ยูดา คำเตือนเพื่อรักษาความเชื่อ

ตระหนักว่าในคริสตจักรมีอันตรายเกิดขึ้น

ยูดา ทาสรับใช้ของพระเยซูคริสต์ และพี่ชายของยากอบ
เขียนถึงท่านที่ได้รับการทรงเรียก และเป็นผู้ที่พระบิดาเจ้าทรงรัก และเป็นผู้ที่พระเยซูคริสต์ทรงรักษาไว้
ยูดา 1:1

1 เปโตร 1:5; 1 เธสะโลนิกา 5:23

หนังสือยูดา เขียนโดยยูดาซึ่งเป็นน้องชายของพระเยซูนั่นเอง (ท่านและยากอบเป็นลูกของโยเซฟ สามีของนางมารีย์) ท่านเขียนถึงคนที่พระเจ้าทรงเรียกออกมาจากความมืด ให้มาอยู่ในการครอบครองของพระเจ้าที่ทรงรักพวกเขา เป็นความรักต่อเนื่องไม่มีวันจบสิ้น เป็นผู้ที่พระเยซูทรงรักษาให้ปลอดภัยจากมารร้าย(ยอห์น 17:15) รักษาไม่ให้ล้มลง (ข้อ 24) รักษาจนกว่าจะถึงวันของพระเจ้า (2 ทิโมธี 1:12)

ขอให้ท่านได้รับพระเมตตา สันติสุขและความรักทวีคูณ
ยูดา 1:2

2 เปโตร 1:2; 1 เปโตร 1:2 ; วิวรณ์ 1:4-6

พระเมตตาจากพระเจ้าที่จะทรงอภัย ช่วยให้พ้นหายนะ ชำระเราให้สะอาด พระเมตตาที่ทรงส่งพระบุตรลงมา ที่ทรงเรียกเรามาให้เป็นลูกของพระองค์ เราได้รับพระเมตตาจากพระเจ้ามาก สันติสุขซึ่งไม่เหมือนโลกให้จากพระบุตร (ยอห์น 14:27) และความดีและความรักมั่นคงที่จะติดตามชีวิตของเราไปตลอดชีวิต (สดุดี 23:6) ทั้งสามประการนี้เป็นพระคุณที่ท่านยูดาขอให้พระเจ้าประทานแก่พี่น้อง แบบทวีคูณขึ้นไป

เพื่อนที่รักของข้า แม้ข้าตั้งใจที่จะเขียนถึงท่านในเรื่องความรอดพ้นบาปที่เรามีร่วมกัน แต่ก็พบว่าจำเป็นต้องเขียนเพื่อหนุนน้ำใจท่านให้ต่อสู้เพื่อความเชื่อ ที่ทรงมอบให้กับวิสุทธิชนครั้งเดียวเป็นพอ
ยูดา 1:3

1 ทิโมธี 6:12; ฟีลิปปี 1:27; ฮีบรู 13:22

ครั้งแรกท่านยูดาจะเขียนเรื่องความรอดแต่ท่านกลับรู้สึกว่าต้องเรียกให้พวกเขาต่อสู้เพื่อความเชื่อ เพราะมีคนที่สอนผิดแอบสวมรอยเข้ามาในคริสตจักร ท่านจึงจำเป็น ต้องสอนให้พวกเขารู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ให้เขาสังเกตลักษณะของคนสอนผิด และเตรียมพร้อมที่จะสู้และต่อต้านคนที่ทำผิด
ที่บอกว่าครั้งเดียวเป็นพอนั้น คือ ความเชื่อในพระพระดำรัส แรกของพระเจ้า ไม่ต้องเพิ่มเติมหรือลดทอนพระคำนั้น โดยใครทั้งสิ้น

เพราะมีบางคนลอบเข้ามาโดยไม่มีใครสังเกต นานมาแล้วที่มีบันทึกว่า คนเหล่านี้จะถูกพิพากษา พวกเขาเป็นคนอธรรมที่เปลี่ยนพระคุณของพระเจ้าไปเป็นเรื่องผิดศีลธรรม และยังปฏิเสธเจ้านายและองค์พระผู้เป็นเจ้าเดียวของเรา คือพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
ยูดา 1:4

กาลาเทีย 2:4; 2 เปโตร 2:1-3; 2:10

คนเหล่านี้พยายามทำลายความเชื่อของพี่น้อง ผู้เชื่อจึงต้องพร้อมที่จะปกป้องความเชื่อ คนร้ายพวกนี้จะแอบเข้ามา ปากหวาน ใจเชือด ลับ ๆ ที่ผู้เชื่อมักไม่สังเกตเห็น
คนแบบนี้ พลิกพระคุณบริสุทธิ์ของพระเจ้าโดยอ้างว่า พระเจ้าทรงดีและยกโทษให้ ดังนั้นจะใช้ชีวิตเสเพลอย่างไรตามใจตัวเองก็ได้ พวกเขายัง ไม่ยอมรับพระเยซู แต่เพิ่ม ตัด คำของพระองค์ตามใจ ตนเอง สังเกตจากสองอย่างนี้ จะรู้ว่า ใครเป็นใคร

ตัวอย่างของผู้ที่ถูกลงโทษ

บัดนี้ แม้ว่าท่านรู้เรื่องนี้แล้ว ข้าขอย้ำเตือนท่านอีกว่า พระเจ้าผู้ทรงช่วยกู้ประชาชนออกมาจากอียิปต์ ต่อมาภายหลังก็ทรงทำลายบรรดาคนที่ไม่เชื่อ
ยูดา 1:5

กันดารวิถี 26:64-65; ฮีบรู 3:16-4:2

พระคำของพระเจ้าเป็นสิ่งที่เรานำมาเตือนสติกันได้เสมอ ให้เราเข้าใจพระคำนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ท่านยูดาเตือนโดยยกสามตัวอย่าง ตัวอย่างแรกคือ พระเจ้าทรงช่วยอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ก็จริง แต่เมื่อพวกเขาไม่เชื่อ บ่น สงสัยในการทรงนำของพระเจ้า ทำตามใจตัวเอง พวกเขาก็ถูกทำลาย คนรุ่นแรกที่ออกมาไม่ได้มีโอกาสเข้าไปในคานาอัน นี่เป็นพระพิโรธที่น่ากลัวนัก กันดารวิถี 14 เล่าเรื่องนี้

และทูตสวรรค์ที่ไม่อยู่ในตำแหน่งสิทธิอำนาจของตนเอง แต่กลับทิ้งสถานที่ ๆ ตนอยู่ พระองค์ก็ทรงล่ามโซ่ พวกเขาไว้เป็นนิตย์ ใต้ความมืดมนจนกว่าจะถึงการพิพากษาในวันที่ยิ่งใหญ่
ยูดา 1:6

2 เปโตร 2:4; มัทธิว 25:41; 8:29; เอเฟซัส 6:12

ตัวอย่างที่สองคือ กล่าวถึงทูตสวรรค์ที่ไม่ยอมอยู่ในที่ ๆ พระเจ้าทรงกำหนดให้พวกเขา แต่ทูตเหล่านี้กลับทำเกินกว่าที่ตัวเองควรทำ มีสองความเห็น ว่าเป็นทูตสวรรค์ที่เข้ามาใช้ร่างของมนุษย์ผู้ชายแล้วมีสัมพันธ์กับผู้หญิง แล้วเกิดลูกที่
เป็นยักษ์ที่เรียกว่า เนฟิลิม อีกความเห็นคือ เป็นซาตานที่ต้องการใหญ่เท่าเทียมพระเจ้า (อิสยาห์ 14)ถึงแม้พระเจ้าทรงสร้างทูตสวรรค์มา พระองค์ก็ทรงลงโทษพวกเขาเมื่อเขาไม่อยู่ในที่ ๆ เขาควรอยู่

