1 โครินธ์ 1 พระปัญญาของพระเจ้า.. พระเยซูคริสต์

ทักทาย และ ขอบพระคุณ

1 โครินธ์ 1: 1-3
ข้า..เปาโล เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า กับโสสเธเนสน้องชายของเรา
มาถึง คริสตจักรขององค์พระเจ้า ณ เมืองโครินธ์
ท่านผู้ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ในองค์พระเยซูคริสต์
และเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นวิสุทธิชนของพระเยซูคริสต์ไปพร้อมกับคนทุกแห่งที่ออกพระนามพระเยซูคริสต์ซึ่งทรงเป็น องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราและของพวกเขาด้วย
ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้า มาเหนือท่านทั้งหลาย

1 โครินธ์ 1:4-9
ข้าขอบคุณพระเจ้าเพราะท่านทั้งหลายเสมอมา เพราะพระคุณที่ประทานแก่ท่านในพระเยซูคริสต์ ​เนื่องจากท่านมีความพร้อมทุกด้านในพระองค์ คือในการพูดและความรู้ทั้งสิ้น ด้วยว่าท่านได้รับการปลูกฝังคำยืนยันเรื่องพระคริสต์อย่างมั่นคง ท่านจึงไม่ได้ขาดของประทานจากพระวิญญาณ ขณะที่ท่านรอพระเยซูคริสต์เจ้าของเรามาปรากฏ พระองค์จะทรงรักษาท่านให้มั่นคงจนถึงที่สุด เพื่อว่าท่านจะไร้ข้อตำหนิในวันที่พระเยซูคริสต์เจ้าของเราเสด็จมา
พระเจ้าทรงซื่อตรงต่อพระสัญญา ทรงเรียกพวกท่านมาเพื่อจะได้มี
สัมพันธ์สนิทกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา


แต่ในคริสตจักรกลับแตกแยก!

1 โครินธ์ 1:10-12
ข้าขอร้องพี่น้องในพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราว่า ให้มีใจปรองดองกัน ไม่แตกแยกกัน แต่ในหมู่พวกท่าน ให้มีความคิดเห็นมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
พี่น้องเอ๋ย คนของนางคะโลเอได้มาเล่าถึงการที่พวกท่านทะเลาะกันเอง ข้าหมายถึงท่านต่างก็กล่าวว่า“ข้าเป็นคนของเปาโล” บางคนว่า “ข้าเป็นคนของอปอลโล” บางคนว่า“ข้าเป็นคนของเคฟาส” และยังมี คนที่ว่า “ข้าเป็นคนของพระคริสต์”

1 โครินธ์ 1:13-17
นี่หมายความว่า พระคริสต์ถูกแบ่งออกเป็นหลายองค์อย่างนั้นหรือ? เปาโลถูกตรึงเพื่อท่านรึ? ท่านได้รับบัพติศมาในนามของเปาโลหรือ? ข้าขอบคุณพระเจ้าที่ยกเว้นจากคริสปัสและกายอัสแล้ว ข้าไม่ได้ให้บัพติศมาแก่ใครเลย
ดังนั้น จึงไม่มีใครมาอ้างได้ว่า ได้รับบัพติศมาในนามของข้า
ที่จริงข้าได้ให้บัพติศมาแก่ครอบครัวของสเทฟาด้วย นอกจากนั้นแล้ว ข้าจำไม่ได้ว่า มีใครอีกบ้าง
เป็นเพราะพระคริสต์ไม่ได้ทรงใช้ข้าเพื่อให้บัพติศมา แต่ให้ประกาศข่าวประเสริฐซึ่งมิได้ใช้คำพูดสำนวนโวหารที่เกิดจากปัญญาของมนุษย์ เกรงว่าหากทำเช่นนั้น เรื่องกางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์ไป.

พระปัญญาและฤทธิ์เดชของพระเจ้า

1 โครินธ์ 1:18-21
ฝ่ายเหล่าคนที่กำลังจะพินาศเห็นว่าคำสอนเรื่องไม้กางเขนเป็นสิ่งที่ดูโง่เขลาในขณะที่เราซึ่งกำลังจะรอดกลับเห็นว่าเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าเพราะมีคำเขียนไว้ว่า “เราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา และจะทำให้ความปราชญ์เปรื่องของคนมีปัญญาไร้ความหมายไปเสีย”
คนมีปัญญาของยุคนี้อยู่ที่ไหน?
ปัญญาชนของยุคนี้อยู่ที่ไหนกัน?
นักปราชญ์ของยุคนี้อยู่ที่ไหน?
พระเจ้าได้ทรงทำให้ปัญญาทางโลกเป็นสิ่งที่โง่เขลาแล้วไม่ใช่หรือ?
ตามพระปัญญาของพระเจ้านั้น ทรงกำหนดไว้ว่า โลกไม่อาจรู้จักพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตนเอง พระเจ้าพอพระทัยที่จะให้คนที่ฟังและเชื่อคำเทศนาเรื่องโง่ๆ นั้น รอดบาปได้

1 โครินธ์ 1:22-25
พวกยิวมักขอหมายสำคัญ(การอัศจรรย์) ส่วนคนกรีกก็ตามหาปัญญา แต่เราประกาศเรื่องพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงบนกางเขนนั้น เรื่องนี้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ยิวสะดุด และในสายตาคนต่างชาติก็มองว่าเป็นสิ่งโง่เขลา แต่สำหรับคนที่พระเจ้าทรงเรียกไม่ว่าจะเป็นยิวหรือกรีก ต่างเห็นว่า พระคริสต์ทรงเป็นฤทธิ์เดชและพระปัญญาของพระเจ้า เพราะว่าในความเขลาของพระเจ้านั้น ก็ยังทรงปัญญายิ่งกว่ามนุษย์ และในความอ่อนแอของพระเจ้านั้น ก็ยังแข็งแกร่งกว่ากำลังของมนุษย์

ถวายเกียรติแด่พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

1 โครินธ์ 1:26-31
พี่น้องทั้งหลาย ขอให้ท่านลองพิจารณาการที่พระเจ้าทรงเรียกท่านสิ
เห็นไหม มีน้อยคนที่โลกถือว่ามีปัญญาน้อยคนที่ทรงอิทธิพล น้อยคนที่มาจากวงศ์ตระกูลสูง  แต่พระเจ้าทรงเลือกสิ่งที่โลกเห็นว่าโง่เพื่อทำให้คนที่มีปัญญาต้องอับอาย และทรงเลือกสิ่งที่โลกเห็นว่าอ่อนแอ เพื่อให้คนมีกำลังต้องอับอาย พระเจ้าทรงเลือกที่โลกเห็นว่าต่ำต้อย ดูแคลน และเห็นว่าไม่สำคัญ เพื่อทำลายสิ่งที่โลกเห็นว่าสำคัญ เพื่อไม่ให้มนุษย์แม้สักคนโอ้อวดต่อพระเจ้าได้ ที่เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ ก็เพราะพระเจ้าประทานปัญญาและความเที่ยงธรรมให้ เพราะพระเยซูผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และไถ่เราให้พ้นจากโทษบาป ดังที่มีคำ เขียนว่า “ผู้ที่จะอวดก็จงอวดองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด”

คำอธิบายเพิ่มเติม 1 โครินธ์ 1

1 โครินธ์ 1:1-3
ท่านเปาโลได้บอกในจดหมายว่า ท่านมีสิทธิที่จะเขียนจดหมายฉบับนี้ในฐานะเป็นอัครทูตของพระคริสต์
โสสเธเนสเคยเป็นนายธรรมศาลาในเมืองโครินธ์มาก่อน เขาเคยถูกโบยเพราะคนโครินธ์ต้องการทำร้ายท่านเปาโล เมืองโครินธ์เป็นเมืองใหญ่อยู่ทางใต้ของประเทศ
กรีซ ใกล้ ๆ เอเธนส์ เมืองโครินธ์มีเมืองสูง หรืออะโครโพลิส ใช้เป็นกำแพงป้อม และเป็นสถานกราบไหว้รูปเคารพของพวกเขา ที่มีชื่อเสียงคือวิหารของเทพีอะโฟรไดท์ เป็นเทพีแห่งความรักในวิหารนี้มีปุโรหิตหญิงที่เป็นโสเภณีนับพัน
พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ทรงชำระผู้เชื่อทุกคนให้บริสุทธิ์ จดหมายฉบับนี้ เขียนถึงชาวโครินธ์ก็จริง แต่มีธรรมเนียมว่าจดหมายจะถูกส่งไปให้พี่น้องที่อื่น ๆ ได้อ่านด้วย นั่นคือ พี่น้องไม่ว่าที่ไหนก็เป็นคนของพระเจ้าเช่นกัน
คำว่า “องค์พระเยซูคริสต์เจ้า” ในคำแปลภาษาไทยหลายเล่มว่า “พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า”ซึ่งทั้งนี้ ไม่ว่าจะเรียกแบบไหน มีความหมายถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ปรากฏเป็น พระยาห์เวห์ในพระคัมภีร์เดิม พระเยซูมาจากคำเดิมว่า “เยชูวา”ซึ่งมีความหมายว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นความรอด
คริสต์ มาจากภาษาเดิมว่า มาชิอาคหรือเมสสิยาห์หมายความว่าทรงเป็น “ผู้ได้รับการเจิม”พระคุณและสันติสุขเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องการมากไม่ว่าในยุคโบราณ หรือจะเป็นวันนี้ เป็นพระพรที่เราควรทูลขอพระเจ้าเพื่อพี่น้องของเราด้วย

