โรม 6 เป็นอิสระจากบาปแล้ว!

โรม 6:1-2
ดังนั้น  ท่านคิดว่าเราควรทำบาปต่อไป
เพื่อว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณ
มากขึ้นอย่างนั้นหรือ? จะไม่เป็นเช่นนั้น!
ในเมื่อเราตายต่อบาปแล้ว
เราจะใช้ชีวิตในบาปได้อย่างไร?

โรม 6:3
ท่านไม่รู้หรือว่า
เราทุกคนที่ได้รับบัพติศมา
ในพระเยซูคริสต์
เท่ากับเราบัพติศมาเข้าไปใน
ความตายของพระองค์?

โรม 6:4-5
เมื่อเราได้รับบัพติศมาในความตายนั้น เราก็ถูกฝังกับพระคริสต์ และมีส่วนร่วมในความตายของพระองค์ ดังนั้น เมื่อ
พระคริสต์ทรงฟื้นจากความตายโดยพระสิริของพระบิดา เราเองก็จะดำเนินตามชีวิตใหม่ เพราะหากเราได้เป็นหนึ่งเดียวในการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการคืนพระชนม์เช่นกัน

โรม 6:6-7
เรารู้ว่า ชีวิตเก่าของเราถูกตรึงตายไปกับพระคริสต์บนไม้กางเขน เพื่อว่าตัวบาปในเราจะไม่มีอำนาจเหนือเรา
และเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป คนที่ตายไป ก็เป็นอิสระจาก
การครอบงำของบาป 

โรม 6:8-9
หากเราตายกับพระคริสต์ เราเชื่อว่า
เราก็จะได้มีชีวิตกับพระองค์ด้วยพระคริสต์ทรงถูกทำให้คืนพระชนม์จากความตาย พระองค์จะไม่สิ้นพระชนม์อีก
ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป


โรม 6:10-11
เมื่อพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์นั้นก็เพื่อทำลายอำนาจของบาป ครั้งเดียวเป็นพอ พระองค์ทรงมีชีวิตก็เพื่อพระเจ้า เช่นเดียวกัน  ท่านควรจะถือว่า ท่านเองตายต่อบาป และมีชีวิตเพื่อพระเจ้า
ในองค์พระเยซูคริสต์

โรม 6:12-13
ดังนั้น อย่าปล่อยให้บาปครอบงำร่างกายที่ไม่ยั่งยืนของท่าน ซึ่งทำให้ท่านยอมตอบสนองความต้องการของบาป อย่ามอบส่วนใด ๆ ของร่างกายให้แก่อำนาจบาปเป็นเครื่องมือทำความชั่ว แต่ให้ถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า ดั่งเหล่าคนที่ฟื้นจากความตายและถวายร่างกายของท่านแด่พระองค์ให้เป็น
เครื่องมือแห่งความเที่ยงธรรม 

โรม 6:14-15
เพราะบาปจะไม่มีอำนาจเหนือท่านต่อไปเนื่องจากท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ  ถ้าอย่างนั้นเราควรทำอะไร? เราควรทำบาปเพราะว่าเราอยู่ใต้พระคุณไม่ใช่อยู่ใต้บทบัญญัติใช่ไหม? จะไม่เป็นเช่นนั้น!

โรม 6:16
ท่านไม่รู้หรือว่า เมื่อท่านยอมตัวเองให้เป็นทาสที่เชื่อฟังของใครก็ตาม ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟัง  ไม่ว่าจะเป็นทาสบาปซึ่งนำไปสู่ความตายหรือเป็นทาสการเชื่อฟัง ซึ่งนำสู่ความเที่ยงธรรม

โรม 6:17-18
ในอดีต ท่านเคยเป็นทาสบาปแต่ขอบคุณพระเจ้าที่ท่านได้เชื่อฟังคำสอนที่ท่านได้รับอย่างสุดใจ (อย่างเต็มใจ)ท่านเป็นอิสระจากบาปแล้ว บัดนี้ท่านเป็นทาสของความเที่ยงธรรม

โรม 6:19
ข้าพเจ้าใช้ตัวอย่างแบบมนุษย์นี้ เพราะเป็นเรื่องยากที่ท่านจะเข้าใจ ในอดีตท่านเคยมอบอวัยวะส่วนต่าง ๆ ให้เป็นทาสบาปและความชั่วช้าที่เพิ่มมากขึ้น  บัดนี้ จงมอบอวัยวะของท่านให้เป็นทาสแห่งความเที่ยงธรรม ซึ่งนำไปสู่การชำระให้บริสุทธิ์

โรม 6:20-21
ในเวลาที่ท่านเป็นทาสบาป ความเที่ยงธรรมไม่ได้ครอบครองเหนือชีวิตของท่าน  ท่านได้รับผลอะไร จากการทำสิ่งต่าง ๆ ซึ่งตอนนี้ท่านกลับรู้สึกละอาย?ผลของสิ่งเหล่านั้นคือความตาย

 


โรม 6:22-23
แต่บัดนี้ ท่านพ้นการเป็นทาสบาปและมาเป็น
ทาสของพระเจ้าแล้ว  ผลที่ได้รับนำไปสู่การ
ชำระให้บริสุทธิ์ ผลสุดท้ายคือทำให้ท่านได้
รับชีวิตนิรันดร์ เพราะค่าจ้างของความบาป
คือความตาย แต่ของประทานที่พระเจ้า
ประทานให้ คือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์
องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

โรม 6:1-2
ไม่ว่าเราจะมีอดีตอย่างไร  คนที่เชื่อและพระเจ้าทรงประกาศว่าพ้นผิด จะมีประสบการณ์ชีวิตใหม่(ท่านเป็นพยานจากชีวิตของท่านเองด้วยใน 1 ทิโมธี 2:12-17 เรียกว่า justification ซึ่งหมายถึงการที่พระเจ้าทรงประกาศเองว่าคนหนึ่งเป็นคนที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์  คนนั้นจะไม่ห่วงทำบาปเหมือนในอดีต แต่ตั้งต้นใช้ชีวิตถูกต้องกับพระเจ้า คำว่า ตายต่อบาปคือเลิกชีวิตในอดีตที่ทำบาปอย่างคุ้นเคย 

โรม 6:3
คำว่าบัพติศมาตรงนี้เป็นการเปรียบเทียบว่า เมื่อคนหนึ่งมารับเชื่อพระเยซู เขาได้รับการบัพติศมาเข้าไปในพระกายนั่นคือ “เมื่อฉันเชื่อวางใจพระเยซู
คริสต์เท่ากับฉันได้
ผูกพัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์  ความตายของพระองค์คือความตายของฉันด้วย” ตายต่อตัวเก่าที่ฉันเคยมี  บทนี้ท่านเปาโลกำลังเริ่มสอนเรื่องการแยกชีวิตของคน ๆหนึ่งให้เป็นคนบริสุทธิ์ เพื่อทำตามพระประสงค์ ของพระเจ้าที่มีต่อเขา เราเรียกว่า sanctification คือการชำระชีวิตให้บริสุทธิ์

