โรม 8 ได้เป็นลูกของพระเจ้า!

โรม 8:1-2
ดังนั้น บัดนี้  จึงไม่มีการลงโทษแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์  (5:16,18) เพราะกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตโดยทางพระเยซูคริสต์ได้ปลดปล่อยให้ท่านเป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย

โรม 8:3
เพราะพระเจ้าได้ทรงทำสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้เนื่องจากธรรมชาติบาปทำให้อ่อนพลังไป   โดยการส่งพระบุตรของ
พระองค์ลงมา โดยทรงสภาพเดียวดั่งคนบาป* ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เท่ากับพระเจ้าทรงลงโทษบาปในมนุษย์

โรม 8:4
เพื่อว่า สิ่งที่บทบัญญัติเรียกร้องจากเรานั้นจะได้สำเร็จครบในตัวเรานั่นคือ   เราไม่ได้ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติบาปของเรา
แต่ตามองค์พระวิญญาณ

โรม 8:5-6
เพราะคนที่ใช้ชีวิตตามธรรมชาติบาปก็จะจดจ่อกับสิ่งที่เป็นของธรรมชาติบาป แต่คนที่ใช้ชีวิตตามพระวิญญาณก็จะจดจ่อ
กับสิ่งที่เป็นของพระวิญญาณ เพราะสิ่งที่ตามมาจากการจดจ่อกับธรรมชาติบาปก็คือความตาย  แต่สิ่งที่ตามมาจากการ
จดจ่อในพระวิญญาณคือชีวิตและสันติสุข

โรม 8:7-8
เพราะความคิดที่จดจ่อกับธรรมชาติบาปก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ยอมต่อบทบัญญัติของพระเจ้า
จริง ๆ  แล้ว ไม่สามารถยอมต่อพระองค์ได้ คนที่อยู่ใน
ธรรมชาติบาปไม่อาจเป็นที่พอพระทัย
ของพระเจ้าได้เลย

โรม 8:9
หากพระวิญญาณของพระเจ้าประทับในท่านจริง ท่านก็ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติบาป แต่ตามพระวิญญาณ 
ส่วนคนใดที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์
เขาก็ไม่ใช่คนของพระองค์

โรม 8:10
หากพระคริสต์อยู่ในตัวท่าน แม้ว่า
ร่างกายของท่านได้ตายเพราะบาป
แต่วิญญาณยังคงมีชีวิตอยู่

เพราะความเที่ยงธรรม
(พระเจ้าทรงมองว่าท่านถูกต้องกับพระองค์)

โรม 8:11
หากพระวิญญาณของพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคืนชีพจากความตายสถิตในท่าน
พระองค์ผู้ทรงทำให้พระคริสต์คืนชีพจากความตายนั้น จะประทานชีวิตให้กับสังขารอันไม่เที่ยงของท่าน โดยพระวิญญาณผู้สถิตในท่าน 

โรม 8:12 
ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย 
เราไม่ได้เป็นหนี้ธรรมชาติบาปในตัวเรา
ที่ทำให้เราต้องดำเนินชีวิตตาม
ความต้องการของธรรมชาติบาปนั้น

โรม 8:13-14
หากท่านดำเนินชีวิตตามที่ธรรมชาติบาปในตัวท่านต้องการ ท่านจะตายแน่นอนแต่หากท่านได้รับความช่วยเหลือจากพระวิญญาณ และทำลายการทำผิดฝ่ายร่างกาย  ท่านจะได้รับชีวิตแท้ เพราะทุกคนที่ได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณของพระเจ้านั้น เป็นลูก ๆ ของพระองค์

โรม 8:15-16
เพราะว่าท่านมิได้รับวิญญาณทาสซึ่งนำไปสู่ความกลัวอีกครั้ง แต่ท่านได้รับพระวิญญาณแห่งการรับเป็นบุตร ซึ่งทำให้เราร้องเรียกว่า “อับบา พระบิดา”และพระวิญญาณเอง ทรงเป็นพยานกับวิญญาณของเราว่า เราเป็นลูก ๆ ของพระเจ้า


โรม 8:17
หากเราเป็นลูก ๆ ของพระเจ้า เราก็เป็นผู้รับมรดกด้วย คือเป็นทั้งผู้รับมรดกของพระเจ้า และเป็นผู้รับมรดกร่วมกับพระคริสต์  หากเรามีส่วนในการทนทุกข์กับพระองค์ เราก็จะได้มีส่วนในการรับเกียรติสิริกับพระองค์ด้วย

โรม 8:18-19
เพราะข้าเห็นว่า ความทุกข์ยากในปัจจุบัน ไม่อาจเทียบได้กับศักดิ์ศรีที่จะเปิดเผยให้เห็นในตัวเรา
เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างมา
ต่างรอคอยการปรากฏของลูก ๆ ของพระเจ้า
ด้วยใจจดใจจ่อ


โรม 8:20-21
เพราะสรรพสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นมานั้น ถูกกำหนดให้อยู่อย่างไร้ประโยชน์ มิใช่เพราะจำยอมเอง แต่เป็นเพราะพระเจ้าทรงตั้งพระทัยให้เป็นไปเช่นนั้น โดยมีความหวัง เพราะว่าสรรพสิ่งทั้งหลายจะได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสความทรุดโทรมเข้าไปสู่อิสรภาพอันรุ่งโรจน์ของลูก ๆ ของพระเจ้า

8:22-23
เพราะเรารู้ว่า สรรพสิ่งทั้งสิ้นคร่ำครวญเผชิญความทุกข์ยาก ราวกับการคลอดบุตรจนกระทั่งวันนี้ ไม่เพียงเท่านั้น แต่เราเองผู้ที่มีผลแรกแห่งพระวิญญาณก็ยังคร่ำครวญในใจขณะที่เรารอคอยการที่จะทรงรับเราเป็นบุตรอย่างจดจ่อคือการไถ่ร่างกายของเรา

โรม 8:24-25
เพราะเราได้รับความรอดด้วยความหวังนี้
ความหวังที่เห็นแล้ว ไม่ใช่ความหวัง
ใครล่ะ จะหวังในสิ่งที่เห็นอยู่แล้ว?แต่เรากำลังหวังในสิ่งที่เรายังมองไม่เห็นและเราจึงรอคอยอย่างอดทน

 โรม 8:26
ยิ่งกว่านั้น พระวิญญาณทรงช่วย
เมื่อเราอ่อนแอ
เราไม่ทราบว่า
เราควรจะอธิษฐานอย่างไร แต่
พระวิญญาณทรงทูลต่อพระเจ้าเพื่อเรา
ด้วยการคร่ำครวญที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้


โรม 8:27
พระเจ้าผู้ทรงเห็นสิ่งที่อยู่ในใจมนุษย์
และทรงรู้ว่ามีอะไรในพระทัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์
เพราะพระวิญญาณ
ทรงอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อวิสุทธิชน
ของพระองค์ตามที่พระเจ้าทรงประสงค์

โรม 8:28
เรารู้ว่า พระเจ้าทรงทำให้ทุกสิ่ง
เป็นไปเพื่อสวัสดิภาพของคนที่รักพระองค์
พวกเขาเป็นคนที่พระองค์ทรงเรียก
ตามพระประสงค์ของพระองค์

โรม 8:29
เพราะสำหรับพวกเขาที่พระองค์ทรงรู้มาก่อน 
พระองค์ก็ทรงเลือกเขาไว้ล่วงหน้าเพื่อให้มีลักษณะเป็น
เหมือนพระบุตรของพระองค์ 
เพื่อว่าพระเยซูจะทรงเป็นบุตรหัวปีของพี่น้องอีกเป็นอันมาก

โรม 8:30 
ยิ่งกว่านั้น คนที่พระเจ้าทรงเลือกล่วงหน้าพระองค์ก็ทรงเรียก และคนที่พระองค์ทรงเรียก พระองค์ทรงประกาศให้เขา
เป็นผู้เที่ยงธรรม(เขาพ้นผิด) และคนที่พระองค์ทรงทำให้เป็นผู้เที่ยงธรรมพระองค์ก็ประทานเกียรติสิริให้ด้วย

โรม 8:31-32
 ถ้าอย่างนั้น เราจะกล่าวว่าอย่างไร?
หากพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะต่อต้านเราได้? พระองค์ผู้ไม่ได้เว้นชีวิตของพระบุตรแต่ทรงมอบพระบุตรนั้นให้สิ้นพระชนม์เพื่อเราทุกคน  อย่างนั้นแล้วพระองค์จะไม่ประทานทุกสิ่งให้เราด้วยเต็มพระทัยหรอกหรือ ?

โรม 8:33
ใครจะมาฟ้องร้อง
คนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้?
เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ประกาศเองว่า
พวกเขาเป็นคนเที่ยงธรรม

(พวกเขาพ้นผิด เป็นคนถูกต้องกับพระเจ้า)

โรม 8:34
ใครจะกล่าวโทษผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ได้เล่า?
ไม่มีใคร!
เพราะพระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์แทนแล้ว
และพระองค์ทรงคืนพระชนม์จากความตาย  
และบัดนี้ ประทับ ณ เบื้องพระหัตถ์ขวา
ของพระเจ้า กำลังทูลอ้อนวอนเพื่อเรา

โรม 8:35
ใครจะมาแยกเราจากความรัก
ของพระคริสต์ได้?
 

จะเป็นความยากลำบาก 
ความเจ็บปวด  การข่มเหง 
หรือความอดอยาก ขาดเครื่องนุ่งห่ม   
หรืออันตราย หรือ คมดาบอย่างนั้นหรือ?


โรม 8:36-37
เหมือนอย่างที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
“เพื่อเห็นแก่พระองค์ เราจึงเผชิญกับ
ความตายตลอดเวลา เขานับว่า เราเป็น
เหมือนแกะสำหรับการสังหาร”
(สดุดี 44:22)
แต่เรายังมีชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือ
สิ่งเหล่านี้ โดยพระคริสต์ผู้ทรงรักเรา


โรม 8:38-39
เพราะข้ามั่นใจว่า ไม่ว่าจะเป็นความตาย
หรือชีวิต หรือทูตสวรรค์ หรือวิญญาณชั่ว หรือ
ปัจจุบันกาล หรืออนาคตกาลหรืออำนาจ
ใด ๆ ก็ตามหรือความสูงหรือความลึก
หรือสรรพสิ่งใด ๆ ที่ทรงสร้างไม่สามารถ
แยกเราออกจากความรักของพระเจ้าซึ่งมี
อยู่ในพระเยซูคริสต์เจ้าของเราได้



โรม 8:1-2
คำถามสุดท้ายของบทที่แล้วคือ ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างแห่งความตายได้? เพราะเปาโลรู้ดีว่าธรรมชาติบาปในตัวนั้น พาให้ชีวิตไปทำบาปซึ่งนำ
ไปสู่ความตาย  และคำตอบก็คือ เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ นั่นคือเมื่อเราสำนึกบาป กลับใจ เชื่อวางใจ ติดตามองค์พระเยซูคริสต์ เราก็มีชีวิตใหม่
ไม่ใช่บทบัญญัติใหม่ แต่เป็นชีวิตที่มีพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำ  เราจึงเป็นอิสระจากชีวิตใต้ธรรมชาติบาป มาอยู่ใต้พระวิญญาณ