1 โครินธ์ 1:4-9
ขอบพระคุณเพราะท่านเสมอมา…นั่นคือท่านเปาโลได้อธิษฐานเผื่อพี่น้องชาวโครินธ์ประจำ ท่านมั่นใจในพระคุณของพระเจ้าที่มีอยู่ในตัวชาวโครินธ์ พวกเขามีของประทานที่ชัดเจนคือ มีทั้งความรู้และสามารถพูดเรื่องของพระเจ้าได้ดี กระจ่างชัด มีสติปัญญาที่จะอธิบายเรื่องของพระเจ้าได้ เป็นความชัดเจนในหมู่ชาวโครินธ์ แต่เมื่อเราอ่านต่อไป
เราจะพบปัญหาบางอย่างในหมู่พวกเขา
พี่น้องในเมืองโครินธ์ ได้รับการสอนเรื่องพระเยซูอย่างถูกต้อง มีความแม่น เข้าใจเรื่องอย่างดีพวกเขาโดดเด่น มีของประทานแห่งพระวิญญาณแต่ต่อมามีการใช้ในทางผิด คำว่า รอพระเยซูคริสต์เจ้ามาปรากฏ ทำให้เรารู้ว่า การใช้ชีวิตของเรานั้นต้องมีจิตใจที่รอคอยให้พระเจ้าปรากฏในการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระองค์
คริสเตียนโครินธ์มีจุดเด่น และจุดด้อยที่อันตรายต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณแต่ในขณะเดียวกัน ท่านยังมั่นใจว่าพระเจ้าจะทรงรักษาพวกเขาไว้ จะเห็นว่า เนื่องจากใจของเรานั้นเป็นตัวหลอกลวงที่สุด เราจึงต้องการพระเยซูให้รักษาชีวิตของเราไว้ ไม่ว่าจะในยุคโครินธ์ หรือยุคดิจิตัล
สังเกตอะไรไหม? ท่านเปาโลเขียนมาจนถึงตรงนี้โดยที่กล่าวถึงพระเยซูเกือบทุกประโยคเลย นับไปนับมาก็ได้เก้าครั้ง ประโยคในภาษากรีกเดิมที่ท่านเปาโลเขียนนั้นยาวมาก เมื่อแปลก็ต้องทำให้ประโยคยาวนั้นกลายเป็นประโยคสั้นที่ต่อเนื่องกันทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น ที่ท่านเปาโลมีความหวังทั้ง ๆ ที่คริสตจักรในโครินธ์เละเทะมาก เพราะท่านวางใจว่าพระเจ้าจะทรงช่วยให้สัมพันธ์สนิทที่ทรงประสงค์ประสบความสำเร็จ

1 โครินธ์ 1:10-12
ที่จริงปัญหาของพี่น้องมีเยอะมาก หลากหลาย แต่ทำไมท่านเปาโลจึงนำเรื่องการแตกแยกนี้มาเป็นอย่างแรก?เป็นเพราะการแตกคออย่างนี้ทำให้ไม่อาจคุยกันได้ต่างไม่ฟังซึ่งกันและกัน จึงไม่มีโอกาสที่จะกลับตัวและเริ่มต้นใหม่ บาปอื่นเกิดขึ้นยังพอช่วยกันแก้ไข
ภาพรวมที่เราเห็นคือ พี่น้องแตกแยกกันเป็นเหมือนพรรคการเมืองเลย พวกเขาต่างเลือกติดตามผู้นำที่แตกต่างกันทั้ง ๆ ที่ผู้นำเหล่านั้นไม่ได้เรียกเขามาเป็นพวกเลย คนชาวโครินธ์สนใจคนที่พูดได้ดีมีโวหาร พวกเขาจึงเลือกตามคนที่เขาพอใจ

1 โครินธ์ 1:13-17
คำถามทั้งสามข้างบนตอบได้คำเดียวว่า “ไม่”ในเมื่อพระคริสต์ไม่ได้ถูกแบ่ง ทำไมคนของพระองค์แตกกันเอง เปาโลไม่ได้ถูกตรึงเพื่อพวกเขา แล้วทำไมเขาต้องยกเปาโลขึ้น เขาไม่ได้รับบัพติศมาในนามของเปาโล แต่ในพระนามพระเจ้า แล้วทำไมพวกเขาจึงทำเช่นนี้ คำตอบอาจอยู่ที่ตัวพี่น้องเองเมื่อเขาเจอใครที่นำเขามาหาพระเจ้า เขาก็จะยกคนนั้นเหนือคนอื่นนั่นเอง ดังนั้นไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร พวกเขาต้องหยุดสร้างชนชั้นคริสเตียน
ท่านเปาโลเข้าใจว่า การที่ผู้รับใช้คนหนึ่งได้ให้บัพติศมาแก่พี่น้อง ก็อาจทำให้พี่น้องคนนั้น คิดไปว่า ผู้ให้บัพติศมานั่นแหละเป็นคนที่เขาต้องติดตามไปเป็นศิษย์ จึงมีการแบ่งพรรคพวกกันเกิดขึ้นเรื่องการติดตามอาจารย์นั้น มีมาแต่โบราณและก็ยังมีจนถึงทุกวันนี้ พวกเขาติดตามอาจารย์มากกว่าติดตามพระคำของพระเจ้า นี่จึงเป็นเหตุให้มีคนจำนวนมากถูกอาจารย์กำมะลอหลอกเอาเงินใช้พวกเขาเป็นให้เป็นประโยชน์กับตนเอง
พี่น้องโครินธ์ชอบคำพูดสวยหรู น่าฟัง ท่านเปาโลจึงเตือนพวกเขาในเรื่องนี้ว่า เราจะฟังถ้อยคำจากปัญญาของมนุษย์หรือจะฟังจากฤทธิ์เดชของพระเจ้าเพราะการประกาศไม้กางเขนไม่ใช่เพื่อทำให้ผู้คนสบายใจ แต่เพื่อเขาจะได้สำนึกในบาปที่มีอยู่ และกลับใจมาหาพระองค์

1 โครินธ์ 1:18-21
ในสังคมตะวันตก เขาจะชื่นชมกับการไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า และยกเอาทฤษฎีวิวัฒนาการมาอ้างเป็นพื้นฐานความคิดว่าไม่มีพระเจ้า เขาคือพระของตน ส่วนในสังคมไทยเรา จะชื่นชมกับการทำดีของตนเองความดีทำให้เราไปสู่เป้าหมายของการหลุดพ้น แต่เราเชื่อ มั่นใจว่า ไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ที่คนมองว่าโง่เขลาเป็นความพ่ายแพ้ คือฤทธิ์ของพระเจ้าที่ช่วยให้เรารอดบาปได้
อิสยาห์ 29:14 กล่าวว่า ปัญญาของคนมีปัญญาของเขาจะพินาศไป ความเข้าใจของคนที่เข้าใจจะถูกปิดบังไว้ พระเจ้าจะทรงทำให้เห็นว่า ปัญญาของคนที่พยายามต่อต้านพระองค์นั้น มันก็แค่ปัญญาที่ถูกล้มล้างได้ ในขณะที่ความจริงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์
ท่านเปาโลไม่ได้ดูหมิ่นสติปัญญาของมนุษย์เรื่องอื่น ๆ ที่เป็นความเจริญขึ้นในความรู้
ปัญญาของโลกที่ท่านหมายถึงคือ ความ คิดว่าตนเองเก่งกว่าใคร คิดได้ยอดกว่าใคร ๆ แถมยอดกว่าพระเจ้า ดูหมิ่น ท้าทายพระเจ้า เหยียดพระองค์มองคนอื่นต่ำกว่าไปเสียทุกเรื่องเต็มด้วย
ความเกลียดชัง
พอมาถึงข้อนี้ เราก็พบชัดเจนว่า สติปัญญาแบบโลกที่เห็นว่าตัวเองเก่งกว่าใคร ไม่อาจจะทำให้เขาพบพระเจ้าได้เลย สรุปว่า ความรอดพ้นบาปไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัญญา แต่ขึ้นอยู่กับความเชื่อ เป็นเงื่อนไขที่พระเจ้าทรงวางไว้เพื่อให้มนุษย์ทุกคนรอดได้ เขาจะเป็นใครก็ตาม อ่านหนังสือไม่ออก เป็นคนการศึกษาน้อย เป็นชาวป่าหรือจะเป็นคนเมือง เงื่อนไขนี้ทำให้มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกันในการมารู้จักและรับความรอดจากพระเจ้า

1 โครินธ์ 1:22-25
คนสองกลุ่มที่มองว่าคริสเตียนที่เชื่อพระเยซูเป็นคนโง่ ก็คือคนกรีกและคนยิว คนยิวชอบเรื่องการอัศจรรย์ พวกเขาเคยขอให้พระองค์ทำให้ดู แต่พระองค์ปฏิเสธ (มัทธิว 12:38-42) ส่วนคนกรีกก็ต้องการคำอธิบายแบบอุดมคติ คำหรู ๆ ยาว ๆที่ฟังแล้วรู้สึกเป็นปัญญาชน ไม้กางเขนจึงเป็นเหมือนหินที่ทำให้พวกเขาสะดุด ไม่อาจมาถึงความรอดพ้นบาปได้
แต่เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทรงแตะต้องใจของใครแล้ว เขาคนนั้นจะมองเห็นพระปัญญา และฤทธิ์เดชที่เปลี่ยนชีวิต เขามองเห็นว่า พระปัญญาของพระเจ้านั้นเหนือกว่าความคิดของมนุษย์เป็นไหน ๆ เขามองเงื่อนไขของพระเจ้าเรื่องไม้กางเขน เป็นความรักที่ทรงให้มนุษย์ทุกคนเท่ากันโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
ท่านเปาโลกล้าพูดอย่างนี้ออกมาเพราะท่านรู้จักพระเจ้าเป็นอย่างดี ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น เหนือความสำเร็จใด ๆ ที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมา นักวิทยาศาสตร์ที่มาพบพระเจ้า มักจะพบด้วยการสำแดงของพระเจ้าต่อเขา ไม่ใช่เพราะเขาพบด้วยปัญญาของตนเอง

