โรม 5 รอดได้ด้วยพระเยซู

โรม 5:1-2
ดังนั้น เมื่อเราถูกนับว่าเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้าโดยความเชื่อของเราแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระองค์ ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราโดยพระองค์ ด้วยความเชื่อ  เราจึงได้เข้ามาสู่พระคุณที่เรายืนมั่นอยู่ และเรามีความยินดีเพราะมีความหวังว่า เราจะได้ร่วมในพระเกียรติสิริของพระเจ้า


โรม 5:3-4
ยิ่งกว่านั้น เรายังยินดีกับความทุกข์ยากของเรา  เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากเหล่านี้ทำให้เกิดความทรหดอดทน และความทรหดอดทนนี้ทำให้เกิดคุณสมบัติที่ดี และคุณสมบัติที่ดีนี้ทำให้เรามีความหวัง 

โรม 5:5
เป็นความหวังที่จะไม่ทำให้เราผิดหวัง (หรือละอาย)  เพราะพระเจ้าทรงเทความรักของพระองค์  เติมใจของเรา 
ผ่านองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระองค์ประทานแก่เรา

โรม 5:6-7
เมื่อเรายังไม่อาจช่วยตนเองให้รอดได้นั้น  ในเวลาที่เหมาะสมพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราซึ่งเป็นคนไร้พระเจ้า มีน้อยคนที่จะตายเพื่อคนเที่ยงธรรมแม้ว่าบางครั้งจะมีคนกล้าที่จะตายเพื่อคนดี 

โรม 5:8
แต่พระเจ้าทรงแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่แก่เราคือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา
(หรือ พระคริสต์ทรงถูกส่งมาเพื่อสิ้นพระชนม์เพื่อเรา)

โรม 5:9
ดังนั้น ในเมื่อเราได้รับการทำให้เป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า(พระบิดา)โดยพระโลหิต  ของพระคริสต์ เราก็จะได้พ้นจากพระพิโรธของพระเจ้าโดยพระคริสต์อย่างแน่นอน

โรม 5:10
ถ้าในขณะที่เราเป็นศัตรูของพระเจ้า(พระบิดา)พระองค์ทรงทำให้เราคืนดีกับพระองค์เนื่องด้วยความตายของพระบุตร ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ด้วยว่า บัดนี้เราคืนดีกับพระองค์แล้ว  พระองค์จะทรงช่วยเราให้รอดพ้น(พระพิโรธ)ผ่านชีวิตของพระบุตรนั้น

โรม 5:11 
ยิ่งกว่านั้น  บัดนี้เรามีความยินดีมากในพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเราเพราะเราได้คืนดีกับพระเจ้า(พระบิดา)ก็โดยพระองค์


โรม 5:12-13
บาปได้เข้ามาในโลกเพราะการกระทำของบุรุษคนหนึ่ง และเมื่อมีบาป ความตายก็ตามมา ด้วยเหตุนี้ความตายจึงแพร่ไปยังทุกคนเพราะทุกคนทำบาป บาปอยู่ในโลกก่อนบทบัญญัติของโมเสส ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติมาก่อน การทำบาปจึงไม่ถือเป็นการละเมิดบทบัญญัติ

โรม 5:14
ถึงอย่างนั้น ทุกคนก็ต้องตาย ในช่วงเวลาตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส   แม้ว่าจะเป็นคนที่บาปทั้งที่ไม่ได้ละเมิด
บทบัญญัติ เหมือนอย่างที่อาดัมได้ทำ อาดัมเป็นต้นแบบของพระองค์ท่านที่จะมาภายหลัง    

โรม 5:15
แต่ของประทานที่พระเจ้าทรงให้เปล่าๆไม่เหมือนบาป
ของอาดัม ด้วยว่าการล่วงละเมิดของบุรุษคนเดียวทำให้คนจำนวนมากต้องตาย แต่พระคุณจากพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่า เพราะคนมากมายได้รับของประทานแห่งชีวิตจากพระเจ้าโดยพระคุณของบุรุษอีกท่าน คือองค์พระเยซู

โรม 5:16
แต่ของประทานจากพระเจ้าไม่เหมือนผลที่ได้จากบาปของบุรุษผู้เดียว หลังจากที่อาดัมได้ทำผิดครั้งเดียวนั้นเขาถูกตัดสินลงโทษ แต่ของประทานที่ให้เปล่าจากพระเจ้า เกิดขึ้นหลังจากการละเมิดหลายครั้ง และผลที่ได้คือ ทำให้เกิดความถูกต้องกับพระเจ้า

โรม 5:17
หากการละเมิดของบุรุษผู้หนึ่งทำให้ความตายมีอำนาจเหนือมนุษย์ทุกคน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด  เหล่าคนที่ได้รับพระคุณล้นเหลือของพระเจ้า และรับของประทานแห่งความเที่ยงธรรมจะมีชีวิตโดยพระองค์นั้นคือ พระเยซูคริสต์

โรม 5:18
ในเมื่อการละเมิดครั้งเดียวนำให้ทุกคนต้องรับการตัดสินลงโทษฉันใด การกระทำอันเที่ยงธรรมครั้งเดียว ก็นำมาซึ่งความเที่ยงธรรมที่นำชีวิตมายังมนุษย์ทุกคนฉันนั้น

โรม 5:19
เพราะเมื่อบุรุษผู้หนึ่งไม่เชื่อฟัง ทำให้คนจำนวนมากรับผลกลายเป็นคนบาปฉันใด   ดังนั้น บุรุษผู้หนึ่งที่เชื่อฟังพระเจ้า ก็ทำให้คนจำนวนมากกลายเป็นคนมีความเที่ยงธรรมฉันนั้น


 

โรม 5:20-21
เมื่อมีบทบัญญัติเกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาคือมีการละเมิดทวีขึ้น แต่ที่ใดมีบาปทวีขึ้นพระคุณก็เพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้นมากกว่านั้นอีก ตามที่ความตายมีอำนาจเหนือเราเพราะบาป พระคุณจะครอบครองเหนือเราโดยความเที่ยงธรรม จนนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา

โรม 5:1-2 พระเจ้าทรงถือว่าเราเป็นคนเที่ยงธรรม ถูกต้องกับพระองค์ พ้นผิดไม่เหมือนอย่างในอดีตอีกต่อไปเพราะว่าเราเชื่อตามที่พระองค์ทรงบัญชา พระคริสต์จึงนำเรามาสู่สถานะของผู้มีสิทธิพิเศษได้เป็นบุตรของพระเจ้า  เป็นสถานะที่ทุกคนที่เชื่อไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด ฐานะทางสังคม ความรู้แตกต่างขนาดไหน  เขาเหล่านี้ที่เชื่อ ติดตามพระเจ้าก็จะได้มีส่วนในพระสิริของพระเจ้าด้วย

โรม 5:3-4ความทุกข์ยากที่กล่าวถึงนี้ มาจากการถูกกดดันหรือข่มเหง เอาเปรียบไ่ม่ว่าจะทางร่างกายจิตใจซึ่งคริสเตียนในโรมเผชิญอยู่ไม่ว่างเว้น ท่านเปาโลสอนให้พี่น้องรู้ว่า ในความยากลำบากของพวกเขาเขาจะได้รับรางวัลที่คาดไม่ถึงจากพระเจ้า จากสิ่งดีที่เกิดขึ้นในที่สุด เราจะได้รับความหวังว่าจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าท่ามกลางความทุกข์ยาก  ยิ่งคริสเตียนพัฒนาคุณสมบัติของผู้เชื่อก็ยิ่งจะเห็นพระคุณของพระเจ้าในชีวิต

โรม 5:5
เมื่อได้รับสถานะที่ถูกต้องกับพระเจ้าแล้ว ผู้เชื่อก็มีสันติสุข มีความหวัง เมื่อทุกข์ยากก็ยินดีได้เพราะความหวังที่จะได้ร่วมในพระเกียรติสิริของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้น พระเจ้ายังทรงมอบพระวิญญาณให้พวกเขาด้วย ทรงเติมใจด้วยพระวิญญาณ ทรงให้พระวิญญาณเข้ามาประทับภายใน ร่างกายของผู้เชื่อพระเยซูจึงกลายเป็นพระวิหารของพระเจ้าเต็มรูปแบบ  ( 1 โครินธ์ 3:16)

โรม 5:6-7
ที่เราไม่อาจช่วยตัวเองให้รอด เป็นเพราะว่า เราและเพื่อนมนุษย์ทุกคน ไม่อาจช่วยตัวเองให้รอดได้เลย เราสิ้นหวัง  แต่ในเวลาที่เราไม่มีทางช่วยตัวเองนั้น พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ ในเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ เป็นเวลาของพระเจ้าที่ทรงวางไว้ (กาลาเทีย 4:4)  ให้พระบุตรมารับโทษแทนคนบาป สังเกตไหม พระคริสต์ไม่ได้มาเพื่อคนเที่ยงธรรมหรือคนดี แต่เพื่อคนบาป!

