กิจการ 9 พบผู้ถูกข่มเหงตัวจริง !

ไอเนอัส โดรคัส กับเปโตร

คำอธิบายเพิ่มเติม

กิจการ 9:1-2
เซาโล ผู้เห็นเหตุการณ์วันที่เขาเอาหินขว้างสเทเฟน ได้กลายเป็นคนที่มุ่งมั่นทำลายล้างความเชื่อใหม่ การที่ผู้คนเปลี่ยนในจากศาสนายูดาห์ไปเชื่อพระเยซูที่ใคร ๆ บอกว่าฟื้นขึ้นมาจากตายนั้น เป็นเรื่องรับไม่ได้จริง ๆ ไม่ได้จับผู้เชื่อในเยรูซาเล็มเท่านั้น แต่ยังตามไปทางเหนือถึงเมืองดามัสกัสซึ่งเป็นดินแดนต่างชาติเสียด้วย ​(กิจการ 26:11) เซาโลมั่นใจว่า เขากำลังทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกที่ถือทางใหม่นี้ เทศนาทำให้คนยิวไขว้เขว เขาได้ขอจดหมายจากปุโรหิตเพื่อว่าเขาจะได้จับตัวคริสเตียนที่เข้าไปในศาลาธรรมยิวได้ แล้วจะจับตัวมาขึ้นศาลในเยรูซาเล็ม การทำเช่นนี้เป็นเรื่องภายในของพวกยิว โรมไม่เข้ามาจัดการ
เวลานั้น ยังไม่มีชื่อเรียกคริสเตียน จึงเรียกผู้เชื่อกันว่า คนที่ถือ “ทางนั้น”

กิจการ 9:3-5
เหตุการณ์วันที่เซาโลพบพระเยซูหน้าเมือง เป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง มีเสียงจากฟ้าถามเขาว่า “เซาโล เซาโล เจ้าข่มเหงเราทำไม?”เมื่อเขาถามว่าผู้พูดเป็นใคร เสียงนั้นตอบกลับมาว่า “เราคือเยซู ผู้ที่เจ้าข่มเหง” แสดงว่า การที่เขาข่มเหงคนของพระองค์ คือการข่มเหงพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตของคนเหล่านั้น พระคริสต์กับผู้เชื่อเป็นกายเดียวกัน มีพระองค์เป็นศีรษะ พวกเขาเป็นคนของพระเจ้า ไม่ใช่ตัวเซาโล
ในเหตุการณ์ครั้งนี้ เราอ่านแล้วรู้สึกว่า เซาโลได้ยินแค่เสียงของพระเยซู แต่ใน 1 โครินธ์ 9:1 ได้กล่าวว่า “ข้าไม่ได้เห็นพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราหรือ?” จึงดูเหมือนว่า เขาได้เห็นพระเยซูที่ตรัสกับเขา ไม่ครั้งนี้ ก็ครั้งอื่นที่ไม่ได้บันทึกไว้

กิจการ 9:6-8
พระเจ้าทรงสั่งใ
ห้เขาเข้าเมืองดามัสกัส ดังนั้น เพื่อน ๆที่มาด้วยก็ต้องพาไป เพราะแสงจ้าครั้งนี้ทำให้เขามืดบอดไปทันที และพระเจ้าทรงใช้คนของพระองค์เพื่อช่วยให้เปาโลได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์
แต่หากเราไปอ่านกิจการ 26: 15-18 จะเห็นว่า พระเจ้าตรัสมากกว่านั้น พระองค์ทรงแต่งตั้งให้เขารับใช้ เป็นพยานถึงสิ่งที่เขาได้เห็นเกี่ยวกับพระองค์ และจะส่งเขาไปหาคนยิว คนต่างชาติ เพื่อทำให้พวกเขาเข้ามาสู่ความสว่าง มาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ได้รับการอภัย และรับการชำระ

กิจการ 9:9-11
หลังจากการพบพระเยซูอย่างไม่คาดฝัน พบพระองค์จากแสงสว่างและเสียง เซาโลก็มองอะไรไม่เห็น ใช่แล้ว เป็นเวลาที่ ต้องมองเข้าไปในใจของตนเอง สามวันสามคืนที่ท่านไม่ได้กินดื่มเลย เหตุการณ์นี้ระทึกใจและต้องเปลี่ยนชีวิตไปตลอด แต่ท่านเองก็ยังไม่เข้าใจ… เวลานี้ สิ่งที่ทำได้คือการทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา ทบทวนสิ่งที่พระเจ้าตรัสแก่เขา จากคนที่ข่มเหงพระเจ้า ตอนนี้เขาจะกลายมาเป็นตัวแทนของพระองค์ไปยังชาติต่าง ๆ อย่างไร ทำไมพระเจ้าทรงเลือกที่จะให้เขาเป็นคนที่ทำงานเช่นนั้น แต่สิ่งสำคัญที่เขาทำคือ อธิษฐาน… เซาโลที่กำลังตาบอด อธิษฐานต่อพระเจ้า ขอความเข้าใจในเหตุการณ์ทั้งหมด
แล้วพระเจ้าทรงมาหาอานาเนียในนิมิต เขาเป็นศิษย์ของพระองค์แต่อาศัยในดามัสกัส พระเจ้าทรงสั่งให้เขาทำสิ่งที่ยากมากคือ ไปหาเปาโลผู้เป็นศัตรูตัวร้ายของผู้เชื่อ ถนนตรงคือ ถนนที่เริ่มจากเมืองด้านหนึ่งตรงไปอีกด้าน

กิจการ 9:15-16
แล้วสิ่งที่พระเจ้าทรงตอบมาก็ทำให้อานาเนีย อึ้ง ..​พระองค์จะทรงใช้เซาโลผู้นี้นำคนต่างชาติ กษัตริย์และยิวมาพบพระองค์ และเขาจะต้องทนทุกข์เพื่อพระองค์ ไม่ต้องทัดทานพระเจ้าแล้ว เขาต้องไปทำตามคำสั่งของพระองค์ เราจะเห็นว่า พระเจ้าไม่ทรงกริ้วกับอานาเนีย แต่ทรงอธิบายให้เขาเข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้น แผนการของพระองค์เป็นอย่างไร

กิจการ 9:12-14
พระเจ้าทรงบอกรายละเอียดว่า ตัวเซาโลเองก็เห็นในนิมิตว่าอานาเนีย จะไปพบเขา วางมืออธิษฐานเพื่อเขาจะมองเห็นได้ ในนิมิตนั้น อานาเนีย ทูลค้านพระเจ้าว่า เซาโลผู้นี้เป็นคนทำร้ายคนของพระองค์ แล้วเขาก็มาดามัสกัสเพื่อการนี้ แสดงว่า การมาของเซาโลเป็นที่รู้กันทั่วดามัสกัส

กิจการ 9:17-19
อานาเนียสไม่มีอะไรจะโต้ตอบแล้ว เขาทำตามพระองค์ทันที
อานาเนีย บอกเซาโลว่า พระเจ้าที่ปรากฏแก่เขานั้น เป็นพระเยซูคริสต์ และทรงส่งเขามาอธิษฐานให้ เพื่อจะมองเห็น เพื่อจะเต็มด้วยพระวิญญาณ และเขาวางมือบนเปาโล เรียกเซาโลว่าเป็นพี่น้อง อานาเนียกำลังรับเขาเข้ามาเป็นหนึ่งในชุมชนผู้เชื่อ
ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ อานาเนียได้กล่าวด้วยจากกิจการ 22:14 ทำให้เรารู้ว่า เซาโลทั้งเห็นและได้ยินเสียงองค์พระผู้เป็นเจ้า
เมื่ออธิษฐานก็มีเกล็ดตกออกมาจากตา เซาโลก็มองเห็น เขาจึงได้รับบัพติศมาวันนั้น .. แล้วมีกำลังขึ้นจากอาหารที่พี่น้องเตรียมให้

