1 โครินธ์ 14 ของประทานแห่งคำพูด

1 โครินธ์ 14:1
จงมุ่งมั่นหาความรัก และปรารถนาของประทานจากพระวิญญาณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อจะได้เผยพระดำรัสของพระเจ้า 
1 โครินธ์ 14:2-3
ความแตกต่างของภาษาที่แปลกกับคำเผยพระดำรัส
เพราะคนที่พูดภาษาที่แปลก ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า เพราะว่า ไม่มีใครเข้าใจ สิ่งที่เขาพูดเป็นความลึกล้ำฝ่ายวิญญาณ แต่คนที่เผยพระดำรัสนั้นพูดกับผู้คน เพื่อเสริมสร้างให้เติบโตและมีทั้งการให้กำลังใจและปลอบโยนใจ
1 โครินธ์ 14:4-5

คนซึ่งพูดภาษาที่แปลกนั้น ทำให้ตัวเองเติบโตขึ้น แต่คนที่เผยพระดำรัสก็ทำให้คริสตจักรเจริญขึ้น ข้าอยากให้ท่านทุกคนได้พูดภาษาที่แปลก แต่ยิ่งกว่านั้น ข้าต้องการให้ท่านได้เปิดเผยพระดำรัสของพระเจ้า เพราะคนที่ได้เผยพระดำรัสของพระเจ้าก็ใหญ่กว่าคนที่พูดภาษาที่แปลก นอกจากว่า เขาจะแปลความหมายได้ด้วยเพื่อเป็นการเสริมสร้างคริสตจักร

1 โครินธ์ 14:6 พูดเพื่อให้เกิดประโยชน์
พี่น้องเอ๋ย ถ้าข้ามาหาท่านและพูดภาษาที่แปลกแล้วจะเป็นประโยชน์อะไรกับพวกท่านเล่า? ยกเว้นว่า ข้าจะพูดกับพวกท่านด้วยการสำแดงโดยความรู้ โดยเปิดเผยพระดำรัส โดยการสอนพวกท่าน

1 โครินธ์ 14:7-9 พูดให้เข้าใจเพื่อทุกคนจะได้ประโยชน์
แม้แต่สิ่งไร้ชีวิตที่มีเสียง อย่างเช่นเสียงของขลุ่ย หรือพิณ หากเล่นโดยไม่ได้ส่งเสียงออกมาเป็นทำนองอย่างชัดเจน เราจะรู้ได้อย่างไรว่า กำลังเล่นเพลงอะไรอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเป่าหรือดีด ถ้าเสียงของแตรศึกไม่ชัดเจน ใครเล่าจะเตรียมตัวเข้าทำสงคราม? ท่านทั้งหลายก็เหมือนกัน นอกจากว่าท่านจะกล่าวคำที่ชัดเจนเพื่อความเข้าใจคนจะเข้าใจคำพูดนั้นได้อย่างไรเล่า? สิ่งที่ท่านพูดก็จะลอยตามลมไป

1 โครินธ์ 14:10-11 ทุกภาษาเข้าใจได้ถ้าเรารู้ความหมาย
แน่ทีเดียว มีภาษามากมายในโลกนี้และไม่มีภาษาใดไร้ความหมายดังนั้น ถ้าข้าไม่เข้าใจความหมายของภาษาหนึ่ง ข้าก็เป็นดั่งคนต่างชาติสำหรับคนที่พูดภาษานั้น เขาคนนั้นก็เป็นคนต่างชาติสำหรับข้า
1 โครินธ์ 14:12-13
ท่านก็เหมือนกัน ในเมื่อท่านมีความกระตือรือร้นที่จะได้รับของประทานฝ่ายพระวิญญาณ ก็ขอให้ท่านแสวงหาสิ่งดีสุดที่จะทำให้คริสตจักรเจริญขึ้น ดังนั้น คนซึ่งพูดภาษาที่แปลก ก็ควรอธิษฐานขอให้ตนเองแปลได้ด้วย

1 โครินธ์ 14:14-15 ความเข้าใจนั้นสำคัญมาก
ถ้าข้าอธิษฐานด้วยภาษาที่แปลก เท่ากับวิญญาณข้าอธิษฐาน แต่ไม่มีประโยชน์ต่อความเข้าใจของข้าเลย จะสรุปอย่างไรดี? ข้าจะอธิษฐานในจิตวิญญาณด้วยความเข้าใจ ข้าจะร้องเพลงในจิตวิญญาณด้วยความเข้าใจ

1 โครินธ์ 14:16-17
มิฉะนั้นแล้ว ถ้าท่านสรรเสริญพระเจ้าในจิตวิญญาณ โดยคนที่อยู่ด้วยไม่เข้าใจแล้วเขาจะพูดว่า “อาเมน” ได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่ทราบว่า ท่านกล่าวคำขอบคุณอะไรออกไป ท่านอาจจะกล่าวคำขอบพระคุณที่ดีมาก แต่คนอื่นไม่ได้รับการเสริมสร้าง
1 โครินธ์ 14:18-19
ข้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพูดภาษาที่แปลกมากกว่าท่านทั้งหลายอีก แต่ว่าเมื่ออยู่ในคริสตจักร ข้าพอใจกับการกล่าวสักห้าคำด้วยความเข้าใจเพื่อว่าข้าจะได้สอนคนอื่น มากกว่าที่จะพูดเป็นพันคำด้วยภาษาที่แปลก

1 โครินธ์ 14:20 ของประทานนี้กับผู้ที่ยังไม่เชื่อ
พี่น้องเอ๋ย อย่ามีความคิดแบบเด็ก ๆ เรื่องความชั่วจงเป็นเหมือนเด็กทารก แต่ในทางความคิดจงมีความเข้าใจแบบผู้ใหญ่ที่โตแล้ว
1 โครินธ์ 14:21-22
ในบัญญัติเขียนไว้ว่า “เราจะพูดกับชนชาตินี้ด้วยคนที่พูดภาษาที่แปลกออกไป ด้วยริมฝีปากของคนต่างภาษาถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังไม่ฟังเสียงของเรา พระเจ้าตรัสดังนี้” ดังนั้น การพูดภาษาที่แปลกออกไปจึงไม่เป็นหมายสำคัญแก่คนที่เชื่อแต่เป็นเพื่อคนที่ยังไม่เชื่อส่วนคำเผยพระดำรัสนั้นไม่ใช่เพื่อคนที่ไม่เชื่อแต่เป็นสำหรับคนที่เชื่อแล้ว

1 โครินธ์ 14:23 ดังนั้น หากคนทั้งคริสตจักรมาร่วมประชุมกัน และทุกคนต่างพูดภาษาที่แปลกออกไป และมีคนที่ไม่เข้าใจ
หรือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเข้ามาพอดีพวกเขาก็จะเห็นว่า พวกท่านเลอะเลือนไปแล้วไม่ใช่หรือ?
1 โครินธ์ 14:24-25
แต่หากทุกคนเปิดเผยพระดำรัสพระเจ้าคนที่ไม่เชื่อ หรือคนที่ไม่เข้าใจเข้ามาพอดีสิ่งที่ได้ยินจะทำให้เขารู้ว่า ตนเป็นคนบาปและเขาจะถูกตักเตือน ความลับในใจของเขาจะถูกเปิดเผย และเขาจะก้มกราบลงนมัสการพระเจ้า และยอมรับว่า “พระเจ้า
ประทับท่ามกลางพวกท่านจริง”

1 โครินธ์ 14:26 ทำไปด้วยกัน ระเบียบเดียวกัน
ดังนั้น พี่น้องจะตัดสินใจอย่างไรเมื่อพวกท่านมาประชุมกัน ? บางคนก็ร้องเพลงสดุดี มีคำสอน มีการเผยพระดำรัส มีการพูดภาษาที่แปลก และมีการแปลภาษาเหล่านั้น จงทำทุกสิ่งให้เป็นการเสริมสร้างคริสตจักรเถิด
1 โครินธ์ 14:27-28
ถ้ามีคนพูดภาษาที่แปลกออกไปจงพูดเพียงสองคน หรืออย่างมากก็สามคน และให้พูดทีละคน แล้วให้คนหนึ่งแปลความถ้าหากไม่มีใครแปล เขาคนนั้นควรอยู่เงียบ ๆ แล้วพูดกับตนเอง และทูลต่อพระเจ้า

1 โครินธ์ 14:29-31
ให้ผู้เผยพระคำพูดได้สองสามคน และให้คนอื่นพิจารณาสิ่งที่เขาพูดด้วยความระมัดระวัง และหากคนที่นั่งอยู่ได้รับการสำแดงจากพระเจ้าขึ้นมา คนที่กำลังพูดนั้นก็ควรนิ่งเงียบก่อน เพราะว่าท่านเผยพระดำรัสได้ทีละคน เพื่อให้ทุกคนได้
เรียนรู้ และได้รับการหนุนน้ำใจ
1 โครินธ์ 14:32-33
เพราะจิตวิญญาณของผู้เผยพระดำรัสนั้นอยู่ในการควบคุมโดยตัวเขาเองเพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความสับสนวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข ดังที่ทรงเป็นอยู่ในทุก ๆ คริสตจักรของวิสุทธิชน

