3 ยอห์น 1 ตัวอย่างคนสองแบบ

คำทักทาย

จากผู้ปกครองถึงกายอัสที่รัก ผู้ที่ข้ารักในความจริง เพื่อนที่รัก ข้าอธิษฐานขอให้ชีวิตของท่านราบรื่น และให้มีสุขภาพที่ดีเหมือนอย่างมีสุขภาพดีฝ่ายวิญญาณ
3 ยอห์น 1:1-2

1 ยอห์น 3:18; 1 โครินธ์ 1:14; โรม 16:23;
2 เปโตร 1:3-9; 3:18; โคโลสี 1:4-6

ชื่อกายอัส อาจเป็นคนเดียวกับที่ท่านเปาโล พูดถึงใน 1 โครินธ์ 1:14 การอธิษฐานของท่านยอห์นนี้ เป็นตัวอย่างของการอธิษฐานเผื่อพี่น้องที่เรารัก ไม่เฉพาะฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่ในเรื่องอื่น ๆ ของชีวิต พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่และทรงพระคุณ ที่จะตอบคำอธิษฐานของคนที่รักพระองค์

เพราะข้ายินดีมากเมื่อพี่น้องมาเป็นพยานถึงความจริงของท่าน ว่าท่านเองได้เดินในความจริง ไม่มีอะไรทำให้ข้ายินดีมากไปกว่า ได้ยินว่า ลูก ๆ ของข้าเดินในความจริง
3 ยอห์น 1:3-4

2 ยอห์น 1:4; สดุดี 119:11; 1 เธสะโลนิกา 3:6-9;
กาลาเทีย 4:19; 2 พงศ์กษัตริย์​ 20:3

ท่านยอห์นเองได้ข่าวมาว่า กายอัสติดตามพระเจ้าใช้ชีวิตในความจริง ทำให้ท่านเป็นสุขใจมากการเดินในความจริงนั้นคือ ใช้ชีวิตตามความจริง ที่ได้รู้มาจากพระคำของพระเจ้า เป็นชีวิตที่โปร่งใส ไม่ใช่หน้าไหว้หลังหลอก เป็นชีวิตที่ได้รับการอภัยบาปจากพระเจ้าแล้วและจะไม่ใช้ชีวิตในความบาปอีกต่อไป ไม่ว่าจะกายอัสหรือเราก็เหมือนกัน

เรียนรู้จากตัวอย่างที่ดีและเลว

ท่านที่รัก ท่านพยายามสุดกำลังเพื่อพี่น้องอย่างซื่อสัตย์ แม้ว่าพวกเขาเป็นคนแปลกหน้า พวกเขาได้เป็นพยานถึงความรักของท่านให้คริสตจักรได้รับทราบ เป็นการดีที่ท่านจะส่งเขาเดินทางออกไปตามที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
3 ยอห์น 1:5-6

กาลาเทีย 6:10; โคโลสี 3:17; 2 โครินธ์ 4:1-3;
1 เธสะโลนิกา 2:12; ทิตัส 3:13;

กายอัสเป็นคนติดตามพระเจ้าที่ทำตามสิ่งที่เขาเชื่อ เขาได้ต้อนรับผู้เชื่อที่เดินทางไปประกาศตามที่ต่าง ๆ อย่างเต็มใจ คำว่าซื่อสัตย์ตรงนี้ เป็นตัวอย่างสำหรับเราเองสมัยก่อนนั้น ผู้ประกาศที่ออกเดินทางไปต้องพึ่งพ การสนับสนุนจากคริสเตียนในท้องถิ่น เพราะพวกเขามักไม่ได้รับค่าจ้างจากใครเลย กายอัสส่งพวกเขาไปต่อจากทรัพย์สินของเขาเอง

เพราะพวกเขาได้ออกไปเพื่อเห็นแก่พระนาม ไม่รับสิ่งใดจากคนต่างชาติ
ดังนั้นเราควรสนับสนุนคนเช่นนี้ เพื่อว่าเราจะได้เป็นผู้ร่วมงานเพื่อความจริง
3 ยอห์น 1:7-8

วิวรณ์ 2:3; โคโลสี 1:24; 2 โครินธ์ 12:13
2 โครินธ์ 7:2-3; 1 โครินธ์ 3:5-9

การออกไปประกาศตามที่ต่าง ๆ เช่นนี้ ท่านยอห์นมีความเห็นว่าพวกเขาต้องไม่รับสิ่งใดจากคนต่างชาติ หรือคนที่ไม่เชื่อ คริสเตียนเองจะต้องเป็นผู้สนับสนุนคนของพระเจ้าด้วยกัน คนที่ออกไปควรที่จะได้รับการดูแลจากคนที่อยู่ข้างหลังอย่างเต็มใจ ทำอย่างดีที่สุด

ข้าได้เขียนบางอย่างไปยัง
คริสตจักร แต่ดิโอเตรเฟส ชอบเอาตัวเองมาเป็นที่หนึ่ง ไม่ยอมรับเรา
ดังนั้น หากข้ามา ข้าจะเตือนเรื่องที่เขาทำ คือการพูดใส่ร้ายพวกเรา นอกจากนั้นเขายังปฏิเสธไม่ยอมต้อนรับพี่น้อง และยังไปห้ามคนที่จะต้อนรับพวกเขา แล้วก็ไล่พวกเขาออกจากคริสตจักรด้วย
3 ยอห์น 1:9-10

ทิตัส 1:7-16; ลูกา 22:24-27;
อิสยาห์ 66:5; สุภาษิต 10:10

การที่กายอัสต้อนรับ สนับสนุนพี่น้องจนได้รับคำชมก็ยังมีคนที่ไม่ต้องการทำเช่นนั้น แถมยังห้ามคนอื่นทำด้วย นั่นคือ ดิโอเตรเฟส เป็นคนเหมือนคนยุคใหม่นี้ เขาใช้วิธีการคือให้ร้ายคนอื่น และยังทำตัวเหมือนมีสิทธิที่จะไล่คนอื่นออกไปจากชุมชนนั้น ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ทำดีอะไรให้สังคม เป็นคนแบบมีแค่สิทธ์ แต่ไม่รับผิดชอบ

พี่น้องที่รัก อย่าเลียนแบบสิ่งที่ชั่วแต่ให้ทำตามสิ่งที่ดี คนที่ทำสิ่งดีนั้นมาจากพระเจ้า คนที่ทำชั่วก็ไม่มีพระองค์ในสายตา
3 ยอห์น 1:11

อิสยาห์ 1:16-17; สดุดี 37:27

ที่ท่านยอห์นสอน ท่านก็ได้เขียนตัวอย่างให้เห็น คือ กายอัส และดิโอเตรเฟส ทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างฟ้ากับเหว คนหนึ่งใส่ใจคนอื่น เอาสิ่งที่ตนมีสนับสนุนงานรับใช้ ช่วยแม้คนที่ ตนเองไม่รู้จัก ส่วนอีกคน เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง และทำลายคนอื่นได้อย่างเลือดเย็น โดยไม่คำนึงว่าตนเองทำประโยชน์ให้ใครหรือไม่