โรม 5:8
มนุษย์ทุกคนไม่อาจยืนขึ้นมาและกล่าวว่า พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อฉันที่เป็นคนดี  คนมีเมตตาเป็นคนที่ใคร ๆ เรียกว่า นักบุญ คุณพ่อ หลวงพ่อแม่ชี  จิตอาสา อาจารย์ ฯลฯ แต่พระองค์ทรงมาเพื่อคนที่ไร้พระเจ้า คนที่โลกดูหมิ่น สมัยพระเยซูเราเห็นชัดว่า พระองค์ทรงเป็นเพื่อนกับคนบาป คนเก็บภาษี ทรงคุยกับหญิงชาวสะมาเรียที่ใคร ๆ ดูหมิ่น  ทรงเชิญพระองค์เองไปบ้านของศักเคียสที่ใคร ๆ รังเกียจ.. นี่คือความจริง 

โรม 5:9
คิดดูว่า พระเจ้าทรงรักเรา ทั้งที่เราเป็นศัตรูตัวฉกาจของพระองค์  พระองค์จะทรงรัก สนิทสนมกับเรามากขึ้นเพียงไหน หากเราได้เป็นคนที่ถูกต้องกับพระองค์ กลายเป็นลูกของพระองค์ เพราะโอกาสที่พระองค์ให้เรา เชื่อ วางใจ รับพระองค์พระองค์ต้องให้พระบุตรสุดที่รักของพระองค์มา
สิ้นพระชนม์ หลั่งพระโลหิต รับความบาปของมนุษย์บนพระกายของพระองค์ จะพ้นจากพระพิโรธได้ก็ต้องผ่านการสละชีิวิตของพระบุตร!

โรม 5:10
พระบุตรของพระเจ้าไม่ได้แค่สิ้นพระชนม์ สละพระโลหิตเพื่อให้เราได้พ้นจากพระพิโรธของพระเจ้าเท่านั้น แต่.. พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาด้วย เราจึงไม่ได้ติดอยู่กับพระเจ้าที่สิ้นชีพแต่เราวางใจพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  ยังมีผู้เชื่อพระเจ้าบางท่านยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ว่า การคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญยิ่งของการสิ้นพระชนม์ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่บอกว่าพระองค์ทรงชนะความตายเพื่อเราแล้ว

โรม 5:11 
ด้วยความรักเต็มพระทัยที่พระเยซูทรงมีต่อพระบิดาพระเยซูจึงทรงลงมาในโลก และแม้พระองค์ไม่ทรงยินดีกับการขึ้นไปสิ้นพระชนม์อย่างน่าอับอายอย่างไม่เป็นธรรม แต่.. พระเยซูทรงยอมเชื่อฟังพระบิดาจนถึงความตายที่กำหนดมาไว้ให้ตั้งแต่ต้นแล้ว … ฟีลิปปี 2:8 บอกชัดเจนในเรื่องนี้พระบุตรที่ทรงเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ในองค์เดียวกัน ต้องมารับโทษบาปเลวทรามของเราทุกคนเพื่อจะให้เราพ้นพระพิโรธพระบิดา 

โรม 5:12-13
บาปเข้ามาในโลกผ่านอาดัม …ทำให้มนุษย์ทุกคนต้องเจอกับความตาย ไม่เว้นสักคน (เพราะอย่างไรทุกคนก็ทำบาป) ท่านเปาโลเน้นว่า มีบาปอยู่แล้วทั้ง ๆ ที่บทบัญญัติยังไม่เกิดด้วยซ้ำ  ดังนั้นใคร ๆที่ทำบาปช่วงอาดัมถึงโมเสสจึงถือว่า ไม่ได้ละเมิดบัญญัติแต่ยังต้องเผชิญกับความตาย   แต่บัดนี้มีบทบัญญัติที่บอกความจริงเรื่องบาปของมนุษย์ไม่มีใครกล่าวได้เลยว่า ฉันไม่มีบาป (1 ยอห์น1:8)

โรม 5:14
การมีบทบัญญัติเพียงแค่แจ้งว่า มนุษย์เราได้พลาดจากเป้าหมายของพระเจ้าด้วยพฤติกรรม ความคิดอะไรบ้าง   บทบัญญัติของโมเสสไม่ได้ช่วยให้มนุษย์รอดได้ ไม่มีพลัง เป็นเหมือนคุณครูที่คอยบอกให้เห็นปัญหาของมนุษย์  เราเห็นชัดจากอาดัมว่า มนุษย์นั้น ตกอยู่ในความบาปก่อนที่จะมีบทบัญญัติ มนุษย์ที่มีผิด และบาปจึงตายเหมือนกับอาดัมที่ทำผิดและบาป  ที่ว่าค่าจ้างหรือผลของความบาปคือความตายนั้น เริ่มที่อาดัม   

โรม 5:15
ของประทานที่ทรงให้เปล่า ๆ แตกต่างจากบาปของอาดัมอย่างสิ้นเชิง อาดัมส่งความตาย  พระเยซูส่งชีวิต อาดัมให้ความมืด พระเยซูให้ความสว่างแต่หากคนมากมายต้องตายเพราะการละเมิดของคนเดียว  ดังนั้น พระคุณจากพระเจ้า และพระคุณจากพระเยซูคริสต์บุรุษอีกท่านก็จะทำให้คนมากมายได้รับชีวิตอย่างท่วมท้น  ท่านเปาโลตั้งใจเขียนย้ำเรื่องราวเหล่านี้ในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อให้พี่น้องได้เข้าใจแจ่มแจ้ง

โรม 5:16
คำว่าการตัดสินลงโทษนี้ มีอยู่สามครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ คือข้อนี้ ข้อ 18 และ 8:1  (κατάκριμα คาตาคริมา ) หมายความถึง การลงโทษที่ผ่านการพิจารณาคดีมาก่อนแล้ว  เมื่อเราต้องเผชิญกับการลงโทษดังกล่าว พระเยซูกลับประทานของประทานที่ให้เปล่าซึ่งส่งผลให้เกิดการตัดสินว่าพ้นผิด นั่นคือกลายเป็นคนเที่ยงธรรม ถูกต้องกับพระเจ้า เป้าหมายของของประทานที่ให้เปล่านั้นคือผู้รับจะมีชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้า

โรม 5:17
การเข้ามาแก้ปัญหาโทษบาป และบาปที่ติดตัวมนุษย์นั้น เป็นการแก้ปัญหาที่มีพระเยซูคริสต์องค์เดียวเท่านั้นที่จะทำได้ และพระองค์ก็ทรงพร้อมที่จะทำเพื่อพระบิดา และชาวโลกที่พระบิดาทรงรักและเป็นห่วงมาก พวกเขาถูกสร้างมาเพื่อจะเป็นที่สรรเสริญ เป็นที่ถวายพระเกียรติ แต่เมื่อพวกเขาสูญเสียสภาพที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยพระเจ้าก็ไม่ทรงทอดทิ้ง แต่ทรงหาทางแก้ปัญหาบาปให้พวกเขากลับมาเป็นคนของพระองค์ได้

โรม 5:18
พระเยซูเป็นตัวแทนแห่งชีวิต การกระทำของอาดัมทำให้มนุษย์เก็บเกี่ยวความชั่วร้าย และพวกเขาก็เลือกทำความชั่วต่อไป จะเห็นว่าแค่ลูกชายของอาดัมก็ทำผิดต่อเนื่องโดยฆ่าน้องตนเอง และโลกก็เลวร้ายลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งพระเยซูเสด็จมา  

โรม 5:19
พระบุตรผู้บริสุทธิ์ทรงลงมาแก้ปัญหาที่มนุษย์คนใดก็ทำไม่ได้ นั่นคือ เพื่อโลกจะกลับมามีสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าเหมือนอย่างครั้งที่ทรงสร้าง
อาดัมและเอวามาตั้งแต่ต้น  เพื่อมนุษย์จะไม่ตกในสภาพที่ขาดจากพระเจ้าตลอดไป  มนุษย์ผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ท่านนั้น เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ท่ามกลางคนบาป ทรงถูกทดลองเหมือนพวกเขาแต่ไม่ได้ทรงแพ้บาปเหมือนมนุษย์ยังทรงสภาพไร้บาปตลอดชีวิต 

โรม 5:20-21
บทบัญญัติทำให้เราเห็นว่าเราทำบาปอะไรบ้าง ซึ่งแทบจะไม่มีข้อใดที่เราไม่ได้ละเมิดเลย …เราจึงเห็นบาปตัวเองท่วมท้นเมื่อเทียบกับบทบัญญัติ
แม้มนุษย์จะทำสิ่งดีมากมาย แต่ทุก ๆ วันก็ได้ทำบาปทวีขึ้น แต่ละวันที่ผ่านไป ก็สะสมบาปมากขึ้นแต่พระคุณของพระเจ้าไม่ได้ลดน้อยถอยลงไป
พระคุณของพระเจ้าเผชิญกับบาปของมนุษย์ และเอาชนะบาปเหล่านั้นด้วยพระโลหิต ด้วยพระชนม์ชีพของพระบุตรเอง 

พระคำเชื่อมโยง

โรม 5
1* อิสยาห์ 32:17; เอเฟซัส 2:14
2* เอเฟซัส 2:18; 3:12; 1โครินธ์  15:1; ฮีบรู 3:6
3* มัทธิว 5:11-12; ยากอบ 1:3
4* ยากอบ 1:12
5* ฟีลิปปี 1:20; 2 โครินธ์ 1:22;
6* โรม 4:25; 5:8; 8:32



8* ยอห์น 3:16; 15:13
9* เอเฟซัส 2:13; 1 เธสะโลนิกา 1:10
10* โรม 8:32; 2 โครินธ์ 5:18; ยอห์น 14:19
11* กาลาเทีย 4:9
12* 1โครินธ์ 15:21; ปฐมกาล 2:17
13* 1 ยอห์น 3:4

14* 1โครินธ์ 15:21-22
15* อิสยาห์ 53:11
18* อิสยาห์ 53:11-12; 1โครินธ์ 15:21, 45 ; ยอห์น 12:32
19* ฟีลิปปี 2:8
20* ยอห์น 15:22; 1 ทิโมธี  1:14

