2 โครินธ์ 6 อาวุธของท่านเปาโล

2 โครินธ์ 6:1
ในฐานะที่เราทำงานกับพระเจ้า เราจึงขอร้องท่านว่า อย่ารับพระคุณของพระเจ้าเปล่า ๆ อย่างไร้ประโยชน์
2 โครินธ์ 6:2
เพราะพระองค์ตรัสว่า“ในเวลาที่โปรดปราน เราฟังเสียงเจ้า
ในวันแห่งความรอด เราได้ช่วยเจ้าไว้”
บัดนี้ เป็นเวลาแห่งความโปรดปราน บัดนี้ เป็นวันแห่งความรอด

2 โครินธ์ 6:3-5
เราไม่ได้วางสิ่งกีดขวางบนทางของใครเพื่อว่า การรับใช้นี้จะไม่ถูกตำหนิติเตียนเราอยู่ในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้าให้เห็นในทุกด้าน โดยเราอดทนเป็นอย่างยิ่งกับความยากลำบาก และความขัดสนและในวิบัติต่าง ๆ กับการถูกโบยตี ถูกจำจอง กับเหตุวุ่นวาย กับการตรากตรำทำงาน การอดนอน ความหิวโหย

2 โครินธ์ 6:6-7
โดยความบริสุทธิ์ ​โดยความรู้ ความอดทนความเมตตา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยรักแท้ โดยคำแห่งความจริง โดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า โดยใช้อาวุธแห่งความชอบธรรม ทั้งมือขวาและมือซ้าย
2 โครินธ์ 6:8
ทั้งเวลาที่มีเกียรติและไร้เกียรติ เวลาที่ถูกดูหมิ่น และถูกยกย่อง
ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหลอกลวงแต่ก็ยังเป็นคนจริงที่ซื่อตรง

2 โครินธ์ 6:9-10
ทั้งในเวลาที่ไม่มีใครรู้จัก แต่ยังเป็นคนที่ใครๆ รู้จักดี
เป็นเหมือนคนตายแล้วแต่ดูเถิด เรายังมีชีวิตอยู่
เป็นคนที่ถูกลงทัณฑ์ แต่ยังไม่สิ้นใจ ทั้งที่โศกเศร้า 
แต่เรายังยินดีเสมอ ทั้งยากจน แต่ทำให้คนมากมายมั่งคั่ง ทั้งเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย แต่กลับมีทุกสิ่ง

2 โครินธ์ 6:11-13
โอ ชาวโครินธ์เอ๋ย เราได้เปิดใจกว้าง และกล่าวแก่ท่านอย่างไม่มีอะไรปิดบังเราไม่ได้ปิดใจของเราต่อท่าน ท่านต่างหากที่ใจปิด ขอท่านตอบเราในแบบเดียวกัน ข้าพูดในฐานะที่ท่านเป็นลูกของข้าว่า จงเปิดใจให้กว้างเถิด


2 โครินธ์ 6:14
อย่าเทียมแอกร่วมกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เพราะว่าความชอบธรรมจะมีส่วนอะไรกับความอธรรม? และความสว่างจะมีสัมพันธ์สนิทกับความมืดได้อย่างไร?
2 โครินธ์ 6:15
พระคริสต์กับเบลีอัล จะตกลงใจร่วมกันได้อย่างไร
หรือผู้ที่เชื่อพระเจ้าจะมีส่วนใด ๆกับคนที่ไม่เชื่อได้หรือ?

2 โครินธ์ 6:16
พระวิหารของพระเจ้าจะมีข้อตกลงใดกับรูปเคารพ? เพราะว่าเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า ดังที่พระเจ้าได้ตรัสว่า“เราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขา และเดินไปในหมู่พวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา”
2 โครินธ์ 6:17-18
“ดังนั้น จงออกมาจากคนเหล่านั้นแยกตัวออกจากพวกเขา อย่าแตะต้องสิ่งที่ไม่สะอาด แล้วเราจะต้อนรับเจ้าไว้”
“เราจะเป็นพ่อของเจ้า และเจ้าจะเป็นลูกชายลูกสาวของเรา”
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้กล่าวไว้ 

2 โครินธ์ 6:1
พระคัมภีร์บางเล่มแปลว่า อย่าสักแต่รับพระคุณของพระเจ้า เราคิดดูสิในประเทศของเรานั้นการข่มเหงในเรื่องพระเจ้ามีน้อยที่อื่น ๆ เรายังมี
โอกาสเข้าไปประกาศในโรงเรียน ในสถานที่กักกันในที่ต่าง ๆ ได้ ในขณะที่หลายประเทศทำไม่ได้ เรามีเสรีภาพในการรับใช้พระเจ้า เป็นพระเมตตาที่ทรงให้เรารับใช้พระองค์ ท่านเปาโลรับใช้พระเจ้าสุดตัว สุดหัวใจ รับพระคุณมาเพื่อเชื่อ เพื่อรับใช้ท่านเป็นตัวอย่างของคนที่ไม่ได้รับพระคุณเปล่า ๆ

2 โครินธ์ 6:2
ท่านเปาโลกล่าวถึงอิสยาห์ 49:8 เพื่อให้เห็นว่าเวลานี้ บัดนี้ เป็นเวลาที่เราต้องเอาจริงเอาจังกับความเชื่อของเรา รับใช้พระเจ้าด้วยพระคุณของ
พระองค์ ไม่ใช่ด้วยกำลังหรือความเร่าร้อนใจของตนเอง จากคำของอิสยาห์ เราประเมินได้ว่า เวลาแห่งความโปรดปราน และเวลาแห่งความรอดมีที่สิ้นสุด เราจึงต้องพิจารณาตัวเองว่า ใช้ชีวิตอย่างไรอยู่ในเวลานี้ เผื่อว่า วันแห่งโอกาสรับใช้มันอาจจะหมดไปเมื่อไรก็ไม่รู้

2 โครินธ์ 6:3-4
ในการรับใช้ของท่านเปาโลนั้น ท่านพยายามที่สุดเพื่อไม่ให้ใครเข้าใจผิด สะดุดไป เต็มใจที่จะทำงานหนัก และเผชิญกับอุปสรรคนา ๆ ที่เกิดขึ้นตามทางขออย่าให้การรับใช้ของตัวท่านเป็นที่ตำหนิในสายตาของพี่น้อง (ถึงแม้มีคนคอยให้ร้ายป้ายสี พูดจาถากถางจากครูสอนผิด และแม้พี่น้องในโครินธ์เอง)ท่านยืนอยู่อย่างถูกต้องกับพระเจ้า แม้จะโดนใส่ร้าย การรับใช้ของท่านไม่มีตำหนิตามที่คนใส่ร้าย ท่านแน่ใจว่าถูกต้องกับพระเจ้าเสมอ

2 โครินธ์ 6:5
ถ้าเราตั้งใจอ่านหนังสือกิจการตอนชีวิตของท่านเปาโล เราจะเห็นว่า ท่านต้องเผชิญกับศัตรูทั้งที่เป็นคนยิวและคนต่างชาติ ซึ่งต่างก็มีวิธีการที่จะข่มขู่ ข่มเหงท่านในวิธีที่โหดร้าย ท่านเปาโลเองรู้อยู่แล้วว่า ต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เริ่มต้นรับใช้ท่านเองก็เคยข่มเหงผู้เชื่อมาก่อน สิ่งที่ท่านต้องมีคือ ความอดทนเป็นอย่างมาก ซึ่งได้มาจากพลังแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า

2 โครินธ์ 6:6-7
แล้วท่านเปาโลใช้อะไรเป็นเครื่องมือในการสู้กับความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น? น่าสนใจที่ท่านมีเครื่องมือหลายอย่างที่นำมาช่วยให้ผ่านวิกฤติ และทำให้ท่านอดทนสู้จนมีชัยชนะ ความอดทนที่ท่านมีนั้นไม่ใช่ความอดทนแบบนิ่งเฉยแต่เป็นการสู้ผ่านไปโดยไม่ยอมแพ้ นับดูแล้วเครื่องมือของท่านมีแปดประการที่เราเองก็ต้องมีเช่นกัน …​พระคำข้อนี้คือเคล็ดลับของชัยชนะในชีวิตแห่งการรับใช้

