กิจการ 20 คงไม่ได้พบกันอีก

กลับมายังมาซิโดเนีย โตรอัส และแคว้นเอเชียน้อย

การสอนครั้งนี้ ยาวนาน…..จนเกิดอัศจรรย์

เตือนใจพี่น้องที่มาจากเอเฟซัส

ให้ระมัดระวังอันตรายที่มีต่อคริสตจักร

พื้นฐานการรับใช้

อธิบายเพิ่มเติม

กิจการ 20:1-3
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากกลุ่มช่างเงินช่างทองในเอเฟซัส ทำให้เปาโลต้องออกจากที่นั่น โดยวางแผนที่จะไปเยรูซาเล็ม ผ่านมาซิโดเนียและอาคาเชีย
โดยที่เปาโลจะช่วยนำกลุ่มคนที่นำเงินถวายไปช่วยคนที่เยรูซาเล็มที่พวกเขาเจอกับการกันดารอาหารอย่างหนัก เราทราบเรื่องนี้เพราะว่าเปาโลได้เขียนถึงคริสตจักรโครินธ์ก่อนที่จะออกมาจากเอเฟซัส ( 1 โครินธ์ 16:1-4 )
เป็นอันว่าได้มีโอกาสเยี่ยมเมืองต่าง ๆ ที่เคยประกาศมาก่อนหน้านี้(ดูกิจการ 16-17) และไปพักในกรีก (ซึ่งหมายถึงอาคาเชียนั่นเอง ซึ่งน่าจะเป็นเมืองโครินธ์ ตามที่เขียนใน 1 โครินธ์ 16:5-7) สามเดือน ซึ่งระหว่างนั้นเอง ก็ได้ทำให้ชาวยิวในพื้นที่ไม่พอใจเหมือนเคย พวกเขาพยายามทำร้ายเปาโล ซึ่งเปาโลก็เลี่ยงโดยการเปลี่ยนเส้นทางจากเดิมจะไปแคว้นซีเรียทางเรือ ก็เลยไปทางบก
กิจการ 20:4-6
เปาโลให้พี่น้องส่วนหนึ่งไปรอที่เมืองโตรอัส พี่น้องเหล่านี้น่าจะเป็นคนจากคริสตจักรต่าง ๆ ที่ได้ถวายเงินเพื่อส่งไปเยรูซาเล็ม เราจะชินกับคนสองสามคนในกลุ่มนี้ อย่างเช่นกายอัส ทิโมธี พวกเขาเป็นคนที่เปาโลพบและสอนให้รู้จักทางของพระเจ้า และพยายามที่จะส่งต่อความเชื่อให้กับคนเหล่านี้ เพื่อพวกเขาจะสอนต่อไปได้ ( 2 ทิโมธี 2:2). เปาโลยังได้อยู่ที่เมืองฟีลิปปีพักหนึ่งเพื่อร่วมเทศกาลไร้เชื้อด้วย
ครั้งนี้เปาโลลงเรือข้ามทะเลอีเจียนไปทางตะวันตก เข้าไปทางแคว้นเอเชียน้อย ที่เมืองโตรอัส การเล่าเรื่องเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นการเล่าของลูกา ที่จากเนื้อความเราจะเห็นว่า ลูกาได้พูดคำว่า เรา หลาย ๆ ครั้ง ทำให้รู้ว่า ลูกาได้เดินทางไปพร้อมกับเปาโล
กิจการ 20:7-9 ก
น่าสนใจที่ลูกาเล่าว่า วันอาทิตย์ พี่น้องมาประชุมกัน พวกเขาไม่ได้ประชุมกันวันเสาร์ในศาลาธรรมอย่างยิวแล้ว เราไม่ทราบว่าเป็นเช้าหรือเย็น อย่างไรก็ดีการประชุมครั้งนี้ยืดยาวไปถึงเที่ยงคืน เนื่องจากในอาณาจักรโรม วันอาทิตย์คนที่เป็นทาสก็ยังต้องทำงาน พวกเขาจึงน่าจะประชุมกันตอนเย็นของวันอาทิตย์
(สตีเวน เจ โคล) พวกเขามาหักขนมปังด้วยกัน ก็คือ มีพิธีระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูด้วยกัน
และครั้งนี้เปาโลสอนนานมาก … จนมีคนหนึ่งหลับคาหน้าต่าง ในห้องมีตะเกียงหลายดวง อากาศก็ไม่ค่อยดี คนก็เหนื่อย แต่เปาโลก็ตื่นเต้นที่จะสอน
กิจการ 20:9
แล้วเด็กหนุ่มที่หลับคาหน้าต่างชื่อยุทิกัส ชื่อของเขาแปลว่า โชคดี เขาอาจเป็นทาสที่ทำงานมาทั้งวัน และมานั่งฟัง พยายามตื่นแต่ร่างกายก็ไม่ไหว แล้วในที่สุดเขาตกลงมาจากตึกชั้นที่สาม เมื่อมีคนวิ่งไปดูประคองเขาขึ้นมา ก็บอกว่าเขาตายแล้ว! และการที่ลูกาผู้เขียนซึ่งเป็นแพทย์ยืนยัน เราจึงเชื่อได้ว่า ยุทิกัสนี้สิ้นลมจริง
กิจการ 20:10-12
แต่เปาโลไม่นิ่งนอนใจ เขาลงไปข้างล่าง โอบยุทิกัสไว้ และบอกพี่น้องว่า ว่า ไม่ต้องตกใจ เขายังมีชีวิต .. ลูกาผู้เขียนไม่ได้บอกรายละเอียดเรื่องนี้เลย แต่เราเห็นได้ว่า การเข้าไปสัมผัสครั้งนี้ ทำให้ยุทิกัสมีชีวิตคืนขึ้นมา
ดูเหมือนการตกลงมาจากตึกสามชั้นไม่ได้ทำให้ยุทิกัสมีบาดแผลด้วย พวกเขาขึ้นไปบนตึก และยังไปหักขนมปังด้วยกัน เช้ามา ต่างก็ลาจากกันไป เป็นการจากไปที่ต่างมีความยินดีมาก ๆ
กิจการ 20:13-16
ข้อความตอนนี้ได้เล่ารายละเอียดว่า เปาโลเดินทางบกแล้วไปเจอพี่น้อง จากนั้นก็ลงเรือไปด้วยกัน ที่นั่นที่นี่หลายแห่ง โดยไม่แวะเอเฟซัส จนกระทั่งมาถึงเมืองมิเลทัสซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเอเฟซัสเท่าไรนัก ที่เปาโลทำเช่นนี้ น่าจะเป็นโอกาสที่ได้ประกาศกับเมืองระหว่างทาง หรือเป็นเวลาที่จะอยู่ตามลำพังเพื่อเดินไปอธิษฐานไป? เปาโลสั่งให้คนอื่นไปก่อน แต่ตัวเองกลับเดินเท้าไปยังอัสโสสซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ห่างโตรอัสประมาณ 40 กิโลเมตร
กิจการ 20:17-19
เปาโลส่งคนไปเชิญ ผู้ปกครองคริสตจักรเอเฟซัสที่รู้จักกันใกล้ชิด มาประชุมด้วยกันเพื่อจะได้สอนและหนุนใจพี่น้องเหล่านั้น โดยที่ไม่ไปแวะเอเฟซัสเลย
อย่างแรกที่เปาโลกล่าวถึงคือ เวลาที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพี่น้องในเอเฟซัสว่า เป็นอย่างไร การอยู่อย่างถ่อมตน การเจอกับแผนร้ายของยิวสารพัด
แคว้นเอเชียในที่นี้ คือดินแดนที่โรมครอบครองในแคว้นเอเชีย ซึ่งอยู่ในตุรกีปัจจุบันบางส่วน และพื้นที่เมืองโตรอัส มิเซีย ลิเดีย คาเรีย ฟรีเจียบางส่วน โดยมีเอเฟซัสเป็นเมืองหลวง
กิจการ 20:20-23
เปาโลได้สอนยิวในศาลาธรรม ตามบ้าน และสอนกรีกที่ของทิรันนัส (19:9) ชักชวนให้กลับใจเชื่อพระเยซู แต่แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงนำให้เขาไปเยรูซาเล็ม ซึ่งเปาโลเองก็รู้ดีว่า ต้องมีเรื่องร้าย ๆ รออยู่แน่นอน
กิจการ 20:24-25
ที่เปาโลต้องเรียกพวกเขามาคุยเพราะรู้ว่า จะไม่ได้มีโอกาสเจอกันอีก .. อ่านโรม 15:23 จะเข้าใจเหตุการณ์เบื้องหลัง แต่เป้าหมายชีวิตของเปาโลนั้นชัดเจนมาก คือ การประกาศข่าวดีของพระเยซู ไม่มีอะไรที่ทำให้เปาโลมุ่งมั่นไปกว่านี้อีกแล้ว สำหรับเปาโล พระบัญชาของพระเยซูในเรื่องนี้มีค่ายิ่งกว่าชีวิตของเขาเอง สิ่งที่ทำให้พวกเขาเสียใจคือ เปาโลได้แจ้งให้พวกรู้ว่า นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้พบกัน
กิจการ 20:26-28
ตอนนี้เปาโลเห็นว่า งานในพื้นที่แถบนี้เสร็จลงแล้ว ได้บอกแผนการ พระประสงค์ของพระเจ้าทั้งสิ้นให้ทราบ โดยไม่ได้ปิดบังไว้เลย ดังนั้น เปาโลจะฝากพี่น้องไว้กับเหล่าผู้อาวุโสเหล่านี้ พวกเขามีหน้าที่จะต้องเลี้ยงดูพี่น้องต่อไป ชีวิตฝ่ายวิญญาณของพี่น้องอยู่ในมือพวกเขาแล้ว ทุกคนที่เข้ามาฟังเปาโล เป็นผู้ใหญ่พอที่จะช่วยกันรักษาคริสตจักรของพระเจ้าในเอเฟซัส ซึ่งเปาโลบอกว่า เป็นกลุ่มชนที่พระเจ้าทรงซื้อมาด้วยพระโลหิตของพระบุตรนั่นเอง
กิจการ 20:29-31
เปาโลรู้แก่ใจดีว่า ในอนาคตจะมีคนที่หลอกลวงเข้ามาในคริสตจักร และเราก็จะเห็นว่า ในคริสตจักรทุกวันนี้ก็จะเจอคนที่เข้ามาหลอก ปัญหาจากทั้งข้างนอกและข้างในคริสตจักรเอง สำคัญคือต้องตื่นตัว อยู่เฉย ๆ ไปวัน ๆ ไม่ได้ เวลาเปาโลรับใช้ ไม่ได้แค่ตั้งใจรับใช้ แต่เต็มด้วยหัวใจที่เป็นห่วง อธิษฐานร้องไห้เพื่อพวกเขา
กิจการ 20:32-35
เปาโลฝากพี่น้องไว้กับพระเจ้า ฝากไว้กับพระคุณที่จะสร้างและรักษาชีวิตของพวกเขาให้ปลอดภัย เปาโลรักพี่น้องจากเอเฟซัสที่ได้อยู่ด้วยกันนานถึงสามปี ดูเหมือนว่าเปาโลจะตระหนักดีว่า พี่น้องจะต้องเจอการข่มเหงอีกไม่น้อย และตัวเปาโลเองก็มีภาระหนักอยู่ข้างหน้าด้วย
เปาโลได้ย้ำเตือนพวกเขาว่า ได้รับใช้ท่ามกลางพวกเขาด้วยความคิดอย่างไร ต้องเห็นแก่คนที่อ่อนแอกว่า ต้องทำงานหนัก ชีวิตไม่ใช่อยู่สบาย ๆ ง่าย ๆ การดำเนินชีวิตที่เป็นตัวอย่างทำให้เปาโลสามารถพูดกับพี่น้องได้ว่า ให้ทำตามตัวอย่างชีวิตของเขา
คำที่บอกว่า การให้นั้นเป็นสุขกว่าการรับ ก็กลายเป็นพื้นฐานความคิดของการรับใช้ในแผ่นดินของพระเจ้าเพื่อผู้อื่น หลายศตวรรษต่อมา ทำให้คริสตจักรได้ส่งคนออกไปเพื่อประกาศและรับใช้ด้านต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นทางการศึกษา การแพทย์ การช่วยเหลือด้านอื่น ๆ
กิจการ 20:36-38
พวกเขาอธิษฐานด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน เป็นความรักของคนที่รักพระเจ้าและผ่านความยากลำบากมาด้วยกันเพื่อข่าวประเสริฐ เพื่อให้คนอื่นได้รับความรอด พวกเขารู้สึกว่า จะไม่ได้พบกับเปาโลอีก จึงรู้สึกเสียใจมาก แต่ยังมีความหวังว่า จะได้พบกันต่อพระพักตร์ของพระเจ้า ซึ่งเวลานี้พวกเขาก็คงได้พบกันแล้ว