มัทธิว 10 ทรงส่งศิษย์ออกไป

พระเยซูทรงส่งศิษย์ใกล้ชิด(อัครทูต) ออกไป 

1 พระเยซูทรงเรียกศิษย์ทั้งสิบสองคนของพระองค์มาและประทานสิทธิอำนาจให้พวกเขาไล่วิญญาณชั่วและรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่าง
2 ศิษย์ที่เป็นอัครทูตทั้งสิบสองคนคือ คนแรก ซีโมน​มีอีกชื่อว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบลูกชายของเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขา
3 ฟีลิปและบารโธโลมิว โธมัส และมัทธิวผู้เป็นคนเก็บภาษี ยากอบลูกชายอัลเฟอัส และธัดเดอัส
 4 ซีโมนพรรคชาตินิยมและยูดาส อิสคาริโอทผู้ที่ทรยศพระเยซู

พระเยซูทรงกำชับวิธีการออกไป
5 พระเยซูทรงส่งทั้งสิบสองคนโดยทรงสั่งว่า “อย่าเข้าไปในเขตแดนของคนต่างชาติ หรือในเมืองที่มีชาวสะมาเรียอยู่

6 แต่จงไปหาแกะหลงหายของอิสราเอล
7 เมื่อพวกเจ้าไป จงประกาศว่า ‘แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว’
8 จงรักษาคนป่วย ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมา จงรักษาคนโรคเรื้อน ขับผีออกจากคน  เจ้าได้รับอำนาจนี้มาเปล่า ๆ ก็จงให้โดยไม่คิดราคา


 
9 อย่าพกเงิน ทองคำ แร่เงิน หรือแร่ทองแดงไปกับตัวเจ้า
 10 อย่าเอาย่าม หรือเสื้ออีกตัว หรือรองเท้า หรือไม้เท้าเดินทางไปด้วย เพราะคนทำงานก็ควรได้รับการสนับสนุนตอบแทน
 11 “เมื่อเจ้าเข้าไปยังเมืองหรือหมู่บ้านใด จงหาคนที่เหมาะเพื่อว่าเจ้าจะพักที่บ้านของเขาจนกว่าจะออกจากเมืองไป     
12 เมื่อเจ้าเข้าไปในบ้านใด
ก็ขอให้พระพรแห่งสันติสุขอยู่กับบ้านนั้น 
13 หากคนในบ้านนั้นต้อนรับเจ้า ก็ขอให้สันติสุขของท่านดำรงในบ้านนั้น แต่หาไม่แล้ว จงให้สันติสุขคืนมาสู่เจ้าเอง

เมื่อเขาไม่ต้อนรับ
14 และหากบ้านใดเมืองใดไม่ยอมต้อนรับเจ้าหรือฟังคำของเจ้า ก็จงละจากที่นั่นไป และสะบัดฝุ่นออกจากเท้าของเจ้าเมื่อออกจากสถานที่นั้น (เป็นการแสดงเตือนถึงการพิพากษา)

15 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า ในวันพิพากษา โทษของเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ยังเบากว่าเมืองนั้น  
16 “ฟังนะ เราส่งเจ้าออกไปเหมือนแกะท่ามกลางฝูงสุนัขป่า ดังนั้นจงฉลาดเหมือนงู และไม่มีภัยอย่างนกพิราบ 

พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
17 จงระวังเหล่าคนที่จะจับเจ้าและนำเจ้าไปขึ้นศาล และโบยเจ้าในศาลาธรรมของพวกเขา
18 เป็นเพราะเรา พวกเจ้าจะต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าผู้ว่าราชการ และเหล่ากษัตริย์ เพื่อเป็นพยานแก่ทั้งเขาและคนต่างชาติ
 
19 เมื่อเจ้าถูกจับ อย่ากังวลว่าจะพูดอะไร หรือพูดอย่างไร  เวลานั้น พระเจ้าจะประทานสิ่งที่เจ้าควรพูดให้ 
20  เพราะไม่ใช่เจ้าที่กำลังพูด แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระบิดาของเจ้าที่ตรัสผ่านเจ้า



ศิษย์ไม่เหนือกว่าครู
21 พี่น้องจะทรยศกันถึงชีวิต เขาจะส่งพี่น้องสู่ความตาย และพ่อก็จะมอบลูก และลูก ๆ ก็จะต่อต้านพ่อแม่ของตน ทำให้พวกเขาถึงแก่ความตาย
22 คนทั้งหลายจะเกลียดชังเจ้าเพราะเจ้าติดตามเรา แต่คนที่ยืนหยัดในความเชื่อจนถึงที่สุดจะรอด
23 เมื่อเจ้าถูกข่มเหงในเมืองหนึ่ง ก็จงหนีไปอีกเมือง
เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า ก่อนที่เจ้าจะไปทั่วทุกเมืองในอิสราเอล บุตรมนุษย์ก็จะเสด็จมาแล้ว (ดาเนียล 7:13-14) 
 24 “ลูกศิษย์จะไม่เหนือกว่าครูของเขา และทาสจะไม่เหนือนายของเขา
25 แค่ศิษย์เป็นเหมือนครู และทาสเป็นเหมือนนายก็น่าพอใจแล้ว  หากหัวหน้าครอบครัวถูกเรียกว่า เบเอลเซบูล (ชื่อของซาตานอีกชื่อ)  เขาจะเรียกคนในครัวเรือนนั้นหนักยิ่งกว่าสักเท่าใด
 


26 “ดังนั้น อย่าไปกลัวพวกเขา เพราะทุกอย่างที่ถูกปิดซ่อนไว้จะได้รับการเปิดเผย ทุกสิ่งที่เป็นความลับซ่อนอยู่ จะถูกเปิดให้เห็นประจักษ์ 

อย่ากลัวคน จงกลัวพระเจ้า
27 สิ่งใดที่เราบอกแก่เจ้าในที่มืด แต่เจ้าจะต้องบอกออกไปในที่แจ้ง สิ่งที่เจ้าได้ยินกระซิบข้างหู เจ้าจะต้องตะโกนประกาศจากหลังคาบ้าน
28 อย่ากลัวคนที่ฆ่าได้แต่ร่างกาย แต่ไม่อาจฆ่าจิตวิญญาณ ผู้เดียวที่เจ้าควรกลัวคือ พระองค์ผู้ทรงทำลายได้ทั้งจิตวิญญาณและร่างกายในนรก
  29 นกกระจอกนั้นเขาขายกันสองตัวบาทเดียวไม่ใช่หรือ  ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีสักตัวเดียวที่จะตายตกลงมาบนพื้นโดยพระบิดาของพวกเจ้าไม่ทรงอนุญาต
30 พระเจ้ายังทรงรู้ว่า บนศีรษะของเจ้ามีเส้นผมจำนวนเท่าไร  31 ดังนั้น อย่ากลัวไป เพราะเจ้ามีค่ายิ่งกว่านกกระจอกหลายตัว  

การยอมรับพระเจ้าต่อหน้าผู้อื่น
32 “คนใดที่ยอมรับเราต่อหน้าคนอื่น  เราก็จะยอมรับเขาต่อพระพักตร์พระบิดาของเราในสวรรค์
 33 แต่คนใดที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่ยอมรับเขาต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์เช่นกัน 

ความแตกแยกในครอบครัวเพราะพระเยซู
34 “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติสุขมาสู่โลก เราไม่ได้นำสันติสุขมา แต่นำดาบมา
 35 เรามาเพื่อที่จะทำให้ลูกชายต่อต้านพ่อ ลูกสาวต่อต้านแม่ ลูกสะใภ้ต่อต้านแม่สามี 
36  ศัตรูของคน ๆ หนึ่งก็คือ คนในครอบครัวของเขาเอง 

การเป็นศิษย์ของพระเยซู
37 “คนใดที่รักพ่อหรือแม่มากยิ่งกว่ารักเรา
ไม่สมควรที่จะติดตามเรา  คนใดที่รักลูกชายหรือลูกสาวมากกว่ารักเรา ก็ไม่สมควรที่จะติดตามเรา

 38 คนใดที่ไม่เต็มใจรับกางเขน
และติดตามเรามาก็ไม่คู่ควรกับเรา
 39 คนที่พยายามรักษาชีวิตของตนจะสูญเสียชีวิตนั้นไป แต่คนใดที่เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราจะรักษาชีวิตแท้จริงนั้นไว้


การต้อนรับคนของพระเจ้า
40 ใครก็ตามที่ตอบรับเจ้าก็รับเราด้วย 
และผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา
41 ใครก็ตามที่ตอบรับผู้เผยพระดำรัส
เพราะเขาเป็นผู้เผยพระดำรัส
ก็จะได้รับรางวัลอย่างที่ผู้เผยพระดำรัสพึงได้รับ 
และใครก็ตามที่รับคนเที่ยงธรรม
เพราะเขาเป็นคนเที่ยงธรรม
ก็จะได้รับบำเหน็จอย่างคนเที่ยงธรรม
42 คนใดที่ให้น้ำเย็นสักแก้วแก่คนเล็กน้อย
เพราะเขาเป็นคนของเรา

จะไม่ขาดรางวัลของเขาเลย

อธิบายเพิ่มเติม

พระเยซูทรงส่งศิษย์ใกล้ชิด(อัครทูต) ออกไป 
10:1 เมื่อพระเยซูทรงเรียกศิษย์สิบสองคนที่ใกล้ชิดมา เป็นคนที่จะอยู่กับพระองค์ จะเห็นการทำงาน การสอน การรักษาโรคของพระองค์ และ พระองค์ทรงให้อำนาจการไล่ผี การรักษาโรคให้พวกเขาด้วยอย่างที่ไม่ได้หวงอำนาจเหล่านั้นไว้เลย พวกเขาไม่ได้ทราบว่า ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในจักรวาลเป็นของพระเยซูคริสต์ .. แต่ต่อไปนี้ พวกเขาจะต้องใช้ฤทธิ์เดชนั้นอย่างพระอาจารย์ของพวกเขา