โรม 8:3
สิ่งที่บทบัญญัติทำให้ได้คือแจ้งให้ทราบว่าอะไรเป็นบาป แต่บทบัญญัติไม่สามารถให้ชีวิตได้  และไม่มีอำนาจทำให้บาปสิ้นสุดลงในชีวิตของแต่ละคนบทบัญญัติอาจกระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกอยากทำตาม อยากเชื่อฟังพระเจ้า แต่ไปๆ มาๆ คนเราก็อ่อนกำลังเพราะธรรมชาติบาปในตัว จึงเท่ากับทำให้ทุกคนล้มเหลว รู้แต่สอบไม่ผ่านจะมีประโยชน์อะไร? พระเจ้าจึงทรงทำสิ่งที่เหลือเชื่อ คือทรงส่งพระบุตรลงมาเป็นมนุษย์เพื่อรับโทษบาปให้

โรม 8:4
การมีชีวิตกับพระเจ้าเท่ากับเราไปกับพระวิญญาณนั้นคือเราสยบต่อพระองค์ เราขึ้นอยู่กับพระองค์ ซึ่งตรงข้ามกับการเดินตามธรรมชาติบาปที่ทำตาม
ใจตัวเอง ให้บาปครองใจ การทำตามพระวิญญาณไม่ใช่ทำแบบอัตโนมัติ  แต่เป็นชีวิตที่มีการต่อสู้ระหว่างธรรมชาติบาปกับพระวิญญาณอย่างต่อเนื่อง(กาลาเทีย  5:17)  การชนะธรรมชาติบาปในตัวเราเป็นเหมือนการปล้ำสู้ที่ต้องเอาชนะให้ได้ทุกครั้ง

โรม 8:5-6
บริษัทประกันภัยที่ให้สโลแกนทำนองว่า หากคุณชอบชีวิตสไตล์ไหนก็ใช้ชีวิตแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่อันตราย ท้าทาย หรือเงียบ ๆ เมื่อถึงวันที่สิ้นชีวิตบริษัทก็จะชดเชยให้ … น่าสนใจใช่ไหม แต่บริษัทไม่อาจให้สันติสุขท่ามกลางความทุกข์ หรือให้ชีวิตนิรันดร์กับลูกค้าได้ ท่านเปาโลบอกชัดเจนว่า ชีวิตและสันติสุขได้มาด้วยการใช้ชีวิตตามพระวิญญาณของพระเจ้า  สิ่งที่ต้องทำคือ มีความคิดอย่างพระเยซูคริสต์ (ฟีลิปปี 2:5)และเอาใจใส่ให้ถูกที่ (โคโลสี 3:2)

โรม 8:7-8
คนที่ใช้ชีวิตที่ชอบตามใจตนเอง  น่าเป็นห่วงเพราะว่า ใจของมนุษย์นั้นหลอกลวงยิ่งกว่าอะไร เราคิดว่า ดีแล้ว เราคิดว่า โอเค… แต่การไม่ยอมต่อพระเจ้านั้น อันตรายที่สุด  ในข้อ 8 ท่านเปาโลกำลังคิดถึงคนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้าอยู่ การอยู่ในธรรมชาติบาปคือการใช้ชีวิตอย่างคนที่ไม่เชื่อมีชีวิตที่ห่างจากพระเจ้า และน้ำพระทัย เราอาจบังเกิดใหม่แล้ว แต่เราก็เผลอใช้ชีวิตอย่างคนไม่บังเกิดใหม่ได้

โรม 8:9
ผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคน เป็นคนที่มีพระวิญญาณประทับภายใน .. แต่ธรรมชาติบาปก็ยังอยู่ในเขาบางคนไม่ได้ยอมให้ชีวิตเปี่ยมล้นด้วยพระองค์(เอเฟซัส 5:18)  ยังไม่รู้จักชีวิตที่มีพระวิญญาณหลั่งไหลออกมาไม่หยุด อย่างที่พระเยซูตรัส(ยอห์น 7:37-39) แม้เขาถูกประทับตราด้วยพระวิญญาณ(เอเฟซัส 1:13)  ให้ถามตัวเองว่าหัวใจเราโหยหาพระองค์ไหม?อยากถวายเกียรติไหม?

โรม 8:10
ร่างกายของเราทุกคนในโลก ต้องเผชิญกับความตายไม่เว้นเลย .. แต่มีความแตกต่างระหว่างคนที่เป็นของพระเจ้า กับคนที่เป็นของโลก เราจะเห็น
ชัดว่าในงานศพของคนที่เชื่อนั้น มีความหวังใจที่มั่นคงว่า วิญญาณของผู้นั้นไปอยู่กับพระเจ้าเราอยู่ในความเชื่อที่ไม่สิ้นหวัง แต่มีความหวังใจ
ในพระสัญญาของพระเจ้า ไม่ได้หวังในความดีของตนเอง แต่หวังในพระโลหิตของพระเจ้าที่ทำให้เราเป็นคนถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์

โรม 8:11
ข้อความนี้ชัดเจนเลยว่า พระวิญญาณผู้ทรงทำให้พระเยซูทรงคืนชีพจากความตายนั้น เป็นพระองค์เดียวกันที่จะทำให้วิญญาณจิตของเราเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ จากข้อนี้ เราจึงเชื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงทำให้เราฟื้นขึ้นมาเหมือนพระองค์แม้ว่าร่างกายของเราจะตายไปแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น พระวิญญาณทรงเป็นผู้รักษาบำรุงให้ชีวิตใหม่ที่เราได้รับดำรงอยู่ตลอดไป ฟีลิปปี 3:10บอกถึงฤทธิ์แห่งการคืนชีพของพระเยซู 

โรม 8:12 
เมื่อเรามาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ธรรมชาติบาปในตัวยังคงอยู่ พระเจ้าไม่ได้ทรงกำจัดมันออกไปจากตัวเราทั้งหมด  ตัวเราเองจึงจะต้องไม่ดำเนินชีวิต
ตามใจธรรมชาติบาปของเรา เราไม่แปลกใจเลยว่าหลายครั้ง ตัวเราเองได้ตามใจธรรมชาติบาปในตัวพระเจ้าทรงบัญชาให้เราต่อสู้กับมัน เราต้องได้รับ
การชำระจากพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ เราจึงยังอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน สัมพันธ์สนิทกับพี่น้องเพื่อเราจะชนะได้ อ่าน ทิตัส 2:12, 2 เปโตร 1:3-11, 3:18

โรม 8:13-14
การที่เรามาเชื่อพระเจ้า แต่ยังคงดำเนินชีวิตตามธรรมชาติบาป นับเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก บางคนคิดว่า การมาเชื่อพระเจ้าเป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงทำ
ให้ทั้งหมด ตัวเองไม่ต้องพยายามอะไรเลย. ในข้อสี่และข้อหกของโรมบทนี้ ได้บอกเราให้ตั้งใจเดินตามพระวิญญาณ และจดจ่อต่อสิ่งที่เป็นของ
พระวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องของโลก ท่านเปาโลยังคงเน้นย้ำชีวิตที่เป็นฝ่ายพระวิญญาณเพื่อจะได้เป็นลูกแท้ ๆ ของพระเจ้า

โรม 8:15-16
เมื่อเรามาเป็นของพระเจ้าได้รับสถานภาพใหม่ ไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไปแต่มาเป็นลูกของพระเจ้าซึ่งจะได้รับสิทธิต่าง ๆ เหมือนกับลูกแท้ และสิทธิ
ที่เราได้รับในฐานะเป็นบุตรแท้ของพระเจ้าก็คือชีวิตนิรันดร์ เราได้เรียกพระบิดาเหมือนอย่างที่พระเยซูทรงเรียก อับบา เมื่อทรงอธิษฐาน (มาระโก 14:36) ในฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้าเมื่อเราอธิษฐานครั้งใดต่อพระบิดา พระวิญญาณก็ทรงช่วยเราเสมอ (โรม 8:26)

โรม 8:17
ชีวิตกับพระเจ้ามีทั้งเกียรติ และการทนทุกข์ ดังนั้นเมื่อเราพบความความทุกข์ยากใด ๆ คำถามที่มักถามกันขึ้นมาคือ “เหตุใดพระเจ้าทรงให้เราทุกข์
ยากขนาดนี้? คนอื่นไม่เห็นเป็นอย่างเราเลย” พระคำข้อนี้ได้บอกเราว่า เมื่อเราทนทุกข์ร่วมกันกับพระองค์ เราจะมีส่วนในพระเกียรติของพระองค์
ด้วย นี่เป็นเหตุทำให้คริสเตียนที่ทนทุกข์สามารถผ่านอุปสรรคต่าง ๆได้ เกียรติที่ยิ่งใหญ่อีกอย่างคือ เราเป็นผู้รับมรดกของพระเจ้าร่วมกับพระคริสต์!!

โรม 8:18-19
ตอนนี้ท่านเปาโลบอกว่า ทั้งตัวท่านและสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ต่างมองไปยังอนาคตที่เป็นนิรันดร์กาล ทั้งมนุษย์ สัตว์ พืช แผ่นดินต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยสิ่งที่จะมาข้างหน้า ดังนั้นความทุกข์ยาก ทรุดโทรม ความลำบากต่าง ๆ จึงเทียบไม่ได้กับศักดิ์ศรีที่จะปรากฏ  ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นซึ่งท่านเปาโลกล่าวถึง เป็นสิ่งที่มาเนื่องจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์  ความทุกข์นี้รวมถึงความทุกข์ใจ ความปวดร้าวใจด้วย 

โรม 8:20-21
สรรพสิ่งถูกกำหนดให้อยู่อย่างไร้ประโยชน์ คือไร้ความหมาย ไร้ค่า การที่มนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ทำให้ธรรมชาติท้งปวง ไม่อาจก้าวไปถึงความเพียวพร้อมอย่างที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยไว้แต่ตั้น (ดูคำสาปสรรพสิ่ง ปฐมกาล 3:17-19) จึงไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่ต้องได้รับการไถ่จากพระเจ้า แต่รวมไปถึงสรรพสิ่งในธรรมชาติด้วย ที่เราเห็นว่ามันงดงามมาก ยังเป็นสภาพที่ทรุดโทรม ถ้าเป็นต้นแบบแรกจะงามขนาดไหน เดาไม่ออกเลย!!