กิจการ 9:19ข-22
เมื่อเซาโลได้พบอานาเนียส และบัพติศมาแล้ว ก็ยังคงอยู่ที่ดามัสกัสกับพี่น้อง แล้วทำสิ่งที่กล้าหาญมากคือ ประกาศพระนามพระเยซู ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์) ที่ยิวรอกันมานาน ตอนนี้ คนที่มาเพื่อเข่นฆ่าพี่น้องกลับกลายเป็นคนทรยศต่อศาสนายิวไปเสียแล้ว ใคร ๆ ก็สงสัย แต่ยังงุนงงอยู่ ส่วนเซาโลเองก็ไม่ได้กลัวเลย ความมั่นใจของเขานั้นเต็มร้อย พระวิญญาณทรงทำให้เขารู้ตัวว่า ทำผิดต่อพระเจ้าไปมากเพียงไร นี่เป็นเวลาที่เซาโลต้องบอกให้โลกรู้ว่า พระเจ้าแท้จริงคือผู้ใด
คำว่าเขาพิสูจน์ให้คนเห็นว่าพระเยซูคือผู้ใด คือเขานำเรื่องต่าง ๆ มาอธิบายเปรียบเทียบให้เห็น โดยเอาพันธสัญญาเดิมของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับพระเมสสิยาห์มาทำให้พี่น้องได้เห็นความจริงว่า พระเยซูองค์นี้เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงกล่าวถึงในพันธสัญญาเดิมนั้น

กิจการ 9:23-25
หลายวันผ่านไป เซาโลก็ยังประกาศเรื่องพระเยซูนี้ เริ่มชีวิตใหม่ไม่เท่าไร เซาโลก็สร้างศัตรูแล้ว ข่าวประเสริฐแผ่ออกไปทั่วเมือง คิดดูว่า ในเมืองดามัสกัสจะวุ่นเพียงไหน ข่าวเรื่องเซาโลมาทำร้ายแต่พระเจ้าทรงป้องกันพี่น้องไว้ แถมยังให้เซาโลกลับกลายเป็นพวกของพระองค์อีก นี่ทำให้ยิวไม่อาจอยู่นิ่งได้ พวกเขาวางแผนฆ่าเซาโล ทั้งๆ ที่รู้ว่า ถูกหมายหัว แต่ก็ออกจากเมืองไม่ได้เพราะตรงประตูเมืองเป็นจุดนัดสังหารเซาโล แถมยังมีทหารเฝ้าไว้ทั่วเมืองเพื่อจับกุมเขา (อ่าน 2 โครินธ์ 11:32) พวกยิวเหล่านี้ร่วมมือกับเจ้าเมืองเพื่อกำจัดเขา
ดังนั้น คืนหนึ่ง พี่น้องผู้เชื่อจึงจับเขาใส่เข่งใหญ่ หย่อนลงมานอกเมือง สั่งเซาโลหนีไป

กิจการ 9:26
จากดามัสกัส
เซาโลไม่ได้เดินทางกลับมายังกรุงเยรูซาเล็มทันที ถ้าเราอ่านกาลาเทีย 1:16-17 เขาไปยังอาระเบียก่อน เชื่อว่าท่านทำอะไรหลายอย่างในเวลานั้น สิ่งที่หนึ่งที่ทำแน่นอนคือการประกาศพระนามพระเยซู กลับมาดามัสกัสอีกครั้ง ซึ่งทั้งหมดใช้เวลาสามปี จึงเข้าไปเยรูซาเล็ม พบเปโตรและยากอบ ซึ่งเป็นน้องของพระเยซูแต่การที่จะเข้าไปอยู่กับพี่น้องก็มีปัญหา เพราะใครๆ ก็ไม่เชื่อว่าเซาโลกลับใจจริง แม้จะได้ยินเรื่องการกลับใจที่ชัดเจนนอกเมืองดามัสกัส ได้ยินเรื่องการประกาศ และการที่เขาถูกตามฆ่า ทั้งหมดนี้อาจเป็นแผนการที่จะเข้ามาสืบความลับในหมู่พี่น้อง มารู้ว่าใครเป็นใคร และตลบหลังทำร้ายอีกทีก็เป็นได้

กิจการ 9:27-28
แต่มีคนหนึ่งเป็นประกันให้ว่า เซาโลผู้นี้กลับใจจริง และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่น้องฟัง พวกเขาจึงสบายใจขึ้น บารนาบัส เป็นคนที่มีหัวใจของพระคริสต์ เชื่อในความจริงใจของผู้อื่น เป็นคนให้โอกาสคนที่จะรับใช้พระเจ้าเสมอ และการพบครั้งนี้ เป็นใครบ้างก็น่าจะเป็นสองท่านใน กาลาเทีย 1:16-17 เซาโลมีโอกาสที่จะอยู่ด้วยประมาณสองสัปดาห์ เขาเข้านอกออกในอย่างอิสระในเยรูซาเล็ม เท่ากับว่า ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องเต็มที่
สิ่งสำคัญยิ่งคือ เซาโลกล้าในการประกาศพระนามพระเยซู!

กิจการ 9:29-30
แต่แล้วเซาโลก็ไปโต้แย้งกับยิวที่นำความเชื่อ วัฒนธรรมกรีกเข้ามาผสมกับศาสนายิว ในเรื่องของพระเจ้า ทำให้เขาถูกหมายหัวอีกครั้ง ยิวกลุ่มนี้เป็นพวกเดียวกันกับที่เอาหินขว้างสเทเฟน พอเซาโลมาเป็นอย่างนี้ พวกยิวก็พร้อมที่จะฆ่าเขา ดูเหมือนว่า ศัตรูที่มองไม่เห็นของพระเจ้า มักอยู่เบื้องหลังของคนที่ยึดมั่น เคร่งครัดในศาสนาของตน ครั้งนี้พี่น้องคริสเตียนช่วยให้เซาโลได้ไปซีซาริยา และขึ้นเหนือไปทาร์ซัส

กิจการ 9:31
ในช่วงเวลานั้นเอง เมื่อไม่มีเปาโล คริสตจักรก็สงบสุข และยังมีการเปลี่ยนจักรพรรดิโรม องค์ใหม่คือคาลิกูลา ต้องการสร้างรูปปั้นของตนไปไว้ในพระวิหาร จึงเป็นอีกเรื่องที่ดึงความสนใจของเหล่าปุโรหิต ฟาริสีไปจากคริสเตียน เพราะต้องไปสู้กับจักรพรรดิใหม่นั้น

กิจการ 9:32-35
เปโตรไม่ได้ประกาศแค่ในเยรูซาเล็ม แต่เดินทางไปทั่ว และสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่ผู้คนคือ พระเยซูทรงทำการของพระองค์ตลอดเวลา พระวิญญาณทรงอยู่กับเขาในการรักษาโรคทำให้คนได้กลับมาเชื่อพระเจ้ากันมากมาย

กิจการ 9:36-38
ขณะที่เปโตรอยู่ในเมืองลิดดา ที่เมืองใกล้ ๆ ก็มีผู้เชื่อสตรีคนหนึ่งคือ โดรดัสสิ้นชีวิตลง เธอเป็นคนมีชื่อเสียงดีว่ามีน้ำใจยิ่งนัก เป็นที่รักของคนยากจนในเมือง แต่มีคนรู้ว่า เปโตรอยู่ที่เมืองใกล้ ๆ พวกเขาจึงส่งคนไปตามมา รู้ว่า เปโตรจะเป็นผู้ที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ … พระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานของเปโตร

กิจการ 9:39-40ก
เมื่อมีการตามเปโตร .. เปโตรก็มาทันที และเห็นว่าผู้คนเศร้าเสียใจกันมาก เปโตรสั่งให้ทุกคนออกไป
เขาทำเหมือนตอนที่พระเยซูกำลังจะทำให้เด็กหญิงคนหนึ่งฟื้นจากความตาย นั่นคือ ไม่ให้มีใครที่ขาดความเชื่อ หรือเป็นแค่ยิวมุง เข้ามาอยู่ในการอธิษฐาน