10:2-4 เราจะเห็นว่า ในบรรดาศิษย์สิบสองคนนี้ มีพี่น้องอยู่สองคู่คือ ซีโมนกับอันดรูว์ ยากอบกับยอห์น ที่เหลืออีกแปดคนนั้นมาจากคนละครอบครัว และยังมีคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรู้ว่าจะทรยศพระองค์ แต่ก็ทรงเลือกเขาไว้ด้วย
ศิษย์ทั้งสิบสองคน มีอาชีพเดิมต่างกัน ทั้งเป็นชาวประมง คนเก็บภาษี คนที่สนใจการเมืองอย่างซีโมน พระองค์ทรงให้คนต่างมุมมองมาเป็นศิษย์และให้พวกเขาทำงานด้วยกัน และแบบอย่างนี้ก็ส่งต่อลงมายังพระกายของพระคริสต์คือคริสตจักรด้วย … ผู้คนที่แตกต่าง มารักพระเจ้าองค์เดียวกัน มาเป็นพี่น้อง มานมัสการและทำงานรับใช้พระเจ้าด้วยกัน

10:5-8 พระเยซูทรงกำชับวิธีการออกไป
ผู้ที่เป็นคนสำคัญในพันธกิจครั้งนี้ของศิษย์คือ คนอิสราเอลที่หลงไปจากทางของพระเจ้า เป็นคนที่พระเยซูทรงสงสารเพราะพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง (มัทธิว 9:35-38 ; เยเรมีย์ 50:6 )
พระองค์ทรงสอนให้พวกเขาอธิษฐานต่อพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของนาให้ส่งคนของพระองค์ออกไป และเวลานี้ พระเยซูก็ทรงส่งคนออกไปอย่างที่ได้อธิษฐาน แต่พระเยซูทรงห้ามไม่ให้เข้าไปในเมืองที่มีชาวสะมาเรีย นับได้ว่าเป็นครั้งเดียวที่มัทธิวกล่าวคำว่า สะมาเรีย!
พระองค์ทรงให้ทั้งประกาศ รักษาคนป่วยทั่วไปและโรคเรื้อน ทำให้คนฟื้นจากตาย รวมถึงขับผี ซึ่งเป็นการสู้กับโลกวิญญาณโดยตรง ​….​

10:9-10 ทอง เงิน ทองแดง ต่างมีค่าที่จะใช้ซื้อของได้ แต่พระเยซูไม่ให้พวกเขาเตรียมสิ่งเหล่านั้นไป พระองค์ทรงวางกฎไว้ชัดเจนว่า คนที่ทำงานจะต้องได้รับการสนับสนุนจากคนท้องถิ่นที่เขาไปรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายหรือที่พัก เมื่อพักบ้านใดก็ให้พรแก่บ้านนั้น (ลูกา 10:5) คำว่าย่ามนั้นมีความหมายได้สองอย่างคือย่ามเดินทาง กับย่ามขอทาน เสื้ออีกตัวเพื่อที่จะใส่สลับกัน รองเท้า ไม้เดินทาง (ก็เพื่อเอาไว้ป้องกันตัวจากสัตว์ร้ายหรือโจรที่ซุ่มตามทาง) พระเยซูจะให้เขาไปด้วยการพึ่งพระเจ้าเต็มที่

10:11-13 ในแต่ละเมืองพวกเขาจะต้องพักในบ้านของคนที่ยินดีต้อนรับ และให้อยู่ที่นั่นที่เดียว ไม่ให้ทำเหมือนกับพวกนักบุญสัญจรที่มีอยู่ระบาดในสมัยนั้น พวกเขาจะไปหลายบ้านเพื่อเอาย่ามไปขอทาน


10:14-15 เมื่อเขาไม่ต้อนรับ
การที่บ้านเมืองใดไม่ต้อนรับพระวจนะของพระเจ้านั้น แสดงว่าพวกเขาต่อต้านพระองค์ เราจะเห็นประเทศมากมายที่ห้ามการประกาศ ห้ามมีพระคัมภีร์ และจะจับผู้เชื่อจำคุกจนกว่าจะปฏิเสธพระนาม ที่พระเจ้าตรัสว่า โทษของโสโดม โกโมราห์ยังเบากว่า …​เราเชื่อได้ เพราะเห็นจากประเทศที่ต่อต้านพระเจ้า ดูตัวอย่างจาก https://www.opendoorsus.org/en-US/stories/10-most-dangerous-places-Christian/

10:16-17 พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
ข้อความตอนนี้ พระเยซูทรงเปรียบศิษย์เป็นแกะที่ออกไปอยู่ท่ามกลางสุนัขป่า ซึ่งมีความหมายถึงความรุนแรง การถูกโจมตี ถูกข่มเหง คนของพระเจ้าอ่อนแอกว่าสุนัขป่าก็จริง แต่เจ้าของแกะนั้นก็ยิ่งใหญ่กว่าสุนัขป่า
พระองค์ทรงสอนให้พวกเขาฉลาดแต่ไม่มีอันตรายต่อคนอื่น โดยเปรียบกับงูที่มีความฉลาด ตื่นตัว รู้ตัวเสมอ คอยระวังตัว ส่วนนกพิราบมีความหมายถึงความบริสุทธิ์ ซื่อตรง อ่อนโยน สันติ และไม่มีภัยต่อผู้อื่น พวกเขาจะไม่ตอบสุนัขป่าด้วยวิธีการของโลก แต่ใช้อาวุธจากพระเจ้า ทั้งพระคำ การอธิษฐาน และความฉลาดเฉลียวที่พระเจ้าได้ประทานให้ รู้จักหลบหลีกสิ่งที่ควร และสู้ในสิ่งที่ต้องสู้เพื่อพระนามของพระเจ้า คนของพระเจ้าต้องมีสติปัญญา ความคิดริเริ่มเพื่อที่จะทำงานของพระองค์อย่างเกิดผล พวกเขาจะถูกจับ ถูกไต่สวน มีความเป็นศัตรูอยู่สูงในโลกข้างนอกแต่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่กับพวกเขา

10:17-18 พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
พระเยซูทรงเตือนล่วงหน้าว่า พวกเขาจะได้เจออะไรบ้าง เราไม่ทราบว่าในหมู่ศิษย์สิบสองคนนั้น มีใครค้านคำตรัสของพระองค์ในใจบ้างหรือเปล่า? จะส่งเราไป แต่เราจะเจอกับความทุกข์ยาก นี่เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงบอกล่วงหน้าให้คนของพระองค์ทราบ
การถูกโบยนั้น เป็นคำสั่งจากสภายิว พระองค์กำลังตรัสกับศิษย์ทั้งสิบสองโดยตรง แต่ก็เพื่อพวกเราด้วย
ดังนั้น คำถามเมื่อเจอความทุกข์ยาก ไม่ใช่ว่า “ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดกับฉัน?” แต่ควรจะถามว่า “พระเจ้าจะให้เราเผชิญอย่างไร อะไรเป็นยุทธวิธีของพระองค์?”
พระองค์ทรงให้เขาเห็นมุมมองใหม่ การออกไปยืนอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็เพื่อเป็นพยานทั้งแต่ยิวและต่างชาติ! นี่คือเป้าหมายของพระองค์ (ทั้ง ๆ ที่ทรงกำหนดชัดเจนแต่แรกให้ไปประกาศกับคนอิสราเอล!”)

10:19-20
ตอนนี้ พระเยซูทรงให้คำมั่นสัญญาว่า พระองค์ทรงอยู่ด้วย ในวิกฤติของชีวิต ในสถานการณ์ที่ต้องพูด สิ่งหนึ่งสำคัญคือเราจะพูดความจริง และที่สำคัญสุดคือ พระวิญญาณจะทรงอยู่ด้วย และทรงนำ ทรงทำให้เราได้พูดน้ำพระทัยของพระเจ้าออกมาต่อหน้าคนที่มุ่งร้าย

10:21-22 พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
พระคำตอนนี้ เกิดขึ้นจริงในโลก เพราะในหลาย ๆ สังคม ความเป็นพี่น้อง พ่อแม่ ญาติก็ยังไม่สำคัญเท่าอุดมการณ์ที่ถูกหว่านไว้ อย่างเช่น ลัทธิคอมมิวนิสต์ ความเกลียดชังที่รุนแรง ความเกลียดที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก ๆ อย่างในหลาย ๆ ประเทศตะวันออกกลาง ไม่แค่ในระดับชาติเท่านั้น แต่ในครอบครัวก็สร้างขึ้นมากันเองด้วย พระเยซูทรงเตือนว่า การเป็นคนติดตามพระเจ้าจะถูกเกลียดชัง เมื่อเดือนที่แล้ว พฤษภาคม 2025 คริสเตียนในซูดานใต้ ถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก ก่อนหน้านั้นก็ในคองโก โดยที่สำนักข่าวหลักมักไม่สนใจ ไม่รายงานและถ้าหนีได้ก็ให้หนี พระเจ้าทรงเปิดทางทุกอย่างไว้ให้ แต่สิ่งสำคัญที่เห็นคือ ไม่ว่าพระเยซูพบเจออะไร เราซึ่งเป็นคนของพระองค์ก็เจอได้เช่นกันที่เราแตกต่างคือ เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับในชีวิต

10:23-26 พระเจ้าไม่ได้สอนให้เราลุกฮือ แต่ให้หนี ก่อนที่จะหนีไปจนทั่ว พระเจ้าก็เสด็จมาก่อนแล้ว ยิ่งในสมัยนี้ การหนีเป็นสิ่งที่ยากมาก เราต้องหยุดจากการติดต่อทางมือถือ ทางอินเตอร์เนทอย่างสิ้นเชิง พระองค์ทรงให้กำลังใจว่า สิ่งที่พระองค์เผชิญ การเป็นศัตรู การเข่นฆ่า การพยายามเอาชีวิตที่พระองค์ต้องเผชิญนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ พระเยซูทรงสอนให้เรายืนมั่น ยืนมั่นสิ และสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้าไว้ สิ่งที่มารต้องการมากที่สุดคือ ให้เราล้มลง ให้เราทรยศพระเจ้า ดังนั้น คนที่ข่มเหงเราอาจจะเป็นคนในครอบครัว คนในท้องถิ่นเอง

10:27-31 อย่ากลัวคน จงกลัวพระเจ้า
สิ่งที่เราบอกเจ้าในที่มืด นั่นคือ สิ่งที่พระเยซูทรงสอนเป็นคำอุปมา เป็นคำที่คนทั่วไปไม่เข้าใจ มีแต่ศิษย์ของพระองค์ที่มีโอกาสถามและเข้าใจได้
อาจมีหลายสิ่งที่พวกเขาไม่อาจจะเข้าใจได้ หรือทนได้ในเวลานี้(ยอห์น 16:12)แต่เวลาต่อมาในอนาคต พวกเขาจะเข้าใจและจะได้สอนคนอื่นต่อไป
และไม่ใช่แอบสอน แต่จะประกาศให้ใคร ๆ ได้รับรู้ และเข้าใจเสียด้วย
พระเยซูทรงสอนชัดเจนตั้งแต่แรกว่า พระองค์มาเป็นที่หนึ่งก่อนครอบครัว และตรงนี้ทรงบอกว่า ไม่ต้องกลัวคนที่ฆ่าได้แค่ร่างกาย แต่ให้กลัวพระองค์ผู้ที่มีอำนาจเหนือร่างกายและจิตวิญญาณ
และพื้นฐานของความกลัวหรือความยำเกรงนี้ไม่ใช่อยู่ที่ความกลัวลาน แต่เป็นความยำเกรงพระเจ้าที่มั่นใจว่า ชีวิตของเราอยู่ในการดูแลของพระองค์ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา พระองค์ทรงทราบหมด เรายังมั่นใจว่า เรามีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ทรงยืนยันด้วยการพูดถึงจำนวนผมที่หลุดร่อน เกิดใหม่ทุกวัน พระองค์ทรงทราบจำนวน ของผมเราทุกวินาทีแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงโดยที่เราไม่รู้เลย!!
พระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าที่เป็นเจ้าแห่งจำนวนอันมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นดาวบนท้องฟ้า หรือ เซลต่าง ๆ ในร่างกายที่นับไม่ถ้วน หน้าที่ของเราคือเข้าใจพระองค์ให้ได้ว่า สิ่งที่ทรงบอกไว้ในโลกโบราณนั้น ยิ่งมีความหมายมากขึ้นในสมัยนี้ที่รู้รายละเอียด ความเป็นไปของสิ่งสารพัดทั้งที่ใหญ่โตมากและเล็กน้อยยิ่งกว่าคำว่านาโน

10:32-33 การยอมรับพระเจ้าต่อหน้าผู้อื่น
การยอมรับพระเจ้าต่อหน้าคนอื่น คือการแสดงตนว่าเป็นคนของพระเจ้า การที่เราจะเก็บพระเจ้าเงียบไว้คนเดียวนั้น อาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเราไม่ได้เป็นคนของพระองค์ ทุกอย่างในชีวิตของเราจะต้องให้การกับพระเจ้า 2 โครินธ์ 5:10

10:34-36 ความแตกแยกในครอบครัวเพราะพระเยซู
แม้พระเมสสิยาห์จะเป็นผู้นำสันติสุขมาให้ เหมือนอย่างที่บอกว่าพระองค์ทรงเป็น ซาร์ชาโลม ราชาแห่งสันติสุข แต่ผู้คนในโลกจะแยกตัวออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด พวกหนึ่งจะตามพระองค์ไป อีกพวกจะตามสิ่งที่เขาเลือก เป็นทางสองทางที่ไม่มีทางมาพบกันได้ ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง เราพบว่า ในประเทศที่ห้ามการเชื่อพระเยซู ยังมีการทำให้พี่น้อง พ่อแม่ในครอบครัวกลายเป็นสายลับให้กับรัฐบาลเพื่อจับตัวใครก็ตามที่เชื่อไปลงโทษ เป็นเรื่องเจ็บปวดที่คนในครอบครัวจะหันหลัง กลายเป็นศัตรูต่อกัน
 

10:37-39 การเป็นศิษย์ของพระเยซู
ผู้ที่ทำให้คนในครอบครัวเดียวกันแตกแยกกัน ก็คือพระเยซูนั่นเอง การที่พระองค์กล่าวว่า คนที่รักครอบครัวมากกว่ารักพระองค์ ก็ไม่คู่ควรกับพระองค์ เป็นสิ่งที่ดูเหมือนโหดร้าย แต่ความจริงแล้ว รู้ไหมว่า คนที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาจะรักคนในครอบครัวได้อย่างที่พระองค์ทรงรัก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเกลียดชังเขาเพียงใด
ครอบครัวที่คนหนึ่งได้มาติดตามพระเจ้าจริง เขาจะเป็นห่วงครอบครัว และทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้ครอบครัวได้พบความจริง เขาจะมุ่งมั่นที่จะนำครอบครัวมาสู่ความรอด ดูมัทธิว 13:53-58, มาระโก 3:21
การรับกางเขน การติดตามพระเยซูเป็นเรื่องที่เราต้องตัดสินใจ พระเยซูทรงยื่นการเลือกนี้ให้เราได้คิดใคร่ครวญ และตัดสินใจ
นี่ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่รักคนในครอบครัว ไม่ดูแล ไม่เอาใจใส่ แต่ทรงชวนให้ทุกคนรักพระเจ้ามากกว่า (เอเฟซัส 6:2, 4; 1 ทิโมธี 5:8; กิจการ 5:29)


10:40-42 การต้อนรับคนของพระเจ้า
การตอบรับดังกล่าวนอกจากจะเป็นการรับคำของคนที่พระเจ้าทรงส่งมา ก็ยังเป็นการมีน้ำใจรับแขกในเวลาเดียวกัน พระเจ้าทรงให้พระพรที่มีในคนของพระองค์ ได้ส่งต่อไปยังคนที่รับพระดำรัสของพระเจ้า นี่เป็นพระพรแบบที่เราไม่คาดว่าจะได้รับ เมื่อคนของพระเจ้าเป็นพยาน และเพื่อนของเขา หรือคนที่ฟังอยู่ รับคำนั้น เขาก็จะได้รับพระพรเป็นการตอบแทน!!
ที่ลึกไปกว่านั้น หากเขารับคนของพระเจ้า ยอมรับสิ่งที่เป็นพยานให้เขาฟัง เท่ากับรับพระเยซู และรับพระบิดาด้วย ! นี่เป็นความมหัศจรรย์ของการเป็นพยานเรื่องพระเยซู
และหากต้อนรับคนของพระเจ้าด้วยน้ำแก้วเดียวอย่างเต็มใจ ก็ยังได้รับพระพรอีก เพราะเท่ากับกำลังยื่นน้ำเย็นให้กับพระเจ้าเอง ..

พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 6:13
2* ยอห์น 1:42
3* กิจการ 1:13
4* กิจการ 1:13; ยอห์น 13:2; 26
5* มัทธิว 4:15; ยอห์น 4:9
6* มัทธิว 15:24; เยเรมีย์ 50:6
7* ลูกา 9:2; มัทธิว 3:2
8* กิจการ 8:18
9* 1 ซามูเอล 9:7; มาระโก 6:8
10* 1 ทิโมธี 5:18
11* ลูกา 10:8
12* ลูกา 10:5-6
13* ลูกา 10:5; สดุดี 35:13
14* มาระโก 6:11; กิจการ 13:51


15* มัทธิว 11:22,24
16* ลูกา 10:3; เอเฟซัส 5:15; ฟีลิปปี 2:14-6
17* มาระโก 13:9; กิจการ 5:40; 22:19; 26:11
18* 2 ทิโมธี 4:16
19* ลูกา 2:11-12; 21:14-15
20* 2 ซามูเอล 23:2
21* มีคาห์ 7:6
22* ลูกา 21:17; มาระโก 13:13
23* กิจการ 8:1; มาระโก 13:10; มัทธิว 16:28
24* ยอห์น  15:20
25* ยอห์น  8:48, 52
26* มาระโก 4:22
27* กิจการ 5:20
28* ลูกา 12:4-5


29* ลูกา 12:6-7
30* ลูกา 21:8
31* ลูกา 12:24
32* ลูกา 12:8; วิวรณ์ 3:5
33* 2 ทิโมธี 2:12
34* ลูกา 12:49
35* มีคาห์ 7:6
36* ยอห์น  13:18
37* ลูกา 14:26
38* มาระโก 8:34
39* ยอห์น  12:25
40* ลูกา 9:48
41* 1 พงศ์กษัตริย์ 17:10
42* มาระโก 9:41