เหมือนอย่างเมืองโสโดมและโกโมราห์ และเมืองรอบ ๆ ที่ปล่อยตัวสนุกสนานทางเพศ และตามติดความวิปริตในกาม พวกนี้ เป็นตัวอย่างของบรรดาคนที่จะถูกลงโทษด้วยไฟนิรันดร์
ยูดา 1:7

เฉลยธรรมบัญญัติ 29:23; 2 เปโตร 2:6; โรม 1:26-27

ตัวอย่างที่สาม คือเมืองโสโดมและโกโมราห์ พวกเขาทำตามใจปรารถนาทางเพศของตนเอง มีความเร่าร้อนในเรื่องเพศและ ชอบใช้ชีวิตอย่างนั้นโดยไม่เกรงกลัวพระเจ้าเลย
พระเจ้าทรงลงโทษพวกเขาด้วยการส่งไฟกำมะถันลงมา เมืองเหล่านี้จึงเป็นตัวอย่างให้รู้ว่า เมื่อไม่เชื่อฟังพระเจ้า อ้างพระคุณของพระเจ้าเพื่อทำความชั่ว พระองค์ทรงจัดการแน่

บาปที่มากขึ้นของบางคนที่เข้ามา

คนเหล่านี้ก็เช่นเดียวกัน ปล่อยตัวไปตามฝันของตน ทำตัวเป็นมลทิน ปฏิเสธสิทธิอำนาจ และกล่าวคำสบประมาทบรรดาศักดิเทพ
ยูดา 1:8

ฮีบรู 13:17; 1 เปโตร 2:17; 1 ทิโมธี 1:10

คนที่ปล่อยตัวตามฝัน หรือ เชื่อในความฝันของตนเองว่า สามารถบอกอนาคต ความฝันของตนนั้นมีสิทธิอำนาจเหนือชีวิต คนเหล่านี้ทำพฤติกรรมแบบนี้บ่อยเข้า ก็หลงผิดไป คิดว่าตนมองเห็นอนาคตจริง ๆ แถมยังอวดอ้างตัวใหญ่โตกว่า วิญญาณต่าง ๆ ที่มีอยู่ในฟ้าสวรรค์ เขาไม่สนใจสิทธิอำนาจที่มีอยู่ก่อนเขา ไม่ว่าจะเป็นอำนาจดีหรือร้าย

แต่เมื่ออัครทูตสวรรค์คือท่านมิคาเอล เกิดโต้แย้งกับมารเรื่องร่างของโมเสส ท่านไม่ได้กล่าวคำพิพากษาล่วงเกินมาร เลย เพียงแต่กล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตำหนิเจ้าเอง”
ยูดา 1:9

เศคาริยาห์ 3:2; 2 เปโตร 2:11; วิวรณ์ 12:7

ทูตสวรรค์ฝ่ายพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ เมื่อมีเรื่องกับมาร ท่านเองไม่ได้กล่าวสิ่งใดที่ล่วงเกินมาร เพราะท่านรู้ว่า พระเจ้าจะทรงจัดการกับมารเอง ดังนั้น คนที่เข้ามาในคริสตจักรและกล่าวถึงมาร แบบว่า เขาใหญ่กว่า เขาเก่งกว่า เขาไล่มันได้ อย่างเด็ดขาด เราก็ต้องพิสูจน์เลยว่า มีแค่คำ หรือมีฤทธิ์ของพระเจ้าที่จะไล่ผีมารที่คอยเข้าสิงคนจริง ๆ หรือเปล่า แต่ถ้าเป็นคนของพระเจ้าจริง เขาจะไม่อวดโอ้ เพราะฤทธิ์ที่เขามีไม่ใช่ของเขาเอง เแต่เป็นของพระเจ้า

แต่คนเหล่านั้นกลับสบประมาท ทุกสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ และก็ถูกทำลายโดยสิ่งที่ตนเองเข้าใจ โดยสัญชาตญาณซึ่งก็เหมือนสัตว์ที่ไม่มีเหตุผล
ยูดา 1:10

2 เปโตร 2:12; โรม 1:21-22

ในที่สุด คนเหล่านี้จะถูกทำลายไปเอง เพราะการโอ้อวด ยกตนข่มมารนั้น ทำไปโดยไม่เข้าใจว่า เป็นเรื่องที่เกินความเข้าใจของเขา เขาไม่อาจเข้าใจเรื่องราวของโลกฝ่ายวิญญาณ ได้ดีเท่ากับมารที่เป็นวิญญาณ กลายเป็นว่าท่านยูดามองเห็นคนพวกนี้เป็นเหมือนสัตว์ ขู่คำรามอย่างไม่มีเหตุผล ไม่กลัวอันตรายที่อยู่ตรงหน้า

ลักษณะต้นแบบของคนที่หลอกลวง

วิบัติแก่พวกเขา เพราะพวกเขาเดินในทางของคาอิน และทำตามอย่างบาลาอัม เพื่อผลประโยชน์ และหายนะ เหมือนอย่างการกบฎของโคราห์
ยูดา 1:11

2 เปโตร 2:15; 1 ยอห์น 3:12; ปฐมกาล 14:3-4; วิวรณ์ 2:14; กันการวิถี 26:9-10

ท่านยูดากล่าวถึงคาอินที่ฆ่าน้องชาย คาอินเป็นคนที่ท่านยอห์นกล่าวว่า งานของเขาชั่วร้าย (1 ยอห์น 3:12) และ ฮีบรู 11:4 บอกชัดว่า น้องชายของเขาได้ถวายเครื่องบูชาด้วยความเชื่อ
บาลาอัมที่รับจ้างแช่งสาปคนอิสราเอล เพื่อเงิน อ่านเรื่องของเขาได้ในกันดารวิถี 22 25 31
ส่วนโคราห์ที่ดื้อดึงต่อท่านโมเสส อยู่ในกันดารวิถี 16 เขาเป็นเลวี แต่ใจอยากจะเป็นผู้นำอย่างโมเสส และขัดขืน ปฏิเสธผู้นำที่พระเจ้าทรงตั้งไว้

ลักษณะเฉพาะตัวของคนหลอกลวง

พวกเขาเป็นตัวมลทินในงานเลี้ยงรักพี่น้องของท่าน ได้ร่วมกินดื่มโดยไม่กลัว เป็นผู้เลี้ยงที่เลี้ยงแต่ตัวเอง เป็นเมฆไร้น้ำ
ถูกลมพัดพาไป เป็นต้นไม้ไร้ผล ปลายฤดูใบไม้ผลิ ตายแล้วสองครั้ง และถูกถอนรากถอนโคน
ยูดา1:12

มัทธิว 15:13; เอเฟซัส 4:14; เอเสเคียล 34:8

งานเลี้ยงนี้คือ การที่ผู้เชื่อนำอาหารมารับประทาน ร่วมกัน คนที่ขัดสนก็มีโอกาสที่จะได้รับแบ่งปัน คนที่มีก็ได้โอกาสรับใช้ แต่คนที่ปลอมตัวมาก็จะฉวยโอกาส เอาประโยชน์ร่วมกินดื่มโดยไม่มีการแบ่งจากตัวเอง จะเห็นลักษณะของเขาห้าอย่าง ที่ไร้ค่า ถ่วงสังคมจริง ๆ
สามอย่างแรก คือเป็นผู้เลี้ยงที่เลี้ยงแค่ตัวเองเท่านั้น
เมฆไร้น้ำ ดูเหมือนดีจะให้ฝน แต่แล้วฝนก็ไม่ตก เป็นต้นไม้ที่ไร้ผลอีก เพราะตายไปแล้ว รากก็ถูกถอนไป

เป็นเหมือนคลื่นโหมในทะเล พัดฟองคลื่นแห่งความน่าอับอายขึ้นมา เป็นดาวที่เร่ร่อน มีความมืดมิดซึ่งอยู่ตลอดกาลรอคอยพวกเขาอยู่
ยูดา 1:13