ทุกคนพูดแต่เรื่องดี ๆ ของเดเมตริอัส ซึ่งความจริงก็พิสูจน์แล้วว่า เป็นความจริง เราเองก็เป็นพยานถึงความดีของเขาเพิ่มเติมและท่านก็รู้ว่า คำพูดของเราเป็นความจริง
3 ยอห์น 1:12

1 ทิโมธี 3:7; ยอห์น 21:24; กิจการ 12:22

แล้วท่านยอห์นก็กล่าวถึงอีกคนที่เป็นตัวอย่างที่ดี คือเดเมตรีอัส คนที่จะดีจริงหรือเลวจริง เราจะมั่นใจไม่ได้จนกว่ามีพยานว่าคน ๆ นั้นเป็นอย่างไร น่าสนใจที่ท่านยอห์นกล่าวว่า
ความจริงก็พิสูจน์ตัวตนของเดเมตริอัส เราไม่ทราบเรื่องราวของเขาเลย แต่สิ่งที่สอนเราจากเรื่องนี้ก็คือ พระเจ้าผู้ทรงเป็นความจริง จะทรงเป็นพยานชีวิตเราอย่างไร?

อวยพรตอนสุดท้าย

ยังมีอีกหลายสิ่งที่จะพูดกับท่าน แต่ข้าไม่ต้องการเขียนด้วยปากกาและหมึกเพราะ ข้าหวังว่าจะได้พบท่าน ในไม่ช้า เราก็จะได้คุยกันต่อหน้าจริง ๆ
ขอให้สันติสุขจงมีแก่ท่าน
เพื่อน ๆ ที่นี่ฝากความคิดถึงมาด้วย ขอโปรดส่งความคิดถึงจากข้า
มายังพี่น้องแต่ละคนที่นั่นด้วย
3 ยอห์น 1:13-14

2 ยอห์น 1:12; 1 เปโตร 5:14; เอเฟซัส 6:23; กาลาเทีย 5:16

ท่านยอห์นมีความรู้สึกว่า อยากพบหน้าพี่น้องมากกว่าที่จะแค่เขียนจดหมายถึง ในข้อ 14 ตอนท้ายนั้นมีความหมายว่า ให้บอกทุกคนเป็นรายตัวไปเลยว่า ท่านยอห์นคิดถึงจริง ๆ หัวใจของท่านอยู่กับ พี่น้องคริสเตียน และเชื่อว่าท่านอธิษฐาน เผื่อพวกเขาทุกวัน

2 ยอห์น 1 ต้อนรับด้วยความจริง

ทักทายสตรีที่พระเจ้าทรงเลือก

จดหมายฉบับนี้ มาจากข้าซึ่งเป็นผู้ปกครองอาวุโส เขียนถึงสตรีที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ และลูกหลานของเธอที่ข้ารักในความจริง และไม่ใช่ตัวข้าเท่านั้น แต่คนทั้งหลายที่รู้จักความจริงก็รักด้วย
2 ยอห์น 1:1

1 ยอห์น 3:18; 1 ทิโมธี 2:4; ยอห์น 8:32;
โคโลสี 1:5

ผู้ที่รู้จักความจริง ก็รักคนที่มีความจริง คือมีพระเยซูคริสต์อยู่ในชีวิต ท่านยอห์นเน้นเรื่องความจริงอย่างมาก ในก่อนสุดท้ายบทที่แล้ว ท่านกล่าวถึงพระเยซูผู้ทรงเป็นจริง สิ่งที่ผู้พันหัวใจคริสเตียนให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว กันนั้นคือ องค์พระเยซูผู้ทรงเป็นความจริง

เพราะความจริงอยู่ในเรา
และจะอยู่กับเรา
ไปชั่วนิรันดร์
2 ยอห์น 1:2

1 ยอห์น 1:8; 2:14;2:17; 2 เปโตร 1:12

,มีคำที่พระเยซูเคยตรัสไว้ในยอห์น 14:16-17 พระองค์จะทูลขอพระบิดา ให้ประทานที่ปรึกษา เพื่อจะอยู่กับศิษย์ของพระองค์ตลอดไป คือองค์พระวิญญาณที่จะอยู่ในพวกเขา
ดังนั้นความจริงที่ท่านยอห์นกล่าวถึงก็คือการที่พระวิญญาณแห่งความจริงจะเข้ามาสถิตในผู้ที่เชื่ออย่างถาวร นี่เป็นสิ่งที่คนนอกความเชื่อไม่อาจมีได้

พระคุณ พระเมตตา และสันติสุข จากพระเจ้าองค์พระบิดา และจากพระเยซูคริสต์องค์พระบุตรของพระบิดา จะอยู่กับเราในความจริงและในความรัก
2 ยอห์น 1:3

1 ทิโมธี 1:2; โรม 1:7; 1 ยอห์น 4:10

ท่านยอห์นไม่ได้แค่ขอให้ผู้อ่านรับสิ่งดี ๆ จากพระเจ้า แต่ท่านเขียนราวกับว่า สิ่งดี ๆ เหล่านั้นจะอยู่กับพี่น้องที่อ่านจดหมายของท่าน
รู้ไหมว่า หากไม่มีความจริง และความรักจากพระบิดาและพระบุตรแล้ว เราก็จะมีพระคุณ พระเมตตา สันติสุขในชีวิตไม่ได้เลย พระเยซูเคยตรัสว่า สันติสุขที่เราให้แก่เจ้า ไม่เหมือนโลกให้ เป็นสันติในใจที่ต่างกันมากจากความสุขของโลกนี้

เดินตามคำบัญชาพระคริสต์

ข้ายินดีมากที่พบว่าลูกหลานของท่านบางคน เดินในความจริงตามที่พระบิดาทรงบัญชาไว้
2 ยอห์น 1:4

3 ยอห์น 1:3-4; เอเฟซัส 5:8; 5:2

มีลูกหลานบางคนเดินตามทางของพระเจ้าทำให้เรารู้ว่า บางคนอาจไม่เดินตามทางที่พระเจ้าทรงบัญชา ชีวิตที่เดินในความจริงของพระเจ้านั้น ไม่ใช่ชีวิตที่อยู่เฉย ๆ แต่เป็นชีวิตที่แสดงออกมาเป็นการกระทำอย่างชัดเจนว่าพวกเขาทำตามที่พระเจ้าพระบิดาทรงบัญชาไว้ เราจะเห็นว่าคนเชื่อจริงและเชื่อแค่ปากนั้น แตกต่างกันมากขนาดไหน

และบัดนี้ สตรีทั้งหลาย
ข้ามิได้เขียนบัญญัติใหม่มาถึงท่าน แต่เป็นบัญญัติที่เรามีมาตั้งแต่ต้น คือ ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน
2 ยอห์น 1:5

