กิจการ 6 คำอธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง

แต่งตั้งผู้รับใช้ดูแลพี่น้อง

กิจการ 6:1-4
ตอนที่เริ่มต้นคริสตจักรนั้น มียิวที่มาจากต่างประเทศ เข้ามาอาศัยในเยรูซาเล็ม เป็นพวกที่ใช้ภาษากรีกเป็นหลัก
และก็มียิวท้องที่ซึ่งใช้ภาษาอาราเมคสื่อสาร จึงมียิวสองพวกที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ที่คริสตจักรดูแลแม่ม่ายก็เพราะพวกเธอไม่มีใครที่จะช่วยให้สภาพความเป็นอยู่ดีขึ้น นี่เป็นลักษณะของคนยิวอยู่แล้วที่จะมีการดูแลแม่ม่ายและลูกกำพร้า

และเมื่อปัญหาเกิดขึ้น อัครทูตก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลย พวกเขาหาทางที่จะแก้ปัญหาด้วยการเลือกคนที่ มีสติปัญญา และเต็มด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาช่วยทำงานด้านสังคม ดูแลความเป็นอยู่ทั่วไป. ในขณะที่อัครทูตจะใช้เวลากับการสอนพระวจนะ ซึ่งเป็นงานหลักของคริสตจักร เพราะถ้าพี่น้องไม่มีความเข้าใจในพระคำของพระเจ้าพวกเขาก็จะไม่แข็งแรง เราจึงเห็นว่าคริสตจักรทำงานทั้งสองอย่างไม่ได้ละทิ้ง ด้านใดด้านหนึ่ง และก็ได้เลือกคนทำงานให้เหมาะสมด้วย ในสมัยใหม่นี้ น่าจะเรียกผู้รับใช้แบบนี้ว่ามัคนายก
1* กิจการ 2:41; 4:4; 9:29; 11:20; 4:35; 11:292 อพยพ 18:17. 3* 1 ทิโมธี 3:7-13 4* กิจการ 2:42

กิจการ 6:5-7
เมื่อพวกเขาเลือกคนเข้ามา ท่านลูกาก็บันทึกให้ทราบด้วยว่า มีใครบ้าง แต่ดูเหมือนสเทเฟนจะเป็นคนที่โดดเด่นกว่าทุก ๆ คน เขาน่าจะเป็นผู้นำคนกลุ่มนี้ เราอาจคิดว่าทำไมท่านลูกาจึงต้องบอกชื่อคนเหล่านี้รู้ไหมเพราะอะไร?

เพราะว่าทุกคนมีชื่อเป็นกรีกหมดทั้ง ๆ ที่เป็นคนยิว พวกเขาคือกรีกที่เป็นชาวต่างชาติที่เข้ามา น่าสนใจคือ ทุกคนในกลุ่มไม่ว่าจะเป็นยิวพูดอาราเมค หรือยิวพูดกรีกเห็นด้วยและมีการอธิษฐานวางมือให้พวกเขาได้ทำงานด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้าพวกเขาไม่ได้เห็นว่างานนี้เป็นงานเล็ก ๆ แต่มีความสำคัญมากเช่นกัน
5* กิจการ 6:3; 11:24; 8:5; 26; 21:8; วิวรณ์ 2:6, 15 6* กิจการ 1:24; 2 ทิโมธี 1:6. 7* กิจการ 12:24, ยอห์น 12:42

กิจการ 6:8-11
แม้ว่าสเทเฟนไม่ได้เป็นอัครทูต แต่เป็นผู้ที่ดูแลความเป็นอยู่ของแม่ม่ายซึ่งมีอยู่มากมายพร้อมกับคนอื่น ๆ ที่ถูกเลือกเข้ามาทำงาน เขากลับเป็นคนที่ทำการอัศจรรย์ ทำหมายสำคัญซึ่งมีความหมายถึงการอัศจรรย์ ที่ชี้ไปถึงพระเมสสิยาห์ คือพระเยซูคริสต์ ที่เขาทำได้เพราะชีวิตของเขาเต็มด้วยพระคุณและฤทธิ์เดชของพระวิญญาณในตัวเขา

และเมื่อมีคนมาโต้แย้ง พวกนั้นก็ไม่อาจชนะข้อโต้แย้งได้ เพราะสเทเฟนมีทั้งสติปัญญา และพระวิญญาณทรงกล่าวผ่านเขา น่าตื่นเต้นจริง ๆ ที่ใครคนหนึ่งจะมีปัญญาพร้อมพระวิญญาณเช่นนี้ ให้สังเกตอย่างหนึ่งคือ ยิวที่มาจากแคว้่นซิลีเซีย เป็นบ้านเกิดของท่านเปาโลด้วย มีบางคนให้ความเห็นว่าเรื่องเหล่านี้ ท่านลูกาน่าจะได้ยินมาจากท่านเปาโลอีกที แล้วศัตรูก็หาทางอื่นที่จะกำจัดสเทเฟนให้พ้นทาง เป็นวิธีเดิม ๆ ที่พวกเขาใช้กับพระเยซู และอัครทูต
8* กิจการ 2:43; 5:12; 8:15; 14:310* ลูกา 21:15. 11* 1 พงศ์กษัตริย์ 21:10,13