2 เปโตร 2:17; ฟีลิปปี 3:19; อิสยาห์ 57:20

เขายังเป็นเหมือนคลื่นในทะเล ที่ชีวิตมีแต่ความน่าอาย แต่กลับไม่อาย ยังอวดสิ่งที่น่าอายในชีวิต ของตนโดยไม่รู้ตัวว่าน่าอาย เราเห็นคนแบบนี้ดาษดื่นในสังคมโซเชียลด้วย
นอกจากนั้นแทนที่จะเป็นดาวที่โคจรตามปกติ เป็นคนที่เราจะรู้ได้ว่าอยู่ตรงไหนแล้ว แต่กลับเป็น เหมือนดาวตก ผีพุ่งใต้ที่ปรากฏแล้วก็หายไป ห้าอย่างที่เป็นลักษณะของคนปลอมตัวเข้ามาในหมู่พี่น้องคริสเตียนและทำลายคนอื่น …

เอโนค ซึ่งเป็นคนรุ่นที่เจ็ดนับจากอาดัม ได้พยากรณ์ถึงคนเหล่านี้ว่า “ดูเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังเสด็จมาพร้อมกับวิสุทธิชนนับล้านของพระองค์เพื่อ พิพากษา ทุกคน เพื่อให้คนอธรรมทั้งสิ้น ได้สำนึกในบาปที่พวกเขาได้ทำ รวมทั้งคนบาปจะสำนึกที่ได้กล่าวล่วงเกินพระองค์”
ยูดา 1:14-15

เฉลยธรรมบัญญัติ 33:2; สดุดี 50:3-5;
ฮีบรู 11:5-6; วิวรณ์ 22:12-15; 1 โครินธ์ 4:5

ท่านยูดาได้เตือนล่วงหน้าว่า จะมีการพิพากษาคนอธรรมหรือคนบาปทุกคนที่ล่วงเกินพระองค์ โดยที่ไม่ได้คิดจะกลับใจเลย คนเหล่านั้นมีคำสอน ผิดที่ไม่ตรงกับความจริงที่พระองค์ทรงบัญชาไว้
ในวันที่พระองค์ทรงพิพากษานั้น พวกเขาจะสำนึกได้ แต่มันก็สายไปแล้ว เวลาที่ยังไม่สายคือวันนี้ คำพยากรณ์ล่วงหน้านี้ ชัดเจน ไม่มีอะไรคลุมเครือ

คนเหล่านี้เป็นคนช่างบ่น คอยจับผิดคนอื่น ทำตามความอยากที่ชั่วของตน ยกตนขึ้น โอ้อวด และประจบประแจงยกยอคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตน
ยูดา 1:16

2 เปโตร 2:1-4; 2:18; 2:10; ฟีลิปปี 2:14;

ท่านยูดาสรุปนิสัยใจคอของคนที่สอนผิด ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะในคริสตจักรเท่านั้น แต่มีทั่วไปในสังคมของเรา ซึ่งต้องระวังให้ดี ไม่ให้ตัวเราหลงไปกับการชักนำของพวกเขา เลนนอกซ์ นักคณิตศาสตร์คริสเตียนได้กล่าวไว้ว่า คนเรามักเชื่อง่าย ๆ ตามความอยากที่จะเชื่อ โดยไม่ค่อยใช้เหตุผล แต่เชื่อโดยใช้อารมณ์ ทุกวันนี้เราต้องระมัดระวังในการรับข้อมูลเพราะข้อมูลทุกอย่างส่งผลกับชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราโดยตรง

พี่น้องที่รัก ท่านต้องจดจำการพยากรณ์ล่วงหน้าของอัครทูตของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา พวกเขากล่าวกับท่านว่า
“ในยุคสุดท้าย จะมีคนที่ชอบเยาะเย้ยใช้ชีวิตตามความอยากที่ชั่วของตน” คนเหล่านี้แหละที่สร้างความแตกร้าว เป็นคนของโลก ปราศจากพระวิญญาณ
ยูดา 1:17-19

2 เปโตร 3:2; เอเฟซัส 4:11; กิจการ20:35
2 เปโตร 3:3; 2 ทิโมธี 4:3
1 โครินธ์ 2:14; ยากอบ 3:15

ทุกวันนี้ เราต้องยอมรับว่า สิ่งที่ท่านยูดาเตือน ล่วงหน้านั้น เป็นความจริง เพราะในโลกนี้กำลัง สับสน วุ่นวาย มีความเป็นศัตรู มีความเกลียดชัง กันโดยที่ไม่ต้องรู้จักกัน หรือเคยทำร้ายอะไรกันเลย ความแตกร้าวที่เกิดขึ้นนั้น ท่านยูดาไม่ต้องการให้ เกิดในหมู่ผู้เชื่อ แต่ต้องการให้ทุกคนเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน และสังเกตได้ว่าคนที่พยายามสร้างความแตกร้าวนั้นคือคนไหนกันแน่ คนไหนที่ต้องเลี่ยง เพราะคนพวกนี้แสดงเก่งยิ่งกว่าดาราอีก

สิ่งที่ผู้เชื่อต้องใส่ใจลงมือทำเพื่อตัวเอง

แต่ท่านที่รัก
จงสร้างตนขึ้นบนความเชื่อที่บริสุทธิ์ที่สุด
และอธิษฐานในพระวิญญาณบริสุทธิ์
ยูดา 1:20

เอเฟซัส 6:18; โรม 8:26-27; โคโลสี 2:7

ท่านยูดาขอให้พี่น้อง สร้างชีวิตขึ้นจากความเชื่อที่บริสุทธิ์ และการอธิษฐานที่รับการดลใจจากพระวิญญาณ คำว่าสร้าง คือการลงมือ ทำอะไรเพื่อชีวิตของตนเอง สร้างบนข่าวดีเรื่อง
พระเยซูคริสต์ ไม่สร้างด้วยคำสอนอื่นใด สร้าง ชีวิตที่มีเกียรติ ขยัน ถ่อมตน สู้ไม่ถอย ด้วยความช่วยเหลือของพระวิญญาณที่เมื่อเรา อธิษฐานจะทรงสำแดงว่า ควรอธิษฐานเพื่อใคร อย่างไร พระองค์จะทรงช่วยให้เรามีความเชื่อ เราจะเห็นว่าชีวิตแห่งความเชื่อจะ ก้าวหน้าได้ เป็นพลังมาจากพระเจ้าและมนุษย์สนองตอบต่อพลังนั้น

ให้รักษาตัวอยู่ในความรักของพระเจ้า รอคอยพระเมตตาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเราซึ่งจะนำเราไปสู่ชีวิตนิรันดร์
ยูดา 1:21

2 เปโตร 3:12; 1 ยอห์น 4:16; ฮีบรู 9:28

ข้อก่อนหน้านี้ ท่านยูดาขอให้เราสร้างชีวิตในความเชื่อบริสุทธิ์ และอธิษฐานในพระวิญญาณ บริสุทธิ์ และข้อนี้ให้รักษาตัวเองในความรักของ พระเจ้า รอคอยพระเมตตาของพระองค์ เท่ากับว่า สำหรับตัวเราเองแล้ว ก่อนที่เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์ เรามีหน้าที่ส่วนของเรา ไม่ใช่ว่า มาเชื่อพระเจ้าแล้วก็ไม่ต้องทำอะไร ใช้ชีวิตแบบ เดิม ๆ นั่นไม่ใช่การกลับใจ พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราลงมือใช้ชีวิตอย่าง กระตือรือร้น ไม่ใช่เฉื่อยชาในทางของพระองค์ การอยู่ในร่มพระคุณความรักของพระเจ้านั้น

สิ่งที่ต้องทำเพื่อผู้อื่น

และจงเมตตาต่อคนที่ยังสงสัยอยู่
จงช่วยคนอื่น ๆ ด้วยการฉุดพวกเขาออกจากไฟ แสดงความเมตตาต่อพวกเขาด้วยความยำเกรงพระเจ้า จงรังเกียจแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่แปดเปื้อนด้วยโลกีย์
ยูดา 1:22-23