1 ยอห์น 3:11; 1 เธสะโลนิกา 4:9

ท่านยอห์นชัดเจนว่าต้องการ ย้ำเตือนให้พี่น้องรักกันและกัน
ชีวิตที่เต็มด้วยรักซึ่งกันและกัน จะทำให้สังคมนั้น ๆ มีความสุขและช่วยกันแก้ปัญหา ไม่สร้างปัญหาให้กันและกัน ยิ่งยุคของเรานี้ เรายิ่งต้องการความรักมากขึ้นอีก เพราะความเกลียดมีท่วมท้นในสังคม และยังมีความพยายามสร้างความเกลียดชังทุกวัน

และความรักนี้คือ เราเดินตามพระบัญญัติของพระองค์ที่ท่านได้ยินมาแต่แรกเริ่ม พระบัญญัตินั้นคือให้ท่าน
ดำเนินชีวิตด้วยความรัก
2 ยอห์น 1:6

1 ยอห์น 2:5; 5:3; 1 ยอห์น 2:24; ยอห์น 15:4

พระบัญญัติแห่งรักที่ท่านยอห์นกล่าวถึง เป็นบัญญัติที่มีไว้ให้เราเชื่อฟัง ไม่ใช่วางตั้งไว้เฉย ๆ เป็นบัญญัติที่ เราต้องลงมือรักคนอื่นไม่ใช่รอความรักจากคนอื่น รักแค่ปากก็ไม่ได้ ต้องลงมือ และเมื่อเราเห็นคนอื่นรักเรา ก็อย่าลืมรักตอบ

ระวังคนหลอกลวง

เพราะมีคนล่อลวงมากมายออกไปในโลก คือคนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ คนเหล่านี้เป็นคนหลอกลวง เป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์ ท่านจงระวังให้ดี จะไม่สูญเสียสิ่งที่ท่านได้มุ่งมั่นทำมา แต่เพื่อท่านจะได้รับรางวัลเต็มขนาด
2 ยอห์น 1: 7-8

1 ยอห์น 2:19; 4:1-2; 2:22
มาระโก 13:9; กาลาเทีย 3:4

คนที่ไม่ยอมรับว่า พระเยซูคริสต์ หรือพระเมสสิยาห์
ได้เสด็จจากสวรรค์ลงมาในร่างของมนุษย์ ท่านยอห์นกล่าวว่า พวกเขาเป็นคนลวงโลก เราจึงต้องระวัง พิสูจน์ทุกอาจารย์ที่สอนพระคัมภีร์ โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จักมาก่อนอย่าหลงเชื่อทันทีเพียงเขาหยิบข้อพระคัมภีร์มาพูดให้ดูน่าเชื่อถือ เพื่อเราจะไม่หลงทางไป

คนใดที่ก้าวเกินไปกว่านั้นและไม่ยึดอยู่ในคำสอนของพระคริสต์ ก็ไม่มีพระเจ้า
แต่คนที่ยึดมั่นอยู่ในคำสอนนั้นก็มีทั้งพระบิดาและพระบุตร
2 ยอห์น 1:9

ยอห์น 7:16; 8:31

ชัดเจน..ไม่ให้เปลี่ยนคำสอนของพระเยซูไปตามใจของตนเอง คนไหนล้ำยุคคิดเกินเลย คนไหนคิดเอาเอง เท่ากับพวกเขาไม่มีพระเจ้าในเรื่องของพระเยซู พระองค์คือผู้ใด
พระองค์ทรงทำอะไรเพื่อเรา และจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น เราต้องเดินตามคำของพระเยซู ไม่ใช่วาดภาพนิมิตขึ้นมาเอง เราต้องระวังการเปิดเผยใหม่ ๆ ที่แต่งขึ้นมาแต่อ้างว่ารับมาจากพระเจ้า

และหากใครมาหาท่าน
โดยไม่นำคำสอนนี้มา
อย่ารับเขาไว้ในบ้าน
อย่าทักทายยินดีต้อนรับเขา เพราะใครก็ตามที่ทักทายเขาเท่ากับมีส่วนในความชั่วร้ายของเขาด้วย
2 ยอห์น 1:10-11

ทิตัส 3:10; โรม 16:17; 1 ทิโมธี 5:22; เอเฟซัส 5:11

สมัยก่อนนั้น อัครทูตมักจะเดินทางไปเยี่ยมตามคริสตจักรต่าง ๆ และท่านจะได้รับการต้อนรับจากสมาชิกที่เต็มใจต้อนรับท่านแต่ในเวลาเดียวกัน จะมีครูสอนผิดที่พยายามออกไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อปอกลอกผู้เชื่อที่ ไม่รู้ประสีประสา ต้อนรับพวกเขาโดยคิดว่า เป็นอาจารย์แท้ สอนเรื่องพระเจ้าแท้ ท่านยอห์นจึงเตือนสติพี่น้องไว้ให้ระวังตัว เพื่อจะไม่หลงไป และไม่มีส่วนในความชั่วนั้น

คำส่งท้าย

ยังมีอีกหลายสิ่งที่จะพูดกับท่าน แต่ข้าไม่ต้องการเขียนด้วยปากกาและหมึกเพราะข้าต้องการที่จะพูดกับท่านตัวต่อตัว เพื่อว่าความยินดีของเราจะได้เต็มบริบูรณ์ ลูก ๆ ของน้องสาวของท่านที่พระเจ้าทรงเลือก ฝากความคิดถึงมาด้วย
2 ยอห์น 12-13

3 ยอห์น 13; 14; ยอห์น 17:13; 1 เปโตร 5:13; ยอห์น 16:12

ขอบคุณพระเจ้าที่ท่านยอห์นเขียนจดหมายนี้ เพราะเมื่อท่านพบกับพี่น้องและพูดกันต่อหน้าก็จะไม่มีบันทึกมาให้พวกเราอ่านจนทุกวันนี้
แต่การที่พวกเขาได้พบกัน ก็ทำให้พวกเขามีความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่งในเวลานั้น จากคำของท่านทำให้เรารู้ว่า พี่น้องในคริสตจักรที่ท่านกำลังใช้เวลาอยู่ด้วยนั้น ฝากความคิดถึงมาด้วย (เหมือนคำว่าคริสตจักรแม่ คริสตจักรลูก ทำนองนั้น)

1 ยอห์น 5 เกิดจากพระเจ้า

เกิดจากพระเจ้า มีความรัก

ทุกคนที่เชื่อว่า
พระเยซูคือพระคริสต์
(พระเมสสิยาห์)
เป็นคนที่บังเกิดจากพระเจ้า
และทุกคนที่รักองค์พระบิดานั้น ก็ย่อมรักพระบุตรของพระองค์ด้วย
1 ยอห์น 5:1

1 ยอห์น 2:22; 4:2,15; ยอห์น 1:13

ท่านยอห์น เป็นอัครทูตที่อยู่ใกล้ชิดพระเยซูมาก ท่านเห็นด้วยตา สัมผัสด้วยประสาทสัมผัส ทั้งหมด และรู้ด้วยใจมาตลอดว่า
พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง ๆ ไม่ใช่มนุษย์เดินดินธรรมดาท่านสรุปคำง่าย ๆ ว่า ใครก็ตามที่เชื่อว่าพระเยซู
ทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาเป็นผู้ช่วยให้รอด จากบาป เขาก็เกิดใหม่จากพระเจ้า และเขาจะรักทั้งองค์พระบิดาและพระบุตร!