โรม 8:22-23
สรรพสิ่งในธรรมชาติผ่านความทุกข์เหมือนกับหญิงคลอดบุตร เจ็บปวดเพื่อออกผล เป็นผลจากอดีตและเพื่อการช่วยกู้ในอนาคต(ข้อ 20)  ผลแรกแห่ง
พระวิญญาณ หมายถึงผลแรกที่พระวิญญาณผู้ทรงทำให้พระเยซูคืนชีพ จะทรงทำให้เราคืนชีพเช่นกัน(ย้อนกลับไปอ่าน 8:9-11)  และที่เรารอคอยอยู่คือ
ที่พระเจ้าจะทรงเปลี่ยนเรา ไถ่เราให้เป็นเหมือนพระคริสต์ พระวิญญาณทรงเป็นประกันว่ายังจะมีพระพรที่เหนือกว่าในวันนี้ให้กับเราด้วย

โรม 8:24-25
คำว่าความหวัง .. เป็นความหวังว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้จะเกิดขึ้นในอนาคตจริง เราจะได้เป็นลูกของพระเจ้าเต็มร้อย เราจะได้พบพระองค์ในพระสิริเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา และจะได้รับการช่วยกู้จากความบาปเช่นกัน จะไม่มีธรรมชาติบาปหลงเหลืออยู่ในตัวเราอีกต่อไป ไม่ต้องสู้กับเนื้อหนังของตัวเองอีกต่อไป เราจึงรอคอยอย่างอดทนยอมสู้ เผชิญกับความทุกข์ยากทั้งสิ้น  

โรม 8:26
ระหว่างการรอคอยด้วยความเชื่อ ความหวังดังกล่าว เราก็ยังอ่อนแอ บางครั้งไม่รู้ว่าจะทูลต่อพระเจ้าในความทุกข์อย่างไร บางครั้งไม่รู้ว่าควรจะทูลอย่างไร  หลายครั้งที่ไม่เห็นภาพใหญ่ ต้นเหตุของปัญหา บางครั้งไม่รู้ว่าจะตัดสินใจทูลขออย่างไรเสียด้วยซ้ำ เพราะคำตอบที่ต้องการยังคลุมเครือ  เราคงเคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน  ข่าวดีมาก ๆ คือ พระวิญญาณที่ประทับในเราทรงคร่ำครวญทูลพระเจ้าแทนเรา! 

โรม 8:27
การขอตามที่พระเจ้าทรงประสงค์อยู่แล้วนั้น ทำให้เราได้รับคำตอบจากพระเจ้า (แม้บางครั้งไม่เป็นที่ถูกใจของเราสักนิด แต่ในระยะยาวเราจะเห็นประโยชน์ของคำตอบโดยตรงจากพระเจ้า ที่ไม่ใช่เราคิดเอาเอง) ถึงเราเป็นลูกของพระเจ้า แต่ก็มีบางโอกาสที่เราไม่แน่ใจว่า พระประสงค์ของพระเจ้าในบางเรื่องนั้นเป็นอย่างไร เราควรก้าวไปทางไหน แต่พระวิญญาณทรงทราบพระทัยของพระเจ้าดีจะทรงทูลขอสิ่งที่จะได้รับคำตอบ

โรม 8:28
“ทุกสิ่ง”
ในที่นี้ น่าจะหมายถึงสถานการณ์ที่ดูเป็นความทุกข์ยาก ปัญหา หรือสิ่งต่าง ๆ ที่เราไม่อยากรับ แต่ทุกสิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้น เป็นไปเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต เพื่อสิ่งที่ดีกว่าในชีวิตของคนที่รักพระเจ้า  ทุกสิ่ง อาจหมายถึงทั้งความสำเร็จความสุขใจ ความทุกข์ที่อาจจะต้องทนไปตลอดชีวิต สิ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะพบเจอ ความผิดหวังในตัวคนที่รัก ในการงาน  ความเจ็บปวดและความผิดหวังเหล่านั้นพระเจ้าทรงประกันว่าจะกลายเป็นดี 

โรม 8:29
คนที่พระเจ้าทรงรู้จักมาก่อน  พระองค์ทรงวางให้เขาเป็นคนที่กลายมาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ในอนาคต ต้องเหมือนมากขึ้นทุกที  นี่เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้เราต้องเผชิญความทุกข์ยากต่าง ๆ เพราะความทุกข์ยากเหล่านั้น จะช่วยเปลี่ยนเราให้มีแนวคิดใหม่ มีความมั่นใจในพระเจ้าเมื่อรู้ว่า เป้าหมายของพระเจ้าคือ ทรงทำให้เรามีลักษณะเหมือนพระคริสต์  อย่างนี้ ทำให้ผู้เชื่อกล้าหาญและเผชิญทุกสิ่งได้… 

โรม 8:30 
คนหนึ่งจะได้รับการประกาศว่าเป็นคนเที่ยงธรรมหรือถูกต้องกับพระเจ้านั้น ในข้อ 29-30 นี้บอกว่าเขาผ่านสามด่านมาคือ ทรงรู้ก่อน ทรงเลือกและทรงเรียก จากนั้นทรงประกาศว่าเขาถูกต้องกับพระองค์ และเขาได้เกียรติเป็นลูกของพระเจ้า การทรงรู้ล่วงหน้า เลือกและเรียกเป็นสิ่งที่ใช้เป็นข้อถกเถียงกันมามาก  คล้ายกับว่าพระเจ้าไม่ทรงยุติธรรมที่ทรงเลือกและไม่เลือกบางคน  ต้องรับว่า มีบางอย่างที่เรายังไม่อาจได้คำตอบแบบร้อยเปอร์เซนต์

โรม 8:31-32
พระเจ้าทรงพิสูจน์แล้วว่า พระองค์ทรงอยู่ฝ่ายคนที่เชื่อในพระองค์  เราเห็นมาก่อนหน้านี้ว่า องค์พระวิญญาณก็ทรงอยู่ฝ่ายคนของพระองค์ เมื่อเขาจนตรอก ไม่รู้ว่าจะก้าวต่อไปอย่างไร จะอธิษฐานอย่างไร พระวิญญาณทรงช่วย ยิ่งกว่านั้น พระบุตรของพระเจ้าทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงอยู่ฝ่ายเรา นี่เป็นเกียรติสูงส่งเพียงใดสำหรับมนุษย์เดินดินอย่างเรา

โรม 8:33
ผู้ที่เป็นเจ้าแห่งการกล่าวโทษ การฟ้องร้องก็คือมาร ยิ่งกว่านั้น บทบัญญัติก็จะกล่าวโทษคนที่ละเมิดบทบัญญัติด้วย แต่เรามั่นใจแล้วว่า พระเจ้าทรงประกาศว่า เราเป็นคนเที่ยงธรรม เราพ้นผิดเราถูกต้องกับพระองค์เพราะความเชื่อวางใจที่เรามีต่อพระองค์แล้วพระเจ้าเองไม่ทรงกล่าวโทษเรา พระองค์ทรงเป็น
ผู้กล่าวว่าเราพ้นผิด … ขอบคุณพระเจ้า

โรม 8:34
ไม่มีใครสามารถกล่าวโทษผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้พระเยซูทรงรับโทษทั้งสิ้นของคนที่เชื่อในพระองค์ไปแล้ว  โทษถูกตัดสินไปแล้ว!! ดูสิว่า เรามีพระพรมากเพียงใด ที่พระบิดาเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานอ้อนวอนเผื่อของทั้งองค์พระบุตรและคำอธิษฐานของพระวิญญาณบริสุทธิ์แทนเรา พระบุตรทรงเป็นตัวแทนของคนบาปอย่างเราต่อพระบัลลังก์ของพระบิดา.. พระคำข้อนี้ทำให้เราเข้าใจว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเราสักวันเดียว

โรม 8:35
อย่างหนึ่งที่เราต้องรู้ซึ่งไม่ได้เหมือนที่หลาย ๆ คนคิดว่าพอมารู้จักพระเจ้าแล้ว ก็ไม่มีความทุกข์ใด ๆ มาแตะต้องชีวิต ความจริงคือ พระเจ้าทรงอนุญาตให้เราพบเจอความยากลำบาก ความเจ็บป่วย  ความทุกข์ใจในโลกนี้ มีคริสเตียนมากมายที่เผชิญความทุกข์ที่สาหัสมาก เพราะทั้งสิ้นทำให้ยิ่งเติบโตในพระองค์  ทำให้แกร่ง มีความมั่นใจเชื่อในพระองค์ วางใจในความยิ่งใหญ่ของพระองค์มากเกินกว่าคนที่มีชีวิตง่าย ๆ  

โรม 8:36-37
ถึงแม้ว่าผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเผชิญกับความลำบากและสิ่งที่สาหัส แต่ท่านเปาโลกลับบอกว่า เรามีชัยชนะอย่างเด็ดขาด ไม่ใช่ด้วยความสามารถเก่งกาจของเราเอง แต่พระคริสต์ผู้ทรงรักเราทรงให้พลังที่เราจะเอาชนะ ที่เราจะกล้าหาญ และพระองค์ก็จะทรงเปลี่ยนสถานการณ์ทั้งหลายให้เราตามที่พระองค์ทรงเห็นสมควร  ผู้คนของพระเจ้าอาจพบความเกลียดชัง การใส่ร้าย ดูหมิ่น  ส่วนของเราคือทำตามพระดำรัส และพระองค์จะทรงกรุณา

โรม 8:38-39
ข้อที่ผ่านมาบอกว่า เราจะมีชัยชนะอย่างเด็ดขาดหรือ เรามีชัยเหลือล้น นั่นก็คือ เราเป็นยิ่งกว่าผู้มีชัยชนะ พระเจ้าทรงเป็นผู้ให้ชัยชนะ ไม่ใช่โดยตัวของเราเอง เราจึงไม่กลัวทั้งความตายหรือสถานการณ์ใด ๆ ความรักของพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า เราได้ทำอะไรเพื่อพระองค์ แต่ขึ้นอยู่กับว่าพระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ด้วยความรักพระบิดาและรักเราเพื่อมนุษย์อย่างเราแล้ว  ชัยชนะอยู่ที่พระเจ้าก่อน แล้วจึงส่งต่อมาที่เรา 

พระคำเชื่อมโยง

โรม 8
1* กาลาเทีย 5: 5:16
2* โรม 6:18, 22; 1 โครินธ์ 15:45;
โรม 7:24-25
3* กิจการ 13:39; 2 โครินธ์ 5:21
4* กาลาเทีย 5:16, 25
5* ยอห์น 3:6; กาลาเทีย 5:22-25
6* กาลาเทีย 6:8
7* ยากอบ 4:4; 1 โครินธ์ 2:14
11* กิจการ 2:24; 1 โครินธ์ 6:14
12* โรม 6:7, 14
13* กาลาเทีย 6:8; เอเฟซัส 4:22
14* กาลาเทีย 5:18



15* ฮีบรู 2:15 ; 2 ทิโมธี 1:7 ;
อิสยาห์ 56:5; มาระโก 14:36
16* เอเฟซัส 1:13
17* กิจการ 26:18; ฟีลิปปี 1:29
18* 2 โครินธ์ 4:17
19* 2 เปโตร 3:13
20* ปฐมกาล 3:17-19
21* 2 โครินธ์ 3:17
22* เยเรมีย์ 12:4, 11
23* 2 โครินธ์ 5:2-5 ; ลูกา 20:36;
เอเฟซัส 1:14; 4:30
24* ฮีบรู 11:1
26* มัทธิว 20:22; เอเฟซัส 6:18
27* 1 พงศาวดาร 1 ยอห์น

28* 2 ทิโมธี 1:9
29* 2 ทิโมธี 2:19; เอเฟซัส 1:5, 11;
2 โครินธ์ 3:18; ฮีบรู 1:6
30* 1 เปโตร 2:9; 3:9;
กาลาเทีย 2:16; ยอห์น 17:22
31* กันดารวิถี 14:9
32* โรม 5:6, 10; 4:25
33* อิสยาห์ 50:8-9
34* ยอห์น 3:18; มาระโก 16:19;
ฮีบรู 7:25; 9:24
36* สดุดี 44:22
37* 1 โครินธ์  15:57
38* เอเฟซัส 1:21


