้าต่อตา ท่านเปโตรโยงเรื่องให้เห็นว่า พวกเขาปฏิเสธพระเยซูอย่างไร
11* ยอห์น 10:23, กิจการ 5:12
12* 2 โครินธ์ 3:5, ยอห์น 3:27-28, ปฐมกาล 41:16
13* ยอห์น 5:30, อิสยาห์ 49:3, ยอห์น 7:39, 12:23, 13:31, มัทธิว 27:2, 20, มาระโก 15:11, ลูกา 23:28, ยอห์น 18:40, กิจการ 13:28,

กิจการ 3:14-16
 ท่านเปโตรพูดถึงองค์ผู้บริสุทธิ์ (คือตำแหน่งขององค์พระเมสสิยาห์จากอิสยาห์ 31:1)องค์ผู้ทรงธรรม (อิสยาห์ 53:11) ทรงเป็นถึงพระผู้ช่วยให้รอด แต่คนยิวกลับเกลียดชังและขอแลกชีวิตของพระเยซูกับฆาตกร! (ลูกา 23:28-19) พวกเขาได้ประหารพระองค์บนไม้กางเขน พระผู้ทรงให้กำเนิดชีวิตในโลก (โคโลสี 1:14-20) แต่พระเยซูทรงคืนชีพขึ้นมาด้วยฤทธิ์ของพระเจ้า
พอชายอัมพาตเชื่อพระนามพระเยซู (ซึ่งเท่ากับเขาเชื่อในตัวองค์พระเยซู ไม่ใช่แค่ชื่อเฉย ๆ) เขาจึงหายเป็นปกติให้เห็น ทุกคนเป็นพยานได้ ตอนนี้ คนที่ฟังย่อมเริ่มเข้าใจแล้วว่า อะไรเป็นอะไร พวกเขาเป็นผู้ร่วมกันประหารผู้ที่เป็นพระผู้ช่วยให้รอดพวกเขาเป็นผู้มีความผิดในสายพระเนตรพระเจ้า แต่ผู้ที่เขาตรึงตายกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริง ข่าวนี้ใคร ๆ ก็รู้กันไปทั่ว ท่านเปโตรเองก็เป็นพยาน
ที่เด็ดขาดสุด ๆ ก็คือ เห็นกับตาว่า ชายอัมพาตที่เชื่อพระเยซู เดินได้! พวกเขาไม่มีข้อแก้ตัวเลย
14* สดุดี 16:10, มาระโก 1:24, ลูกา 1:35, กิจการ 7:52, 2 โครินธ์ 5:21, ยอห์น 18:40
15* กิจการ 2:24, 2:32, วิวรณ์ 21:6, 22:17
16* มัทธิว 9:22, กิจการ 4:10, 14:9

กิจการ 3:17-19
แต่หลังจากที่กล่าวคำต่อว่าแรง ๆ ให้คนยิวทั้งหลายรู้ว่าพวกเขาได้ทำอะไรต่อพระผู้ช่วยให้รอด(พระเมสสิยาห์)ที่พระเจ้าทรงส่งมา ท่านเปโตรก็กล่าวคำเห็นใจว่า ที่พวกเขาทำไปอย่างนั้นเพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ ค่อยอ่อนโยนขึ้นนิดหนึ่ง
โดยกล่าวถึงการที่พระเมสสิยาห์จะต้องทนทุกข์ ซึ่งเป็น ข้อความที่พวกเขาเข้าใจยากมาก ในเมื่อมาเป็นพระเมสสิยาห์ ช่วยให้คนพ้นบาป แต่ทำไมพระองค์ต้องทนทุกข์ และถ้าพระองค์เป็นจริง ทำไมพระองค์ไม่ช่วยให้พวกเขาพ้นจากการ
เป็นเมืองขึ้นของโรม ช่วยให้พวกเขาเป็นอิสระ ความคิดที่ฝังมาว่าพระเมสสิยาห์จะต้องมีลักษณะที่เขาต้องการดังกล่าวนี้ทำให้พวกเขาตาบอด มองไม่เห็นว่าพระเยซูคือใครจริง ๆ 
แล้วท่านเปโตรก็ชวนให้พวกเขากลับใจ ให้เปลี่ยนความคิด ไม่คิดแบบเดิมต่อไป หันมาติดตามพระเจ้าเพื่อจะได้พ้นโทษบาป
17* ลูกา 23:34, ยอห์น 16:3, กิจการ13:27, 17:30, 1 โครินธ์ 2:8, 1 ทิโมธี 1:13
18* ลูกา 24:44, กิจการ 26:22, สดุดี 22, อิสยาห์ 50:6, 53:5, ดาเนียล 9:26,  โฮเชยา6:1, เศคาริยาห์ 13:6, 1 เปโตร 1:10
19* กิจการ 2:38, 26:20