1 โครินธ์ 1:26-31
ท่านเปาโลได้เตือนสติพี่น้องชาวโครินธ์อย่างอ่อนโยน ท่านให้พวกเขาพิจารณา ว่า ก่อนที่จะมาพบพระเจ้านั้น พวกเขาอยู่ในฐานะ การงาน ชาติตระกูลแบบไหน ปรากฏว่าพวกเขาพบว่า จำนวนมาก มาจากคนที่เคยเป็นทาสมาก่อน เป็นคนที่สังคมเหยียดหยาม มีน้อยคนในพวกเขาที่เป็นชนชั้นสูง ร่ำรวย ทั้งทาสและไท พากันมาเชื่อเพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะตัวเอง
เหตุใดพระเจ้าทรงเลือกทำเช่นนี้? ส่วนใหญ่แล้วคนที่เก่งจะมี
ความหยิ่งอยู่ในตัวว่า “ข้าเก่ง” ตรงนี้เองที่ทำให้พวกเขามีปัญหาที่จะรับเอาพระเจ้า พระเยซูได้ตรัสว่า คนที่จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ได้คือคนที่เป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่ไร้อคติ ไร้ความคิดที่เป็นอุปสรรคทั้งปวง เราจะสังเกตเห็นว่าคนที่ท้าทายพระเจ้าส่วนใหญ่มักเป็นคนที่ยโสเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว
ดูการทรงเลือกของพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงส่งพระบุตรลงมาในโลกสิ พระองค์ไม่ได้ให้พระบุตรมาเกิดเป็นเจ้าชาย เป็นชนชั้นสูง
เพราะทรัพย์สมบัติ ชาติตระกูล ไม่ได้ส่งผลอะไรให้พระองค์เลย ทรงเลือกให้พระบุตรมาเกิดในสถานที่ซึ่งไม่ใช่บ้านด้วยซ้ำ เป็นที่ ๆ พระบุตรไม่สมควรแขกที่มาเยี่ยมกลุ่มแรกก็เป็นคนเลี้ยงแกะซึ่งเป็น
ชนชั้นต่ำในสังคม
การที่เราคนใดคนหนึ่งจะได้มีโอกาสมาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นคนที่ใกล้ชิดพระองค์นั้น เราได้รับการเลือกจากพระเจ้า ไม่ใช่เราเลือกพระองค์ สดุดี 65:4 เขียนไว้ว่า คนที่พระเจ้าทรงเลือก
และทรงทำให้เขามาอยู่ใกล้พระองค์ ก็เป็นสุข

พระคำเชื่อมโยง
1* โรม 1:1; 1 โครินธ์ 8:6; กิจการ 18:17
2* กิจการ 15:9;โรม 1:7;
1โครินธ์ 8:6; โรม 3:22
3*โรม 1:7
4*โรม 1:8
5* 1โครินธ์ 12:8
6* 2 ทิโมธี 1:8
7* ฟีลิปปี 3:20
8* 1 เธสะโลนิกา 3:13, 5:23 โคโลสี 1:22; 2:7
9* อิสยาห์ 49:7; ยอห์น 15:4

10* 2 โครินธ์ 13:11
12* 1 โครินธ์ 3:4; กิจการ 18:24; ยอห์น 1:42
13* 2 โครินธ์ 11:4
14*ยอห์น 4:2; กิจการ 18:8; โรม 16:32
16* 1 โครินธ์ 16:15,17
17* 1 โครินธ์ 2:1,4,13
18* 1 โครินธ์ 2:14โครินธ์ โรม
19* อิสยาห์ 29:14

20* อิสยาห์ 19:12; 33:18;
โยบ 12:17
21* ดาเนียล 2:20
22* มัทธิว 12:38
23* ลูกา 2:34; 1 โครินธ์ 2:14
24* โรม 1:4; โคโลสี 2:3
26*ยอห์น 7:48
27* มัทธิว 11:25
30* 2 โครินธ์ 5:21
31* เยเรมีย์ 9:23,24


ยอห์น 19 การตรึงที่กางเขน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบทนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับพระบุตรของพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์
ทุกคนไม่รู้ว่า พวกเขากำลังทำอะไรกับองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นตามที่พระเจ้าทรงวางแผนล่วงหน้าไว้แล้ว

คำสั่งโบย!

พระเยซู.. ไม้กางเขน

สิ้นพระชนม์

เก็บพระศพ

คำอธิบายเพิ่มเติม

คำสั่งโบย
ยอห์น 19:1-2
สิ่งที่ปีลาตทำแล้วเหล่ายิวพอใจก็คือ สั่งเฆี่ยน การที่เขาสั่งเฆี่ยนอาจเป็นเพราะเขาต้องการปล่อยพระองค์ คือลงโทษแล้วก็ปล่อยได้ แต่เหล่าผู้นำยิวไม่ได้ต้องการอย่างนั้น การเฆี่ยนนี้จะใช้ทหารหลายคน คนหนึ่งโบยจนหมดแรงก็จะใช้อีกคนโบยต่อ ผู้ที่ถูกโบยจะเจ็บปวดมาก เพราะการเฆี่ยนอย่างนี้ จะใช้แส้ที่มีลูกเหล็กอยู่ตรงปลาย บางครั้งเหยื่อจะตายคาแส้เลย
ทหารสวมมงกุฎหนามให้พระองค์ ไม่ได้สวมดี ๆ แต่กดหนามเข้าไปให้แน่น หนามจะแทงเนื้อของพระเยซูอย่างแรง สวมเสื้อคลุมสีม่วงให้ ..​เป็นการเยาะเย้ยอย่างที่สุด กษัตริย์ที่มีมงกุฎเป็นหนาม
ยอห์น 19:3-5
พวกเขาเยาะว่า ขอต้อนรับกษัตริย์ชาวยิว แล้วยังตบพระพักตร์ ! ในเวลาเดียวกันปีลาตนำพระเยซูออกมาและประกาศว่า พระเยซูไม่มีความผิดอย่างที่ถูกฟ้อง นี่เป็นการประกาศซ้ำอีกครั้งว่า พระเยซูไม่มีความผิด สภาพของพระเยซูเวลานี้บอบช้ำอย่างหนัก แต่ยังไม่เป็นที่พอใจของพวกผู้นำศาสนาเหล่านั้น
ยอห์น 19:6-7
พวกเขา ร้องลั่นเมืองว่า ให้ตรึงพระเยซู ไม่ใช่พวกเขาเท่านั้นยังพาคนอื่น ๆ มาช่วยกันตะโกนเสียงดังด้วย ปีลาตเองไม่อยากยุ่งเรื่องนี้เลย ..​ตอนนี้เขาคงรู้แล้วว่า เขาถูกใช้เป็นเครื่องมือให้สั่งประหารพระเยซู ขอแลกตัวนักโทษก็ไม่ยอม ทั้งโบยให้แล้วก็ไม่พอใจ การสวมเสื้อคลุมสีม่วงให้พระเยซูอาจจะเป็นการยั่วเย้าเหล่าผู้นำเหล่านั้นเข้าไปอีก
จริง ๆ แล้ว พระเยซูทรงยืนยันว่า ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า และยังตรัสด้วยว่า ทรงเป็นพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์เองตรัสก่อนหน้านี้ ในที่ต่าง ๆ หลายครั้ง
แต่ที่พวกเขานำข้อกล่าวหานี้มาใช้ เพราะพวกเขากำลังหลอกปีลาต เนื่องจากว่า ซีซาร์ถูกเรียกว่า เป็น บุตรของพระเจ้า ดังนั้นถ้าใครอ้างว่าตนเป็นบุตรของพระเจ้าเท่ากับท้าทายองค์จักรพรรดิซีซาร ผู้นำศาสนาพยายามเร้าให้ปีลาตเห็นว่า พระเยซูควรถูกประหาร
ยอห์น 19:8-10
คราวนี้ปีลาตเห็นชัดว่า เขาจะปล่อยพระเยซูไปง่าย ๆ ไม่ได้แล้ว พวกนี้เอาจริง และคงจะหาเรื่องจนตัวเขาเองอาจถูกปลดก็เป็นได้
เขาหันกลับมาถามพระเยซูจริงจังว่า พระองค์มาจากไหน… คงต้องการรู้ว่า มาจากพื้นที่ ๆ เป็นที่ซ่องสุมพวกก่อกบฎหรือไม่ หรือเขาอาจจะสนใจว่าพระองค์เป็นคนมาจากไหนจริง ๆ ..แต่พระเยซูไม่ทรงตอบ
เขาจึงโกรธและยังอ้างว่าเขามีสิทธิจะให้พระองค์เป็นอิสระหรือตายก็ได้
ยอห์น 19:11-12ก
แล้วพระเยซูในฐานะนักโทษ กลับทรงพิพากษาผู้ที่จับพระองค์มา รวมทั้งปีลาตเองด้วย พระองค์บอกให้เขารู้ว่า เขากำลังทำบาปอยู่ แต่เหล่าผู้นำยิวนั้นก็มีโทษบาปหนักกว่าปีลาต …​ และพวกเขาจะไม่พ้นโทษจากพระเจ้าแน่นอน
ตัวปีลาตเองต้องเข้าใจทุกอย่างที่พระเยซูตรัส เขาเข้าใจด้วยว่า พระเยซูไม่ได้ทำผิดอะไร อีกอย่างคือเขาอาจคิดว่า พระเยซูอาจเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง ๆ และสามารถจัดการกับเขาด้วยฤทธิ์ของพระองค์ ทางเดียวคือ เขาพยายามจะปล่อยพระเยซูอีกครั้ง
ยอห์น 12ข
แต่เหล่าผู้นำยิวก็ไม่ยอมเช่นกัน พวกเขาขู่ปีลาตว่า หากปีลาตปล่อยพระเยซูเท่ากับเป็นศัตรูของซีซาร์ พวกนี้ตั้งใจแน่วแน่ว่าต้องเอาชีวิตของพระเยซูให้ได้ในครั้งนี้ เพราะครั้งหน้าอาจจะยากกว่านี้อีก พวกเขายังยึดมั่นประเด็นที่พระเยซูตรัสว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ว่าเป็นการต่อต้านซีซาร์โดยตรง
ที่จริงแล้วปีลาตก็ไม่ได้ถูกกับซีซาร์สักเท่าไร เขาเองเคยก่อเรื่องมาแล้ว จากความโอหังของเขาเอง ตอนนี้ เขาก็เลยตกเป็นเบี้ยล่างของเหล่าผู้นำยิว…
ยอห์น 19:13-14
แล้วปีลาตจึงต้องถอย .. สั่งเอาพระเยซูไปตัดสินที่ลานซึ่งมีบัลลังก์พิพากษาตั้งอยู่ เป็นลานใหญ่ในป้อมอันโตเนีย วันนั้นเป็นวันเตรียมปัสกา วันนี้ คือวันศุกร์(ดูข้อ 31)
ปีลาตกำลังจะต้องพิพากษาองค์พระเจ้ายิ่งใหญ่ที่วันหนึ่งจะกลับมาพิพากษาเขาอีกครั้ง … น่ากลัวจริง
คำที่ปีลาตกล่าวว่า นี่ไง กษัตริย์ของพวกเจ้านั้น เป็นคำประชดประชัน เพราะพระเยซูทรงสวมมงกุฎหนามและเสื้อคลุมสีม่วง…​ และพระองค์ทรงอยู่ในสภาพที่เต็มด้วยเลือด รอยแผลเฆี่ยนและ รอยช้ำตามตัวมากมาย
ยอห์น 19:15-16
ถึงตอนนี้ ปีลาตจำเป็นต้องยกพระเยซูให้กับผู้นำยิว ทั้งที่รู้ว่า พระเยซูทรงบริสุทธิ์ เพราะว่า เขาอาจจะถูกผู้นำยิวเหล่านี้เล่นงานทีหลัง เอาไปฟ้องซีซาร์อีก เรื่องจะใหญ่โต เขาเองอาจต้องออกจากงาน ดังนั้น ชีวิตของพระเยซูจึงไม่สำคัญเท่ากับอาชีพการงานของเขา
เห็นไหมว่า ผู้นำยิวยินดีจะยอมรับกษัตริย์ต่างชาติเป็นกษัตริย์ของเขา มากกว่าที่จะยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็น องค์พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมา

พระเยซู.. ไม้กางเขน
ยอห์น 19:17-18
พระเยซูจะต้องแบกกางเขนที่แสนหนักไปยังแดนประหารด้วยพระองค์เอง ทรงแบกลากไม้กางเขนไปถึงประตูเมือง แล้ว ซีโมนชาวซีรีน ได้มารับแบกไม้กางเขนต่อจากพระองค์ (มัทธิว 27:32)
แดนประหารอยู่ที่โกละโกธา เป็นพื้นที่ ๆ เหมือนกระโหลกคน ขบวนการตรึงนักโทษบนไม้กางเขน เป็นอีกช่วงเวลาที่เจ็บปวดสุดแสน ทั้งถูกตอกตะปูลงที่มือ เท้า และเมื่อเอาตั้งขึ้นก็มีการกระแทกที่ทำให้ความเจ็บปวดนั้นอยู่ในระดับที่ตายได้เลย.. เมื่อนักโทษจะหายใจก็ต้องขยับตัวขึ้นมาเพื่อจะได้อากาศเข้าไปในปอดได้ เป็นการเพิ่มความเจ็บปวดจากบาดแผลตะปูย้ำ ซ้ำ เข้าไปอีก
การประหารแบบนี้เป็นการคิดขึ้นของโรม เพื่อจะทรมานนักโทษให้ได้มากที่สุด นอกจากจะถูกประจาน โดยให้นักโทษเปลือยกายแล้ว พวกเขายังคิดว่าจะต้องให้ตายในความร้อนของดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมา
อาจใช้เวลาเป็นวันกว่าจะสิ้นใจ
เหมือนว่ายอห์นเป็นผู้เดียวในหมู่อัครทูตที่ได้อยู่ในการประหารครั้งนี้ ท่านไม่ได้เล่าอะไรที่น่าสะพรึงกลัว นอกจากว่า ยังมีโจรอีกสองคนถูกตรึงข้างพระองค์ด้วย
ยอห์น 19:19-20
ปีลาตรู้ดีว่า เขาถูกมัดมือชก ดังนั้น เขาจึงเอากลับคืนบ้าง เป็นการแก้แค้นส่วนตัว โดยการเขียนป้ายบนไม้กางเขนว่า พระเยซูทรงเป็นกษัตริย์ของพวกยิว และก็ได้ผลเพราะยิวมาโวยวายอีก ขอเปลี่ยนคำ
ยอห์น 19:21-22
การทำป้ายเขียนข้อหาและชื่อนักโทษ เป็นประเพณีของโรม พวกยิวไม่พอใจเลยที่ปีลาตเขียนว่า กษัตริย์ของชาวยิว เขียนอย่างนั้นเป็นการให้เกียรติมากกว่าประจาน พวกเขามายื่นคำขาดอีก แต่ทีนี้ปีลาตไม่สนใจแล้ว ไม่ตามใจต่อไป ที่ทำให้ขนาดนี้ก็มากเกินพอ ในหนังสือมาระโก 15 เล่ารายละเอียดว่า พระเยซูทรงถูกหยามอย่างไรบ้าง
ยอห์น 19:23-24
ตามประเพณีแล้ว เสื้อคลุมและเสื้อชั้นในของนักโทษ จะกลายเป็นของผู้ที่ประหารเขา แสดงว่า มีคนประหารพระเยซู 4 คน รายละเอียดนี้ ยังมีการพยากรณ์มาล่วงหน้าด้วย
สดุดี 22:18 บันทึกว่า พวกเขาแบ่งปันเสื้อตัวนอกของข้าพเจ้า… แล้วเขาจับฉลากเอาเสื้อตัวในของข้าพเจ้าไป คำเขียนนี้ ได้เกิดขึ้นจริงหลายร้อยปีต่อมา นี่คือพระคำของพระเจ้าที่มีพระเจ้าเป็นผู้เขียนจริง ๆ ดาวิดจะทราบได้อย่างไรว่า วันหนึ่งจะมีวิธีการประหารแบบนี้ด้วย
เราจะรู้ได้ว่า พระเยซูทรงคิดทรงอธิษฐานอย่างไรก็อ่านได้จากสดุดีบทนี้เช่นกัน
ยอห์น 19:25-26
การถูกตรึงบนไม้กางเขนเป็นความเจ็บปวด ทรมานแสนสาหัสทั้งกับผู้ถูกตรึงและญาติพี่น้องที่เข้ามาอยู่ในแดนประหารนั้น ระหว่างอยู่บนไม้กางเขน พระเยซูทรงแสดงความรักและห่วงใยมารีย์ ด้วยการให้ยอห์นรับเธอไปดูแล น้องชายของพระองค์ คงไม่ได้อยู่ที่นั่น และพระองค์ก็ทรงไว้ใจยอห์นมาก
ยอห์น 19:27-28
ยอห์นตอบรับคำขอของพระเยซูทันที เขาช่วยดูแลมารีย์ราวกับเธอเป็นมารดาของเขาเอง และคำตรัสที่ว่า เรากระหายน้ำ ก็ทำให้คำพยากรณ์ของดาวิดสำเร็จด้วย (สดุดี ​22:15, 42:2)

สิ้นพระชนม์
ยอห์น 19: 29-30
พระเยซูได้ตรัสว่า พระองค์จะต้องดื่มจากถ้วยแห่งพระพิโรธของพระเจ้า พระองค์ถูกตรึงใกล้สิ้นพระชมน์ และได้ดื่มน้ำส้มนี้ลงไปด้วยจริง ๆ ตามที่เคยตรัสไว้
คำว่า สำเร็จแล้วที่พระองค์ตรัส เป็นคำที่มักจะเจอในใบเสร็จที่ประชาชนเสียภาษี สำเร็จแล้ว คือ ได้จ่ายค่าครบถ้วน เป็นคำที่แสดงด้วยว่า พระเยซูทรงมอบชีวิตของพระองค์ด้วยความตั้งพระทัยของพระองค์เอง ไม่ได้เกิดจากการบังคับของมนุษย์คนใด ถ้าพระองค์เป็นเพียงเหยื่อของเหล่าผู้นำยิว พระองค์จะไม่ตรัสคำแบบนี้แน่นอน
ยอห์น 19:31-32
ความกังวลของเหล่าผู้นำยิวยังไม่จบ พวกเขาต้องการเอาศพนักโทษลงมา ต้องการหักขาของทุกคนเพื่อทำให้คนที่ยังหายใจแผ่ว ๆ อยู่ได้ตายเร็วขึ้น จะแน่ใจว่าตายสนิท พวกเขาคงกลัวว่า พระเยซูไม่สิ้นพระชนม์จริง ๆ การหักขาของโรม คือการใช้ท่อนเหล็กตีลงไปที่ขาให้กระดูกแตก นักโทษจะไม่สามารถยืดตัวขึ้นเพื่อหายใจอีก เขาจะตายอย่างรวดเร็วเพราะหายใจไม่ได้
ถ้าเป็นกฎทั่วไปของโรม เขาจะปล่อยให้นักโทษตายช้า ๆ บนกางเขน ทิ้งไว้เป็นหลายวัน และให้นกแร้ง เหยี่ยมมาจิกกินร่างของพวกเขา
แต่สำหรับยิวแล้ว จะไม่ให้มีการทิ้งศพไว้ข้ามคืน เพราะเป็นการทำให้แผ่นดินเป็นมลทิน นี่เป็นกฎที่โมเสสให้ไว้ในเฉลยธรรมบัญญัติ 21:22-23
ยอห์น 19: 33-35
และเมื่อทหารมาถึงร่างของพระเยซู พวกเขาพบว่า พระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว เพื่อให้แน่ใจ จึงเอาหอกแทงที่สีข้าง และน้ำกับเลือดก็ไหลออกมาให้เห็นว่า พระองค์สิ้นแล้วจริง ๆ
คนที่เห็นและเป็นพยานคือยอห์นนั่นเอง
ยอห์น 19:36-37
ยอห์นเองได้บอกเราตั้งแต่บทแรก ๆ ว่า พระองค์คือลูกแกะของพระเจ้าที่จะมาเอาบาปของชาวโลกไป (ยอห์น 1:29)
พระเยซูคือลูกแกะแห่งพิธีปัสกาที่ถูกห้ามไว้ว่า “อย่าหักกระดูกของมันเลย” (อพยพ 12​:46)
นี่เป็นอีกตอนที่มีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าจากพระคัมภีร์เดิม