โรม 6:4-5
การตายไปกับพระคริสต์ และถูกฝังนั่นคือจบชีวิตเก่า แต่เมื่อพระคริสต์ทรงคืนพระชนม์ ก็เท่ากับเรามีส่วนในการฟื้นจากตายด้วย พระเจ้าประทานชีวิตใหม่ให้ คนจำนวนมากที่กลับมาหาพระเจ้ามีประสบการณ์นี้ชัดเจน ชีวิตกับบาปเก่า ก็ตายไปไม่มีชีวิตอย่างนั้นอีก  แล้วเขากลายเป็นคนใหม่ที่ดำเนินชีวิตตามพระเจ้าอย่างไม่คาดคิดว่าจะมีการพลิกชีวิตแบบนี้ได้  ชีวิตแบบอาดัมไม่เหลือกลายเป็นชีวิตอย่างพระคริสต์ 

โรม 6:6-7
ย้อนกลับไปเรื่องการตายในพระคริสต์ คนที่ตายไปคือ คนที่อยู่ใต้อำนาจบาป ใต้อาดัม  ชีวิตบาปเดิมนั้น ถูกตรึงบนไม้กางเขนกับพระเยซูไปแล้ว ท่านเปาโลพยายามอธิบายความจริงยากจะเข้าใจให้ชัดเจน  พอมาเชื่อพระเยซู บาปไม่มีอิทธิพลครอบงำต่อไป คนเก่าตายไป บาปก็ไม่มีฤทธิ์เหนือคนเก่านั้น เพราะตายไปแล้ว ถูกตรึง ตายสนิทคำว่าเป็นอิสระ ในข้อ7 ภาษากรีกมาจากคำว่า δικαιόω ไดคาโยโอ คือเที่ยงธรรม ไม่ผิด ถูกประกาศว่าพ้นผิดแล้ว

โรม 6:8-9
ตัวบาปในเราตายไปแล้ว เราก็เชื่อ ความเชื่อนี้สำคัญ เราเชื่อที่พระเจ้าทรงบอกเราว่าสถานภาพของเราหลังจากตายและฟื้นในพระคริสต์คือพ้นผิดได้รับการชำระ ก็คืออย่างนั้น  ท่านเปาโลเน้นย้ำว่าพระเยซูไม่ต้องสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปมนุษย์อีก ครั้งเดียวพอ โคโลสี 1:13 แจ้งชัดเจนว่า พระเยซูทรงนำเราออกจากอาณาจักรมืด มาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ นี่คือความจริง… เรารับการไถ่บาป และชำระให้บริสุทธิ์แล้ว! 

โรม 6:10-11
มหัศจรรย์!การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูมีฤทธิ์ในการทำลายอำนาจของบาปในชีวิตของผู้ที่เชื่อวางใจ  ในวันนี้ พระเยซูทรงพระชนม์อยู่เคียงข้างพระบิดาในแผ่นดินสวรรค์  ท่านเปาโลให้เราถือว่า เราเองก็ตายต่อบาปและมีชีวิตเพื่อพระเจ้า นี่เป็นสิ่งที่คริสเตียนควรตระหนักคริสเตียนจำนวนมากยังคงคิดแค่ว่าพระเจ้าทรงรักพระเจ้าทรงดี เราต้องถือว่า/ตัดสินใจว่า/สรุปว่า/คิดว่า ตัวเองตายต่อบาปและมีชีวิตเพื่อพระเจ้า!

โรม 6:12-13
แต่ถึงอย่างนั้น ในชีวิตจริงของคริสเตียน บาปยังเป็นปัญหาอยู่ เพราะว่าเราอยู่ในโลกที่มีความบาประบาดทั่วไปหมด เราไม่ได้ฝึกฝนตอบโต้ต่อบาป
เหมือนอย่างทหารที่ฝึกฝนเพื่อต่อสู้กับศัตรู  เรามักเฉย ๆ ต่อบาปรอบข้างเรา มันจึงยังมีผลต่อชีวิต ท่านเปาโลเน้นที่ร่างกายของเราคืออวัยวะต่าง ๆ ทั้งความคิด จิตใจ เราต้องไม่ยอมให้บาปครอบงำ ไม่ยอมฟัง ดู คิดตามอย่างที่โลกเสนอให้คิด  ไม่ยอมตอบสนองความต้องการของบาป 

โรม 6:14-15
โรม3:31 กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นเท่ากับเราล้มเลิกบทบัญญัติด้วยการใช้ความเชื่ออย่างนั้นหรือ? เปล่าเลย..จะไม่เป็นเช่นนั้น..ความเชื่อต่างหากที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างที่บทบัญญัติต้องการ   บทบัญญัติทำให้เราเห็นว่า ในใจของมนุษย์นั้นมีอะไรที่เบี่ยงเบนไปจากมาตรฐานของพระเจ้า ด้วยความเชื่อ…พระคุณของพระเยซูคริสต์ทำให้ผู้เชื่อได้อยู่ในพระคริสต์ ทำให้พวกเขามีใจอย่างพระองค์จึงต่อต้านความบาปและทำสิ่งที่ถูกต้อง 

โรม 6:16
ท่านเปาโลขอให้พี่น้องเป็นทาสของสิ่งที่ถูกต้องคือทาสการเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ใช่ทาสบาป เราต้องไม่เชื่อฟังบาปเหมือนอย่างในอดีต บางทีผู้เชื่อมองเรื่องบาปเป็นเรื่องเล็ก ทำไป แล้วก็ขอพระเจ้ายกโทษทีหลัง เพราะอยากทำบาปนั้นมาก  บาปอยู่ตรงหน้า และดูว่าทำแล้วมีความสุขกว่าที่จะไม่ทำ  ตรงนี้เท่ากับเขากลับไปเป็นทาสบาปอีก ท่านเปาโลจึงเตือนให้อย่ายอมเป็นทาสบาป เพราะนั่นเป็นหนทางไปสู่ความตาย 

โรม 6:17-18
พี่น้องชาวโรมและพวกเราทุกคนเคยเป็นทาสบาป … แต่จะพ้นจากการเป็นทาสบาปได้ก็โดยการเชื่อ และเชื่อฟังคำสอนที่ท่านเปาโลพยายามสอนอยู่อย่างสุดใจ ไม่ใช่แค่รับไว้แบบหูทวนลมในโลกโบราณ การเป็นทาสคือนายทาสจะมีสิทธิ เหนือชีวิตของทาสคนนั้น เมื่อเราเป็นทาส ความเที่ยงธรรมคือ เป็นคนถูกต้องกับพระเจ้า เราก็ลาจากนายทาสเดิมคือบาปร้ายสารพัดแบบที่คอยกัดกินชีวิตทุกวัน