โรม 7 ต่อสู้กันตลอด

โรม 7:1
พี่น้องทั้งหลาย ท่านทุกคนเข้าใจบทบัญญัติของโมเสสอยู่แล้ว ดังนั้น ท่านรู้ว่า บทบัญญัติมีสิทธิอำนาจเหนือคน ๆ หนึ่ง ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

โรม 7:2-3
เช่น สตรีที่แต่งงานแล้วก็มีสัญญาผูกมัดกับสามีของเธอตราบเท่าที่เขามีชีวิต แต่หากเขาสิ้นชีวิตไป เธอก็จะพ้นจากกฎการสมรส หากเธอไปอยู่กับชายคนอื่นในขณะที่สามียังมีชีวิต บทบัญญัติแจ้งว่า เธอทำผิดประเวณี แต่หากสามีสิ้นชีวิตไป เธอก็เป็นอิสระจากกฎการสมรสนั้น  หากไปสมรสกับชายอื่น เธอก็ไม่ได้ผิดประเวณี

โรม 7:4
เช่นเดียวกัน พี่น้องชายหญิงเอ๋ย ชีวิตเก่าของท่านได้ตาย(ต่ออำนาจบทบัญญัติ)แล้วเมื่อท่านตายกับพระคริสต์
และบัดนี้ท่านเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ผู้ทรงคืนพระชนม์จากความตาย สิ่งที่ตามมาก็คือเพื่อเราจะได้เกิดผลเพื่อพระเจ้า

โรม 7:5
ก่อนหน้านี้ เราถูกควบคุมโดยธรรมชาติบาปในตัวเรา (เนื้อหนัง)  ความปรารถนาที่จะทำบาปนั้น ถูกเร้าขึ้นมาเพราะบท
บัญญัติทำงานในกายของเรา
เพื่อว่าสิ่งที่เราทำนั้น จะนำเราไปสู่ความตาย

โรม 7:6
แต่มาบัดนี้ เราเป็นอิสระจากบทบัญญัติเพราะเราได้ตายจากบทบัญญัติที่คอยควบคุมเรา เพื่อว่าเราจะรับใช้พระเจ้า
ด้วยหนทางใหม่พร้อมกับองค์พระวิญญาณ
ไม่ใช่ตามทางเดิมซึ่งเป็นกฎที่เขียนบันทึกเอาไว้

โรม 7:7
ถ้าอย่างนั้น เราจะพูดอย่างไร? ว่าบทบัญญัติคือบาปอย่างนั้นหรือ? ไม่สิจะไม่เป็นเช่นนั้น! ถ้าไม่เป็นเพราะบทบัญญัติ ข้าคงไม่รู้จักบาป ข้าจะไม่รู้จักว่าความโลภคืออะไร หากบทบัญญัติไม่ได้กล่าวว่า “อย่าโลภ!”

โรม 7:8
แต่บาปฉวยโอกาสที่จะใช้คำสั่งนั้น และทำให้ข้าอยากได้สิ่งต่าง ๆ ที่ข้าไม่ควรจะอยากได้ หากไม่มีบทบัญญัติ บาปก็ไม่มีอำนาจเหนือเรา (บาปก็ตายไปแล้ว

โรม 7:9-10
แต่ก่อน ข้าใช้ชีวิตโดยไม่มีบทบัญญัติ แต่พอมีคำบัญชามา บาปก็เกิดขึ้นข้าก็ตาย (ทำให้ข้ารู้ว่าข้าเป็นคนบาปที่ต้องรับโทษ)คำบัญชาที่ควรนำมาซึ่งชีวิตแต่กลับนำความตายมาให้ข้า

โรม 7:11-12
บาปนั้น ใช้โอกาสที่จะหลอกลวงข้าโดยใช้คำสั่งของบทบัญญัติมาทำให้ข้าต้องตาย
ดังนั้น บทบัญญัติ (νόμος)บริสุทธิ์ และคำบัญชา (ἐντολὴ)
ก็บริสุทธิ์ และถูกต้อง และดี

โรม 7:13
นี่หมายความว่า สิ่งที่ดีนำความตายมาให้ข้าอย่างนั้นหรือ?
จะไม่เป็นเช่นนั้น! บาปได้ใช้สิ่งดี(บัญญัติ)นำความตายมาให้ข้า  ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ก็เพื่อข้าจะได้รู้ว่าบาปแท้เป็นอย่างไร คำบัญชา ถูกใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่า บาปนั้นชั่วร้ายสุดขั้วขนาดไหน

โรม 7:14-15
เพราะเรารู้ว่า บทบัญญัติเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณ แต่ข้าเป็นฝ่ายธรรมชาติบาป(เนื้อหนัง)  เพราะบาปได้ควบคุมข้าดั่งว่าข้าเป็นทาสของมัน ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าทำลงไป เพราะข้าไม่ได้ทำสิ่งที่ข้าต้องการทำ กลับลงมือทำสิ่งที่ข้าชัง

     

โรม 7:16-18
และหากข้าทำสิ่งที่ข้าเองไม่ต้องการทำเท่ากับข้าเห็นด้วยว่า บทบัญญัตินั้นดีดังนั้น ข้าจึงไม่ได้เป็นผู้ที่ทำสิ่งที่น่ารังเกียจนี้ แต่เป็นบาปที่อยู่ในตัวข้าต่างหากที่ลงมือทำเพราะข้ารู้ว่าไม่มีสิ่งดี
อาศัยอยู่ในธรรมชาติบาป(เนื้อหนัง)ของข้าเพราะข้าต้องการทำดี แต่กลับทำไม่ได้ 

โรม 7:19-20
เพราะข้าไม่ทำสิ่งดีที่ข้าต้องการทำ แต่ข้ากลับเฝ้ากระทำสิ่งชั่ว
ที่ข้าไม่ต้องการทำ 
ดังนั้น หากข้าทำสิ่งที่ข้าไม่ต้องการทำ
แสดงว่า ตัวข้าไม่ได้เป็นผู้กระทำแต่ธรรมชาติบาปในตัวข้าต่างหากที่ทำสิ่งนั้น

โรม 7:21-23
ดังนั้นข้าได้เรียนรู้กฎนี้คือ เมื่อข้าต้องการทำดี ความชั่วก็อยู่ในตัวข้า เพราะในส่วนลึกข้ายินดีกับบทบัญญัติของพระเจ้า แต่ข้าเห็นอำนาจอื่นที่ทำงานในตัวข้าซึ่งต่อสู้บทบัญญัติที่ข้ายอมรับ และยังจับกุมข้าเป็นเชลยของกฎแห่งบาปที่อยู่ในตัวของข้า

โรม 7:24-25
ข้าเป็นคนที่น่าสมเพชอะไรเช่นนี้  ใครจะช่วยข้าให้พ้นจากร่างแห่งความตายได้?
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยข้าให้รอดผ่านองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ในความคิดจิตใจ ข้าเป็นทาสกฎของพระเจ้า แต่..
ธรรมชาติบาปในตัว กลับเป็นทาสกฎแห่งบาป
 

โรม 7:1
ก่อนหน้านี้ท่านเปาโลพูดถึงว่า  เราจะเป็นทาสของใคร? ทาสของบาปและความตายหรือเป็นทาสของความเที่ยงธรรมและชีวิต  แต่มาตอนนี้ ท่านกำลังจะอธิบายว่า บทบัญญัติมีอำนาจเหนือคน ๆ หนึ่งอย่างจำกัด เฉพาะตอนที่เขายังมีชีวิตในเนื้อหนังเท่านั้น นั่นคือ บทบัญญัติมีผลเฉพาะกับคนที่อยู่
ใต้บัญญัติ (คนบาป)เท่านั้นการตายจากบทบัญญัติ เป็นเงื่อนไขเดียวที่ทำให้บัญญัตินั้นเป็นโมฆะกับบุคคลนั้น 

โรม 7:2-3
เช่นเดียวกับที่กฎการสมรสผูกพันชายหญิงที่ต่างยังมีชีวิตด้วยกัน  แต่ถ้าคนหนึ่งตายไป อีกคนที่เหลือก็หลุดจากกฎแห่งการสมรส เขาจะมีสถานภาพเป็นม่ายหรือเหมือนคนโสดอีกครั้งทีนี้ เขาก็อาจจะไปมีครอบครัวใหม่ได้ โดยไม่ได้ติดว่ายังมีสามีหรือภรรยาที่มีชีวิตอยู่ ท่านเปาโลนำเรื่องนี้มาพูดก็เพื่อให้เข้าใจชัดเจนว่ามีบางอย่างที่จะช่วยให้เราพ้นจากผลของบาปในชีวิตเรา …. 

โรม 7:4
เราอ่านช้า ๆ ให้เข้าใจว่า จากนี้ไปเราไม่เป็นทาสไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของบทบัญญัติอีกต่อไปแล้วเพราะ เราได้ตายไปกับพระเยซู ฟื้นไปกับพระองค์
เรียบร้อยแล้ว จากชนชาติที่อยู่ใต้บทบัญญัติมาเป็นชนชาติแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์  มาเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์  เมื่อก่อน ความดีที่ทำก็เป็นแค่ความดี เป็นแค่ผ้าขี้ริ้วที่เราเอามาอวดกันมาบัดนี้ ความดีเป็นความดีของพระเจ้าเพื่อพระเจ้า 

โรม 7:5
เวลาที่ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า แต่อยู่ด้วยตัวเอง ด้วยการอยู่ใต้ข้อห้ามต่าง ๆ เรายิ่งอยากทำฝืนกฎต่าง ๆ เหล่านั้น สังเกตไหมว่า ศีล กฎ บทบัญญัติ
ต่างสอนให้เราทำในสิ่งที่ดูดี แต่ฝืนความอยากในตัวตนของเรา ความอยากของร่างกาย ทุกสังคมที่อยู่ใต้ศีลธรรม ข้อห้ามต่าง ๆ ล้วนแต่มีปัญหา
ของผู้คนที่ต้องบังคับตนเองด้วยกำลังของตนเองส่วนใหญ่ก็ไม่บังคับตัวเองเลย แต่ทำทุกอย่างตามใจ แล้วในที่สุด พวกเขาก็ลงไปสู่ความตาย

โรม 7:6
ตรงนี้เองแตกต่างมากจากความเชื่ออื่น ๆ ที่ทุกคนต้องพยายามทำความดี และก็มักเป็นเรื่องที่เพื่อนที่ไม่เชื่อของเรามักเอามาพูดว่า ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ความแตกต่างนั้นชัดเจนเพราะเราไม่ได้พยายามทำสิ่งที่ดีด้วยความสามารถของตนเองอีกต่อไป แต่พระวิญญาณทรงช่วยให้เราทำสิ่งดีตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้  การที่เราต้องพยายามด้วยตัวเองเดี่ยว ๆ นั้น ไม่เหมือนกับ ที่เราได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าเลย!