เก็บพระศพ
ยอห์น 19:38
โยเซฟคนนี้ เป็นสมาชิกสภายิว เป็นคนมั่งคั่ง และเขาไม่เห็นด้วยกับการพยายามประหารพระเยซูในครั้งนี้ (ลูกา 23: 50) เขารีบไปขอพระศพ เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครมายุ่งกับพระศพอีก เขาต้องการเก็บพระศพไว้อย่างดี
ยอห์น 19:39-40
ส่วนนิโคเดมัสที่เคยมาพบพระเยซูยามค่ำ ก็เป็นผู้ติดตามพระเยซูมาโดยตลอด แต่ไม่ได้ออกตัวชัดเจน
เวลานี้ เขาเตรียมเครื่องหอมและสมุนไพรต่าง ๆ ที่ใช้ชโลมศพ เขาตั้งใจจะใช้ทั้งหมดนี้กับพระศพของพระเยซู ดูแล้วเป็นจำนวนมากมายทีเดียว
โดยจะมีการวางเครื่องหอมกระจายลงไปบนร่างของพระเยซู และใส่ลงบน แถบผ้ายาว ๆ เพื่อพันพระศพ
มียางเรซินที่ช่วยยึดผ้าให้ไม่หลุดออกมา
ยอห์น 19:41-42
อิสยาห์ 53:9 เขียนล่วงหน้าไว้หลายร้อยปีว่า “เขาถูกฝังร่วมกับเศรษฐี” เราทราบมาจากมัทธิวว่า ถ้ำเก็บศพแห่งนี้เป็นของโยเซฟ ชาวอาริมาเธีย (มัทธิว 27:60)
ถ้ำเก็บศพนี้อยู่ใกล้ ๆ กับที่ ๆ เขาตรึงพระเยซู ทำให้พวกเขาสามารถเก็บพระศพได้ทันก่อนที่จะมีวันสะบาโตซึ่งเริ่มต้นตอนเย็นวันศุกร์พอดี โยเซฟเป็นคนจัดการให้เอาหินที่พิงไว้กลิ้งปิดปากถ้ำ โดยมีทหารยามมาช่วยผนึกหินให้แข็งแรงและเฝ้ายามด้วย
(จากมัทธิว 27:60-66)

ข้อพระคำเชื่อมโยง
1* มัทธิว 20:19; 27:26
3* อิสยาห์ 50:6
4* ยอห์น 18:33,38
6* กิจการ 3:13
7* เลวีนิติ 24:16; มัทธิว 20:18; 26:63-66
9* อิสยาห์ 53:7
11* ลูกา 22:53; โรม 13:1
12* ลูกา 23:2
13* 1 ซามูเอล 15:24
14* มัทธิว 27:62
15* อิสยาห์ 53:3; ปฐมกาล 49:10

16* ลูกา 23:24
17* มาระโก 15:21-22; กันดารวิถี 15:36
18* สดุดี 22:16-18; มัทธิว 20:19; 26:2; อิสยาห์ 53:12
19* มัทธิว 27:37
23* ลูกา 23:34
24* สดุดี 22:18
25* มาระโก 15:40; ลูกา 24:18
26 * ยอห์น 13:23; 20:2; 21:7, 20, 24; 2:4
27* ยอห์น 1:11; 16:32
28* สดุดี 22:15
29* มัทธิว 27:48, 50
30* เศคาริยาห์ 11:10,11; ยอห์น 17:4

31* มาระโก 15:42; เฉลยธรรมบัญญัติ21:23; อพยพ 12:16
33* สดุดี 34:20
34* 1 ยอห์น 5:6, 8
35* ยอห์น 21:24; 20:31
36*อพยพ 12:46; กันดารวิถี 9:12; สดุดี 34:20
37* เศคาริยาห์ 12:10; 13:6
38* ลูกา 23:50-56; ​ยอห์น 7:13; 9:22; 12:42
39* ยอห์น 3:1,2; 7:50; มัทธิว 2:11
40* ยอห์น 20:5,7
42* อิสยาห์ 53:9; มัทธิว 26:12; มาระโก 14:8; ยอห์น 19:14,31


กิจการ 7 คำอธิบายของสเทเฟน

เริ่มต้นที่อับราฮัม


แล้วมาถึงสมัยโยเซฟ

ตามด้วยโมเสส

อิสราเอลกับรูปเคารพ

สังหารสเทเฟน

คำอธิบายพระคัมภีร์ และพระคำเชื่อมโยง

กิจการ 7:1-4. เริ่มต้นที่อับราฮัม
เมื่อถูกจับกุมตัว สเทเฟนเองไม่ได้สะทกสะท้านเลย
คนแรกที่สอบสวนเขาก็คือมหาปุโรหิต ซึ่งน่าจะเป็นคายาฟาสที่อยู่ในการสอบสวนพระเยซูนั่นเอง
สเทเฟนเองพร้อมที่จะตอบคำถามทุกอย่าง
จากกิจการบทที่ 6 เราเห็นว่าท่านถูกกล่าวหาสี่ประการ และก็จะต้องแก้ข้อกล่าวหาทั้งหมดนั้นคือ คนเหล่านั้นกล่าวว่าสเทเฟน
1 หมิ่นประมาทโมเสส
2 หมิ่นประมาทพระเจ้า
3 กล่าวร้ายต่อสถานบริสุทธิ์ และบัญญัติ 4 เขาบอกว่าท่านเยซูจะทำลายที่นี้ และเปลี่ยนสิ่งที่โมเสสได้สอนไว้
ท่านจึงได้เล่าเรื่องตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าทรงพบอับราฮัมในดินแดนห่างไกลจากเยรูซาเล็ม โดยที่ตอนนั้นเองอับราฮัมเป็นคน ๆ หนึ่งที่พระเจ้าทรงเลือกใช้ให้เป็นต้นตระกูลของชนชาติอิสราเอล
เมื่อพระเจ้าจะใช้อับราฮัม พระองค์ทรงปรากฏพระองค์ และตรัสกับท่านโดยตรง
การเดินทางครั้งแรกของอับราฮัมนั้น ไม่ใช่ว่าจะมาที่แผ่นดินคานาอันเลย แต่ท่านกลับไปอยู่ที่เมืองฮาราน รอจนพ่อของท่านเสียชีวิตก่อน รายละเอียดการเดินทางของท่านอยู่ที่ปฐมกาล 12

กิจการ 7:5-7
สเทเฟนบอกพวกเขาชัดเจนว่า อับราฮัมไม่ได้มรดกเป็นผืนดิน แต่พระองค์ทรงมีแผนการยาวไกลสำหรับลูกหลานของอับราฮัม ซึ่งก็คือ คนเหล่านั้นที่สเทเฟนกำลังพูดด้วย
ก่อนที่ลูกหลานอับราฮัมจะได้แผ่นดินอุดมสมบูรณ์พวกเขาต้องไปเป็นทาสอยู่ 400 ปี เป็นการถูกทดสอบราวกับไฟเผาชีวิต ในช่วงเวลานั้นเองลูกหลานของอับราฮัมรู้จักพระเจ้าแล้ว และพวกเขาก็เป็นเหมือนชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่เข้าไปอยู่อย่างโอ่อ่าในตอนแรก ในเวลาต่อมาจึงตกต่ำกลายเป็นทาส แต่พระเจ้าจะทรงพิพากษาผู้ที่ทำให้อิสราเอลต้องเป็นทาส
กิจการ 7:8
พันธสัญญาที่พระเจ้าประทานให้อับราฮัมนั้น มีการทำสุหนัตเป็นเครื่องหมายของพันธสัญญา และยังทำสืบเนื่องกันมาจนทุกวันนี้
ความจริงแล้ว เรื่องพันธสัญญาของพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมาก หากเรามองการเสด็จมาของพระเยซู เราจะพบว่า จุดเริ่มต้นนั้นอยู่ที่พันธสัญญาของพระเจ้าที่ประทานแก่อาดัม

กิจการ 7:9-16 แล้วมาถึงสมัยโยเซฟ
จากนั้น สเทเฟนก็เล่าถึงชีวิตของโยเซฟ หนึ่งในพี่น้อง ลูก ๆ ของยาโคบ พระเจ้าทรงอยู่กับโยเซฟตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่พี่ ๆ เกลียดชัง ไม่ว่าชีวิตจะขึ้นหรือลง ท่านเต็มด้วยพระเจ้า แม้ว่าจะอยู่ในดินแดนที่เชื่อถือพระอื่น แต่โยเซฟก็ยังอยู่กับพระเจ้าทุกวินาที
แล้วในที่สุดครอบครัวของท่านก็เข้ามาอยู่ในอียิปต์ ที่ว่า 75 ในขณะที่ปฐมกาลว่า 70 ก็คือ สเทเฟนนับลูกชายหลานชายของโยเซฟที่เกิดในอียิปต์เข้าไปด้วย (จาก enduringword.com)