โรม 6:19
พี่น้องชาวโรมและเราต่างเคยตามใจความต้องการของตนเอง อยากทำอะไรก็ทำ เช่นพูดให้ร้าย นินทาหรือผิดเรื่องเพศ โดยไม่รู้สึกผิดต่อ ตนเอง คนอื่น
หรือพระเจ้าเลย บางคนมีคติว่า “ฉันจะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน” แต่ความจริงคือ ทุกสิ่งที่เราทำลงไป ต่างส่งผลให้คนอื่นเสมอท่านเปาโลให้เราชนะบาปที่เคยเป็นนายทาสเราด้วยการมอบชีวิต จิตใจ ร่างกาย ให้เป็นทาสพระเจ้าเพื่อพระเจ้าจะทรงชำระ แยกเราไว้ให้บริสุทธิ์

โรม 6:20-21
ตอนที่คน ๆ หนึ่งเชื่อฟังบาปนั้น เขาไม่มีความอายในสิ่งที่ทำไป มีคนไม่น้อยที่กลับมาหาพระเจ้าแล้วจะรู้สึกอับอายกับสิ่งที่เคยชอบ สิ่งที่เคยอวด อาย
กับคำพูดใส่ร้ายผู้อื่นที่เคยมีแค่ความสะใจ อายกับการข่มเหงคนที่ต่ำต้อยกว่า การยกตัวข่มท่าน ซึ่งแต่ก่อนสิ่งเหล่านี้เป็นความภูมิใจที่ได้ทำ ด้วย
พระคุณ พระเจ้าทรงนำคนที่เคยหลงตัวกลับมาหาพระองค์ เขานี่แหละ จะเป็นคนที่เข้าใจดีว่า สิ่งที่น่าละอายเหล่านั้นนำสู่ความตายอย่างไร 

โรม 6:22-23
การจบการเป็นทาสบาป มาเป็นทาสของพระเจ้า ทำให้เราได้รับการประกาศว่าพ้นผิด และพระเจ้าทรงเพิ่มการชำระชีวิตให้บริสุทธิ์ด้วย ทั้งสองขั้น
ตอนนี้ นำให้เรามีชีวิตใหม่ เป็นของพระเจ้าผู้เดียว
ส่วนความตายที่ท่านเปาโลกล่าวถึงคือ การแยกจากพระเจ้าเป็นนิตย์   ชีวิตนิรันดร์คือการที่อยู่กับ
พระเจ้าตลอดไป ซึ่งเริ่มตั้งแต่ที่เราอยู่ในโลกนี้ ติดสนิทกับพระเยซูทุกวัน เรื่อยไปจนกระทั่ง แม้จากโลกนี้ ก็จะยังอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ ไม่จากกันเลย

พระคำเชื่อมโยง

โรม 6
1* โรม 3:8; 6:15
2* กาลาเทีย 2:19
3* กาลาเทีย 3:27
4* โคโลสี 2:12; 1โครินธ์ 6:14 ;ยอห์น 2:11; กาลาเทีย 6:15
5* ฟีลิปปี 3:10
6* กาลาเทีย 2:20; 5:24; 6:14; โคโลสี 2:11


7* 1 เปโตร 4:1
8* 2 ทิโมธี 2:11
9* วิวรณ์ 1:18
10*  ฮีบรู 9:27; ลูกา 20:38
11* โรม 6:2; 7:4,6; กาลาเทีย 2:19
12* สดุดี 19:13
13* โคโลสี 3:5; 1 เปโตร 2:24; 4:2
14* กาลาเทีย 5:18

15* 1 โครินธ์  9:21
16* 2 เปโตร 2:19
17* 2 ทิโมธี 1:13
18* ยอห์น 8:32
20* ยอห์น 8:34
21* โรม 7:5; 1:32
22* โรม 6:18; 8:2
23* ปฐมกาล 2:17;1 เปโตร 1:4


โรม 5 รอดได้ด้วยพระเยซู

โรม 5:1-2
ดังนั้น เมื่อเราถูกนับว่าเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้าโดยความเชื่อของเราแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระองค์ ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราโดยพระองค์ ด้วยความเชื่อ  เราจึงได้เข้ามาสู่พระคุณที่เรายืนมั่นอยู่ และเรามีความยินดีเพราะมีความหวังว่า เราจะได้ร่วมในพระเกียรติสิริของพระเจ้า


โรม 5:3-4
ยิ่งกว่านั้น เรายังยินดีกับความทุกข์ยากของเรา  เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากเหล่านี้ทำให้เกิดความทรหดอดทน และความทรหดอดทนนี้ทำให้เกิดคุณสมบัติที่ดี และคุณสมบัติที่ดีนี้ทำให้เรามีความหวัง 

โรม 5:5
เป็นความหวังที่จะไม่ทำให้เราผิดหวัง (หรือละอาย)  เพราะพระเจ้าทรงเทความรักของพระองค์  เติมใจของเรา 
ผ่านองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระองค์ประทานแก่เรา

โรม 5:6-7
เมื่อเรายังไม่อาจช่วยตนเองให้รอดได้นั้น  ในเวลาที่เหมาะสมพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราซึ่งเป็นคนไร้พระเจ้า มีน้อยคนที่จะตายเพื่อคนเที่ยงธรรมแม้ว่าบางครั้งจะมีคนกล้าที่จะตายเพื่อคนดี 

โรม 5:8
แต่พระเจ้าทรงแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่แก่เราคือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา
(หรือ พระคริสต์ทรงถูกส่งมาเพื่อสิ้นพระชนม์เพื่อเรา)

โรม 5:9
ดังนั้น ในเมื่อเราได้รับการทำให้เป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า(พระบิดา)โดยพระโลหิต  ของพระคริสต์ เราก็จะได้พ้นจากพระพิโรธของพระเจ้าโดยพระคริสต์อย่างแน่นอน

โรม 5:10
ถ้าในขณะที่เราเป็นศัตรูของพระเจ้า(พระบิดา)พระองค์ทรงทำให้เราคืนดีกับพระองค์เนื่องด้วยความตายของพระบุตร ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ด้วยว่า บัดนี้เราคืนดีกับพระองค์แล้ว  พระองค์จะทรงช่วยเราให้รอดพ้น(พระพิโรธ)ผ่านชีวิตของพระบุตรนั้น

โรม 5:11 
ยิ่งกว่านั้น  บัดนี้เรามีความยินดีมากในพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเราเพราะเราได้คืนดีกับพระเจ้า(พระบิดา)ก็โดยพระองค์


โรม 5:12-13
บาปได้เข้ามาในโลกเพราะการกระทำของบุรุษคนหนึ่ง และเมื่อมีบาป ความตายก็ตามมา ด้วยเหตุนี้ความตายจึงแพร่ไปยังทุกคนเพราะทุกคนทำบาป บาปอยู่ในโลกก่อนบทบัญญัติของโมเสส ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติมาก่อน การทำบาปจึงไม่ถือเป็นการละเมิดบทบัญญัติ