1 โครินธ์ 14:34-35ขอให้เหล่าสตรีนิ่งสงบในคริสตจักร
เพราะพวกเธอไม่ได้รับอนุญาตให้พูดพวกเธอควรยอมเชื่อฟังดังที่บัญญัติกล่าวไว้ หากพวกเธอต้องการรู้สิ่งใดให้ถามสามีที่บ้าน เพราะการที่สตรีจะพูดขึ้นมาในคริสตจักรก็เป็นเรื่องน่าอาย
1 โครินธ์ 14:36-37
พระดำรัสนั้นเกิดมาจากท่าน? หรือว่าท่านเป็นคนเดียวที่เข้าถึงพระดำรัสนั้น? หากคนใดคิดว่าตนเองเป็นผู้เผยพระดำรัสหรือเป็นคนอยู่ฝ่ายพระวิญญาณก็จงยอมรับเถิดว่า สิ่งที่ข้าเขียนถึงท่านเป็นพระบัญญัติจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

1 โครินธ์ 14:38-40 ข้อสรุปที่ชัดเจน
หากคนใดไม่เอาใจใส่ข้อความนั้น ผู้อื่นก็จะไม่ใส่ใจเขา
ดังนั้น พี่น้องเอ๋ยจงกระตือรือร้นที่จะเปิดเผยพระดำรัส
และอย่าห้ามการพูดภาษาที่แปลกเลย แต่ควรกระทำทุกสิ่งให้เหมาะสม อย่างมีระเบียบ

1 โครินธ์ 14:1
ในเมื่อความรักสำคัญที่สุด เราจึงตามทางความรักของพระเจ้า ไม่ใช่รักตามความหมายของโลกแต่เป็นรักบริสุทธิ์ตามโครินธ์ 13 นอกจากนั้น ผู้เชื่อควรตามหาของประทานในการเผยพระดำรัสของพระเจ้า จากที่เห็น พี่น้องในโครินธ์น่าจะเน้นการพูดภาษาที่แปลกมากกว่าการเผยพระดำรัสเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าดูดี ชาวโครินธ์ชอบเรื่องของภาษาอยู่แล้ว
1 โครินธ์ 14:2-3
การเผยพระดำรัสนั้น ชัดเจน เป็นหน้าที่ของการสร้างเสริมคริสตจักร หนุนใจ ให้กำลัง ปลอบใจมุ่งพูดสื่อสารกับคน พวกเขาเข้าใจสิ่งที่พูด และเกิดการเปลี่ยนแปลงในทัศนคติ ความคิด การกระทำแต่คนที่พูดภาษาที่แปลกกำลังพูดกับพระเจ้าเป็นเหมือนการอธิษฐาน ดังนั้นเมื่อมีการพูดภาษาที่แปลกโดยไม่มีการแปล จึงไม่ส่งผลใด ๆ กับพี่น้อง ยกเว้นภาษานั้นพูดเพื่อบางคนที่เข้าใจ
1 โครินธ์ 14:4-5
ชีวิตคริสเตียนเป็นชีวิตแบบที่ก้าวไปข้างหน้าตลอดไม่ใช่อยู่นิ่งกับที่ ซึ่งเป็นเหมือนการถอยหลังเข้าคลอง การพูดภาษาที่แปลกออกไปซึ่งพระเจ้า
ทรงนำให้พูดนั้น เป็นการช่วยให้ตนเองได้รับการชูใจ หนุนกำลัง มันไม่ได้ช่วยสร้างเสริมใครที่อยู่ตรงนั้น (ยกเว้นคนภาษานั้นมาได้ยิน) ท่านเปาโลจึงขอให้แสวงหารักและการเผยพระดำรัสเพราะทั้งสองจะช่วยให้คริสตจักรเติบโตขึ้น
การพูดภาษาที่แปลกในการอธิษฐานส่วนตัวกับพระเจ้าเป็นสิ่งดี เสริมสร้างตนเอง แต่หากเข้ามาอยู่ในที่ชุมนุมชนของพระเจ้าแล้ว ที่สำคัญคือ การสร้างชีวิตของพี่น้อง ท่านเปาโลจึงมองว่า การเผยพระดำรัสที่เข้าใจได้ ที่ทำให้เกิดการสำนึกผิดหรือการเตรียมตัวพร้อม จะเป็นสิ่งที่ส่งผลกว้างกว่าเรื่องส่วนตัว ยกเว้นเมื่อคน ๆ หนึ่งพูดภาษาที่แปลกแล้วยังแปลให้ด้วย นั่นก็เป็นสิ่งดีเช่นกัน
1 โครินธ์ 14:6
แม้กระทั่งท่านเปาโลเอง หากมัวพูดแต่ภาษาที่แปลกแล้วไม่สอน ไม่เพิ่มความรู้ ไม่ทำให้พี่น้องเจริญในพระเจ้า ก็ไม่มีประโยชน์
1 โครินธ์ 14:7-9
แล้วท่านเปาโลก็เอาเรื่องเครื่องดนตรีที่ส่งเสียงมาให้พี่น้องได้เข้าใจ ว่าหากเพลงนั้นไม่ได้สื่อความหมาย มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร คนที่เล่นเครื่องดนตรีไม่เป็นแล้วมาดีด สี ตี เป่าคนฟังก็จะไม่ประทับใจ แต่หากนักดนตรีได้มาเล่น สื่อความหมายของผู้ประพันธ์ ความงดงามความเข้าใจก็เกิดขึ้น ทำให้ผู้ฟังรู้สึกตามไปได้ดังนั้นการสื่อสารในคริสตจักรจะต้องชัดเจนไม่คลุมเครือ. การพูดภาษาที่แปลกซึ่งเข้าใจไม่ได้นั้น หากพูดเพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าฉันเป็นคนฝ่ายวิญญาณ ก็เป็นอันตราย แถมเป็นคำ ไร้สาระ พี่น้องชาวโครินธ์อาจจะสับสน และคิดว่าการพูดภาษาที่แปลกออกไปนั้น แสดงว่าคนพูดนั้นใกล้ชิดพระเจ้ามากกว่าคนอื่น เท่ากับแรงจูงใจในการพูดก็ผิดแล้ว ผิดแต่ต้นเลย
1 โครินธ์ 14:10-11
คำว่าภาษา มีความหมายถึงคำพูด ประโยค วลีที่เข้าใจได้ ภาษาเป็นของประทานที่ยิ่งใหญ่จากพระเจ้าให้กับทุกคนในโลก และเป็นสำหรับมนุษย์เท่านั้น นี่เป็นเครื่องหมายแสดงว่า เราเป็นผู้ที่ถูกสร้างมาตามพระฉายาของพระเจ้าจริง ๆ สัตว์จะมีภาษาจำกัดมาก ๆ ไม่เหมือนพวกเรา แต่คนเราที่อยู่ต่างสถานที่ ต่างบ้านเมืองก็มีภาษาที่เข้าใจกันเองในท้องถิ่น เราต้องมีการแปลเราจึงจะเข้าใจภาษาที่แตกต่างออกไปจากเรา
1 โครินธ์ 14:12-13
กล่าวโดยสรุปคือ ท่านเปาโลต้องการให้พี่น้องแสวงหาของประทานที่ดีสุด ซึ่งเป็นของประทานที่จะทำให้คริสตจักรเติบโตขึ้น คนที่พูดภาษาที่แปลกจึงควรรับผิดชอบ ขอพระเจ้าทรงช่วยให้เขาแปลความหมายได้ด้วย นั่นจึงจะสมบูรณ์แบบ ดังนั้นสรุปได้ว่า ภาษาที่ไม่เข้าใจ จะไม่เกิดประโยชน์ ต้องเป็นภาษาที่พี่น้องเข้าใจได้

1 โครินธ์ 14:14-15
ในชีวิตเรานั้น บางครั้งสิ่งที่เราทำเราก็ไม่ได้มีความเข้าใจขบวนการของมันทั้งหมด แต่มันก็ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ อย่างเช่นกินอาหาร แล้วอาหารไปทำขบวนการที่ทำให้ร่างกายเติบโตอย่างไร คนทั่วไปก็จะไม่เข้าใจ แต่ก็จะกินเสมอ ในการอธิษฐานฝ่ายวิญญาณเช่นกัน บางครั้งคนที่อธิษฐาน พูดภาษาที่แปลก ไม่เข้าใจ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาเติบโตขึ้น สำหรับท่านเปาโล การทำทุกสิ่งด้วยความเข้าใจก็ช่วยให้คนอื่นเติบโตด้วย
1 โครินธ์ 14:16-17
นี่เป็นการเตือนว่า การทำทุกสิ่งในคริสตจักรนั้น ต้องให้พี่น้องของเรามีความเข้าใจด้วยไม่ใช่หลงว่าตนเป็นคนฝ่ายวิญญาณ ติดต่อกับพระเจ้าได้อยู่คนเดียว การเสริมสร้างซึ่งกันและกัน เป็นเหตุผลที่เรามีชุมชนของพระเจ้า เราจำเป็นต้องใกล้ชิด และเชื่อมโยงการในการใช้ชีวิต เพื่อจะมีทั้งความรักความเข้าใจ และการช่วยเหลือกันในยามยากลำบาก
1 โครินธ์ 14:18-19
ท่านเปาโลที่เป็นผู้ก่อตั้งคริสตจักรได้กล่าวชัดว่าในชีวิตส่วนตัวของท่าน ท่านพูดภาษาที่แปลกมาก มากกว่าคนอื่น ๆ หมายความว่า เมื่อท่านอธิษฐานกับพระเจ้า ท่านก็ใช้ภาษาที่แปลกเสมอแต่ในชีวิตที่อยู่กับชุมชนผู้เชื่อ ท่านเลือกที่จะกล่าวคำที่คนเข้าใจ และรับการเสริมสร้าง เติบโตขึ้นท่านเลือกที่จะสื่อสารอย่างเข้าใจ แทนที่จะกล่าวอะไรที่ไม่มีใครเข้าใจได้ 