จับกุมสเทเฟน

กิจการ 6:12-15
มีการยุยง ปลุกปั่นประชาชนและผู้ใหญ่ให้จับตัวสเทเฟนมา และพวกเขาก็ทำสำเร็จ จะเห็นว่าจากการคุยกันธรรมดา กลายเป็นการโต้แย้ง จากนั้นก็กลายเป็นการให้ร้าย และความ รุนแรงจนถึงชีวิต

พวกเขาพยายามให้คนยิวคิดว่าสิ่งที่สเทเฟนพูดและทำนั้น เป็นการทำลาย ความเชื่อในศาสนายิว ทำลายวัฒนธรรม กฎบัญญัติของโมเสส แต่ในวันนั้นทุกคนกลับมองสเทเฟนเห็นเขาเป็นเหมือนทูตสวรรค์! เป็นไปได้อย่างไร ชายคนที่พวกเขาจับตัวมา กลับนิ่งสงบ เป็นสุข และหน้าตามีราศีขนาดนั้น พวกเขาเข้าใจไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
14* กิจการ10:38, 25:8

คำอธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง ยอห์น 11

น้องชายที่จากไป

ยอห์น 11:1-2
หมู่บ้านเบธานีอยู่ทางตะวันตกของภูเขามะกอกเทศ ไม่ใช่เบธานีที่อยู่อีกด้านของแม่น้ำจอร์แดน (ยอห์น 1:28) ท่านยอห์นได้แนะนำให้เรารู้ว่า มารีย์น้องสาวคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เคยชโลมพระบาทพระเยซู (มัทธิว 26:13) น่าสนใจที่ท่านยอห์น
เริ่มต้นเรื่องนี้ด้วยการแนะนำมารีย์เช่นนี้ จากนั้นจึงเล่าเรื่องว่าลาซารัสน้องชายป่วยหนักมากจนต้องพึ่งพระเยซู เพราะท่าทางเป็นไปได้ว่าลาซารัสต้องตายแน่ พระเยซูทรงสนิทกับสามพี่น้องนี้เป็นพิเศษ
1* ลูกา 10:38-39. 2* ยอห์น 12:3

ยอห์น 11:3-6
เธอได้ส่งข่าวไปให้พระเยซูทราบโดยใช้คำว่า “คนที่ทรงรักกำลังป่วยหนัก” แค่นี้เป็นที่เข้าใจแล้วว่า พวกเขาต้องการความช่วยเหลือขนาดไหน แต่ดูสิ ในเวลาที่ลาซารัสตายไปแล้ว พระเยซูกลับทรงบอกศิษย์ว่า เขาไม่ตายแต่จะเป็นการถวายพระเกียรติพระเจ้า และพระบุตรจะได้รับเกียรตินั่นคือ การคืนชีพของลาซารัสจะเป็นการถวายเกียรติแด่พระบุตรผู้ทรงทำให้เขาฟื้นขึ้นมา จากดำรัสของพระเยซู เราเห็นได้เลยว่า พระองค์ทรงรู้ ทรงเห็นว่า เกิดอะไรขึ้นที่บ้านเบธานี. ท่านยอห์นได้บันทึกไว้ว่าพระเยซูทรงรักพี่น้องทั้งสาม… แต่พระองค์ก็ไม่ทรงลนลานรีบไป วิธีของพระองค์นั้น นิ่งจนน่าแปลกใจ พระองค์ยังคงอยู่ที่เดิมอีกสองวันเสียด้วยซ้ำคิดดูแล้วกันว่า อีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร .. น้องชายตาย ต้องทำศพ พันผ้า เอาศพไปไว้ในถ้ำเก็บศพต้องมีน้ำตามากมาย ฟูมฟายกันขนาดไหน และทั้ง ๆ ที่พระองค์จะสั่งให้ลาซารัสหายป่วย แบบทางไกลก็ได้ แต่พระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้น
3* ยอห์น 11:5,11,36. 4* ยอห์น 11:11, มัทธิว 9:24, ยอห์น 9:3, 13:31. 5* – 6* ยอห์น 2:4, 7:6,8