โรม 5:14
ถึงอย่างนั้น ทุกคนก็ต้องตาย ในช่วงเวลาตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส   แม้ว่าจะเป็นคนที่บาปทั้งที่ไม่ได้ละเมิด
บทบัญญัติ เหมือนอย่างที่อาดัมได้ทำ อาดัมเป็นต้นแบบของพระองค์ท่านที่จะมาภายหลัง    

โรม 5:15
แต่ของประทานที่พระเจ้าทรงให้เปล่าๆไม่เหมือนบาป
ของอาดัม ด้วยว่าการล่วงละเมิดของบุรุษคนเดียวทำให้คนจำนวนมากต้องตาย แต่พระคุณจากพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่า เพราะคนมากมายได้รับของประทานแห่งชีวิตจากพระเจ้าโดยพระคุณของบุรุษอีกท่าน คือองค์พระเยซู

โรม 5:16
แต่ของประทานจากพระเจ้าไม่เหมือนผลที่ได้จากบาปของบุรุษผู้เดียว หลังจากที่อาดัมได้ทำผิดครั้งเดียวนั้นเขาถูกตัดสินลงโทษ แต่ของประทานที่ให้เปล่าจากพระเจ้า เกิดขึ้นหลังจากการละเมิดหลายครั้ง และผลที่ได้คือ ทำให้เกิดความถูกต้องกับพระเจ้า

โรม 5:17
หากการละเมิดของบุรุษผู้หนึ่งทำให้ความตายมีอำนาจเหนือมนุษย์ทุกคน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด  เหล่าคนที่ได้รับพระคุณล้นเหลือของพระเจ้า และรับของประทานแห่งความเที่ยงธรรมจะมีชีวิตโดยพระองค์นั้นคือ พระเยซูคริสต์

โรม 5:18
ในเมื่อการละเมิดครั้งเดียวนำให้ทุกคนต้องรับการตัดสินลงโทษฉันใด การกระทำอันเที่ยงธรรมครั้งเดียว ก็นำมาซึ่งความเที่ยงธรรมที่นำชีวิตมายังมนุษย์ทุกคนฉันนั้น

โรม 5:19
เพราะเมื่อบุรุษผู้หนึ่งไม่เชื่อฟัง ทำให้คนจำนวนมากรับผลกลายเป็นคนบาปฉันใด   ดังนั้น บุรุษผู้หนึ่งที่เชื่อฟังพระเจ้า ก็ทำให้คนจำนวนมากกลายเป็นคนมีความเที่ยงธรรมฉันนั้น


 

โรม 5:20-21
เมื่อมีบทบัญญัติเกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาคือมีการละเมิดทวีขึ้น แต่ที่ใดมีบาปทวีขึ้นพระคุณก็เพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้นมากกว่านั้นอีก ตามที่ความตายมีอำนาจเหนือเราเพราะบาป พระคุณจะครอบครองเหนือเราโดยความเที่ยงธรรม จนนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา

โรม 5:1-2 พระเจ้าทรงถือว่าเราเป็นคนเที่ยงธรรม ถูกต้องกับพระองค์ พ้นผิดไม่เหมือนอย่างในอดีตอีกต่อไปเพราะว่าเราเชื่อตามที่พระองค์ทรงบัญชา พระคริสต์จึงนำเรามาสู่สถานะของผู้มีสิทธิพิเศษได้เป็นบุตรของพระเจ้า  เป็นสถานะที่ทุกคนที่เชื่อไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด ฐานะทางสังคม ความรู้แตกต่างขนาดไหน  เขาเหล่านี้ที่เชื่อ ติดตามพระเจ้าก็จะได้มีส่วนในพระสิริของพระเจ้าด้วย

โรม 5:3-4ความทุกข์ยากที่กล่าวถึงนี้ มาจากการถูกกดดันหรือข่มเหง เอาเปรียบไ่ม่ว่าจะทางร่างกายจิตใจซึ่งคริสเตียนในโรมเผชิญอยู่ไม่ว่างเว้น ท่านเปาโลสอนให้พี่น้องรู้ว่า ในความยากลำบากของพวกเขาเขาจะได้รับรางวัลที่คาดไม่ถึงจากพระเจ้า จากสิ่งดีที่เกิดขึ้นในที่สุด เราจะได้รับความหวังว่าจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าท่ามกลางความทุกข์ยาก  ยิ่งคริสเตียนพัฒนาคุณสมบัติของผู้เชื่อก็ยิ่งจะเห็นพระคุณของพระเจ้าในชีวิต

โรม 5:5
เมื่อได้รับสถานะที่ถูกต้องกับพระเจ้าแล้ว ผู้เชื่อก็มีสันติสุข มีความหวัง เมื่อทุกข์ยากก็ยินดีได้เพราะความหวังที่จะได้ร่วมในพระเกียรติสิริของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้น พระเจ้ายังทรงมอบพระวิญญาณให้พวกเขาด้วย ทรงเติมใจด้วยพระวิญญาณ ทรงให้พระวิญญาณเข้ามาประทับภายใน ร่างกายของผู้เชื่อพระเยซูจึงกลายเป็นพระวิหารของพระเจ้าเต็มรูปแบบ  ( 1 โครินธ์ 3:16)

โรม 5:6-7
ที่เราไม่อาจช่วยตัวเองให้รอด เป็นเพราะว่า เราและเพื่อนมนุษย์ทุกคน ไม่อาจช่วยตัวเองให้รอดได้เลย เราสิ้นหวัง  แต่ในเวลาที่เราไม่มีทางช่วยตัวเองนั้น พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ ในเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ เป็นเวลาของพระเจ้าที่ทรงวางไว้ (กาลาเทีย 4:4)  ให้พระบุตรมารับโทษแทนคนบาป สังเกตไหม พระคริสต์ไม่ได้มาเพื่อคนเที่ยงธรรมหรือคนดี แต่เพื่อคนบาป!

โรม 5:8
มนุษย์ทุกคนไม่อาจยืนขึ้นมาและกล่าวว่า พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อฉันที่เป็นคนดี  คนมีเมตตาเป็นคนที่ใคร ๆ เรียกว่า นักบุญ คุณพ่อ หลวงพ่อแม่ชี  จิตอาสา อาจารย์ ฯลฯ แต่พระองค์ทรงมาเพื่อคนที่ไร้พระเจ้า คนที่โลกดูหมิ่น สมัยพระเยซูเราเห็นชัดว่า พระองค์ทรงเป็นเพื่อนกับคนบาป คนเก็บภาษี ทรงคุยกับหญิงชาวสะมาเรียที่ใคร ๆ ดูหมิ่น  ทรงเชิญพระองค์เองไปบ้านของศักเคียสที่ใคร ๆ รังเกียจ.. นี่คือความจริง 

โรม 5:9
คิดดูว่า พระเจ้าทรงรักเรา ทั้งที่เราเป็นศัตรูตัวฉกาจของพระองค์  พระองค์จะทรงรัก สนิทสนมกับเรามากขึ้นเพียงไหน หากเราได้เป็นคนที่ถูกต้องกับพระองค์ กลายเป็นลูกของพระองค์ เพราะโอกาสที่พระองค์ให้เรา เชื่อ วางใจ รับพระองค์พระองค์ต้องให้พระบุตรสุดที่รักของพระองค์มา
สิ้นพระชนม์ หลั่งพระโลหิต รับความบาปของมนุษย์บนพระกายของพระองค์ จะพ้นจากพระพิโรธได้ก็ต้องผ่านการสละชีิวิตของพระบุตร!

