ฮีบรู 5 องค์มหาปุโรหิต..

ปุโรหิตมนุษย์ที่พลาดได้

5:1  มหาปุโรหิตทุกคน ถูกเลือกมาจากหมู่มนุษย์เพื่อทำหน้าที่แทนพวกเขาในเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับพระเจ้า
พวกเขานำของถวายและเครื่องบูชามาถวายเพื่อรับการอภัยบาป

5:2-3 เขาสามารถทำหน้าที่ของเขาได้ด้วยความเข้าใจคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และคนที่ถูกชักนำไปในทางผิด เป็นเพราะเขาเองก็อ่อนแอเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงต้องถวายเครื่องบูชาเพื่อบาปของตนเองเช่นเดียวกับบาปของประชาชนด้วย

5:4 ไม่มีใครอาจรับเกียรติทำหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง เขาต้องได้รับการทรงเรียก
จากพระเจ้าเหมือนอย่างที่อาโรน ได้รับการทรงเรียกนั้น

องค์ปุโรหิตนิรันดร์

5:5 เช่นเดียวกัน พระคริสต์มิได้ทรงถือเอาเกียรติแห่งการเป็นมหาปุโรหิตด้วยพระองค์เอง….. แต่ทรงได้รับการทรงเรียกโดยพระองค์ผู้ตรัสกับพระองค์ว่า “เจ้าเป็นบุตรชายของเรา วันนี้เราประกาศว่า เราเป็นบิดาของเจ้า”

5:6 และในอีกตอนหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า “เจ้าเป็นปุโรหิตองค์นิรันดร์ ตามแบบอย่างของท่านเมลคีเซเดค”

5:7 ระหว่างที่พระเยซูทรงดำเนินชีวิตในโลกพระองค์ทรงทูลอธิษฐานอ้อนวอนด้วยสุรเสียงดังพร้อมน้ำตาพรั่งพรู ต่อพระองค์ผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์จากความตาย และพระเจ้าก็ทรงรับฟังเพราะพระเยซูทรงนบนอบเชื่อฟัง

5:8-10 แม้ว่าทรงเป็นพระบุตร พระองค์ทรงเรียนรู้การเชื่อฟังจากความทุกข์ทรมานที่ทรงเผชิญและเมื่อทรงรับความสมบูรณ์เพียบพร้อมทุกประการแล้ว พระองค์จึงทรงเป็นแหล่งความรอดนิรันดร์แก่ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์และพระเจ้าทรงแต่งตั้งให้พระองค์ทรงเป็นมหาปุโรหิตตามแบบอย่างของท่านเมลคีเซเดค

จิตวิญญาณที่ไม่โต

5:11-12 เรายังมีประเด็นที่จะกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เป็นการยากที่จะอธิบายเพราะพวกท่านเรียนรู้ช้า ถึงแม้ว่าขณะนี้ ท่านควรเป็นครูสอนคนอื่นได้แล้ว ท่านกลับต้องให้มีคนมาสอนหลักการพื้นฐานของพระดำรัสซ้ำอีก ท่านต้องการน้ำนม ไม่ใช่อาหารแข็ง

5:13-14 เพราะทุกคนที่ยังกินนมอยู่คือเด็กทารก ไม่เข้าใจคำสอนเรื่องความเที่ยงธรรม แต่อาหารแข็งนั้นเป็นของผู้ที่เติบโตแล้ว เป็นคนที่ฝึกประสาทสัมผัสของตนเองให้รู้จักแยกความดีออกจากความชั่วถอด

อธิบายเพิ่มเติม

ฮีบรู 5:1 
หันกลับไปอ่านอพยพ 28 เป็นต้นไปเราจะพบว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้จัดระบบการเลือกว่าใครเหมาะสมจะเป็นปุโรหิตได้ในสมัยของโมเสสพวกเขาทำหน้าที่เกี่ยวกับการถวายเครื่องบูชาประจำวัน อย่างเช่นถวายลูกแกะเช้าตัวหนึ่งเย็นตัวหนึ่ง และยังมีการถวายเครื่องบูชาแบบอื่น ๆ ด้วย เราจะเห็นว่า ไม่ใช่ว่าเครื่องบูชาทุกอย่างเป็นการเสียเลือด แต่ยังมีของถวายที่แสดงการขอบพระคุณ และอื่น ๆ อีก

ฮีบรู 5:2-3
ปุโรหิตที่รู้จักตัวเอง จะรู้ตัวดีว่า ตนเองก็เป็นมนุษย์และมีโอกาสทำความผิดเหมือนกับคนของพระเจ้าที่พวกเขากำลังปรนนิบัติรับใช้อยู่
แต่ก็มีปุโรหิตที่ทำไป ๆ ก็คิดว่าตนเองเป็นผู้ที่ดีเหนือผู้อื่น ตรงจุดนี้ สอนเราว่า เราเองต้องมองตนเองให้ถูก เรามีโอกาสพลาดเสมอ ที่เสื้อนอก
ปุโรหิตมีอัญมณี 12 ช่องเพื่อทำให้เขาระลึกถึงชนอิสราเอลทั้งหมดที่เขากำลังรับใช้อยู่ ปุโรหิตที่เข้าใจก็จะเห็นอกเห็นใจคนที่อ่อนแอ