พระคำเชื่อมโยง

1* 1 ทิโมธี 1:3
2* กิจการ 17:15; 18:1
3* 2 โครินธ์ 11:26
4* โคโลสี 4:10; กิจการ 19:29; 16:1; เอเฟซัส 6:21; 2 ทิโมธี 4:20
5* 2 ทิโมธี 4:13
6* อพยพ 12:14-15; 2 ทิโมธี 4:13
7* 1 โครินธ์ 16:2; กิจการ 2:42, 46; 20:11
8* กิจการ 1:13
10* 1 พงศ์กษัตริย์ 17:21; มัทธิว 9:23-24


16* กิจการ 18:21; 19:21; 21:4; 24:17; 2:1
18* กิจการ 18:19; 19:1, 10; 20:4, 16
19* กิจการ 20:3
20* กิจการ 20:2721* กิจการ 18:5; 19:10; มาระโก 1:15
22* กิจการ 19:21
23* กิจการ 21:4, 11
24* กิจการ 21:13; 2 ทิโมธี 4:7; กิจการ 1:17; กาลาเทีย 1:1
26* กิจการ 18:6

27* ลูกา 7:30
28* 1 เปโตร 5:2; 1โครินธ์ 12:28; เอเฟซัส 1:7, 14; ฮีบรู 9:14
29* มัทธิว 7:15
30* 1 ทิโมธี 1:20
31* กิจการ 19:8,10; 24:17
32* ฮีบรู 13:9; กิจการ 9:31; ฮีบรู 9:15
34* กิจการ 18:3
35* โรม 15:1
37* กิจการ 21:13; ปฐมกาล 45:14

1 โครินธ์ 12 หนึ่งเดียวที่แตกต่าง

พระวิญญาณทรงเป็นต้นตอแห่งของประทาน

1 โครินธ์ 12:1-2
พี่น้องทั้งหลาย เรื่องของประทานฝ่ายวิญญาณนั้น ข้าไม่ต้องการให้ท่านขาดความรู้ความเข้าใจ ท่านรู้อยู่ว่า แต่ก่อนท่านเป็นคนต่างความเชื่อ ท่านถูกชักจูงให้หลงผิดไปกราบไหว้รูปเคารพที่พูดไม่ได้
1 โครินธ์ 12:3
ข้าอยากให้ท่านเข้าใจว่า ไม่มีใครที่พูดโดยพระวิญญาณของพระเจ้า จะพูดออกมาว่า “ให้พระเยซูถูกแช่ง” และไม่มีใครอาจพูดว่า
“พระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า”ได้ นอกจากเขาพูดออกมาโดยพระวิญญาณทรงดลใจให้พูด

1 โครินธ์ 12:4-6
ของประทานจากพระวิญญาณมีต่างกัน แต่เป็นมาจากพระวิญญาณองค์เดียวกัน และมีการรับใช้ต่าง ๆ กัน แต่เป็นมาจากพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน มีผลงานต่าง ๆ กัน แต่เป็นพระเจ้าองค์เดียวกันที่ทรงให้เกิดผลในทุกคน
1 โครินธ์ 12:7-8
พระเจ้าประทานการสำแดงของพระวิญญาณให้แต่ละคนเพื่อประโยชน์ของทุกคนโดยทางพระวิญญาณองค์เดียวกัน พระเจ้าประทานให้คนหนึ่งมีคำที่เต็มด้วยปัญญา อีกคนมีถ้อยคำเต็มด้วยความรู้

1 โครินธ์ 12:9
และโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ให้อีกคนมีความเชื่อ โดยพระวิญญาณหนึ่งเดียวนี้ ทำให้อีกคนมีของประทานในการรักษาโรค
1 โครินธ์ 12:10
ให้อีกคนมีทำการประกอบด้วยฤทธิ์อำนาจ และให้อีกคนเผยพระดำรัสของพระเจ้า บางคนสังเกตวิญญาณต่าง ๆ ให้อีกคนพูดภาษาที่แปลกโดยให้อีกคนแปลภาษานั้นได้
1 โครินธ์ 12:11
พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงเป็นผู้กระทำสิ่งต่าง ๆดังกล่าวและทรงแบ่งสรรให้แต่ละคนตามชอบพระทัย

แต่ละคนเป็นส่วนในพระกายเดียวกัน

1 โครินธ์ 12:12เหมือนอย่างที่ร่างกายเป็นกายเดียวแต่ประกอบด้วยอวัยวะหลายส่วน และถึงแม้มีหลายส่วนก็ยังเป็นร่างเดียวกัน
พระคริสต์ก็ทรงเป็นเช่นนั้น
1 โครินธ์ 12:13
เพราะเราทั้งหลายได้บัพติศมาเข้าส่วนในพระกายเดียวโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน. ไม่ว่าจะเป็นยิว หรือกรีกหรือเป็นทาสหรือเป็นไท เราได้รับจากพระวิญญาณองค์เดียวกัน

ความแตกต่างและความเป็นหนึ่งเดียว

1 โครินธ์ 12:14-15 ตามความจริงแล้ว ร่างกายไม่ได้มีอวัยวะเดียว แต่ประกอบด้วยหลาย ๆ ส่วน หากเท้าจะพูดว่า “ข้าไม่ได้เป็นมือ ข้าจึงไม่ใช่ส่วนของร่างกาย” เท้านั้นก็ยังเป็นส่วนของร่างกายอยู่ดี หาได้หลุดจากการเป็นอวัยวะไม่
1 โครินธ์ 12:16-17
และหากหูจะพูดว่า ‘ข้าไม่ได้เป็นดวงตา ข้าจึงไม่ใช่อวัยวะในร่างกาย” หูนั้นก็ยังเป็นส่วนในร่างกายอยู่ดี ถ้าทั้งร่างเป็นดวงตาการได้ยินจะอยู่ที่ไหน ? ถ้าทั้งร่างเป็นหู แล้วการรับรู้กลิ่น
จะอยู่ที่ไหน?
1 โครินธ์ 12:18-20
พระเจ้าทรงจัดอวัยวะแต่ละส่วนในร่างกายตามชอบพระทัยของพระองค์ ถ้าอวัยวะทั้งหมด เป็นอวัยวะเดียวแล้วร่างกายจะอยู่ที่ไหน? ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า มีอวัยวะหลายส่วนในร่างกายเดียว