2 โครินธ์ 6:8
ท่านเปาโลรับใช้พระเจ้าโดยไม่ได้สนใจว่า จะหยุดเมื่อมีคนต่อว่า ดูหมิ่น ถูกกล่าวหาต่าง ๆ ท่านรู้ว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ตัดสิน ท่านมีชีวิตอยู่โดยความมั่นใจในสิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งดำรงอยู่นิรันดร์ ความมั่นคงในการรับใช้นี้ เป็นตัวอย่างของผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้า ไม่ต้องไปห่วงหาเวที หรือความนิยมจากผู้คน แต่เฝ้าประกาศความจริงของพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง

2 โครินธ์ 6:9-10
ความย้อนแย้งในการรับใช้ของท่านเปาโลเป็นตัวอย่างของเราว่า จะต้องมั่นคงในการทรงเรียกของพระเจ้าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดีหรือร้ายใน
สายตาของมนุษย์ก็ไม่ใช่ข้อที่นำมาตัดสิน ท่านมองทุกอย่างกลับด้านกับพี่น้องชาวโครินธิ์ซึ่งคอยตัดสินการทำงานของท่านตลอดเวลา ท่านมองเห็นด้วยว่า สิ่งที่ดูเหมือนร้าย แต่อีกด้านดูดีจริง ๆ ด้านที่มองเห็นเป็นแบบหนึ่ง แต่ด้านที่มองไม่เห็นเป็นอีกแบบ

2 โครินธ์ 6:11-13
ถ้าเป็นสมัยใหม่ ก็ต้องเรียกว่า กรอบความคิดที่ไม่ยอมเปลี่ยน พวกเขาไม่ได้รักท่านเปาโลพอที่จะเปิดใจหรือเปลี่ยนใจ เปลี่ยนความคิดให้เข้ากันได้กับท่าน ท่านขอร้องพวกเขาแบบตรงไปตรงมาให้พวกเขาเปิดใจ การอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนของพระเจ้า เป็นคริสตจักรเป็นอวัยวะเดียวกันในพระคริสต์นั้น ทั้งสองฝ่ายต้องเปิดใจ เข้าใจกัน และยอมรับกันเพื่อจะเปลี่ยนตัวเองให้เหมือนพระคริสต์มากขึ้นทุกวัน 

2 โครินธ์ 6:14
แม้ว่าเราจะใช้พระคัมภีร์ข้อนี้ มาพูดถึงการที่ว่าคริสเตียนไม่ควรแต่งงานกับคนที่ไม่เชื่อ พื้นฐาน คำของท่านเปาโลนี้อยู่ที่เฉลยธรรมบัญญัติ 22:9เป็นคำสั่งห้ามไม่ให้สัตว์สองชนิดเข้ามาเทียมแอกเดียวกัน อย่าเอาสองสิ่งที่ไม่ควรคู่กันมาอยู่ด้วยกัน พี่น้องชาวโครินธ์คบคนที่ไม่เชื่อ ทำให้พวกเขาไม่อาจคืนดีกับท่านได้ พวกเขามีกรอบความคิดของคนไม่เชื่ออยู่ … เวลาเราทำงานทั่วไป เราก็จะเจอความคิดแบบของโลกที่ไม่ใช่ทางพระเจ้าเสมอ

2 โครินธ์ 6:15​
สิ่งที่พี่น้องโครินธ์ทำคือ พวกเขายอมรับความอธรรมได้ ยอมรับความคิดที่ผิดต่อพระเจ้าได้ ในโลกทุกวันนี้ มีความคิดที่ผิดต่อพระดำริของพระเจ้ามากมาย เป็นความคิดที่ต่อต้านพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปลี่ยนเพศ การทำแท้งเสรี การเหยียดเชื้อชาติ เรานึกว่า เราต้องรักทุกคน และรับทุกคนอย่างที่เขาเป็น ต้องรับความชั่วของมนุษย์ได้โดยไม่ต่อต้าน เราก็เลยไปยอมรับความคิดที่ผิดเพี้ยนคิดว่าไม่เป็นไร นี่อันตรายมาก!

 2 โครินธ์ 6:16
พี่น้องชาวโครินธ์ ได้เข้าไปมีส่วนในเรื่องของการไหว้รูปเคารพของชาวเมือง พวกเขายังมีปัญหาเรื่องนี้ อย่างที่ท่านเปาโลเขียนไว้ใน 1 โครินธ์
8-10 การเข้าสนิทเป็นเพื่อนกับผู้ที่ไหว้รูปเคารพจนยอมรับความคิดการกระทำของพวกเขาว่าไม่เป็นไรนั้น มีอิทธิพลต่อความคิดของคนของ
พระเจ้าอย่างแน่นอน เราเป็นวิหารของพระเจ้าพระเจ้าดำเนินท่ามกลางเรา เราเป็นคนของพระเจ้าจึงอย่าสยบให้มาร

2 โครินธ์ 6:17-18
ถ้าจะติดตามพระเจ้า ก็ต้องเลิกชีวิตบาปสารพัดเราไม่อาจคืนดีกับพระเจ้าได้ทั้ง ๆ ที่มีชีวิตบาป พระเจ้าทรงหวงคนของพระองค์ ไม่ให้เข้าไปพัวพัน
กับรูปเคารพซึ่งมาในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ใช่แค่เป็นรูปปั้นอย่างสมัยก่อน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คือพระองค์ผู้ที่พระหัตถ์อยู่เหนือทุกสิ่งในโลก เป็นคำที่มักใช้ในวิวรณ์ พระองค์พอพระทัยที่จะเป็นพ่อของทุกคนที่เข้ามาหาพระองค์ จึงมีพระคำที่บอกว่า ทรงรับเราเป็นบุตร ยอห์น 1:12

พระคำเชื่อมโยง

1* 1โครินธ์ 3:9; 2 โครินธ์ 5:20
2* อิสยาห์ 49:8
3* โรม 14:13
4* 1โครินธ์ 4:1
5* 2 โครินธ์ 11:23

7* 2 โครินธ์ 7:14; 1 โครินธ์ 2:4;
2 โครินธ์ 10:4
9* 2 โครินธ์ 4:2; 5:11; 1 โครินธ์ 4:9, 11; สดุดี 118:18
10* 2 โครินธ์ 8:9
11* 2 โครินธ์ 7:3

12* 2 โครินธ์ 12:15
13* 1 โครินธ์ 4:14
14* 1 โครินธ์ 5:9; เอเฟซัส 5:6, 7, 11
16* 1โครินธ์ 3:16-17; 6:19; เอเสเคียล 37:26-2717* อิสยาห์ 52:11
18* 2 ซามูเอล 7:14; โรม 8:14


2 โครินธ์ 5 คนที่ถูกสร้างใหม่

2 โครินธ์ 5:1
เพราะเรารู้ว่า ถ้าเต็นท์ซึ่งเป็นกายดินของเราถูกทำลายไป เราก็จะได้ที่อยู่อาศัยจากพระเจ้า ซึ่งไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ และดำรงอย่างยั่งยืนในสวรรค์
2 โครินธ์ 5:2-3
เพราะกายดินของเราโหยหาต้องการสวมใส่ที่อยู่อาศัยซึ่งมาจากสวรรค์ยิ่งนักเพราะเมื่อสวมใส่แล้ว จะไม่มีใครเห็นว่าเราเปลือยกายอยู่


2 โครินธ์ 5:4
ขณะที่เราอยู่ในเรือนกายนี้เราก็โหยหา เรามีภาระหนัก ซึ่งไม่ใช่เป็น
เพราะเราต้องการจะอยู่ตัวเปล่าเปลือย แต่เราต้องการจะสวมใส่กายใหม่ เพื่อว่าชีวิตอมตะจะกลืนกินกายที่ต้องตาย
2 โครินธ์ 5:5
พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราเพื่อการนี้และพระองค์ประทานพระวิญญาณเป็นประกันแก่เรา