ฮีบรู 5:4
งานอื่น ๆ ในโลก ล้วนเกิดจากความจำเป็น ความถนัด ความชอบ หรือโอกาสที่ได้รับของคนที่ทำงานนั้น แต่งานรับใช้ในพลับพลาหน้าที่ปุโรหิต
หรือเลวี ต้องได้รับการทรงเลือกจากพระเจ้าเพื่อประชากรของพระองค์ ไม่มีใครนึกอยากจะรับใช้ก็มาทำได้ สำหรับคนอิสราเอลแล้ว พวก
เขามาจากเผ่าเลวีซึ่งเป็นครอบครัวหนึ่งที่สืบเชื้อสายมาจากยาโคบ (ยาโคบมีลูกชาย 12 คนที่ออกลูกหลานกลายเป็น 12 ตระกูล)

ฮีบรู 5:5
สถานะการเป็นปุโรหิตของพระเยซูนั้น เหนือชั้นกว่าของปุโรหิตสมัยโมเสสมากนัก เพราะว่าพระองค์ทรงได้รับเลือกจากพระเจ้าโดยตรง และ
พระองค์ทรงทำหน้าที่มากกว่าเป็นผู้สื่อกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นทั้งพระเจ้า และทรงเป็นมนุษย์ และทรงเป็นผู้มารับโทษบนไม้กางเขนแทนโทษที่มนุษย์สมควรจะรับเท่ากับทรงเป็นดั่งลูกแกะที่ถูกถวายเป็นเครื่องบูชาด้วย

ฮีบรู 5:6
ที่สำคัญ พระเยซูไม่ได้ทรงเป็นปุโรหิตตามแบบอย่างของปุโรหิตที่มาจากเผ่าเลวี แต่ทรงเป็นตามแบบของเมลคีเซเดคที่อยู่มาก่อนระบบปุโรหิต
ที่พระเจ้าทรงสถาปนาให้กับคนอิสราเอลในสมัยของโมเสส ชื่อของท่านเมลคีเซเดค ปรากฏเพียงสองครั้งในพระคัมภีร์เดิม แต่มาปรากฏอีกหลายครั้งในหนังสือฮีบรูนี้ ท่านเมลคีเซเดคนั้นเป็นมนุษย์จริง ๆ หรือไม่ หรือเป็นพระเยซูที่มาปรากฏในสมัยของอับราฮัมหรือเปล่านะ?

ฮีบรู 5:7
เรารู้ว่า ก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงนั้น ทรงเข้าไปในสวนเกทเสมนี ทรงเป็นทุกข์ยิ่งนักเพราะความตายที่รออยู่เบื้องหน้า ทั้งทารุณ ทั้งน่าอับอาย พระองค์จะถูกประหารเยี่ยงอาชญากรที่เลวร้ายที่สุด ทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่ได้ทำสิ่งใดผิดเลย แต่ที่ต้องเป็นเช่นนั้นเพื่อจะทรงรับโทษของคนทั้งโลก
ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของพระองค์ นอกจากองค์พระบิดาที่ทรงตอบคำอธิษฐานในคืนนั้น


ฮีบรู 5:8-10
สำหรับเราทั่วไปแล้ว การเชื่อฟังพระเจ้าไม่ใช่มาได้ง่าย ๆ แต่ต้องปฏิเสธตนเอง นิสัยเดิมของเราที่ไม่ตรงกับพระเจ้าต้องถูกกำจัดออกไป แต่พระเยซูคริสต์ไม่ได้มีปัญหาแบบเรา ทรงผ่านไม้กางเขน เป็นความทรมานที่ไม่สมควรจะได้รับ ทรงทนทุกข์พร้อมกับต้องเผชิญความอยุติธรรม แต่ก็ทรงผ่านเป็นที่มาของความรอดของเราทุกคน

ฮีบรู 5:11-12
ผู้เขียนกำลังเล่าเรื่องของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นปุโรหิตตามอย่างมัลคีเซเดค แต่แล้วเขากลับบอกว่า ยากที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้กับผู้อ่าน เป็นเพราะพวกเขาเรียนรู้ช้า ..พวกเขาควรสอนคนอื่นได้แล้ว เป็นคนที่อยู่ในทางของพระเจ้ามานานแล้ว แต่กลับไม่รู้อะไรเอาแต่เรียนเรื่องพื้นฐานซ้ำ กลายเป็นคนที่ไม่อาจเรียนสิ่งที่ลึกกว่านี้ได้

ความจาก ฮีบรู 5:13-14
ในภาษากรีก มีคำชัดเจนว่า เอสเธทิเรียหมายถึง senses ประสาทรับรู้ คำ ๆ นี้หมายความถึงความสามารถในการรับรู้ด้วยจากประสาทสัมผัส สติสัมปัญชัญญะหรือเชาวน์ปัญญา ว่าอะไรดีอะไรชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า ตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องฝึกตัดสินใจว่าอะไรดีชั่ว หนังสือสุภาษิตก็เป็นหนึ่งที่ช่วยสอนเราในเรื่องนี้ 


พระคำเชื่อมโยง

1* ฮีบรู 2:17; 8:3
2* ฮีบรู 7:283* เลวีนิติ 9:7; 16:6
4* อพยพ 28:1
5* ยอห์น 8:54; สดุดี 2:7
6* สดุดี 110:4

7* มัทธิว 26:39, 42, 44; สดุดี 22:1; มัทธิว 26:53, 39
8* ฟีลิปปี 2:8
9* ฮีบรู 2:10
10* สดุดี 110:4

11* ยอห์น 16:12; มัทธิว 13:15
12* 1โครินธ์ 3:1-3
13* เอเฟซัส 4:14
14* อิสยาห์ 7:15