ยอห์น 11:7-10
ตอนนี้พระเยซูทรงอยู่ที่perea พ้นไปจากจอร์แดน แต่ศิษย์ของพระองค์ทูลเตือนว่า ยิวต้องการจะเอาหินขว้างพระองค์อยู่ แล้วจะไปให้มีเรื่องทำไม.. การที่พระองค์ตรัสว่า กลางวันมีสิบสองชั่วโมง นั่นคือ พระองค์ยังมีงานที่ต้องทำอยู่ สิิบสองชั่วโมง
เป็นคำเปรียบเทียบหมายถึงเวลาที่พระเจ้าทรงจัดไว้ให้พระองค์ทำราชกิจในโลกนี้ และในช่วงเวลาที่ต้องทำงานนั้น จะไม่มีอันตรายมาถึงได้เลย ต้องรีบทำงานก่อนจะถึงวันสุดท้ายของพระองค์
7* ยอห์น 10:40, 8* ยอห์น 1:38, 8:59, 10:31 9* ลูกา 13:33, ยอห์น 9;4, 1 ยอห์น 2:1010* เยเรมีย์ 13:16

ยอห์น 11:11-16
เมื่อพระเยซูตรัสว่า เขาหลับอยู่ ท่านยอห์นผู้เขียนก็อธิบายด้วยว่า คำของพระเยซูหมายถึงตายแล้ว แต่ศิษย์ไม่เข้าใจเช่นนั้น พวกเขาคิดว่าถ้าหลับอยู่ ก็จะหายป่วยได้ถ้าพระเยซูทรงไปรักษาเขา ทำให้พระเยซูต้องอธิบายอีกครั้งว่า ความจริงคือลาซารัสตาย แต่พวกเขาจะได้เห็นสิ่งที่ทำให้เชื่อมากขึ้น การที่พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อรักษานั้นกลับกลายเป็นโอกาสที่จะทำให้พระองค์ทรงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น มีการกล่าวถึงแฝดโธมัส แต่เราไม่ทราบว่า เขาเป็นแฝดของใคร แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นคือ เมื่อเขาจะไปกับพระเยซูไม่ว่าที่ไหน เขาคิดว่าจะตายพร้อมกับพระองค์ได้ เขาพูดทั้ง ๆ ที่ยังไม่เข้าใจ การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นความจงรักภักดีจากใจของเขา
11* มัทธิว 9:24, 16* ยอห์น 14:5, 20:26-28

ผู้ที่เป็นชีวิตแท้จริง

ยอห์น 11:17-22
เหตุการณ์ต่อมาคือที่บ้านของลาซารัสเอง มีเพื่อน ๆ มาปลอบใจพี่น้องที่เสียน้องชายไป ศพถูกเก็บไว้สี่วัน อากาศร้อนอบอ้าวทำให้ศพเน่าเปื่อยเร็วขึ้น และวันนั้นเป็นวันที่พระเยซูมาถึง
ในตะวันออกกลางแม้ว่าเขาจะเอาศพไปเก็บทันที แต่งานศพยังมีต่อเนื่องเพื่อให้เพื่อนฝูงได้แสดงความเสียใจกับญาติของผู้ตาย แล้วมีคนมาเรียกหามารธาว่า พระเยซูมาแล้ว เธอรีบออกไปพบพระองค์ สิ่งที่เธอกล่าวออกมานั้นมีความเชื่อว่า ถ้าพระเยซูอยู่ น้องชายจะไม่ตาย เธอมั่นใจว่าเธอขออะไรพระองค์จะตอบ แต่คำพูดนั้นแฝงด้วยคำตัดพ้อนิด ๆ และไม่ได้เชื่อว่า พระเยซูจะช่วยอะไรได้ไปมากกว่านี้ เป็นเรื่องปกติที่จะคิดว่า พระองค์ทำได้ระดับหนึ่ง แต่เธอไม่ได้คิดว่า ทรงทำได้ทุกอย่าง
ถึงกระนั้น มารธาก็ยังเชื่อวางใจพระเยซู
22* ยอห์น 9:31, 11:41

ยอห์น 11:23-26
แต่แล้วพระเยซูกลับทรงตรัสว่า น้องชายจะฟื้นขึ้นมา เธอเองก็มั่นใจว่า น้องจะฟื้นในวันสุดท้ายของโลก เป็นความเชื่อของยิวฝ่ายฟาริสีที่ชัดเจน แต่พระเยซูทรงหมายความว่าจะฟื้นวันนี้ ทรงยืนยันให้เธอทราบว่า พระองค์คือ ผู้ที่ฟื้นชีวิตคนตาย พระองค์คือชีวิต.. ทรงเป็นต้นกำเนิดของชีวิต ทรงเป็นแหล่งชีวิต ใครเชื่อพระองค์จะไม่ตายอีกเลย แม้ว่ากายตายแต่วิญญาณยังมีชีวิต
พระองค์ถามว่าเธอเชื่อหรือไม่…ที่ทรงถามเพราะต้องการความเชื่อจากปาก จากใจของเธอ เพื่อตัวเธอเองจะได้รับพระพรจากพระเจ้า
ยอห์น 5:29, 25* ยอห์น 5:21, 6:39, 40,44. ยอห์น 5:10, 1โครินธ์ 15:22