ทุกส่วนมีความสำคัญ

1 โครินธ์ 12:21
ดวงตาไม่อาจพูดกับมือว่า ข้าไม่ต้องการเจ้า และหัวไม่อาจพูดกับเท้าว่าข้าไม่ต้องการเจ้า
1 โครินธ์ 12:22-23
แต่จริงแล้ว อวัยวะในร่างกายที่ดูเหมือนอ่อนแอกว่า ก็ยังเป็นส่วนที่จำเป็นนัก อวัยวะที่เราเห็นว่า มีเกียรติน้อยเราก็ให้เกียรติเพิ่มเป็นพิเศษ ส่วนอวัยวะที่ไม่ควรให้ใครเห็นเราก็ปกปิดเอาไว้อย่างมีศักดิ์ศรี

พระเจ้าประทานตามน้ำพระทัย

1 โครินธ์ 12:28
และในคริสตจักรพระเจ้าได้ทรงตั้ง บางคนเป็นอัครทูตอย่างแรก อย่างที่สองคือ ผู้เผยพระคำ ที่สามคือผู้สอนพระคำ จากนั้นเป็นคนทำการอัศจรรย์ คนที่มีของประทานในการรักษาโรค ในการช่วยเหลือ ในการเป็นผู้นำ และบางคนก็รู้ภาษาที่แปลก
1 โครินธ์ 12:29-30
ทุกคนได้เป็นอัครทูตหรือ? ทุกคนได้เป็นผู้เผยพระคำหรือ? ทุกคนเป็นอาจารย์หรือ? ทุกคนทำการประกอบด้วยฤทธิ์เดชหรือ? ทุกคนมีของประทานในการรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาที่แปลกหรือ? ทุกคนแปลภาษาที่แปลกได้หรือ?
1 โครินธ์ 12:31
แต่พวกท่านจงกระตือรือร้นขวนขวายหาของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่า และข้าจะชี้แนะทางที่ดีสุดแก่พวกท่าน

1 โครินธ์ 12:1-2
ของประทานฝ่ายวิญญาณคือ ความสามารถ พลังจากพระเจ้าที่ประทานให้ผู้เชื่อ เพื่อรับใช้ตามที่พระวิญญาณให้สำเร็จตามที่พระองค์ทรงควบคุมดูแล เป็นความสามารถที่ใช้เพื่อ สร้างเสริมพี่น้องเพื่อคริสตจักรให้เป็นเกียรติพระสิริแด่พระคริสต์แตกต่างจากอภินิหารใด ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกมืดที่ไม่รู้จักพระเจ้า ซึ่งแต่ก่อนพี่น้องโครินธ์เป็นผู้ที่กราบไหว้รูปเคารพมาแต่เด็ก และอยู่ในพิธีกรรมที่เต็มด้วยพฤติกรรมน่าชังมากมาย

1 โครินธ์ 12:3
สภาพของคริสตจักรในโครินธ์นั้น สับสน วุ่นวายพอสมควร ไม่ต่างอะไรจากคริสตจักรสมัยใหม่ที่คิดว่าตัวเองก้าวหน้า และมีคำสอนประหลาดต่างจากพระคำของพระเจ้า การกล่าวว่า ให้พระเยซูถูกแช่งเป็นคำแช่งสาปที่รุนแรง พอพี่น้องถูกควบคุมโดยวิญญาณชั่ว พวกเขาอ้างว่าตนเองกำลังเผยพระคำของพระเจ้า กลับดูหมิ่นพระเจ้าทำให้พี่น้องงุนงงมาก พวกนี้มีความเชื่อพระเยซูตามใจตนเองแพร่ระบาดในโครินธ์

1 โครินธ์ 12:4-6
องค์พระวิญญาณ ผู้ประทับอยู่ในร่างกายของพี่น้องทุกคนที่เชื่อ ทรงเป็นผู้กำหนดว่า คนใดควรใช้ของประทานอันใดเพื่อให้คริสตจักรโดยรวมเติบโต เป็นแผ่นดินของพระเจ้าในโลกนี้จะเห็นว่า ของประทานแต่ละอย่างเหมาะกับการรับใช้ที่ไม่เหมือนกัน ผลงานที่เกิดขึ้นก็แตกต่างกันไปด้วยแต่ก็เพื่อพี่น้องผู้เชื่อจะได้เติบโต เป็นที่ชื่นชมของพระบิดาเจ้าไปด้วยกัน 

1 โครินธ์ 12:7-8
ท่านเปาโลได้บอกชัดเจนให้พี่น้องทุกคนทราบว่าของประทานเหล่านี้ เป็นเพื่อประโยชน์แก่ทุกคนของประทานที่จำเป็นในแต่ละพื้นที่ก็ไม่เหมือนกันดูอย่างคริสตจักรที่อยู่ในท้องที่ห่างไกล ในที่ ๆไม่ได้รับการติดต่อจากที่ไหน พวกเขาก็ต้องการคนที่เข้าใจเพื่อที่จะอธิบายให้พี่น้องได้เติบโตในพระเจ้า ในคริสตจักรที่เต็มด้วยความสับสนอย่างในโลกปัจจุบันก็ต้องการคนที่มีปัญญา มีความรู้ที่จะเตือนสติพี่น้องได้

1 โครินธ์ 12:9
คนที่มีของประทานในความเชื่อนั้น แตกต่างจากพี่น้องที่เชื่อโดยทั่วไป พวกเขามีความเชื่อแบบสุดสุดในพระเจ้า (ไม่รวมพวกสุดโต่งคิดเอาเอง)แต่คนที่มีความเชื่อเช่นนี้ จำเป็นมากในคริสตจักรส่วนเรื่องการรักษาโรคนั้น เรารู้อยู่ว่า โรคบางอย่างกินยาก็หายได้ พระเจ้าประทานความสามารถให้มนุษย์ค้นคว้า แต่ยังมีโรคที่รักษาไม่หาย คนป่วยที่ไม่อาจมาโรงพยาบาล ไม่มีเงิน สารพัดปัญหาฯลฯ คริสตจักรต้องการของประทานนี้จริง ๆ

1 โครินธ์ 12:10
ยังมีของประทานอีกห้าอย่างที่พระเจ้าประทานฤทธิ์เดช เผยพระดำรัส สังเกตวิญญาณ พูดภาษาที่แปลกออกไปและความสามารถที่จะแปล
ภาษานั้นทั้งหมดนี้เราจะเห็นว่า มีคริสตจักรที่แสวงหาของประทานเหล่านี้ กับคริสตจักรที่ไม่เชื่อในเรื่องของประทาน มีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป ที่พระเจ้าทรงให้ของประทานเหล่านี้ มีเหตุผลที่ชัดเจน สำคัญคือ ช่วยให้พี่น้องเจริญขึ้น

1 โครินธ์ 12:11
มีข้อถกเถียงกันว่า ของประทานเหล่านี้ยังคงมีอยู่ในคริสตจักรหรือไม่ ประเด็นเรื่องของประทาน กลายเป็นสิ่งที่ทำให้คริสเตียนมีความเห็นขัดแย้งกัน บางพวกก็ว่า พระวิญญาณยังทรงทำการอยู่ บางพวกก็ว่า เรื่องนี้มีเฉพาะคริสตจักรยุคแรกเท่านั้น แต่ถ้าเรามองอย่างยุติธรรมว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา คริสตจักรยังคงยืนหยัดอยู่ได้ เพราะมีผู้ที่มีของประทานเหล่านี้ เป็นหลักช่วยให้พี่น้องได้ไม่หลงทางไป โดยเฉพาะในโลกที่เน้นชั่วเป็นดี…

1 โครินธ์ 12:12
การเปรียบเทียบด้วยการใช้ร่างกายมนุษย์นั้นเป็นการเปรียบที่ชัดเจนที่สุด พี่น้องในโครินธ์มีแนวโน้มที่จะมองว่า ของประทานฝ่ายวิญญาณ
บางอย่างมีศักดิ์ศรี และเกียรติยศ มากกว่าของประทานอีกอย่าง โดยไม่ได้คิดถึงโดยรวม ท่านเปาโลจึงใช้ภาพร่างกายมาอธิบายว่า ของประทานทุกอย่างเป็นที่ต้องการ เหมือนกับร่างกายต้องการอวัยวะหลายอย่างจึงประกอบเป็นร่างได้