ยากิบ 5:19-20; กาลาเทีย 6:1
วิวรณ์ 3:4; 1 ทิโมธี 4:16

นอกจากจะดูแลตัวเองให้ปลอดภัยแล้ว ก็ต้องเอาใจใส่คนอื่นด้วย เพราะทุกคนเริ่มต้นไม่เท่ากันบางคนมารู้จักพระเจ้าตอนอายุมากแล้ว ความเข้าใจก็น้อยกว่า แถมยังมีการมองโลกแบบเดิม ๆ ติดมาด้วยที่ยังเอาออกไม่หมด ทำให้พวกเขากลับไปอยู่กับชีวิตเดิมที่จากมา บางคนอาจต้องถูกฉุดจากนรก บังคับให้ออกเลย แต่ทำด้วยความยำเกรงพระเจ้า ด้วยว่า เราเองก็อาจตกอยู่ในสภาพนั้นเช่นกัน

มั่นใจในพระเจ้า

แด่พระองค์ผู้ทรงรักษาท่านให้พ้นจากการสะดุดล้ม และผู้ที่จะทรงนำท่านอย่างไร้มลทินไปอยู่ต่อพระพักตร์ แห่งพระสิริ
ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง แด่พระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเท่านั้น พระผู้ช่วยให้รอดของเราโดยผ่านองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
พระสิริ พระเกียรติ อาณาจักรและ
สิทธิอำนาจสูงสุดเป็นของพระองค์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และสืบไปเป็นนิตย์ อาเมน
ยูดา 1:24-25

2 ทิโมธี 4:18; เอเฟซัส 3:20; โคโลสี 1:22

และเราต้องไม่ลืมว่า ผู้ที่จะช่วยให้เราไม่ล้มลง ไม่พลาดจากทางไปสู่พระบิดาเจ้านั้น คือองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนพระองค์ทรงเป็นผู้ที่จะถวายเราแด่พระบิดา
เพราะพระองค์เดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ ลองถามตัวเองว่า เราได้ร่วมมือกับพระเจ้าที่จะทำให้ชีวิตเราไร้มลทิน ทำให้พระเยซูทรงยินดีได้ไหม

3 ยอห์น 1 ตัวอย่างคนสองแบบ

คำทักทาย

จากผู้ปกครองถึงกายอัสที่รัก ผู้ที่ข้ารักในความจริง เพื่อนที่รัก ข้าอธิษฐานขอให้ชีวิตของท่านราบรื่น และให้มีสุขภาพที่ดีเหมือนอย่างมีสุขภาพดีฝ่ายวิญญาณ
3 ยอห์น 1:1-2

1 ยอห์น 3:18; 1 โครินธ์ 1:14; โรม 16:23;
2 เปโตร 1:3-9; 3:18; โคโลสี 1:4-6

ชื่อกายอัส อาจเป็นคนเดียวกับที่ท่านเปาโล พูดถึงใน 1 โครินธ์ 1:14 การอธิษฐานของท่านยอห์นนี้ เป็นตัวอย่างของการอธิษฐานเผื่อพี่น้องที่เรารัก ไม่เฉพาะฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่ในเรื่องอื่น ๆ ของชีวิต พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่และทรงพระคุณ ที่จะตอบคำอธิษฐานของคนที่รักพระองค์

เพราะข้ายินดีมากเมื่อพี่น้องมาเป็นพยานถึงความจริงของท่าน ว่าท่านเองได้เดินในความจริง ไม่มีอะไรทำให้ข้ายินดีมากไปกว่า ได้ยินว่า ลูก ๆ ของข้าเดินในความจริง
3 ยอห์น 1:3-4

2 ยอห์น 1:4; สดุดี 119:11; 1 เธสะโลนิกา 3:6-9;
กาลาเทีย 4:19; 2 พงศ์กษัตริย์​ 20:3

ท่านยอห์นเองได้ข่าวมาว่า กายอัสติดตามพระเจ้าใช้ชีวิตในความจริง ทำให้ท่านเป็นสุขใจมากการเดินในความจริงนั้นคือ ใช้ชีวิตตามความจริง ที่ได้รู้มาจากพระคำของพระเจ้า เป็นชีวิตที่โปร่งใส ไม่ใช่หน้าไหว้หลังหลอก เป็นชีวิตที่ได้รับการอภัยบาปจากพระเจ้าแล้วและจะไม่ใช้ชีวิตในความบาปอีกต่อไป ไม่ว่าจะกายอัสหรือเราก็เหมือนกัน

เรียนรู้จากตัวอย่างที่ดีและเลว

ท่านที่รัก ท่านพยายามสุดกำลังเพื่อพี่น้องอย่างซื่อสัตย์ แม้ว่าพวกเขาเป็นคนแปลกหน้า พวกเขาได้เป็นพยานถึงความรักของท่านให้คริสตจักรได้รับทราบ เป็นการดีที่ท่านจะส่งเขาเดินทางออกไปตามที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
3 ยอห์น 1:5-6

กาลาเทีย 6:10; โคโลสี 3:17; 2 โครินธ์ 4:1-3;
1 เธสะโลนิกา 2:12; ทิตัส 3:13;

กายอัสเป็นคนติดตามพระเจ้าที่ทำตามสิ่งที่เขาเชื่อ เขาได้ต้อนรับผู้เชื่อที่เดินทางไปประกาศตามที่ต่าง ๆ อย่างเต็มใจ คำว่าซื่อสัตย์ตรงนี้ เป็นตัวอย่างสำหรับเราเองสมัยก่อนนั้น ผู้ประกาศที่ออกเดินทางไปต้องพึ่งพ การสนับสนุนจากคริสเตียนในท้องถิ่น เพราะพวกเขามักไม่ได้รับค่าจ้างจากใครเลย กายอัสส่งพวกเขาไปต่อจากทรัพย์สินของเขาเอง

เพราะพวกเขาได้ออกไปเพื่อเห็นแก่พระนาม ไม่รับสิ่งใดจากคนต่างชาติ
ดังนั้นเราควรสนับสนุนคนเช่นนี้ เพื่อว่าเราจะได้เป็นผู้ร่วมงานเพื่อความจริง
3 ยอห์น 1:7-8

วิวรณ์ 2:3; โคโลสี 1:24; 2 โครินธ์ 12:13
2 โครินธ์ 7:2-3; 1 โครินธ์ 3:5-9

การออกไปประกาศตามที่ต่าง ๆ เช่นนี้ ท่านยอห์นมีความเห็นว่าพวกเขาต้องไม่รับสิ่งใดจากคนต่างชาติ หรือคนที่ไม่เชื่อ คริสเตียนเองจะต้องเป็นผู้สนับสนุนคนของพระเจ้าด้วยกัน คนที่ออกไปควรที่จะได้รับการดูแลจากคนที่อยู่ข้างหลังอย่างเต็มใจ ทำอย่างดีที่สุด

ข้าได้เขียนบางอย่างไปยัง
คริสตจักร แต่ดิโอเตรเฟส ชอบเอาตัวเองมาเป็นที่หนึ่ง ไม่ยอมรับเรา
ดังนั้น หากข้ามา ข้าจะเตือนเรื่องที่เขาทำ คือการพูดใส่ร้ายพวกเรา นอกจากนั้นเขายังปฏิเสธไม่ยอมต้อนรับพี่น้อง และยังไปห้ามคนที่จะต้อนรับพวกเขา แล้วก็ไล่พวกเขาออกจากคริสตจักรด้วย
3 ยอห์น 1:9-10

ทิตัส 1:7-16; ลูกา 22:24-27;
อิสยาห์ 66:5; สุภาษิต 10:10

การที่กายอัสต้อนรับ สนับสนุนพี่น้องจนได้รับคำชมก็ยังมีคนที่ไม่ต้องการทำเช่นนั้น แถมยังห้ามคนอื่นทำด้วย นั่นคือ ดิโอเตรเฟส เป็นคนเหมือนคนยุคใหม่นี้ เขาใช้วิธีการคือให้ร้ายคนอื่น และยังทำตัวเหมือนมีสิทธิที่จะไล่คนอื่นออกไปจากชุมชนนั้น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ทำดีอะไรให้สังคม เป็นคนแบบมีแค่สิทธ์ แต่ไม่รับผิดชอบ