กิจการ 7:17-29 ตามด้วยโมเสส
ผ่านไป 400 ปี แม้จะเป็นทาส แต่คนยิวเป็นชนชาติที่ต้องทวีคูณ พวกเขามีลูกหลานเกิดขึ้นมากมาย
ฟาโรห์ในยุคใหม่นั้น ไม่รู้เรื่องว่า ที่ยิวเข้ามาทำให้พวกเขามีคนทำงาน ประเทศชาติเจริญขึ้น ท่านรู้สึกว่า คนยิวจำนวนมากขนาดนี้ เป็นภัยกับอียิปต์ แต่ก็เสียดายด้วยเพราะยิวแรงดี ทำงานแข็งขัน
ฟาโรห์ถึงกับสั่งฆ่าเด็กชาย แต่แล้ว ก็มีเด็กชายคนหนึ่งเกิดมาในบ้านที่รักพระเจ้า เด็กชายคนนี้ เป็นที่งดงามในพระเนตรพระเจ้า เขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกให้ทำการใหญ่ โดยที่พ่อแม่ไม่รู้เลย แล้วเขาก็ได้กลายไปเป็นเจ้าชายในวังของฟาโรห์อย่างมหัศจรรย์
คิดดูสิ เด็กชายชาวยิว กลับกลายเป็นลูกชายของธิดาของฟาโรห์ ในเวลาเดียวกันก็มีแม่ของตนแฝงตัวเข้าไปเป็นแม่นม เป็นผู้เลี้ยงดูเขาตั้งแต่เล็ก ดังนั้น เขาจึงรู้ว่า เขาคือใคร เชื้อสายอะไร
เขาได้กลายเป็นผู้ที่มีโอกาสเกินหน้าเด็กชายชาวยิวทั่วไป .. พระเจ้าทรงเตรียมการนี้อย่างมหัศจรรย์ แต่แล้ว เขาก็ต้องหมดโอกาสที่จะเป็นฟาโรห์คนต่อไป กลับกลายต้องระหกระเหินไปอยู่ในดินแดนห่างไกล จากเจ้าชายแห่งอียิปต์ กลายเป็นคนเลี้ยงแกะในแผ่นดินที่แห้งแล้ง มีครอบครัวเป็นคนธรรมดา ที่ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสอะไรอีกในชีวิต แต่นี่คือแผนการของพระเจ้า ที่ไม่มีใครคาดคิด พระเจ้าทรงสัญญาอะไรไว้กับอับราฮัม พระองค์จะทรงทำตามพระสัญญา ไม่ว่าจะต้องคอยมานานกว่าสี่ร้อยปี

กิจการ 7:30-37
แล้ววันหนึ่ง พระเจ้าทรงเรียกโมเสส ด้วยการให้เขาพบกับพุ่มไม้ไฟ ที่ไม่ไหม้มอดไป พระองค์ทรงบอกว่า จะทรงส่งเขาไปเพื่อนำคนของพระองค์ออกมา แม้ว่าโมเสสจะยืนกรานว่าทำไม่ได้ แต่.. ในที่สุด เขาไม่อาจจะทัดทานพระเจ้าได้เลย
เขาได้นำคนออกมาจากอียิปต์ แต่ไม่ใช่ออกมาได้ง่าย ๆ ฟาโรห์ต้องเจอภัยพิบัติมากมาย แต่ท่านก็ไม่ยอมแพ้ และแล้ว ฟาโรห์ต้องเสียหน้ามากที่สุด เสียรถศึก และกองทัพและพ่ายแพ้ต่อพระประสงค์ของพระเจ้า
ในช่วงเวลานั้นเอง โมเสสได้ให้คำพยากรณ์ว่า พระเจ้าจะทรงให้เกิดผู้เผยพระคำเหมือนข้าที่มาจากหมู่คนยิวเอง

กิจการ 7:38-43 อิสราเอลกับรูปเคารพ
สเทเฟนกำลังชี้แจงให้คนที่ยืนฟังอยู่ได้เห็นว่า คนยิวสมัยก่อนก็ไม่ต้องการการช่วยเหลือของพระเจ้า พวกเขาหันไปหารูปเคารพ และกราบไหว้สิ่งเหล่านั้น ตรงนี้เองที่ทำให้พวกเขาต้องได้รับโทษจากพระเจ้าโดยตรง ต่อมาพระเจ้าทรงส่งพวกเขาไปเป็นเชลยในบาบิโลน ในเปอร์เซีย
สเทเฟนทำให้พวกเขารู้ว่า โมเสสทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ปกครอง และเป็นผู้พิพากษาตัดสินคดีของพวกเขา โมเสสทำการอัศจรรย์ ซึ่งทั้งหมดนี้เหมือนกับพระเยซู สเทเฟนพูดถึงโมเสสนานเป็นพิเศษ เพราะคนที่ฟังเขาอยู่นั้น เป็นคนถือกฎบัญญัติของโมเสสอย่างเคร่งครัด แต่แล้ว คนยิวก็ได้ปฏิเสธโมเสสไปไหว้รูปเคารพ นี่เองสเทเฟนกำลังชี้ให้เห็นว่า โมเสสเป็นผู้ที่มาก่อนพระเยซู และพระเยซูคือคนที่โมเสสกล่าวถึง
และหากพวกเขาปฏิเสธพระเยซู พวกเขาจะต้องเจอกับอะไร

กิจการ 7:44-53
ถึงอย่างนั้น พระเจ้ายังทรงอยู่ท่ามกลางพวกเขา โดยมีกระโจมแห่งพยานเป็นสัญลักษณ์ ต่อมาเมื่อครอบครองดินแดนแล้ว ก็ยังมีพระวิหารด้วย แม้จะมีการสถิตอยู่กับพระเจ้าให้เห็น คนยิวส่วนใหญ่ก็กลับหันหลังให้พระองค์ มีบางพวกที่พยายามบอกใคร ๆ ว่า พระเจ้าอยู่แค่ในพระวิหารของพวกยิวเท่านั้น แต่พระองค์กลับแจ้งให้เขารู้ว่า พวกเขาจะมาจำกัดพระองค์ให้อยู่ตามที่พวกเขาต้องการไม่ได้
คนยิวสมัยสเทเฟนเองก็เช่นกัน เขาพยายามวางรูปแบบ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ตามใจตัวเองเพื่อบอกว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่ได้ตรัสอย่างนั้น
แล้วในที่สุด สเทเฟนก็หวนกลับมายังตัวผู้ที่กำลังยืนฟังอยู่ว่า พวกเขาต่อต้านองค์พระวิญญาณของพระเจ้าเหมือนกับที่บรรพบุรุษได้ทำ. พวกเขาสังหารผู้รับใช้ของพระเจ้าเหมือนบรรพบุรุษของเขา และนั่นก็คือ พวกเขาได้สังหารพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าด้วย

กิจการ 7:54-60 สังหารสเทเฟน
พอได้ยินว่า พวกเขาเองเป็นคนที่สังหารองค์บริสุทธิ์ที่พระเจ้าทรงส่งมา ..​ก็โกรธจัด กัดฟันกรอด
ทนฟังต่อไปไม่ได้แล้ว ผู้นำศาสนายิวไม่อาจฟังคำพยาน ไม่อาจฟังความจริงจากสเทเฟนได้
ขณะนั้น สเทเฟน ซึ่งกล่าวความจริงมาเนิ่นนาน เต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านมองเห็นพระเยซูเบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้า! นี่เป็นเหตุให้ท่านกล้าหาญ ไม่กลัวความตายแม้แต่นิด ที่จริง ท่านคงรู้แล้วว่า หลังจากคำกล่าวครั้งนี้ คงไม่รอดแน่ แต่ความตายไม่ทำให้ท่านกลัวเลย ยิ่งเห็นพระเจ้าบนสวรรค์ ใครจะไปสนใจที่จะอยู่ในโลกอีกต่อไป?
ในที่สุดสเทเฟนถูกขว้างด้วยหินจนเสียชีวิต .. ในวันนั้นเอง ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ได้ยินคำทั้งสิ้นของสเทเฟน และเป็นคนที่ยินยอมให้เกิดการขว้างด้วยหินครั้งนี้ คือชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ เซาโล
คำอธิษฐานสุดท้ายของสเทเฟนคือ “ขอพระเจ้าทรงรับวิญญาณของข้าพเจ้าไป” และ”ขออย่าทรงถือโทษคนทั้งปวง” ที่เป็นอย่างนี้ได้เพราะว่า พระเจ้าทรงอยู่ตรงหน้าสเทเฟน ไม่มีอะไรที่ท่านจะต้องกลัว ไม่มีสิ่งที่ค้างคาใจของท่านเลย ท่านไปจากโลกนี้อย่างมีศักดิ์ศรี และถวายพระเกียรติพระเจ้าเป็นที่สุด