มัทธิว 9 ราชกิจเพื่อชาวเมือง

ทรงรักษาคนเป็นอัมพาตที่เพื่อนพามา
1พระเยซูทรงลงเรือและข้ามฟากไปยังเมืองของพระองค์ 
2 ดูสิ มีบางคนได้นำชายอัมพาตคนหนึ่งนอนบนเปลหามมา เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อของคนเหล่านี้  พระองค์จึงตรัสกับชายที่เป็นอัมพาตว่า “ลูกชายเอ๋ย จงกล้าหาญเถิด ความบาปทั้งหลายของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”
3 มีธรรมาจารย์บางคนได้ยินก็คิดในใจว่า ‘ชายผู้นี้กำลังพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า’
4 พระเยซูทรงหยั่งรู้ถึงความคิดของพวกเขา จึงตรัสว่า “เหตุใดพวกท่านจึงคิดชั่วในใจเล่า?
5 การที่จะพูดว่า ‘เจ้าได้รับการอภัยบาปแล้ว กับการที่จะบอกเขาว่า จงยืนขึ้น และเดินไป อย่างไหนจะง่ายกว่ากัน?’
6 แต่เราจะให้พวกท่านรู้ว่า บุตรมนุษย์   มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะอภัยบาปทั้งหลาย แล้วพระเยซูจึงตรัสกับชายอัมพาตว่า “จงลุกขึ้น แล้วแบกเปลนอนของเจ้า และกลับบ้านไปเถิด
7  ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นและกลับบ้านไป
8 เมื่อประชาชนเห็นดังนั้น ก็รู้สึกยำเกรงยิ่งนัก และสรรเสริญพระเจ้าที่ประทานสิทธิอำนาจอย่างนี้ให้กับมนุษย์

พระเยซูทรงเรียกมัทธิวให้ติดตามพระองค์
9 ตอนที่พระเยซูเสด็จออกจากที่นั่น พระองค์ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิว นั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ตามเรามา” และเขาก็ลุกขึ้น ตามพระองค์ไป
10 ขณะที่พระเยซูทรงทรงเอนกายเสวยพระกระยาหารที่บ้านของมัทธิว  มีคนเก็บภาษี และคนบาปจำนวนมากมาร่วมรับประทานกับพระองค์และพวกศิษย์ของพระองค์
11 เมื่อพวกฟาริสีเห็นอย่างนั้น จึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “เหตุใดอาจารย์ของเจ้าจึงรับประทานอาหารร่วมกับคนเก็บภาษี ?”  
12 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินเช่นนั้น ก็ตรัสว่า “คนที่มีสุขภาพดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการหมอ”

13จงไปเถิด ไปเรียนรู้ว่า คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร
‘เราพอใจความเมตตาสงสารยิ่งกว่าเครื่องเผาบูชา”
(โฮเชยา 6:6) เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนดี แต่เรามาเพื่อเรียกคนบาป” 

คำถามเรื่องการอดอาหารของศิษย์

14 แล้วศิษย์ของยอห์นก็มาพบพระเยซู ทูลถามว่า “เหตุใดพวกเราและฟาริสีถือศีลอดอาหารเสมอ แต่ศิษย์ของพระองค์ท่านกลับไม่ทำเช่นนั้น?” (การอดอาหารเพื่ออธิษฐาน จะได้ไม่เสียเวลากับการกินอยู่ แต่มุ่งมั่นเข้าเฝ้าพระเจ้า)
 15 พระเยซูทรงตอบว่า “เพื่อน ๆ ของเจ้าบ่าวน่ะ จะเศร้าใจเวลาที่เจ้าบ่าวอยู่ด้วยได้อย่างไรเล่า? แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวถูกนำตัวไปจากพวกเขา แล้วตอนนั้นพวกเขาจะอดอาหาร
( เจ้าบ่าวในที่นี้ พระองค์หมายถึงพระองค์เอง ยอห์น 3:29; วิวรณ์ 19:7)
16 “ไม่มีใครจะเย็บปะผ้าใหม่ที่ยังไม่หดบนผ้าเก่า เพราะถ้าทำอย่างนั้น ผ้าใหม่จะหดตัว ดึงให้ผ้าเก่าของเสื้อนั้นให้ขาดมากกว่าเดิม

17 เช่นเดียวกัน ไม่มีใครเทเหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า มิฉะนั้น ถุงหนังจะแตกออก (เพราะขบวนการหมักเกิดขึ้นทำให้เกิดก๊าซ) และเหล้าองุ่นจะไหลรั่วออกมาหมด  และถุงหนังเองก็จะขาดด้วยแต่เขามักจะเทเหล้าองุ่นใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่ และสามารถเก็บรักษาทั้งถุงและเหล้าองุ่น”

พระเยซูทำให้เด็กหญิงคืนชีวิต และทรงรักษาผู้หญิงป่วยเรื้อรัง 

18 ขณะที่กำลังตรัสอยู่นั้นเอง นายศาลาธรรมคนหนึ่งเข้ามาหาพระองค์ และคุกเข่าลงทูลว่า    “ลูกสาวของข้าพเจ้าเพิ่งเสียชีวิตไป แต่หากพระองค์เสด็จไปวางพระหัตถ์บนตัวลูก เธอจะได้มีชีวิตอีกครั้ง”
19 ดังนั้นพระเยซูและพวกศิษย์ของพระองค์ก็ลุกขึ้นและตามชายคนนั้นไป
20 แล้วดูสิ มีผู้หญิงคนหนึ่งเธอมีอาการโลหิตตกเรื้อรังมาสิบสองปีแล้ว ได้เข้ามาข้างหลังพระเยซู และแตะชายฉลองพระองค์ 

21 เพราะเธอคิดว่า ‘หากเพียงฉันได้แตะเสื้อของพระองค์ ฉันก็จะหายโรคแล้ว’
22 พระเยซูทรงหันมาเห็นเธอ จึงตรัสว่า “ลูกสาวเอ๋ย จงชื่นใจเถิด เจ้าหายโรคได้ก็เพราะเจ้าเชื่อ” และเธอก็หายโรคขณะนั้นเอง

23 พระเยซูเสด็จไปกับนายศาลาธรรม และเข้าไปในบ้านของเขา ก็พบพวกงานศพที่กำลังเป่าปี่ และคนจำนวนมากส่งเสียงร้องไห้เสียงดัง 
24 พระเยซูตรัสว่า “จงออกไปให้หมด เพราะเด็กหญิงยังไม่ตาย เพียงแต่กำลังหลับอยู่” ผู้คนจึงพากันหัวเราะเย้ยหยันพระองค์ 
25 หลังจากที่เอาผู้คนออกไปจากบ้านแล้ว พระเยซูก็เสด็จเข้าไปในห้องของเด็กหญิงและจับมือเธอ  เธอก็ลุกขึ้น
 26 ข่าวนี้จึงเลื่องลือออกไปทั่วทั้งแคว้นนั้น 




พระเยซูทรงรักษาชายตาบอดและชายใบ้ผีสิง
27 เมื่อพระเยซูเสด็จจากที่นั่น ก็มีชายตาบอดสองคนเดินตามพระองค์  ทั้งสองร้องว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาพวกข้าพเจ้าด้วยเถิด” (คำว่าบุตรดาวิดหมายถึงพระเยซูเป็นลูกหลานของดาวิด และทรงเป็นพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอด 2 ซามูเอล 7:11-16)
28 หลังจากที่พระองค์เข้าไปในบ้าน ชายตาบอดทั้งสองก็เข้าไปด้วย พระองค์ทรงถามพวกเขาว่า “เจ้าเชื่อหรือว่า เราทำให้เจ้ามองเห็นได้?”  เขาตอบว่า “เชื่อ พระองค์เจ้าข้า”
29 แล้วพระองค์ก็แตะดวงตาของพวกเขา ตรัสว่า “เพราะเจ้าเชื่อ ก็ให้เป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด”
30 แล้วเมื่อทั้งสองมองเห็นได้ พระเยซูกลับทรงกำชับพวกเขาว่า “ขอเจ้าอย่าบอกเรื่องนี้กับใครเป็นอันขาด”
31 แต่เมื่อทั้งสองออกไป พวกเขาก็ป่าวร้องเรื่องพระเยซูไปทั่วแคว้นนั้น 

32 ตอนที่เขากำลังจะออกไปนั่นเอง ดูสิ มีคนพาชายอีกคนหนึ่งเข้ามาพบพระเยซู เขาพูดไม่ได้เพราะถูกผีสิง
33 หลังจากที่พระองค์ทรงขับผีออกไป ชายคนนั้นก็พูดขึ้นมาได้ ประชาชนพากันประหลาดใจ กล่าวว่า
“เราไม่เคยพบอะไรอย่างนี้ในอิสราเอลเลย”
34 แต่พวกฟาริสีกล่าวว่า “เขาขับผีออกได้ ก็โดยฤทธิ์ของเจ้านายผีต่างหาก”

คนงานน้อย ทุ่งนากว้างนัก

35 พระเยซูเสด็จไปทั่วเมือง และหมู่บ้านต่าง ๆ  ทรงสอนในศาลาธรรม ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
36 เมื่อทรงเห็นประชาชน ทรงรู้สึกสงสารพวกเขาเพราะพวกเขาถูกรังควาญ ไร้ที่พึ่งเหมือนกับฝูงแกะ
ที่ขาดผู้เลี้ยง
37 พระเยซูตรัสกับพวกศิษย์ของพระองค์ว่า “งานที่ต้องเก็บเกี่ยวมีมากแต่มีคนงานน้อยเหลือเกิน
38 ดังนั้น จงทูลขอพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ทรงส่งคนงานมาเพื่อเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด”

คำอธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 9:1-8 ทรงรักษาคนเป็นอัมพาตที่เพื่อนพามา
พระเยซูทรงข้ามฟากจากเมืองที่มีประชากรต่างชาติอยู่หนาแน่นพร้อมกับศิษย์ และ ทรงเข้าไปยังเมืองคาเปอรนาอูม ที่นั่นเราได้เจอเพื่อนสี่คนหามชายอัมพาตมา ซึ่งในมาระโก ลูกาได้บอกว่า พวกเขาขึ้นไปบนหลังคาบ้านและหย่อนเพื่อนลงมา จากเหตุการณ์นี้ เราประเมินได้ว่า ชายอัมพาตนี้เป็นหนักไม่ใช่ประเภทลากขาได้ข้างหนึ่ง แต่ไม่สามารถเดินได้เลย
เมื่อพระเยซูทรงเห็นเขา ก็ทรงให้กำลังใจและตรัสว่า พระองค์อภัยบาปเขาแล้ว .. พระองค์ทรงเห็นชัดว่า สิ่งสำคัญที่ชายคนนี้ต้องได้ก่อนการหายโรค และเดินได้ (เขาน่าจะป่วยจากบาปที่ทำลงไป) คือการได้รับการอภัยบาป .. และพระเจ้าเท่านั้นที่จะอภัยบาปให้มนุษย์ได้
ในเวลานั้นมีธรรมาจารย์หลายคนฟังพระองค์อยู่พร้อม ๆ กับประชาชน พวกเขาก็คิดทันทีว่า พระเยซูทรงทำเสมอพระเจ้า หรือให้ชัดคือ เขาพูดราวกับว่าเขาเป็นพระเจ้า!
แม้พระเยซูจะทรงมีเลือดเนื้ออย่างมนุษย์ แต่พระองค์ทรงรู้ถึงความคิดของทุกคน เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย ทรงหันมาถามว่า ทำไมพวกเขาจึงคิดเช่นนั้น พวกเขาก็ตกใจทันที เพราะพระองค์ทรงรู้ความคิดของเขา
พระองค์ตรัสว่า อภัยบาปนั้นยากกว่าการรักษาโรคเสียอีก เพราะว่า การที่ผู้คนจะได้รับการอภัย พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน นี่คือสิ่งที่ยากกว่า แต่ตอนที่พระองค์ตรัสนั้น ไม่มีใครเข้าใจ …
แล้วพระองค์ตรัสออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่า พระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์ นั่นคือ ทรงแจ้งให้พวกเขาทราบว่า ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา (เป็นคำที่ดาเนียลใช้ บ่งบอกว่าบุตรมนุษย์คือพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดของโลก ดาเนียล 7:13-14  พวกธรรมจารย์รู้พระคำข้อนี้ดี แต่ประชาชนทั่วไปไม่ได้เข้าใจอย่างนั้น) ชายที่เป็นอัมพาต ลุกขึ้นได้ รับการอภัยบาป รับการรักษา เป็นการชุบชีวิตใหม่ให้เขา ..​ใคร ๆ เห็นก็ดีใจ มองได้แค่ว่า พระเจ้าประทานอำนาจยิ่งใหญ่ให้มนุษย์คนหนึ่งที่ชื่อ พระเยซู !

มัทธิว 9:9-13 พระเยซูทรงเรียกมัทธิวให้ติดตามพระองค์
เหตุการณ์นี้เกิดแถว ๆ เมืองคาเปอรนาอุม จะมีซุ้มเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เขตแดนเป็นที่เก็บภาษี พระเยซูทรงเรียกมัทธิวซึ่งนั่งเก็บภาษีอยู่ที่นั่นพอดี  เขาเป็นเหมือนกับผู้รับจ้างจากโรมเพื่อเก็บภาษีจากประชาชน  ทำให้ประชาชนไม่ชอบยิวที่เก็บภาษี เพราะพวกเขาส่วนใหญ่นั้นทั้งใจดำ ทั้งขูดรีด ทั้งคดโกง ในสายตาผู้นำศาสนา คนเก็บภาษีชั่วช้ามาก
แล้วพระเยซูกลับทรงเลือกมัทธิว คนเก็บภาษีมาเป็นศิษย์ใกล้ชิด! ใครจะรับได้?
มัทธิวอยู่ในวงการมาเฟีย แต่เขาคนนี้กลับตอบรับพระเยซู เขาลุกจากซุ้มที่ทำงานอยู่ เดินตามพระเยซูไปโดยไม่คิดจะกลับไปทำงานเดิมอีก  แล้วเขายังจัดงานเลี้ยงที่บ้าน โดยเชิญพระเยซู และเพื่อน ๆ ของเขาไปในงานด้วย  พระองค์ทรงรับคำเชิญ และไปรับประทานกับเพื่อนสนิท มิตรสหายของมัทธิว และนี่เองทำให้ฟาริสีรู้สึกเหมือนจะรับไม่ได้กับการที่พระเยซูทรงคลุกคลีกับกลุ่มคนที่พวกเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยเพราะเป็นคนบาปเหลือเกิน  การกินอาหารด้วยกันถือเป็นการบอกว่าเป็นพวกเดียวกัน
ฟาริสีเริ่มมีปัญหามากขึ้นพอ ๆ กับธรรมาจารย์ในข้อสาม พวกเขาถามศิษย์ของพระองค์ว่า ทำไมไปกินอาหารกับคนบาป …ไม่ถามพระองค์โดยตรง และคำถามของเขาก็บ่งบอกใจของเขา  คงจะต้องการถามว่า ทำไมอาจารย์ของเจ้า(ที่น่าจะทำตัวดีกว่านี้) จึงไปสุงสิงกับคนบาป อย่างนี้ใช้ไม่ได้
แทนที่ศิษย์จะตอบ พระเยซูทรงตอบให้เลย คำตอบของพระองค์คือ เหล่าฟาริสีคิดว่าตัวเองดีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องการพระเจ้าไม่ต้องการกลับใจ  แต่พวกเขาเหล่านี้ต้องการพระเจ้า  ต้องการชีวิตที่เปลี่ยนแปลง  คือ คนบาปที่รู้ว่าตัวเองต้องการที่จะกลับใจ
พระเยซูตรัสให้เขาไป และไปเรียนรู้ว่า … นั่นคือทรงให้ฟาริสีไปคิดดูให้ถ่องแท้ว่าพระคำของพระเจ้าที่ตรัสถึงในโฮเชยามีความหมายอย่างไร  นั่นคือ พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะนำการรักษาฝ่ายวิญญาณมาให้อิสราเอลเสมอมา   แม้ทุกวันนี้ พระองค์ก็ยังทรงทำอยู่ (อิสยาห์ 19:22; 30:26; เยเรมีย์ 30:17)
แต่ฟาริสีเองกลับหมกมุ่นกับพิธีกรรม บทบัญญัติ การรักษากฎอย่างเคร่งครัดมากกว่าความเมตตาที่จะมีต่อประชาชน  พระเยซูทรงสอนฟาริสีต่างจากประชาชน พระองค์ทรงให้เขาไปใคร่ครวญว่า พระเจ้าทรงประสงค์อะไรจากพวกเขากันแน่

มัทธิว 9:14-17คำถามเรื่องการอดอาหารของศิษย์
ฟาริสีต่อว่าพระเยซูไปแล้ว คราวนี้ ศิษย์ของยอห์นก็มาตั้งคำถามเชิงตำหนิกับพระเยซูโดยตรง  เมื่อพระเจ้าทรงส่งยอห์นมา เขาก็ประกาศและมีศิษย์หลายคนติดตามเขา เมื่อพระเยซูเริ่มทำราชกิจของพระเจ้า บางคนก็มาติดตามพระองค์ บางคนก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น พวกเขายังคงถือศีลอดอาหารเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าเสมอตามที่พระคัมภีร์เดิมสนับสนุนให้ทำฟาริสีก็ทำเช่นกัน   แล้วก็เลยแปลกใจว่า เหตุใดศิษย์ของพระเยซูยังใช้ชีวิตที่ดูไม่เคร่งเลย … ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
แล้วพระเยซูทรงตอบเป็นคำอุปมาสามประการ​..เจ้าบ่าวกับเพื่อน/ ผ้าใหม่กับผ้าเก่า / เหล้าองุ่นใหม่กับถุงน้ำองุ่นเก่า
ยอห์นกล่าวว่า เขาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวที่มานำเสด็จเจ้าบ่าวคือพระเยซูในยอห์น 3:27-29
พระเยซูเปรียบเทียบว่า ศิษย์ก็คือเพื่อนเจ้าบ่าว เจ้าบ่าวคือพระองค์เอง และพวกเขาก็ยินดีมากที่ได้อยู่กับพระองค์ (คนยิวเข้าใจว่า ..พระเมสสิยาห์คือเจ้าบ่าว การที่พระเยซูตอบเช่นนี้ ทำให้พวกเขารู้ทันทีว่า พระองค์กำลังตรัสว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ อิสยาห์ 62:4-5; มัทธิว 22:2)
คำอุปมาที่สอง ก็เข้าใจได้ว่า จะไม่มีการเอาสิ่งใหม่กับเก่ามาปะปนกัน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะเสียหายมากกว่าเดิม
คำอุปมาที่สามนั้น ทรงบอกว่า เหล้าใหม่ก็เอาไปใส่ในถุงเก่าไม่ได้
อุปมาทั้งสามนี้มีความหมายว่า  ไม่อาจเอาหลักการศาสนายิวที่ศิษย์ของยอห์นยังถือรักษา ที่ฟาริสีกำลังประกาศ ที่ธรรมาจารย์เรียนรู้จริงจังมาผสมกับวิธีการ คำสอน ราชกิจ เป้าหมาย ของพระเยซูได้ บทบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมได้ทำหน้าที่ของบทบัญญัติไปแล้วคือการชี้ให้เห็นว่า พระเมสสิยาห์จะทรงมาเพื่อทำให้ทุกอย่างสำเร็จ  (อ่านกิจการ 19:1-7 เพิ่มเติม)