กิจการ 9:40ข-43
เขาอธิษฐานต่อพระเจ้า เขาอธิษฐานเหมือนที่พระเยซูทำกับเด็กหญิง เขาเรียกชื่อเธอ และบอกให้ลุกขึ้น และพระเจ้าทรงตอบ โครคัสฟื้นขึ้นมาจากความตาย และคนในเมืองยัฟฟาก็กลับใจมาเชื่อพระเจ้า โดยที่พวกเขามารวมตัวกันที่บ้านของซีโมน ผู้เชื่อคนหนึ่งที่เป็นช่างฟอกหนัง เราจะเห็นการทำงานของพระเจ้า และการตอบสนองของผู้คน การทำงานต่อในการสอนของอัครทูต เหล่านี้ไปด้วยกันเป็นขบวนการสร้างชีวิตใหม่ของพระเจ้า
อย่างที่พระเยซูทรงบอกไว้ในยอห์น 14:12 ว่า ผู้ที่เชื่อในเรา จะทำในสิ่งที่เราทำอยู่ และคำของพระองค์ก็เป็นจริงในมือของเปโตร! และงานของพระเจ้าก็เกิดผลในเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กัน ในบทต่อไปเราจะเห็นงานของพระเจ้าขยายไปอีกพื้นที่

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 7:57; 8:1,3; 26:10,11
2* กิจการ 22:5
3* 1 โครินธ์ 15:8
4* มัทธิว 25:40
7* กิจการ 22:9;26:13
10* กิจการ 22:12
11* กิจการ 21:39; 22:3
13* กิจการ 9:1
14* กิจการ 7:59; 9:2,21
15* เอเฟซัส 3:7,8; โรม 1:5; 11:13; กิจการ 25:22,23; 26:1; โรม 1:16; 9:1-5
16* กิจการ 20:23; 2 โครินธ์ 4:11

17* กิจการ 22:12,13; 8:17; 2:4; 4:31; 8:17; 13:52
19* กิจการ 26:20
21* กาลาเทีย 1:13,23
22* กิจการ 18:28
23*2 โครินธ์ 11:26
24* 2 โครินธ์ 11:32
25* โยชูวา 2:15
26* กิจการ 22:17-20; 26:20
27* กิจการ 4:36; 13:2; 9:20,22
28* กาลาเทีย 1:18

29* กิจการ 6:1; 11:20; 2 โครินธ์ 11:26
31* กิจการ 5:11; 8:1; 16:5; เอเฟซัส 4:16,29; สดุดี 34:9; ยอห์น 14:16; กิจการ 16:5
32* กิจการ 8:14
34* กิจการ 3:6, 16; 4:10
35* 1 พงศาวดาร 5;16; 27:29; กิจการ 11:21; 15:19
36* 1 ทิโมธี 2:10
37* กิจการ 1:13; 9:39
40* มัทธิว 9:25; กิจการ 7:60; มาระโก 5:41-42
42* ยอห์น 11:45
43* กิจการ 10:6

กิจการ 8 พระวิญญาณ ฟีลิป กับขุนนาง

จากร้ายกลายเป็นดี

คนสำคัญจากเอธิโอเปีย

อธิบายเพิ่มเติม

ร้ายกลายเป็นดี
กิจการ 8:1-3
การสิ้นชีวิตของสเทเฟนส่งผลให้กับชุมชนคริสเตียนยุคแรกเป็นอย่างมาก ยังมีคนที่รักพระเจ้าซึ่งได้ช่วยทำศพของสเทเฟนอย่างมีเกียรติ
ศัตรูตัวร้ายสุดก็คือ เซาโลที่พยายามทำลายคริสตจักรของพระเจ้าเพราะความเชื่อมั่นว่า คริสเตียนกำลังทำผิดต่อพระเจ้าที่เขาเชื่ออยู่
เขาเห็นด้วยกับพวกยิวที่ประหารสเทเฟนโดยการใช้หินขว้างจนตาย ไม่ใช่ย่อยเลย เซาโลคนนี้ เขาน่าจะได้ยินคำอธิบายของสเทเฟนทั้งหมด (ในบทที่ 7) สิ่งที่เขาทำคือ การออกไปตามบ้านและลากตัวผู้เชื่อออกไปจำคุก ไม่ใช่แค่ผู้ชายเท่านั้น แต่ทั้งผู้หญิงซึ่งต้องเป็นคนดูแลลูก ๆ ด้วย ได้ยินแค่ชื่อของเขาใคร ๆ ก็กลัวตัวสั่นแล้ว การข่มเหงของเซาโลและพรรคพวก ทำให้คริสเตียนหนีกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ประเทศอิสราเอล
กิจการ 8:4-8
แต่คนที่ย้ายถิ่นไปนั้น ไม่ได้อยู่เฉย พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าไปตามทาง ทั้ง ๆที่หนีออกมาเพราะกลัวตาย แต่กลายเป็นว่า ข่าวดีของพระเยซูคริสต์กลับได้ถูกเผยแผ่ไปทั่วอย่างไม่คาดฝัน พวกเขาหว่านพระคำของพระเจ้าไปทุกแห่งที่เขาหนีไปอยู่ ในขณะที่คนยิวทั่วไปมองคนสะมาเรียเป็นลูกครึ่งที่น่ารังเกียจ คริสเตียนกลับมองพวกเขาเป็นพี่น้องที่ต้องการพระเจ้าเหมือนกับพวกเขา
ที่สำคัญคือ ฟีลิป หนึ่งในอัครทูตก็ได้ไปประกาศที่สะมาเรียทางเหนือด้วย ปรากฏว่า พระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์ผ่านเขามากมาย ผู้คนต่างตื่นเต้นและได้รับการช่วยเหลือมาก คิดดูสิ คนง่อยเดินได้ คนผีสิงก็เป็นอิสระ นี่เป็นสุดยอดของชีวิตแล้ว พวกเขาไม่เคยเจออะไรที่มหัศจรรย์แบบนี้มาก่อน แม้ว่าจะมีพวกพ่อมด หมอผีอยู่ในเมืองของพวกเขา ผู้คนในเมืองต่างพากันยินดียิ่งนักกับเหตุการณ์เหล่านี้
กิจการ 8:9-13
ชายคนหนึ่งชื่อซีโมนเป็นคนทำวิทยาคม ซีโมนสนใจหมายสำคัญต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากกว่าปกติ ซีโมนคนนี้ถูกมองว่า เป็นคนมาจากพระเจ้า อำนาจของเขาที่ใคร ๆ เห็นไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากศัตรูของพระองค์
ซีโมนก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่แล้ว เมื่อเขาได้ยินเรื่องของพระเยซู เขาก็กลับใจพร้อมกับชาวเมืองหลายคน และรับบัพติศมาประกาศว่าเขารับเชื่อพระเยซูด้วย
กิจการ 8:14-17
เมื่อผู้ใหญ่ในชุมชนคริสเตียนได้ข่าวเรื่องการรับเชื่อของชาวสะมาเรีย ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ชาวยิวจงเกลียดจงชัง พวกเขาจึงส่งยอห์นและเปโตรให้ไปอธิษฐานเพื่อพวกเขาจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า .. เราไม่ทราบว่า การที่พวกเขารับพระวิญญาณนั้น มีอะไรเป็นเครื่องบอกว่า เขาได้รับแล้ว น่าจะเป็นของประทานฝ่ายพระวิญญาณต่าง ๆ ที่ช่วยสร้างชุมชนคริสเตียนขึ้นในเขตสะมาเรีย
กิจการ 8:18-20
ต้องมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นจากการรับพระวิญญาณครั้งนี้ เพราะซีโมนได้เห็นว่า เมื่อคนรับพระวิญญาณชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป เขาจึงอยากได้พระวิญญาณแบบที่อัครทูตมีด้วย ความต้องการดี แต่แรงจูงใจของซีโมนนั้นน่าชังมาก เป็นคนที่เฉียบแหลมในการหาเงิน เขาจึงมาขอลงทุนซื้อฤทธิ์แห่งพระวิญญาณจากอัครทูต!! เขาเข้าใจว่าพระวิญญาณเป็นพลังที่ซื้อขายได้ เขาต้องการเป็นผู้ควบคุมพระวิญญาณเพื่อจะได้กำไรเข้ากระเป๋าตัวเอง
ความเข้าใจผิดของซีโมนยังคงมีอยู่ในพี่น้องทุกวันนี้ หลายคนไม่เข้าใจว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือองค์พระเจ้าเอง พระองค์ไม่ใช่พลังทางฟิสิกส์ที่เราจะเอามาทดสอบ หรือควบคุมด้วยวิธีต่าง ๆ จึงมีการสร้างบรรยากาศการรับพระวิญญาณที่มาจากการปรุงแต่ง สร้างบรรยากาศที่ดูหวือหวาสารพัดแบบ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่แต่ละคนจะต้องรู้จักสังเกตว่า อะไรจริง อะไรเท็จ เมื่อพระวิญญาณทรงประสงค์จะทำให้ใครรู้จักพระเจ้า ให้เขาสำนึกผิด พระองค์จะทำตามพระทัยนั้นโดยที่เราไม่ทราบว่า พระองค์ทรงทำอย่างไร เมื่อไร อย่างที่พระเยซูทรงเปรียบพระวิญญาณกับลม (ยอห์น 2:7-8)
เราได้รับพระวิญญาณและของประทานจากพระเจ้า ด้วยความเชื่อและเชื่อฟังพระองค์ ในเวลาที่พระองค์ทรงเห็นสมควรสำหรับแต่ละคน
กิจการ 8:21-25
เปโตรจัดการเรื่องนี้ทันที ไม่ปล่อยให้มีการเล่าลือกันไปในหมู่พี่น้อง ท่านบอกซีโมนตรง ๆ ว่า เขาจะพินาศแน่ถ้าคิดอย่างนี้ …​
ใจของซีโมนไม่ถูกต้อง ..ในสายพระเนตรของพระเจ้า
 น่าสนใจคำนี้ เมื่อเราแสวงหาพระเจ้า ใจของเราถูกต้องกับพระองค์หรือเปล่า
เราจำเป็นต้องสำรวจตัวเอง
แล้วเปโตรก็ให้โอกาสกับเขากลับใจใหม่ อธิษฐานขอพระเจ้าทรงยกโทษ ท่านสังเกตวิญญาณได้ว่า ในตัวของซีโมนนั้น แม้ว่าจะเข้ามาเชื่อพระเจ้า ติดตามฟีลิปอยู่ แต่ในใจของเขายังมี ความขมขื่นใจงอกอยู่ และยังความผิดบาปตกค้างอยู่ด้วย เป็นบาปและความขมขื่นที่ยังไม่ได้จัดการให้สิ้นซาก
ซีโมนได้รับบัพติศมา รับเชื่อและประกาศว่าเขาเป็นผู้เชื่อแล้วก็จริง เขาได้แสดงให้เห็นว่าเขาติดตามพระเจ้าแล้วก็จริง แต่ไม่มีใครเห็นสิ่งที่ฝังอยู่ในใจของเขาจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ที่ท่านลูกาได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ ทำให้เราเองต้องสำรวจตัวเองด้วยว่า ยังมีความบาป ความขมขื่นที่ตกตะกอนอยู่ในชีวิตหรือไม่ เพื่อเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่จากพระเจ้าเต็มร้อย
แล้วซีโมนก็ได้กลับใจอีกระดับ เขาเข้าใจแล้ว ..​ความรักเงินของเขา บาปที่ยังค้างคาอยู่จะทำให้เขาพินาศ เขาจึงขอที่จะกลับใจ ขอพระเจ้าทรงยกโทษให้
ดินแดนสะมาเรียที่ขาดพระกิตติคุณ ในเวลานี้ก็ได้รับฝนแห่งพระกิตติคุณโปรยลงในแผ่นดินเพราะการที่พี่น้องกระจัดกระจายออกไปเนื่องจากการข่มเหงของเซาโล