2 โครินธ์ 5:6-7
ดังนั้น เราจึงมั่นใจเสมอ และตระหนักว่าขณะที่เราอยู่ในร่างกายนี้ เท่ากับเราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อไม่ใช่ด้วยการเห็นด้วยตา
2 โครินธ์ 5:8-9
และเรามั่นใจและอยากที่จะจากร่างกายนี้ เพื่อไปอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าดังนั้น เราตั้งเป้าไว้ว่า ไม่ว่าเราจะอาศัยในร่างกายนี้ก็ดี หรือจากไปก็ดีเราก็จะทำตนเป็นที่พอพระทัย


2 โครินธ์ 5:10
เพราะว่า เราทุกคนจะต้องไปปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระคริสต์ เพื่อว่าแต่ละคนจะได้รับการตอบแทนตามการกระทำในร่างกายนี้ไม่ว่าจะดีหรือไร้สาระ
2 โครินธ์ 5:11
ดังนั้น เพราะเรายำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า เราจึงชักชวนคนอื่น ๆ เราเป็นอย่างไรนั้น ก็เป็นที่ปรากฏชัดต่อพระเจ้า และข้าหวังว่า จะปรากฏชัดในมโนธรรมของท่านด้วย

2 โครินธ์ 5:12
เราไม่ได้ยกตัวเองกับท่านทั้งหลายอีกแต่จะให้ท่านมีเหตุที่จะอวดพวกเราได้เพื่อพวกท่านจะสามารถตอบโต้เหล่า คนที่มักอวดถึงสิ่งที่มองเห็นภายนอก แต่ไม่ได้อวดสิ่งที่อยู่ในจิตใจ
2 โครินธ์ 5:13
ถ้าเราเป็นเหมือนคนที่ควบคุมตนเองไม่ได้ก็เป็นไปเพื่อพระเจ้าแต่หากเราเป็นเหมือนคนปกติก็เพื่อประโยชน์ของท่าน

2 โครินธ์ 5: 14
เพราะความรักของพระคริสต์ควบคุมเราอยู่ เพราะเราได้สรุปว่า เนื่องจากผู้หนึ่งได้ตายเพื่อทุกคน ดังนั้นทุกคนจึงตายแล้ว
2 โครินธ์ 5:15
พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อทุกคน ดังนั้น ทุกคนที่มีชีวิตจึงจะไม่อยู่เพื่อ
ตนเองอีกต่อไป แต่อยู่เพื่อพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และคืนพระชนม์ขึ้นมาเพื่อพวกเขา

2 โครินธ์ 5:16
ดังนั้น จากนี้ไปเราจะไม่ออกความเห็นเรื่องคนใดตามแนวคิดของโลก แม้ว่าเมื่อก่อนเราเคยออกความเห็นเรื่องพระคริสต์ตามแนวคิดโลกก็จริงแต่มาวันนี้ เราไม่มีความเห็นเรื่องพระองค์ อย่างนั้นอีกแล้ว
2 โครินธ์ 5:17
ดังนั้น ถ้าคนใดอยู่ในพระคริสต์คนนั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว
สิ่งเก่า ๆ ก็ล่วงไปและมีสิ่งใหม่เข้ามาแทนที่

2 โครินธ์ 5:18-19
สิ่งเหล่านี้เกิดมาจากพระเจ้า ผู้ทรงให้เราคืนดีกับพระองค์ โดยทางพระเยซูคริสต์ และประทานพันธกิจเรื่องการคืนดีนี้แก่เรา คือพระเจ้าทรงให้โลกคืนดีกับพระองค์ในพระคริสต์ พระองค์ไม่ทรงถือโทษใน
ความผิดของพวกเขา และทรงมอบเรื่องของการคืนดีนี้ให้เราประกาศ