พระคำเชื่อมโยง
2* กิจการ 22:1, สดุดี 29:3, ปฐมกาล 11:31-32
3* ปฐมกาล 12:14* ปฐมกาล 11:31-32; 15:754* กิจการ 5:33; 2:37; โยบ 16:9; สดุดี 35:16; 37:12
5* ปฐมกาล 12:7; 13:15; 15:3,18; 17:8; 26:3
6* ปฐมกาล 15:13,14,16; 47:11,12 อพยพ 1:18-14; 12:40,41
7* ปฐมกาล 15:14 อพยพ 14:13-31; 3:12
8* ปฐมกาล 17:9-12; 21:2-4; ลูกา 1:59; ปฐมกาล 25:26; 29:31-35, 30:5-24, 35:18,23-26
9* ปฐมกาล 37:4,11,28
11* ปฐมกาล 41:54; 42:5
12* ปฐมกาล 42:1-2
13* ปฐมกาล 45:4, 16
14* ปฐมกาล 45:9, 27; เฉลยธรรมบัญญัติ 10:22
15* ปฐมกาล 46:1-7; 49:33
16* โยชูวา 24:32; ปฐมกาล 23:16
17*ปฐมกาล 15:13; อพยพ 1:7-9
18* อพยพ 1:8
19* อพยพ 1:22
20* อพยพ 2:1-2; ฮีบรู 11:23
21* อพยพ 2:3-4; 5-10
22* ลูกา 24:19
23* อพยพ 2:11-12
27* อพยพ 2:14
29* ฮีบรู 11:27; อพยพ 2:15, 21, 22; 4:20; 18:3
30* อพยพ 3:1-10
32* อพยพ 3:6, 15
33* อพยพ 3:5, 7 , 8, 10
34* อพยพ 2:24, 25; สดุดี 105:26
35* อพยพ 2:14; อพยพ 14:21
36* อพยพ 12:41; 33:1; 14:21; 16:1, 35
37* เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15, 18, 19; มัทธิว 17:5
38* อพยพ 19:3; กาลาเทีย 9:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:27; ฮีบรู 5:12
39* สดุดี 95:8-11
40* อพยพ 32:1, 23
41*เฉลยธรรมบัญญัติ 9:16; อพยพ 32:6, 18, 19
42* 2 เธสะโลนิกา 2:11; 2 พงศ์กษัตริย์ 21:3; อาโมส 5:25-27
43* เยเรมีย์ 25:9-12
44* ฮีบรู 8:5
45* โยชูวา 3:14; 18:1; 29:3; สดุดี 44:2; 2 ซามูเอล 6:2-15
46* 2 ซามูเอล 7:1-13
52* กิจการ 3:14; 22:14
53* อพยพ 20:1
54* กิจการ 5:33
55* กิจการ 6:5; อพยพ 24:17
56* มัทธิว 3:16; ดาเนียล 7:13
58* เลวีนิติ 24:14-16; กันดารวิถี 15:35
59* กิจการ 9:14; สดุดี 31:5; ลูกา 23:46
60* กิจการ 9:40; 20:36; 21:5; ลูกา 22:41; เอเฟซัส 3:14; มัทธิว 5:44; 27:52

ยอห์น 18 มอบชีวิตให้ด้วยพระองค์เอง

** พระคำตอนนี้ ได้ทำออกมาเป็นภาพประกอบ บางครั้งคำจึงหายไปกลายเป็นภาพที่ต้องสังเกต ดังนั้น ควรกลับไปอ่านพระคัมภีร์เพื่อจะได้คำครบ และอ่านคำอธิบายเพิ่มเติม

การจับกุมในสวน

ต่อหน้าอันนาส

เปโตรกับคำทำนายของพระเยซู

พระเยซูถูกส่งไปพบคายาฟาส

ส่งต่อไปหาผู้ว่าราชการจากโรม

ก่อนอื่นใด เราต้องรู้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระเยซูในคืนนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ถูกกำหนดไว้ก่อน พระเยซูตรัสว่าเวลาของพระองค์มาถึงแล้ว พระองค์เป็นผู้ที่ยอมสละชีวิตของพระองค์เอง ไม่มีใครทำอะไรพระองค์ได้ หากพระองค์ไม่ยอม ในคืนนั้น พระเยซูทรงทำตามที่ตั้งพระทัยไว้