คนสำคัญจากเอธิโอเปีย
กิจการ 8:26-28
พระวิญญาณทำการของพระองค์โดยทรงให้กำลังกายใจ โอกาสแก่พี่น้องคริสเตียน ตามคำของพระเยซูในกิจการ 1:8 ที่พวกเขาจะได้ออกไปประกาศจากเยรูซาเล็มไป ยูเดีย สะมาเรีย และสุดปลายแผ่นดิน
จากสะมาเรีย พระวิญญาณทรงสั่งให้ฟีลิปออกไปตามถนนที่ลงไปทางใต้
บนถนนนั้น ฟีลิปพบขุนนางชาวเอธิโอเปีย ซึ่งเป็นชนชาติที่ผิวดำ ในสมัยนั้น คนยิว คนโรมจะชื่นชอบคนเอธิโอเปียมาก ( จากหนังสือ Acts:John Knos Press, หน้า 72) เขาเป็นขุนนางและเป็นขันทีด้วย แต่เขาเป็นคนที่ในสายตาของยิวคือ คนสุดปลายแผ่นดิน … เขากำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่ ช่างเป็นคนที่น่านับถือจริง ๆ รถวิ่งไปก็ขยับขลุกขลักไป แต่เขาก็ไม่ได้ให้เป็นอุปสรรคกับการอ่านเลย
กิจการ 8:29-31
พระวิญญาณทรงทำการของพระองค์ต่อไป ทรงสั่งให้ฟีลิปเข้าไปใกล้ ๆ จนได้ยินเสียงที่ขุนนางกำลังอ่าน .. โอ เป็นพระธรรมอิสยาห์นั่นเอง แสดงว่าท่านได้หนังสือม้วนนี้มาใหม่ จากเยรูซาเล็มแน่เลย ..
ฟีลิปถามท่านตรง ๆ ว่า อ่านแล้วเข้าใจไหม ..​เขาก็ไม่ได้อวดตัวสักนิด แต่ยินดีที่จะให้คนรู้ อธิบายให้ฟัง เขาคนนี้น่าจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในเอธิโอเปีย เพราะทั้งฉลาดและพร้อมที่จะเรียน… ขุนนางผู้ดูแลการคลังในวังกำลังจะได้เรียนจากลูกของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
เขาเป็นคนต่างชาติที่เพิ่งกลับจากการนมัสการพระเจ้าในเยรูซาเล็ม เขาเป็นหนึ่งในคนต่างชาติที่ยำเกรงพระเจ้า และเป็นขันทีด้วย ซึ่งหมายความว่า เขาเป็นคนต้องห้ามในกฎของโมเสส คือชายที่ถูกตัดอวัยวะสืบพันธ์ุไม่ให้เข้าร่วมในที่ประชุมของพระเจ้า (เฉลยธรรมบัญญัติ 23:1) ชายคนนี้ เป็นทั้งคนต่างชาติ เป็นคนที่มีอวัยวะผิดปกติ แต่พระเจ้าทรงพร้อมที่จะรับเขาเป็นลูกของพระองค์
กิจการ 8:32-34
สิ่งที่เขาสงสัยคือ ผู้เขียนอิสยาห์เขียนถึงตัวเองหรือเขียนถึงผู้อื่นกันแน่ แกะที่ไม่ปริปากนี้หมายถึงใคร ในสมัยโบราณ การเล่าเรื่องมีการใช้คำเปรียบเทียบเยอะมาก ซึ่งทำให้คนที่อ่านจะต้องไขปริศนาว่า ใครเป็นใครในเรื่อง เป็นโอกาสดีที่ฟีลิปจะบอกเขาว่า ท่านอิสยาห์กำลังพูดล่วงหน้าถึงพระเยซูคริสต์ที่ทรงสิ้นพระชนม์ไปไม่นานนี้ แล้วใครจะเป็นคนอธิบายพระกิตติคุณไปได้ดีกว่าคนที่อยู่กับพระเยซูมาหลายปีเช่นฟีลิป?
กิจการ 8:35-39ก
น่าประหลาดมาก พวกเขากำลังเดินทางในทะเลทราย แต่ข่าวดีเรื่องพระเยซูจับใจขุนนาง และเขาพร้อมที่จะรับเชื่อ พร้อมประกาศว่าเขาเป็นผู้ติดตามพระเยซู พระเจ้าได้จัดเตรียมบ่อน้ำให้เขาทั้งสองในเวลานั้น เป็นธารน้ำที่ร้างห่างไกล นี่เป็นการอัศจรรย์สำหรับการประกาศให้กับชาวอัฟริกันคนแรกนี้
กิจการ 8:39ข-40
พอรับบัพติศมาเสร็จ ทั้งสองขึ้นจากน้ำ พระเจ้าก็ทรงรับฟีลิปไปเลย ..​แน่นอน พระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงสอนขุนนางผู้แสวงหาพระเจ้าคนนี้ต่อไป ตามคำสัญญาของพระเยซูที่ว่าพระวิญญาณจะทรงสอนให้รู้ทุกสิ่ง เขาเดินทางกลับประเทศอย่างมีความสุขล้น มีเรื่องราวนอกพระคัมภีร์เล่าต่อว่า เขาผู้นี้ได้ประกาศพระนามพระเจ้าให้กับคนในประเทศของเขาต่อไปด้วย 
ส่วนฟีลิป ไปโผล่ที่เมือง อาโซทัส ประกาศที่นั่น และเดินทางขึ้นเหนือจนถึงซีซาริยา