ยอห์น 11:27-29
มารธาไม่ลังเลแม้แต่น้อย เธอมั่นใจว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์พระบุตรของพระเจ้าที่ทรงส่งมาในโลก เธอย้ำชัดเจน..พระบุตรพระเจ้าที่ถูกส่งมา นี่เป็นความมั่นใจที่เราต้องมีเช่นกัน
จากนั้นเธอรีบไปบอกมารีย์แบบไม่ให้ใครรู้ว่า พระอาจารย์ทรงถามหาเธอ น้องสาวก็รีบไปพบพระองค์ แม้พระองค์จะเป็นพระเจ้าที่ถูกส่งมา แต่ในสายตาของเธอ พระองค์ทรงเป็นพระอาจารย์ด้วย
27* มัทธิว 16:16

ยอห์น 11:30-33
เมื่อมารีย์พบพระองค์ เธอก็พูดเหมือนพี่สาว เป็นคำพูดที่มีทั้งความเชื่อ และมีความน้อยใจแฝงอยู่ เมื่อพระเยซูทรงเห็นความโศกเศร้า น้ำตาของทุกคนในที่น้ัน พระเยซูทรงสะเทือนพระทัย เป็นอย่างยิ่ง ภาษากรีกเดิมนั้นมีความหมายว่า ถอนใจเหมือนกับม้า ซึ่งทำให้เห็นเห็นถึงความรู้สึกโกรธ และไม่พอใจในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงไม่พอใจศัตรูของพระเจ้า ผู้ชั่วร้ายที่ทำลายมนุษย์ที่ทำให้มนุษย์ต้องตกในความตาย
31* ยอห์น 11:19, 33, 32* วิวรณ์ 1:17, ยอห์น 11:21

ยอห์น 11:34-37
ทรงให้พวกเขาพาไปดูที่เก็บศพของลาซารัส พระเยซูทรงร้องไห้ด้วย ร้องกับความทุกข์ใจของทุกคนที่มา และร้องให้กับความน่าสลดใจของชีวิตมนุษย์ที่ต้องเจอกับความตาย ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างพวกเขามาให้พบความสุขในพระองค์​ พวกยิวเห็นพระเยซูร้องไห้ ก็เริ่มออกความเห็นกันว่า พระองค์ทรงรักลาซารัสมาก และบางคนพูดถึงกับว่า พระองค์น่าจะทำให้ลาซารัสไม่ตายก็ได้พวกเขาคงเห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงทำมาหลายอย่าง และสรุปไปเลยว่า พระองค์ทรงทำได้ทุกอย่าง
35* ลูกา 19:41 37*ยอห์น 9:6-7, 38* มัทธิว 27:60-61

ลาซารัสคืนชีพ

ยอห์น 11:38-40
พระเยซูขอให้เปิดถ้ำทำไมกัน พระองค์เศร้ามากจนอยากเห็นลาซารัสอีกครั้งหรือ พวกเขาต่างให้เหตุผลว่าไม่น่าเปิดเพราะศพเน่าแล้ว แต่พระองค์กลับตรัสว่า ถ้าเชื่อก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า คำของพระองค์นี้ ถามเราทุกคนเช่นกัน ไม่ว่าเราตกอยู่ในสถานการณ์ใด พระองค์ยังคงตรัสว่า เชื่อแล้วจะเห็นความยิ่งใหญ่ หรือความมหัศจรรย์ การช่วยเหลือ ที่ไม่คาดฝันว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนพระเจ้าทรงทำการยิ่งใหญ่ทั้ง ๆ ที่เราไม่มีความเชื่อก็ได้. แต่ว่าอะไรล่ะ จะดีสำหรับเรามากกว่ากัน? อะไรล่ะ ที่ทำให้เราเกิดใจกตัญญู และเห็นพระสิริของพระเจ้า?
38* มัทธิว 27:60,66, 40* ยอห์น 11:4, 23

ยอห์น 11:41-43
แล้วพระเยซูทรงอธิษฐานขอบพระคุณที่พระบิดาทรงฟังเสมอ และทรงกล่าวว่าเหตุใดจึงทรงมายืนอยู่หน้าถ้ำ. นี่เป็นการอธิษฐานในที่ ๆ มีคนมากมาย เป็นคำอธิษฐานที่บอกว่า ทรงรู้จักพระบิดา และสนิทกับพระองค์ เป็นอย่างมาก ทรงอธิษฐานก่อนก็เพื่อคนทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเจ้าทรงส่งพระองค์มาจริง ๆ จากนั้นก็ทรงเรียกลาซารัสออกมาด้วยเสียงดังมาก ทรงตะโกนจากปากถ้ำเข้าไปในถ้ำเป็นคำง่าย ๆ ใน คิดดูว่า เหตุการณ์ในตอนนี้ระทึกขนาดไหน คนที่เห็นลาซารัสจะเห็นเขาเป็นคนหรือเห็นเป็นผี?คำตรัสของพระเยซูสั้นมาก ในภาษาเดิมจะเป็น… ลาซารัส ออกมา …​
42* ยอห์น 12:30, 17:21,