เราจะได้รู้ว่า เรารักคนที่เป็นลูกของพระองค์
ก็เมื่อเรารักพระเจ้า และทำตามพระบัญญัติของพระองค์​
1 ยอห์น 5:2

ยอห์น 15:1; 1 ยอห์น 2:5; ยอห์น 13:34-35

การที่คนหนึ่งรักพระเจ้า และทำตามพระบัญญัติที่พระเยซูทรงให้ไว้เมื่อนานมาแล้วนั้น เราจะเห็นคนนั้นมีความรักมาก รักคนที่เป็นลูกของพระเจ้าเป็นพิเศษ ท่านยอห์นมีอายุมาก ๆ หลังจากที่ท่านกลับมาจากเกาะพัทโมส เมื่อจะไปเยี่ยมคริสตจักรก็ต้องมีคนช่วยหามท่าน ไปเพราะเดินไม่ไหว และคำเทศนาของท่าน
มีแค่ว่า “ลูกเอ๋ย จงรักกันและกัน”!

การที่เรารักพระเจ้านั้น ก็แสดงออกมาด้วยการที่เราเชื่อฟังทำตามพระบัญญัติของพระองค์
และพระบัญญัตินั้น ไม่ได้เป็นภาระหนักสำหรับเราเลย
1 ยอห์น 5:3

ยอห์น 14:15; มัทธิว 11:30; 23:4

เมื่อเรารักใครสักคน การทำสิ่งต่าง ๆ ให้เขานั้นไม่ได้เป็นภาระ แต่มันกลับกลายเป็นความสุข ที่ได้ทำให้เขา เมื่อรักพระเจ้าก็ทำตามพระบัญญัติ แห่งรักได้โดยไม่ได้ฝืนใจตนเอง
พระคำตอนนี้ บอกถึงความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิต ของทุก ๆ คน ความรักทำให้ทุกสิ่งไม่ได้เป็น ภาระหนัก แต่การที่ต้องรักษากฎศีลธรรมที่มนุษย์ตั้งขึ้นมานั้น ยากกว่าเป็นไหน ๆ

เกิดจากพระเจ้า มีชัยชนะ

เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าก็ชนะโลก
ความเชื่อที่เรามีอยู่ทำให้เรา
มีชัยชนะเหนือโลก
บัดนี้ ใครล่ะ ที่ชนะโลก?
ก็คือเฉพาะคนที่เชื่อว่า
พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
1 ยอห์น 5:4-5

ยอห์น 16:33; 1 ยอห์น 2:13; 1 โครินธ์ 15:57

การเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และปฏิบัติต่อพระองค์อย่างสมควรกับฐานะที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตคริสเตียน เป็นรากฐานของชีวิตแห่งความเชื่อ เราจะชนะโลกที่เข้ามาล่อลวง หลอกล่อเราทุกวันได้ก็เมื่อเรามีความสัมพันธ์สนิทกับพระเยซูคริสต์ มีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ที่จะช่วยให้เราเอาชนะโลกได้

พระเยซูเชื่อมพระเจ้ากับเรา

พระเยซูคริสต์เสด็จมาโดยน้ำและพระโลหิต
พระองค์มิได้เสด็จมาโดยน้ำเท่านั้น
แต่โดยน้ำและพระโลหิต
พระวิญญาณทรงเป็นพยานยืนยัน
เพราะพระวิญญาณทรงเป็นความจริง
1 ยอห์น 5:6

ยอห์น 16:13; 15:26; ฮีบรู 9:14

พระคำข้อนี้ เป็นข้อที่ลึกลับและเข้าใจยากมากมีความเห็นหลายแบบ แต่ที่เราเห็นชัดคือ น้ำที่ท่านยอห์นหมายถึงคือการบัพติศมาพระโลหิตคือการถูกตรึงบนไม้กางเขน และในวันนั้นที่ทรงรับบัพติศมา พระบิดาและพระวิญญาณก็ทรงปรากฏ เมื่อทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขน เพื่อรับโทษบาปของมนุษย์เรา และทั้งหมดนี้ พระวิญญาณผู้ทรงเป็นความจริงทรงเป็นพยานในใจของเราด้วยพระองค์เอง

พยานจากพระเจ้าและจากมนุษย์

ด้วยว่า มีสามสิ่งที่เป็นพยานยืนยัน
คือพระวิญญาณ และน้ำ
และพระโลหิต
และทั้งสามนี้สอดคล้อง
เป็นหนึ่งเดียวกัน
1 ยอห์น 5:7-8

มัทธิว 28:19; กิจการ 5:32;
1 เปโตร 3:21; ยอห์น 15:26; กิจการ 2:2-4

ตอนที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาในน้ำกับยอห์น (มัทธิว 3:13-17) นั้น องค์พระวิญญาณและพระสุรเสียงของพระบิดาได้ลงมาปรากฏให้คนใน เหตุการณ์นั้นได้เห็นและบันทึกไว้ การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู (มัทธิว 27:54) พระโลหิตที่หลั่งไหลทำให้รู้ว่า พระองค์คือพระบุตรของพระเจ้า และพระวิญญาณทรงเป็นพยานตลอดชีวิตของพระองค์ในโลกบอกว่าพระองค์คือผู้ใด(มาระโก 1:12; กิจการ 10:38

คำพยานของมนุษย์เรายังยอมรับได้ พยานของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่า
เพราะเป็นคำพยานของพระเจ้ายืนยันเรื่องพระบุตรของพระองค์
1 ยอห์น 5:9

กิจการ 17:31; มัทธิว 3:16-17; ยอห์น 10:38

นี่เป็นข้อความต่อมาที่บอกว่า พยานจาก พระเจ้าคือ พระวิญญาณ น้ำ และพระโลหิต เป็นพยานที่เป็นหนึ่งเดียว พยานนี้ เป็นพยานที่ยิ่งใหญ่ และมีค่ามาก เพราะเป็นพยานด้วยชีวิตขององค์ พระเยซูที่ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์เลยทีเดียว
พยานแปลว่าผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นหลักฐานเครื่องพิสูจน์ได้ พระเจ้าเอง ทรงเป็นพยานผ่านเหตุการณ์ และ พระคัมภีร์ที่สืบเนื่องยาวนานหลายพันปี

ผู้ที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ก็มีคำพยานนี้อยู่ในตัวเขา
ผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็ทำให้
พระองค์เป็นพยานที่มุสา
เพราะเขาไม่เชื่อในคำพยานที่พระเจ้าทรงยืนยันถึงพระบุตรของพระองค์​
1 ยอห์น 5:10