โรม 5:10
พระบุตรของพระเจ้าไม่ได้แค่สิ้นพระชนม์ สละพระโลหิตเพื่อให้เราได้พ้นจากพระพิโรธของพระเจ้าเท่านั้น แต่.. พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาด้วย เราจึงไม่ได้ติดอยู่กับพระเจ้าที่สิ้นชีพแต่เราวางใจพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  ยังมีผู้เชื่อพระเจ้าบางท่านยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ว่า การคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญยิ่งของการสิ้นพระชนม์ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่บอกว่าพระองค์ทรงชนะความตายเพื่อเราแล้ว

โรม 5:11 
ด้วยความรักเต็มพระทัยที่พระเยซูทรงมีต่อพระบิดาพระเยซูจึงทรงลงมาในโลก และแม้พระองค์ไม่ทรงยินดีกับการขึ้นไปสิ้นพระชนม์อย่างน่าอับอายอย่างไม่เป็นธรรม แต่.. พระเยซูทรงยอมเชื่อฟังพระบิดาจนถึงความตายที่กำหนดมาไว้ให้ตั้งแต่ต้นแล้ว … ฟีลิปปี 2:8 บอกชัดเจนในเรื่องนี้พระบุตรที่ทรงเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ในองค์เดียวกัน ต้องมารับโทษบาปเลวทรามของเราทุกคนเพื่อจะให้เราพ้นพระพิโรธพระบิดา 

โรม 5:12-13
บาปเข้ามาในโลกผ่านอาดัม …ทำให้มนุษย์ทุกคนต้องเจอกับความตาย ไม่เว้นสักคน (เพราะอย่างไรทุกคนก็ทำบาป) ท่านเปาโลเน้นว่า มีบาปอยู่แล้วทั้ง ๆ ที่บทบัญญัติยังไม่เกิดด้วยซ้ำ  ดังนั้นใคร ๆที่ทำบาปช่วงอาดัมถึงโมเสสจึงถือว่า ไม่ได้ละเมิดบัญญัติแต่ยังต้องเผชิญกับความตาย   แต่บัดนี้มีบทบัญญัติที่บอกความจริงเรื่องบาปของมนุษย์ไม่มีใครกล่าวได้เลยว่า ฉันไม่มีบาป (1 ยอห์น1:8)

โรม 5:14
การมีบทบัญญัติเพียงแค่แจ้งว่า มนุษย์เราได้พลาดจากเป้าหมายของพระเจ้าด้วยพฤติกรรม ความคิดอะไรบ้าง   บทบัญญัติของโมเสสไม่ได้ช่วยให้มนุษย์รอดได้ ไม่มีพลัง เป็นเหมือนคุณครูที่คอยบอกให้เห็นปัญหาของมนุษย์  เราเห็นชัดจากอาดัมว่า มนุษย์นั้น ตกอยู่ในความบาปก่อนที่จะมีบทบัญญัติ มนุษย์ที่มีผิด และบาปจึงตายเหมือนกับอาดัมที่ทำผิดและบาป  ที่ว่าค่าจ้างหรือผลของความบาปคือความตายนั้น เริ่มที่อาดัม   

โรม 5:15
ของประทานที่ทรงให้เปล่า ๆ แตกต่างจากบาปของอาดัมอย่างสิ้นเชิง อาดัมส่งความตาย  พระเยซูส่งชีวิต อาดัมให้ความมืด พระเยซูให้ความสว่างแต่หากคนมากมายต้องตายเพราะการละเมิดของคนเดียว  ดังนั้น พระคุณจากพระเจ้า และพระคุณจากพระเยซูคริสต์บุรุษอีกท่านก็จะทำให้คนมากมายได้รับชีวิตอย่างท่วมท้น  ท่านเปาโลตั้งใจเขียนย้ำเรื่องราวเหล่านี้ในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อให้พี่น้องได้เข้าใจแจ่มแจ้ง

โรม 5:16
คำว่าการตัดสินลงโทษนี้ มีอยู่สามครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ คือข้อนี้ ข้อ 18 และ 8:1  (κατάκριμα คาตาคริมา ) หมายความถึง การลงโทษที่ผ่านการพิจารณาคดีมาก่อนแล้ว  เมื่อเราต้องเผชิญกับการลงโทษดังกล่าว พระเยซูกลับประทานของประทานที่ให้เปล่าซึ่งส่งผลให้เกิดการตัดสินว่าพ้นผิด นั่นคือกลายเป็นคนเที่ยงธรรม ถูกต้องกับพระเจ้า เป้าหมายของของประทานที่ให้เปล่านั้นคือผู้รับจะมีชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้า

โรม 5:17
การเข้ามาแก้ปัญหาโทษบาป และบาปที่ติดตัวมนุษย์นั้น เป็นการแก้ปัญหาที่มีพระเยซูคริสต์องค์เดียวเท่านั้นที่จะทำได้ และพระองค์ก็ทรงพร้อมที่จะทำเพื่อพระบิดา และชาวโลกที่พระบิดาทรงรักและเป็นห่วงมาก พวกเขาถูกสร้างมาเพื่อจะเป็นที่สรรเสริญ เป็นที่ถวายพระเกียรติ แต่เมื่อพวกเขาสูญเสียสภาพที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยพระเจ้าก็ไม่ทรงทอดทิ้ง แต่ทรงหาทางแก้ปัญหาบาปให้พวกเขากลับมาเป็นคนของพระองค์ได้

โรม 5:18
พระเยซูเป็นตัวแทนแห่งชีวิต การกระทำของอาดัมทำให้มนุษย์เก็บเกี่ยวความชั่วร้าย และพวกเขาก็เลือกทำความชั่วต่อไป จะเห็นว่าแค่ลูกชายของอาดัมก็ทำผิดต่อเนื่องโดยฆ่าน้องตนเอง และโลกก็เลวร้ายลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งพระเยซูเสด็จมา  

โรม 5:19
พระบุตรผู้บริสุทธิ์ทรงลงมาแก้ปัญหาที่มนุษย์คนใดก็ทำไม่ได้ นั่นคือ เพื่อโลกจะกลับมามีสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าเหมือนอย่างครั้งที่ทรงสร้าง
อาดัมและเอวามาตั้งแต่ต้น  เพื่อมนุษย์จะไม่ตกในสภาพที่ขาดจากพระเจ้าตลอดไป  มนุษย์ผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ท่านนั้น เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ท่ามกลางคนบาป ทรงถูกทดลองเหมือนพวกเขาแต่ไม่ได้ทรงแพ้บาปเหมือนมนุษย์ยังทรงสภาพไร้บาปตลอดชีวิต 