ยอห์น 11:44
ทันทีที่ตรัสสั่ง ท่านยอห์นบันทึกว่า และผู้ที่ตายไปแล้ว.. ก็ออกมา นับเป็นเหตุการณ์เหลือเชื่อ สุดบรรยายเป็นพวกเราอาจวิ่งหนีกัน … คนที่เห็นต่างตะลึงไปตาม ๆ กัน การฟื้นครั้งนี้ของลาซารัส เป็นการฟื้นมาโดยเขาจะตายอีกครั้ง ไม่ได้เป็นการคืนชีพแบบที่พระเยซูทรงฟื้นจากตาย แปลกที่ว่าเขาเดินออกมาเอง โดยมีแถบพันมือ พันขา และพันหน้าของเขาไว้ เหมือนกับลอยออกมาหรือเปล่านี่?​ พระเยซูทรงสั่งให้เอาผ้าที่ พันอยู่นั้นออกมา และปล่อยให้เขาเป็นอิสระ แน่นอนที่ว่า ลาซารัสฟื้นขึ้นมาโดยไม่มีความเน่าในตัวของเขาให้เป็นที่รังเกียจ ฟื้นขึ้นมา ไม่มีโรคที่ทำให้เขาตายในตัวอีกต่อไป เขาจะกลับไปเป็นน้องชายที่อยู่ในครอบครัวซึ่งเป็นที่ รักของพระเยซูต่อไป
44* ยอห์น 19:40, 20:7

แผนฆ่าพระเยซู

ยอห์น 11:45-46
คราวนี้ ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ก็แตกออกเป็นสองฝ่ายอีก เมื่อพระเยซูทรงทำการมหัศจรรย์ทีไร ก็มักเกิดการแตกคอกัน เพราะพวกหนึ่งจะเชื่อและเชื่อมากขึ้น พวกเขากลายเป็นผู้ที่ติดตามพระองค์ต่อไป เขาเชื่อว่า พระเยซูมาจากพระเจ้าจริง ๆ อย่างที่
พระองค์ตรัสแล้วตรัสอีก ส่วนอีกพวกก็จะพยายามต่อต้านทำร้ายพระองค์ เอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปรายงานหัวหน้าปุโรหิตกับฟาริสี
45* ยอห์น 2:23, 10:42, 12:11,18. 46* ยอห์น 5:15

ยอห์น 11:47-48
และทันทีที่ได้ยินเรื่อง พวกเขาก็เรียกประชุมด่วน เพราะเรื่องนี้ปล่อยไว้ไม่ได้จริง ๆ มันเป็นการกร่อนอำนาจที่พวกเขามีเหนือประชาชน พวกเขาต่างให้เหตุผลว่า คนจะตามพระเยซู แล้วโรมก็จะมีเหตุผลที่จะมายึดประเทศแบบเด็ดขาดพูดง่าย ๆ คือ มาริบอำนาจทางศาสนาของพวกเขาไป พวกเขาเห็นว่าพระวิหาร อำนาจต่าง ๆ เป็นของพวกเขาที่จะต้องรักษาเอาไว้ ไม่ได้คิดว่าทั้งหมดเป็นของพระเจ้า
47* สดุดี 2:2, กิจการ 4:16

ยอห์น 11:49-51
ในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าปุโรหิต มีตำแหน่งที่มีหน้าที่ในการพยากรณ์เรื่องราวต่าง ๆ ของประเทศ คายาฟาสเองได้กล่าวคำสำคัญออกมา โดยไม่รู้ตัว เขาเองประกาศก้องว่า พระเยซูจะตายเพื่อ ชนชาติยิว เพื่อไม่ให้โรมมาแตะต้องศาสนาของพวกเขา แต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น
49* ลูกา 3:2, 50* ยอห์น 18:14

ยอห์น 11:52-54
เขายังกล่าวต่อไปว่า ในการประหารพระเยซูนั้น จะกลายเป็นการรวมชนอิสราเอลต่างแดนให้มาเป็นหนึ่งเดียว เขากล่าวคำที่เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ใช่แล้ว การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูจะนำให้คนของพระเจ้าไม่ว่าเป็๋นยิวหรือเป็นคนต่างชาติ
เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นลูกของพระเจ้าเหมือนกัน แล้วพวกเขาก็วางแผนฆ่าพระเยซู ซึ่งเรื่องนี้ พระเยซูทรงรู้ดี ในเมื่อยังไม่ถึงเวลา พระองค์จึงเสด็จไปอยู่นอกเมือง ไกลออกไปทางถิ่นกันดาร
52* อิสยาห์ 49:6, เอเฟซัส 2:14-17, 53* มัทธิว 26:4, 54* ยอห์น 4:1,3, 7:1, 2 พงศาวดาร 13:19