พี่น้องที่รัก อย่าเลียนแบบสิ่งที่ชั่วแต่ให้ทำตามสิ่งที่ดี คนที่ทำสิ่งดีนั้นมาจากพระเจ้า คนที่ทำชั่วก็ไม่มีพระองค์ในสายตา
3 ยอห์น 1:11

อิสยาห์ 1:16-17; สดุดี 37:27

ที่ท่านยอห์นสอน ท่านก็ได้เขียนตัวอย่างให้เห็น คือ กายอัส และดิโอเตรเฟส ทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างฟ้ากับเหว คนหนึ่งใส่ใจคนอื่น เอาสิ่งที่ตนมีสนับสนุนงานรับใช้ ช่วยแม้คนที่ ตนเองไม่รู้จัก ส่วนอีกคน เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง และทำลายคนอื่นได้อย่างเลือดเย็น โดยไม่คำนึงว่าตนเองทำประโยชน์ให้ใครหรือไม่

ทุกคนพูดแต่เรื่องดี ๆ ของเดเมตริอัส ซึ่งความจริงก็พิสูจน์แล้วว่า เป็นความจริง เราเองก็เป็นพยานถึงความดีของเขาเพิ่มเติมและท่านก็รู้ว่า คำพูดของเราเป็นความจริง
3 ยอห์น 1:12

1 ทิโมธี 3:7; ยอห์น 21:24; กิจการ 12:22

แล้วท่านยอห์นก็กล่าวถึงอีกคนที่เป็นตัวอย่างที่ดี คือเดเมตรีอัส คนที่จะดีจริงหรือเลวจริง เราจะมั่นใจไม่ได้จนกว่ามีพยานว่าคน ๆ นั้นเป็นอย่างไร น่าสนใจที่ท่านยอห์นกล่าวว่า
ความจริงก็พิสูจน์ตัวตนของเดเมตริอัส เราไม่ทราบเรื่องราวของเขาเลย แต่สิ่งที่สอนเราจากเรื่องนี้ก็คือ พระเจ้าผู้ทรงเป็นความจริง จะทรงเป็นพยานชีวิตเราอย่างไร?

อวยพรตอนสุดท้าย

ยังมีอีกหลายสิ่งที่จะพูดกับท่าน แต่ข้าไม่ต้องการเขียนด้วยปากกาและหมึกเพราะ ข้าหวังว่าจะได้พบท่าน ในไม่ช้า เราก็จะได้คุยกันต่อหน้าจริง ๆ
ขอให้สันติสุขจงมีแก่ท่าน
เพื่อน ๆ ที่นี่ฝากความคิดถึงมาด้วย ขอโปรดส่งความคิดถึงจากข้า
มายังพี่น้องแต่ละคนที่นั่นด้วย
3 ยอห์น 1:13-14

2 ยอห์น 1:12; 1 เปโตร 5:14; เอเฟซัส 6:23; กาลาเทีย 5:16

ท่านยอห์นมีความรู้สึกว่า อยากพบหน้าพี่น้องมากกว่าที่จะแค่เขียนจดหมายถึง ในข้อ 14 ตอนท้ายนั้นมีความหมายว่า ให้บอกทุกคนเป็นรายตัวไปเลยว่า ท่านยอห์นคิดถึงจริง ๆ หัวใจของท่านอยู่กับ พี่น้องคริสเตียน และเชื่อว่าท่านอธิษฐาน เผื่อพวกเขาทุกวัน

2 ยอห์น 1 ต้อนรับด้วยความจริง

ทักทายสตรีที่พระเจ้าทรงเลือก

จดหมายฉบับนี้ มาจากข้าซึ่งเป็นผู้ปกครองอาวุโส เขียนถึงสตรีที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ และลูกหลานของเธอที่ข้ารักในความจริง และไม่ใช่ตัวข้าเท่านั้น แต่คนทั้งหลายที่รู้จักความจริงก็รักด้วย
2 ยอห์น 1:1

1 ยอห์น 3:18; 1 ทิโมธี 2:4; ยอห์น 8:32;
โคโลสี 1:5

ผู้ที่รู้จักความจริง ก็รักคนที่มีความจริง คือมีพระเยซูคริสต์อยู่ในชีวิต ท่านยอห์นเน้นเรื่องความจริงอย่างมาก ในก่อนสุดท้ายบทที่แล้ว ท่านกล่าวถึงพระเยซูผู้ทรงเป็นจริง สิ่งที่ผู้พันหัวใจคริสเตียนให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว กันนั้นคือ องค์พระเยซูผู้ทรงเป็นความจริง

เพราะความจริงอยู่ในเรา
และจะอยู่กับเรา
ไปชั่วนิรันดร์
2 ยอห์น 1:2

1 ยอห์น 1:8; 2:14;2:17; 2 เปโตร 1:12

,มีคำที่พระเยซูเคยตรัสไว้ในยอห์น 14:16-17 พระองค์จะทูลขอพระบิดา ให้ประทานที่ปรึกษา เพื่อจะอยู่กับศิษย์ของพระองค์ตลอดไป คือองค์พระวิญญาณที่จะอยู่ในพวกเขา
ดังนั้นความจริงที่ท่านยอห์นกล่าวถึงก็คือการที่พระวิญญาณแห่งความจริงจะเข้ามาสถิตในผู้ที่เชื่ออย่างถาวร นี่เป็นสิ่งที่คนนอกความเชื่อไม่อาจมีได้

พระคุณ พระเมตตา และสันติสุข จากพระเจ้าองค์พระบิดา และจากพระเยซูคริสต์องค์พระบุตรของพระบิดา จะอยู่กับเราในความจริงและในความรัก
2 ยอห์น 1:3

1 ทิโมธี 1:2; โรม 1:7; 1 ยอห์น 4:10

ท่านยอห์นไม่ได้แค่ขอให้ผู้อ่านรับสิ่งดี ๆ จากพระเจ้า แต่ท่านเขียนราวกับว่า สิ่งดี ๆ เหล่านั้นจะอยู่กับพี่น้องที่อ่านจดหมายของท่าน
รู้ไหมว่า หากไม่มีความจริง และความรักจากพระบิดาและพระบุตรแล้ว เราก็จะมีพระคุณ พระเมตตา สันติสุขในชีวิตไม่ได้เลย พระเยซูเคยตรัสว่า สันติสุขที่เราให้แก่เจ้า ไม่เหมือนโลกให้ เป็นสันติในใจที่ต่างกันมากจากความสุขของโลกนี้

เดินตามคำบัญชาพระคริสต์

ข้ายินดีมากที่พบว่าลูกหลานของท่านบางคน เดินในความจริงตามที่พระบิดาทรงบัญชาไว้
2 ยอห์น 1:4

3 ยอห์น 1:3-4; เอเฟซัส 5:8; 5:2

มีลูกหลานบางคนเดินตามทางของพระเจ้าทำให้เรารู้ว่า บางคนอาจไม่เดินตามทางที่พระเจ้าทรงบัญชา ชีวิตที่เดินในความจริงของพระเจ้านั้น ไม่ใช่ชีวิตที่อยู่เฉย ๆ แต่เป็นชีวิตที่แสดงออกมาเป็นการกระทำอย่างชัดเจนว่าพวกเขาทำตามที่พระเจ้าพระบิดาทรงบัญชาไว้ เราจะเห็นว่าคนเชื่อจริงและเชื่อแค่ปากนั้น แตกต่างกันมากขนาดไหน

และบัดนี้ สตรีทั้งหลาย
ข้ามิได้เขียนบัญญัติใหม่มาถึงท่าน แต่เป็นบัญญัติที่เรามีมาตั้งแต่ต้น คือ ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน
2 ยอห์น 1:5