ฮีบรู 4 พระสัญญาแห่งการพัก

4:1 ดังนั้น ในขณะที่พระสัญญาเรื่องการเข้าสู่ที่พักของพระเจ้ายังคงใช้ได้อยู่
เราก็จงระวัง (จงเกรงกลัว) ที่จะไม่ให้มีใครสักคนพลาดไปจากการพักนี้
4:2 เพราะเราเองก็ได้รับข่าวประเสริฐเหมือนอย่างพวกเขา แต่เนื้อหาที่เขา
ได้ยินกลับไม่มีคุณค่าสำคัญแก่พวกเขา เพราะเขาได้ยินแต่ไม่เชื่อสิ่งที่พระเจ้า
ตรัสกับเขา
4:3 บัดนี้ เราที่เชื่อได้เข้าไปสู่การพักนั้น แต่สำหรับผู้อื่น พระเจ้าตรัสว่า
“เราจึงปฏิญาณด้วยความโกรธของเราว่า พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักของเรา” แม้ว่าราชกิจของพระองค์สำเร็จเสร็จสิ้นตั้งแต่การสร้างโลก
4:4-5 มีตอนหนึ่งพระองค์ได้ทรงกล่าวถึงวันที่เจ็ดว่า “ในวันที่เจ็ด พระเจ้าทรงหยุดพักจากราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์”และอีกครั้งหนึ่งในข้อความข้างต้น
พระองค์ตรัสว่า “พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าสู่การพักของเรา”

4:6 ที่ยังคงเป็นอย่างนี้คือ บางคนจะได้เข้าสู่การพักของพระองค์ และเหล่าคนที่ได้ยินข่าวประเสริฐในครั้งก่อน ไม่ได้เข้าไป เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟัง
4:7 พระเจ้าจึงทรงกำหนดอีกวันขึ้นมาอีกครั้งโดยเรียกว่า “วันนี้”หลังจากเวลาผ่านไปนานแล้ว พระองค์ได้ตรัสเรื่องนี้ผ่านดาวิดเหมือนที่ได้ตรัสไว้ก่อนว่า “วันนี้ หากท่านได้ยินเสียงของพระองค์ ก็อย่าทำใจแข็ง”
4:8-10 เพราะหากโยชูวาได้ให้พวกเขาเข้าพัก พระเจ้าก็คงจะไม่ได้ตรัสถึงวันอื่นอีกในภายหลัง จึงมีวันสะบาโตให้คนของพระเจ้าได้พัก เพราะว่าคนใดที่ได้เข้าสู่การพักของพระเจ้า ก็ได้พักจากงานของเขาเหมือนกับที่พระเจ้าทรงหยุดพักจากราชกิจของพระองค์

เห็นตนเองจากพระคำของพระเจ้า

4:11 ดังนั้นให้เราพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้าสู่การพักดังกล่าวเพื่อจะไม่มีใครพลาดไปเพราะทำตามอย่างการไม่เชื่อฟังของพวกเขา
4:12 เพราะพระคำของพระเจ้านั้นมีชีวิตและมีอานุภาพ คมยิ่งกว่าดาบสองคม สามารถแทงลึกลงไปในจิตและวิญญาณ ทั้งข้อต่อและไขกระดูก สามารถวินิจฉัยทั้งความคิดและความมุ่งหมายในใจ 
4:13 ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าทรงสร้างจะหลบซ่อนจากพระเนตรของพระเจ้าได้เลย ทุกอย่างถูกเปิดเผย ถูกตีแผ่ต่อพระเนตรของพระองค์ผู้ที่เราต้องถวาย
คำรายงาน

องค์มหาปุโรหิตผู้ทรงเมตตา

4:14 ดังนั้น ในเมื่อเรามีองค์มหาปุโรหิตผู้ทรงผ่านสวรรค์มาแล้ว คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ก็ให้เรายึดมั่นในคำที่เรายอมรับด้วยปาก
4:15 เพราะเรามิได้มีองค์มหาปุโรหิตที่ไม่อาจเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่เรามีพระองค์ผู้ทรงถูกลองใจ เหมือนพวกเราทุกอย่าง ถึงอย่างนั้น
พระองค์ก็ทรงไร้บาป
4:16 ให้เราเข้ามาใกล้บัลลังก์แห่งพระคุณด้วยความมั่นใจ เพื่อว่าเราจะได้รับ
พระเมตตาและพบพระคุณที่จะช่วยเราในยามที่จำเป็น

อธิบายเพิ่มเติม

ฮีบรู 4:1
น่าแปลกที่เราได้ยินเรื่องของการที่คนอิสราเอลใจแข็ง และการที่พวกเขาไม่ได้เข้าไปยังดินแดนแห่งการพักของพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงล้มเลิกการพักดังกล่าว “ยังคงใช้ได้อยู่” เท่ากับว่าใช้ได้กับคริสเตียนยิวที่อ่านหนังสือฮีบรู และยังใช้ได้กับพวกเราที่เชื่อด้วย การพักดังกล่าวไม่ได้หมายถึงการพักผ่อนธรรมดาหรือแผ่นดินแต่หมายถึงการที่ผู้เชื่อจะได้มีส่วนในชีวิตนิรันดร์กับพระองค์เป็นการพักตลอดไป