อธิบายเพิ่มเติม


2 โครินธ์ 5:1
​เต็นท์เป็นที่อาศัยชั่วคราว ดังนั้นเต็นท์ซึ่งเป็นกายดินของเราซึ่งมีความหมายถึงร่างกายมนุษย์ที่ต้องตาย ส่วนที่อยู่อาศัยจากพระเจ้านั้น ก็คือร่างกายใหม่ที่ฟื้นคืนมาจากตาย นี่เป็นเรื่องยิ่งกว่าหนังไซไฟที่ใคร ๆ จะคิด แต่เป็นเรื่องจริงจึงมหัศจรรย์มากคนที่เร่ร่อนในสมัยก่อนจะใช้เต็นท์เป็นส่วนใหญ่ ร่างใหม่ที่เราจะได้จากพระเจ้านั้น เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่จะไม่มีวันเสื่อมสลาย หรือตายไปอย่างที่เป็นอยู่ในโลกนี้
2 โครินธ์ 5:2-3
ตัวท่านเปาโลเองอยากที่จะออกจากกายดินนี้ ไม่เหมือนพวกเราที่อยากอยู่ในกายดินนี้นานเท่าที่
จะทำได้ เพราะไม่ได้เชื่อว่าจะมีกายที่เป็นอมตะจากพระเจ้าที่เตรียมไว้ให้เราไว้ ความหวังในกายใหม่ของเรานั้น คือร่างกายที่ฟื้นคืนจากตาย ไม่ใช่เป็นกายวิญญาณเท่านั้น แต่เป็นกายอย่างพระเยซูที่ทรงฟื้นคืนมา 1 ยอห์น 3:2
บอกว่า เราจะเป็นเหมือนพระองค์ เหมือนพระเยซู!
2 โครินธ์ 5:4
เราโหยหาที่จะสวมใส่กายใหม่ นั่นคือเวลานี้ท่านเปาโลมีความปรารถนาที่จะได้รับกายที่มีศักดิ์ศรี อยู่กับพระคริสต์ ท่านเปาโลกำลังบอกว่า กายนี้ของท่านเทียบไม่ได้กับกายใหม่สักนิดตัวเปล่าเปลือยที่ว่าน่าจะหมายถึงสภาพปัจจุบันของผู้เชื่อที่วิญญาณจิตอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า แต่ร่างกาย
ยังไม่ได้รับการฟื้นคืนชีพขึ้นมา ซึ่งเป็นกายที่เหนือกว่ากายที่ต้องตายมากนัก
2 โครินธ์ 5:5
การที่ผู้เชื่อจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าในแผ่นดินสวรรค์เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเอง ไม่ใช่เป็นสิ่งที่มนุษย์จะคิดขึ้นมาและทำเองได้ พระเจ้าทรง
กำหนดให้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกจะได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ (โรม 8:29) เพราะพวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกมอบให้พระเยซูด้วยพระองค์เอง (ยอห์น 6:37) หลักประกันว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นคือพระเจ้าทรงให้พระวิญญาณประทับในร่างกายของผู้เชื่อ
2 โครินธ์ 5:6-7
แม้ว่าเราจะมีพระวิญญาณอยู่ในชีวิตของเรา แต่การที่อยู่ในโลกนี้ เท่ากับเราอยู่ห่างจากความเต็มบริบูรณ์ซึ่งมีอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าในแผ่นดิน
สวรรค์ ท่านเปาโลมีความรู้สึกว่า ตอนที่ท่านอยู่ในโลก เทียบไม่ได้กับการอยู่เบื้องพระพักตร์ความเชื่อ ความหวังใจที่จะอยู่กับพระเจ้านี้ เป็น
สิ่งที่ยังมองไม่เห็นด้วยตา ต้องใช้ความเชื่อแบบที่ไม่เห็นแต่เชื่อ (ฮีบรู 11:1) เชื่อในคำสัญญาของพระเจ้าที่มีให้ไว้ (2 โครินธ์ 4:18, 5:1)
2 โครินธ์ 5:8-9
ในเมื่อสวรรค์นั้นเป็นที่ ๆ ดีกว่าโลกเป็นไหน ๆ ท่านเปาโลจึงอยากที่จะไปอยู่ที่นั่นกับพระเจ้ามากกว่าเป้าหมายของท่านจึงแตกต่างไปจากคนในโลกนี้คนละขั้วเลย.. ดังนั้น วิธีการของท่านที่เชื่อว่าจะทำให้ท่านได้สมปรารถนาคือ การทำตัวเองให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าในทุก ๆ ด้าน
ทุก ๆ แห่งที่อยู่ และนี่ควรเป็นเป้าหมายของเราทุกคนเช่นกัน เป็นเหมือนทาสที่ต้องการทำให้นายพอใจทุกอย่าง (ทิตัส 2:9)
2 โครินธ์ 5:10
ที่สุดของชีวิตคือเราจะต้องให้การกับพระเจ้าในการกระทำทุกอย่างของเรา ไม่ว่าคนจะเห็นหรือไม่ ถึงเวลานั้นก็ไม่มีการปกปิดแล้ว ที่บัลลังก์นั้น
เป็นบัลลังก์แห่งการพิพากษาซึ่งพระเจ้าจะทรงดูว่าใครทำอะไร จะมีรางวัลอะไรให้ ไม่ได้เป็นเรื่องของบาปเพราะว่า บาปของเรานั้น พระเยซูทรงกำจัดให้แล้วที่ไม้กางเขน แต่เป็นเรื่องของการกระทำหลังจากที่เราเชื่อในพระเจ้า เราต้องถามตัวเองว่า ได้ใช้ชีวิตในการที่จะทำสิ่งที่มีคุณค่านิรันดร์บ้างหรือไม่
2 โครินธ์ 5:11
เพราะความยำเกรงพระเจ้า ทำให้ท่านเปาโลตั้งใจใช้ชีวิตเป็นที่พอน้ำพระทัยพระเจ้า และเพิ่มรางวัลให้กับตนเองในวันของพระองค์ ท่านจึงชักชวนพี่น้องให้คิดอย่างนี้ ให้พวกเขาระวังที่จะเชื่อและทำในสิ่งที่ถูกต้องสถานภาพฝ่ายวิญญาณหรือมโนธรรมของท่านเปาโลนั้น คือความจริงใจ จริงจัง และถูกต้องท่านหวังว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ จะเป็นที่เห็นชอบของพี่น้องด้วย
2 โครินธ์ 5:12
เหล่าคนที่ต่อต้านท่านเปาโลในคริสตจักรโครินธ์ พวกที่พยายามกวน ปลุกปั่นให้คริสตจักรสั่นคลอน พวกที่สอนผิด ต้องใช้การโอ้อวดภายนอกเพื่อให้คนเชื่อถือ อวดความดี อวดว่าตนเองเป็นคนเที่ยงธรรมเหนือผู้อื่น หากเรากลับไปอ่าน 4:2 เราจะเห็นว่า ท่านเปาโลได้บอกชัดเจนว่า ท่าน
รับใช้พระเจ้าอย่างไร ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่บิดเบือนแต่กล่าวพระคำของพระเจ้าอย่างตรงไปตรงมาตามพระประสงค์ของพระเจ้า
2 โครินธ์ 5: 14
ความรักพระคริสต์เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนชีวิตของท่านเปาโล ความจริงที่ว่า “พระคริสต์ได้ตายเพื่อรับโทษบาปแทนเรา พระองค์ทรงเป็นผู้รับการแช่งสาปแทนเรา”(กาลาเทีย 3:13) นี้ เป็นพลังที่ทำให้ท่านเปาโลเองถวายชีวิตให้กับพระเจ้าทั้งหมดทุกคนที่เชื่อในพระเยซูเท่ากับพวกเขาได้ตาย
เหมือนกับพระองค์ไปแล้วด้วย พระเจ้าทรงถือว่าชีวิตเก่าของพวกเขาจบไปแล้ว พวกเขาพ้นโทษแล้ว
2 โครินธ์ 5:13
การควบคุมตัวเองไม่ได้ในภาษาเดิมว่า “บ้าไปแล้ว”หรือ“เสียสติ” ท่านเปาโลกำลังบอกว่า ท่านทุ่มเทให้กับความจริงอย่างสุดตัว ท่านถูกคนที่ต่อต้านกล่าวหาว่าบ้า เสียสติ เป็นอย่างนั้นก็ได้เพราะท่านทำเพื่อพระเจ้า แต่หากท่านควบคุมตนเองได้ก็คือ ไม่ทำตัวสุดโต่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านทำเพื่อเห็นแก่พี่น้อง จะได้เกิดความเข้าใจในขณะที่ท่านแก้ต่างให้ตนเอง และสอนความจริงให้กับพวกเขา
2 โครินธ์ 5:15
ด้วยชีวิตใหม่ที่ได้รับมา ผู้เชื่อจึงไม่มีชีวิตเพื่อตัวเองอย่างที่เคยอีกต่อไป เนื่องจากชีวิตเดิมนั้นผ่านไปแล้ว ชีวิตบาปไม่มีอีกต่อไป พวกเขาจึงเป็นอิสระจากโทษบาปที่รอทุกคนที่ยังบาปอยู่ อำนาจบาปที่เคยมีเหนือชีวิตคน ๆ หนึ่ง (จากปฐมกาล 3:1-7) ถูกทำลายไปสิ้นเมื่อเขามาเชื่อวางใจพระเยซู (โรม 6:1-14) พวกเขาเป็นเหมือนท่านเปาโลคือ มีความรักของพระคริสต์ควบคุมชีวิต
2 โครินธ์ 5:16
จำได้ไหมว่า เมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นหนุ่มแน่นเป็นฟาริสีสุดโต่ง ท่านเปาโลมองว่า การที่มาเชื่อพระเยซู เป็นสิ่งที่กัดกร่อนความมั่นคงของศาสนา
ยิวโดยตรง และสิ่งที่ทำคือ พยายามทำลายผู้เชื่อให้สิ้นซากไปเลย แต่เมื่อท่านมาพบพระเยซูด้วยตนเองจริง ๆ แล้ว เป้าหมายก็เปลี่ยนไป เป็นความต้องการให้ยิวทุกคนได้รอดพ้นบาป (โรม 10:1,9:1-3) การมองคนเปลี่ยนจากภายนอกเป็นการมองไปข้างในชีวิต
2 โครินธ์ 5:18-19
การคืนดี…เป็นราชกิจสำคัญที่พระเจ้าทรงให้พระเยซูลงมาทำในโลกนี้ ท่านเปาโลเองได้รับประสบการณ์ในการคืนดีนี้ชัดเจนมาก เมื่อท่านได้คืนดีกับพระเยซูคริสต์ สยบต่อไม้กางเขนของพระเยซู เลิกชีวิตที่เข่นฆ่าผู้อื่น แล้วกลับกลายเป็นผู้ที่อธิบายความหมายของไม้กางเขนให้ชาวโลกเข้าใจท่านบอกว่านี่เป็นการคืนดีกับพระเจ้า ทุกคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์จะพ้นโทษบาป พ้นอำนาจบาปพบแล้ว เชื่อแล้ว ก็บอกต่อให้ทุกคนได้รู้
2 โครินธ์ 5:17
ท่านเปาโลมองภาพใหม่ จากคริสเตียนที่ต้องถูกกำจัด เป็นคนที่พระเจ้าทรงสร้างใหม่ พวกเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าจะดูจากชีวิตท่านเปาโล
จะเห็นชัดมาก คนเดิม เป้าหมายเดิมไม่อยู่ต่อไปท่านรับการสร้างใจใหม่จากพระเจ้า สิ่งเก่า ๆแนวคิดเก่า ความเชื่อเก่าหายไปหมด ไม่ตกค้าง
ให้รำคาญเป็นอุปสรรคอีกต่อไป นี่เป็นผลแห่งพระวิญญาณ (ดู 2 โครินธ์ 3:3, 3:6, 3:18)

พระคำเชื่อมโยง

1* โยบ 4:19; มาระโก 14:58
2* โรม 8:23
3* วิวรณ์ 3:18
4* 1โครินธ์ 15:53
5* โรม 8:23
7* ฮีบรู 11:1
8* ฟีลิปปี 1:23