1 ยอห์น 3:11; 1 เธสะโลนิกา 4:9

ท่านยอห์นชัดเจนว่าต้องการ ย้ำเตือนให้พี่น้องรักกันและกัน
ชีวิตที่เต็มด้วยรักซึ่งกันและกัน จะทำให้สังคมนั้น ๆ มีความสุขและช่วยกันแก้ปัญหา ไม่สร้างปัญหาให้กันและกัน ยิ่งยุคของเรานี้ เรายิ่งต้องการความรักมากขึ้นอีก เพราะความเกลียดมีท่วมท้นในสังคม และยังมีความพยายามสร้างความเกลียดชังทุกวัน

และความรักนี้คือ เราเดินตามพระบัญญัติของพระองค์ที่ท่านได้ยินมาแต่แรกเริ่ม พระบัญญัตินั้นคือให้ท่าน
ดำเนินชีวิตด้วยความรัก
2 ยอห์น 1:6

1 ยอห์น 2:5; 5:3; 1 ยอห์น 2:24; ยอห์น 15:4

พระบัญญัติแห่งรักที่ท่านยอห์นกล่าวถึง เป็นบัญญัติที่มีไว้ให้เราเชื่อฟัง ไม่ใช่วางตั้งไว้เฉย ๆ เป็นบัญญัติที่ เราต้องลงมือรักคนอื่นไม่ใช่รอความรักจากคนอื่น รักแค่ปากก็ไม่ได้ ต้องลงมือ และเมื่อเราเห็นคนอื่นรักเรา ก็อย่าลืมรักตอบ

ระวังคนหลอกลวง

เพราะมีคนล่อลวงมากมายออกไปในโลก คือคนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ คนเหล่านี้เป็นคนหลอกลวง เป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์ ท่านจงระวังให้ดี จะไม่สูญเสียสิ่งที่ท่านได้มุ่งมั่นทำมา แต่เพื่อท่านจะได้รับรางวัลเต็มขนาด
2 ยอห์น 1: 7-8

1 ยอห์น 2:19; 4:1-2; 2:22
มาระโก 13:9; กาลาเทีย 3:4

คนที่ไม่ยอมรับว่า พระเยซูคริสต์ หรือพระเมสสิยาห์
ได้เสด็จจากสวรรค์ลงมาในร่างของมนุษย์ ท่านยอห์นกล่าวว่า พวกเขาเป็นคนลวงโลก เราจึงต้องระวัง พิสูจน์ทุกอาจารย์ที่สอนพระคัมภีร์ โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จักมาก่อนอย่าหลงเชื่อทันทีเพียงเขาหยิบข้อพระคัมภีร์มาพูดให้ดูน่าเชื่อถือ เพื่อเราจะไม่หลงทางไป

คนใดที่ก้าวเกินไปกว่านั้นและไม่ยึดอยู่ในคำสอนของพระคริสต์ ก็ไม่มีพระเจ้า
แต่คนที่ยึดมั่นอยู่ในคำสอนนั้นก็มีทั้งพระบิดาและพระบุตร
2 ยอห์น 1:9

ยอห์น 7:16; 8:31

ชัดเจน..ไม่ให้เปลี่ยนคำสอนของพระเยซูไปตามใจของตนเอง คนไหนล้ำยุคคิดเกินเลย คนไหนคิดเอาเอง เท่ากับพวกเขาไม่มีพระเจ้าในเรื่องของพระเยซู พระองค์คือผู้ใด
พระองค์ทรงทำอะไรเพื่อเรา และจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น เราต้องเดินตามคำของพระเยซู ไม่ใช่วาดภาพนิมิตขึ้นมาเอง เราต้องระวังการเปิดเผยใหม่ ๆ ที่แต่งขึ้นมาแต่อ้างว่ารับมาจากพระเจ้า

และหากใครมาหาท่าน
โดยไม่นำคำสอนนี้มา
อย่ารับเขาไว้ในบ้าน
อย่าทักทายยินดีต้อนรับเขา เพราะใครก็ตามที่ทักทายเขาเท่ากับมีส่วนในความชั่วร้ายของเขาด้วย
2 ยอห์น 1:10-11

ทิตัส 3:10; โรม 16:17; 1 ทิโมธี 5:22; เอเฟซัส 5:11

สมัยก่อนนั้น อัครทูตมักจะเดินทางไปเยี่ยมตามคริสตจักรต่าง ๆ และท่านจะได้รับการต้อนรับจากสมาชิกที่เต็มใจต้อนรับท่านแต่ในเวลาเดียวกัน จะมีครูสอนผิดที่พยายามออกไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อปอกลอกผู้เชื่อที่ ไม่รู้ประสีประสา ต้อนรับพวกเขาโดยคิดว่า เป็นอาจารย์แท้ สอนเรื่องพระเจ้าแท้ ท่านยอห์นจึงเตือนสติพี่น้องไว้ให้ระวังตัว เพื่อจะไม่หลงไป และไม่มีส่วนในความชั่วนั้น

คำส่งท้าย

ยังมีอีกหลายสิ่งที่จะพูดกับท่าน แต่ข้าไม่ต้องการเขียนด้วยปากกาและหมึกเพราะข้าต้องการที่จะพูดกับท่านตัวต่อตัว เพื่อว่าความยินดีของเราจะได้เต็มบริบูรณ์ ลูก ๆ ของน้องสาวของท่านที่พระเจ้าทรงเลือก ฝากความคิดถึงมาด้วย
2 ยอห์น 12-13

3 ยอห์น 13; 14; ยอห์น 17:13; 1 เปโตร 5:13; ยอห์น 16:12

ขอบคุณพระเจ้าที่ท่านยอห์นเขียนจดหมายนี้ เพราะเมื่อท่านพบกับพี่น้องและพูดกันต่อหน้าก็จะไม่มีบันทึกมาให้พวกเราอ่านจนทุกวันนี้
แต่การที่พวกเขาได้พบกัน ก็ทำให้พวกเขามีความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่งในเวลานั้น จากคำของท่านทำให้เรารู้ว่า พี่น้องในคริสตจักรที่ท่านกำลังใช้เวลาอยู่ด้วยนั้น ฝากความคิดถึงมาด้วย (เหมือนคำว่าคริสตจักรแม่ คริสตจักรลูก ทำนองนั้น)

1 ยอห์น 5 เกิดจากพระเจ้า

เกิดจากพระเจ้า มีความรัก

ทุกคนที่เชื่อว่า
พระเยซูคือพระคริสต์
(พระเมสสิยาห์)
เป็นคนที่บังเกิดจากพระเจ้า
และทุกคนที่รักองค์พระบิดานั้น ก็ย่อมรักพระบุตรของพระองค์ด้วย
1 ยอห์น 5:1

1 ยอห์น 2:22; 4:2,15; ยอห์น 1:13

ท่านยอห์น เป็นอัครทูตที่อยู่ใกล้ชิดพระเยซูมาก ท่านเห็นด้วยตา สัมผัสด้วยประสาทสัมผัส ทั้งหมด และรู้ด้วยใจมาตลอดว่า
พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง ๆ ไม่ใช่มนุษย์เดินดินธรรมดาท่านสรุปคำง่าย ๆ ว่า ใครก็ตามที่เชื่อว่าพระเยซู
ทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาเป็นผู้ช่วยให้รอด จากบาป เขาก็เกิดใหม่จากพระเจ้า และเขาจะรักทั้งองค์พระบิดาและพระบุตร!

เราจะได้รู้ว่า เรารักคนที่เป็นลูกของพระองค์
ก็เมื่อเรารักพระเจ้า และทำตามพระบัญญัติของพระองค์​
1 ยอห์น 5:2

ยอห์น 15:1; 1 ยอห์น 2:5; ยอห์น 13:34-35

การที่คนหนึ่งรักพระเจ้า และทำตามพระบัญญัติที่พระเยซูทรงให้ไว้เมื่อนานมาแล้วนั้น เราจะเห็นคนนั้นมีความรักมาก รักคนที่เป็นลูกของพระเจ้าเป็นพิเศษ ท่านยอห์นมีอายุมาก ๆ หลังจากที่ท่านกลับมาจากเกาะพัทโมส เมื่อจะไปเยี่ยมคริสตจักรก็ต้องมีคนช่วยหามท่าน ไปเพราะเดินไม่ไหว และคำเทศนาของท่าน
มีแค่ว่า “ลูกเอ๋ย จงรักกันและกัน”!