กิจการ 3:20-23
 เปโตรได้บอกพวกเขาว่า ถ้าเปลี่ยนใจ กลับใจมาหาพระเจ้า พวกเขาจะได้รับการฟื้นฟูใจ สดชื่น บรรเทาใจ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป พวกเขาจะไม่ต้องติดกับของกฎจากศาลาธรรม จากพระวิหาร ที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาเพื่อควบคุมชีวิตของเขาต่อไป ไม่ต้องติดกับของบาปอีกต่อไป
แต่คำพูดนี้อาจหมายถึงว่า พระเยซูผู้เป็นพระเมสสิยาห์จะได้กลับมาครอบครอง ในวันที่พระเจ้าทรงสร้างฟ้าใหม่ แผ่นดินโลกใหม่
จากนั้น ท่านเปโตรก็ช่วยย้ำให้ผู้ฟังเข้าใจว่า พระเยซูองค์นี้คือคนเดียวกับที่โมเสสเคยกล่าวว่าพระเจ้าจะทรงส่งผู้รับใช้ของพระองค์ที่เหมือนเขามา ..ให้ทุกคนฟังคำของเขา (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15-19) ที่ว่าเหมือนโมเสสคือ ทั้งช่วยกู้ และทั้งพิพากษาพวกเขา
20* – 21* กิจการ 1:11, มัทธิว ​17:11, โรม 8:21, ลูกา 1:70 
22* ฉธบ. 18:15, 18, 19, กิจการ 7:37
23* ยอห์น 12:48

กิจการ 3:24-25
ท่านเปโตรกำลังยืนยันให้กับคนยิวที่ฟังอยู่รู้ว่า ที่พวกเขาอ่านพระคัมภีร์เดิมและเห็นว่า พระเจ้าทรงกล่าวถึงพงศ์พันธ์ุของดาวิดที่จะมาครอบครองนั้น ก็คือ พระเยซูองค์นี้เท่านั้น ไม่ใช่ผู้อื่น
ผู้ฟังเหล่านี้ เป็นคนชาติเดียวกันกับผู้เผยพระคำ เป็นลูกหลานของพวกเขา แต่ก็เป็นลูกหลานพิเศษของพระเจ้าเพราะพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัมนั้นเอง ท่านเปโตรย้ำว่าพวกเขาคือคนที่จะเป็นพรให้กับมนุษยชาติ ขณะที่กำลังฟังอยู่นั้น พวกเขาเชื่อไหมนะ คิดออกหรือเปล่า?
24* 2 ซามูเอล 7:12, ลูกา 24:25, 
25* กิจการ 2:39, โรม 9:4,8, กาลาเทีย 3:26, ปฐมกาล 2:3,18:18, 22:18, 26:4, 28:14

กิจการ 3:26
พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะอวยพรชาวโลกทั้งสิ้น แต่พระองค์ทรงเลือกที่จะอวยพรอิสราเอลก่อนใคร ๆ เป็นการย้ำว่า พระเจ้าทรงรักพวกเขา และให้เกียรติพวกเขา ผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเลือกคือพระเยซูนั้น ทรงถือกำเนิดในกลุ่มของชนชาติอิสราเอล ไม่ได้ไปเกิดที่ไหนอื่น
ข่าวประเสริฐของพระเจ้านั้น เริ่มต้นที่คนยิวแล้วจึงไปหาคนต่างชาติ (กิจการ13:46, โรม 1:16) และการที่พระเจ้าจะนำอาณาจักรของพระองค์มาบนโลกนี้ ก็ต้องการ ให้คนยิวรับพระเมสสิยาห์ของพวกเขา (มัทธิว 12:39, โรม 11:26) การกลับใจของพวกเขามาก่อนที่พระเยซูคริสต์จะครอบครองบนผืนแผ่นดินนี้ (เศคาริยาห์ 12:10-14)
26* มัทธิว 15:24, ยอห์น 4:22, กิจการ 13:46, โรม 1:16, 2:9, อิสยาห์ 42:1, มัทธิว 1:21