ฮีบรู 4:2
การได้ยินข่าวประเสริฐส่งผลสองทาง คือทางหนึ่งไปอยู่กับพระเจ้าเป็นนิตย์ อีกทางคือการแยกออกจากพระองค์ตลอดไป ขึ้นอยู่กับคนที่ได้ยินนั้นเชื่อหรือไม่เหมือนกับที่ท่านเปาโลได้กล่าวว่าข่าวประเสริฐเป็นกลิ่นอันหอมหวานสำหรับคนที่เชื่อ แต่เป็นกลิ่นแห่งความตายสำหรับคนที่ไม่รับ2 โครินธ์ 2:15-17 เราจะเห็นว่ามนุษย์ทุกคนได้รับผลจากการตัดสินใจของตนว่า จะรับหนทางของพระเจ้าหรือไม่รับ

ฮีบรู 4:3 (สดุดี 95:11)
ชัดเจนว่า มีคนสองพวกที่ผู้เขียนจะพูดถึงบ่อย ๆคือคนที่พระเจ้าทรงให้เข้าสู่การพัก กับคนที่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้เข้าสู่การพักนั้นทำไมพระเจ้าทรงโกรธ? มันก็น่าอยู่หรอก เพราะว่าพระองค์ทรงทำราชกิจของพระองค์เพื่อมนุษย์ให้พวกเขาทั้งมีความสุขและได้ประโยชน์กับสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง และยังทรงยื่นความสัมพันธ์สนิทให้กับเขา แต่พวกเขากลับเมินพระองค์ รับแต่เพียงความสุขแต่ไม่ได้รับพระองค์ผู้ประทานความสุขนั้น

ฮีบรู 4:4-5
พระเจ้าทรงกล่าวถึงการพัก ซึ่งมีความหมายถึงราชอาณาจักรของพระองค์ การที่พระเจ้าทรงปกครองอยู่เหนือชีวิตของผู้ที่เชื่อ พระเจ้าทรงทำการของพระองค์ตลอดเวลาก็จริง แต่พระองค์ทรงสงวนวันหนึ่งไว้ที่คนของพระองค์จะไดัพักจากงานประจำ และเข้ามาติดสนิทกับพระองค์ ข้อนี้พูดถึงวันที่เจ็ด .. เป็นการพักสะบาโต คนยิวเข้าใจทันทีว่า คำ ๆ นี้มีความหมายถึงอะไรบ้าง

ฮีบรู 4:6
การพักดีที่สุดคือการมีความสัมพันธ์สนิทกับพระเยซู ศาสนาต่าง ๆ พยายามให้คนมีการพัก ทำสมาธิ เขาฌาณ เป็นการทำให้พ้นทุกข์ ให้พักใจ แต่ในการทำอย่างนั้น ไม่ได้มีใครเข้ามาแบ่งปันสุขทุกข์ที่กำลังเผชิญ การพักในพระเจ้านั้นแตกต่าง เพราะพระเยซูเป็นผู้ประทานสันติสุขในการพักนั้น ยอห์น 14:27

ฮีบรู 4:7
พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับคำว่า วันนี้ หลายครั้ง ในครั้งนี้ พระเจ้าตรัสกับคนยิวว่า อย่าดื้อดึง อย่ากบฏต่อพระเจ้า พระคำตอนนี้มาจากสดุดี 95 ซึ่งกษัตริย์ ดาวิดเองได้เผชิญกับการช่วยเหลือและการลงโทษของพระเจ้าด้วยตัวท่านเอง เมื่อท่านไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าทรงตักเตือนด้วยชีวิตของลูกชายของท่าน ดาวิดจึงเข้าใจดีว่า การใจแข็งนั้น ส่งผลร้ายอะไรให้กับ
ชีวิตบ้าง ท่านเตือนแล้ว ก็ฟังเถอะ

ฮีบรู 4:8-10
เรื่องการพักดังกล่าว เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้เขียนฮีบรูย้ำนักหนาว่า คนที่เชื่อในพระเจ้าจริง ๆ จะได้มีโอกาสพัก การเชื่อและเชื่อฟังพระเจ้า ทำให้คนหนึ่ง ๆ ได้พักสงบกับพระเจ้า แม้ว่าเขาจะต้องต่อสู้อะไรต่าง ๆ มากมาย การพักผ่อนในพระเจ้าไม่ได้มีเฉพาะวันที่พระเจ้าพักจากราชกิจ แต่เป็นการพักที่คนของพระเจ้าได้ทำต่อสืบเนื่องกันมาจนปัจจุบัน การพักวันสะบาโต เป็นพักที่มีนัยสำคัญคือเราได้พัก พร้อมกับมีสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า

ฮีบรู 4:11
เรื่องของการพักที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรานั้นเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยคิดกันเท่าไร ยิ่งโลกทุกวันนี้ทำให้เราไม่ได้มีโอกาสพักเลย สมอง สายตาหูของเราทำงานตลอดเวลาเพราะจอดำที่อยู่ข้างตัว สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนไม่ใช่ปัญหา แต่จริงแล้วเป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะมันทำให้เราไม่ขยัน ไม่มีความพยายามที่จะพักกับพระเจ้า ไม่ใช่แค่ไม่เชื่อหรือไม่เชื่อฟังเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการที่เราไม่สนใจคำเตือนของพระเจ้าเลย

ฮีบรู 4:12
พระดำรัสของพระเจ้านั้น ไม่เหมือนคำของคนทั่วไป เพราะเป็นพระดำรัสที่มีชีวิต นั่นคือเมื่อเรามาอ่านพระคัมภีร์ เท่ากับเรากำลังฟังสิ่งที่พระเจ้ากำลังตรัสกับเราโดยตรง พระคำเป็นดั่งบุคคล ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือ และยังมีอานุภาพเหนือเรา
ด้วย บางครั้งอ่านแล้วเจ็บแปลบปลาบเข้าไปลึกมากเพราะพระคำมองเห็นใจของเราทะลุปรุโปร่ง เราไม่อาจปิดบังความคิดของเราไว้จากพระคำของพระเจ้าเลย ล้อมเราไว้หมด..