โรม 5:20-21
บทบัญญัติทำให้เราเห็นว่าเราทำบาปอะไรบ้าง ซึ่งแทบจะไม่มีข้อใดที่เราไม่ได้ละเมิดเลย …เราจึงเห็นบาปตัวเองท่วมท้นเมื่อเทียบกับบทบัญญัติ
แม้มนุษย์จะทำสิ่งดีมากมาย แต่ทุก ๆ วันก็ได้ทำบาปทวีขึ้น แต่ละวันที่ผ่านไป ก็สะสมบาปมากขึ้นแต่พระคุณของพระเจ้าไม่ได้ลดน้อยถอยลงไป
พระคุณของพระเจ้าเผชิญกับบาปของมนุษย์ และเอาชนะบาปเหล่านั้นด้วยพระโลหิต ด้วยพระชนม์ชีพของพระบุตรเอง 

พระคำเชื่อมโยง

โรม 5
1* อิสยาห์ 32:17; เอเฟซัส 2:14
2* เอเฟซัส 2:18; 3:12; 1โครินธ์  15:1; ฮีบรู 3:6
3* มัทธิว 5:11-12; ยากอบ 1:3
4* ยากอบ 1:12
5* ฟีลิปปี 1:20; 2 โครินธ์ 1:22;
6* โรม 4:25; 5:8; 8:32



8* ยอห์น 3:16; 15:13
9* เอเฟซัส 2:13; 1 เธสะโลนิกา 1:10
10* โรม 8:32; 2 โครินธ์ 5:18; ยอห์น 14:19
11* กาลาเทีย 4:9
12* 1โครินธ์ 15:21; ปฐมกาล 2:17
13* 1 ยอห์น 3:4

14* 1โครินธ์ 15:21-22
15* อิสยาห์ 53:11
18* อิสยาห์ 53:11-12; 1โครินธ์ 15:21, 45 ; ยอห์น 12:32
19* ฟีลิปปี 2:8
20* ยอห์น 15:22; 1 ทิโมธี  1:14

โรม 4 ผ่านได้ด้วยความเชื่อ

โรม 4:1-2
ถ้าอย่างนั้น เรื่องที่ท่านอับราฮัม บรรพบุรุษของเรามีประสบการณ์เกี่ยวกับความเชื่อนั้นเราจะว่าอย่างไร?
หากอับราฮัมได้รับการประกาศว่าเป็นคนเที่ยงธรรม (ถูกต้องกับพระเจ้า)เนื่องจากความประพฤติของท่าน ท่านก็มีเหตุผลที่จะอวดได้ แต่นั่นไม่ใช่พระดำริของพระเจ้า 

โรม 4:3-4
เพราะพระคัมภีร์บอกเราว่า อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระเจ้าทรงถือว่าท่านเป็นคนเที่ยงธรรม(ถูกต้องกับพระเจ้า)
เนื่องจากท่านเชื่อ .. เมื่อคนเราทำงาน ค่าจ้างไม่ใช่
ของขวัญ แต่เป็นสิ่งที่เขาลงมือทำ เพื่อได้ค่าจ้างนั้นมา

โรม 4:5-6
แต่คนที่ถูกนับว่าเป็นคนถูกต้องกับพระเจ้านั้นไม่ได้นับจากการประพฤติของเขา แต่จากการที่ เขาเชื่อในองค์พระเจ้าผู้ทรงอภัยบาปแก่คนบาป ดาวิดเองได้กล่าวถึงความสุขของคนที่ได้รับการนับว่าพ้นผิด (ถูกต้องกับพระเจ้า) โดยไม่อาศัยการประพฤติ


โรม 4:7-8
ความสุขเป็นของคนที่ได้รับการอภัย เนื่องจากการที่เขาได้ล่วงละเมิด คนที่ได้รับการกลบบาปให้พ้นไปความสุขเป็นของคนที่
พระเจ้าจะไม่ทรงถือโทษเขาอีกต่อไป

โรม 4:9-10 
นี่เป็นพระพรสำหรับคนเข้าสุหนัตเท่านั้น หรือสำหรับคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตด้วย? เพราะเรากล่าวว่า อับราฮัมถูกนับว่าเที่ยงธรรมเพราะความเชื่อ พระเจ้าทรงนับท่านเป็นคนเที่ยงธรรมก่อน
หรือหลังการเข้าสุหนัต?
(คำตอบคือ..)  เป็นก่อนการเข้าสุหนัตไม่ใช่หลังจากนั้น


โรม 4:11
อับราฮัมได้เข้าสุหนัตเป็นตราประทับความเที่ยงธรรมที่ท่านได้รับมาเพราะท่านเชื่อก่อนที่จะเข้าสุหนัต ดังนั้น อับราฮัมจึงเป็นบิดาของผู้เชื่อทุกคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อว่าพระเจ้าจะทรงถือ
ว่าพวกเขาเป็นผู้ที่เที่ยงธรรมเช่นกัน 

โรม 4:14-15
หากคนเราสามารถรับสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาด้วยการทำตามบทบัญญัติความเชื่อก็ไร้ค่า! และพระสัญญาที่มีต่ออับราฮัมก็ไร้ค่าด้วย เพราะบทบัญญัตินั้น นำพระพิโรธของพระเจ้ามาถึงเรา แต่หากไม่บทบัญญัติ ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องละเมิดเลย 

โรม 4:16
ดังนั้น คนเราจึงได้รับพระสัญญาของพระเจ้าด้วยความเชื่อ ที่เป็นเช่นนี้เพื่อว่า พระสัญญาจะขึ้นอยู่กับพระคุณ โดยที่
ลูกหลานของอับราฮัมจะได้รับพระสัญญานั้นทุกคน  ไม่ได้ให้เฉพาะคนที่มีชีวิตใต้บทบัญญัติของโมเสส แต่สำหรับทุกคนที่มีความเชื่อเหมือนอับราฮัมผู้เป็นบิดาของเราทุกคน



โรม 4:17
ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของชนชาติต่าง ๆ” (ปฐมกาล 17:5)
ต่อพระพักตร์พระเจ้าผู้ที่อับราฮัมเชื่อ
พระเจ้าผู้ประทานชีวิตให้กับคนที่ตายไปแล้วพระองค์ผู้ทรงสร้างสิ่งที่ไม่เคยมีให้เกิดขึ้นมา  

โรม 4:18
แม้ว่า การที่อับราฮัมจะมีลูกนั้นเป็นเรื่องที่ดูไร้ความหวัง
แต่อับราฮัมก็เชื่อพระเจ้า และยังคงหวังต่อไป และท่านก็ได้เป็นบิดาของชาติต่าง ๆ อย่างที่พระเจ้าตรัสกับท่านว่า
“ลูกหลานเจ้าจะมีมากมายเกินที่จะนับได้”