ยอห์น 11:55-57
ต่อมาอีกไม่กี่วันที่จะถึงเทศกาลปัสกา พวกยิวบางส่วนจะมาล่วงหน้า เพื่อทำพิธีนี้ และผู้นำศาสนาต่างก็พยายามหาว่าพระเยซูมาในงานนี้หรือไม่ ครั้งนี้พวกเขากะว่าจะกำจัดพระเยซูให้สำเร็จไปเลย
55*ยอห์น 2:13, 5:1, 6:4, กันดารวิถี 7:10,13, 31:19,20. 56* ยอห์น 7:11, 57*มัทธิว 22:14-16

กิจการ 5 การเริ่มต้นที่สำคัญ

โกหกที่ถึงตาย

การขัดขวางพระกิตติคุณ

นักโทษเป็นอิสระ

คำเตือนสติจากกามาลิเอล

คำอธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง กิจการ 5

โกหกที่ถึงตาย 

กิจการ 5:1-2ก
ท่านลูกาได้เล่าเรื่องที่พี่น้องหลายคนได้ขายที่ดิน บ้าน แล้วเอาเงินมาให้อัครทูตแบ่งปันให้กับคนที่ขัดสน ก็มีคนอยากทำตามบ้าง แต่ไม่ได้ทำด้วยความจริงใจ อานาเนียกับสัปฟีรา ขายที่ดินได้ ตกลงใจที่จะมอบเงินให้กับอัครทูตแต่ก็แอบเก็บเอาไว้ ส่วนหนึ่ง ซึ่งที่จริงการเก็บเงินส่วนของตนก็ไม่ได้ผิดอะไร จะให้อัครทูตแค่สิบยี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็ไม่เป็นไรอยู่แล้ว สิ่งที่ผิดคือ ทั้งสองต้องการให้ทุกคนคิดว่า เขาให้เงินทั้งหมด ซึ่งเท่ากับเป็นการโกหกอย่างตั้งใจ เขาร่วมมือกันที่จะหลอกทั้งชุมชนคริสเตียน
1* กิจการ 4:34-37, เลวีนิติ 10:1-3, 2* 2 เปโตร 2:14-15, 1 ทิโมธี 6:10

กิจการ 5:2ข-4
เปโตรมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณในเวลานั้น ท่านถามว่า ทำไมซาตานจึงล่อให้เขากล้าโกหกต่อพระวิญญาณได้… แทนที่จะได้รับคำชม อานาเนียสกลับถูกเปิดโปงความคิดที่ไม่มีใครเห็น ใจของเขาต้องการให้คนทั้งหลายชมเชยว่า เป็นคนใจดีมีเมตตา แต่เขากลับมารู้ว่า เขากำลังตั้งใจโกหกพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ 
3* ลูกา 22:3, ยอห์น 13:2,27, เยเรมีย์ 23:24, อิสยาห์ 29:15 4* กิจการ 8:21-22, ลูกา 10:16

กิจการ 5:5-8 
เพียงได้ยินคำของเปโตร อานาเนียสก็ล้มลงตาย เกิดจากอะไร? ตกใจมากหรือ ? พอเขา รู้ว่าเขากำลังโกหกพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าของฟ้าสวรรค์ เขาคงตกใจสุดขีดทันควัน …เขาล้มลงตายทันที! เปโตรเองก็ตกใจเช่นกัน เหมือนกับว่าเขาเป็นคนประกาศพิพากษาคนทำผิดให้ต้องโทษประหาร เขาคงตะลึงมากที่เหตุการณ์เป็นเช่นนั้น อานาเนียสไม่ได้โอกาสที่จะกลับใจเลย ศพของอานาเนียส ถูกพันด้วยผ้า หามไปฝัง
5* กิจการ 13:11, 6* –

กิจการ 5:9-11
สัปฟีราน่าจะมาพร้อมกับสามี เธออาจจะไม่ต้องเจอกับความตายเร็วเช่นนี้ อาจจะทันกลับใจเมื่อเห็นสามีตาย สามชั่วโมงต่อมาเธอเข้ามาพบเปโตรคาดว่าคงจะได้รับคำชมเชย แต่แล้ว เหตุการณ์ร้ายก็เกิดขึ้น เพราะแทนที่จะพูดความจริง เธอกลับหาเรื่อง ให้ตัวเองต้องตาย เธอสมคบคิดเรื่องนี้ พร้อมที่จะทำบาปไปกับสามี ปกปิดเรื่องของตนเอง เปโตรเองรู้ทันทีว่าอะไรจะเกิดขึ้น สามีเพิ่งตายไป ภรรยามาทำผิดซ้ำ เธอล้มลงตายต่อหน้าต่อตาทันทีเช่นกัน ศพของเธอถูกนำไปฝังข้าง ๆ ศพสามี
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความยำเกรงในหมู่คริสเตียน เป็นการดีที่พวกเขาจะกลัวการทำบาป ชุมชนนี้เกิดใหม่ ต้องการขอบเขต ต้องการความเข้าใจว่า บาปเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงชัง … พวกเขาจะต้องไม่ทำบาปตรงนี้เป็นครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า คริสตจักร ซึ่งหมายถึงการชุมนุมกันของผู้เชื่อในพระเจ้า
9* 1 โครินธ์ 10:9, สดุดี 95:8-11 10* – 11* กิจการ 19:17, 1 เปโตร 1:17