โรม 7:7
คำถามต่อมาคือ บทบัญญัติเป็นบาปใช่ไหม? ท่านได้ใช้ตัวอย่างจากตัวเองมาอธิบายเรื่องนี้ท่านต้องการให้รู้ว่า แม้ผู้เชื่อในพระเจ้าจะไม่ได้เป็นคนที่อยู่ใต้บทบัญญัติเหมือนอย่างอิสราเอลสมัยโบราณ แต่บทบัญญัติก็เป็นสิ่งดีที่แจกแจงให้รู้ชัดเจนว่า บาปนั้นคือการกระทำ ความคิดแบบไหน เรามาหาพระเยซู รับการยกโทษบาปที่บทบัญญัติแจ้งให้ทราบว่า คืออะไรบ้าง ถ้าไม่มีบทบัญญัติเป็นมาตรฐาน เราอาจจะอ้างได้ว่า ฉันไม่บาป 

โรม 7:8
คนเรานี่เป็นเหมือนกันตั้งแต่โบราณจนทุกวันนี้คือเราอยากได้สิ่งที่เราไม่มี เหมือนอาดัมที่คิดว่าอยากได้ปัญญาแบบพระเจ้า  พอเราถูกห้ามเราก็ทำสิ่งนั้น บางทีจนกลายเป็นนิสัยไม่รู้สึกผิดถูกต่อไป บทบัญญัติได้ช่วยทำให้เห็นว่า เราล้มเหลวเรามีธรรมชาติบาปในตัวที่จะต่อต้านพระเจ้าเสมอ บทบัญญัติมีประโยชน์คือ ทำให้เรารู้ตัวว่าเป็นคนบาปแน่นอน เพราะไม่มีใครสักคนในพวกเราที่จะผ่านมาตรฐานของบทบัญญัติได้ 

โรม 7:9-10
ก่อนหน้านี้ ท่านเปาโลใช้ชีวิตโดยไม่ตระหนักรู้ถึงความหมายแท้จริงของบทบัญญัติและ คำบัญชา(แจ้งบาป) ดังนั้นท่านจึงรู้สึกเป็นคนเที่ยงธรรมโดยตนเอง เคร่งศาสนาเป็นคนไม่มีที่ติเลย(ฟีลิปปี 3:6) แต่เมื่อท่านเริ่มตระหนักถึงบทบัญญัติคำบัญชาของพระเจ้าจริง ๆ  ทำให้ท่านรู้ตัวว่า ท่านเป็นคนตายแล้ว เพราะบาปมากล้น จิตวิญญาณไม่มีชีวิต(ท่านเปาโลใช้สองคำคู่กันคือ บทบัญญัติ νόμος โนมอส และคำบัญชา ἐντολή เอนโทเล)

โรม 7:11-12
บาปหลอกลวงเราอย่างไร? หลอกเหมือนกับที่มารหลอกเอวาเลย หลอกให้เราทำตรงข้ามกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  ปัญหาจึงไม่ใช่อยู่ที่บทบัญญัติหรือคำบัญชาของพระเจ้า แต่อยู่ที่ตัวเราเองว่าจะตัดสินใจฟังเสียงร่ำร้องของใจตัวเองและของมาร ของความสนุกสนานที่ดูสนุกจริง ๆ ไหมสรุปว่า บทบัญญัติและคำบัญชาบริสุทธิ์ถูกต้องดีบอกถึงสิ่งที่มนุษย์ควรทำ สิ่งที่ห้าม และไม่ให้ทำบาป เป้าหมายคือนำมาซึ่งชีวิตและพระพร

โรม 7:13
ในข้อที่สิบสามนี้ ท่านกำลังบอกเราว่า บัญญัติคำบัญชาของพระเจ้า ได้แจ้งให้เราทราบว่า บาปคือความคิด พฤติกรรมประเภทไหน ในบัญญัติสิบประการบอกภาพรวม ส่วนรายละเอียดบาปซึ่งท่านอธิบายไว้ในกาลาเทีย 5:19-21  ว่า บาปนำความตายมาให้นั้นก็คือ  เราได้ตระหนักแล้วว่าเราเองนั่นแหละเป็นคนบาป และสิ่งนั้นทำให้รู้ว่าเราพินาศแน่  เราต้องการพระผู้ช่วยให้รอดจริง ๆ

โรม 7:14-15
ที่ว่าบทบัญญัติเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณนั้นคือมาจากพระวิญญาณ เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์  แต่คนเราถูกบาปควบคุมมาตั้งแต่สมัยอาดัม เราจึงเป็นทาสบาปมาแต่นั้น ท่านเปาโลเองแม้จะเชื่อฟังพระเจ้า รับใช้พระองค์ แต่ก็ยังไปไม่ถึงมาตรฐานของพระเจ้าในบทบัญญัติ  ท่านไม่เข้าใจตัวเองเพราะมักจะทำสิ่งที่ไม่ต้องการทำเสมอ ท่านจึงเข้าใจแล้วว่า แม้จะเชื่อพระเจ้าแต่ธรรมชาติบาปหรือเนื้อหนังก็ยังทำการในชีวิตอยู่

โรม 7:16-18
ท่านเปาโลเห็นว่า ตัวปัญหาคือ เนื้อหนังซึ่งเป็นธรรมชาติบาปในตัว! ท่านมองว่าท่านยังเป็นคนทุจริตผิดศีลธรรมอยู่ (โรม 3:10-18) ทั้งที่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร แต่ก็ยังทำสิ่งที่ไม่ควรอยู่ท่านกำลังบอกเราถึงความจริงที่ว่า บาปยังคงมีผลกระทบ มีอิทธิพลต่อทุกด้านของตัวตนของเรา เราอาจเป็นคนดีในระดับที่มีดีมากกว่าเลว หรืออาจเป็นคนที่เลวมากกว่าดี ทั้งนี้เป็นผลของบาป

โรม 7:19-20
และแล้ว ท่านเปาโลก็สรุปว่า ที่ท่านยังคงทำบาปทั้ง ๆที่ไม่อยากทำ  เป็นเพราะบาปในตัวของท่านนี่เป็นการเน้น ย้ำ สิ่งที่กล่าวมาแล้วในข้อสิบห้า คือทำสิ่งที่ตัวเองเกลียดชังและข้อสิบเจ็ดที่ผ่านมาคือบาปนั่นแหละเป็นผู้กระทำ  ที่สำคัญคือ เมื่อเราเป็นคนใหม่ในพระเจ้า เราจะเห็นบาปที่เราทำอย่างชัดเจน เพราะเป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับความเป็นคนใหม่ ถ้าเรายังไม่เกิดใหม่ เราจะไม่รู้สึกรู้สาอย่างที่ท่านเปาโลกำลังรู้สึกเลย 

โรม 7:21-23
ส่วนลึกตรงนี้คือความคิด จิตใจที่ยินดีในพระเจ้าในการที่จะอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า (เอเฟซัส 3:16) แต่แล้ว ยังมีอำนาจหนึ่งที่ทำงานในตัว เป็นอำนาจที่จับตัวของท่านเปาโลให้เป็นเชลย  อะไรกันนี่? ท่านเปาโลพยายามจะบอกอะไร?  ท่านชี้ให้เราเห็นถึงกฎแห่งบาป นี้คือการที่มนุษย์มีแนวโน้มที่จะดื้อต่อสิ่งที่รู้ว่าถูกต้อง รู้ดี รู้ชั่วทั้งหมด เราต่างถูกบาปจับกุมตัวไปเป็นเชลย… นี่เป็นสภาพของมนุษย์ทุกคน 

โรม 7:24-25
ถึงแม้ว่าเราจะเชื่อวางใจพระเจ้า แต่เราก็ยังมีธรรมชาติบาปที่กระตุ้นให้เราทำสิ่งที่นำไปสู่ความตายเสมอ ท่านเปาโลเตือนให้เราไม่ปล่อยตัวไปตามนิสัยบาป (กาลาเทีย 5:13) เราจึงต้องคอยอธิษฐานเผื่อกันและกันไม่ให้ตกหลุมพรางของบาปถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้มาเพื่อช่วยเราแล้ว เราก็จะตกในหลุมนี้ไปตลอด ศาสนาใด ๆ จึงช่วยเราไม่ได้เราต้องการฤทธิ์เดชแห่งการคืนพระชนม์ให้เราพ้นจากกฎแห่งบาปนี้ 

พระคำเชื่อมโยง

โรม 7
2* 1โครินธ์  7:39
3* มัทธิว 5:32
4* กาลาเทีย 2:19; 5:18, 22
5* โรม 6:13; ยากอบ 1:15
6* โรม 2:29

7* โรม 3:20; อพยพ 20:17; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:21; กิจการ 20:33
8* โรม 4:15
10* เลวีนิติ 18:5
12* สดุดี 19:8
14* 2 พงศ์กษัตริย์ 17:17

15* กาลาเทีย 5:17
18* ปฐมกาล 6:5; 8:21
22* สดุดี 1:2; 2 โครินธ์ 4:16
23* กาลาเทีย 5:17; โรม 6:13,19
24* 1 โครินธ์  15:51-52
25* 1 โครินธ์  15:57


โรม 6 เป็นอิสระจากบาปแล้ว!

โรม 6:1-2
ดังนั้น  ท่านคิดว่าเราควรทำบาปต่อไป
เพื่อว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณ
มากขึ้นอย่างนั้นหรือ? จะไม่เป็นเช่นนั้น!
ในเมื่อเราตายต่อบาปแล้ว
เราจะใช้ชีวิตในบาปได้อย่างไร?

โรม 6:3
ท่านไม่รู้หรือว่า
เราทุกคนที่ได้รับบัพติศมา
ในพระเยซูคริสต์
เท่ากับเราบัพติศมาเข้าไปใน
ความตายของพระองค์?

โรม 6:4-5
เมื่อเราได้รับบัพติศมาในความตายนั้น เราก็ถูกฝังกับพระคริสต์ และมีส่วนร่วมในความตายของพระองค์ ดังนั้น เมื่อ
พระคริสต์ทรงฟื้นจากความตายโดยพระสิริของพระบิดา เราเองก็จะดำเนินตามชีวิตใหม่ เพราะหากเราได้เป็นหนึ่งเดียวในการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการคืนพระชนม์เช่นกัน

โรม 6:6-7
เรารู้ว่า ชีวิตเก่าของเราถูกตรึงตายไปกับพระคริสต์บนไม้กางเขน เพื่อว่าตัวบาปในเราจะไม่มีอำนาจเหนือเรา
และเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป คนที่ตายไป ก็เป็นอิสระจาก
การครอบงำของบาป 

โรม 6:8-9
หากเราตายกับพระคริสต์ เราเชื่อว่า
เราก็จะได้มีชีวิตกับพระองค์ด้วยพระคริสต์ทรงถูกทำให้คืนพระชนม์จากความตาย พระองค์จะไม่สิ้นพระชนม์อีก
ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป


โรม 6:10-11
เมื่อพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์นั้นก็เพื่อทำลายอำนาจของบาป ครั้งเดียวเป็นพอ พระองค์ทรงมีชีวิตก็เพื่อพระเจ้า เช่นเดียวกัน  ท่านควรจะถือว่า ท่านเองตายต่อบาป และมีชีวิตเพื่อพระเจ้า
ในองค์พระเยซูคริสต์

โรม 6:12-13
ดังนั้น อย่าปล่อยให้บาปครอบงำร่างกายที่ไม่ยั่งยืนของท่าน ซึ่งทำให้ท่านยอมตอบสนองความต้องการของบาป อย่ามอบส่วนใด ๆ ของร่างกายให้แก่อำนาจบาปเป็นเครื่องมือทำความชั่ว แต่ให้ถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า ดั่งเหล่าคนที่ฟื้นจากความตายและถวายร่างกายของท่านแด่พระองค์ให้เป็น
เครื่องมือแห่งความเที่ยงธรรม 

โรม 6:14-15
เพราะบาปจะไม่มีอำนาจเหนือท่านต่อไปเนื่องจากท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ  ถ้าอย่างนั้นเราควรทำอะไร? เราควรทำบาปเพราะว่าเราอยู่ใต้พระคุณไม่ใช่อยู่ใต้บทบัญญัติใช่ไหม? จะไม่เป็นเช่นนั้น!