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 8:4; 11:19
2* ปฐมกาล 23:2
3* ฟีลิปปี 3:6
4* มัทธิว 10:23
5* กิจการ 6:5; 8:26,30
7* มาระโก 16:17
9* กิจการ 8:11; 13:6; 5:36
12* กิจการ 1:3; 8:4
14* กิจการ 5:12, 29, 40
15* กิจการ 2:38; 19:2

16* กิจการ 19:2; มัทธิว 28:19; กิจการ 10:48;19:5
17* กิจการ 6:6. ;19:6
20* มัทธิว 10:8; กิจการ 2:38; 10:45; 11:17
21* เยเรมีย์ 17:9
22* 2 ทิโมธี 2:25
23* ฮีบรู 12:15
24* ยากอบ 5:16
26* กิจการ 6:5

27* สดุดี 68:31; 87:4; ยอห์น 12:20
32* อิสยาห์ 53:7-8; ยอห์น 12:20
33* ลูกา 23:1-25; 213:33-46
35* ลูกา 24:27 
36* กิจการ 10:47;16:33
37* มาระโก 16:16; มัทธิว 16:16
39* เอเสเคียล 3:12,14
40* กิจการ 21:8

1 โครินธ์ 2 สติปัญญาแบบไหนดี?

พระคริสต์ทรงถูกตรึง

พี่น้องเอ๋ย เมื่อข้ามาหาท่านเพื่อประกาศเรื่องที่ล้ำลึกนั้น ข้ามิได้ใช้คำที่ถูกใจท่านหรือด้วยสติปัญญา เพราะข้าตั้งใจว่า
จะไม่แสดงความรู้ใด ๆ แก่พวกท่านเลย ยกเว้นเรื่องพระเยซูคริสต์ และการที่ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน

ครั้งที่อยู่กับท่าน ข้าทั้งอ่อนแอ หวาดหวั่นและกลัวมาก คำพูดและคำเทศนาของข้าไม่ได้เป็นคำชักชวนด้วยปัญญา แต่เป็นคำแห่งฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ เพื่อว่าท่านจะไม่ได้เชื่อเพราะปัญญาของมนุษย์
แต่เชื่อเพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้า  1 โครินธ์ 2:1-5

Rembrandt (1653)
The Three Crosses

สติปัญญาฝ่ายวิญญาณ

ท่ามกลางคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วนั้นเรากล่าวถึงสติปัญญา ซึ่งไม่ใช่ปัญญาของยุคนี้ หรือของผู้มีอำนาจปกครองยุคนี้ ซึ่งถูกกำหนดให้ต้องสูญสิ้นไป แต่เรากล่าวถึงพระปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นความลึกลับซับซ้อนที่ทรงซ่อนไว้เป็นพระปัญญาที่ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า
ก่อนการทรงสร้างโลก
เพื่อเป็นศักดิ์ศรีของเรา ไม่มีผู้มีอำนาจปกครองผู้ใดในยุคนี้ เข้าใจพระปัญญา เพราะว่าหากพวกเขารู้ พวกเขาจะไม่ตรึงองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริไว้บนไม้กางเขน
1 โครินธ์ 2:6-8

อย่างที่มีคำเขียนไว้ว่าบรรดาสิ่งที่ไม่มีตาดวงใดได้เห็น
หูไม่ได้ยิน ความคิดไม่อาจคาดถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้
สำหรับคนที่รักพระองค์ พระเจ้าทรงเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ให้เรา
โดยทางพระวิญญาณ เพราะพระวิญญาณทรงสืบค้นทุกสิ่ง
รวมถึงความล้ำลึกทั้งหลายของพระเจ้า
มีคนใดหรือที่จะรู้ความคิดของคนอื่นได้ นอกจากวิญญาณในตัวเขาเอง? เช่นกัน ไม่มีใครอาจหยั่งถึงพระดำริในพระทัยได้นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น เรามิได้รับเอาวิญญาณของโลก แต่รับพระวิญญาณผู้ทรงมาจากพระเจ้า เพื่อจะได้รู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เรารู้ได้
1 โครินธ์ 2:9-12

ซึ่งเป็นสิ่งที่มิได้สอนด้วยปัญญาของมนุษย์ แต่พระวิญญาณทรงเป็นผู้สอน เป็นการอธิบายความจริงฝ่ายวิญญาณแก่ผู้ที่มีพระวิญญาณ คนทั่วไปไม่อาจรับสิ่งที่มาจากพระวิญญาณของพระเจ้าได้ เพราะพวกเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่เขลา พวกเขาไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย เพราะการจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ต้องพึ่งพาการหยั่งรู้จากพระวิญญาณ คนฝ่ายวิญญาณนั้น สามารถเข้าใจลึกซึ้งถึงทุกอย่างได้ แต่ไม่อาจมีใครเข้าใจเขาได้ เพราะว่า “ใครเล่า ที่หยั่งรู้ถึงพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนจะสอนพระองค์ได้อย่างไรก็ตามเรามีความคิดขององค์พระคริสต์อยู่”
ถอดความจาก 1 โครินธ์ 2:13-16

อธิบายเพิ่มเติม
พระคริสต์ทรงถูกตรึง


1 โครินธ์ 2:1-2
การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูนั้น เป็นภาพการถูกลงโทษที่น่าอับอายเป็นที่สุดแต่แล้ว เหตุการณ์นี้ กลับกลายเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตมนุษย์ จากคนบาป
ไปสู่การเป็นบุตรของพระเจ้าท่านเปาโลบอกแล้วว่า สิ่งที่โลกมองว่าอ่อนแอและไร้ปัญญา เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเลือกที่จะให้เป็นฤทธิ์เดชที่สร้างชีวิตใหม่
1 โครินธ์ 2:3-5
เป้าหมายของท่านเปาโลในการเทศนาคือ เพื่อแสดงให้เห็นถึงฤทธิ์เดชของพระวิญญาณในการ
เปลี่ยนชีวิตมนุษย์ ท่านไม่ได้ใช้โวหารของท่าน ไม่ใช้การอัศจรรย์ หมายสำคัญใด ๆ เมื่อท่าน
เดินทางไปประกาศพระนามตามที่ต่าง ๆ แถบเอเชียน้อยจนถึงโรมนั้น ท่านมีความชัดเจนว่า
ความเชื่อที่เกิดขึ้นในหัวใจของผู้ฟัง เกิดจากฤทธิ์ของพระเจ้า ไม่ใช่จากโวหารอันเลิศเลอ หรือการหลอกว่าจะได้ผลประโยชน์ใด ๆ