การขัดขวางพระกิตติคุณ 

กิจการ 5:12-16
คงจำได้ว่าที่เฉลียงโซโลมอนเคยมีการอัศจรรย์ที่บันทึกไว้ (3:11) คนเป็นอัมพาตได้รับการรักษาให้หาย และทำให้เกิดเรื่องราวขึ้น พวกศิษย์ถูกห้ามกล่าวพระนามของพระเยซู แต่ตอนนี้ หมายสำคัญและการอัศจรรย์เกิดขึนถี่มาก ผู้ป่วยต่างพากันมาหาอัครทูตเพื่อให้ช่วยรักษาโรค และพวกเขาก็หายสนิทด้วย… 
ถึงอย่างนั้นยังมีคนมากมายที่ไม่กล้าเข้ามาเชื่อ พวกเขายังกลัวอิทธิพลของเหล่าธรรมาจารย์ที่อาจจะไล่พวกเขาออกจากธรรมศาลาแม้คนจะเชื่อว่าเงาของเปโตรทำให้หายโรคได้ แต่ท่านลูกาไม่ได้บอกว่าหายจริงหรือเปล่า การอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นผลจากการอธิษฐานในบทที่ 4:29-30
12* 2 โครินธ์ 12:12, ฮีบรู 2:4, กิจการ 3:11 13* กิจการ 2:47, 4:21, 19:17, 14* กิจกากร 2:47, อิสยาห์ 55:11-13 15* มัทธิว 9:21,14:36, กิจการ 19:11-12 16* มาระโก 16:17-18, ยากอบ 5:16, 1 โครินธ์ 12:9 

นักโทษเป็นอิสระ

กิจการ 5:17-20
ท่านลูกาเขียนไว้ชัดว่า พวกมหาปุโรหิตและสะดูสี อิจฉาที่ประชาชนตามอัครทูตไป พวกเขาแก้ปัญหาด้วยการสั่งขังในคุกหลวง คู่แข่งจริง ๆ ของพวกเขาคือพระเจ้า แต่เขามองเห็นแค่อัครทูตเท่านั้น อัครทูตถูกจำคุก แต่ไม่คาดฝัน มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาหา และสั่งให้ตามออกไปสั่งด้วยว่าให้ไปประกาศพระกิตติคุณอย่างครบถ้วนแก่ประชาชนที่พระวิหาร สิ่งที่ทูตสวรรค์ให้อัครทูตทำนั้น ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นการท้าทายอำนาจของผู้นำศาสนายิวแบบว่าไม่กลัว ไม่เกรง อัครทูตชนกันซึ่ง ๆ หน้า แต่ในทางของพระเจ้านั้นคือ พวกเขาจะกลัวไหม จะเชื่อฟังพระเจ้าหรือมนุษย์? 
17* กิจการ 17:5, 13:45, 7:9, 18* กิจการ 4:3,ลูกา 21:12, วิวรณ์ 2:10, ฮีบรู 11:36 19* กิจการ 16:26, สดุดี 34:7, กิจการ 27:23, 20* ยอห์น 6:63, 68, 

กิจการ 5:21-22
อัครทูตซึ่งน่าจะนำโดยเปโตรก็ทำตามคำสั่งของทูตสวรรค์ตั้งแต่เช้า พวกเขาไปที่พระวิหารและก็ตั้งต้นประกาศพระกิตติคุณอย่างไม่กลัวใครเลย ทั้งเชื่อฟัง ทั้งไม่กลัวคำสั่งของทูตสวรรค์ที่มาจากพระเจ้า ทำให้พวกเขารู้ว่า การประกาศพระนามจะต้องดำเนินต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  .. แต่ในเช้าวันนั้น ยังไม่มีใครในสภารู้เรื่อง พอเรียกประชุมสภา กว่าจะมากันครบ กว่าจะเรียกออกมาจากคุกก็คงสายมาก อัครทูตก็ประกาศพระนามไปเยอะแล้ว และสภาก็เพิ่งรู้ว่า ไม่มีใครอยู่ในคุกที่อุตส่าห์จับขัง
21* ยอห์น 8:2, กิจการ 22:2-3, 15, 22* –

กิจการ 5:23-26
ดูสิ อุตส่าห์จับไปขัง และออกมาเมื่อไรไม่มีใครรู้เห็น แต่แล้วมีรายงานเข้ามาว่านักโทษทั้งหลายกำลังประกาศในพระวิหาร สภาอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ประชาชนที่ฟังอยู่ก็สำคัญ ถ้าไม่ได้ประชาชนเป็นพวก การปกครองก็จะลำบากมาก เขาสั่งให้จับอัครทูตกลับมาที่สภา.. เหตุใดคนพวกนี้จึงกล้าท้าทายอำนาจของสภายิว?
23* สดุดี 33:10, 2:4, ยอห์น 8:59 24* กิจการ 4:1, 21, ยอห์น 12:19 25* – 26* กิจการ 4:21, ลูกา 22:2, 20:19