โรม 6:16
ท่านไม่รู้หรือว่า เมื่อท่านยอมตัวเองให้เป็นทาสที่เชื่อฟังของใครก็ตาม ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟัง  ไม่ว่าจะเป็นทาสบาปซึ่งนำไปสู่ความตายหรือเป็นทาสการเชื่อฟัง ซึ่งนำสู่ความเที่ยงธรรม

โรม 6:17-18
ในอดีต ท่านเคยเป็นทาสบาปแต่ขอบคุณพระเจ้าที่ท่านได้เชื่อฟังคำสอนที่ท่านได้รับอย่างสุดใจ (อย่างเต็มใจ)ท่านเป็นอิสระจากบาปแล้ว บัดนี้ท่านเป็นทาสของความเที่ยงธรรม

โรม 6:19
ข้าพเจ้าใช้ตัวอย่างแบบมนุษย์นี้ เพราะเป็นเรื่องยากที่ท่านจะเข้าใจ ในอดีตท่านเคยมอบอวัยวะส่วนต่าง ๆ ให้เป็นทาสบาปและความชั่วช้าที่เพิ่มมากขึ้น  บัดนี้ จงมอบอวัยวะของท่านให้เป็นทาสแห่งความเที่ยงธรรม ซึ่งนำไปสู่การชำระให้บริสุทธิ์

โรม 6:20-21
ในเวลาที่ท่านเป็นทาสบาป ความเที่ยงธรรมไม่ได้ครอบครองเหนือชีวิตของท่าน  ท่านได้รับผลอะไร จากการทำสิ่งต่าง ๆ ซึ่งตอนนี้ท่านกลับรู้สึกละอาย?ผลของสิ่งเหล่านั้นคือความตาย

 


โรม 6:22-23
แต่บัดนี้ ท่านพ้นการเป็นทาสบาปและมาเป็น
ทาสของพระเจ้าแล้ว  ผลที่ได้รับนำไปสู่การ
ชำระให้บริสุทธิ์ ผลสุดท้ายคือทำให้ท่านได้
รับชีวิตนิรันดร์ เพราะค่าจ้างของความบาป
คือความตาย แต่ของประทานที่พระเจ้า
ประทานให้ คือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์
องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

โรม 6:1-2
ไม่ว่าเราจะมีอดีตอย่างไร  คนที่เชื่อและพระเจ้าทรงประกาศว่าพ้นผิด จะมีประสบการณ์ชีวิตใหม่(ท่านเป็นพยานจากชีวิตของท่านเองด้วยใน 1 ทิโมธี 2:12-17 เรียกว่า justification ซึ่งหมายถึงการที่พระเจ้าทรงประกาศเองว่าคนหนึ่งเป็นคนที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์  คนนั้นจะไม่ห่วงทำบาปเหมือนในอดีต แต่ตั้งต้นใช้ชีวิตถูกต้องกับพระเจ้า คำว่า ตายต่อบาปคือเลิกชีวิตในอดีตที่ทำบาปอย่างคุ้นเคย 

โรม 6:3
คำว่าบัพติศมาตรงนี้เป็นการเปรียบเทียบว่า เมื่อคนหนึ่งมารับเชื่อพระเยซู เขาได้รับการบัพติศมาเข้าไปในพระกายนั่นคือ “เมื่อฉันเชื่อวางใจพระเยซู
คริสต์เท่ากับฉันได้
ผูกพัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์  ความตายของพระองค์คือความตายของฉันด้วย” ตายต่อตัวเก่าที่ฉันเคยมี  บทนี้ท่านเปาโลกำลังเริ่มสอนเรื่องการแยกชีวิตของคน ๆหนึ่งให้เป็นคนบริสุทธิ์ เพื่อทำตามพระประสงค์ ของพระเจ้าที่มีต่อเขา เราเรียกว่า sanctification คือการชำระชีวิตให้บริสุทธิ์

โรม 6:4-5
การตายไปกับพระคริสต์ และถูกฝังนั่นคือจบชีวิตเก่า แต่เมื่อพระคริสต์ทรงคืนพระชนม์ ก็เท่ากับเรามีส่วนในการฟื้นจากตายด้วย พระเจ้าประทานชีวิตใหม่ให้ คนจำนวนมากที่กลับมาหาพระเจ้ามีประสบการณ์นี้ชัดเจน ชีวิตกับบาปเก่า ก็ตายไปไม่มีชีวิตอย่างนั้นอีก  แล้วเขากลายเป็นคนใหม่ที่ดำเนินชีวิตตามพระเจ้าอย่างไม่คาดคิดว่าจะมีการพลิกชีวิตแบบนี้ได้  ชีวิตแบบอาดัมไม่เหลือกลายเป็นชีวิตอย่างพระคริสต์ 

โรม 6:6-7
ย้อนกลับไปเรื่องการตายในพระคริสต์ คนที่ตายไปคือ คนที่อยู่ใต้อำนาจบาป ใต้อาดัม  ชีวิตบาปเดิมนั้น ถูกตรึงบนไม้กางเขนกับพระเยซูไปแล้ว ท่านเปาโลพยายามอธิบายความจริงยากจะเข้าใจให้ชัดเจน  พอมาเชื่อพระเยซู บาปไม่มีอิทธิพลครอบงำต่อไป คนเก่าตายไป บาปก็ไม่มีฤทธิ์เหนือคนเก่านั้น เพราะตายไปแล้ว ถูกตรึง ตายสนิทคำว่าเป็นอิสระ ในข้อ7 ภาษากรีกมาจากคำว่า δικαιόω ไดคาโยโอ คือเที่ยงธรรม ไม่ผิด ถูกประกาศว่าพ้นผิดแล้ว

โรม 6:8-9
ตัวบาปในเราตายไปแล้ว เราก็เชื่อ ความเชื่อนี้สำคัญ เราเชื่อที่พระเจ้าทรงบอกเราว่าสถานภาพของเราหลังจากตายและฟื้นในพระคริสต์คือพ้นผิดได้รับการชำระ ก็คืออย่างนั้น  ท่านเปาโลเน้นย้ำว่าพระเยซูไม่ต้องสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปมนุษย์อีก ครั้งเดียวพอ โคโลสี 1:13 แจ้งชัดเจนว่า พระเยซูทรงนำเราออกจากอาณาจักรมืด มาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ นี่คือความจริง… เรารับการไถ่บาป และชำระให้บริสุทธิ์แล้ว! 

โรม 6:10-11
มหัศจรรย์!การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูมีฤทธิ์ในการทำลายอำนาจของบาปในชีวิตของผู้ที่เชื่อวางใจ  ในวันนี้ พระเยซูทรงพระชนม์อยู่เคียงข้างพระบิดาในแผ่นดินสวรรค์  ท่านเปาโลให้เราถือว่า เราเองก็ตายต่อบาปและมีชีวิตเพื่อพระเจ้า นี่เป็นสิ่งที่คริสเตียนควรตระหนักคริสเตียนจำนวนมากยังคงคิดแค่ว่าพระเจ้าทรงรักพระเจ้าทรงดี เราต้องถือว่า/ตัดสินใจว่า/สรุปว่า/คิดว่า ตัวเองตายต่อบาปและมีชีวิตเพื่อพระเจ้า!

โรม 6:12-13
แต่ถึงอย่างนั้น ในชีวิตจริงของคริสเตียน บาปยังเป็นปัญหาอยู่ เพราะว่าเราอยู่ในโลกที่มีความบาประบาดทั่วไปหมด เราไม่ได้ฝึกฝนตอบโต้ต่อบาป
เหมือนอย่างทหารที่ฝึกฝนเพื่อต่อสู้กับศัตรู  เรามักเฉย ๆ ต่อบาปรอบข้างเรา มันจึงยังมีผลต่อชีวิต ท่านเปาโลเน้นที่ร่างกายของเราคืออวัยวะต่าง ๆ ทั้งความคิด จิตใจ เราต้องไม่ยอมให้บาปครอบงำ ไม่ยอมฟัง ดู คิดตามอย่างที่โลกเสนอให้คิด  ไม่ยอมตอบสนองความต้องการของบาป 

โรม 6:14-15
โรม3:31 กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นเท่ากับเราล้มเลิกบทบัญญัติด้วยการใช้ความเชื่ออย่างนั้นหรือ? เปล่าเลย..จะไม่เป็นเช่นนั้น..ความเชื่อต่างหากที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างที่บทบัญญัติต้องการ   บทบัญญัติทำให้เราเห็นว่า ในใจของมนุษย์นั้นมีอะไรที่เบี่ยงเบนไปจากมาตรฐานของพระเจ้า ด้วยความเชื่อ…พระคุณของพระเยซูคริสต์ทำให้ผู้เชื่อได้อยู่ในพระคริสต์ ทำให้พวกเขามีใจอย่างพระองค์จึงต่อต้านความบาปและทำสิ่งที่ถูกต้อง 

โรม 6:16
ท่านเปาโลขอให้พี่น้องเป็นทาสของสิ่งที่ถูกต้องคือทาสการเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ใช่ทาสบาป เราต้องไม่เชื่อฟังบาปเหมือนอย่างในอดีต บางทีผู้เชื่อมองเรื่องบาปเป็นเรื่องเล็ก ทำไป แล้วก็ขอพระเจ้ายกโทษทีหลัง เพราะอยากทำบาปนั้นมาก  บาปอยู่ตรงหน้า และดูว่าทำแล้วมีความสุขกว่าที่จะไม่ทำ  ตรงนี้เท่ากับเขากลับไปเป็นทาสบาปอีก ท่านเปาโลจึงเตือนให้อย่ายอมเป็นทาสบาป เพราะนั่นเป็นหนทางไปสู่ความตาย 

โรม 6:17-18
พี่น้องชาวโรมและพวกเราทุกคนเคยเป็นทาสบาป … แต่จะพ้นจากการเป็นทาสบาปได้ก็โดยการเชื่อ และเชื่อฟังคำสอนที่ท่านเปาโลพยายามสอนอยู่อย่างสุดใจ ไม่ใช่แค่รับไว้แบบหูทวนลมในโลกโบราณ การเป็นทาสคือนายทาสจะมีสิทธิ เหนือชีวิตของทาสคนนั้น เมื่อเราเป็นทาส ความเที่ยงธรรมคือ เป็นคนถูกต้องกับพระเจ้า เราก็ลาจากนายทาสเดิมคือบาปร้ายสารพัดแบบที่คอยกัดกินชีวิตทุกวัน