10* โรม 2:16; 14:10, 12; เอเฟซัส 6:8
11* ฮีบรู 10:31; 12:29
12* 2 โครินธ์ 3:1; 1:14
13* 2 โครินธ์11:1; 16; 12:11
14* โรม 5:15; 6:6
15* โรม 6:11
16* 2 โครินธ์ 10:3; มัทธิว 12:50

17* ยอห์น 6:63; โรม 8:9; อิสยาห์ 43:18; 65:17; โรม 6:3-10
18* โรม 5:10
19* โรม 3:24
20* เอเฟซัส 6:20
21* อิสยาห์ 53:6, 9; โรม 1:17; 3:21

2 โครินธ์ 4 สิ่งที่ไม่เห็นดำรงนิรันดร์

2 โครินธ์ 4:1-2
ดังนั้น ในเมื่อเราได้รับใช้ในพันธกิจนี้ โดยที่พระเจ้าทรงเมตตาเรา เราจึงไม่ท้อแท้เราไม่ทำแอบทำการลับ ๆ ที่น่าอับอายไม่หลอกลวงใคร ไม่บิดเบือนพระดำรัสของพระเจ้า แต่ประกาศความจริงอย่างเปิดเผย เราแสดงตัวของเราต่อมโนธรรมของทุกคน ในสายพระเนตรพระเจ้า

2 โครินธ์ 4:3-4
แต่หากว่า ข่าวประเสริฐที่เราประกาศยังถูกปิดบังไว้อีก ก็คือถูกปิดบังไว้จากคนที่กำลังจะพินาศเท่านั้น เจ้าแห่งยุคนี้ได้ปิดตาใจไว้ ทำให้เขาไม่เห็นความสว่างของข่าวประเสริฐแห่งสง่าราศีของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า

2 โครินธ์ 4:5
เพราะว่า เราไม่ได้ประกาศตัวเราเองแต่ประกาศว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และประกาศว่า เราเป็นทาสของพวกท่านเพราะเห็นแก่องค์พระเยซู
2 โครินธ์ 4:6
เพราะพระเจ้าผู้ได้ตรัสว่า“ความสว่าง จงส่องออกมาจากความมืด”
คือพระองค์ผู้ทรงส่องสว่างเข้ามาในใจของเราเพื่อให้เราได้รู้ถึงสง่าราศีของพระเจ้าที่ปรากฏบนพระพักตร์ของพระคริสต์

2 โครินธ์ 4:7
แต่เรามีสมบัติล้ำค่าอยู่ในภาชนะดินเพื่อให้รู้ว่า ฤทธิ์เดชอันยิ่งใหญ่นี้มาจากพระเจ้า และไม่ได้มาจากตัวของเราเอง
2 โครินธ์ 4:8-9
เราเผชิญความทุกข์ยากรอบด้านแต่ก็ไม่แตกสลาย เรารู้สึกสับสนงงงัน แต่เราก็ไม่ท้อแท้เราถูกกดขี่ข่มเหง แต่ก็ไม่ถูกทอดทิ้งเราถูกฟาดจนล้มลง แต่ก็ไม่ถูกทำลายไป


2 โครินธ์ 4:10
เราแบกความตายของพระเยซูไว้ในร่างกายของเราทุกเวลาเพื่อว่า ชีวิตของพระเยซูจะเป็นที่ประจักษ์ในร่างกายของเรา
2 โครินธ์ 4:11-12
เพราะว่า เราซึ่งมีชีวิตอยู่นี้ ก็ถูกยื่นให้กับความตายอยู่เสมอ เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะปรากฏในร่างกายของเราที่ต้องตายดังนั้น ความตายจึงทำงานอยู่ในตัวเรา แต่ชีวิตกำลังทำงานในตัวพวกท่าน

2 โครินธ์ 4:13-14
แต่ในเมื่อเรามีวิญญาณความเชื่อเดียวกันตามที่มีเขียนไว้ว่า “ข้าเชื่อดังนั้นข้าจึงพูดออกมา” เราเองก็เชื่อ ดังนั้นเราจึงพูดออกมาด้วย ที่เป็นเช่นนี้เพราะเรารู้ว่าพระองค์ผู้ทรงทำให้พระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงทำให้เราฟื้นขึ้นกับพระคริสต์ และจะทรงนำเราไปเข้าเฝ้าต่อพระพักตร์พร้อมกับพวกท่าน

2 โครินธ์ 4:15
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพื่อประโยชน์ของพวกท่าน เพื่อว่า เมื่อพระคุณได้เข้ามาแตะต้องคนเป็นจำนวนมากก็จะทำให้เกิดการขอบพระคุณมากด้วยเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

2 โครินธ์ 4:16
ดังนั้น เราจึงไม่ท้อแท้หมดหวัง ถึงแม้ว่าร่างกายของเรากำลังเสื่อมไป แต่ภายในของเรานั้นกำลังได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ทุก ๆ วัน

2 โครินธ์ 4:17-18
เพราะความทุกข์ยากเบา ๆ ชั่วขณะหนึ่งนั้น ส่งผลให้เรามีสง่าราศีนิรันดร์ซึ่งไม่มีอะไรมาเปรียบได้ เพราะเราไม่ได้เฝ้ามองสิ่งที่มองเห็น แต่เฝ้ามองสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นได้ก็อยู่ชั่วคราวแต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น ดำรงนิรันดร์

คำอธิบายเพิ่มเติม

2 โครินธ์ 4:1-2
ท่านเปาโลกำลังบอกเราว่า หากเราได้มีชีวตที่รับใช้พระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการรับใช้แบบไหน ต้องถือว่าเป็นพระเมตตาของพระเจ้าที่ให้เราทำการนั้น สิ่งที่ทำให้เราเป็นผู้รับใช้ที่เหมาะสมคือ ทำงานโดยไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง ทำโดยรู้ว่า เราเองไม่สมควรที่จะได้พระเมตตาให้รับใช้เสียด้วยซ้ำ ทำอย่างเปิดเผย ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ มีหลายคน ที่ทำงานอย่างมีเจตนาอื่น พวกเขาจึงบิดเบือนพระคำของพระเจ้าให้เข้ากับเป้าหมายของตน

2 โครินธ์ 4:3-4
การประกาศพระนามของพระเจ้าอย่างเปิดเผยเป็นสิ่งดีที่สุด เพราะพระนามของพระเจ้านั้นมีฤทธิ์ความรักที่พระเจ้าจะทรงเปิดใจของหลาย ๆ คนให้ได้พบพระองค์ แต่.. ยังมีอุปสรรคอีกอย่างที่ทำให้คนไม่เห็นความสว่าง คือ มารพยายามปิดตาใจของเขา ทำให้เขาเห็นแต่สิ่งที่เป็นของโลกนี้ เห็นแต่ความมั่งคั่ง ความสบาย ความสุขเล็กน้อยที่โลกมีให้ ไม่อาจเห็นสิ่งที่เป็นนิรันดร์

2 โครินธ์ 4:5
การประกาศพระนามของพระเจ้านั้น จะต้องไม่มีเรื่องของตนเองเข้าไปผสมปนเป เราสังเกตได้ว่า นักเทศน์ท่านใดประกาศพระเจ้า หรือประกาศตัวเองเราต้องระมัดระวังด้วยในเรื่องนี้ ตัวเราเองก็ต้องระวังว่า เวลาประกาศพระนามพระเจ้า เรามักพูดเรื่องของตัวเองหรือเปล่า น่าสนใจที่ท่านเปาโลมองว่า ท่านเองเป็นผู้รับใช้พี่น้อง ไม่ใช่เป็นผู้มีอำนาจเหนือพี่น้อง และที่ท่านเป็นอย่างนั้นก็เพราะเห็นแก่พระนามพระเยซู