1 โครินธ์ 14:20
ท่านเปาโลต้องการให้พี่น้องเติบโตในพระเจ้าไม่คิดอย่างเด็กที่พยายามไล่ตามของประทานพูดภาษาที่แปลกเพราะทำให้เป็นคนที่ดูดี เหมือนเป็นคนฝ่ายวิญญาณท่านพูดซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ให้พี่น้องโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณได้แล้ว แต่การที่มีปัญหามากและต้องย้ำเช่นนี้ เพราะความคิดอย่างเด็ก ๆ ของพวกเขาฝังลึกแน่น ถ้าเราลองมองตัวเองก็จะเห็นปัญหาแบบเดียวกับพี่น้องโครินธ์
1 โครินธ์ 14:21
แล้วท่านเปาโลก็ย้อนกลับไปถึงครั้งที่อิสยาห์ได้พยากรณ์เนื่องจากว่า คนอิสราเอลดื้อดึงต่อพระเจ้ามาก ไม่กลับใจสักที พระเจ้าจึงจะทรงใช้คนต่างชาติเข้ามามีอำนาจเหนือพวกเขา พระเจ้าทรงทำจริง ๆ ให้อัสซีเรียเข้ามาบุก แต่กระนั้นคนอิสราเอลก็ยังไม่สำนึกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการสั่งสอนของพระเจ้า พวกเขายังคงดื้อดึงต่อไป อ่าน อิสยาห์ 28:11-12 พระเจ้าทรงใช้ภาษาอื่นมาสั่งสอนคนอิสราเอล
1 โครินธ์ 14:22
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ท่านเปาโลจึงชี้แจงว่า การมีภาษาที่แปลกออกไปนั้น ช่วยคนต่างชาติที่เข้ามาในหมู่พี่น้อง และได้ยินคำของพระเจ้าผ่านภาษาของพวกเขา ตามที่พระองค์ประสงค์จะตรัสกับแต่ละคนข้อ 21 และ 22 เป็นการช่วยป้องกันไม่ให้พี่น้องเอาแต่แสวงหาที่จะพูดภาษาที่แปลก โดยมีแรงจูงใจที่อยากอวดว่าตัวเองใกล้ชิดพระเจ้า นิสัยแบบเด็ก ๆ ทั้งที่พวกเขาควรเป็นผู้ใหญ่แล้ว
1 โครินธ์ 14:23
ดังนั้น หากคนทั้งคริสตจักรมาร่วมปลองคิดถึงวันที่คุณเข้าไปในคริสตจักรแห่งหนึ่งแล้วก็มีคนที่พูดภาษาที่แปลก ซึ่งคุณไม่เข้าใจไม่ได้พูดแค่คนเดียว แล้วมีคนแปล แต่พูดแข่งกัน เสียงดัง เราจะรู้สึกว่าพวกเขาเป็นอะไรกันนี่
เลอะเทอะจริง ๆ ทำไมไม่มีระเบียบ ทำไมทำสิ่งที่ไม่เข้าใจ สภาพแบบนี้ เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในที่ ๆขาดความเข้าใจ และยังเป็นเด็กอยู่ คิดว่า ทำอย่างนี้แล้วดูดี แต่ภาพที่ออกมากลับดูตรงข้าม
1 โครินธ์ 14:24-25
นี่ไง ประโยชน์ของการเผยพระดำรัสของพระเจ้าเพราะในการเปิดเผยนั้น จะมีคำที่เฉพาะเจาะจงกับคนบางคนในที่นั้น ทำให้เขารู้ว่า พระเจ้ากำลังตรัสกับเขาจริง ๆ เป็นโอกาสที่หลายคนจะได้ตระหนักว่า พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และทรงสื่อสารกับพวกเขาโดยตรง การยอมรับว่ามีพระเจ้านั้น จำเป็นกับทุกคนที่จะกลับใจใหม่
1 โครินธ์ 14:27-28
สำหรับท่านเปาโลแล้ว แม้การที่จะพูดภาษาที่แปลกในคริสตจักรก็จะต้องมีวินัย มีระเบียบไม่ให้มีการแข่งกันพูด แข่งกันแปล และหากใครไม่ได้รับคำจากพระเจ้าก็ขออยู่เงียบ ๆ อย่าทำแบบปลอม ๆ ขึ้นมา ซึ่งปรากฎว่า เราพบการพูดภาษาต่าง ๆ แบบปลอมขึ้นมาก็เยอะ ดังนั้นในวิถีปฏิบัติแล้ว ต้องให้อยู่ในความจริง อยู่ในระเบียบ มีการรับส่งในการรับใช้เรื่องนี้อย่างน่าดู ไม่ใช่เป็นการแก่งแย่งกัน
1 โครินธ์ 14:26
เราจะเห็นภาพว่า ในคริสตจักรเริ่มแรกนั้น พวกเขาทำอะไรกันบ้าง มีทั้งการร้องเพลง สอน การเทศนาและพูดภาษา แปลภาษา รวมทั้งการดูแลพี่น้องที่ยากจน (ดูจากหนังสือกิจการ) นอกจากนั้นมีการส่งคนออกไปประกาศตามพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งยังไม่เคยได้ยินเรื่องพระเยซู มีการตั้งกลุ่มพี่น้องตามบ้าน และสร้างคริสตจักร ทั้งหมดนี้มีเพื่อการเสริมสร้างให้ผู้เชื่อเติบโตในพระเจ้า

1 โครินธ์ 14:29-31
ตอนนี้ท่านเปาโลกล่าวถึงข้อควรปฏิบัติในยามที่มีการเผยพระคำในคริสตจักร เป็นรายละเอียดย่อยที่ควรทำ ท่านคงเห็นแล้วว่า ในอนาคตนั้นจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง จึงจัดระเบียบไว้ให้จากข้อ 28 ดูเหมือนว่า ท่านต้องการให้ทุกคนได้มีโอกาสมีของประทานนี้ เราจะเห็นว่า มีหลายครั้งขณะที่มีการเทศนา มีการเผยพระดำรัสของพระเจ้าส่งตรงให้ใครบางคนในหมู่พี่น้อง และเกิดการกลับใจ เปลี่ยนชีวิต นี่คือชีวิตในคริสตจักร!
1 โครินธ์ 14:32-33
ข้อความนี้ช่วยเรามาก ทำให้เรารู้ว่า ใครคนไหนเป็นของจริง เป็นของปลอมขณะที่มีการเผยพระดำรัสหรือพูดภาษาที่แปลก เพราะจะต้องมีการควบคุมตนเองได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในผลของพระวิญญาณ ไม่ใช่ขาดการควบคุม ส่งแต่อารมณ์อันรุนแรงออกมา การทำงานของพระวิญญาณในคริสตจักรจึงเป็นรูปแบบของความสงบไม่ใช่ความวุ่นวาย สันติ ไม่ใช่ความสับสน
1 โครินธ์ 14:34-35
เป็นอีกเรื่องที่ผู้หญิงสมัยใหม่อาจจะไม่เข้าใจดูเหมือนท่านเปาโลกำลังปิดกั้นผู้หญิงในคริสตจักรหรือเปล่า เราก็มีผู้หญิงโสดอยู่เยอะด้วย ทำให้รู้สึกแปลก ๆ เมื่ออ่านพระคำข้อนี้ ในสมัยก่อนนั้น เป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ชาย ในตะวันออกกลางก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ ที่ผู้หญิงจะออกไปไหนคนเดียวไม่ได้แต่ต้องมีสามีหรือญาติผู้ชายออกไปประกบเสมอ สรุปว่าในคริสตจักรโครินธ์ ภรรยาต้องไปถามสามีที่บ้าน 
1 โครินธ์ 14:36-37
พี่น้องจะต้องเข้าใจว่า พระกิตติคุณพระดำรัสของพระเจ้านั้น ไม่ได้เกิดจากความคิดของพวกเขาเอง ไม่ใช่พวกเขาเท่านั้นที่จะรู้จักพระทัย ต้องเข้าใจว่า พระเจ้าทรงสำแดงพระทัยของพระองค์ให้กับผู้รับใช้แต่ละคน รวมทั้งพวกเขาตามที่พระองค์ทรงเห็นดี ดังนั้น พี่น้องจึงต้องยอมรับท่านเปาโลในฐานะที่ท่านเป็นอัครทูตที่พระเยซูทรงตั้งไว้ว่า ทุกสิ่งที่ท่านเตือนสอนเป็นมาจากพระเจ้า
1 โครินธ์ 14:38-40
คำสุดท้ายของท่านเปาโลในบทนี้ เป็นการสรุปว่าพี่น้องทุกคนควรที่จะได้ยินพระดำรัสของพระเจ้าสามารถเปิดเผยเพื่อการเสริมสร้างพี่น้องในคริสตจักร แต่ระเบียบนั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความมีระเบียบชัดเจนในธรรมชาติเราก็เห็น ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุขเมื่อใดก็ตามที่ผู้เชื่อไปเน้นบางสิ่งมากเกินไป ก็ขาดความสมดุลย์ในคริสตจักร และมีโอกาสที่จะกลายเป็นตกขอบไปได้