คำอธิบายเพิ่มเติม

ยอห์น 18:1-2
ยูดาสรู้ดีว่า พระเยซูกับพวกศิษย์ชอบมาที่สวนนี้ อธิษฐาน และสนทนากันเรื่องของพระเจ้า เขาเดาว่า อย่างไรคืนนี้ พระองค์คงต้องมาที่นี่แน่นอน และเขาเป็นผู้ที่พาทหารมาจับพระเยซู โดยได้รับค่าจ้างก่อนหน้านี้ น่าแปลกที่ยูดาสอยู่กับพระเยซูมานาน แต่กลับกลายเป็นผู้ที่หลงหาย สามารถทรยศพระอาจารย์เพื่อเห็นแก่เงินได้ เขาได้เรียนรู้จักพระเจ้ามาตั้งแต่ต้น เสียดายเหลือเกินที่เขาไม่ได้เปลี่ยนจิตใจ เปลี่ยนชีวิตเลย .. เขาเป็นต้นแบบที่ทำให้เรารู้ว่า ต่อให้รู้มากแค่ไหน อยู่ในทางพระเจ้ามานาน แต่หากไม่ยอม หากรักเงินมากกว่าพระเจ้า ชีวิตน่าเป็นห่วงนัก
ยอห์น 18:3-5
เราจะเห็นจากเหตุการณ์นี้ว่า พระเยซูไม่ได้กลัวทหารที่มากันเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงยืนเผชิญหน้ากับพวกเขา ที่ต้องพากันมามากแบบนี้เพราะเหล่าปุโรหิตเองกลัวว่าจะเกิดการต่อสู้กันขึ้น พวกเขาคิดว่า พระเยซูจะไม่ยอม อาจจะจับพระองค์ไม่ได้ เพราะว่า พวกเขาพยายามหลายครั้งมาก่อนหน้านี้ แต่ไม่เคยจับกุมพระองค์ได้เลย
สิ่งที่น่าสังเกตคือ ยอห์นเป็นคนเดียวที่บันทึกว่า มีทหารโรมเข้ามาด้วย รวมกับทหารที่ดูแลพระวิหาร (ยอห์น 18:3) แสดงว่า พวกผู้นำศาสนาต้องไปขอความร่วมมือจากปีลาตมาก่อนแล้ว
ยอห์น 18:6-8
ครั้งนี้ แค่พระเยซูตรัส พวกเขาก็ล้มลงทันที นี่แสดงว่า พระเยซูทรงมีฤทธิ์ที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ได้ เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่า ถ้าพระเยซูทรงประสงค์อะไร พระองค์ก็จะได้สิ่งนั้น แต่คืนนี้ เป็นคืนที่พระองค์ทรงประสงค์ที่จะทำตามพระบิดา และจะให้ทุกอย่างสำเร็จตามที่ทรงบอกกับศิษย์ล่วงหน้า และตามที่ได้มีการพยากรณ์ถึงพระองค์ไว้ก่อนหน้านี้หลายร้อยปี
พระเยซูทรงสั่งให้ทหารปล่อยศิษย์ทุกคนไป พระองค์ไม่ได้ให้เขาสักคนต้องถูกทำร้าย พวกเขายังมีพันธกิจที่จะต้องทำต่ออีก และพระองค์ได้ทูลต่อพระบิดาแล้วว่า พระองค์ไม่ได้ให้พวกเขาหายไปสักคนเดียว (ในบทที่ 17)
ยอห์น 18:9-11
แต่แล้วด้วยความใจร้อน ความโมโหสุดขีด เปโตรก็ได้เอาดาบที่เขามักจะพกไปด้วยนั้น ออกมาฟันหูทานคนหนึ่งขาดไปเลย … แทนที่พระเยซูจะชม กลับทรงตำหนิเขาและบอกว่า เหตุการณ์นี้มาจากพระบิดา เป็นถ้วยความตายที่พระองค์ต้องดื่ม ในบันทึกเล่มอื่นบอกว่า พระองค์ทรงหยิบหูของเขามาติดให้
ยอห์น 18:12-14
คายาฟาสเป็นปุโรหิตใหญ่ขณะนั้น แต่คนที่เป็นผู้กุมอำนาจของศาสนายิวในตอนนั้นจริง ๆ คืออันนาส ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์จากการถวายเครื่องบูชาในพระวิหาร เขาโกรธพระเยซูที่ทรงไปทำลายร้านค้า ร้านแลกเปลี่ยนเงินที่ทำธุรกิจในพระวิหาร ถึงสองครั้ง จริง ๆ เขาพยายามจับกุมพระองค์มาก่อนหน้านี้ แต่ไม่เคยทำสำเร็จ อันนาสเป็นพ่อตาของคายาฟาสอีกที เขามีลูกชายคนอื่น ๆ ที่ทำงานในพระวิหารอีกด้วย
ยอห์น 18:15-16
เปโตรกับศิษย์อีกคน ซึ่งคุ้นเคยกับคนในบ้านของปุโรหิตได้เข้าไปในบ้านนั้น ศิษย์อีกคนผู้นี้ไม่ได้กล่าวว่าชื่ออะไร แต่เราพอจะประเมินได้ว่าคือยอห์น ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้นั่นเอง ตอนแรกเปโตรก็แอบอยู่ริมประตู แต่แล้ว เพื่อนคนนี้ก็ได้พาเขาเข้าไปในลานบ้าน
ยอห์น 18:17-18
สาวใช้ในบ้านรู้ว่า อีกคนที่มากับเปโตรเป็นคนของพระเยซู เธอจึงถามเขาโดยที่จากภาษาที่ใช้ทำให้เรารู้สึกว่า เธอต้องการคำตอบว่า ไม่… ด้วยความกลัว เปโตรตอบว่า เขาไม่ได้เป็นศิษย์ของพระองค์ และตอนนั้นเองก็ทำให้เขากล้าเข้าไปผิงไฟกับคนในบ้าน
ยอห์น 18:19-20
มีรายละเอียดเรื่องการสอบสวนในบ้านของอันนาส ซึ่งเป็นคนใหญ่โตที่ไม่ได้มีอำนาจเป็นทางการ แต่อำนาจของเขาก็ยังมีอยู่ไม่น้อย เขาถามพระองค์เรื่องศิษย์ และคำสอน เขาต้องการได้หลักฐานที่บอกว่า พระองค์กำลังจะทำการลุกฮือต่อต้านโรม เพราะเป็นประเด็นที่เขาใช้เพื่อทำลายพระองค์
พระเยซูทรงตอบตรง ๆ ว่า ทรงสอนอะไรอย่างเปิดเผย ไม่ได้แอบสอน ไม่ได้แอบก่อตั้งกลุ่มศิษย์เพื่อต้านโรม
ยอห์น 18:21
ดูเหมือนว่าการสอบสวนพระเยซูไม่ได้คืบหน้าไปเท่าไร ในเมื่อพระเยซูก็ทรงสอนในที่สาธารณะอย่างตรงไปตรงมา ใคร ๆ ก็รู้ว่า พระองค์กล่าวถึงราชอาณาจักรของพระเจ้า กล่าวถึงการกลับใจใหม่ ทรงเทศนาหลายครั้ง ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการที่จะต่อต้านโรม (ซึ่งพวกเขาต้องการให้เป็นเช่นนั้น จะได้เอามาเป็นข้อกล่าวหาว่า พระองคกบฎ) พระองค์ทรงบอกให้เขาไปถามคนที่เคยได้ยินพระองค์สอน ซึ่งพวกเขาจะเป็นพยานได้ แต่พวกเขาไม่พอใจกับคำตอบ
ยอห์น 18:22-23
แล้วแทนที่พระองค์จะทรงตอบตรง ๆ กลับทรงบอกให้ไปถามคนที่ฟังว่า พระองค์ตรัสอะไร เป็นเหตุให้คนหนึ่งในที่นั้น เดือดขึ้นมาทันควันและตบพระพักตร์พระองค์ คนที่ตบพระพักตร์คงรู้สึกว่า พระเยซูช่างไร้มารยาทต่อหน้าผู้ใหญ่เหล่านี้
จากบ้านของอันนาส พวกเขาไม่อาจหาเหตุฟ้องร้องพระองค์เพื่อให้ถูกลงโทษประหารได้ อย่าลืมว่า การประหารของยิวจะใช้หินขว้างจนตาย ส่วนการประหารของโรมเป็นการตรึงกางเขน และช่วงเวลานี้ก็อยู่ในเทศกาลด้วย จะมาประหารคนในเวลานี้ก็แปลก ๆ อยู่ อันนาสจึงส่งพระเยซูไปบ้านคายาฟัส เขาต้องการให้คายาฟัสช่วยหาเหตุที่จะฟ้องพระเยซู
เราดูรายละเอียดที่เกิดขึ้นได้จาก มัทธิว 26:57-68, มาระโก 14:53-65, ลูกา 22:66-71
ยอห์น 18:24-26
ระหว่างนั้น ยอห์นก็หันมาดูเหตุการณ์ที่ลานบ้านอีกครั้ง ชายอีกคนตั้งคำถามเดียวกับหญิงสาวคนแรก เปโตรตกใจมาก บอกตัดความสัมพันธ์กับพระเยซูด้วยการปฏิเสธคำถามนั้น
ชายอีกคนเป็นญาติของทาสที่เปโตรตัดหู แล้วเปโตรก็ปฏิเสธพระเยซูเป็นครั้งที่สาม โดยที่มีไก่ขันบอกสัญญาณว่า เขาได้ทำอะไรลงไป เราดูรายละเอียดของเรื่องราวได้ที่มัทธิว มาระโกและลูกาได้เช่นกัน ตรงนี้เห็นว่า ยอห์นรู้จักคนในบ้านของปุโรหิตเป็นอย่างดี
ยอห์น 18:27-28
จริง ๆ แล้ว เหล่าผู้นำศาสนาของยิวต้องการประหารพระเยซู แต่กลับทำตัวบริสุทธิ์ ไม่อาจเข้าไปในศาลของโรมได้ จิตใจที่สกปรกของพวกเขาประกอบกับการทำตัวดูเคร่งครัดช่างขัดแย้ง แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าแปลกแต่อย่างใด คนเราทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่
ตอนนี้พวกเขาคิดว่า วิธีดีสุดในการกำจัดพระเยซูคือยืมมือของทหารโรมแล้วกัน ดังนั้นสิ่งที่ต้องได้คือ คำตัดสินจากปีลาต ซึ่งเป็นผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยที่ถูกแต่งตั้งมาจากโรม พวกเขาสมคบคิดกันหาทางที่จะเอาชีวิตพระเยซูให้ได้ในครั้งนี้ จะไม่ยอมปล่อยไปเด็ดขาด
ยอห์น 18:29-32
จริง ๆแล้ว ปีลาตเป็นคนที่ดุร้าย และเกลียดชังพวกยิว ที่เขาต้องมาอยู่ในเยรูซาเล็มเวลานี้ก็เพราะถูกส่งมา เพื่อดูแลไม่ให้เกิดความวุ่นวายในเทศกาลปัสกา ปกติแล้วจะพักอยู่ที่เมืองอื่น ภรรยาของเขาเป็นลูกสาวคนสำคัญ คำถามแรกของเขาสมเหตุผลคือ จะฟ้องเรื่องอะไร.. แต่พวกเขาก็ไม่ตอบตรง ๆ กลับเลี่ยงคำตอบ
ความจริงพวกยิวเหล่านี้ก็คิดแล้วว่าจะต้องทำเหมือนว่า พระเยซูทรงกบฎต่อโรม ทรงเป็นคนที่ปลุกระดมคนขึ้นมาต่อต้านโรม … เพื่อว่าจะได้รับการตัดสินประหารจากปีลาตโดยตรง
ยอห์น 18:33-34
อิสราเอลไม่ได้อยู่ใต้กษัตริย์ใด หลายคนในช่วงเวลานั้นมักพูดกันไปว่า พระเยซูคือพระเมสสิยาห์ หรือพระผู้ช่วยให้รอดของอิสราเอล ทำให้เกิดการสับสนขึ้น พวกยิวชั้นสูงเหล่านี้อ้างว่า พระเยซูนำคนจำนวนมากไปทางผิด ฝ่าฝืนการจ่ายภาษีให้ซีซาร์ อ้างว่าพระองค์เองเป็นพระเมสสิยาห์ ซึ่งเหล่านี้ (ลูกา 23:2)ทำให้ปีลาตต้องถามพระเยซูว่า พระองค์คือกษัตริย์ของยิวหรือเปล่า?
คำตอบของพระเยซูไม่ได้ช่วยให้เขาเข้าใจอย่างที่ต้องการ นั่นคือ จริง ๆ แล้ว ยิวส่งพระองค์มาให้เขาตัดสินทำไม? ปีลาตอาจจะเริ่มมองเห็นภาพราง ๆว่า เขาเป็นหุ่นเชิดของยิว
ยอห์น 18:35-36
ปีลาตเองไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาต้องมายุ่งกับความผิดทางศาสนาที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย พวกผู้นำศาสนาควรที่จะจัดการกับพระเยซูไปเอง แต่กลับส่งนักโทษมาให้ การตอบโต้กันระหว่างปีลาตในช่วงนี้ ทำให้ปีลาตได้รู้ว่า พระเยซูทรงมีอาณาจักรที่ไม่ใช่เป็นแบบที่เขาเข้าใจ เขาเองรู้สึกไม่พอใจกับคำตอบของพระเยซู
ยอห์น 18:37-38
พระเยซูทรงยอมรับว่า พระองค์เป็นกษัตริย์ที่มาเกิดในโลกนี้เพื่อเป็นพยานถึงความจริง .. ซึ่งก็หมายความว่า พระเยซูเสด็จมาเพื่อบอกให้โลกรู้จักพระเจ้าผู้ทรงเป็นความจริง นำผู้คนกลับคืนดีกับพระเจ้า ได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่คำพูดสั้น ๆ ของพระองค์นั้น ปีลาตไม่เข้าใจ แม้จะถามว่าความจริงคืออะไร แต่เขาไม่ได้ต้องการคำตอบในเวลานั้น เขาจึงออกไปหาพวกยิวที่ลานอีกครั้ง ยอห์น 18:39-40
ปีลาตเห็นว่า พระเยซูไม่มีความผิด แล้วเขาจึงใช้ประเพณีที่จะปล่อยนักโทษหนึ่งคนในเทศกาลปัสกามาใช้ เขาคาดการณ์ผิดคิดว่าประชาชนจะยินยอม แต่ผู้คนถูกพวกผู้นำศาสนาทั้งหลายปั่นหัวไว้เรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์จึงพลิกอย่างที่ปีลาตไม่อาจทำอะไรได้เลย
ที่บอกว่า บารับบัสเป็นโจรนั้น คือ เขาเป็นโจรประเภทหัวรุนแรง เป็นพวกโหดเหี้ยม แต่กลับถูกเลือกให้ปล่อยออกมา จะเห็นได้ว่า ปีลาตถูกบังคับให้ทำตามความต้องการของเหล่าผู้นำศาสนายิวอย่างที่สู้อะไรกลับไม่ได้เลย …​พวกนี้ฉลาดเป็นกรด ทำทุกอย่างเพื่อประหารพระเยซู


พระคำเชื่อมโยง
1* มาระโก 14:26,32; 2 ซามูเอล 15:23
2* ลูกา 21:37; 22:39
3* ลูกา 22:47-53
4* ยอห์น 6:64; 13 ; 1,3; 19:28
5*มัทธิว 21:11; สดุดี 41:9
9* ยอห์น 6:39; 17:12
10* มัทธิว 26:51
11* มัทธิว 20:22; 26:39
13* มัทธิว 26:57; ลูกา 3:2; มัทธิว 26:3
14* ยอห์น 11:50
15* มาระโก 14:54; ยอห์น 20:2-5
16* มัทธิว 26:69
17* มัทธิว 26:34
20* ลูกา 4:15; ยอห์น 6:59; มาระโก 14:49
21* มาระโก 12:37
22* เยเรมีย์ 20:2; บทเพลงคร่ำครวญ 3:30
24* มัทธิว 26:57; ยอห์น 11:49
25* ลูกา 22:58-62
27* มัทธิว 26:34; ยอห์น 13:38
28* มาระโก 15:1; ยอห์น 18:32; กิจการ 10:28; 11:3
29* มัทธิว 27:11-14
32* มัทธิว 27:17-19, 26:2; ยอห์น 3:14, 8:28, 12:32-33
33* มัทธิว 27:11
36* 1 ทิโมธี 6:13; ดาเนียล 2:44; 7:14
37* มัทธิว 5:17; 20:28; อิสยาห์ 55:4; ยอห์น 4:6
39* ลูกา 23:17-25
40* กิจการ 3:14; ลูกา 23:19