1 โครินธ์ 12:13
ท่านเปาโลทำให้เรามองเห็นว่า ในความเป็นหนึ่งเดียวของร่างกายมนุษย์นั้น มีอวัยวะส่วนต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนกัน ทำงานต่างกันอย่างน่ามหัศจรรย์ ถ้าเรามองภาพคริสตจักรอย่างที่ท่านบอก เราก็จะรู้สึกเป็นหนึ่งกับทุก ๆ คนที่อยู่ในคริสตจักร พี่น้องที่แตกต่างเชื้อชาติ ฐานะ จะรักกันได้ ไม่เหมือนกับชาวโลกที่เอาเรื่องเหล่านี้มาเหยียดกันเราได้บัพติศมาเข้าส่วนโดยพระวิญญาณเดียวกันเราได้ดื่มจากพระวิญญาณองค์เดียวกัน

1 โครินธ์ 12:14-15
การเปรียบเทียบคริสตจักรเป็นร่างกายของมนุษย์นับเป็นการให้ภาพที่สวยงาม ชัดเจนมาก ๆ ทุกคนในคริสตจักรต่างมีความสำคัญทั้งสิ้น ไม่มีคนไหนที่จะต้องถูกปฏิเสธเพราะเชื้อชาติ หรือฐานะ หน้าตา ความรักในคริสตจักรทำให้โลกรู้ว่าคนที่เชื่อในพระเจ้าแตกต่างจากพวกเขา คริสตจักรคือกลุ่มคนที่เชื่อพระเจ้าเหมือนกัน มารวมตัวกันนมัสการ รับใช้พระเจ้าองค์เดียวกัน และเติบโตไปด้วยกันในองค์พระวิญญาณ

1 โครินธ์ 12:16-17
พี่น้องในคริสตจักรแต่ละคนนั้น ต่างมีหน้าที่มีความสามารถ มีความเป็นตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งเป็นที่ต้องการในคริสตจักรโดยรวม หากคนหนึ่งกล่าวว่า “ฉันไม่ได้เป็นนักเทศน์ ฉันจึงไม่มีส่วนในคริสตจักร” ก็คงไม่ถูกต้อง หากทุกคนเป็นผู้นำ ใครเป็นผู้ตาม? หากทุกคนเป็นนักเทศน์ ใครจะฟัง? เราเห็นพี่น้องอาวุโสที่ตั้งใจอธิษฐานเห็นเด็กเล็ก ๆที่เข้ามาทำให้คริสตจักรสดชื่น มีชีวิตชีวา นี่แหละคือชุมชนคนของพระเจ้า


1 โครินธ์ 12:18-20
พระคำข้อนี้ทำให้เราคิดถึงการทรงสร้างของพระเจ้าที่ทรงจัดหน้าที่ทุกอย่างของอวัยวะทุกส่วนสมบูรณ์แบบตามที่มันควรจะเป็นไป เช่นเดียวกัน พระวิญญาณประทานความสามารถแต่ละอย่างให้เหมาะกับแต่ละคน แต่ละสถานการณ์ ให้สมบูรณ์แบบอยู่แล้วในแต่ละคริสตจักร จึงไม่ควรที่จะมีการอิจฉาตาร้อน หรือน้อยอกน้อยใจหากของประทานของตนนั้นไม่เหมือนกับคนอื่น นี่เป็นจุดอ่อนของพี่น้องในโครินธ์

1 โครินธ์ 12:21
ชัดเจนมาก ในคริสตจักรนั้น พี่น้องต่างต้องการซึ่งกันและกัน ถ้าทุกคนพยายามหาส่วนดี และส่วนที่พระเจ้าประทานให้แต่ละคน นำสิ่งนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวมแล้ว จะดีมาก สิ่งที่ทำให้คริสตจักรไม่เติบโตเพราะบางคนเกลียดชังบางคนไม่ต้องการให้อยู่ในที่เดียวกับตน ขาดความรักขาดความเห็นใจ แม้กระทั่งคนที่พิการซ้ำซ้อนยังเป็นส่วนของคริสตจักรได้ เขาจะเป็นผู้ที่ช่วยสร้างให้คนอื่นได้แสดงความเมตตา นั่นคือพระพร

1 โครินธ์ 12:22-23
เมื่อพระเจ้าทรงสร้างร่างกายมา ทุกส่วนมีความจำเป็นทั้งสิ้น แม้แต่ใส้ติ่งที่หลายคนคิดว่า ไม่มีประโยชน์ แต่ทางการแพทย์ก็พบประโยชน์ของไส้ติ่งแล้ว … อวัยวะแต่ละส่วนน่าดูหรือไม่ควรดูแตกต่างกันไป เรามีบางส่วนที่ปิดบังไว้เพื่อศักดิ์ศรี เราไม่เปลือยกายเดินไปมา แต่เราปกปิดไว้เพื่อเกียรติยศของคน ๆ นั้น ดังนั้นพี่น้องที่อาจจะทำงานแบบไม่มีใครเห็น หรือดูเป็นผู้เล็กน้อยก็ไม่ได้ขาดความสำคัญในคริสตจักรเลย

1 โครินธ์ 12:24-25
ในทางของพระเจ้านั้น แตกต่างจากทางของมนุษย์พระเจ้าทรงให้เกียรติต่อคนที่ดูเล็กน้อย เท่ากับคนที่ดูดีกว่า ดูโดดเด่นกว่า ทรงมองที่ใจไม่ใช่แค่ภายนอก จุดเด่นของพระคำข้อนี้คือ อวัยวะทุกส่วนควรห่วงใยซึ่งกันและกัน พระเยซูตรัสว่า ที่เราปฏิบัติต่อผู้เล็กน้อยที่สุดอย่างไร ก็เหมือนปฏิบัติต่อพระองค์ด้วย เราทุกคนพลาดเรื่องนี้ได้ทุกวัน โดยไม่ได้มองว่า คนเล็กน้อย อวัยวะที่มองไม่เห็นนั่นแหละคือตัวแทนของพระองค์

1 โครินธ์ 12:26-27
นึกถึงตอนเราปวดฟัน บางทีก็จะตามด้วยปวดหูปวดหัวไปด้วย ถ้าพี่น้องเป็นทุกข์ใจ เมื่อคนในชุมชนผู้เชื่อทุกข์ใจตาม ก็จะมีการช่วยเหลือกันโดยไม่ได้คิดเอาบุญคุณ เมื่อพี่น้องมีเกียรติได้เหรียญทองขึ้นมา พี่น้องทั้งหมดก็ชื่นชมตามไม่ได้มีการอิจฉาตาร้อน นี่แหละคือพระกายแท้ ๆไม่ใช่ว่า คนหนึ่งได้ดี อีกคนพยายามกดลง ชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้าแตกต่างจากโลกนะ


1 โครินธ์ 12:28
จะเห็นว่า หน้าที่ในคริสตจักรนั้นมีหลายอย่างแต่ละคนมีหน้าที่เพื่อสร้างเสริมคนอื่น ๆ ให้เจริญขึ้น อัครทูตคือผู้ที่ถูกส่งออกไปเป็นเหมือนทูตพิเศษของพระเจ้า ผู้เผยพระคำ คือคนที่กล่าวคำที่ทำให้พี่น้องได้เข้าใจพระทัยของพระเจ้าในสถานการณ์ปัจจุบัน ยังมีผู้สอนพระคำให้กระจ่างผู้ทำการอัศจรรย์นั้นจะทำด้วยการทรงนำของพระวิญญาณ มิใช่อ้างทำเอง ทำเพื่อประโยชน์ของพี่น้อง พระเจ้าทรงเลือกหน้าที่ให้เอง


1 โครินธ์ 12:29-30
ไม่มีใครสักคนที่จะเป็นได้ทุก ๆ อย่าง เพราะแค่อย่างสองอย่างก็เต็มที่แล้ว พระคำตอนนี้บอกเราชัดเจนว่า หากใครคนหนึ่งบอกว่าตนเองมีของประทานทุกอย่างล่ะก็ คนนั้นน่ากลัวจริง ๆ ว่าจะหลอกหรือเปล่า ข้อความตอนนี้ทำให้เราเห็นว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีทุกอย่าง พระเจ้าทรงเกลี่ยของประทานให้กับทุกคนที่
คริสตจักรจะทำงานได้อย่างราบรื่น ต่างกันแต่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

1 โครินธ์ 12:31
ดูเหมือนว่าของประทานนี้เป็นสิ่งที่เราแสวงหาได้ด้วย ไม่ใช่เพื่ออวดว่าตนเองมี แต่เพื่อรับใช้พี่น้องให้เติบโต แม้ว่าจะเป็นของประทานจากพระเจ้าตามพระทัยของพระองค์ แต่ก็เป็นสิ่งดีที่จะปรารถนาได้ของประทานจากพระเจ้า แต่ยังมีทางที่ดีที่สุดซึ่งท่านเปาโลกำลังจะแนะให้กับพี่น้อง เพราะว่าสิ่งที่ท่านจะบอกนี้ เป็นส่วนประกอบสำคัญในการใช้ของประทานจากพระเจ้าให้มีผลดีเต็มร้อย

พระคำเชื่อมโยง

1* 1 โครินธ์ 12:4; 14:1,37
2* เอเฟซัส 2:11; สดุดี 115:5
3* มัทธิว 16:17
4* โรม 12:3-8; เอเฟซัส 4:4
5* โรม 12:6
6* 1โครินธ์ 15:28

8* 1โครินธ์ 2:6-7; โรม 15:14
9* 2 โครินธ์ 4:13; มาระโก 3:15; 16:18
10* มาระโก 16:17; โรม 12:6; 1 ยอห์น 4:1; กิจการ 2:4-11
11* โรม 12:6; ยอห์น 3:8
12* โรม 12:4-5; กาลาเทีย 3:16