ข้อพระคำเชื่อมโยง

1* 1 โครินธ์ 12:31; 14:39; กันดารวิถี 11:25,29
2* กิจการ 2:4; 10:46
3* โรม 14:19; 15:2; 1ทิโมธี 4:13
6* 1โครินธ์ 14:26
13* 1โครินธ์ 12:10
15* โคโลสี 3:16; สดุดี 47:7
16* 1โครินธ์ 11:24

20* สดุดี 131:2; 1 เปโตร 2:2
21* ยอห์น 10:34; อิสยาห์ 28:11-12
22* มาระโก 16:17
23* กิจการ 2:13
25* อิสยาห์ 45:14
26* 1โครินธ์ 12:8-10; 14:6; 2 โครินธ์ 12:19
29* 1โครินธ์ 12:10

30* 1เธสะโลนิกา 5:19-20
32* 1ยอห์น 4:1
33* 1โครินธ์ 11:16
34* 1ทิโมธี 2:11; ปฐมกาล 3:16
37* 2โครินธ์ 10:7
39* 1โครินธ์ 12:31
40* 1โครินธ์ 14:33



มาระโก 5 อัศจรรย์ท้าชีวิต

ผีมาร ชายผู้เป็นเหยื่อ กับฝูงหมู


1 พวกเขาข้ามฟากมาถึงเขตเกราซา(หรือเกราซีน)
2 ทันทีที่พระเยซูทรงขึ้นจากเรือ พระองค์ก็พบชายคนหนึ่งที่มีวิญญาณโสโครกสิงอยู่ เขาออกมาจากแถบถ้ำสุสาน
3 ชายคนนี้เร่ร่อนอาศัยตามถ้ำสุสานและไม่มีใครมัดเขาให้อยู่กับที่ได้แม้ว่าจะใช้โซ่ล่ามไว้

4 แม้ว่าเขาถูกล่ามด้วยโซ่และตรวนบ่อย ๆ เขาก็ได้หักโซ่และตรวนกระจาย ตอนนี้ไม่มีใครมีแรงพอที่จะปราบเขาอยู่มือ
5 เขาเอาแต่ร้องโหยหวนตามถ้ำสุสาน ตามภูเขา และเอาหินกรีดตัวเอง
6 เมื่อชายคนนี้เห็นพระเยซูแต่ไกล เขาก็วิ่งมาและคุกเข่าลงต่อพระองค์
7 และเขาก็ตะโกนเสียงดังว่า “ท่านต้องการอะไรจากข้าพเจ้า พระเยซู พระบุตรของพระเจ้าสูงสุด? ข้าพเจ้าขอท่านเมตตาข้าพเจ้าต่อพระพักตร์พระเจ้าว่า โปรดอย่าทรมานข้าพเจ้าเลย”
8 ที่กล่าวอย่างนั้นเพราะพระองค์ตรัสว่า
“จงออกมาจากชายคนนี้ เจ้าวิญญาณโสโครก!”

9 พระเยซูตรัสถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?” เขาตอบว่า
“ข้าพเจ้าชื่อกอง..เพราะว่าเราอยู่กันหลายตน”
10 จากนั้นก็ขอร้องพระเยซูซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ให้พระองค์ส่งพวกมันออกไปจากเขตแดนนั้น

11 ใกล้ ๆ ที่นั่นมีหมูฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่
12 ดังนั้น พวกผีมารจึงร้องขอพระเยซู “ขอท่านส่งเราไปที่ฝูงหมู พวกเราจะได้เข้าสิงมัน”
13 พระองค์ทรงอนุญาต ดังนั้นเหล่าวิญญาณโสโครกจึงออกมาจากชายคนนั้น และเข้าไปสิงในตัวหมู ฝูงหมูที่มีประมาณ สองพันตัวก็วิ่งลงมาจากหน้าผาชัน ลงไปในทะเล แล้วจมน้ำตายจนหมด
14 ส่วนคนที่เลี้ยงหมูก็วิ่งออกไป เข้าไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในเมือง และหมู่บ้านโดยรอบ และผู้คนก็พากันออกมาดูว่า เกิดอะไรขึ้น

15 แล้วพวกเขาก็มาหาพระเยซู ก็ได้เห็นชายที่ผีสิงทั้งกองนั่งอยู่ สวมเสื้อผ้า มีสติดี พวกเขาจึงกลัวนัก
16 คนที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น กับคนที่ถูกผีสิง และฝูงหมูให้ผู้คนได้ฟัง
17 พวกเขาจึงวิงวอนขอให้พระเยซูไปจากดินแดนของพวกเขา

18 ขณะที่พระองค์ทรงลงเรือ ชายคนที่มีผีสิงก็ทูลขอไปกับพระองค์
19 แต่พระเยซูไม่ทรงอนุญาต “เจ้าจงกลับไปบ้าน หาครอบครัวของเจ้า” พระองค์ตรัส “ และบอกพวกเขาว่า พระเจ้าได้ทรงทำการเพื่อเจ้ามากแค่ไหน และพระองค์ทรงเมตตาเจ้าอย่างไร”
20 ดังนั้น เขาจึงลาไป และเริ่มต้นประกาศทั่วในแคว้นเคคาโปลิสว่า พระเยซูได้ทรงทำเพื่อเขามากเพียงไร และทุกคนก็ประหลาดใจนัก

ลูกสาวเอ๋ย..

21 อีกครั้งที่พระเยซูทรงลงเรือข้ามฟากมา ประชาชนกลุ่มใหญ่ก็เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ ริมทะเลสาบ
22 นายศาลาธรรมชื่อไยรัสมาที่นั่นด้วย เมื่อเขาเห็นพระเยซูก็ทรุดตัวหมอบที่พระบาทพระองค์
23 เขาทูลอ้อนวอนอย่างร้อนใจว่า
“ลูกสาวตัวเล็กของข้าพเจ้าใกล้ตายพระเจ้าข้า ขอโปรดมาและวางพระหัตถ์บนเธอ เพื่อว่าลูกจะได้หายและได้มีชีวิต”
24 ดังนั้นพระเยซูเสด็จไปกับเขา ฝูงชนก็ตามไปด้วย เบียดเสียดรอบ ๆพระองค์


25 ในหมู่คนนั้น มีหญิงคนหนึ่งที่ทุกข์ทรมานจากโรคเลือดตกมานานถึง 12 ปี
26 เธอทุกข์ทรมานยิ่งนัก ได้ไปหาหมอหลายคน และใช้เงินที่มีอยู่จนหมดตัว แต่ไม่ดีขึ้นเลย ยิ่งกว่านั้น เธอกลับมีอาการทรุดลงเรื่อย ๆ
27 เมื่อหญิงคนนี้ได้ยินเรื่องของพระเยซู เธอก็เดินไปในหมู่ชนด้านหลังของพระองค์ และแตะเสื้อคลุมของพระองค์
28 เพราะเธอพูดกับตัวเองว่า “หากฉันได้ทำเพียงแตะเสื้อของพระองค์ ฉันก็จะหายโรค”
29 ทันที! .. เลือดที่ไหลอยู่ก็หยุด และเธอรู้ตัวว่า เธอหายจากโรคแล้ว

30 เวลาเดียวกันนั้น พระเยซูทรงทราบว่า ฤทธิ์ได้ซ่านออกจากพระองค์ พระองค์ทรงหันไปในหมู่คน ตรัสถามว่า “ใครมาแตะเสื้อผ้าของเรา?”
31 พวกศิษย์ของพระองค์ตอบว่า “พระองค์ก็ทรงเห็นว่ามีคนมากมายเบียดพระองค์อยู่ แต่ยังทรงถามว่า ใครมาแตะเรา”
32 แต่พระองค์ยังทรงมองไปรอบ ๆ เพื่อจะดูว่า ใครเป็นคนที่ทำเช่นนั้น
33 แล้วหญิงคนนั้นรู้ว่า อะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง ก็เข้ามาหมอบลงตัวสั่นต่อพระบาท และเธอก็บอกความจริงทั้งหมด
34 “ลูกสาวเอ๋ย!” พระเยซูตรัส “ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายจากโรคแล้ว จงไปเป็นสุขเถอะ และพ้นจากความทุกข์ทรมาน”

ลูกสาวใคร ได้ฟื้นขึ้นมา ?