โรม 8:16; กาลาเทีย 4:6; ยอห์น 3:33

พระคำตอนนี้แรงมาก ชัดเจน เมื่อเราเชื่อพระคำ ของพระเจ้า เชื่อสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ เราก็ เชื่อพระเจ้าที่ตรัสผ่านพระคัมภีร์ แต่มีคนที่ไม่เชื่อพระคัมภีร์ ไม่ยอมรับสิ่งที่พระเจ้าทรงบอกเรื่องราวในอดีต ในอนาคต พวกเขาจึงทำเสมือนว่าพระองค์ทรงเป็นพยานเท็จในสายตาของเขา นี่เป็นคำอธิบายเรียบง่าย สำหรับพระคำข้อนี้

ความมั่นใจในชีวิตนิรันดร์

และคำพยานนี้ก็คือ พระเจ้าประทานชีวิต
นิรันดร์แก่เรา
และชีวิตนิรันดร์นี้ อยู่ในพระบุตรของพระองค์ ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต และผู้ที่ไม่มีพระบุตรของพระเจ้าก็ไม่มีชีวิต
1 ยอห์น 5:11-12

ยอห์น 2:25; โรม 6:23; 1 ยอห์น 5:20; ยอห์น 3:36; 3:15; 5:24; 1:12

พระเจ้าทรงมอบชีวิตนิรันดร์ให้กับทุกคนที่เชื่อในพระนามของพระเยซู ดังที่ตรัสว่า “เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16) พระคำข้อนี้จากท่านยอห์น สอคล้องกับสิ่งที่พระเยซูตรัสไว้ในหนังสือยอห์นทุกประการ

ข้าเขียนทุกสิ่งเหล่านี้มาถึงท่านที่เชื่อในพระนามของพระบุตรพระเจ้าเพื่อท่านจะได้รู้ว่า ท่านมีชีวิตนิรันดร์
1 ยอห์น 5:13

ยอห์น 20:31; 1:12; 1 ยอห์น 3:23

การมีชีวิตนิรันดร์ไม่ใช่ว่า ตายไปแล้วจึงจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าและมีชีวิตนิรันดร์ แต่เป็น ชีวิตนิรันดร์ที่เริ่มต้นมีตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ ท่านยอห์นต้องการให้พี่น้องทุกคนมีความมั่นใจในชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าประทานมีเราบางคนที่ไม่มั่นใจว่าตนเองมีชีวิตนิรันดร์ไหมเพราะคิดว่าตัวเองดีไม่พอ เขาลืมไปว่า เมื่อพระเจ้าประทานให้ เขาก็ได้รับตามเงื่อนไขของพระองค์แล้ว

มั่นใจเมื่ออธิษฐาน

และนี่คือความมั่นใจที่เรามีอยู่เมื่อเราเข้าเฝ้าพระเจ้า
คือหากเราทูลขอสิ่งใด
ตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเรา
1 ยอห์น 5:14

เยเรมีย์ 33:3; 29:12-13; ยอห์น 14:13

เมื่อเรากลับไปอ่านคำอธิษฐานของพระเยซูพระองค์ตรัสว่า น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จในสวรรค์อย่างไร ก็ให้สำเร็จเช่นนั้นในแผ่นดินโลกเหมือนกัน คำอธิษฐานนี้ยังคงมีอยู่ และผู้เชื่อก็อธิษฐาน ทุกวัน คนมากมายยังจึงมีโอกาสที่จะได้กลับมาหาพระเจ้าได้ เพราะผู้เชื่อได้อธิษฐานตามพระประสงค์ที่จะทรงสร้างชีวิตใหม่ให้กับชาวโลก

และถ้าเรารู้ว่า
พระองค์ทรงฟังเรา
ไม่ว่าเราจะทูลขอสิ่งใด
เราก็รู้ว่า
เราจะได้รับสิ่งที่เราทูลขอนั้น จากพระองค์​
1 ยอห์น 5:15

ลูกา 11:9-10; สุภาษิต 15:29; สดุดี 37:4

แต่สำหรับชีวิตประจำวันของเราล่ะ ? พระองค์จะทรงฟังเราไหม? พระองค์ทรงยินดีที่จะฟังคำขอของลูก ๆ ทั้ง หลายอยู่แล้ว คนที่เป็นลูกของพระเจ้าจริง เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงก็เหมือนคนที่เป็นลูกและเข้าใจว่าพ่อเป็นคนอย่างไร และขอ ในสิ่งที่พ่อพอใจจะให้ ขอในสิ่งที่เขาไม่อาจทำได้ ด้วยตัวเอง ขอเพราะเขารู้แน่ว่าต้องพึ่งพาจากพ่อเท่านั้น

การอธิษฐานเพื่อเพื่อนที่ทำบาป

ถ้าคนใดเห็นพี่น้องของเขาทำบาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย เขาควรจะอธิษฐานขอ
และพระองค์จะประทานชีวิตให้แก่คนที่ทำบาปอย่างที่ไม่นำไปสู่ความตาย บาปที่นำไปสู่ความตายนั้นก็มีอยู่ ซึ่งข้าไม่ได้ขอให้อธิษฐาน ขอสำหรับคนที่ทำบาปเช่นนั้นการอธรรมทั้งสิ้นเป็นบาป แต่ก็ยังมีบาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย
1 ยอห์น 5:16-17

ฮีบรู 6:4-6; 10:26-31; 1 ยอห์น 3:4; 5:16

พระคำตอนนี้ยากที่จะอธิบายสั้น ๆ หลายท่านมีความเห็นว่า ท่านยอห์นกำลังหมายความว่า มีบางคนกำลังทำบาปที่ทำให้เขาต้องเสียชีวิต เราไม่ทราบว่า เป็นบาปอะไร ดูเหมือนว่าคนที่ ทำบาปคนนั้นจะไม่ยอมฟังคำเตือนของเพื่อน ๆ เสียด้วย อาจมีความเห็นอื่นสำหรับพระคัมภีร์ข้อนี้

เรารู้ว่า ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า
ไม่ทำบาปต่อเนื่อง
แต่พระองค์ผู้ทรงเกิดจากพระเจ้าทรงคุ้มครองเขาให้ปลอดภัย และมารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้
1 ยอห์น 5:18

1 ยอห์น 3:9; 5:4; ยูดา 21; ยากอบ 1:27

คนของพระเจ้า จะไม่มีนิสัยทำบาปแบบทำไป เรื่อย ๆ เพราะว่าเขาเกิดใหม่จากพระเจ้าแล้ว ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป เราเห็นได้จากคน มากมายที่กลับใจมาเชื่อพระเจ้าที่ความคิดความประพฤติ ค่านิยมต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป ไม่ เหมือนเดิมอีกต่อไป พระเจ้าทรงดูแลให้เขารอดพ้นภัยจากมารร้าย ด้วยพระองค์เอง ด้วยทูตสวรรค์ที่ทรงส่งมา ด้วยพระวจนะที่อยู่ในใจของพวกเขา