2 โครินธ์ 4:6
ในปฐมกาล 1:3 บอกชัดว่า เมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลกนั้น อย่างแรกที่ทรงทำคือ ให้ความสว่างออกมาจากความมืด ใช่แล้ว เมื่อพระเจ้าเข้ามาในชีวิตคนบาปอย่างเรา สิ่งแรกที่ทรงทำคือ ทรงส่องความสว่างนิรันดร์เข้ามาในใจ ทำให้เราพบพระองค์ ในอิสยาห์ 9:2 พระเจ้าให้ความสว่างแก่เหล่าคนต่างชาติที่เดินในความมืด ทำให้พวกเขาได้หันกลับมาหาพระเจ้า ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง เมื่อพระเจ้าทรงฉายแสงของพระองค์ลงมา ชีวิตเราก็ไม่เหมือนเดิม

2 โครินธ์ 4:7
ท่านเปาโลกล่าวว่า ชีวิตเรานั้นเป็นเพียงภาชนะดินเป็นผู้ที่อ่อนแอ แตกได้ พังได้ ยับเยิน แต่ที่ผู้เชื่อทุกคนแตกต่างจากคนที่ไม่เชื่อคือ เขามีสมบัติล้ำค่าในชีวิต ที่คนอื่นขาดอยู่มีความสว่างของพระเจ้าจึงมองเห็นสิ่งที่ต้องแก้ไข มีพลังของพระเจ้าที่เป็นฤทธิ์ยิ่งใหญ่ช่วยแก้ไขชีวิตซึ่งเป็นภาชนะดินท่านเปาโลไม่ได้มองการอ่อนแอ เป็นสิ่งที่น่าอายแต่มองว่า เป็นโอกาสที่คน ๆ หนึ่งจะถ่อมตนและได้สัมผัส รับฤทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต

2 โครินธ์ 4:8-9
ในหนังสือกิจการ เราจะเห็นว่า สิ่งที่ท่านกล่าวข้างบนเป็นความจริงทุกอย่าง ท่านถูกหมายหัว มีคนต้องการเอาชีวิต เพราะท่านประกาศพระนามพระคริสต์หรือ พระเมสสิยาห์ที่คนยิวเกลียดชังนักชีวิตของท่านเป็นตัวอย่างให้ผู้เชื่อในเวลาต่อมา พวกเขาอดทน อดกลั้น และเชื่อว่า พวกเขาไม่อาจถูกมนุษย์หรือมารทำลายได้แม้พยายามจะขู่เข็ญ กดขี่ขนาดไหนก็ตาม ทั้งนี้เพราะในชีวิตมีฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ทำให้สามารถทนทานขนาดนั้น

2 โครินธ์ 4:10
ท่านเปาโลกำลังบอกอะไรเรา? ท่านต้องการให้ชีวิตของท่านมีพระเยซูปรากฏชัดเสมอ เมื่อคนพูดคุยด้วย เมื่อคนทั้งหลายได้ฟังท่านสอน ก็เหมือนกับว่าได้พบปะกับพระเยซูเองเลยทีเดียวการแบกความตายของพระเยซูในร่างกายเราคือเราตระหนักในการสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปของเราเสมอ เพื่อเราจะไม่เพลี่ยงพล้ำตกในความบาปง่าย ๆ อีก ฤทธิ์เดชของพระเจ้ากำลังทำงานในชีวิตของเรา เพราะการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู

2 โครินธ์ 4:11-12
การรับใช้ของท่านเปาโล และผู้รับใช้จำนวนมากในโลกนี้จำเป็นต้องผ่านความทุกข์ยาก ผ่านอันตรายเพื่ออาณาจักรของพระเจ้าจะได้ตั้งอยู่ในแผ่นดินโลกนี้ เรานึกถึงมิชชันนารีที่เข้ามาในรัชกาลที่สี่ ที่ห้า อย่างเช่นหมอเฮาส์ หมอบรัดเลย์ นึกถึงอะโดนิราม จัดสันที่เข้าไปทำงานในพม่า และผู้รับใช้ของพระเจ้าที่อยู่ในประเทศที่ห้ามเชื่อพระเจ้าอย่างเกาหลีเหนือ ประเทศในตะวันออกกลางดู แล้วเราจะเข้าใจว่า พระคำข้อนี้เป็นจริงเพียงไร

2 โครินธ์ 4:13-14
ท่านเปาโลเชื่อว่า ความทุกข์ยากของผู้รับใช้เป็นส่วนหนึ่งที่นำชีวิตให้กับผู้ที่เข้ามาเชื่อ ท่านรู้ว่า ความทุกข์ยากเป็นส่วนของการรับใช้อยู่แล้ว และผู้ที่ทำให้เกิดความรอดต่อคนเป็นอันมากก็คือพระเจ้านั่นเอง และพระองค์ยังจะให้ท่านเปาโลและพี่น้องได้ฟื้นคืนชีวิต ได้ไปอยู่กับพระเจ้าในแผ่นดินสวรรค์ด้วย เห็นได้ว่า ท่านเปาโลรักพี่น้องทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ความหวังของท่านในการคืนชีพนั้นแน่นอน มั่นคง และส่งต่อให้กับพี่น้องด้วย

2 โครินธ์ 4:15
ท่านเปาโลมีความหวังใจว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแผ่นดินของพระเจ้าที่ได้ขยายออกไปตามพื้นที่ต่างๆทำให้ผู้คนได้สัมผัสแตะต้องพระคุณของพระเจ้า ได้ประโยชน์ทั้งในชีวิตนี้ และชีวิตหน้า สุดท้ายคือ ผู้คนได้ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับชีวิตใหม่ไม่เฉพาะในเยรูซาเล็ม สะมาเรีย โครินธ์ และแว่นแคว้นอื่น ๆ แต่ทั้งโลกจะได้ขอบพระคุณพระเจ้า นี่คือการถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เป็นเป้าหมายสำคัญของการรับใช้ของท่านเปาโล

2 โครินธ์ 4:16
นี่คือสุดยอดของความคิดที่โตไม่หยุด พวกเราผู้อาวุโสก็มักจะคิดถึงการเกษียณ แล้วก็ใช้ชีวิตไปวัน ๆ ดูจอดำ สไลด์ไปเรื่อยไม่มีเป้าหมาย จากนั้น ออกไปทำต้นไม้นิดหน่อย ตื่นมาแล้วกิน แล้วนอนในบั้นปลายของชีวิต แต่ชีวิตแห่งความเชื่อไม่ใช่เช่นนั้น เป็นชีวิตที่โตไม่หยุดหย่อน เพราะรู้ว่า ภายในจิตวิญญาณของเรากำลังเปลี่ยนแปลงไป เหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้นทุกวัน ร่างจะเป็นอย่างไร หัวใจยังเติบโต…

2 โครินธ์ 4:17-18
ความทุกข์ยากที่ท่านเปาโลเผชิญนั้น ท่านมองว่าเป็นเรื่องเล็ก เบา เปรียบไม่ได้กับศักดิ์ศรีนิรันดร์กับพระเจ้าที่กำลังจะได้รับ พระคำ 2 โครินธ์ 4 จบด้วยความหวังใจที่ทำให้ผู้เชื่อ วางใจในพระเจ้าไม่มีโอกาสจะซึมเศร้า เป็นทุกข์ เพราะมีแนวคิดว่าเราเติบโตภายในโดยตลอด เรามีสิ่งที่มองไม่เห็นรอเราอยู่ในนิรันดร์กาล คนส่วนใหญ่แก่แล้วจะเริ่มรู้สึกเก่า แต่คนของพระเจ้าจะไม่เป็นเช่นนั้นเขารู้ว่า ภายในเจริญขึ้นเหมือนพระเจ้าขึ้นทุกวัน

พระคำเชื่อมโยง

1* 1โครินธ์ 7:25; ลูกา 18:1; 2โครินธ์ 4:16; กาลาเทีย 6:9;
เอเฟซัส 3:13; 2 เธสะโลนิกา 3:13
2* 2โครินธ์ 5:11
3* 1 โครินธ์ 1:18
4* ยอห์น 12:31; 12:40; 2โครินธ์ 3:8-9; ยอห์น 1:18