13* โรม 6:5; โคโลสี 3:11; ยอห์น 7:37-39
18* 1โครินธ์ 12:28; โรม 12:3
27* โรม 12:5; เอเฟซัส 5:30
28* เอเฟซัส 4:11; 2:20; 3:5; กิจการ 13:1;
1 โครินธ์ 12:10, 29; กันดารวิถี 11:17;
โรม 12:8
31* 1โครินธ์ 14:1, 39

กิจการ 19 การต่อสู้ที่แปลกออกไป

เปาโลในเมืองเอเฟซัส

การอัศจรรย์ที่ทำให้หมอผีเปลี่ยนชีวิต

ความวุ่นวายจากกลุ่มนายช่าง

คำอธิบายเพิ่มเติม

เปาโลในเมืองเอเฟซัส
กิจการ 19:1-3
นี่เป็นการเดินทางออกไปประกาศเยี่ยมเยี่ยนครั้งที่สาม ของเปาโล และบทนี้เราได้รู้ว่า เปาโลได้อยู่ในเอเฟซัสประมาณสามปั เป็นความสุข ที่ได้กลับมายังเอเฟซัสอีก และเมื่อพบพี่น้องก็รู้สึกว่าต้องคุยกันเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพี่น้องเอเฟซัสก็ไม่เคยรู้จักเลย ซึ่งคล้ายกับอปอลโลแรก ๆ ที่รู้เรื่องของพระเจ้าแต่ยังรู้ไม่ครบถ้วน
กิจการ 19:4-7
พี่น้องเหล่านี้ฟังคำของท่าน ฟังความหมายของบัพติศมาของยอห์น และของพระเยซูว่าแตกต่างกันอย่างไร
พวกเขาจึงได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพูดภาษาต่าง ๆ มีการเผยพระคำด้วย เหมือนกับวันแรกที่พระวิญญาณทรงเติมเต็มเหล่าคนที่รอคอยพระองค์ในเยรูซาเล็ม (กิจการ 2)
กิจการ 19:8-10
ยิวที่เกลียดชังเรื่องที่เปาโลพยายามจะอธิบายให้เข้าใจก็ใช้วิธีเดิม คือ การให้ร้ายความจริง วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้กันมาแต่โบราณจนกระทั่งวันนี้ เวลานี้ มีคำ ๆ หนึ่งบอกว่า การโฆษณาชวนเชื่อสามารถเปลี่ยนประเทศได้ ซึ่งเป็นความจริง เราเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการโหมพูดสิ่งที่ต้องการซำ้แล้วซำ้เล่าจนคนได้ยินบ่อยก็เชื่อว่าเป็นจริง
เปาโลจึงแก้ไขโดยการออกไปคุยเรื่องของพระเจ้าในห้องใหญ่ของทีรัสนัส และได้ใช้ที่นั่นนานถึงสองปี ทำให้คนชาติต่าง ๆ ที่อยู่ในเมือง ที่ไม่เคยเข้าไปในศาลาธรรมได้ยินเรื่องของพระเยซูด้วย

การอัศจรรย์ที่ทำให้หมอผีเปลี่ยนชีวิต
กิจการ 19:11-12
การอัศจรรย์นี้มีความหมายถึงอำนาจ ฤทธิ์เดชซึ่งมาจากคำกรีกว่า ไดนามิส การอัศจรรย์จากเปาโลเป็นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านตัวเขา ทำแบบวิเศษมากคือ ตรงเป้าหมาย ซึ่งไม่ได้เกิดจากการวางมือเสียด้วยซ้ำ ในเมืองอื่น ๆ เราไม่ค่อยเห็นการอัศจรรย์แบบนี้ แต่สำหรับเอเฟซัสเป็นสิ่งที่เหมาะมากเพราะพวกเขาเชื่อในเรื่องอำนาจผีไม่น้อย ดูจากจดหมายของเปาโลที่เขียนมายังพี่น้องในเอเฟซัส โดยมีการอ้างถึงวิญญาณต่าง ๆ หลายครั้ง การอัศจรรย์เหล่านี้ทำให้รู้ว่า พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าวิญญาณที่พวกเขาเชื่อถือ
กิจการ 19:13-14
และแล้ว ก็เกิดการเลียนแบบขึ้น มียิวหัวใสคิดทำตามเปาโล ทำตัวเป็นหมอผีเพื่อจะได้เงินจากครอบครัวของคนที่ถูกผีสิง แม้กระทั่งลูกชายของเสวาหัวหน้าปุโรหิตยังเลียนแบบด้วย พวกเขาช่างกล้าที่จะเอาพระนามของพระเยซูมาหาเงิน เป็นความกล้าทางมืดที่ไม่ได้หมดไปจากโลกนี้ แม้กระทั่งในหมู่ผู้เชื่อที่ไม่ค่อยเข้าใจพระคัมภีร์ หรือแค่เชื่อเผิน ก็จะโดนคนที่ไวในการหาประโยชน์เข้าตัวปอกลอกด้วยวิธีการแบบนี้ (ยิ่งในอเมริกา และในอัฟริกา จะพบสิบแปดมงกุฎสายนี้ไม่น้อย)
กิจการ 19:15-16
ที่เปาโลช่วยรักษาโรคและไล่ผีออกในพระนามพระเยซูได้ ก็เพราะพระเจ้าทรงสัญญาจะให้อำนาจนี้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ที่ออกไปในพระนาม (พระมหาบัญชาระบุชัดเจน ดูมัทธิว 28:18-20)
แต่เรื่องนี้ลูกชายของเสวาไม่ได้รู้ด้วย พวกเขาคิดว่า ใช้พระนามพระเยซู ก็เหมือนใช้มนต์ของหมอผี พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้าให้ทำอย่างนั้น พวกเขาเองไม่รู้จักพระองค์เสียด้วยซ้ำ
ที่ผีมารต้องออกจากคนที่มันสิงอยู่เวลาเปาโลไล่มันออกไป เพราะเปาโลมีอำนาจของพระเยซูอยู่ มันรู้ว่าพระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้า เรื่องนี้ ผีทุกตัวรู้ดี (ดูมาระโก 3:11-12, 5:7)
“พระเยซูข้ารู้จัก เปาโลข้าเคยได้ยิน แต่พวกเจ้าเป็นใคร?” นี่เป็นคำถามของผี จริง ๆ มันไม่สนใจด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใคร กลุ่มวิญญาณชั่วที่สิงในคนรู้ว่าลูกชายเสวาเป็นของปลอม มันเลยใช้ให้คนที่ถูกสิง กระโจนใส่ ทำร้ายพวกเขาจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน
กิจการ 19:17-18
เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นที่ฮือฮาในหมู่คนยิว กรีก พวกเขาแปลกใจที่ผีเองยังรู้จักพระเยซู และจัดการกับตัวปลอมได้ ในขณะที่คนชาวโรมันชอบรูปเคารพและพระต่าง ๆ แต่คนยิวบางส่วนกลับสนใจเรื่องฝ่ายวิญญาณเพื่อที่จะหาเงินเข้ากระเป๋า มีอาชีพเป็นหมอผี และเมื่อเห็นว่า แค่ผ้าที่เคยแตะต้องตัวเปาโลมายังมีฤทธิ์ขนาดนั้น พวกเขาจึงสวมรอยใช้พระนามของพระเจ้าในทางที่ผิด เหมือนอย่างลูกชายของเสวา
เรื่องนี้ทำให้หมอผีจำนวนหนึ่งที่มีปัญญา ต้องมาจำนนต่อฤทธิ์เดชจริงของพระเจ้า
กิจการ 19:19-20
ไม่ใช่แค่กลับใจเท่านั้น แต่ยังเผาตำราแพง ๆ ทั้งหมดด้วย ทำให้เราเห็นว่า พระเจ้าทรงเปิดตาพวกเขาให้เห็นความจริงและยอมรับว่า พระเจ้ายิ่งใหญ่ ถ้าไม่เห็นจริง คงไม่เผาสิ่งที่ช่วยให้ทำมาหากินคล่อง ๆ แบบนี้
เหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อทำให้พระคำของพระเจ้าขยายออกไปอีก มีฤทธิ์มากขึ้นอีกในเมืองเอเฟซัสและรอบ ๆ
นี่เป็นตัวอย่างให้เราเห็นว่า หากยังมีสิ่งใดที่ทำให้เราไม่บริสุทธิ์ในสายพระเนตร เราต้องทำลายมันทิ้งเสีย
กิจการ 19:21-23
การที่ได้เกิดผลในเอเฟซัส ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ที่นั่นตลอดไป เปาโลมีความหวังว่าจะเยี่ยมพี่น้องคริสเตียนที่อยู่ในโรมด้วย เป็นคริสเตียนที่เชื่อด้วยการประกาศของพี่น้องท่านอื่น ๆ ด้วยการทรงนำของพระวิญญาณ เปาโลจึงเดินทางผ่านไปยังมาซิโดเนีย อาคายา โดยให้ทิโมธีกับเอรัสทัสไปล่วงหน้าก่อน แต่แล้ว ยังไม่ทันไรก็เกิดความวุ่นวายขึ้น …