รู้จักศัตรูของเรา

เรารู้ว่า
เราเป็นลูกของพระเจ้า
และทั้งโลก ตกอยู่ใต้
อำนาจของมารร้าย
1 ยอห์น 5:19

2 โครินธ์ 4:4; 1 ยอห์น4:4-6; กาลาเทีย 1:4

มองไปรอบ ๆ แล้วจะรู้ว่า โลกอยู่ภายใต้อำนาจ ของมารจริง ๆ ความชั่วร้ายนั้น มีอยู่ทุกระดับ ตั้งแต่ในตัวคน ในครอบครัว ในหมู่คนที่เรียกว่าเป็นเพื่อน ในชุมชน ในที่ทำงาน ในจังหวัดต่าง ๆ ในประเทศ ระหว่างประเทศ มีความชั่วร้ายแฝงอยู่ให้เห็นชัดเจน และเราเองก็อยู่ในโลก แต่พระเจ้าจะทรง ปกป้องเราไว้ให้พ้นจากความร้ายกาจของมาร

อยู่ในพระคริสต์ หนีจากรูปเคารพ

เดี๋ยวนี้เรารู้ว่า พระบุตรของพระเจ้า เสด็จมา และประทานความเข้าใจแก่เรา เพื่อว่าเราจะรู้จักพระองค์ผู้ทรงเป็นจริง
และเราอยู่ในพระองค์ผู้ทรงเป็นจริง คือเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้และทรงเป็นชีวิตนิรันดร์
1 ยอห์น 5:20

ยอห์น 17:3; 14:9; ลูกา 24:45

พระบุตรของพระเจ้าทรงส่งพระวิญญาณของ พระองค์ลงมา ทำให้เรามีความเข้าใจใน พระองค์ ทำให้เราได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ผู้เป็นทางไปหาพระบิดา พระคัมภีร์ข้อนี้ เป็นการประกาศความเป็น พระบุตรของพระเจ้าอย่างชัดแจ้ง สมบูรณ์มากที่สุดข้อหนึ่งในพระคัมภีร์

ลูกเล็ก ๆ ทั้งหลาย
จงรักษาตัวเอง
ให้พ้นจากรูปเคารพ
อาเมน
1 ยอห์น 5:21

 1 โครินธ์ 10:14; 10:7; อพยพ 20:3-4

คำสุดท้ายของท่านยอห์นในจดหมายฉบับนี้สั้น ๆ แต่สำคัญยิ่งนัก เพราะรูปเคารพไม่ได้จำกัดแค่รูปปั้นของเทพพระต่าง ๆ ที่มนุษย์เคารพอีกต่อไป รูปเคารพคือสิ่งที่เราหลงไหล ให้เวลากับมัน สิ่งที่เราอยู่ด้วยจนลืมเวลาของชีวิตไป ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ถ้าเราให้ความสำคัญกับมันมากกว่าพระเจ้าสิ่งนั้นกลายเป็นรูปเคารพของเรา

1 ยอห์น 4 รักพี่น้อง..สำคัญนัก

วิญญาณแท้และวิญญาณปลอม

พี่น้องที่รัก
อย่าเชื่อวิญญาณใด ๆ แต่ให้พิสูจน์ว่า วิญญาณนั้นมาจากพระเจ้าหรือไม่
เพราะมี
ผู้เผยพระคำปลอม
มากมายที่ออกมาในโลก
1 ยอห์น 4:1

1 ยอห์น 2:22; 4:2,15; ยอห์น 1:13; 1 เธสะโลนิาก 5:21

คำว่า พิสูจน์ ในภาษากรีก มีความหมายว่า ให้ตรวจสอบสิ่งนั้นอย่างถี่ถ้วนเพื่อดูว่าเป็นของแท้หรือไม่ มีการทดสอบ ตรวจดู วิเคราะห์หาเหตุผล และหลักฐานมายืนยัน ดังนั้น เมื่อเราได้ยินใครกล่าวพระคำของพระเจ้า เราต้องถามตัวเองด้วยว่า เขาพูดพระคำอย่างตรงไปตรงมาหรือบิดเบือนพระคำนั้นตามใจของตนเอง เพราะในโลกทุกวันนี้ มีคนตัวปลอมเยอะมาก!

วิธีที่ท่านจะรู้ว่าวิญญาณนั้นมาจากพระเจ้าก็คือ
ทุกวิญญาณที่ยอมรับว่า
พระเยซูคริสต์ผู้ทรงมาเป็นมนุษย์
มาจากพระเจ้า
และวิญญาณใดไม่ยอมรับพระเยซูก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า
และเป็นวิญญาณที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งท่านเคยได้ยินว่ากำลังมา
และบัดนี้ก็มาอยู่ในโลกแล้ว
1 ยอห์น 4:2-3

1 โครินธิ์ 12:3; ยอห์น 1:14; 1 ยอห์น 4:3; 2:22; 2 ยอห์น 1:7

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเราจะเจอผู้ที่อ้างตนว่าเป็นผู้ช่วย แต่ว่ากลับเป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์เสียเอง คนของพระเจ้าจริง จะยอมรับและประกาศว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่มาบังเกิด เป็นมนุษย์ ทรงเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์แต่ถ้าเป็นฝ่ายมารละก็ พวกเขาจะปฏิเสธความจริงข้อนี้ และพยายามทำให้คนหลงทางไป

ลูกเล็ก ๆ เอ๋ย ท่านมีชัยชนะเหนือเขาเหล่านั้น เพราะว่า พระองค์ผู้สถิตในท่าน
ทรงเป็นใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก
พวกเขาเป็นฝ่ายโลก และก็พูดตาม แบบของโลก และโลกก็เชื่อฟังเขา
1 ยอห์น 4:4-5

โรม 8:31,37; 1 ยอห์น 5:4;
ยอห์น 8:23; 2 เปโตร 2:2-3; ยอห์น 17:14

ผู้เชื่อในพระเจ้าจะต้องสังเกตคนสอนผิดให้เป็น แต่ไม่ต้องกลัวพวกเขา ไม่ต้องกลัวสิ่งที่เขาขู่ คนของพระเจ้าไม่มีอะไรจะต้องกลัวคนเหล่านั้น เพราะพวกเขาแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัว เห็นชัด ๆ คนที่ไม่เห็นคือคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่มีพระวิญญาณของพระองค์ในชีวิตอย่าลืมว่า พระเจ้าทรงเจิมเรา และทรงทำให้เรารู้ความจริง พระวิญญาณทรงอยู่ในเรา(2:20)

เราเป็นฝ่ายของพระเจ้า คนที่รู้จักพระเจ้าจะฟังเรา ผู้ที่ไม่ได้มาจากพระเจ้าจะไม่ฟังเรา
ดังนั้น เราจึงรู้จักวิญญาณของความจริง
และวิญญาณที่หลอกลวง
1 ยอห์น 4:6