35 ขณะที่พระองค์ตรัสนั้นเอง ก็มีชายคนหนึ่งที่ถูกส่งมาจากบ้านของไยรัสนายศาลาธรรม กล่าวว่า
“ลูกสาวของท่านตายแล้ว ทำไมต้องไปรบกวนพระอาจารย์อีกเล่า?”
36 พระเยซูทรงได้ยินคำสนทนานั้น จึงตรัสกับ
ไยรัสว่า “อย่ากลัวไปเลย จงเชื่อเท่านั้น”
37และพระเยซูไม่ทรงอนุญาตให้ใครไปกับด้วย
ยกเว้นเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายยากอบ


38 เมื่อพวกเขามาถึงบ้านของนายศาลาธรรม พระเยซูทรงเห็นผู้คนในบ้านวุ่นวายโกลาหล มีการร้องไห้ ร้องโหยหวนเสียงดัง
39 พระองค์ทรงเข้าไปข้างในตรัสถามว่า “ทำไมจึงมาร้องไห้วุ่นวายไปอย่างนี้? เด็กยังไม่ตาย เธอหลับอยู่เท่านั้น”
40 และพวกเขาก็หัวเราะเยาะพระองค์กัน
หลังจากที่พระองค์ทรงให้พวกเขาออกไปอยู่ข้างนอก ทรงให้พ่อแม่ของเด็ก และศิษย์ที่มากับพระองค์เข้าไปข้างในหาเด็ก


41 ทรงจับมือเธอ ตรัสว่า “ทาลิธา คูม” แปลว่า “เด็กหญิงเอ๋ย เราบอกให้หนูลุกขึ้น”
42 ทันใดนั้นเองเด็กหญิงก็ลุกขึ้น และเริ่มเดินไปรอบ ๆ เธออายุ 12 ปี และพวกเขาต่างตกตะลึงไปตาม ๆกัน
43 แล้วพระเยซูทรงกำชับว่า ต้องไม่ให้ใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นทรงบอกให้เขาหาอาหารให้เด็กหญิงรับประทาน

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 5:1-5
เกราซาเป็นเมืองเล็ก ๆ ด้านตะวันออกของทะเลสาบกาลิลี  ซึ่งเป็นเมืองที่มีหน้าผาสูงมีชายคนหนึ่งที่ถูกผีสิง มาพบพระเยซูทันที! (ในหนังสือมัทธิว บอกว่ามีชายสองคนที่นั่น เพราะมัทธิวเขียนให้คนยิวอ่าน  มาระโก เล่าเน้นคนคนที่มีวิญญาณชั่วหลายตน )  น่าแปลกใจที่ในพระคัมภีร์เดิมเราไม่ได้อ่านเรื่องคนถูกผีสิง แต่เมื่อพระเยซูมาถึง คือเวลาของพระองค์ที่จะเหยียบหัวของมารนั่นเอง (เวลาของพระเมสสิยาห์) และที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ มันมักจะเข้าไปสิงคนในแถบชนบทมากกว่าในเมือง 
ให้เรานึกถึงชีวิตคน ๆ หนึ่ง ที่ไม่ปกติ ไม่อาจจะทำมาหากิน มีชีวิตเหมือนคนอื่น ๆ ได้ สิ่งที่ทำยี่สิบสี่ชั่วโมงคือ การร้องเสียงดังตามถ้ำ และเอาหินกรีดตัวเองจนโชกเลือด  และเขาทำอย่างนั้นตลอดเวลา  แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างทรมานเป็นที่สุด
เห็นไหมว่า มารทำอะไรในตัวเขา คือเอาความเป็นคนออกไป เขาต้องถูกแยกออกไปจากผู้คนในเมือง 
ผู้คนกลัวเขามาก และมีความพยายามเอาโซ่ล่ามเขาไว้ แต่เขาก็หักโซ่ตรวนนั้นได้ ที่เขามีกำลังมากขนาดนี้เป็นเพราะเขามีวิญญาณชั่วร้ายสิงอยู่ในตัวทำให้มีพลังเกินกำลังคนธรรมดา  และที่สำคัญ วิญญาณชั่วนั้น   ผลักดันให้เขาทำร้ายตัวเองไม่หยุดหย่อน แต่มาตอนนี้ พระเยซูเสด็จมาใกล้ ๆ ที่เขาอยู่ !
 
มาระโก 5:6-10
ปฏิกริยาของมารต่อพระเยซูเมื่อเห็นพระเยซูมันวิ่งมานมัสการพระองค์ คุกเข่าลง มันหมดอำนาจเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระเยซู มันไม่เคยเห็นพระองค์มาก่อนเลย. พระเยซูตรัสสั่งให้วิญญาณโสโครกออกมาจากตัวเขา วิญญาณในตัวจึงร้องเสียงดัง
** มันใช้คำถามว่า ท่านต้องการอะไรจากพวกมัน
** มันรู้ว่า พระเยซูคือ พระบุตรของพระเจ้าสูงสุดเสียด้วย มันเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง (ไม่เหมือนคนมากมายที่ไม่ยอมเชื่อว่ามีพระเจ้า)
** มันขอให้พระเยซูเมตตา ไม่ทรมานมัน (ดูเหมือนการที่จะออกจากการสิงชายคนนี้เป็นสื่งที่ทรมานวิญญาณชั่ว) เราเห็นชัดว่า มันไม่มีอำนาจเหนือพระเยซูสักนิด มันรู้ว่าพระเยซูอยู่เหนือมันแน่นอน มัทธิวบันทึกว่าอย่าทำร้ายมันก่อนเวลา …​
** เมื่อพระเยซูถามชื่อ มันตอบว่า กอง เพราะมีอยู่หลายตนในตัวชายคนนั้น นี่เป็นเหตุผลที่เขาทรมานเหลือเกิน
** มันขอที่จะอยู่ในเขตแดนนั้นต่อไป มันรู้ว่าจะทำอะไรก็ต้องอยู่ภายใต้อำนาจของพระเจ้า

มาระโก 5:11-13
**มารขอร้องพระเยซูให้ไปสิงในฝูงหมูแทนสิงชายคนนั้น แน่นอนพระเยซูจะไม่ทรงยอมให้พวกมันไปจัดการกับคนอื่น ตอนนี้มันต้องการบ้านใหม่ และเห็นว่า ฝูงหมูก็ยังดีกว่าถูกไล่ไปยังบึงไฟ ทำไมพระเยซูทรงยอม? … ทำไมพระองค์ไม่จัดการส่งมันลงบึงไฟเลย?​
อาจมีเหตุผลหลายอย่างตามที่คนเราในสมัยใหม่คิดกัน อย่างเช่น แต่ที่เราเห็นอย่างหนึ่งคือ เมื่อพระเจ้าทรงอนุญาตสิ่งใด สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้
หมูทั้งฝูง พอถูกมารสิง มันก็กระโจนลงน้ำไปหมด

มาระโก 5:14-20
ชาวเมืองกังวลว่า หากพระเยซูอยู่อีกอาจจะทำลายฝูงหมูอื่นอีกก็เป็นได้
ยังมีฝูงสัตว์อื่น ๆ อีก พวกเขามองไม่เห็นสิ่งดีที่พระองค์ทรงทำให้กับชาวเมืองที่ถูกผีเข้า พวกเขาจึงขอให้พระองค์ออกไปจากดินแดนนั้น อย่าได้มาทำลายเครื่องมือทำมาหากินของพวกเขา
ชาวเมืองไม่ได้เห็นการดีที่พระเยซูทรงทำเพื่อชายที่ทรมานจากผีเข้าสิงเลย และไม่สนใจด้วยว่า มีคนได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จากผีเป็นกองทัพ!
ชายคนนี้ที่เป็นอิสระแล้ว ขอไปกับพระเยซู แต่ทรงให้เขากลับไปแจ้งให้ครอบครัว พี่น้องเข้าใจว่า พระเจ้าทรงดีต่อเขาอย่างไร เขาก็ตกลงทำตามนั้น เขากลายเป็นคนที่ประกาศให้ชาวเมืองแถบนั้นได้รู้ว่า พระเยซูคือผู้ใด และทรงทำอะไรเพื่อเขา  พื้นที่ ๆ เขาเป็นพยานก็ไม่ใช่พื้นที่ยิวแต่เป็นของชาวต่างชาติ