กิจการ 5:27-32 
พวกเขาเอาอัครทูตมาที่สภาเพื่อขู่เพิ่มขึ้น “ก็สั่งห้ามแล้ว แล้วกลับสอนไปทั่วเมือง เจ้าพยายามจะแก้แค้นให้เลือดมาตกที่พวกเรารึ?”  “แต่เราต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่า ท่านตรึงพระเยซูตาย แต่ทรงฟื้นขึ้น1มาตอนนี้ทรงอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้า อิสราเอลกลับใจก็จะได้รับการยกโทษ … เราและพระวิญญาณเป็นพยานเรื่องนี้” กลับกลายเป็นว่าอัครทูตกำลังประกาศพระกิตติคุณของพระเจ้าในสภายิว! อะไรกันนี่ เปลี่ยนจากพระวิหารมาสู่สภา คิดดูแล้วกันว่า ในขณะนั้นจะเกิดความโกลาหลขนาดไหน พอเวลาความเกลียด ความอิจฉานำกลุ่มชน มันจะกลายเป็นการนองเลือดได้ ขณะที่ฟังอัครทูตกล่าว แน่นอนต้องมีคนไม่เห็นด้วย และมีคนเห็นด้วย พวกเขา
27* มัทธิว 5:22, กิจการ 22:31-23:1 28* กิจการ 7:52, 1 เธสะโลนิกา 2:15-16 29* 1 ซามูเอล 15:24, กิจการ 4:19 30* กาลาเทีย 3:13, 1 เปโตร 2:24, กิจการ 10:39  31* ลูกา 24:47 , กิจการ 11:18 อิสยาห์ 9:6 32* ยอห์น 15:26-27, ฮีบรู 2:3-4, กิจการ 13:31 

คำเตือนสติจากกามาลิเอล

กิจการ 5:33-36
แต่แล้ว ท่านกามาลิเอลซึ่งเป็นฟาริสีที่ใคร ๆ เคารพ ก็เข้ามาสยบความโกรธอันร้อนแรงของเหล่าปุโรหิตและธรรมาจารย์ความโกรธที่พร้อมจะฆ่าคนให้ตายต่อหน้าต่อตา กามาลิเอลเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น คือมีธูดาสตั้งตัวเป็นผู้นำ คนตามมากมาย แต่เมื่อธูดาสตาย คนก็สลายตัว ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ  
33* มัทธิว 9:14, 34* ยอห์น 3:29, 36* มาระโก 2:21,22 

กิจการ 5:37-40a
ต่อมามีคนชื่อยูดาสตั้งตัวให้คนตามเหมือนกัน แต่เมื่อเขาตาย ผู้คนก็แยกย้ายกันไป กามาลิเอลเตือนสติพวกเขาว่า อย่าไปยุ่งเลย ถ้าพวกอัครทูตทำด้วยกำลังตนเอง เดี๋ยวก็จะจบ ผู้คนจะไม่ตามต่อไป แล้วก็กลับมายังพระวิหารเหมือนเดิม แต่หากเรื่องนี้มาจากพระเจ้า ก็เท่ากับทุกคนต่อต้านพระเจ้า หาเรื่องใส่ตัวไปทำไม ก็เป็นคำเตือนที่มีปัญญาให้กับคนที่กำลังร้อนใจอยากกำจัดอัครทูต  
38* มัทธิว 15:13, เพลงคร่ำครวญ 3:37 39* สุภาษิต 21:30, กิจการ 7:51 40* มัทธิว 10:17

กิจการ 5:40b-42
พวกสภายิวจึงตัดสินใจแค่โบย ก็คือเพื่อให้เกิดความกลัวแต่อัครทูตกลับออกมาจากสภาทั้งที่เลือดอาบตามตัว ด้วยความยินดี เพราะเขาคิดว่า พระเจ้าทรงเห็นว่า เขาสมควรที่จะได้รับการดูหมิ่นเพื่อพระนาม จากนั้น พวกเขาจึงประกาศว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ หรือพระเมสสิยาห์ต่อไปทั้งในพระวิหารและตามบ้าน โดยไม่เว้นแม้สักวันเดียว 
นี่คือตัวอย่างของการประกาศ ทำไปทุก ๆ วัน แม้เกิดเหตุที่เจ็บปวด แต่ก็ไม่หยุดที่จะประกาศพระนามที่พวกเขารักมากที่สุด 
41* 1 เปโตร 4:13-16, ยากอบ 1:2, 42* 2 ทิโมธี 4:2, กิจการ 20:20