โรม 4:19-20
อับราฮัมอายุเกือบร้อยปีแล้ว ผ่านวัยที่จะมีลูก ร่างกายของท่านเป็นเหมือนคนตายแล้ว และครรภ์ของซาราห์ก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าท่านจะคิดถึงเรื่องนี้ แต่ความเชื่อก็ไม่ได้ลดลงไปเลย  ท่านไม่ได้สงสัยหรือหยุดที่จะเชื่อว่าพระเจ้าทรงรักษาพระสัญญา
ท่านกลับมีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น และถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้า


โรม 4:21-22
อับราฮัมแน่ใจว่า พระเจ้าทรงสามารถที่จะทำสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาดังนั้น พระเจ้าทรงรับความเชื่อของอับราฮัม และความเชื่อนั้นทำให้ท่านถูกนับว่า เป็นคนเที่ยงธรรม (ถูกต้องกับพระเจ้า)

โรม 4:23-24 
คำว่า “พระเจ้าทรงรับความเชื่อของอับราฮัม”ไม่ได้เขียนไว้เพื่ออับราฮัมคนเดียว แต่เพื่อพวกเราด้วย พระเจ้าจะทรงรับเราเช่นกัน เพราะเราเชื่อในพระองค์ผู้ทรงทำให้พระเยซูเจ้าของเราคืนพระชนม์จากความตาย

โรม 4:25
พระเยซูทรงถูกยื่นให้กับความตายเพราะความบาปของเรา
และพระองค์ทรงคืนพระชนม์จากความตาย
เพื่อทำให้เราถูกนับว่าเป็นคนเที่ยงธรรม
(ถูกต้องกับพระเจ้า)


โรม 4:1-2
เนื่องจากยิวมองว่า อับราฮัมเป็นตัวอย่างของผู้ที่เที่ยงธรรมเนื่องจากความเชื่อของท่าน  แต่ในขณะเดียวกัน คนยิวทั่วไปก็กำลังสนับสนุนให้คนเป็นผู้เที่ยงธรรม หรือถูกต้องกับพระเจ้าผ่านการกระทำตามธรรมบัญญัติ แสดงว่า ไม่ตรงกันกับท่านอับราฮัม …การเอาอับราฮัมมาเป็นตัวอย่างนี้ นับได้ว่า เป็นสติปัญญาเหนือชั้นของท่านเปาโลจริง ๆ เพราะค้านไม่ออกเลย

โรม 4:3-4
ท่านเปาโลได้อ้างพระคัมภีร์ที่ทั้งยิวและคริสเตียนเชื่อมั่นจาก ปฐมกาล 15:6 คือเมื่ออับราฮัมเชื่อเขาถูกนับว่า เป็นคนถูกต้องกับพระเจ้า ไม่ใช่ความดีที่เขากระทำ การเข้าสุหนัตของอับราฮัมตามคำบัญชาของพระเจ้า ก็ไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้เขาถูกต้องกับพระเจ้า แต่เป็นความเชื่อมาก่อน การทำตามต่าง ๆ จึงตามมา แต่หลายคนมองเห็นลำดับขั้นของความเชื่อกลับทาง อับราฮัมเชื่อ จากนั้นทำทุกสิ่งตามพระบัญชา ไม่ใช่ทำแล้วจึงเชื่อ 

โรม 4:5-6
ท่านเปาโลย้ำแล้วย้ำอีก เรื่องการกระทำและความเชื่อซึ่งคนในสมัยปัจจุบันก็ยังมีการโต้เถียงกันในเรื่องนี้ไม่หยุดหย่อน  แล้วท่านเปาโลก็ย้อนกลับไปหลังสมัยอับราฮัม เป็นสมัยของกษัตริย์ดาวิดว่า ความจริงเรื่องนี้ ก็เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของเรามีความเข้าใจตรงกัน  แม้กษัตริย์ดาวิดจะเป็นคนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เป็นบุรุษที่พระเจ้าทรงพอพระทัย แต่ท่านก็มีบาปใหญ่หลายอย่างทั้งที่บันทึกในพระคัมภีร์ และบาปในใจที่ไม่มีใครเห็น

โรม 4:7-8 
สำหรับกษัตริย์ดาวิด ท่านได้ล่วงละเมิด ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ในช่วงเวลาที่ท่านทำผิดใหญ่หลวงกับอุรียาห์นั้น ชีวิตของท่านไม่ได้ต่อสู้ในสงครามแต่อยู่อย่างเป็นสุขในราชวัง ความบาปคืบคลานเข้ามากษัตริย์ดาวิดทำผิดมหันต์กับพระเจ้าอย่างนั้นทั้ง ๆที่พระเจ้าทรงตั้งให้เป็นกษัตริย์ เมื่อรู้ตัว ดาวิดเป็นเป็นทุกข์ทรมานยิ่งนัก การไม่ถือโทษจากพระเจ้าไม่ได้เกิดจากการทำดีของดาวิด แต่จากการกลับใจเชื่อวางใจในการตัดสินพระทัยของพระเจ้า  

โรม 4:9-10 
ตอนนี้ท่านเปาโลตั้งคำถามที่ทุกคนอยากจะถามคือ พระพรที่เชื่อแล้วได้รับความรอดนั้น เป็นของยิวเท่านั้น หรือเป็นของคนต่างชาติด้วยล่ะ เพราะคริสตจักรที่โรมนั้นมีทั้งคนยิวและคนต่างชาติปะปนกันอยู่  แล้วท่านก็ช่วยให้พวกเขาโล่งใจว่า พระเจ้าจะทรงรับคนที่เป็นต่างชาติ ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต อย่างแน่นอน เพราะพระเจ้าทรงรับอับราฮัมเป็นคนเที่ยงธรรม ก่อนที่ท่านจะรับสุหนัต  

โรม 4:11
อับราฮัมจะเป็นดั่งบิดาของทั้งคนยิวและคนที่เชื่อซึ่งเป็นคนต่างชาติ ท่านเป็นตัวอย่างของคนที่เชื่อพระเจ้าโดยไม่พึ่งพาการทำพิธีอย่างที่คนยิวส่วน
ใหญ่เชื่อ  การทำสุหนัตของอับราฮัมเป็นการทำตามพระบัญชาของพระเจ้าเพื่อบอกว่า เขาและทั้งครอบครัวจะรักษาพันธสัญญาของพระองค์ตลอดไปทั้งลูกหลานของเขาในอนาคตด้วย (ปฐมกาล 17:9-16)