ฮีบรู 4:13
แม้ความคิดของเราเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่พระเจ้าทรงรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ ถ้าคิดนั้นบาป พระคำของพระเจ้าสามารถเข้าไปและรักษาความคิดบาปนั้นได้ เมื่อเรายอม และขอความช่วยเหลือจากพระองค์การที่เราต้องถวายรายงานต่อพระเจ้านั้น เป็นสิ่งน่ากลัวหากเรายังมีบาปอยู่ในชีวิต การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนจึงจำเป็นต่อชีวิตในภายภาคหน้าของเรา เราต้องมาหาพระองค์ขอทรงลบบาปทั้งสิ้นที่เราไม่ต้องการตีแผ่ให้ใครได้รับรู้!

ฮีบรู 4:14
พระคำข้อนี้ และข้อต่ำ ๆ ไปจะกล่าวถึงพระเยซูในฐานะที่ทรงเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อ พระบุตรของพระเจ้าทรงเป็นหลายอย่างในชีวิตของเรา ทรงเป็นพระผู้เลี้ยงที่สละชีวิตของพระองค์ ทรงเป็นพระผู้ไถ่บาป ทรงเป็นแสงสว่างที่นำทางไปยังเป้าหมายคือชีวิตนิรันดร์ ได้อยู่กับพระเจ้าตลอดไปและที่สำคัญ ทรงเป็นผู้ติดต่อกับพระเจ้าเพื่อเราเราไม่ต้องไปสารภาพบาปกับมนุษย์คนใด แต่เรามาหาพระเยซู แล้วเราจะได้เข้าถึงองค์พระบิดา

ฮีบรู 4:15
ทุกคนที่เป็นมนุษย์ แม้ว่าคนๆ นั้น มีหน้าที่ปุโรหิตหรือในสมัยนี้ เป็นอาจารย์ ศิษยาภิบาล ผู้รับใช้ต่างมีความอ่อนแอ และแข็งแรงในแต่ละเวลาไม่เท่ากัน และมีโอกาสที่จะชนะหรือแพ้การทดลองที่ผ่านเข้ามาแต่ละชั่วโมงไม่เท่ากันด้วย พระเยซู
องค์เดียวเท่านั้นที่ทรงเป็นมนุษย์เต็มร้อย ที่ไม่แพ้การทดลองอย่างมนุษย์ทั่วไป พระองค์นี้ที่ทรงเป็นผู้กลางระหว่างพระเจ้ากับเรา เราจึงมีความมั่นใจว่า เราจะผ่านไปสู่ชีวิตนิรันดร์โดยพระองค์

ฮีบรู 4:16
เราจึงเข้ามาเฝ้าพระเจ้าด้วยตัวเองอย่างมั่นใจไม่ต้องหวังพึ่งคนกลางที่เป็นมนุษย์ เมื่อสารภาพบาป เราก็สารภาพกับพระเจ้าโดยตรง ณ ที่นั้นเราจะได้รับพระเมตตา และพระคุณของพระเจ้าที่มนุษย์คนใดไม่อาจให้ได้ ในเวลาเดียวกัน เราอย่าลืมว่า พระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้พิพากษาอย่างยุติธรรมด้วย เราเป็นคนบาปตกอยู่ในบาป ถ้าหากเราไม่ได้มารับ มาพบ
พระบัลลังก์แห่งพระคุณ เราจะไหวหรือ??

พระคำเชื่อมโยง

1* ฮีบรู 12:15
3* สดุดี 95:11
4* ปฐมกาล 2:2
5* สดุดี 95:11
7* สดุดี 95:7-8

8* โยชูวา 22:4
11* 2 เปโตร 1:10
12* สดุดี 147:15; อิสยาห์ 49:2; เอเฟซัส 6:17; 1 โครินธ์ 14:24-25

13* สดุดี 33:13-15; 90:8; โยบ 26:6
14* ฮีบรู 2:17; 7:26; ฮีบรู 10:23
15* อิสยาห์ 53:3-5; ลูกา 22:28
16* เอเฟซัส 2:18

ฮีบรู 3 มั่นคงจนจบ

พระบุตรทรงซื่อตรง




3:1 ดังนั้น เหล่าพี่น้องผู้บริสุทธิ์ผู้มีส่วนในการทรงเรียกจากสวรรค์ จงใส่ใจ จดจ่อที่พระเยซูผู้ทรงเป็นองค์อัครทูต และมหาปุโรหิตซึ่งเรารับว่าเราเชื่อพระองค์
3:2 พระองค์ทรงซื่อตรงต่อพระเจ้าผู้ทรงแต่งตั้งพระองค์ เหมือนกับที่โมเสส
ซื่อตรงต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบ้านของพระเจ้า
3:3 เหตุว่าพระเยซูทรงสมควรที่จะรับเกียรติยิ่งใหญ่กว่าเกียรติของโมเสส
ดังที่ผู้สร้างบ้านย่อมมีเกียรติกว่าตัวบ้าน
3:4-5 และบ้านทุกหลังก็จะมีผู้สร้างแต่พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง โมเสสซื่อตรงในฐานะที่ท่านเป็นผู้รับใช้ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบ้านของพระเจ้า เป็นพยานเรื่องต่าง ๆที่พระเจ้าจะตรัสในเวลาต่อมา 
3:6 แต่พระคริสต์ทรงซื่อตรงในฐานะบุตรชายที่ทรงครอบครองบ้านของ
พระเจ้า และเรานี่แหละคือบ้านของพระเจ้า หากเรายืนหยัดใน
ความมั่นใจ และความยินดีในความหวังอย่างมั่นคงจนถึงที่สุด