สติปัญญาฝ่ายวิญญาณ

1 โครินธ์ 2:6
ในสายตาคนทั่วไป ไม้กางเขนเป็นสิ่งที่ดูโง่เขลา เหตุใดพระเจ้ามาสิ้นพระชนม์ราวกับผู้พ่ายแพ้
? แต่พระเจ้าทรงรู้ดีว่า ปัญญา หรืออำนาจของผู้ปกครองในแต่ละยุคสมัย ก็ต่างสูญสิ้น หมดพลังไป ไม่ได้อยู่เนิ่นนาน ในขณะที่พลังแห่งไม้กางเขนเมื่อสองพันปีที่แล้วยังทรงพลังแม้ในนาทีนี้ และจะทรงพลังเต็มด้วยฤทธิ์เดชจนนิรันดร์กาล
1 โครินธ์ 2:7
พระปัญญาของพระเจ้านั้น ดำรงอยู่มาก่อนปฐมกาลและจะดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีวันสิ้นสุด มั่นคง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างปัญญาของมนุษย์ที่มักจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย มาตรฐานความดี
งามของยุคต่าง ๆ ก็ไม่เหมือนกัน และดูเหมือนจะลดลงไปจนกลายเป็นว่า ดีเป็นชั่ว ชั่วเป็นดี
สิ่งที่น่าสนใจคือ พระปัญญาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้นั้น เป็นศักดิ์ศรีของเรา และรู้ไหม พระปัญญานี้เป็นบุคคล และบุคคลนั้นคือ พระเยซูคริสต์
1 โครินธ์ 2:8
อย่าลืมว่า ศัตรูของพระเจ้าพยายามทำลายทั้งชนอิสราเอลและพระเยซูมาแต่ไหนแต่ไร เริ่มจากสวนเอเดน การพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุในสมัยเอสเธอร์การพยายามฆ่าพระเยซูตอนที่พระองค์เพิ่งบังเกิดเป็นมนุษย์ การพยายามฆ่าตอนที่มารไปล่อหลอกพระเยซูในถิ่นกันดาร
แต่ศัตรูของพระเจ้าไม่ได้รู้ว่า การสิ้นพระชนม์ คือชัยชนะ พระองค์ได้ประจานและพิชิตพวกเขาด้วยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน (โคโลสี 2:15)

1 โครินธ์ 2:9 ความหวังของท่านเปาโล อยู่ที่พระเจ้าเท่านั้นสภาพของคริสตจักรโครินธ์อาจดูเหมือนว่าทำบาปจนรั้งไม่อยู่ แต่ละคนก็มีความคิดในทางมืดแตกต่างกันไป มีคนทำชั่วยิ่งกว่าคนไม่เชื่อท่านเปาโลหวังว่า สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดได้ ไม่เข้าใจ คิดไม่ถึง เราจึงต้องหวังใจอย่างท่านเปาโลว่า ไม่ว่าชุมชนของพระเจ้าจะตกลงไปแค่ไหน เราก็ยังต้องสู้เพื่อนำพวกเขากลับมาอยู่ในพระคุณของพระเจ้าต่อไป
1 โครินธ์ 2:10
เรื่องราวต่าง ๆ ของพระเจ้านั้น เราไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตนเอง การเรียนรู้ ความพยายามที่
จะเข้าใจพระคำของพระเจ้านั้น เป็นได้ในระดับหนึ่งแต่ตรงนี้ท่านเปาโลกล่าวถึงความล้ำลึกของ
พระเจ้าที่ยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่ได้ถูกเปิดเผยจะรู้ จะเข้าใจได้ ก็ต้องรับการเปิดเผยจากพระเจ้าเท่านั้น และจะไม่ขัดต่อพระคำของพระองค์การเปิดเผยของพระเจ้าไม่ใช่นาน ๆ เกิดที แต่เกิดขึ้นเป็นประจำวันสำหรับคนที่รักพระองค์
1 โครินธ์ 2:11
นี่เป็นสิทธิพิเศษที่พระเจ้าประทานให้กับคนที่เชื่อวางใจในพระองค์ พวกเขาจะมีความเข้าใจพระคำในสิ่งที่คนอื่นไม่อาจเข้าใจ พวกเขาเชื่อ และรับฤทธิ์แห่งพระคำก็โดยพระวิญญาณของพระเจ้าทรงทำให้เกิดขึ้น และพระเจ้าไม่ได้ทรงพอพระทัยที่จะประทานความเข้าใจพิเศษให้กับคริสเตียนกลุ่มใดๆ ที่อ้างว่าพวกเขารู้มากกว่าคนอื่น ที่แต่ละคนรู้ได้ก็เพราะพระเจ้าเป็นผู้สำแดงที่ไม่อาจเอามาอ้างเป็นญาณพิเศษส่วนตนได้
1 โครินธ์ 2:12
จะเรียนรู้เรื่องของพระเจ้า มีทางเดียวต้องเรียนจากพระวิญญาณของพระเจ้าจึงสำเร็จ การรู้แค่
ตัวหนังสือ รู้เรื่องราว รู้หลักการของพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ไม่ได้ยากเย็น แต่สิ่งที่ยากสำหรับเราคือ
การที่จะเชื่อมั่นคง วางใจในพระคำนั้น การได้ฤทธิ์เดชการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากพระคำ ซึ่งไม่มี
ใครให้ได้นอกจากพระวิญญาณของพระเจ้า

1 โครินธ์ 2:13
ถ้าไม่มีการสำแดงจากพระวิญญาณแล้ว มนุษย์เราจะไม่รู้จักพระทัยของพระเจ้าเลย จะเข้าไม่ถึง
ความคิดอันสูงส่งของพระเจ้า แล้วเราก็จะเหมือนคนทั่วไปที่มีแต่วิญญาณของโลก พระวิญญาณ
ทรงเป็นผู้สอนความจริงฝ่ายวิญญาณให้กับผู้เชื่อผู้ที่ได้เกิดใหม่แล้วโดยพระวิญญาณ อ่านพระคัมภีร์ต่อไปนี้ เราจะเห็นความเชื่อมโยงทั้งหมด ยอห์น 3:6, 14:15-31, 16:13,1 ยอห์น2:20
1 โครินธ์ 2:14
การเข้าใจพระคำของพระเจ้าแท้จริงนั้น ส่งผลให้เกิดการเชื่อ และเชื่อฟัง ไม่ใช่รู้เฉย ๆ แล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้เรื่องราวในพระคัมภีร์เป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับทุกคน คนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า แต่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องพระคัมภีร์ก็มีไม่ใช่น้อย บางคนเก่งกว่าคริสเตียนที่ไม่ได้ตั้งใจรู้จักพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ แต่พอเขารู้ เขาไม่อาจรับได้เลย เพราะใจลึก ๆ ของเขารู้สึกว่าพระคำของพระเจ้าเป็นเรื่องโง่เขลา
1 โครินธ์ 2:15-16
ที่จริงพระเจ้าได้ประทานปัญญากับมนุษย์มากมายสามารถค้นพบสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติเอามาใช้ประโยชน์มหาศาล แต่ในทางฝ่ายวิญญาณ เขาไม่อาจเข้าใจได้ ถ้าพระเจ้าไม่เปิดเผยให้ทราบ
เขาก็ยังรู้ถึงพระองค์ ไม่หมดคนที่เป็นคนฝ่ายวิญญาณมีความคิดของพระเจ้าอยู่ในตัวได้จากการที่เขาใกล้ชิดพระเจ้า มีความสัมพันธ์สนิทกับพระองค์ และเรียนรู้พระองค์มา โดยตลอด

ยอห์น 21 พบกันที่กาลิลี

โอกาสบอกรัก เปโตรคืนดี….