โรม 6:19
พี่น้องชาวโรมและเราต่างเคยตามใจความต้องการของตนเอง อยากทำอะไรก็ทำ เช่นพูดให้ร้าย นินทาหรือผิดเรื่องเพศ โดยไม่รู้สึกผิดต่อ ตนเอง คนอื่น
หรือพระเจ้าเลย บางคนมีคติว่า “ฉันจะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน” แต่ความจริงคือ ทุกสิ่งที่เราทำลงไป ต่างส่งผลให้คนอื่นเสมอท่านเปาโลให้เราชนะบาปที่เคยเป็นนายทาสเราด้วยการมอบชีวิต จิตใจ ร่างกาย ให้เป็นทาสพระเจ้าเพื่อพระเจ้าจะทรงชำระ แยกเราไว้ให้บริสุทธิ์

โรม 6:20-21
ตอนที่คน ๆ หนึ่งเชื่อฟังบาปนั้น เขาไม่มีความอายในสิ่งที่ทำไป มีคนไม่น้อยที่กลับมาหาพระเจ้าแล้วจะรู้สึกอับอายกับสิ่งที่เคยชอบ สิ่งที่เคยอวด อาย
กับคำพูดใส่ร้ายผู้อื่นที่เคยมีแค่ความสะใจ อายกับการข่มเหงคนที่ต่ำต้อยกว่า การยกตัวข่มท่าน ซึ่งแต่ก่อนสิ่งเหล่านี้เป็นความภูมิใจที่ได้ทำ ด้วย
พระคุณ พระเจ้าทรงนำคนที่เคยหลงตัวกลับมาหาพระองค์ เขานี่แหละ จะเป็นคนที่เข้าใจดีว่า สิ่งที่น่าละอายเหล่านั้นนำสู่ความตายอย่างไร 

โรม 6:22-23
การจบการเป็นทาสบาป มาเป็นทาสของพระเจ้า ทำให้เราได้รับการประกาศว่าพ้นผิด และพระเจ้าทรงเพิ่มการชำระชีวิตให้บริสุทธิ์ด้วย ทั้งสองขั้น
ตอนนี้ นำให้เรามีชีวิตใหม่ เป็นของพระเจ้าผู้เดียว
ส่วนความตายที่ท่านเปาโลกล่าวถึงคือ การแยกจากพระเจ้าเป็นนิตย์   ชีวิตนิรันดร์คือการที่อยู่กับ
พระเจ้าตลอดไป ซึ่งเริ่มตั้งแต่ที่เราอยู่ในโลกนี้ ติดสนิทกับพระเยซูทุกวัน เรื่อยไปจนกระทั่ง แม้จากโลกนี้ ก็จะยังอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ ไม่จากกันเลย

พระคำเชื่อมโยง

โรม 6
1* โรม 3:8; 6:15
2* กาลาเทีย 2:19
3* กาลาเทีย 3:27
4* โคโลสี 2:12; 1โครินธ์ 6:14 ;ยอห์น 2:11; กาลาเทีย 6:15
5* ฟีลิปปี 3:10
6* กาลาเทีย 2:20; 5:24; 6:14; โคโลสี 2:11


7* 1 เปโตร 4:1
8* 2 ทิโมธี 2:11
9* วิวรณ์ 1:18
10*  ฮีบรู 9:27; ลูกา 20:38
11* โรม 6:2; 7:4,6; กาลาเทีย 2:19
12* สดุดี 19:13
13* โคโลสี 3:5; 1 เปโตร 2:24; 4:2
14* กาลาเทีย 5:18

15* 1 โครินธ์  9:21
16* 2 เปโตร 2:19
17* 2 ทิโมธี 1:13
18* ยอห์น 8:32
20* ยอห์น 8:34
21* โรม 7:5; 1:32
22* โรม 6:18; 8:2
23* ปฐมกาล 2:17;1 เปโตร 1:4


โรม 5 รอดได้ด้วยพระเยซู

โรม 5:1-2
ดังนั้น เมื่อเราถูกนับว่าเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้าโดยความเชื่อของเราแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระองค์ ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราโดยพระองค์ ด้วยความเชื่อ  เราจึงได้เข้ามาสู่พระคุณที่เรายืนมั่นอยู่ และเรามีความยินดีเพราะมีความหวังว่า เราจะได้ร่วมในพระเกียรติสิริของพระเจ้า


โรม 5:3-4
ยิ่งกว่านั้น เรายังยินดีกับความทุกข์ยากของเรา  เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากเหล่านี้ทำให้เกิดความทรหดอดทน และความทรหดอดทนนี้ทำให้เกิดคุณสมบัติที่ดี และคุณสมบัติที่ดีนี้ทำให้เรามีความหวัง 

โรม 5:5
เป็นความหวังที่จะไม่ทำให้เราผิดหวัง (หรือละอาย)  เพราะพระเจ้าทรงเทความรักของพระองค์  เติมใจของเรา 
ผ่านองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระองค์ประทานแก่เรา

โรม 5:6-7
เมื่อเรายังไม่อาจช่วยตนเองให้รอดได้นั้น  ในเวลาที่เหมาะสมพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราซึ่งเป็นคนไร้พระเจ้า มีน้อยคนที่จะตายเพื่อคนเที่ยงธรรมแม้ว่าบางครั้งจะมีคนกล้าที่จะตายเพื่อคนดี 

โรม 5:8
แต่พระเจ้าทรงแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่แก่เราคือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา
(หรือ พระคริสต์ทรงถูกส่งมาเพื่อสิ้นพระชนม์เพื่อเรา)

โรม 5:9
ดังนั้น ในเมื่อเราได้รับการทำให้เป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า(พระบิดา)โดยพระโลหิต  ของพระคริสต์ เราก็จะได้พ้นจากพระพิโรธของพระเจ้าโดยพระคริสต์อย่างแน่นอน

โรม 5:10
ถ้าในขณะที่เราเป็นศัตรูของพระเจ้า(พระบิดา)พระองค์ทรงทำให้เราคืนดีกับพระองค์เนื่องด้วยความตายของพระบุตร ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ด้วยว่า บัดนี้เราคืนดีกับพระองค์แล้ว  พระองค์จะทรงช่วยเราให้รอดพ้น(พระพิโรธ)ผ่านชีวิตของพระบุตรนั้น

โรม 5:11 
ยิ่งกว่านั้น  บัดนี้เรามีความยินดีมากในพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเราเพราะเราได้คืนดีกับพระเจ้า(พระบิดา)ก็โดยพระองค์


โรม 5:12-13
บาปได้เข้ามาในโลกเพราะการกระทำของบุรุษคนหนึ่ง และเมื่อมีบาป ความตายก็ตามมา ด้วยเหตุนี้ความตายจึงแพร่ไปยังทุกคนเพราะทุกคนทำบาป บาปอยู่ในโลกก่อนบทบัญญัติของโมเสส ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติมาก่อน การทำบาปจึงไม่ถือเป็นการละเมิดบทบัญญัติ

โรม 5:14
ถึงอย่างนั้น ทุกคนก็ต้องตาย ในช่วงเวลาตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส   แม้ว่าจะเป็นคนที่บาปทั้งที่ไม่ได้ละเมิด
บทบัญญัติ เหมือนอย่างที่อาดัมได้ทำ อาดัมเป็นต้นแบบของพระองค์ท่านที่จะมาภายหลัง    

โรม 5:15
แต่ของประทานที่พระเจ้าทรงให้เปล่าๆไม่เหมือนบาป
ของอาดัม ด้วยว่าการล่วงละเมิดของบุรุษคนเดียวทำให้คนจำนวนมากต้องตาย แต่พระคุณจากพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่า เพราะคนมากมายได้รับของประทานแห่งชีวิตจากพระเจ้าโดยพระคุณของบุรุษอีกท่าน คือองค์พระเยซู

โรม 5:16
แต่ของประทานจากพระเจ้าไม่เหมือนผลที่ได้จากบาปของบุรุษผู้เดียว หลังจากที่อาดัมได้ทำผิดครั้งเดียวนั้นเขาถูกตัดสินลงโทษ แต่ของประทานที่ให้เปล่าจากพระเจ้า เกิดขึ้นหลังจากการละเมิดหลายครั้ง และผลที่ได้คือ ทำให้เกิดความถูกต้องกับพระเจ้า

โรม 5:17
หากการละเมิดของบุรุษผู้หนึ่งทำให้ความตายมีอำนาจเหนือมนุษย์ทุกคน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด  เหล่าคนที่ได้รับพระคุณล้นเหลือของพระเจ้า และรับของประทานแห่งความเที่ยงธรรมจะมีชีวิตโดยพระองค์นั้นคือ พระเยซูคริสต์

โรม 5:18
ในเมื่อการละเมิดครั้งเดียวนำให้ทุกคนต้องรับการตัดสินลงโทษฉันใด การกระทำอันเที่ยงธรรมครั้งเดียว ก็นำมาซึ่งความเที่ยงธรรมที่นำชีวิตมายังมนุษย์ทุกคนฉันนั้น

โรม 5:19
เพราะเมื่อบุรุษผู้หนึ่งไม่เชื่อฟัง ทำให้คนจำนวนมากรับผลกลายเป็นคนบาปฉันใด   ดังนั้น บุรุษผู้หนึ่งที่เชื่อฟังพระเจ้า ก็ทำให้คนจำนวนมากกลายเป็นคนมีความเที่ยงธรรมฉันนั้น


 

โรม 5:20-21
เมื่อมีบทบัญญัติเกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาคือมีการละเมิดทวีขึ้น แต่ที่ใดมีบาปทวีขึ้นพระคุณก็เพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้นมากกว่านั้นอีก ตามที่ความตายมีอำนาจเหนือเราเพราะบาป พระคุณจะครอบครองเหนือเราโดยความเที่ยงธรรม จนนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา

โรม 5:1-2 พระเจ้าทรงถือว่าเราเป็นคนเที่ยงธรรม ถูกต้องกับพระองค์ พ้นผิดไม่เหมือนอย่างในอดีตอีกต่อไปเพราะว่าเราเชื่อตามที่พระองค์ทรงบัญชา พระคริสต์จึงนำเรามาสู่สถานะของผู้มีสิทธิพิเศษได้เป็นบุตรของพระเจ้า  เป็นสถานะที่ทุกคนที่เชื่อไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด ฐานะทางสังคม ความรู้แตกต่างขนาดไหน  เขาเหล่านี้ที่เชื่อ ติดตามพระเจ้าก็จะได้มีส่วนในพระสิริของพระเจ้าด้วย

โรม 5:3-4ความทุกข์ยากที่กล่าวถึงนี้ มาจากการถูกกดดันหรือข่มเหง เอาเปรียบไ่ม่ว่าจะทางร่างกายจิตใจซึ่งคริสเตียนในโรมเผชิญอยู่ไม่ว่างเว้น ท่านเปาโลสอนให้พี่น้องรู้ว่า ในความยากลำบากของพวกเขาเขาจะได้รับรางวัลที่คาดไม่ถึงจากพระเจ้า จากสิ่งดีที่เกิดขึ้นในที่สุด เราจะได้รับความหวังว่าจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าท่ามกลางความทุกข์ยาก  ยิ่งคริสเตียนพัฒนาคุณสมบัติของผู้เชื่อก็ยิ่งจะเห็นพระคุณของพระเจ้าในชีวิต

โรม 5:5
เมื่อได้รับสถานะที่ถูกต้องกับพระเจ้าแล้ว ผู้เชื่อก็มีสันติสุข มีความหวัง เมื่อทุกข์ยากก็ยินดีได้เพราะความหวังที่จะได้ร่วมในพระเกียรติสิริของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้น พระเจ้ายังทรงมอบพระวิญญาณให้พวกเขาด้วย ทรงเติมใจด้วยพระวิญญาณ ทรงให้พระวิญญาณเข้ามาประทับภายใน ร่างกายของผู้เชื่อพระเยซูจึงกลายเป็นพระวิหารของพระเจ้าเต็มรูปแบบ  ( 1 โครินธ์ 3:16)

โรม 5:6-7
ที่เราไม่อาจช่วยตัวเองให้รอด เป็นเพราะว่า เราและเพื่อนมนุษย์ทุกคน ไม่อาจช่วยตัวเองให้รอดได้เลย เราสิ้นหวัง  แต่ในเวลาที่เราไม่มีทางช่วยตัวเองนั้น พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ ในเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ เป็นเวลาของพระเจ้าที่ทรงวางไว้ (กาลาเทีย 4:4)  ให้พระบุตรมารับโทษแทนคนบาป สังเกตไหม พระคริสต์ไม่ได้มาเพื่อคนเที่ยงธรรมหรือคนดี แต่เพื่อคนบาป!