ภักดีต่อพระสุรเสียง

3:7-8 ดังนั้น ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสไว้คือ
“วันนี้ ถ้าเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์
ก็อย่าทำใจแข็งเหมือนครั้งที่เจ้าได้ดื้อรั้นต่อเราในวันที่ถูกทดสอบในถิ่นกันดาร
3:9-11 เป็นที่ซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้ทดสอบและลองดีกับเรา
ทั้งที่ได้เห็นแล้วว่าราชกิจของเราคืออะไรในสี่สิบปีนั้น
เราจึงกริ้วต่อคนรุ่นนั้น และเรากล่าวว่า
“ใจของพวกเขาโน้มเอียงที่จะหลงผิดเสมอ
และไม่รู้จักหนทางของเรา
เราจึงสาบานในความโกรธของเราว่า
“พวกเขาจะไม่มีวันได้เข้าในการพักของเรา”

ให้กำลังใจกันในวันนี้

3:12-13 พี่น้องทั้งหลาย จงระวังระไวว่า จะไม่มีคนใดในพวกท่านมีใจโฉดชั่ว และไม่เชื่อแล้วหันหลังไปจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
แต่จงให้กำลังใจกันทุกวันตราบเท่าที่เรียกว่า
“วันนี้” เพื่อว่าจะไม่มีใครสักคนในพวกท่านใจแข็งไปเพราะการล่อลวงของบาป

3:14-15 เราได้มามีส่วนร่วมกับพระคริสต์
หากเรามั่นคงในความเชื่อมั่นที่เรามีแต่ต้นจนถึงที่สุด
ตามที่มีการกล่าวไว้ว่า “วันนี้ หากว่าเจ้าได้ยิน
พระสุรเสียงของพระองค์
ก็อย่าทำให้ใจของเจ้าแข็งกระด้างเหมือนในวันที่เจ้ากบฏ”

ความล้มเหลวของคนในถิ่นกันดาร



3:16-17 ใครนะที่เป็นคนที่ได้ยินแล้วยังกบฏ? ไม่ใช่ทุกคนที่โมเสสได้พาออกมาจากอียิปต์หรอกหรือ? แล้วพระเจ้าทรงโกรธใครเป็นเวลาสี่สิบปีเล่า? ไม่ใช่คนที่ทำบาป แล้วร่างของพวกเขาก็ล้มตายในถิ่นกันดารหรอกหรือ?

3:18-19 แล้วพระเจ้าทรงปฏิญาณกับใครว่าจะไม่ได้เข้าที่พักของพระองค์
ถ้าไม่ใช่คนที่ขาดการเชื่อฟัง? ดังนั้น เราจึงเห็นว่า ที่พวกเขาไม่อาจเข้าไปได้ก็เป็นเพราะพวกเขาไม่เชื่อ