ลูกสาวเอ๋ย
มาระโก 5:21-23
นายศาลาธรรมไยรัส น่าจะเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่ของฟาริสี และหากใคร ในหมู่ผู้ทำงานในศาลาธรรม รู้ว่าเขามาหมอบที่พระบาทของพระองค์เช่นนี้ คงเกิดเรื่องขึ้นแน่ แต่ตอนนี้ เรื่องเหล่านั้น ไม่สำคัญต่อไยรัสแต่อย่างใด เขาเพียงขอแค่ลูกสาวมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้นเอง  ชีวิตของลูกสาวย่อมสำคัญกว่าความบีบคั้นจากสังคมยิวไยรัสรู้ดีว่า พระเยซูทรงมีฤทธิ์ที่จะช่วยลูกสาวของเขาได้ เขาต้องเคยได้ยินและได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเยซูมาบ้างแล้ว 
มาระโก 5:24-34
และยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ป่วยมานานสิบสองปี และหาหมอที่ไหนก็ไม่ช่วยให้หาย แต่กลับทำให้ฐานะยากจนลงไปเรื่อย ๆ เธอกำลังอยู่ในหมู่ชนที่เบียดเสียดกับพระเยซู เธอให้เหตุผลกับตัวเองว่า พระเยซูเป็นผู้ที่รักษาโรคให้หาย ท่านคือผู้มีฤทธิ์ ฉันว่าแค่แตะท่านผู้ทรงฤทธิ์ ฉันหายโรคแน่.. ไม่มีใครสอนเธอเรื่องนี้ ไม่มีใครบอกมาก่อนว่ามันเป็นไปได้ นี่เป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นเมื่อเห็นพระเยซู เมื่อเข้าไปใกล้พระองค์ เธอพยายามที่สุดที่จะเข้าไปแตะชายเสื้อให้ได้
ขณะที่คนกำลังตื่นเต้น และรีบร้อนกับการไปดูพระเยซูรักษาโรคให้ลูกสาวไยรัส หญิงคนนี้เบียดเสียดเข้ามาเงียบ ๆ แต่มั่นใจ มั่นคง ไม่มีอะไรมาทำให้เธอหันกลับ (อย่าลืมว่าจริง ๆ แล้ว การมีเลือดไหลแบบนี้เท่ากับเธอเป็นคนมลทินในกฎของยิว ถ้าใครรู้ว่าเธอมีอาการแบบนี้ จะเกิดการลุกฮือแน่นอน เพราะเธอต้องแยกตัวออกมา จะมาชิดใกล้กับผู้คนแบบนี้ไม่ได้) ต่อให้ใครมาลากเธอออกไป เธอก็จะยังแตะพระองค์ให้ได้
ทันทีที่เธอแตะต้องชายเสื้อของพระเยซู แอบแตะเท่านั้น เลือดที่ไหลอยู่ก็หยุด ทันทีที่ฤทธิ์ซ่านออกจากพระเยซู ก็ทรงรู้สึก พระองค์ทรงรักษาเธอแล้ว พระองค์ทรงรู้อยู่แล้วว่า เธอมาใกล้ ๆ เธอคิดอะไรอยู่
ในหมู่คนจำนวนมากเป็นร้อย มีสองคนที่รู้ว่า เกิดการทำงานของฤทธิ์เดชขึ้น
คนหนึ่งหายโรค อีกท่าน..ปล่อยฤทธิ์ออกไปรักษาโรคนั้น!
เมื่อพระเยซูทรงหันมาถามว่า ใครแตะเรา? ทำให้ศิษย์และผู้คนรู้สึกรำคาญ เพราะกำลังรีบ พวกเขาให้เหตุผลถูกแล้วที่ว่า คนมากมายเบียดเสียดกันอยู่
แต่พระเยซูทรงประสงค์จะให้กำลังใจเธอ พระองค์ทรงมองไปรอบ ๆ ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวสำหรับหญิงผู้นี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเธอก็รีบหมอบต่อพระบาทบอกความจริงอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่เธอได้รับคืนมา ไม่ใช่คำต่อว่า แต่เป็นพระเมตตาที่ย้ำให้เธอรู้ว่า ความเชื่อที่เธอมีต่อพระองค์ทำให้เธอหายโรคสนิทแล้ว ให้กลับไป ทรงเรียกเธอว่า ลูกสาว ตอนนี้เป็นลูกสาวของพระองค์แล้ว เธอจะไม่ต้องทรมานเหมือนเดิมอีก

ลูกสาวใครได้ฟื้นขึ้นมา?
มาระโก 5:35
เราไม่ทราบว่าเหตุการณ์ตรงนี้กินเวลากี่นาที แต่ในช่วงวิกฤตินั้นเองที่มีคนมาจากบ้านของไยรัส และบอกข่าวร้ายที่สุดในชีวิตของเขา “ลูกสาวท่านตายแล้ว!” ในขณะที่มีหญิงคนหนึ่งหายจากโรคที่เป็นมานาน 12 ปี ลูกสาวของชายอีกคน อายุ 12 ปีเหมือนกันได้สิ้นชีวิตลง ไยรัสทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะคิดอย่างไร แต่พระเยซูตรัสกับเขาทันทีว่า อย่ากลัวไปเลย จงเชื่อเท่านั้น
แน่นอนที่ความเชื่อของหญิงโลหิตตก ต้องทำให้ไยรัสเองสยบต่อคำของพระเยซู ไม่มีอะไรที่ทรงทำไม่ได้ พระเยซูทรงฤทธิ์มาก จนเขามากราบขอความช่วยเหลือจากพระองค์ และพระองค์ยังทรงมุ่งหน้าไปบ้านของเขา แน่นอนที่เขาจะไม่ห้ามพระองค์ เขาจะเชื่อเท่านั้น เขาจะไม่กลัว พระเยซูจะทรงเรียกชีวิตลูกสาวของเขาคืนมา
มาระโก 5:36-43
เมื่อมาถึงบ้าน พระเยซูตรัสบอกทุกคนว่า เด็กน้อยแค่หลับอยู่ ในสายพระเนตรของพระองค์ ความตายไม่ใช่การสิ้นสุด เพราะในอาณาจักรของพระเจ้า จะมีการฟื้นคืนชีวิตได้อยู่แล้ว ความตายไม่ชนะพระองค์ แต่คนที่อยู่ในบ้านไยรัส ซึ่งกำลังร้องไห้ตามพิธี เป็นการบอกความโศกเศร้า กลับกลายเป็นหัวเราะเยาะพระเยซู
แล้วพระเยซูทรงอนุญาตพ่อแม่และศิษย์ใกล้ชิดสามคนเข้าไปกับพระองค์ คือเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายยากอบ (ทั้งสามเป็นคนที่ไปบนภูเขาและเจอเหตุการณ์พระเยซูทรงคืนร่างเป็นพระเจ้า…9:2 กับวันที่ทรงอธิษฐานก่อนสิ้นพระชนม์ 14:32-33)
แล้วพระเยซูทรงจับมือเด็กหญิงตรัสว่า ให้ลุกขึ้น เป็นภาษาอาราเมค ที่ใช้กันทั่วไปอยู่แล้ว เด็กหญิงก็ลุกขึ้นตามคำสั่งของพระองค์ ทั้งพ่อ แม่ และศิษย์ต่างตกตะลึง ชีวิตของเด็กหญิงกลับคืนมา
แต่พระเยซูจากบ้านนี้ไป โดยตรัสให้พ่อแม่ เก็บสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องไว้ก่อน จะไม่มีใครตามพระองค์ไป แต่ทั้งบ้านก็ได้รับรู้ว่า เด็กหญิงผู้นี้ไม่ได้ตายอย่างที่พระเยซูตรัส เธอแค่นอนหลับไปเท่านั้น

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 8:28–34
2* มาระโก 1:23; 7:25
7* กิจการ 19:13
8* มาระโก 1:25; 9:25
11* เฉลยธรรมบัญญัติ 14:8
15* มัทธิว 4:24; 8:16; ลูกา 10:39 ;
อิสยาห์ 61:10
17* กิจการ 16:39

18* ลูกา 8:38, 39
20* สดุดี 66:16; มัทธิว 9:8, 33
21* ลูกา 8:40
22* มัทธิว 9:18-26
23* กิจการ 9:17; 28:8
25* เลวีนิติ 15:19,25
27* มัทธิว 14:35,36
30* ลูกา 6:19; 8:46

33* สดุดี 89:7
34* มัทธิว 7:50; 8:48
35* ลูกา 8:4936* ยอห์น 11:40
38* กิจการ 9:39
39* ยอห์น 11:4; 11
40* กิจการ 9:4042* มาระโก 1:27; 7:3743* มัทธิว 8:4; 12:16-19; 17:9









กิจการ 21 เยรูซาเล็ม … ไปหรือไม่ไปดี?