การที่เรารักพระเจ้านั้น ก็แสดงออกมาด้วยการที่เราเชื่อฟังทำตามพระบัญญัติของพระองค์
และพระบัญญัตินั้น ไม่ได้เป็นภาระหนักสำหรับเราเลย
1 ยอห์น 5:3

ยอห์น 14:15; มัทธิว 11:30; 23:4

เมื่อเรารักใครสักคน การทำสิ่งต่าง ๆ ให้เขานั้นไม่ได้เป็นภาระ แต่มันกลับกลายเป็นความสุข ที่ได้ทำให้เขา เมื่อรักพระเจ้าก็ทำตามพระบัญญัติ แห่งรักได้โดยไม่ได้ฝืนใจตนเอง
พระคำตอนนี้ บอกถึงความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิต ของทุก ๆ คน ความรักทำให้ทุกสิ่งไม่ได้เป็น ภาระหนัก แต่การที่ต้องรักษากฎศีลธรรมที่มนุษย์ตั้งขึ้นมานั้น ยากกว่าเป็นไหน ๆ

เกิดจากพระเจ้า มีชัยชนะ

เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าก็ชนะโลก
ความเชื่อที่เรามีอยู่ทำให้เรา
มีชัยชนะเหนือโลก
บัดนี้ ใครล่ะ ที่ชนะโลก?
ก็คือเฉพาะคนที่เชื่อว่า
พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
1 ยอห์น 5:4-5

ยอห์น 16:33; 1 ยอห์น 2:13; 1 โครินธ์ 15:57

การเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และปฏิบัติต่อพระองค์อย่างสมควรกับฐานะที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตคริสเตียน เป็นรากฐานของชีวิตแห่งความเชื่อ เราจะชนะโลกที่เข้ามาล่อลวง หลอกล่อเราทุกวันได้ก็เมื่อเรามีความสัมพันธ์สนิทกับพระเยซูคริสต์ มีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ที่จะช่วยให้เราเอาชนะโลกได้

พระเยซูเชื่อมพระเจ้ากับเรา

พระเยซูคริสต์เสด็จมาโดยน้ำและพระโลหิต
พระองค์มิได้เสด็จมาโดยน้ำเท่านั้น
แต่โดยน้ำและพระโลหิต
พระวิญญาณทรงเป็นพยานยืนยัน
เพราะพระวิญญาณทรงเป็นความจริง
1 ยอห์น 5:6

ยอห์น 16:13; 15:26; ฮีบรู 9:14

พระคำข้อนี้ เป็นข้อที่ลึกลับและเข้าใจยากมากมีความเห็นหลายแบบ แต่ที่เราเห็นชัดคือ น้ำที่ท่านยอห์นหมายถึงคือการบัพติศมาพระโลหิตคือการถูกตรึงบนไม้กางเขน และในวันนั้นที่ทรงรับบัพติศมา พระบิดาและพระวิญญาณก็ทรงปรากฏ เมื่อทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขน เพื่อรับโทษบาปของมนุษย์เรา และทั้งหมดนี้ พระวิญญาณผู้ทรงเป็นความจริงทรงเป็นพยานในใจของเราด้วยพระองค์เอง

พยานจากพระเจ้าและจากมนุษย์

ด้วยว่า มีสามสิ่งที่เป็นพยานยืนยัน
คือพระวิญญาณ และน้ำ
และพระโลหิต
และทั้งสามนี้สอดคล้อง
เป็นหนึ่งเดียวกัน
1 ยอห์น 5:7-8

มัทธิว 28:19; กิจการ 5:32;
1 เปโตร 3:21; ยอห์น 15:26; กิจการ 2:2-4

ตอนที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาในน้ำกับยอห์น (มัทธิว 3:13-17) นั้น องค์พระวิญญาณและพระสุรเสียงของพระบิดาได้ลงมาปรากฏให้คนใน เหตุการณ์นั้นได้เห็นและบันทึกไว้ การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู (มัทธิว 27:54) พระโลหิตที่หลั่งไหลทำให้รู้ว่า พระองค์คือพระบุตรของพระเจ้า และพระวิญญาณทรงเป็นพยานตลอดชีวิตของพระองค์ในโลกบอกว่าพระองค์คือผู้ใด(มาระโก 1:12; กิจการ 10:38

คำพยานของมนุษย์เรายังยอมรับได้ พยานของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่า
เพราะเป็นคำพยานของพระเจ้ายืนยันเรื่องพระบุตรของพระองค์
1 ยอห์น 5:9

กิจการ 17:31; มัทธิว 3:16-17; ยอห์น 10:38

นี่เป็นข้อความต่อมาที่บอกว่า พยานจาก พระเจ้าคือ พระวิญญาณ น้ำ และพระโลหิต เป็นพยานที่เป็นหนึ่งเดียว พยานนี้ เป็นพยานที่ยิ่งใหญ่ และมีค่ามาก เพราะเป็นพยานด้วยชีวิตขององค์ พระเยซูที่ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์เลยทีเดียว
พยานแปลว่าผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นหลักฐานเครื่องพิสูจน์ได้ พระเจ้าเอง ทรงเป็นพยานผ่านเหตุการณ์ และ พระคัมภีร์ที่สืบเนื่องยาวนานหลายพันปี

ผู้ที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ก็มีคำพยานนี้อยู่ในตัวเขา
ผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็ทำให้
พระองค์เป็นพยานที่มุสา
เพราะเขาไม่เชื่อในคำพยานที่พระเจ้าทรงยืนยันถึงพระบุตรของพระองค์​
1 ยอห์น 5:10

โรม 8:16; กาลาเทีย 4:6; ยอห์น 3:33

พระคำตอนนี้แรงมาก ชัดเจน เมื่อเราเชื่อพระคำ ของพระเจ้า เชื่อสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ เราก็ เชื่อพระเจ้าที่ตรัสผ่านพระคัมภีร์ แต่มีคนที่ไม่เชื่อพระคัมภีร์ ไม่ยอมรับสิ่งที่พระเจ้าทรงบอกเรื่องราวในอดีต ในอนาคต พวกเขาจึงทำเสมือนว่าพระองค์ทรงเป็นพยานเท็จในสายตาของเขา นี่เป็นคำอธิบายเรียบง่าย สำหรับพระคำข้อนี้

ความมั่นใจในชีวิตนิรันดร์

และคำพยานนี้ก็คือ พระเจ้าประทานชีวิต
นิรันดร์แก่เรา
และชีวิตนิรันดร์นี้ อยู่ในพระบุตรของพระองค์ ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต และผู้ที่ไม่มีพระบุตรของพระเจ้าก็ไม่มีชีวิต
1 ยอห์น 5:11-12

ยอห์น 2:25; โรม 6:23; 1 ยอห์น 5:20; ยอห์น 3:36; 3:15; 5:24; 1:12

พระเจ้าทรงมอบชีวิตนิรันดร์ให้กับทุกคนที่เชื่อในพระนามของพระเยซู ดังที่ตรัสว่า “เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16) พระคำข้อนี้จากท่านยอห์น สอคล้องกับสิ่งที่พระเยซูตรัสไว้ในหนังสือยอห์นทุกประการ

ข้าเขียนทุกสิ่งเหล่านี้มาถึงท่านที่เชื่อในพระนามของพระบุตรพระเจ้าเพื่อท่านจะได้รู้ว่า ท่านมีชีวิตนิรันดร์
1 ยอห์น 5:13