อธิบายเพิ่มเติม

ฮีบรู 3:1
ผู้มีส่วนในการทรงเรียก กับคำว่า สหาย ใน 1:9 เป็นคำ ๆ เดียวกัน ผู้เขียนให้เราตั้งใจ พินิจพิจารณาความซื่อตรงขององค์พระเยซู ผู้ทรงเป็น
ทั้งอัครทูตและปุโรหิต พระคำตอนนี้ย้ำว่าพระเยซูทรงเป็นทั้งผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาเพื่อจะทำให้โลกได้รู้จักพระบิดา (ยอห์น 14:7)และเป็นตอนเดียวที่เน้นถึงตำแหน่งของพระองค์ทั้งสองตำแหน่งคือผู้ที่ถูกส่งมา และในฐานะปุโรหิต ทรงผู้ที่เป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
ฮีบรู 3:2
คนยิวที่เป็นคริสเตียนเป็นคนได้รับจดหมาย พวกเขาเห็นว่าโมเสสเป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่กว่าใครผู้เขียนได้เปรียบเทียบพระเยซูกับโมเสส ว่า
ทั้งสองต่างชื่อตรงต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาสิ่งที่โมเสสได้ทำในสมัยของท่านต่างเป็นเหมือนเงาของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในสมัยของพระเยซู ท่านทั้งสองเป็นผู้ดูแลที่ซื่อตรงในงานของท่าน( 1 โครินธ์ 4:2, กันดารวิถี 12:7, ฮีบรู 2:17)
ฮีบรู 3:3
ตัวบ้านในที่นี้คือชุมชนของพระเจ้าที่พระเยซูทรงสร้างขึ้นด้วยพระโลหิตของพระองค์ พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าโมเสส เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างบ้านหรือครอบครัว หรือชุมชนของผู้เชื่อด้วยพระองค์เอง โมเสสนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนผู้เชื่อเขาไม่ได้เป็นผู้สร้างอย่างที่พระเยซูทรงทำ เอเฟซัส 2:19-22 “สมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าซึ่งมีรากฐานอยู่บนอัครทูต ผู้กล่าวพระคำและพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศิลามุมเอก”
ฮีบรู 3:4-5
สิ่งที่โมเสสได้สร้าง ต่างชี้ไปยังพระผู้ช่วยให้รอดที่จะมา ท่านเป็นผู้รับใช้ที่สร้างพลับพลาขึ้นตามรายละเอียดทุกขั้นตอน ท่านเป็นผู้ดูแล “บ้าน”
ของพระเจ้าหรือชุมชนอิสราเอลในเวลานั้น โดยที่ทุกสิ่งที่ท่านทำชี้ไปยังราชกิจของพระเยซูที่ทรงสร้าง ดูแล “บ้าน” ของพระเจ้าในสมัยของ
พระองค์ คือทั้งคนอิสราเอล และคนต่างชาติที่รวมตัวกันเป็นคริสตจักรของพระเจ้า คนของพระเจ้าจากโมเสสถึงปัจจุบัน คือ บ้าน ที่กล่าวถึง
ฮีบรู 3:6
นี่ไง พวกเราที่เชื่อ คือบ้านแท้ของพระคริสต์ คนที่อยู่ในพระคริสต์ คือสมาชิกแท้ในครอบครัวยิ่งใหญ่นี้ การมีคริสตจักรจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พระคริสต์ประทับอยู่กับกลุ่มผู้เชื่อทรงเป็นพระบุตรที่เป็นศีรษะของชุมชนนี้ โคโลสี 1:18 และพระองค์ยังทรงเป็นศิลามุมเอกด้วย (เอเฟซัส 2:19-22)
คริสตจักร เป็นคนกลุ่มที่มั่นใจ มั่นคงในองค์พระเยซูผู้เป็นบุตรชายที่ครองบ้านจนถึงที่สุด
ฮีบรู 3:7-8
พระคำตอนต่อไปนี้ พระเจ้าตรัสถึงการพักผ่อนฝ่ายวิญญาณ เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมรีบาห์ และมัสสาห์ในถิ่นกันดาร (ฮีบรูเอาคำมาจากสดุดี 95
เหตุการณ์จริงบันทึกไว้ที่ อพยพ 17) เรื่องของเรื่องคือ หากพระเจ้าตรัส ก็อย่าดื้อ อย่าหาเหตุผลมากลบเกลื่อนพระบัญชาของพระองค์ วันแห่งการ
ทดสอบครั้งนั้น มีมาเพื่อคนอิสราเอล แล้วพวกเขาไม่ผ่านการทดสอบ เพราะพบว่า พวกเขาไม่ได้วางใจ ไม่เชื่อฟัง บ่น ว่า ยั่วยุเหมือนเดิม
ฮีบรู 3:9-11
พระเจ้าทรงให้พวกเขาเข้าไปในแผ่นดินที่สัญญา แต่พวกเขากับปฏิเสธ เพราะกลัวคนในพื้นที่ซึ่งดูตัวใหญ่ น่ากลัว มากกว่าที่จะเกรงกลัวพระเจ้าที่
ทรงนำเขามาตลอดสี่สิบปี พวกเขาเห็นการอัศจรรย์มากมาย คนเป็นล้านที่ต้องการน้ำพระเจ้าก็ประทานน้ำให้อย่างมากมายไม่ใช่เพื่อให้คนดื่มกินคนละนิดละหน่อย แต่ประทานให้อย่างล้นเหลือ ถึงกระนั้นพวกเขายังไม่สำนึกในความรักยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงช่วยพวกเขามาโดยตลอด

ฮีบรู3:12-13
มีปัจจัยหลายอย่างเกิดขึ้นทำให้ใครคนหนึ่งห่างไปจากทางของพระเจ้า เพื่อนต้องคอยดูเพื่อนว่า มีอะไรบ่งว่าเขากำลังจะออกจากทางของพระเจ้า และการเตือนสติ การอธิษฐานเผื่อจะต้องทำตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปจนกู่ไม่กลับ เพราะหากเขาไปไกลแล้ว การจะช่วยให้กลับมาในทางของพระเจ้าก็ยากขึ้นไปอีก ผู้เขียนฮีบรูจึงเตือนสติเราให้ช่วยกันระวังระไว

ฮีบรู 3:14-15
อย่างที่เราบอกว่า การเริ่มต้นดีไม่ได้หมายความว่าจะจบดี เคล็ดลับคือ เราต้องพากเพียรบากบั่น ในการแสวงหาที่จะรู้จักพระเจ้ามากขึ้น เราอย่าไปเชื่อว่า ในพระเจ้ามีความรู้แค่นี้ก็พอ รู้แค่กางเขนคริสตมาส อีสเตอร์ก็พอ ในพระเจ้ามีสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ไม่มีวันจบ เราต้องไม่ยอมให้ใจของเราแข็งกระด้างไป ใจแข็งเกิดจากการได้ยินเสียงของพระเจ้าแล้วทำเฉยเมย ไม่นำพา ขอให้เราได้เป็นดินดีที่เกิดผลในสวนแห่งความเชื่อ

ฮีบรู 3:16-17
พระเจ้าทรงนำประชากรของพระองค์ผ่านถิ่นกันดารเพื่อไปสู่ดินแดนที่ทรงสัญญาก็จริง แต่ว่าเป้าหมายสูงสุดของพระองค์นั้น เพื่อพวกเขาจะ
ได้เข้ามาอยู่กับพระองค์ มีการพักอย่างนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากอียิปต์สู่คานาอัน เป็นเรื่องเดียวกันกับชีวิตของเราที่ออก
จากบาปไปสู่การพักพิงในพระเจ้า ผ่านถิ่นกันดารผ่านการช่วยเหลือของพระเจ้า แล้วเราเองต้องตัดสินใจว่าจะวางใจพระองค์ไปจนสุดทางหรือไม่