คำเตือนระหว่างทาง

เยี่ยมยากอบ

เปาโลถูกจับในพระวิหาร

คุยกับประชาชนให้เข้าใจ

อธิบายเพิ่มเติม

คำเตือนระหว่างทาง
กิจการ 21:1-3
เราทราบจากกิจการ 20: 4 ว่าเพื่อนเดินทางของเปาโลในครั้งนี้คือ ทิโมธี ลูกา และคนอื่น ๆ โดยพวกเขาเดินทางจาก มิเลทัส (ตุรกีตะวันตกเฉียงใต้) ไปยังฝั่งฟินิเชีย เป้าหมายคือเมืองไทระที่พวกเขาตั้งใจจะเยี่ยมพี่น้องที่นั่น
กิจการ 21:4-6
เปาโลและทุกคนได้พบพี่น้องในเมืองไทระจริง และมีบางคนเตือนว่า ไม่ให้ไปเยรูซาเล็มเพราะจะถูกจับกุมตัว พวกเขาพยายามที่จะให้เปาโลเปลี่ยนใจ แต่ไม่ได้ผล เพราะวันที่เจ็ดพวกเขาก็ออกเดินทางต่อตามที่ตั้งใจไว้
เปาโลเชื่อว่าพระเจ้าทรงนำให้เขาไปเยรูซาเล็ม แต่พี่น้องเห็นจากพระเจ้าอีกมุมคือ เปาโลจะถูกจำจอง
ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับความรู้นี้มาจากพระเจ้า แต่ทำไมเปาโลไม่ฟังเพื่อนที่มาห้ามไว้ เราอาจตั้งคำถามว่าเปาโลควรฟังใครกัน …
กิจการ 21:7-11
เดินทางผ่านเมืองใด ก็จะไปเยี่ยมพี่น้องเมืองนั้น และในบ้านของฟีลิป ก็พบลูกสาวที่เป็นผู้กล่าวพระคำของพระเจ้าสี่คน ซึ่งทำให้เราเห็นว่า ผู้หญิงก็ได้ทำงานรับใช้พระเจ้าเช่นกัน จำได้ไหม ฟีลิปเป็นคนที่ประกาศพระนามพระเจ้าอย่างแข็งขันในกิจการบทที่ 8
มาถึงบ้านนี้ก็มีคนมาเตือนอีกแล้วว่า อย่าไปเยรูซาเล็มเลย .. และอากาบัสก็แสดงให้เห็นราวกับเป็นการแสดงละครสดเลยว่า เปาโลจะเจออะไร .. ดูน่ากลัว น่ากังวลมาก
กิจการ 21:12-16
แต่เปาโลไม่ได้กลัวสักนิด เพราะใจเปาโลนั้นพร้อมตายเพื่อพระเจ้า แต่ขอให้ได้ทำอะไรที่เกิดประโยชน์แล้วกัน การที่มีคนมาเตือนเช่นนี้ อาจเป็นการลองใจของพระเจ้าก็เป็นได้ … ว่าเปาโลจะตัดสินใจอย่างไร แล้วที่สุด ทุกคนในคณะของเปาโลก็เดินทางไปเยรูซาเล็มจริง

เยี่ยมยากอบ
กิจการ 21:17-20ก
เราจะเห็นว่า ในเยรูซาเล็มมีโครงสร้างของผู้นำอยู่อย่างชัดเจน และเปาโลเองก็ยอมรับโครงสร้างนั้น เขาได้รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นในการประกาศที่ผ่านมา พบว่า พระเจ้าทรงทำการยิ่งใหญ่ในหมู่คนต่างชาติ เราจะเห็นว่าพี่น้องชาวยิวก็ดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย ในกิจการบทที่ 15 เราจะเห็นว่ามีการปรับความเข้าใจระหว่างพี่น้องชาวยิวและชาวต่างชาติที่เชื่อให้เหมาะสม
กิจการ 21:20ข-22
เปาโลมาพบข่าวลือว่า เปาโลสอนให้ผู้เชื่อต่างชาติต่อต้านพิธีของยิว ดังนั้น ยากอบซึ่งเป็นน้องชายของพระเยซูรวม ทั้งผู้อาวุโสในเยรูซาเล็มได้ขอให้เปาโลพิสูจน์ว่าเขาเป็นยิวแท้ด้วยการช่วยให้คนกลุ่มหนึ่งได้ทำตามคำปฏิญาณตนแบบพวกนาซารีน (กันดารวิถี 6:1-21)
กิจการ 21:23-25ก
เปาโลตกลงที่จะทำตามที่พวกเขาขอร้อง คือทำตามธรรมเนียมยิวด้วย จะเห็นว่า การทำตามธรรมเนียมที่ไม่ได้ผิด แต่กลับกลายเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพี่น้อง เป็นการทำตามสิ่งที่ท่านกล่าวในเอเฟซัส 4:1-2 ,13
กิจการ 21:25ข-26
การยินยอมของเปาโลเท่ากับทำให้คนเหล่านั้นไว้ใจเปาโล และไม่คิดจะเชื่อข่าวลือต่อไป พี่น้องในเยรูซาเล็มเข้าใจท่าที ทัศนคติจริงของท่านที่มีต่อความเชื่อในพระเจ้า


เปาโลถูกจับในพระวิหาร
กิจการ 21:27-29
พอดีเปาโลไปไหนต่อไหนกับโตรฟีมัสซึ่งเป็นชาวเมืองเอเฟซัส ทำให้คนยิวได้กระพือข่าวเพราะคิดเอาเองว่า เขาเอาคนต่างชาติเข้าไปในพระวิหาร ทำให้พระวิหารเป็นมลทิน โตรฟีมัสเป็นคนหนึ่งที่มากับทีมเปาโลที่เอาเงินถวายมาส่ง เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเยรูซาเล็ม
กิจการ 21:30-31
ดังนั้นวันที่เปาโลไปพระวิหาร และกำลังออกมา พวกเขาก็คิดว่านี่ไง มาแล้ว เอาคนต่างชาติเข้าไปในวิหารได้อย่างไร พวกเขาจับเปาโลและรุมทำร้ายเขา ดีที่มีคนไปแจ้งข่าวให้ทหารโรมที่รับผิดชอบดูแลความสงบเรียบร้อยทันทีเหมือนกัน เขาจึงสั่งคนให้ไปยังพื้นที่ทันที!
กิจการ 21:32-34ก
พวกเขาหยุดทำร้ายเปาโลเมื่อเห็นทหารเข้ามา เขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะมีคนตอบคำถามคนละเรื่องกัน ขัดแย้งไปหมด
กิจการ 21:34ข-35
ถึงแม้กลุ่มชนเหล่านี้ต้องการลงประชาทัณฑ์เขา แต่เปาโลก็ยังอยากที่จะประกาศพระนามในช่วงที่ผู้คนกำลังเร่าร้อน อยากให้เขาตาย เราจะเห็นว่า กลุ่มผู้นำศาสนานี้ เป็นตัวดีที่คอยทำให้ประชาชนทำผิดตามคำสั่งของพวกเขา

คุยกับประชาชนให้เข้าใจ
กิจการ 21:37-39
ตอนแรกนายทหารเข้าใจว่าเปาโลเป็นคนอียิปต์ที่เป็นคนร้าย แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า เปาโลไม่ใช่คนนั้น (คนนั้นได้ปลุกระดมคนมากมายไปที่ภูเขามะกอกเทศ และได้อ้างว่าเขาจะทำให้โรมล่มไป จึงมีคำสั่งจากโรมให้กำจัดเหล่ากบฎซึ่งโรมก็ได้สังหารผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก แต่หัวโจกหนีไปได้ พวกนี้มักจะปะปนอยู่กับคนยิวและพยายามฆ่ายิวที่เข้าข้างโรม
และเวลานี้เองเปาโลก็ขออนุญาตพูดกับประชาชน …
กิจการ 21:40-22:3
แล้วเขาก็ได้รับอนุญาตอย่างไม่คาดฝัน นี่เป็นตัวอย่างของความมุ่งมั่นที่เราไม่ค่อยได้เห็น ยิ่งต่อหน้าประชาชนที่กำลังโกรธแบบนี้ เปาโลน่าจะรีบเข้าไปในกองทหารก่อนเพื่อความปลอดภัย เขากลับได้มีโอกาสพูดกับประชาชนเป็นภาษาฮีบรู ทำให้ผู้คนที่เข้าใจผิดเหล่านั้นได้นิ่งฟังเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เปาโลจะได้กล่าวคำชี้แจงเรื่องชีวิตที่มาพบพระเจ้า

พระคำเชื่อมโยง

1* 1 เธสะโลนิกา 2:17
2* กิจการ 27:6; 15:3
3* กิจการ 21:16’ 12:20
4* กิจการ 21:10-12
5* กิจการ 20:36,38
8* กิจการ 8:40; 21:16;
เอเฟซัส 4:11; กิจการ 6:5
9* โยเอล 2:28
10* กิจการ 11:28
11* กิจการ 20:23; 21:33; 22:25

13* กิจการ 20:24, 37
14* ลูกา 11:2; 22:42
17* กิจการ 15:4
18* กาลาเทีย 1:19; 2:9
19* โรม 15:18, 19;
กิจการ 14:27; 1:17; 20:24
20* กิจการ 15:1; 22:3
24* กิจการ 18:18
25* กิจการ 15:19,20,29
26* กิจการ 21:24; 24:18;
กันดารวิถี 6:13

27* กิจการ 20:19; 24:18; 26:21
28* กิจการ 6:13; 24:26
29* กิจการ 20:4
30* กิจการ 16:19; 26:21
31* 2 โครินธ์ 11:23
32* กิจการ 23:27; 24:7
33* กิจการ 24:7; 20:23; 21:11
36* ยอห์น 19:15
38* กิจการ 5:36
39* กิจการ 9:11; 22:3
40* กิจการ 12:17; 22:2