โรม 5:8
มนุษย์ทุกคนไม่อาจยืนขึ้นมาและกล่าวว่า พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อฉันที่เป็นคนดี  คนมีเมตตาเป็นคนที่ใคร ๆ เรียกว่า นักบุญ คุณพ่อ หลวงพ่อแม่ชี  จิตอาสา อาจารย์ ฯลฯ แต่พระองค์ทรงมาเพื่อคนที่ไร้พระเจ้า คนที่โลกดูหมิ่น สมัยพระเยซูเราเห็นชัดว่า พระองค์ทรงเป็นเพื่อนกับคนบาป คนเก็บภาษี ทรงคุยกับหญิงชาวสะมาเรียที่ใคร ๆ ดูหมิ่น  ทรงเชิญพระองค์เองไปบ้านของศักเคียสที่ใคร ๆ รังเกียจ.. นี่คือความจริง 

โรม 5:9
คิดดูว่า พระเจ้าทรงรักเรา ทั้งที่เราเป็นศัตรูตัวฉกาจของพระองค์  พระองค์จะทรงรัก สนิทสนมกับเรามากขึ้นเพียงไหน หากเราได้เป็นคนที่ถูกต้องกับพระองค์ กลายเป็นลูกของพระองค์ เพราะโอกาสที่พระองค์ให้เรา เชื่อ วางใจ รับพระองค์พระองค์ต้องให้พระบุตรสุดที่รักของพระองค์มา
สิ้นพระชนม์ หลั่งพระโลหิต รับความบาปของมนุษย์บนพระกายของพระองค์ จะพ้นจากพระพิโรธได้ก็ต้องผ่านการสละชีิวิตของพระบุตร!

โรม 5:10
พระบุตรของพระเจ้าไม่ได้แค่สิ้นพระชนม์ สละพระโลหิตเพื่อให้เราได้พ้นจากพระพิโรธของพระเจ้าเท่านั้น แต่.. พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาด้วย เราจึงไม่ได้ติดอยู่กับพระเจ้าที่สิ้นชีพแต่เราวางใจพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  ยังมีผู้เชื่อพระเจ้าบางท่านยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ว่า การคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญยิ่งของการสิ้นพระชนม์ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่บอกว่าพระองค์ทรงชนะความตายเพื่อเราแล้ว

โรม 5:11 
ด้วยความรักเต็มพระทัยที่พระเยซูทรงมีต่อพระบิดาพระเยซูจึงทรงลงมาในโลก และแม้พระองค์ไม่ทรงยินดีกับการขึ้นไปสิ้นพระชนม์อย่างน่าอับอายอย่างไม่เป็นธรรม แต่.. พระเยซูทรงยอมเชื่อฟังพระบิดาจนถึงความตายที่กำหนดมาไว้ให้ตั้งแต่ต้นแล้ว … ฟีลิปปี 2:8 บอกชัดเจนในเรื่องนี้พระบุตรที่ทรงเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ในองค์เดียวกัน ต้องมารับโทษบาปเลวทรามของเราทุกคนเพื่อจะให้เราพ้นพระพิโรธพระบิดา 

โรม 5:12-13
บาปเข้ามาในโลกผ่านอาดัม …ทำให้มนุษย์ทุกคนต้องเจอกับความตาย ไม่เว้นสักคน (เพราะอย่างไรทุกคนก็ทำบาป) ท่านเปาโลเน้นว่า มีบาปอยู่แล้วทั้ง ๆ ที่บทบัญญัติยังไม่เกิดด้วยซ้ำ  ดังนั้นใคร ๆที่ทำบาปช่วงอาดัมถึงโมเสสจึงถือว่า ไม่ได้ละเมิดบัญญัติแต่ยังต้องเผชิญกับความตาย   แต่บัดนี้มีบทบัญญัติที่บอกความจริงเรื่องบาปของมนุษย์ไม่มีใครกล่าวได้เลยว่า ฉันไม่มีบาป (1 ยอห์น1:8)

โรม 5:14
การมีบทบัญญัติเพียงแค่แจ้งว่า มนุษย์เราได้พลาดจากเป้าหมายของพระเจ้าด้วยพฤติกรรม ความคิดอะไรบ้าง   บทบัญญัติของโมเสสไม่ได้ช่วยให้มนุษย์รอดได้ ไม่มีพลัง เป็นเหมือนคุณครูที่คอยบอกให้เห็นปัญหาของมนุษย์  เราเห็นชัดจากอาดัมว่า มนุษย์นั้น ตกอยู่ในความบาปก่อนที่จะมีบทบัญญัติ มนุษย์ที่มีผิด และบาปจึงตายเหมือนกับอาดัมที่ทำผิดและบาป  ที่ว่าค่าจ้างหรือผลของความบาปคือความตายนั้น เริ่มที่อาดัม   

โรม 5:15
ของประทานที่ทรงให้เปล่า ๆ แตกต่างจากบาปของอาดัมอย่างสิ้นเชิง อาดัมส่งความตาย  พระเยซูส่งชีวิต อาดัมให้ความมืด พระเยซูให้ความสว่างแต่หากคนมากมายต้องตายเพราะการละเมิดของคนเดียว  ดังนั้น พระคุณจากพระเจ้า และพระคุณจากพระเยซูคริสต์บุรุษอีกท่านก็จะทำให้คนมากมายได้รับชีวิตอย่างท่วมท้น  ท่านเปาโลตั้งใจเขียนย้ำเรื่องราวเหล่านี้ในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อให้พี่น้องได้เข้าใจแจ่มแจ้ง

โรม 5:16
คำว่าการตัดสินลงโทษนี้ มีอยู่สามครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ คือข้อนี้ ข้อ 18 และ 8:1  (κατάκριμα คาตาคริมา ) หมายความถึง การลงโทษที่ผ่านการพิจารณาคดีมาก่อนแล้ว  เมื่อเราต้องเผชิญกับการลงโทษดังกล่าว พระเยซูกลับประทานของประทานที่ให้เปล่าซึ่งส่งผลให้เกิดการตัดสินว่าพ้นผิด นั่นคือกลายเป็นคนเที่ยงธรรม ถูกต้องกับพระเจ้า เป้าหมายของของประทานที่ให้เปล่านั้นคือผู้รับจะมีชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้า

โรม 5:17
การเข้ามาแก้ปัญหาโทษบาป และบาปที่ติดตัวมนุษย์นั้น เป็นการแก้ปัญหาที่มีพระเยซูคริสต์องค์เดียวเท่านั้นที่จะทำได้ และพระองค์ก็ทรงพร้อมที่จะทำเพื่อพระบิดา และชาวโลกที่พระบิดาทรงรักและเป็นห่วงมาก พวกเขาถูกสร้างมาเพื่อจะเป็นที่สรรเสริญ เป็นที่ถวายพระเกียรติ แต่เมื่อพวกเขาสูญเสียสภาพที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยพระเจ้าก็ไม่ทรงทอดทิ้ง แต่ทรงหาทางแก้ปัญหาบาปให้พวกเขากลับมาเป็นคนของพระองค์ได้

โรม 5:18
พระเยซูเป็นตัวแทนแห่งชีวิต การกระทำของอาดัมทำให้มนุษย์เก็บเกี่ยวความชั่วร้าย และพวกเขาก็เลือกทำความชั่วต่อไป จะเห็นว่าแค่ลูกชายของอาดัมก็ทำผิดต่อเนื่องโดยฆ่าน้องตนเอง และโลกก็เลวร้ายลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งพระเยซูเสด็จมา  

โรม 5:19
พระบุตรผู้บริสุทธิ์ทรงลงมาแก้ปัญหาที่มนุษย์คนใดก็ทำไม่ได้ นั่นคือ เพื่อโลกจะกลับมามีสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าเหมือนอย่างครั้งที่ทรงสร้าง
อาดัมและเอวามาตั้งแต่ต้น  เพื่อมนุษย์จะไม่ตกในสภาพที่ขาดจากพระเจ้าตลอดไป  มนุษย์ผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ท่านนั้น เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ท่ามกลางคนบาป ทรงถูกทดลองเหมือนพวกเขาแต่ไม่ได้ทรงแพ้บาปเหมือนมนุษย์ยังทรงสภาพไร้บาปตลอดชีวิต 

โรม 5:20-21
บทบัญญัติทำให้เราเห็นว่าเราทำบาปอะไรบ้าง ซึ่งแทบจะไม่มีข้อใดที่เราไม่ได้ละเมิดเลย …เราจึงเห็นบาปตัวเองท่วมท้นเมื่อเทียบกับบทบัญญัติ
แม้มนุษย์จะทำสิ่งดีมากมาย แต่ทุก ๆ วันก็ได้ทำบาปทวีขึ้น แต่ละวันที่ผ่านไป ก็สะสมบาปมากขึ้นแต่พระคุณของพระเจ้าไม่ได้ลดน้อยถอยลงไป
พระคุณของพระเจ้าเผชิญกับบาปของมนุษย์ และเอาชนะบาปเหล่านั้นด้วยพระโลหิต ด้วยพระชนม์ชีพของพระบุตรเอง 

พระคำเชื่อมโยง

โรม 5
1* อิสยาห์ 32:17; เอเฟซัส 2:14
2* เอเฟซัส 2:18; 3:12; 1โครินธ์  15:1; ฮีบรู 3:6
3* มัทธิว 5:11-12; ยากอบ 1:3
4* ยากอบ 1:12
5* ฟีลิปปี 1:20; 2 โครินธ์ 1:22;
6* โรม 4:25; 5:8; 8:32



8* ยอห์น 3:16; 15:13
9* เอเฟซัส 2:13; 1 เธสะโลนิกา 1:10
10* โรม 8:32; 2 โครินธ์ 5:18; ยอห์น 14:19
11* กาลาเทีย 4:9
12* 1โครินธ์ 15:21; ปฐมกาล 2:17
13* 1 ยอห์น 3:4

14* 1โครินธ์ 15:21-22
15* อิสยาห์ 53:11
18* อิสยาห์ 53:11-12; 1โครินธ์ 15:21, 45 ; ยอห์น 12:32
19* ฟีลิปปี 2:8
20* ยอห์น 15:22; 1 ทิโมธี  1:14