ความวุ่นวายจากกลุ่มนายช่าง

กิจการ 19:24-25
นั่นคือช่างเงินที่ทำรูปเคารพเกิดรู้ตัวขึ้นมา โดยมีเดเมตริอัสเป็นหัวหน้าแกนนำ โดยเรียกช่างทองมาเพื่อแจ้งให้รู้ว่า “ทางนั้น” คือความเชื่อในพระเยซูเป็นภัยต่ออาชีพของพวกเขา
อาชีพของพวกเขาคือการทำรูปหล่อวิหารอารเทมิสที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในโลกโบราณ ใคร ๆ ก็เห็นว่าเทพีนี้ให้ความอุดมสมบูรณ์กับชีวิต ช่างเงินเหล่านี้กำลังอยู่ช่วงขาขึ้น กำลังโกยเงินทองมากมายจากการขายรูปหล่อเล็ก ๆ ให้คนเอาไปไว้บูชาตามบ้าน
ที่แปลกคือ วิหารอารเทมิสเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งที่มหัศจรรย์ของโลกโบราณด้วย
กิจการ 19:26-27
เหตุผลของ เดเม-ตริอัส ช่างน่าเชื่อถือสำหรับช่างเงินทั้งหลายที่มารวมตัวกัน พวกเขาเห็นด้วยกับเดเม-ตริอัส ในเมื่อพวกเขาขายของเหล่านี้ หากคนไปเชื่อ “ทางนั้น” ก็เท่ากับธุรกิจต้องล่มสลาย. แปลกที่คนเชื่อพระเยซู ไม่ได้มาขอให้พวกเขาสร้างรูปเคารพของพระเยซูเลย คนเชื่อพระเยซูนมัสการพระเจ้าที่มองไม่เห็น ทั้งร้องเพลงด้วยกัน อธิษฐานด้วยกัน แต่ไม่มีรูปเคารพสักรูป!
กิจการ 19:28-29
พอคนเริ่มไม่พอใจก็เริ่มจากเพื่อนร่วมงานของเปาโล คือ กายอัส และอาริสทาคัส เอาเข้าไปสำเร็จโทษในโรงละครซึ่งเป็นโรงใหญ่จุคนได้ประมาณ สองหมื่นสี่พันคน เป็นที่ ๆ ชาวเมืองจะพบกันเพื่อดูละคร และถกเถียงกันในเรื่องต่าง ๆ
กิจการ 19:30-32
เปาโลไม่ได้กลัวเลย แต่จะเข้าไปช่วยเพื่อน แต่..หัวเด็ดตีนขาด ไม่มีใครยอมให้เปาโลมีส่วนตรงนี้ พวกเขาคงต้องลากเปาโลออกไป เพราะเรื่องแบบนี้ เปาโลถนัดมาก!! ขณะนั้นเองคนก็เริ่มงุนงงว่า มาทำอะไรกันอยู่ เนื่องจากต่างคนต่างตะโกน ไม่เป็นเรื่อง
กิจการ 19:33-34
พวกยิวต้องการให้คนรู้ว่า ยิวกับเปาโลไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน แต่.. ช่างเงินช่างทองถือว่าถ้าเป็นยิวก็เป็นพวกเปาโลแน่นอน อเล็กซานเดอร์จึงไม่มีโอกาสจะพูดเลย
กิจการ 19:35-37
ผู้ว่าการเมืองเป็นคนเก่ง สามารถที่ทำให้คนที่กำลังโกรธสงบลงได้ ผู้ว่าจะไม่ยอมให้พวกเขาก่อจลาจลเพราะเดี๋ยวโรมจะเข้ามาคุมเข้มมากขึ้น ทำให้เขาทำงานไม่สะดวก จะกลายเป็นว่า โรมส่งคนมาควบคุมพวกเขาเอง อย่างนี้ ผู้ว่าก็รับไม่ได้เหมือนกัน
กิจการ 19:38-41
ใครมีเรื่องกับใคร ก็ไปฟ้องศาล อย่ามาทำให้บ้านเมืองต้องจลาจลอย่างนี้ ท่านให้ทุกคนเลิกชุมนุมได้
คนที่เข้ามาชุมนุมกันตอนนี้ก็เหนื่อยอ่อนไปตาม ๆ กัน ยังไม่ได้พักกันเลย เคยอยู่ทำงานไปกลับมาต้องโห่ร้องตะโกนสองชั่วโมง พวกเขาก็ฟังเหตุผลของผู้ว่าด้วย เป็นอันว่าเลิกรากันไป

พระคำเชื่อมโยง

1* 1 โครินธ์ 1:12; 3:5-6; กิจการ 18:23
2* 1 ซามูเอล 3:7
3* กิจการ 18:25
4* มัทธิว 3:11
5* กิจการ 8:12, 16; 10:48
6* กิจการ 6:6; 8:17; 2:4; 10:46
8* กิจการ 17:2; 18:4; 1:3; 28:23
9* 2 ทิโมธี 1:15; กิจการ 9:2; 19:23; 22:4; 24:14

10* กิจการ 19:8; 20:31
11* มาระโก 16:20
12* กิจการ 5:15
13* มัทธิว 12:27; มาระโก 9:38; 1โครินธ์ 1:23; 2:2
17* ลูกา 1:65; 7:16
18* มัทธิว 3:6
20* กิจการ 6:7; 12:24

21* โรม 15:25; กิจการ 20:22; 20* โรม 1:13; 15:22-29
22* 1 ทิโมธี 1:2; โรม 16:23
23* 2 โครินธ์ 1:8; กิจการ 9:2
24* กิจการ 16:16, 19
26* อิสยาห์ 44:10-20
29* โรม 16:23; โคโลสี 4:10
33* 2 ทิโมธี 4:14; กิจการ 12:17

1 โครินธ์ 11 อาหารมื้อสุดท้าย

เรื่องของผ้าคลุมศีรษะ

1 โครินธ์ 11:1-2
ขอให้ท่านทำตามอย่างข้า เหมือนที่ข้าทำตามอย่างพระคริสต์
ข้าขอชมท่านที่ได้คิดถึงข้าในทุกเรื่องและยังดำเนินตาม
สิ่งที่ข้าได้ส่งต่อให้พวกท่านไว้
1 โครินธ์ 11:3
แต่ข้าต้องการให้ท่านรู้ว่า พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของผู้ชายทุกคน และผู้ชายเป็นศีรษะของผู้หญิง และพระเจ้าทรงเป็นศีรษะของพระคริสต์

1 โครินธ์ 11:4-5
ชายทุกคนที่อธิษฐานหรือเผยพระดำรัสของพระเจ้าโดยมีสิ่งปกคลุมศีรษะนั้น ก็นำความอับอายมายังศีรษะของเขา แต่ผู้หญิงทุกคนที่อธิษฐานหรือเผยพระดำรัสของพระเจ้าโดยไม่คลุมศีรษะก็นำความอับอายมายังศีรษะของเธอราวกับว่า เธอได้โกนผมไปแล้ว
1 โครินธ์ 11:6-7
ถ้าผู้หญิงไม่คลุมศีรษะ ก็ควรตัดผมออกเสีย แต่ถ้าเป็นสิ่งน่าอายเมื่อผู้หญิงตัดผมหรือโกนผม เธอก็ควรคลุมศีรษะ ผู้ชายไม่ควรคลุมศีรษะ เพราะเขาเป็นพระฉายาและสง่าราศีของพระเจ้า
ส่วนผู้หญิงเป็นสง่าราศีของผู้ชาย

1 โครินธ์ 11:8-10
เพราะผู้ชายไม่ได้มาจากผู้หญิง แต่ผู้หญิงมาจากผู้ชาย และผู้ชายไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผู้หญิง แต่ผู้หญิงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผู้ชาย เพราะเหตุนี้ และเพื่อเห็นแก่ทูตสวรรค์ ผู้หญิงจึงควรมีสัญลักษณ์แห่งสิทธิอำนาจนี้บนศีรษะของเธอ
1 โครินธ์ 11:11-12
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงก็ต้องพึ่งพาผู้ชายและผู้ชายก็พึ่งพาผู้หญิงในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าผู้หญิงมาจากผู้ชาย และผู้ชายก็เกิดมาจากหญิง และทุกสิ่งก็มาจากพระเจ้า

1 โครินธ์ 11:13-14
ที่ผู้หญิงจะอธิษฐานต่อพระเจ้าโดยที่ไม่มีผ้าคลุมศีรษะ? ธรรมชาติเองได้สอนท่านไม่ใช่หรือว่าผู้ชายที่ไว้ผมยาวก็เป็นสิ่งที่น่าละอาย?
1 โครินธ์ 11:15-16
แต่ถ้าผู้หญิงไว้ผมยาวก็เป็นศักดิ์ศรีของเธอ เพราะว่า ผมยาวที่ประทานให้เธอมาก็เพื่อปกคลุมศีรษะ แต่หากว่าใครจะคิดโต้แย้งเรื่องนี้ ทั้งเราและคริสตจักรก็ไ่ม่ได้มีธรรมเนียมปฏิบัติที่เป็นอื่น นอกเหนือจากที่กล่าวมา

งานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า

1 โครินธ์ 11:17-18
สำหรับคำสั่งต่อไปนี้ ข้าไม่อาจชมท่านเพราะว่า การประชุมของท่านกลับเป็นผลเสียมากกว่าผลดี อย่างแรกคือ ข้าได้ยินมาว่า เมื่อมาประชุมกันในคริสตจักร พวกท่านแตกคอกัน และข้าก็คิดว่าต้องมีส่วนที่เป็นจริงอยู่บ้าง
1 โครินธ์ 11:19-21
เพราะคงมีการแตกแยกกันในพวกท่านเพื่อว่าจะเห็นชัดว่า ฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูกเมื่อพวกท่านมาประชุมพร้อมกันนั้นจึงไม่ใช่การเข้ามาร่วมในงานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะในการกินอาหารนั้น คนหนึ่งก็กินอาหารของตนก่อน บางคนก็ยังหิวอยู่ และบางคนก็เมาค้าง
1 โครินธ์ 11:22
อะไรกัน? ท่านไม่มีบ้านของตนเองที่จะกินและดื่มหรือ? หรือท่านดูแคลนคริสตจักรของพระเจ้า และทำให้พี่น้องที่ขัดสนต้องอับอาย จะให้ข้าพูดอย่างไร? ชมเชยพวกท่านหรือ?
ข้าไม่อาจชมท่านในเรื่องนี้เลย

อาหารมื้อสุดท้าย

1 โครินธ์ 11:23-24
สิ่งที่ข้าได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าขอมอบให้พวกท่าน คือ ในคืนที่พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าถูกทรยศนั้น พระองค์ทรงหยิบขนมปัง หลังจากที่ทรงขอบพระคุณแล้วจึงทรงบิขนมปัง ตรัสว่านี่เป็นกายของเราที่ได้แตกสลายเพื่อเจ้าทั้งหลาย จงทำอย่างนี้ เพื่อระลึกถึงเรา
1 โครินธ์ 11:25
หลังจากอาหารเย็น พระองค์ทรงหยิบถ้วยด้วยวิธีการอย่างเดียวกันตรัสว่า “ถ้วยนี้เป็นพันธสัญญาใหม่โดยโลหิตของเรา ทุกครั้งที่เจ้าดื่มจากถ้วยนี้ จงดื่มเพื่อระลึกถึงเรา”

การสำรวจตนเอง

1 โครินธ์ 11:26-27
เพราะว่าครั้งใดที่พวกท่านกินขนมปังและดื่ม ท่านก็ประกาศการสิ้นพระชนม์ของพระองค์จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา
ดังนั้น ใครที่กินขนมปังหรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่เหมาะสมก็เท่ากับเขาทำผิดต่อพระกาย และพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า
1 โครินธ์ 11:28-29
ทุกคนต้องสำรวจตนเอง ก่อนที่กินขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้เพราะผู้ใดที่กินและดื่มโดยไม่ระลึกถึงพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เท่ากับกินและดื่มเพื่อให้ตนเองถูกลงโทษ

1 โครินธ์ 11:30-32
ด้วยเหตุนี้ พวกท่านหลายคนจึงอ่อนแรงและเจ็บป่วย และบ้างคนก็ล่วงหลับไปแล้ว แต่ถ้าเราพิจารณาตัวเองอย่างถูกต้อง
เราก็จะไม่ถูกพิพากษา
เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาเรานั้น พระองค์ทรงลงวินัยเรา เพื่อว่าเราจะไม่ถูกพิพากษา
พร้อมกันกับโลก

1 โครินธ์ 11:33-34
ดังนั้น พี่น้องของข้า เมื่อพวกท่านมากินอาหารร่วมกัน ก็ควรรอกันและกัน ถ้าใครหิว ก็ให้กินมาจากบ้านก่อนเพื่อว่าเวลามาประชุมกัน ท่านจะไม่ถูกกล่าวโทษ ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้น ข้าจะสอนท่านเมื่อข้ามา

อธิบายเพิ่มเติม

เรื่องของผ้าคลุมศีรษะ
1 โครินธ์ 11:1-2
แม้ว่าพี่น้องชาวโครินธ์จะมีปัญหาหลายอย่างในคริสตจักร แต่อย่าลืมว่า พวกเขาเขียนจดหมายมาหาท่านเพื่อขอคำแนะนำ (บทที่ 7) แสดงว่า มีคนที่เป็นห่วงคริสตจักร และต้องการทำสิ่งที่ถูกต้องพวกเขาไม่ได้เสียหายไปหมด ทั้งคริสตจักร มีคนที่ไม่เชื่อฟัง และมีคนที่ต้องการติดตามพระเจ้าจริงจัง ท่านเปาโลบอกถึงหลักการที่ควรเดิน และวิธีที่ต้องเดินไปตามนั้น ที่สำคัญท่านให้เราเดินตามอย่างที่ท่านสัมพันธ์กับพระเจ้า
1 โครินธ์ 11:3
พระเจ้าทรงเป็นศีรษะของพระคริสต์ ยอห์น 17:28 “พระบิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา” พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของชายทุกคน นั่นคือพระองค์ทรงเป็นผู้นำของชีวิตชายทุกคนที่เชื่อ ผู้ชายเป็นศีรษะของผู้หญิง ทั้งบิดา ทั้งสามีเป็นผู้นำชีวิตของผู้หญิงนี่เป็นเหมือนสายงานว่า ใครเป็นคนต้น ใครเป็นคนต่อไป เป็นหลักการในการยอมรับผู้ที่มีสิทธิอำนาจหนือตน พระเยซูทรงเป็นต้นแบบให้เห็นชัดเจน
1 โครินธ์ 11:4-5
อย่าลืมว่า นี่เป็นหลักการของผู้เชื่อในโครินธ์ซึ่งมีวัฒนธรรมแตกต่างจากเรา ดังนั้นนี่จึงเป็นข้อปฏิบัติของพี่น้องชาวโครินธ์ ทั้งชายและหญิงต่างมีหน้าที่ในการอธิษฐาน และการเผยพระดำรัสของพระเจ้าให้ผู้อื่นเข้าใจเช่นกัน ต่อมาในศตวรรษที่ 3-4 ผู้ชายยิวก็เริ่มใช้ผ้าคลุมศีรษะเพราะได้รับอิทธิพลจากกลุ่มตัลมุด ในศาสนายิว
1 โครินธ์ 11:6-7
ผู้หญิงที่อธิษฐานหรือกล่าวพระคำโดยไม่ได้คลุมศีรษะ ก็เหมือนกับว่า เธอไม่ให้เกียรติต่อสามี หรือบิดาซึ่งเป็นดั่งศีรษะของเธอ (ผู้นำของชีวิตเธอ)ผู้หญิงในสมัยของเปาโล ผู้หญิงคริสเตียนก็มักจะมีผ้าคลุมผมเมื่อเข้ามาอยู่ในการประชุมกับพี่น้อง ในสมัยนั้น ผู้หญิงที่ทำงานในวิหารเทพ มักจะไว้ผมสั้นกว่าปกติ และไม่คลุมศีรษะ เพื่อสื่อให้รู้ว่า เธอทำอาชีพอะไร ท่านเปาโลไม่ต้องการให้มีการเข้าใจผิดเกิดขึ้นกับพี่น้องคริสเตียนที่เป็นผู้หญิง
1 โครินธ์ 11:8-10
ท่านเปาโลกำลังให้เหตุผลว่าเหตุที่ผู้ชายเป็นศีรษะของหญิงนั้น มาจากการทรงสร้างของพระเจ้าเลยแต่เสียดายที่เวลาล่วงเลยไป ผู้ชายจำนวนมากได้สละสิทธิของตนด้วยการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะกับตำแหน่งที่พระเจ้าประทานให้ และที่กล่าวถึงทูตสวรรค์เพราะมีความเชื่อว่า ในการนมัสการพระเจ้า นอกจากที่พระเจ้าประทับอยู่เหนือการนมัสการแล้ว ยังมีวิญญาณของทูตสวรรค์เข้ามาเฝ้าดูด้วย 1 เปโตร 1:12
1 โครินธ์ 11:11-12
ที่สุดของที่สุดคือ ทั้งชายและหญิงมีต้นกำเนิดมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เอวามาจากอาดัม แต่ลูก ๆก็มาจากเอวา และทั้งสองฝ่ายต่างต้องมีกันและกันจึงจะมีลูกหลานสืบต่อไปได้ ทั้งสองฝ่ายเท่าเทียมกันต่างต้องช่วยเหลือกันในการมีชีวิตอยู่และในการรับใช้พระเจ้าในหน้าที่ บทบาทแตกต่าง แต่ความสำคัญของชีวิตฝ่ายวิญญาณนั้นเท่ากัน กาลาเทีย 3:28 ทุกคนต่างเป็นหนึ่งเดียวในพระคริสต์
1 โครินธ์ 11:13-14
แล้วในที่สุด ท่านเปาโลก็บอกให้พวกเขาตัดสินเอาว่า อะไรพอเหมาะ พอควรสำหรับคริสตจักร พี่น้องเองก็ต้องหาจุดที่ลงตัวสำหรับพวกเขา
ที่ว่าผู้ชายไว้ผมยาวน่าละอายนั้น คือในสังคมส่วนใหญ่ผู้หญิงจะต้องมีผมที่ยาวกว่า ผู้ชายที่ไว้ผมยาวแบบผู้หญิงแสดงว่า อยากเป็นหญิง เป็นสิ่งที่น่าละอายในสายตาของสังคมโบราณ