ยอห์น 14:17; 10:27; 8:45-50; 1 ยอห์น 4:1

พระคัมภีร์สอนเราชัดเจนว่าใครเป็นใคร พระเจ้าให้เราพิสูจน์คำสอนทุก ๆ คำที่ผ่านเข้ามาว่า เป็นไปตามพระคำของพระเจ้า ไม่มีการแปลความเข้าข้างตัวเอง พวกครูสอนผิด มักใช้พระคัมภีร์มาเข้าข้างตัวเอง และหาชื่อเสียง เงินทองเข้ากระเป๋าได้มากมาย พวกเขาหลอกให้ คนเชื่อ ติดตามไป ยอมขายบ้าน ยกเงินให้หมด คนสอนผิดจะเพิ่มเติมความเห็นของตนเข้าไปใน
จนท่วมพระคำของพระเจ้า

รักกันและกัน

ท่านที่รัก
ให้เรารักซึ่งกันและกัน
เพราะความรักมาจากพระเจ้า
และทุกคนที่รักก็เกิดจากพระเจ้าและรู้จักพระองค์
คนที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า
เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก
1 ยอห์น 4:7-8

1 ยอห์น 4:20-5:1; 1 เปโตร 1:22; 1 เธสะโลนิกา 4:9-10;
2 โครินธ์ 13:11; สดุดี 86:15; เอเฟซัส 2:4

รักที่อยู่บนพื้นฐานของรักของพระเจ้านั้น เป็นรักที่แน่นอน มั่นคง อดทน และไม่ยอมแพ้
ถ้าจะรักใครสักคนด้วยรักของตัวเองแล้ว มันเป็นรักที่อ่อนแอ และเข้าข้างตนเอง อดไม่ได้ที่จะเห็นแก่ตัว ถ้าเราจะลองวิเคราะห์ความรักของมนุษย์และพระเจ้าแล้ว จะเห็นความแตกต่าง ราวฟ้ากับเหว ท่านยอห์นทราบดีว่าจะรักใครก็ต้องรักด้วยความรักที่มาจากพระเจ้า
มิฉะนั้น จะเป็นรักที่อ่อนแอ

ความรักของพระเจ้าได้สำแดงแก่เรา
ก็โดยที่พระเจ้าทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เข้ามาในโลกเพื่อว่าเราจะได้มีชีวิตโดยพระบุตรนั้น
1 ยอห์น 4:9

ยอห์น 3:16; 6:57; 1 ยอห์น 5:11; โรม 8:32; ยอห์น 10:10

อย่างที่พระเยซูตรัสไว้ในยอห์น 3:16
เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตร
องค์เดียวของพระองค์
” มนุษย์เราที่เกิดมา ถ้าไม่มีพระบุตรของพระเจ้า ก็เหมือนคนตายทั้งเป็น ทั้งโลกไม่รู้ว่า เราเป็นเหมือนคนตายที่เดินไปมา ทำงาน ต่อสู้ชีวิตโดยที่ตอนจบไม่ได้อะไรเลย นอกจากหลุมฝังศพ แต่พระเยซูทรงมาเพื่อให้ เราทุกคนได้ชีวิต และได้ชีวิตอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ อ่านยอห์น 10:10

และนี่คือความรัก ไม่ใช่ว่าเรารักพระเจ้า
แต่พระองค์ทรงรักเรา
และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มา
เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา
1 ยอห์น 4:10

เอเฟซัส 2:4-5; โรม 5:8-10; 1 ยอห์น 2:2 ; ยอห์น 15:16

ภาพ Agnus Dei c. 1635–1640, วาดโดย Francisco de Zurbarán, Prado Museum

พระเยซูทรงมาเพื่อเป็นเครื่องบูชาอะไรหรือ ? พระเจ้าทรงสอนเราในพระคัมภีร์ซ้ำแล้วซ้ำอีกให้ เราเข้าใจว่า บาปนำไปสู่ความตาย ในสมัยก่อน เมื่อทำบาป ก็มีการถวายเครื่องบูชาเพื่อไถ่บาปของตน ด้วยการใช้ชีวิตของสัตว์อย่างเช่น แกะ แพะ นก มาเป็นตัวแทนรับบาปของเราไป คนในสมัยก่อนก็ต้องถวายเครื่องบูชาแบบนี้ไปจนตาย เพราะเขาทำบาปเสมอ แต่เมื่อพระเยซูมาเป็นเครื่องบูชา คนที่เชื่อพระเจ้าจึงไม่ต้องทำอย่างนั้น เพราะพระเยซูทรงสิ้นชีวิตเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียวพอ

ท่านที่รัก
หากพระเจ้าทรงรักเรามาก
เช่นนั้น
เราจึงควรรักกันและกันด้วย
ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า
ไม่ว่าเวลาใด
ถ้าเรารักกันและกัน
พระเจ้าก็ทรงดำรงในเรา
และความรักของพระองค์
ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา
1 ยอห์น 4:11-12

โคโลสี 3:13; ยอห์น 15:12-13; 1 ยอห์น 3:23
ยอห์น 1:18; 1 ยอห์น 2:5; 1 ทิโมธี 6:16

การที่พี่น้องรักกันและกันนั้น รู้ไหมว่าเราได้ ความมหัศจรรย์ใดเกิดขึ้น
นั่นก็คือ พระเจ้าทรงดำรงอยู่ในหมู่พวกเรา นี่เป็นเรื่องดีที่สุดในหมู่พี่น้อง เพราะพระเจ้าสถิตที่ไหน สันติสุขก็อยู่ที่นั่น

เพราะอย่างนี้
เราจึงรู้ว่า
เราดำรงในพระองค์ และพระองค์ทรงดำรงในเรา เพราะพระองค์ประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้แก่เรา
1 ยอห์น 4:13

เอเฟซัส 2:20-22; 1 ยอห์น 3:24

การที่เรารักกันและกันอย่างจริงจัง จริงใจ ทำให้เรารู้ว่านั่นแหละ เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ พระเจ้าทรงดำรงในเรา และเราก็อยู่ในพระองค์ เพราะความรักที่อดทนนาน กระทำคุณให้ ตาม 1 โครินธิ์ 13 นั้นจะเกิดขึ้นได้ยากหากไม่มี พระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง เรารู้ว่าพระเจ้าอยู่ในเรา เพราะความรักที่ มีนั้น เป็นรักที่เกินกว่าเราจะรักได้

พวกเราได้เห็น
และเป็นพยานว่า
พระบิดาได้ทรงส่งพระบุตรลงมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก
คนใดยอมรับว่า
พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็สถิตในเขา และเขาอยู่ในพระองค์
1 ยอห์น 4:14-15

ยอห์น 4:42; 1:29; ยอห์น 15:26-27;
โรม 10:9; 1 ยอห์น 5:5; 3:24; มัทธิว 10:32

ท่านยอห์น เป็นศิษย์ที่พระเยซูทรงรัก เขาเป็นคนใกล้ชิดพระองค์มาก จากการที่อยู่กับพระองค์ เห็นการอัศจรรย์สำคัญมากมายที่พระเยซูทรงทำให้ประชาชน ความรักทีพระองค์ทรงมีต่อ พวกเขา ท่านเห็นการสิ้นชีพ และการคืนชีพ การเสด็จสู่สวรรค์ท่านจึงมั่นใจเต็มร้อยว่า
พระเยซูทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าที่ถูกส่งมาแน่ และท่านย้ำให้ทราบว่า ใครก็ตามยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า พระเจ้ากับเขาอยู่ในกันและกัน !