ยอห์น 20:31; 1:12; 1 ยอห์น 3:23

การมีชีวิตนิรันดร์ไม่ใช่ว่า ตายไปแล้วจึงจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าและมีชีวิตนิรันดร์ แต่เป็น ชีวิตนิรันดร์ที่เริ่มต้นมีตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ ท่านยอห์นต้องการให้พี่น้องทุกคนมีความมั่นใจในชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าประทานมีเราบางคนที่ไม่มั่นใจว่าตนเองมีชีวิตนิรันดร์ไหมเพราะคิดว่าตัวเองดีไม่พอ เขาลืมไปว่า เมื่อพระเจ้าประทานให้ เขาก็ได้รับตามเงื่อนไขของพระองค์แล้ว

มั่นใจเมื่ออธิษฐาน

และนี่คือความมั่นใจที่เรามีอยู่เมื่อเราเข้าเฝ้าพระเจ้า
คือหากเราทูลขอสิ่งใด
ตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเรา
1 ยอห์น 5:14

เยเรมีย์ 33:3; 29:12-13; ยอห์น 14:13

เมื่อเรากลับไปอ่านคำอธิษฐานของพระเยซูพระองค์ตรัสว่า น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จในสวรรค์อย่างไร ก็ให้สำเร็จเช่นนั้นในแผ่นดินโลกเหมือนกัน คำอธิษฐานนี้ยังคงมีอยู่ และผู้เชื่อก็อธิษฐาน ทุกวัน คนมากมายยังจึงมีโอกาสที่จะได้กลับมาหาพระเจ้าได้ เพราะผู้เชื่อได้อธิษฐานตามพระประสงค์ที่จะทรงสร้างชีวิตใหม่ให้กับชาวโลก

และถ้าเรารู้ว่า
พระองค์ทรงฟังเรา
ไม่ว่าเราจะทูลขอสิ่งใด
เราก็รู้ว่า
เราจะได้รับสิ่งที่เราทูลขอนั้น จากพระองค์​
1 ยอห์น 5:15

ลูกา 11:9-10; สุภาษิต 15:29; สดุดี 37:4

แต่สำหรับชีวิตประจำวันของเราล่ะ ? พระองค์จะทรงฟังเราไหม? พระองค์ทรงยินดีที่จะฟังคำขอของลูก ๆ ทั้ง หลายอยู่แล้ว คนที่เป็นลูกของพระเจ้าจริง เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงก็เหมือนคนที่เป็นลูกและเข้าใจว่าพ่อเป็นคนอย่างไร และขอ ในสิ่งที่พ่อพอใจจะให้ ขอในสิ่งที่เขาไม่อาจทำได้ ด้วยตัวเอง ขอเพราะเขารู้แน่ว่าต้องพึ่งพาจากพ่อเท่านั้น

การอธิษฐานเพื่อเพื่อนที่ทำบาป

ถ้าคนใดเห็นพี่น้องของเขาทำบาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย เขาควรจะอธิษฐานขอ
และพระองค์จะประทานชีวิตให้แก่คนที่ทำบาปอย่างที่ไม่นำไปสู่ความตาย บาปที่นำไปสู่ความตายนั้นก็มีอยู่ ซึ่งข้าไม่ได้ขอให้อธิษฐาน ขอสำหรับคนที่ทำบาปเช่นนั้นการอธรรมทั้งสิ้นเป็นบาป แต่ก็ยังมีบาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย
1 ยอห์น 5:16-17

ฮีบรู 6:4-6; 10:26-31; 1 ยอห์น 3:4; 5:16

พระคำตอนนี้ยากที่จะอธิบายสั้น ๆ หลายท่านมีความเห็นว่า ท่านยอห์นกำลังหมายความว่า มีบางคนกำลังทำบาปที่ทำให้เขาต้องเสียชีวิต เราไม่ทราบว่า เป็นบาปอะไร ดูเหมือนว่าคนที่ ทำบาปคนนั้นจะไม่ยอมฟังคำเตือนของเพื่อน ๆ เสียด้วย อาจมีความเห็นอื่นสำหรับพระคัมภีร์ข้อนี้

เรารู้ว่า ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า
ไม่ทำบาปต่อเนื่อง
แต่พระองค์ผู้ทรงเกิดจากพระเจ้าทรงคุ้มครองเขาให้ปลอดภัย และมารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้
1 ยอห์น 5:18

1 ยอห์น 3:9; 5:4; ยูดา 21; ยากอบ 1:27

คนของพระเจ้า จะไม่มีนิสัยทำบาปแบบทำไป เรื่อย ๆ เพราะว่าเขาเกิดใหม่จากพระเจ้าแล้ว ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป เราเห็นได้จากคน มากมายที่กลับใจมาเชื่อพระเจ้าที่ความคิดความประพฤติ ค่านิยมต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป ไม่ เหมือนเดิมอีกต่อไป พระเจ้าทรงดูแลให้เขารอดพ้นภัยจากมารร้าย ด้วยพระองค์เอง ด้วยทูตสวรรค์ที่ทรงส่งมา ด้วยพระวจนะที่อยู่ในใจของพวกเขา

รู้จักศัตรูของเรา

เรารู้ว่า
เราเป็นลูกของพระเจ้า
และทั้งโลก ตกอยู่ใต้
อำนาจของมารร้าย
1 ยอห์น 5:19

2 โครินธ์ 4:4; 1 ยอห์น4:4-6; กาลาเทีย 1:4

มองไปรอบ ๆ แล้วจะรู้ว่า โลกอยู่ภายใต้อำนาจ ของมารจริง ๆ ความชั่วร้ายนั้น มีอยู่ทุกระดับ ตั้งแต่ในตัวคน ในครอบครัว ในหมู่คนที่เรียกว่าเป็นเพื่อน ในชุมชน ในที่ทำงาน ในจังหวัดต่าง ๆ ในประเทศ ระหว่างประเทศ มีความชั่วร้ายแฝงอยู่ให้เห็นชัดเจน และเราเองก็อยู่ในโลก แต่พระเจ้าจะทรง ปกป้องเราไว้ให้พ้นจากความร้ายกาจของมาร

อยู่ในพระคริสต์ หนีจากรูปเคารพ

เดี๋ยวนี้เรารู้ว่า พระบุตรของพระเจ้า เสด็จมา และประทานความเข้าใจแก่เรา เพื่อว่าเราจะรู้จักพระองค์ผู้ทรงเป็นจริง
และเราอยู่ในพระองค์ผู้ทรงเป็นจริง คือเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้และทรงเป็นชีวิตนิรันดร์
1 ยอห์น 5:20

ยอห์น 17:3; 14:9; ลูกา 24:45

พระบุตรของพระเจ้าทรงส่งพระวิญญาณของ พระองค์ลงมา ทำให้เรามีความเข้าใจใน พระองค์ ทำให้เราได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ผู้เป็นทางไปหาพระบิดา พระคัมภีร์ข้อนี้ เป็นการประกาศความเป็น พระบุตรของพระเจ้าอย่างชัดแจ้ง สมบูรณ์มากที่สุดข้อหนึ่งในพระคัมภีร์

ลูกเล็ก ๆ ทั้งหลาย
จงรักษาตัวเอง
ให้พ้นจากรูปเคารพ
อาเมน
1 ยอห์น 5:21

 1 โครินธ์ 10:14; 10:7; อพยพ 20:3-4

คำสุดท้ายของท่านยอห์นในจดหมายฉบับนี้สั้น ๆ แต่สำคัญยิ่งนัก เพราะรูปเคารพไม่ได้จำกัดแค่รูปปั้นของเทพพระต่าง ๆ ที่มนุษย์เคารพอีกต่อไป รูปเคารพคือสิ่งที่เราหลงไหล ให้เวลากับมัน สิ่งที่เราอยู่ด้วยจนลืมเวลาของชีวิตไป ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ถ้าเราให้ความสำคัญกับมันมากกว่าพระเจ้าสิ่งนั้นกลายเป็นรูปเคารพของเรา