1 โครินธ์ 13 ความหมายแห่งรัก

1 โครินธ์ 13:1-3
แม้ว่าข้าจะพูดเป็นภาษาแปลกที่ไม่รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นภาษาของมนุษย์หรือของทูตสวรรค์ แต่ไม่มีความรัก ข้าก็เป็นแค่เสียงฆ้องหรือฉาบที่ส่งเสียงอยู่เท่านั้น
แม้ข้าจะเผยพระดำรัสของพระเจ้าได้มีความรู้ในสิ่งล้ำลึก รอบรู้ในทุกเรื่องมีความเชื่อจนเคลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ตัวข้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย
ถ้าข้าแจกจ่ายสิ่งของที่มีแก่คนขัดสนและยอมเอาตัวไปเผาไฟ แต่หากไม่มีความรัก ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

1 โครินธ์ 13:4-8
ความรักเริ่มต้นที่ความอดทนนานและใจเมตตาปราณี
ความรักไม่อิจฉา ไม่โอ้อวด ไม่หยิ่งยโส ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่โกรธง่าย ไม่ช่างจำความผิด ไม่พอใจกับการทำผิด
แต่ยินดีกับความจริง
ความรักทนต่อทุกอย่าง เชื่อมั่นอยู่เสมอ มีความหวังใจ และมีหัวใจพากเพียร บากบั่นในทุกสิ่ง
ความรักนั้นยืนยงมั่นคงนิรันดร์
แม้การเผยพระคำจะเลิกไป หรือการพูดภาษาที่แปลกจะเลิกไป หรือความรู้ใด ๆ จะเสื่อมไป

1 โครินธ์ 13:9-11
เป็นเพราะว่า เรามีความรู้เพียงบางส่วนและเผยพระคำเพียงบางส่วนแต่เมื่อความสมบูรณ์เพียบพร้อมมาถึงความไม่สมบูรณ์นั้นจะสูญไป

เมื่อข้ายังเป็นเด็ก ข้าพูดอย่างเด็กคิดและหาเหตุผลอย่างเด็ก
แต่เมื่อข้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าก็เลิกพฤติกรรมอย่างเด็ก

1 โครินธ์ 13:12-13
เพราะเวลานี้ เราเห็นภาพสะท้อนมัว ๆ เหมือนดูในกระจก แต่ในเวลานั้นเราจะเห็นภาพชัดตามความเป็นจริง
เวลานี้ข้ารู้เพียงบางส่วน แต่ในเวลานั้นข้าจะรู้ชัดเจนแจ่มแจ้งเหมือนกับที่พระองค์ทรงรู้จักข้า
และบัดนี้ สามสิ่งที่ยังคงอยู่ก็คือ ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก
แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าทั้งหมด ก็คือความรัก

คำอธิบายเพิ่มเติม

1 โครินธ์ 13:1-3
หนังสือ 1 โครินธ์บทที่ 13 นับได้ว่า เป็นข้อพระคำที่ผู้คนรู้จักกันมากที่สุด เพราะมีการนำมาร้องเป็นเพลงรัก และใช้อ่านในงานแต่งงานกันเสมอแต่พระคำข้อแรกนี้ กำลังแนะนำเราว่า การมีของประทานที่ปราศจากความรักนั้น ไม่มีประโยชน์อันใดในสายพระเนตรของพระเจ้า ดังนั้น คน ๆหนึ่งที่มีของประทานจากพระเจ้า อาจสอนเก่ง เทศน์เกิดผล พูดและแปลภาษาที่แปลกได้ รักษาโรคได้ แต่หากไร้รัก ก็ไร้ค่าสำหรับตัวเขาเอง
จะเห็นว่าการใช้ของประทานนั้น บางคนอาจใช้โดยไม่ได้มีความรักเลย เขาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกให้เผยพระคำ ให้แบ่งปันความรู้ ให้มีความเชื่อเพื่อช่วยเหลือพี่น้องแต่หากไร้ซึ่งความรัก สิ่งที่ทำสำเร็จกลับไม่มีค่าเป็นความสำเร็จที่ไม่สมบูรณ์แบบ ไม่เต็มร้อย มีคนกล่าวว่า สัญญาณว่าคน ๆ หนึ่งเต็มด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าไม่ใช่การอัศจรรย์ต่าง ๆแต่เป็นความรัก
ท่านเปาโลยังอธิบายต่อไปว่า จะเป็นคนใจดีแจกจ่ายให้คนอื่นมากมาย ทำงานที่ทำให้คนอื่นได้ดี แถมยังยอมแม้กระทั่งทำร้ายตัวเอง ยอมถูกทรมานเพื่อความเชื่อ ถึงขนาดนั้นแล้วท่านเปาโลยังมองว่าหากไม่ประกอบด้วยความรัก นั่นจะไม่มีค่าอะไรเลย
ทำให้เราย้อนไปถึงพระเยซู บนไม้กางเขน การที่พระองค์ทรงยอมสิ้นพระชนม์ยอมอับอาย ยอมทุกอย่างไม่ใช่เพื่อเป็นวีรบุรุษแต่เพราะพระองค์ทรงรักพระบิดาและชาวโลกนี้

1 โครินธ์ 13:4-8
เราอาจจะถามว่า แล้วรักคืออะไรล่ะสองสิ่งที่รักเป็น คืออดทนและเมตตา เมื่อเรามีความรัก สองสิ่งแรกที่เป็นส่วนประกอบของรักนั้น จะต้องปรากฏ ถ้าไม่มีก็ไม่ใช่รัก ยังมีอีกแปดอย่างที่ไม่ใช่รัก ..คำอธิบายของสิ่งที่ไม่ใช่ความรักของท่านเปาโล ทำให้เรารู้เลยว่า ในชีวิตครอบครัว ในความสัมพันธ์กับเพื่อนของเรานั้น มันใช่ไหมว่าเป็นรักหรือเปล่า
ไม่เฉพาะอดทนนาน และเมตตาเท่านั้น แต่คนที่รักจะทนต่อทุกอย่าง มีความเชื่อหวังใจ บากบั่นพากเพียรแม้จะยากเพียงไร สิ่งที่เป็นของประทาน
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามอาจเสื่อมไป แต่ความรักจะอยู่ตราบเท่าที่มีนิรันดร์กาล
สุดยอด พระคำตอนนี้ เพราะว่า พระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักจึงเป็นส่วนที่อยู่ไปตลอดไม่มีวันหมดหรือจบสิ้น

1 โครินธ์ 13:9-11
เมื่อความสมบูรณ์เพียบพร้อมจากพระเจ้ามาถึงของประทานก็จะหมดไป หยุดไปจากพระคำข้อนี้ เราพอจะสรุปได้ว่า ของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้นสำคัญ แต่ของประทานนั้นมีวันที่จะสูญสิ้นไปด้วย มันจะสูญไปเมื่อความสมบูรณ์เพียบพร้อมของพระเจ้ามาถึง นั่นคือ เมื่อพระเจ้า และอาณาจักรของพระองค์มาถึงเราครบถ้วน เราได้อยู่ต่อพระพักตร์ และพระองค์ทรงชนะเหนือศัตรูทั้งปวง
ทำไมท่านเปาโลพูดเช่นนี้ ท่านกำลังจะบอกว่าเด็กก็เหมาะกับการเล่น การคิด การทำอะไรแบบเด็ก ๆ น่ารักบ้าง น่าโมโหบ้าง แต่ก็เป็นเด็ก
เมื่อเราเติบโตในพระเจ้า เราก็ไม่มีความคิดแบบเด็กอีกต่อไป เหมือนกับเมื่อคริสเตียนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ความหมกมุ่นวุ่นวายกับของประทาน
นั้นก็จะลดลง เพราะความรักมาเหนือสิ่งเหล่านั้นท่านไม่ต้องการให้พี่น้องเน้นเรื่องของประทานเกินความรักที่มีต่อกัน

1 โครินธ์ 13:12-13
เมื่อเราเห็นพระเยซูต่อพระพักตร์ ของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้นก็เหมือนจะเลือนไปเลยเพราะพระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าสิ่งเหล่านั้นเมื่อเรามีพระองค์อยู่ตรงหน้าเรา เราจะต้องการสิ่งใดอีกเล่า ดังนั้นท่านเปาโลจึงมองว่า ของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้นจะสูญไป แต่พระเจ้าและความรักของพระองค์จะยืนยง และที่สำคัญคือเราจะได้เห็นพระองค์ชัด เราจะรู้ถึงพระองค์อย่างแจ่มแจ้ง ไม่เหมือนตอนนี้ที่รู้ไม่หมด
ขอบคุณพระเจ้าที่ท่านเปาโลได้สรุปให้เราเห็นชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ทุกอย่างที่เป็นความรู้ความสามารถ ของประทาน การอัศจรรย์
ฤทธิ์ต่าง ๆ กลับกลายเป็นสิ่งที่หายไป ไม่มีอีก เมื่อมาถึงเส้นชัยสุดท้ายของโลกและจักรวาลเมื่อพระเจ้าเปลี่ยนโลกนี้เป็นอีกโลกสิ่งที่ยังคงอยู่คือ ความเชื่อ ความหวังใจ ความรักและท่านเปาโลมองว่า รักนั้น สำคัญที่สุด

 พระคำเชื่อมโยง