และเราได้มารู้จัก
และเชื่อในความรัก
ที่พระเจ้าทรงมีให้เรา
พระเจ้าทรงเป็นความรัก
และคนที่อยู่ในความรัก
ก็อยู่ใน พระเจ้า
และพระเจ้าสถิตในเขา
1 ยอห์น 4:16

1 ยอห์น 3:24; 3:16; สดุดี 36:7-9; อิสยาห์ 64:4

หลายข้อที่ผ่านมา ท่านยอห์นเฝ้าบอกเราเรื่องความรัก ให้รักกันและกัน และพระเจ้าจะสถิตในเรา ไม่มีความเชื่อแบบอื่นใดในโลกที่เน้น ความรักของพระเจ้า และยืนยันว่าพระเจ้าทรง เป็นความรัก อาจมีการสอนให้เรามีความ เมตตาต่อกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่การที่จะรัก สละชีวิต เวลาให้ ไม่มีใครอยากจะสอนเรื่องนี้ สอนแค่ให้ทำความดีทั่ว ๆ ไปนั้นง่ายกว่า เพราะคนที่รักนั้น ต้องเสียสละให้ทั้งชีวิต

เพราะเป็นอย่างนี้ ความรักจึงสมบูรณ์
1 ยอห์น 4:17

1 ยอห์น 2:28; 3:3; 2:5; โรม 8:29

“ความรักสมบูรณ์ในหมู่พวกเรา” ท่านยอห์นใช้คำที่มีความหมายว่าสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซนต์ ในวันที่พระเจ้าทรงพิพากษา เราจะเป็นว่าความรักนั้นสมบูรณ์แบบมากเพียงไร เราจะเข้าใจมากกว่าที่เข้าใจวันนี้

ในความรักไม่มีความกลัว แต่รักที่สมบูรณ์แบบก็จะขจัดความกลัวออกไปเพราะความกลัวนั้น เกี่ยวพันกับการลงโทษ และคนที่กลัวก็ไม่ได้รักอย่างสมบูรณ์แบบ
1 ยอห์น 4:18

2 ทิโมธี 1:7; โรม 8:15

เมื่อเราอยู่ในพระเจ้าผู้ทรงเป็นความรัก เราก็ไม่ต้องกลัวการพิพากษา เพราะว่า พระเยซูคริสต์ทรงรับโทษของการพิพากษานั้น แทนเราแล้ว รักที่สมบูรณ์ทำให้เราไม่ต้องกลัว ความกลัวเกี่ยวข้องกับการถูกลงโทษ นั่นคือ คนที่ไม่ได้เข้ามาอยู่ในความรักของพระเจ้า มีเรื่องที่ต้องกลัวจริง ๆ การพิพากษาของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นมาขู่ให้กลัว แต่เป็นเรื่องจริงที่จะเกิดขึ้นกับทุกคนที่ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า

เรารัก
เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน
ถอดความจาก 1 ยอห์น 4:19

ยอห์น 3:16; 15:16; ทิตัส 3:3-5

ข้อนี้ ท่านยอห์นต้องการกล่าวว่า ที่เรารักกันและกัน ก็เพราะพระเจ้าทรงรักเราก่อน ในโลกเรานี้ เรารู้อยู่ว่าทุกคนเป็นคนบาป ย่อมเห็นแก่ตัวเอง ยากที่จะรักใคร ถึงรักก็เพื่อ ความสุขของตนเองเป็นหลัก เมื่อเรารักเป็นเพราะ พระเจ้าทรงรักเราก่อน เราจึงเข้าใจว่าเรารักคนที่ โลกไม่สนใจก็ได้ รักคนที่ไม่น่ารัก คนที่ถูก ดูหมิ่นดูแคลน แม้จะเป็นคนที่ยากจะรัก ที่ทำได้เพราะรักนั้นเป็นของพระเจ้าที่ทรงให้เราไว้

หากใครคนหนึ่งกล่าวว่า “ฉันรักพระเจ้า”
แต่ยังคงเกลียดพี่น้องของตน
คนนั้นก็พูดมุสา
คนที่ไม่รักพี่น้องที่มองเห็นได้ ไม่อาจจะรักพระเจ้าที่มองไม่เห็น
1 ยอห์น 4:20

1 ยอห์น 3:17; 2:9; 2:4; 1 เปโตร 1:8

เราอาจคิดว่า มีคนอย่างนี้ในโลกด้วยหรือ มีสิ มีมากเสียด้วย คนที่โอ้อวดว่าตนเองเป็นคนดี รักพระเจ้า รักธรรมะ รักความดี อวดว่าตนเป็นคนดีกว่าคนอื่น ๆ แต่ลับหลังแล้วกลับเอาเปรียบพี่น้อง เราเห็นคนแบบนี้อยู่มาก สำหรับท่านยอห์นแล้ว ใครก็ตามที่เกลียดพี่น้อง ไม่อาจกล่าวได้ว่าตนรักพระเจ้า ดังนั้นจากเงื่อนไขแค่นี้เราก็พิสูจน์ได้แล้วว่า ตัวเราเองเป็นอย่างไร

และเราได้รับคำบัญชานี้มาจากพระองค์
นั่นคือ
คนที่รักพระเจ้าจะต้องรักพี่น้องของตนด้วย
1 ยอห์น 4:21

มัทธิว 22:37-39; เลวีนิติ 19:18; 1 เธสะโลนิกา 4:9

พระคำข้อนี้ เป็นการสรุปบทที่ 4 ทั้งบท คนที่รักพระเจ้า ก็จะรักพี่น้องในพระคริสต์ รักคนที่มีพระบิดาองค์เดียวกัน ไม่ว่าจะมีผิวสีเหมือนกันหรือไม่ และฐานะ การศึกษาจะต่างกัน ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะเราเป็นพี่น้องกัน ในครอบครัวที่ใหญ่มาก เราจึงอธิษฐานเผื่อกัน และกันทั้ง ๆ ที่บางทีไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ พระเจ้าผู้เป็นพระบิดาก็ทรงรู้จักลูกของพระองค์ ทุกคน และทรงรู้ว่าใครเป็นลูกแท้ใครเป็นลูกปลอม!