มัทธิว 9:18-26 พระเยซูทำให้เด็กหญิงคืนชีวิต และทรงรักษาผู้หญิงป่วยเรื้อรัง 
 ต่อไปเป็นการอัศจรรย์ เป็นราชกิจรักษาโรคและทำให้คืนชีวิตจากตาย
จากบทที่ผ่านมาเราก็เห็นแล้วว่า พระเยซูทรงฤทธิ์มากมาย พระองค์ทรงสามารถรื้อฟื้นสิ่งที่เสียไปแล้วในร่างกายมนุษย์ให้คืนดีขึ้นมาได้.  นายศาลาธรรมของเมืองคาเปอรนาอุมชื่อไยรัส ได้มาหาพระองค์ (มาระโก 5:22)  เป็นยิวที่ฟาริสี และธรรมาจารย์รู้จักดี แต่เขาก็เข้ามาหาพระองค์ คุกเข่าลงโดยไม่อาย โดยไม่ใส่ใจว่า คนเหล่านั้นจะกล่าวหาอย่างไร  มัทธิวว่าเธอตายแล้ว แต่ในมาระโกว่าเธอป่วยหนัก  เมื่อพระเยซูไปถึง… เด็กหญิงก็ตายไปแล้ว
ระหว่างทาง มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความมั่นใจเหมือนไยรัสว่า เธอจะหายโรคเมื่อแตะชายเสื้อของพระองค์ สิบสองปีที่โลหิตตกทำให้เธออ่อนแรง ซีดเซียว และความจริงคือ ในกฎของบทบัญญัติ เธอจะไปเดินชนคนโน้นคนนี้ไม่ได้เพราะเธอเป็นมลทิน แต่เธอไม่อาจทนอยู่ในกฎระเบียบได้ต่อไป เธอเชื่อว่าแค่แตะ
ก็จะหาย  พระเยซูไม่น่าจะทราบเพราะคนเยอะแยะ เต็มไปหมด
แต่เธอเข้าใจปิด เพราะพระเยซูทรงทราบและเธอหายโรคทันทีที่แตะชายเสื้อพระองค์  พระเยซูทรงย้ำให้เธอทราบว่า เพราะเชื่อ เธอจึงหายโรค  ความเชื่อในพระเจ้าทำให้เธอได้รับคำตอบจากพระองค์
แล้วพระเยซูกับฝูงชนก็ไปถึงบ้านของไยรัสที่กำลังทำงานศพกันอยู่ มีคนมาร้องไห้เสียงดังตามพิธี  เป็นอันว่าเด็กหญิงตายแน่นอน
พระเยซูทรงสั่งให้ทุกคนออกไป และตรัสประกาศว่าเด็กหญิงแค่หลับอยู่  คนทั้งหลายจึงเยาะพระองค์ทันที  (ซึ่งจริง ๆ ในฮีบรู คำว่าหลับ ก็อาจหมายถึงตายด้วยเช่นใน ยอห์น 11:11)
แล้วพระเยซูก็ทรงแตะต้องเด็กหญิงที่ตายแล้ว ถ้าคิดตามบทบัญญัติ พระองค์ทรงแตะต้องคนเป็นมลทินสองคนเลย  และก็ทรงทำให้ทั้งสองได้รับชีวิตใหม่อีกครั้ง  เราลองเปรียบเทียบการที่พระเยซูทรงช่วยทั้งหญิงโลหิตตก และทรงทำให้เด็กหญิงฟื้นจากตาย เราจะเพิ่มความเชื่อของเราเองอย่างมหาศาล 


มัทธิว 9:27-34 พระเยซูทรงรักษาชายตาบอดและชายใบ้ผีสิง
ชายตาบอดสองคนตามพระองค์มาจากบ้านของไยรัส  เขาทั้งสองร้องเรียกพระองค์ว่า บุตรดาวิด เป็นเครื่องหมายชัดว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่ยิวรอคอย  แน่นอนที่เมื่อฟาริสี ธรรมาจารย์ และผู้นำศาสนายิวได้ยินก็จะโกรธมาก เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าพระองค์คือ พระบุตรพระเจ้า แต่เป็นคนที่แอบแฝง ทำตัวเป็นพระบุตร 
พวกเขาร้องเรียกพระองค์ตามทาง แต่พระองค์ไม่ทรงรักษาเขาที่นั่น เมื่อเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ทั้งสองก็ตามเข้าไป  พระองค์จึงทรงถามว่า เชื่อหรือว่าพระองค์สามารถทำให้เขามองเห็นได้  พระเยซูทรงเน้นหนักหนาถึงความเชื่อที่คนจะมีต่อพระองค์ เพื่อจะได้รับตามที่ทูลขอ  เราไม่ทราบว่าทั้งสองคนนี้รู้หรือเปล่าว่า ในอิสยาห์ เคยบอกไว้ว่า พระเมสสิยาห์จะทรงทำให้คนตาบอดมองเห็น (อิสยาห์ 35:5-6)  พระองค์ทรงรักษาเขาในบ้าน ไม่ให้คนอื่นเห็นและยังทรงกำชับไม่ให้บอกใคร แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ทำตามนั้นเลย​ใครจะอดไม่บอกให้โลกรู้ได้?


แล้วอิสยาห์ 35:5-6 ก็ถูกย้ำเตือนอีกครั้งเมื่อชายผีสิงที่เป็นใบ้คนหนึ่งถูกนำมาหาพระเยซู  มัทธิวบอกเราว่า เขาเป็นใบ้เพราะถูกผีสิง  พระเยซูทรงขับผีออก และเขาก็พูดได้.. ใคร ๆ ตื่นเต้น แต่ฟาริสีกลับกล่าวหาว่า พระองค์ทรงมีฤทธิ์ของนายผี
ฟาริสีเหล่านี้ มีความดื้อด้านในวิญญาณอย่างมาก ไม่ยอมสยบให้พระเยซู
และยังกล่าวหาพระองค์ด้วย พวกเขาทำราวกับว่าพระองค์ทรงมาจากมารไม่ได้มาจากพระเจ้า  และไม่ได้พูดครั้งเดียวแต่ยังพูดอีกในมัทธิว 12:24

มัทธิว 9:35-38 คนงานน้อย ทุ่งนากว้างนัก
จากข้อ 35 เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงทำราชกิจเพื่ออาณาจักรของพระเจ้า ทั้งประกาศข่าวประเสริฐ และรักษาโรค ทรงช่วยประชาชนทั้งฝ่ายวิญญาณและร่างกายอย่างชัดเจน
แล้วอีกมุมหนึ่งในพระทัยของพระเยซู ..พระองค์ทรงทราบสภาพจิตวิญญาณของพวกเขา ความทุกข์ใจของประชาชนคือ ถูกรังควาญด้วยจากทั้งวิญญาณชั่ว และจากเหล่าผู้นำศาสนา  พวกเขา ไร้ที่พึ่งเพราะไม่รู้หนทางที่จะเข้าใกล้ชิดพระเจ้า.. ผู้นำศาสนาพร่ำสอนเรื่องการทำตามทำบัญญัติ การถวาย การทำตามพิธีกรรมต่าง ๆ แต่เหล่านั้น ไม่ได้ทำให้เขาพบองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เลย  พวกเขาไม่มีผู้เลี้ยงที่มีปัญญาและวิญญาณของพระเจ้าในตัว  … ตลอดสี่ร้อยปีที่ผ่านมา พระเจ้าไม่ทรงส่งผู้รับใช้มาหาพวกเขาเหมือนอย่างที่เคย ..แล้วพระองค์ก็ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ลงมา
พระองค์ทรงเห็นสภาพที่มนุษย์มีแต่จะลงไปสู่ความตาย พระองค์ทรงเปิดทางให้ศิษย์เห็นว่า พระเจ้าจะทรงเป็นผู้ดูแลขบวนการหว่านและเก็บเกี่ยว เพราะพระองค์ทรงเป็นเจ้าของคนเหล่านี้   สิ่งที่พวกเราเป็นอยู่คือ เป็นคนงานของพระองค์ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เราต้องขอจากท่านเจ้าของนาให้ส่งคนมามากกว่านี้!
(พระคัมภีร์เดิมที่พูดเรื่องผู้เลี้ยงของอิสราเอล..  เอเสเคียล 34:23-24; 37:24  พระเจ้าและพระเมสสิยาห์ทรงเป็นพระผู้เลี้ยงของคนของพระองค์  มัทธิว 2:6; 10:6, 16; 15:24; 25:31-46; 26:31)

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 4:13; 11:23
2* ลูกา 5:18-26; มัทธิว 8:10
4* มัทธิว 12:25
8* ยอห์น 7:15
9* ลูกา5:27
10* มาระโก 2:15
11* มัทธิว 11:19; กาลาเทีย 2:15
13* โฮเชยา 6:6; 1 ทิโมธี 1:15
14* ลูกา 5:33-35; 18:12
15* ยอห์น 3:29; กิจการ 13:2,3; 14:23

18* ลูกา 8:41-56
19*  มัทธิว 10:2-4
20* ลูกา 8:43; มัทธิว 14:36; 23:5
22* ลูกา 7:50; 8:48; 17:19; 18:42
23* มาระโก 5:38; 2 พงศาวดาร 35:25
24* กิจการ 20:10
25* มาระโก 1:31
26* มัทธิว 4:24
27* มัทธิว 20:29-34; ลูกา 18:38-39

30* มัทธิว 8:4
31* มาระโก 7:36
32* มัทธิว 12:22, 24
34* ลูกา 11:15
35* กันดารวิถี 4:23
36* มาระโก 6:34; กันดารวิถี 27:17
37* ลูกา 10:2
38* 2 เธสะโลนิกา 3:1