โรม 4:14-15
ความเชื่อไร้ค่า และบทบัญญัติไร้ค่าถ้าเรายังยึดถือการทำตามบทบัญญัติ มองไปรอบ ๆ ตัวเรา เราเห็นคนที่คิดว่าตนเองชอบธรรมได้โดยการรักษาศีลต่าง ๆ คนที่คิดว่าตนเองจะโอเค เมื่อเข้าไปบวชเรียน พวกเขาเข้าใจว่า เเขาจะได้รับการบรรลุ นั่นเป็นสิ่งที่น่าเสียดายยิ่งเพราะเป็นการโกหกตนเอง  ศีลธรรมที่มี บทบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ก็เพื่อให้เรารู้ว่า ยังไง ๆ เราก็ละเมิดอยู่ดี ที่ความเชื่อสำคัญเพราะทำให้เราเลิกพึ่งตนเอง แต่พึ่งพระคุณเท่านั้น 

โรม 4:16
พระสัญญาของพระเจ้าที่มีต่ออับราฮัม มีพื้นฐานอยู่ที่ความเชื่อจริงจัง เชื่อมั่นคงต่อพระสัญญาที่ดูเหมือนเป็นไปไ่ม่ได้ นี่คือความรอดของเราก็ได้มาโดยความเชื่อ โดยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้นที่ว่าพระคุณคือ เราตะเกียกตะกาย พยายามเอามาด้วยตนเองไม่ได้ แต่ขึ้นอยู่กับความโปรดปรานของพระเจ้า  ที่ว่าอับราฮัม เป็นบิดาของเราทุกคนที่เชื่อเพราะท่านได้ตามสัญญาโดยไม่ต้องผ่านพิธีกรรม ไม่ผ่านบัญญัติใด ๆ 

โรม 4:17
พระเจ้าประทานชีวิตให้กับคนที่ตายไปแล้ว มีความหมายถึงชายชราที่ไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ กับหญิงชราที่พ้นวัยการตั้งครรภ์ไปนานมากจนถือได้ว่า การเจริญพันธุ์สูญสิ้นไปเหลือแล้ว คืออับราฮัม อายุ 100 ปีและซาราห์ 90 ปี พระเจ้าผู้ทรงสร้างของเรา ทรงพอพระทัยที่จะทำอะไรเหนือธรรมชาติ พระองค์ก็ทรงทำได้อย่างที่ทรงประสงค์ทุกอย่าง ชนชาติอิสราเอลที่ไม่เคยมีมาก่อนจึงจะได้ถือกำเนิดขึ้นมา 

โรม 4:18
เวลาที่พระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัม เป็นเวลาเหมือนสายเกินไป  พระเจ้าไม่ได้มาทันเวลา แต่พระองค์ทรงมาก่อน ตามแผนการของพระองค์ทรงเห็นล่วงหน้าถึงชนชาติอิสราเอลที่จะมีจำนวน ถึงสองล้านกว่าคนตอนที่ออกมาจากอียิปต์ และยิ่งหากเราจะนับคนที่เชื่อในพระองค์ ในเวลานี้ก็เป็นอย่างที่พระเจ้าทรงบอกไว้ว่า ลูกหลานนั้นเกินที่จะนับได้ เพราะเกิดใหม่มากมายทุกวัน ตามที่ต่าง ๆ ของโลกทั่วทุกหัวระแหง

โรม 4:19-20
คนในสมัยโบราณรู้ดีว่า วัยเจริญพันธุ์ทั้งชายและหญิงนั้นอยู่ประมาณไหน จากพระคำข้อนี้เราเห็นว่า อับราฮัมตระหนักในใจว่า ธรรมชาติของมนุษย์ไม่มีทางที่จะมีลูกได้แน่ เวลาเราจะเชื่อพระเจ้าในเรื่องใด เรามักเชื่อเมื่อเราเห็นความเป็นไปได้ แต่สำหรับอับราฮัม เชื่อ .. เพราะพระสัญญา เชื่อ แม้ว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอน  ท่านรู้จักพระเจ้าที่ท่านเชื่อ ได้พบพระองค์ คุยกับพระองค์ ต่อรองเรื่องเมืองโสโดมโกโมราห์ ท่านรู้จักพระเจ้าจริง!!

โรม 4:21-22
ในปฐมกาล 15:2 อับราฮัมคิดว่าบ่าวของท่านจะเป็นคนรับมรดกไป แต่พระเจ้าทรงเตือนในข้อ 5 ว่า ลูกหลานจะมากเหมือนดาว ท่านก็เปลี่ยนความคิดตั้งแต่นั้นทันที ในข้อ 6 บอกชัดเจนว่าท่านเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  อุปสรรคขวางความเชื่อของท่านคือ ร่างกายของทั้งตัวท่านและภรรยาถึงกระนั้นความเชื่อของท่านมั่นคง ท่านแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าจะทรงทำจริง อย่างที่พระองค์ตรัส เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า!  

โรม 4:23-24 
การเชื่อว่าพระเจ้าทรงทำให้พระเยซูคืนพระชนม์จากความตายนั้น คือหัวใจสำคัญของความเชื่อในข่าวประเสริฐ (1 โครินธ์ 15:2-4) เราไม่ได้แค่เชื่อว่า พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปเราเท่านั้น แต่เราเชื่อในการคืนพระชนม์ของพระองค์ด้วยอับราฮัมเป็นตัวอย่างของผู้ที่เชื่อ ทั้งที่ยังมองไม่เห็น เชื่อทั้งที่อะไร ๆ ก็ดูเป็นไปไม่ได้ เชื่ออย่างที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าจริง ๆ

โรม 4:25
การถูกยื่นให้ความตาย คือ การถูกส่งให้ไปรับโทษบาปของมนุษย์ทั้งปวง เป็นการรับโทษบาปที่ไม่ได้ทรงกระทำเองเลยแม้แต่น้อย  และเมื่อทรงสิ้นพระชนม์แล้ว พระเจ้าทรงให้คืนพระชนม์ขึ้นมาเพื่อเราจะได้รับชีวิตที่ตายไปแล้วคืนมาเหมือนพระองค์ จะได้รับการประกาศว่า เราเป็นคนเที่ยงธรรม หรืออีกอย่างคือ เป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้าการที่พระเยซูทรงคืนพระชนม์เท่ากับพระเจ้าทรงได้รับเครื่องบูชาไถ่บาปจากพระเยซูแล้ว 

พระคำเชื่อมโยง

1* อิสยาห์ 51:2; ยากอบ 2:21
2* โรม 3:20, 27
3* ปฐมกาล 15:6
4* โรม 11:6
5* เอเฟซัส 2:8-9; โยชูวา 24:2
6* สดุดี 32:1-2
7* สดุดี 32:1-2

11* ปฐมกาล 17:10; ลูกา 19:9
12* โรม 4:18-22
13* ปฐมกาล 17:4-6; 22:17
14* กาลาเทีย 3:18
15* โรม 3:20
16* โรม กาลาเทีย อิสยาห์
17* ปฐมกาล 17:5; โรม 8:11; 9:26


18* ปฐมกาล 15:5
19* ปฐมกาล 17:17; ฮีบรู 11:11
21* ฮีบรู 11:19
22* ปฐมกาล 15:6
23* โรม 15:4
24* กิจการ 2:24
25* อิสยาห์ 53:4-5; โครินธ์ 15:17