คำอธิบายเพิ่มเติม พบกันที่กาลิลี
ยอห์น 21:1-3
ทะเลสาบทิเบเรียสเป็นอีกชื่อของทะเลสาบกาลิลีทางเหนือของอิสราเอล
หลังจากที่พบพระเยซูในห้องแล้ว พวกเขาก็ชวนกันไปจับปลา สิ่งที่เห็นชัดเจนมากคือเปโตรเป็นคนมีลักษณะทำอะไรรวดเร็ว พุ่งไปข้างหน้าและมีความเป็นผู้นำที่เพื่อน ๆ จะทำตาม เขาเป็นคนที่ต้องได้รับการปั้นให้เป็นผู้นำที่ใช้การได้ กล้าหาญ และสามารถช่วยให้คนอื่นมีชีวิตที่ดีขึ้น
เราไม่ทราบเหตุผลจริง ๆ ที่ไปจับปลา ขาดเงิน ไม่รู้จะทำอะไร หรือ ในเมื่อต้องมารอพระเยซูตามที่ทรงบอกไว้ก็น่าจะหาอะไรทำไปด้วย แต่จากการจับปลาครั้งนี้ พวกเขาต้องผิดหวังมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นชาวประมงมาก่อน น่าจะได้อะไรบ้าง
ยอห์น 21:4-6ก
มีใครคนหนึ่งปรากฏตัวที่หาดทราย ถามคำถามง่าย ๆ และเมื่อพวกเขาตอบว่าไม่มีปลา ก็ชวนให้เขาโยนอวนลงทางขวามือของเรือ …​พอเขาผู้นี้บอก เหล่าศิษย์ก็ทำตามทันทีไม่ได้คิดอะไรมาก
ยอห์น 21:6ข-7
แล้วยอห์น คิดเร็วมาก จำได้ว่า พระเยซูเคยทำอย่างนี้กับพวกเขามาก่อนครั้งหนึ่ง จึงบอกกับเปโตรว่า นั่นคือพระเยซู เปโตรจึงเห็นด้วย กระโจนลงจากเรือมาหาพระองค์ก่อนใคร เขาดีใจมาก
ดูสิ ยอห์นสังเกต และสรุปได้เร็ว แต่คนที่พุ่งลงมาจากเรือคือเปโตร ลักษณะนิสัยของทั้งสองต่างกันมาก ตรงนี้เราเห็นเลยว่า ผู้รับใช้ของพระเจ้าอาจจะมีลักษณะนิสัยต่างกัน แต่พระเจ้าทรงรักและส่งแต่ละคนไปทำงานได้เช่นกัน …​
ยอห์น 21:8-10
ส่วนเพื่อน ๆ ค่อย ๆ ลากเรือตามมา พระเยซูทรงจุดไฟเพื่อย่างปลาให้แล้ว พระเยซูไม่ได้ทรงรอให้พวกเขาคอยปรนนิบัติ แต่พระองค์ทรงทำให้พวกเขาที่เหน็ดเหนื่อยอยู่ได้รู้สึกทั้งดีใจและอิ่มอกอิ่มใจ
พระเยซูทรงปรากฏพระองค์อย่างเป็นธรรมชาติมาก ไม่ได้เป็นภาพลวงตา แต่ทรงกินอาหารเช้ากับพวกเขาบนหาดทราย พวกศิษย์ไม่ได้ตาฝาดไป ใช่.. พระองค์สิ้นพระชนม์บนกางเขน ใช่.. มีการเก็บพระศพเอาไว้ แต่วันนี้เป็นครั้งที่สามที่เขาได้พบพระเยซูผู้ทรงคืนพระชนม์ขึ้นมาแล้วจริง ๆ
ยอห์น 21:11-12
พวกเขานับปลาได้ 153 ตัว ซึ่งมากเกินพอสำหรับพวกเขา มีพอให้กับคนอื่น ๆ ในช่วงแรกที่พระเยซูทรงเรียกให้เขาเป็นศิษย์ของพระองค์ ทรงชวนให้เขาตามพระองค์ไปนั้น พระองค์เคยทำอย่างนี้กับพวกเขาหนหนึ่ง ทรงให้ถอยไปที่น้ำลึก แล้วจับปลาอีกครั้งหลังจากที่เขาหาปลาทั้งคืนไม่ได้เลย (ลูกา 5:1-11) พระเยซูทรงย้ำให้พวกเขารู้ว่า แม้ในงานมือ งานหนักที่เราทำอยู่ พระองค์ก็ทรงช่วยเราได้ให้ประสบความสำเร็จ หากเราฟังเสียงของพระองค์ การจับปลาครั้งสุดท้ายนี้ ช่วยเน้นย้ำให้เขารู้ว่า พระเยซูจะทรงให้เขาเป็นผู้จับคน แทนการจับปลา อย่างที่ทรงบอกไว้ตั้งแต่ครั้งแรกนั้น
ยอห์น 21:13-14
นี่เป็นครั้งที่สามที่พระเยซูปรากฏพระองค์แก่เขา การคืนพระชนม์นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า พระองค์ทรงทำการที่พระเจ้าทรงใช้พระองค์มาทำจนสำเร็จลุล่วง การได้กินอาหารร่วมกับพระองค์ในครั้งนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิตของศิษย์ทุกคน เขาเห็นพระเจ้าและเจ้านายของเขา เขาได้แตะต้องร่างของพระองค์ เขาได้นั่งล้อมวงกับพระองค์ คุยกับพระองค์จริง ๆ เปโตรได้บอกเราชัดเจนใน 1 เปโตร 1:3 ว่า “ถวายพระพรแด่พระเจ้าคือพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา!พระองค์ทรงให้เราเกิดใหม่ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่เข้ามาสู่ความหวังที่มีชีวิตโดยการที่พระเยซูคริสต์ทรงคืนชีพจากความตาย
โอกาสบอกรัก เปโตรคืนดี
ในเมื่อเปโตรได้ปฏิเสธพระเยซูสามครั้งต่อหน้าคนหลายคน พระเยซูทรงให้โอกาสเขาที่จะตอบรับ เปลี่ยนคำที่พลาดไปนั้นสามครั้งต่อหน้าคนอื่นเช่นกัน และพระเยซูทรงเป็นผู้เริ่มต้นการคืนดีครั้งนี้ด้วยพระองค์เอง การพลาดพลั้งของเปโตรเกิดจากความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป… เขาบอกพระองค์ไว้ก่อนหน้าที่จะสิ้นพระชนม์ว่า แม้เขาจะต้องตายกับพระองค์ เขาก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย..มัทธิว 26:35
ยอห์น 21:15
สังเกตไหมว่า ครั้งนี้ พระเยซูทรงเรียกเปโตรว่า ซีโมน ลูกชายยอห์น พระองค์กำลังตรัสให้เขารู้ว่า ตอนนี้ต้องมีการคุยแล้วนะ .. เจ้าซีโมน..
คำถามแรกคือ “เจ้ารักเรามากกว่าเหล่านี้หรือ?” แล้วพระองค์ทรงสั่งให้เขาเลี้ยงดูลูกแกะของพระองค์ คือผู้เชื่อใหม่ ๆ นั่นเอง คำนี้เป็นความหมายว่า เลี้ยงดูด้วยพระคำของพระองค์ ครั้งแรกที่ทรงสั่ง ลูกแกะต้องการอาหารเลี้ยงดู
พระเยซูทรงถามเปโตรว่า เจ้ารักเรามากสุดชีวิต สุดจิต สุดใจ (ἀγαπᾷς με อากาปาส เม ) หรือไม่​… แต่คำตอบของเปโตรคือ ใช่เขารักพระองค์อย่างเพื่อนมากทีเดียว เขารักพระองค์อย่างรักพี่น้องทั่วไป ( φιλῶ σε ฟิโล เซ)
นี่เป็นคำถามที่เราต้องตอบพระองค์เช่นกัน… อย่ามั่นใจในว่าตนเองเข้มแข็งกว่า อุทิศตัวมากกว่าคนอื่น