1 โครินธ์ 11:15-16
ท่านเปาโลสรุปว่า ผมยาวของผู้หญิงเป็นเหมือนกับสิ่งที่มาใช้คลุมศีรษะ เป็นอันว่า ในสมัยโบราณ ไม่เห็นด้วยกับการที่ผู้หญิงจะโกนศีรษะหรือตัดผมสั้นแบบผู้ชาย ไม่ชอบผู้ชายที่ไว้ผมยาวแบบผู้หญิง ในการที่จะแต่งตัวมาในที่ประชุม เป็นเรื่องของมารยาท ความเหมาะสมในสังคม เป็นเรื่องที่ทุกคริสตจักรจะต้องมีธรรมเนียมปฏิบัติที่เหมาะสมเอง เช่น ไม่ควรแต่งตัวเย้ายวนเพื่อดึงสายตามาที่ตัวเองเป็นต้น
1 โครินธ์ 11:17-18
การเข้ามาประชุมกันเป็นเรื่องนี้ท่านเปาโลได้กล่าวถึงในบทที่ 1:10-17 มาก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้เน้นไปที่การเข้ามาชุมนุมกันเพื่องานเลี้ยงอาหารที่เรียกภาษาเดิมว่า การเลี้ยงแห่งความรัก เป็นงานเลี้ยงเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ ความรักในหมู่พี่น้องมีการแบ่งปันซึ่งกันและกัน เมื่อเลี้ยงกันแล้วก็มักจะตามด้วยพิธีศีลมหาสนิทเพื่อระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์

1 โครินธ์ 11:19-21
“งานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ซึ่งเป็นงานเลี้ยงที่ทุกคนเอาอาหารมาแบ่งกันในงาน เป็นงานที่คนฐานะดีกว่า จะได้มีโอกาสแบ่งปันอาหารให้กับคนยากจน ขัดสน แต่ครั้งนี้ กลับมีการแตกแยกกัน มีความหมายเป็นภาพของผ้าที่ขาดออกจากกัน จากที่ท่านเปาโลกล่าวคือ บางคนกินของที่ตนเองเอามาเสียจนอิ่ม ส่วนคนยากจนไม่ได้มีอาหารมาแบ่งคนอื่น ก็ต้องหิวท้องกิ่วและยิ่งกว่านั้น ยังมีคนที่เมาราวกับงานเลี้ยงของคนภายนอก สับสนมาก
1 โครินธ์ 11:22 ท่านเปาโลกำลังบอกว่า ถ้าอยากจะกินอย่างคนตะกละ อยากกินตามใจตัวเอง ขอกลับไปกินที่บ้านให้สบายใจเถิด อย่ามาทำให้พี่น้องที่ยากจนกว่า ต้องอับอายเพราะหิว ไม่มีอะไรกินทั้งที่เป็นงานเลี้ยง เจ้าของอาหารกับพรรคพวกกินเองหมดแล้ว สภาพเช่นนี้ เป็นการดูหมิ่นความรักของพระเจ้าโดยตรง พฤติกรรมดังกล่าวสืบเสื่องมาจากพวกเขาเคยกินเลี้ยงกันอย่างสุรุ่ยสุร่าย เห็นแก่ตัวครั้งยังไม่เชื่อพระเจ้า

อาหารมื้อสุดท้าย
1 โครินธ์ 11:23-24
ที่จะพูดต่อไป เปาโลไม่ได้คิดขึ้นมาเองแต่ได้รับมาโดยตรงจากองค์พระเยซู ว่าในคืนสุดท้ายก่อนถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ทรงถูกศิษย์ทรยศ ทรงขอบพระคุณ ทรงบิขนมปังที่เป็นสัญลักษณ์ของร่างกายที่แตกออกเพื่อศิษย์ทุกคน พระองค์ทรงสั่งให้พวกเขาทำอย่างพระองค์ เพื่อระลึกถึงพระองค์ ไม่ใช่เป็นพิธีเพื่อพิธี แต่เพื่อผู้ที่ร่วมกินขนมปังไร้เชื้อ (ซึ่งหมายถึงร่างกายที่ไร้บาป) จะระลึกย้อนไปในวันที่ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อพวกเขา 
1 โครินธ์ 11:25
ครั้งนี้ พระเยซูทรงหยิบถ้วยให้เขาระลึกถึงพระโลหิตที่พระเยซูได้ทรงหลั่งบนไม้กางเขนเพื่อเรา ไม่ใช่เลือดสัตว์เหมือนในพันธสัญญาเดิมดื่มเพื่อระลึกถึง ไม่ใช่ดื่มเฉย ๆ เป็นพิธีตามที่คริสตจักรได้ทำมาตลอดสองพันปี แต่ทุกครั้งที่ดื่ม ให้ระลึกถึงพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และ
ทำให้เราทั้งหลายได้พ้นจากการพิพากษาของพระเจ้า ดื่มเพื่อที่จะมีชีวิตต่อไปเพื่อพระนามของพระองค์ ไม่ใช่มีชีวิตเพื่อตัวเอง

การสำรวจตนเอง
1 โครินธ์ 11:26-27
พระกิตติคุณถูกย้ำในพิธีศีลมหาสนิท ชี้ไปถึงการเกิด การสิ้นพระชนม์เพื่อมนุษย์ การคืนพระชนม์ และการเสด็จมาครั้งที่สองครั้งใดที่เราเข้ามามีส่วนในศีลมหาสนิท เราคิดถึงการสิ้นพระชนม์ และเรายังนึกถึงอนาคตที่พระองค์จะเสด็จกลับมาด้วย การเข้าร่วมพิธีศีลมหาสนิท
เป็นการยอมรับพร้อมกับพี่น้องว่า พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาในอนาคต ส่วนการกินขนมปัง ดื่มจากถ้วยอย่างไม่เหมาะสมคือการกินดื่มโดยไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า กินดื่มโดยยังมีความขมขื่นในกับพี่น้องอยู่เต็มหัวใจ จะต้องมีการสำนึกผิด สารภาพบาป กลับใจก่อนเข้ามาร่วมในพิธีนี้
1 โครินธ์ 11:28-29
การสำรวจตนเองก่อนกินและดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าแค่ก่อนพิธีนั้น อาจไม่พอ เราเองควรจะสำรวจตัวเองเสมอ ก่อนหน้าที่จะมาร่วมพิธีนี้เราทุกคนได้มีโอกาสทำผิดต่อพระเจ้าในเรื่องนี้ไม่เว้นใครเลย การที่ท่านเปาโลเน้น ย้ำ ก็เพื่อปกป้องพี่น้องไม่ให้ทำผิดต่อพระเจ้าเพิ่มเติมวางรากฐานของการร่วมศีลมหาสนิทอย่างถูกต้องให้กับคริสตจักร เมื่อเข้าร่วมพิธี ต้องเข้าใจถึงความบริสุทธิ์แห่งพิธีนี้
1 โครินธ์ 11:30-32
การไม่สำรวจตนเอง แล้วเข้าไปร่วมในพิธีอย่างไม่สมควร ทำให้พี่น้องในคริสตจักรโครินธ์อ่อนแอเจ็บป่วย และตายไป คำพูดของท่านน่ากลัวมากท่านกำลังกล่าวถึงการตายก่อนเวลาอันสมควรพระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้เราพิจารณาชีวิตของตนเอง ยังไม่ต้องถูกคนอื่นพิจารณาหรือตัดสินเสียด้วยซ้ำ การกลับใจใหม่เสียก่อนดีกว่า แต่บางครั้งพระเจ้าทรงลงวินัยเพื่อคนที่ทำผิด จะไม่ถูกพิพากษาอย่างชาวโลก
1 โครินธ์ 11:33-34
สิ่งที่ท่านเปาโลได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ เพื่อให้พี่น้องได้เข้าใจถึงการกินอาหารร่วมกันว่า เป็นไปเพื่อส่งต่อความรักของคนต่างฐานะ ให้โอกาสคนที่ยากจนได้กินอาหารด้วย ให้มีมารยาทที่จะรู้จักรอกันและกัน ไม่เห็นแก่ตัวเอง ทั้งหมดนี้ทำเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาทำอะไรผิดมากไปกว่าที่เป็นอยู่ และสร้างระเบียบในการกินอาหารพร้อมกับพิธีมหาสนิทที่จะระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า

พระคำเชื่อมโยง

1* เอเฟซัส 5:1
3* เอเฟซัส 1:22; 4:15; 5:23; ปฐมกาล 3:16; ยอห์น 14:28
4* 1 โครินธ์ 12:10
5* เฉลยธรรมบัญญัติ 21:12
6* กันดารวิถี 5:18
7* ปฐมกาล 1:26,27; 5:1; 9:6
8* ปฐมกาล 2:21-23

9* ปฐมกาล 2:18
11* กาลาเทีย 3:28
16* 1 ทิโมธี 6:4; 1 โครินธ์ 7:17
18* 1 โครินธ์ 1:10-12; 3:3
19* 1 ทิโมธี 4:1; เฉลยธรรมบัญญัติ 13:3
21* ยูดา 12
22* 1 โครินธ์ 10:32; ยากอบ 2:6
23* 1 โครินธ์ 15:3, มัทธิว 26:26-28

26* ยอห์น 14:3
27* ยอห์น 6:51
28* 2 โครินธ์ 13:5
31* 1 ยอห์น 1:9
32* สดุดี 94:12
33* 1 โครินธ์ 14:26