5* 1 โครินธ์ 1:13; 9:19
6* ปฐมกาล 1:3; อิสยาห์ 9:2; 2 เปโตร 1:19
7* 1 โครินธ์ 2:5
8* 2 โครินธ์ 1:8; 7:5
9* ฮีบรู 13:5; สดุดี 37:24
10* ฟีลิปปี 3:10;โรม 8:17

11* โรม 8:36
13* 2 เปโตร 1:1; สดุดี 116:10
14* โรม 8:1115* โคโลสี 1:24; 2โครินธ์ 1:11
16* 2โครินธ์ 4:1; อิสยาห์ 40:29, 3117* โรม 8:18
18* ฮีบรู 11:1,13

2 โครินธ์ 3 เสรีภาพในพระวิญญาณ

2 โครินธ์ 3:1
นี่เรากำลังจะต้องแนะนำตัวเองอีกหรือ? หรือว่า เราต้องมีจดหมายรับรองมาให้ท่าน หรือว่า ต้องมีจดหมายรับรองมาจากท่าน อย่างที่บางคนเขาทำอยู่?
2 โครินธ์ 3:2-3
พวกท่าน เป็นจดหมายรับรองที่เขียนไว้ในใจของเรา ให้ทุกคนได้รู้ ได้อ่านพวกท่านเป็นจดหมายจากพระคริสต์ส่งออกไปโดยพวกเรา ซึ่งไม่ได้เขียนด้วยหมึก แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ไม่ได้เขียนบนแผ่นหินแต่จารึกไว้บนแผ่นหัวใจมนุษย์


2 โครินธ์ 3:4-5
เรามีความมั่นใจอย่างนี้ในพระเจ้าผ่านองค์พระคริสต เราไม่อาจจะอ้างได้ว่า ความสามารถนั้นมาจากตัวเราเอง แต่ความสามารถทั้งหมดมาจากพระเจ้า
2 โครินธ์ 3:6
ผู้ทรงทำให้เรามีศักยภาพที่จะเป็นผู้รับใช้ของพันธสัญญาใหม่ที่ไม่ได้มาจากข้อบัญญัติ แต่มาจากพระวิญญาณ เพราะบัญญัตินั้น นำความตายมาแต่พระวิญญาณประทานชีวิต


2 โครินธ์ 3:7-8
แต่หากบัญญัติที่จารึกบนแผ่นหินซึ่งนำความตายมาให้นั้น ยังนำมาซึ่งสง่าราศี
ทำให้คนอิสราเอลไม่อาจมองดูใบหน้าที่เต็มด้วยรัศมีของโมเสสได้ ทั้งที่จางลงไปแล้วการปรนนิบัติรับใช้ตามพระวิญญาณจะไม่มีสง่าราศียิ่งกว่านั้นหรือ?

2 โครินธ์ 3:9-10
เพราะหากว่า การปรนนิบัติรับใช้ที่นำมาซึ่งการกล่าวโทษ ยังมีสง่าราศี
การปรนนิบัติรับใช้ที่ให้ความเที่ยงธรรมจะมีสง่าราศีกว่านั้นสักเท่าใด? ความจริงคือ สิ่งที่เคยมีสง่าราศี บัดนี้ไร้สง่าราศีเพราะถูกสง่าราศีที่สว่างสุกใสกว่ามาปิดบัง
2 โครินธ์ 3:11
เพราะหากว่าสิ่งที่จางหายไปได้ยังมีสง่าราศีมากขนาดนี้ สิ่งที่ยั่งยืนจะยิ่งมาพร้อมกับสง่าราศีที่สว่างสุกใสกว่าขนาดไหน



2 โครินธ์ 3:12-13
ดังนั้น ในเมื่อเรามีความหวังเช่นนี้ เราจึงกล่าวออกมาด้วยใจกล้าเราไม่เป็นเหมือนโมเสสผู้ที่ต้องใช้ผ้าคลุมศีรษะเพื่อไม่ให้คนอิสราเอลจ้องมองไปยังสง่าราศีที่กำลังจางหายไป
2 โครินธ์ 3:14
แต่ในเวลานั้น ใจของเขาแข็ง ปิดตายเพราะจนกระทั่งถึงวันนี้ เมื่อพวกเขาได้ยินคำอ่านจากพันธสัญญาเดิม ผ้าคลุมนั้นก็ยังปิดใจเขาอยู่ ผ้าคลุมไม่ได้ถูกเปิดออก เพราะว่ามีพระคริสต์เท่านั้นที่จะช่วยให้ผ้าคลุมเปิดออกได้

2 โครินธ์ 3:15-16
แต่จนกระทั่งวันนี้ เมื่อไรมีการอ่านสิ่งที่โมเสสบันทึกไว้ ก็ยังมีผ้าคลุมปิดบังใจของพวกเขา แต่เมื่อคนหันเข้าหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมนั้นก็ถูกเปิดออก
2 โครินธ์ 3:17
พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณและที่ใดมีพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าที่นั่นก็มีเสรีภาพ
2 โครินธ์ 3:18
และเราทุกคนกำลังรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ให้เหมือนพระฉายของพระองค์โดยมีสง่าราศีขึ้นเป็นลำดับมากขึ้นไปเหมือนอย่างสง่าราศีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ

คำอธิบายเพิ่มเติม

2 โครินธ์ 3:1
ท่านเปาโลกำลังบอกให้รู้ถึงความจริงใจของท่านในการรับใช้พี่น้องในเมืองโครินธ์ ทั้งนี้เป็นเพราะมีคนงานปลอม ครูสอนผิดที่พยายามโจมตี ทำให้คน
ไม่เชื่อถือเปาโล ท่านจึงตั้งคำถามสองอย่างชัด ๆคือต้องให้ท่านมีจดหมายรับรองเหมือนกับผู้รับใช้ทั่วไปในสมัยคริสตจักรเริ่มแรก ที่ส่วนใหญ่จะมี
จดหมายรับรองมาจากผู้ที่เชื่อถือได้ และครูสอนผิดเหล่านี้ก็มักเขียนจดหมายรับรองตนเองเพื่อให้ตัวเองน่าเชื่อถือ
2 โครินธ์ 3:2-3
ชีวิตของพี่น้องเป็นจดหมายจากพระคริสต์แท้ ๆไม่ต้องใช้ตัวหนังสือเขียน แต่การเปลี่ยนชีวิตอย่างมหัศจรรย์ พระเจ้าทรงเป็นผู้เขียนลงในหัวใจของ
มนุษย์ ดังนั้น จดหมายจากชีวิตของพี่น้องจึงเป็นพยานให้เห็นว่า ท่านเป็นอัครทูตของแท้พระเจ้าเคยตรัสว่า ทรงเขียนบัญญัติของพระองค์ไว้
ในใจของมนุษย์ ในเยเรมีย์ 31:33 ที่ท่านต้องย้ำเรื่องนี้ก็เพราะว่า ครูสอนผิดจะเน้นให้คนทำตามบัญญัติเพื่อจะได้รับความรอด”
2 โครินธ์ 3:4-5
ท่านเปาโลมั่นใจว่าพระคริสต์จะเป็นผู้ทำให้งานเปลี่ยนชีวิตพี่น้องนี้ เกิดผลเป็นที่ประจักษ์ดู 2:16 ใครจะเหมาะกับงานรับใช้นี้ นอกจากพวกเราที่ประกาศอย่างจริงใจด้วยการพึ่งพระเจ้า ต่อพระพักตร์พระองค์ พระเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้คนหนึ่งมีความสามารถรับใช้พระองค์ได้ ท่านเปาโลรู้ดี
เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าทรงใช้เรา เราจึงมั่นใจได้ว่าพระเจ้าจะประทานความสามารถให้เพียงพอกับงานนั้น ดู 2 เธสะโลนิกา 2:13
2 โครินธ์ 3:6
พันธสัญญาใหม่..คือพันธสัญญาที่พระเจ้าอภัยบาปเราผ่านการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู มัทธิว 26:28 พันธสัญญาใหม่โดยพระวิญญาณนี้ มีความสำคัญที่เราต้องเข้าใจ เพราะที่ว่าบัญญัตินำความตายก็คือ บัญญัติแค่บอกเราว่า ความถูกต้อง และความผิดคืออะไร แต่บัญญัติไม่ได้ให้พลังที่เราจะทำตามได้อย่างครบถ้วน ยิ่งอ่านบัญญัติยิ่งชี้ให้เห็นว่าเราไม่อาจเป็นคนชอบธรรมเต็มร้อยได้เลย บัญญัติจึงบอกเราว่า เราสิ้นหวัง
2 โครินธ์ 3:7-8
ขนาดบัญญัติที่นำความตาย ยังทำให้ใบหน้าของโมเสสเต็มด้วยราศีในเวลาที่เขาไปรับบัญญัติจากพระเจ้าบนภูเขาซีนาย (อพยพ 19:10-25) ที่
เป็นเช่นนั้นเพราะโมเสสได้อยู่กับพระเจ้านานจนหน้าของเขาสะท้อนพระสง่าราศีของพระองค์ เจิดจ้าจนคนทนมองไม่ได้ เช่นเดียวกับที่เราจ้องมอง
ดวงอาทิตย์ไม่ได้ แต่การรับใช้ตามพระสัญญาใหม่โดยพระวิญญาณนั้น มีราศีที่ทำให้มนุษย์ได้รับความเที่ยงธรรมจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่เหนือบัญญัติ
2 โครินธ์ 3:9-10
ตรงนี้เป็นการเปรียบเทียบระหว่าง การรับใช้ตามบัญญัติ กับการรับใช้โดยพระวิญญาณ ว่าการรับใช้ทั้งสองแบบต่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แต่มีไม่เท่ากัน
เพราะบัญญัติทำให้เราตาย แต่พระวิญญาณทรงทำให้คนเรามีชีวิต มีเกียรติ ศักดิ์ศรีมากเกินกว่าคนที่เอาแต่ติดตามบัญญัติ และท่านเปาโลก็
เห็นว่า บัญญัตินั้น แม้เคยเป็นที่นับถือว่าเป็นหนึ่ง ก็ด้อยกว่าการรับใช้พระเจ้าโดยพระวิญญาณมากนัก
2 โครินธ์ 3:11
สง่าราศีที่จางหายไปของกฎบัญญัติหรือพูดให้ชัดคือพันธสัญญาเดิมที่พระเจ้าประทานให้ก่อนที่พระองค์จะประทานพันธสัญญาใหม่โดยพระเยซูคริสต์เพราะว่า พระเยซูคริสต์ผู้ที่มาพร้อมกับพันธสัญญาใหม่นั้น ทรงฤทธานุภาพให้ชีวิตนิรันดร์ แก่ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ เปรียบได้กับเราจุดเทียนในสวนมืด เทียนนั้นสว่างในความมืดจริง ๆ แต่เมื่อเช้ามา แสงอาทิตย์ก็จะทำให้แสงของเทียนหมดความหมายไปเลย ….​นี่คือสิ่งที่ท่านเปาโลต้องการสื่อ
2 โครินธ์ 3:12-13
เรามีความหวังที่ว่า เรามีพันธสัญญาที่สว่างสุกใสกว่าธรรมบัญญัติที่ชาวยิวยึดถืออย่างเคร่งครัดท่านเปาโลจึงมีความกล้าที่จะบอกพี่น้องให้ทราบว่า
พันธสัญญาเดิมนั้นผูกมัดทำให้คนติดกับ และยังแยกพวกเขาออกจากพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์ ไม่มีทางที่ทำให้เขาเป็นคนบริสุทธิ์ได้เลย มีแต่ความ
ผิดหวังเพราะไม่อาจเข้าใกล้พระเจ้าได้ พันธสัญญาใหม่โดยไม้กางเขนทำให้เราไปหาพระเจ้าได้เพราะพระเยซูทรงเป็นทางเดียวที่จะไปหาพระบิดา
2 โครินธ์ 3:14
ท่านเปาโลมั่นใจว่า พระเยซูคริสต์ทรงอยู่เหนือบัญญัติทั้งหลายในอดีต ท่านรู้ว่า คนยิวไม่เห็นว่างานรับใช้ของท่านโมเสสนั้นเทียบงานของพระเยซู
ไม่ติด ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเวลาเขาอ่านพันธสัญญาเดิม พวกเขาก็ยังถือว่า พันธสัญญานั้นยิ่งใหญ่มากและพวกเขาก็ไม่ยอมรับพระเยซูพวกเขาควรมองที่พระเยซูได้แล้ว แต่ยังติดกับของความเป็นบัญญัติอยู่ ผ้าคลุมหน้าโมเสส กลายมาเป็นผ้าคลุมใจของพวกเขา ไม่ให้เห็นความจริง
2 โครินธ์ 3:15-16
“แม้จนกระทั่งวันนี้” ไม่ได้เป็นแค่ในสมัยท่านเปาโลเท่านั้น แต่หมายถึงปัจจุบันด้วย ที่คนอิสราเอลไม่ได้พบพระเยซูได้ง่าย ๆ เพราะมีบางอย่างที่ปิดบังใจ
เอาไว้ ทำให้เขาไม่อาจพบพระเยซูเลย คนโบราณติดที่บัญญัติ คิดว่า เขาจะรอดได้ด้วยการทำดีตามบัญญัติ ไม่ทำสิ่งชั่วที่บัญญัติห้าม โดยลืมว่าไม่มีใครสามารถทำดีได้เต็มร้อย แถมทุกคนยังเป็นคนบาปติดตัวมาแต่เกิดด้วย ส่วนคนสมัยใหม่ก็มีเหตุผลที่จะไม่เอาพระเจ้าแตกต่างไปอีก
2 โครินธ์ 3:17
เสรีภาพจากอะไร ? อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้เราตกอยู่ในที่จองจำฝ่ายวิญญาณ? ลองคิดดูดี ๆ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ พระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ องค์ตรีเอกานุภาพคือพระเจ้าองค์เดียวกัน คนที่ไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้าเท่ากับชีวิตของเขาเป็น “ทาสบาป” อยู่ออกมาไม่ได้ อำนาจที่จะช่วยปล่อยเขาให้พ้นจากสภาพนั้นมายังพระสง่าราศีของพระเจ้าก็โดยผ่านองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์


2 โครินธ์ 3:18
การเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราจนเป็นเหมือนพระเจ้าขึ้นเป็นลำดับนั้น ไม่ได้เป็นเพราะนั่งเฉย ๆ อยู่นิ่ง ๆแต่การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเมื่อเราประกาศพระนาม แบ่งปันพระองค์ให้กับผู้อื่น เมื่อมีการเปิดเผยการสำแดงให้รู้จักพระเยซูคริสต์ ทั้งคนพูดและคนฟังก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราเปิดเผยพระเจ้าให้ผู้อื่นรู้ เมื่อมีการหลุดพ้นจากบาปด้วยความเชื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกันด้วยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณ

พระคำเชื่อมโยง

1* 2 โครินธ์ 5:12; 10:12, 18; 12:11; กิจการ 18:27
2* 1โครินธ์ 9:2
3* 1โครินธ์ 3:5; อพยพ 24:12; 31:18; 32:15 ; สดุดี 40:8
5* ยอห์น 15:5; 1โครินธ์ 15:10

6* 1โครินธ์ 3:5; เยเรมีย์ 31:31; โรม 2:27; กาลาเทีย 3:10; ยอห์น 6:63
7* โรม 7:10; อพยพ 34:1; 34:29
8* กาลาเทีย 3:5
9* โรม 1:17; 3:21
12* เอเฟซัส 6:19

13* อพยพ 34:33-35; กาลาเทีย 3:23
14* อิสยาห์ 29:10; กิจการ 28:26
16* โรม 11:23; อิสยาห์ 25:717* 1โครินธ์ 15:45; กาลาเทีย 5:1, 13
18* 1โครินธ์ 13:12; 2โครินธ์ 4:4, 6; โรม 8:29-30