ยอห์น 21:16
ครั้งที่สองทรงถามว่า เจ้ารักเรามากสุดชีวิต สุดจิต สุดใจ (ἀγαπᾷς με อากาปาส เม ) หรือไม่​… แต่คำตอบของเปโตรคือ ใช่เขารักพระองค์อย่างเพื่อนมากทีเดียว รักอย่างรักพี่น้อง ( φιλῶ σε ฟิโล เซ) พระองค์ทรงสั่งให้เขา ดูแลแกะของพระองค์ คราวนี้เป็นคำว่า แกะหรือฝูงแกะของเรา ซึ่งแกะนี้ต้องการให้ผู้เลี้ยงนำพาไปอย่างถูกต้อง ถูกที่ทาง ไปพบกับอาหารที่สมบูรณ์
ยอห์น 21:17
ในเมื่อเปโตรปฏิเสธพระเยซูสามครั้ง พระองค์ทรงให้โอกาสเขาบอกรักพระองค์สามครั้ง …
และพระองค์ทรงลดระดับความหมายให้เขาด้วย
ครั้งที่สาม พระองค์ทรงลดระดับความรักลงมากว่า เปโตร เจ้ารักเราอย่างเพื่อนใช่ไหม? (Φιλεῖς με ฟิเลส เม) หรือไม่​… แต่คำตอบของเปโตรคือ ใช่เขารักพระองค์อย่างเพื่อนมากทีเดียว ( φιλῶ σε ฟิโล เซ)
พระเยซูทรงสั่งให้เขา เลี้ยงดูแกะของพระองค์ เปโตรจะต้องทั้งให้อาหาร และนำพาพวกเขาไปตามทางของพระเจ้านั่นคือหน้าที่ของเปโตร พระเยซูทรงให้หน้าที่ยิ่งใหญ่กับเปโตร เพราะผู้ที่เป็นผู้เลี้ยงนั้นจะต้องจัดหา นำ ปกป้อง และเป็นเพื่อนของแกะ เขามีอำนาจเหนือ และยังเป็นผู้นำของพวกมันด้วย พระเยซูทรงแต่งตั้งงานที่ยากมากให้กับเปโตร โดยที่ไม่มีพระองค์อยู่ด้วย แต่จะมีองค์พระวิญญาณเป็นผู้ทรงนำเขาไปตลอดชีวิต
และยอห์นเองก็บันทึกเรื่องนี้ไว้เพื่อให้พวกเราได้รับรู้ว่า เปโตรเองได้มีโอกาสกลับตัวกลับใจ บอกความตั้งใจของเขาตรง ๆ กับพระเยซูด้วย ก่อนหน้านี้เขาคงไม่สบายใจมาก ๆ ที่ได้ปฏิเสธพระเยซูขึงขัง การคืนดีครั้งนี้ ทำให้เราเข้าใจว่า นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เปโตรกล้าหาญอย่างยิ่งในหนังสือกิจการ
ยอห์น 21:18-19
พระเยซูเพิ่งคุยกับเปโตรเรื่องที่จะทรงใช้เขาดูแลคนของพระองค์ แล้วมาตอนนี้ก็ทรงบอกเขาล่วงหน้าว่า จะตายอย่างไร พระเยซูทรงทราบล่วงหน้าแล้วว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับเปโตรในเวลาต่อมา
การที่ตรัสว่าเจ้าแก่ เจ้าจะยื่นมือออก มีคนช่วยคาดเอง พาไปในที่ ๆ ไม่อยากไป ดูเหมือนเป็นการบอกล่วงหน้าว่า เขาจะต้องอยู่ใต้การควบคุมของโรม ที่จะพาเขาไปสู่ความตาย ซึ่งมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่า เขาถูกตรึงบนไม้กางเขนกลับหัว
พระเยซูตรัสให้เปโตรตามพระองค์ไป นั่นคือทำตามอย่างพระองค์ รับใช้อย่างพระองค์ พระองค์เป็นผู้เดียวที่เราควรทำตามอย่าง ตอนนี้เรากำลังทำตามใครอยู่ ลองสังเกตตัวเองให้ดี? ทรงให้ความสำคัญกับการตามพระองค์ไปจริง ๆ การติดตามพระเยซูเป็นเรื่องที่เราต้องใช้ทั้งชีวิตกับพระเยซูผู้ที่จะทรงนำไปตามทางที่พระเจ้าทรงวางแผนให้กับชีวิตของแต่ละคน (สดุดี 139:16)
ยอห์น 21:20-21
ศิษย์ที่พระเยซูทรงรัก เป็นชื่อที่ยอห์นเรียกตนเองในการเขียนหนังสือเล่มนี้ และนี่ก็เป็นเรื่องเดียวกับชีวิตเรา ยอห์นมักเรียกตัวเองเช่นนี้ เขาพึ่งพาความรักของพระเจ้าที่มีต่อเขา ไม่ใช่ความรักของเขาที่มีต่อพระเจ้า ..​นี่เป็นความหมายลึกซึ้งที่ยอห์นกำลังบอกเรา….
เปโตรเองอดถามถึงอนาคตของยอห์นไม่ได้ ในเมื่อพระเยซูทรงบอกอนาคตของเขา
ยอห์น 21:22-23
เปโตรควรจะสนใจการตามพระองค์ไปมากกว่าจะไปสนใจเรื่องของคนอื่น เขาต้องตามพระองค์ไป ใครจะเป็นอย่างไร เขาก็ยังต้องตามพระองค์ พวกเขาเข้าใจผิดไปว่า พระเยซูจะให้ยอห์นมีชีวิตอยู่ ไม่ตาย เรื่องแบบนี้ก็น่าสนใจ น่าอิจฉาด้วยในสายตาของพวกเขา ตรงนี้ช่วยบอกเราเลยว่า เมื่อรับใช้พระเจ้า ไม่ต้องไปสนใจว่าใครมีการรับใช้ดูดีกว่า หรือ พระเจ้าทรงนำมากกว่า ให้ดูที่ตัวเองว่า เราตามพระองค์ไปหรือไม่… การคิดเรื่องของคนอื่น การเปรียบเทียบกัน สร้างปัญหาให้มากกว่าที่จะสร้างเสริมชีวิตฝ่ายวิญญาณ
คำสุดท้ายของพระเยซูในพระธรรมยอห์นคือ ให้ตามพระองค์ไป… เป็นคำสำคัญมาก “​ตามเรามา” ไม่ว่าใครจะตามไปหรือไม่ เราจะตามพระองค์ไป.
ยอห์น 21:24-25
สิ่งสำคัญที่ยอห์นได้บันทึกไว้นั้น ประเด็นอยู่ที่สิ่งเขาเขียนเป็นความจริง ไม่ใช่ว่าจะเขียนทุกเรื่อง เขาเลือกเรื่องที่จะเขียนลงไปเป็นอย่างดี เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพชัด และมั่นใจในพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทำหน้าที่ของพระองค์ตามที่พระบิดาทรงใช้มาอย่างสมบูรณ์แบบ และทรงพร้อมให้เราเข้าไปมีส่วนในครอบครัวใหญ่ของพระองค์ด้วย

พระคำเชื่อมโยง
1* ยอห์น 6:1
2*ยอห์น 20:24; 1:45-51; 2:1; มัทธิว 4:21
4* ยอห์น 20:14
5* ลูกา 24:41
7*ยอห์น 13:23; 20:2 24:41

12* กิจการ 10:41
14* ยอห์น 20:19,26
15* กิจการ 20:28
16* ฮีบรู 13:20; สดุดี 79:13
17* ยอห์น 2:24-25; 16:30

18* กิจการ 12:3-4
19* 2 เปโตร 1:3,14; มัทธิว4:19; 16:24
20* ยอห์น 13:23; 20:2; 13:25
22* วิวรณ์ 2:25; 3:11; 22:7,20
24* ยอห์น 19:35
25* ยอห์น 20:30; อาโมส 7:10