ฮีบรู 3:18-19(อ่านกันดารวิถี 14 เพิ่มเติม)
อิสราเอลที่ตายเป็นเบือในถิ่นกันดาร เป็นเพราะการที่พวกเขาไม่เชื่อฟังนั่นเอง อะไรเป็นเหตุที่ทำให้เขาไม่ฟังเสียงของพระเจ้า? อะไรที่ทำให้คิดว่า
พระเจ้าทรงทำผิดไปหมด? ใจขอบพระคุณไม่มี ขอบ่น ขอสู้ ขอทะเลาะกับโมเสส บ่นด่าว่าท่านตลอดมา พวกเขาดื้อดึง ไม่ฟังเสียงของพระเจ้าชวนกันต่อต้าน จนกระทั่งโมเสสก็ไม่ไหว อารมณ์ชั่ววูบที่ตอบโต้พวกเขาทำให้ท่านเองก็ไม่ได้เข้าในแผ่นดินคานาอัน

พระคำเชื่อมโยง

1* สดุดี 110:4
2* กันดารวิถี 12:7
3* เศคาริยาห์ 6:12-13
4* เอเฟซัส 2:10

5* ฮีบรู 3:2; อพยพ 14:31; เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15, 18-19
6* ฮีบรู 1:2; 1โครินธ์ 3:16; มัทธิว 10:22
7* กิจการ 1:16; สดุดี 95:7-11

15* สดุดี 95:7-8
16* กันดารวิถี 14:2, 11, 3017* กันดารวิถี 14:22-23
18* กันดารวิถี 14:1019* 1โครินธ์ 10:11-12


ฮีบรู 2 ความรอดจากพระบุตร

อย่าเฉยเมยต่อความรอด

2:1 เราจะต้องใส่ใจต่อสิ่งที่เราได้ยินมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อว่าเราจะไม่หลงไป
2:2เพราะหากคำที่ทูตสวรรค์กล่าวนั้นยังมีผลผูกมัด และการล่วงละเมิดการไม่เชื่อฟังทุกอย่างจะได้รับการลงทัณฑ์อย่างยุติธรรม….
2:3 หากเราละเลยความรอดที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เราจะหนีรอดไปได้อย่างไร? องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ประกาศเรื่องความรอดมาตั้งแต่แรก และได้รับการยืนยันจากคนที่ได้ยินจากพระองค์
2:4แล้วพระเจ้าก็ทรงยืนยันรับรองด้วยหมายสำคัญ สิ่งมหัศจรรย์ การอัศจรรย์และของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระองค์ประทานให้ตามพระดำริของพระองค์

พระบุตรที่ทรงต่ำกว่าทูตสวรรค์ขณะหนึ่ง

2:5-6 พระองค์ไม่ได้ให้ทูตสวรรค์ปกครองโลกในอนาคตที่กำลังมา ซึ่งเรากล่าวถึงแต่มีคนได้กล่าวคำยืนยันไว้ว่า “มนุษย์เป็นใคร ที่พระองค์ทรงคิดถึง? บุตรของมนุษย์เป็นใครที่พระองค์ทรงดูแลรักษาเขา? (สดุดี 8:4)
2:7พระองค์ทรงทำให้ท่านต่ำกว่าทูตสวรรค์ชั่วขณะหนึ่ง พระองค์ทรงสวมมงกุฎแห่งศักดิ์ศรี และเกียรติยศให้แก่ท่าน ทรงให้ท่านอยู่เหนือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง (สดุดี 8:5-8)
2:8 และทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้เท้าของท่าน”เมื่อพระเจ้าทรงให้ทุกสิ่งอยู่ในการควบคุมของท่าน จึงไม่มีสิ่งใดเลยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของท่านแต่ในเวลานี้ เรายังไม่เห็นว่า ทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของท่าน
2:9 แต่เราเห็นองค์พระเยซู ผู้ทรงถูกจัดให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์ชั่วขณะ ทรงรับมงกุฎที่ทรงพระสิริและทรงรับพระเกียรติ เพราะพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์อย่างทรมานเพื่อว่า โดยพระคุณของพระเจ้าพระองค์ทรงเผชิญความตายเพื่อทุกคน

นำบุตรมากมายมาถึงพระสิริ


2:10 การที่จะนำบุตรมากมายมาถึงพระสิรินั้นนับว่าเหมาะสมที่พระเจ้าผู้ที่สรรพสิ่งทั้งปวงดำรงอยู่ทั้งเพื่อพระองค์ และโดยพระองค์ จะทรงทำให้ผู้ เปิดทางแห่งความรอดของพวกเขาได้ทรงเพียบพร้อมผ่านการทนทุกข์
2:11 ทั้งสองฝ่ายคือ พระองค์ผู้ทรงชำระให้บริสุทธิ์กับผู้ที่รับการชำระนั้นเป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้น พระเยซูจึงไม่ทรงละอายที่จะเรียกพวกเขาว่า พี่น้อง
2:12 พระองค์ตรัสว่า “ข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระองค์แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ท่ามกลางที่ประชุม”(สดุดี 22:22)
2:13 และยังตรัสอีกว่า “ข้าพเจ้าจะวางใจในพระองค์” และตรัสอีกครั้งว่า “ข้าพเจ้า รวมทั้งบุตรที่พระเจ้าประทานให้แก่ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” (อิสยาห์ 8:17-18)
2:14 บัดนี้ ในเมื่อบุตรทั้งหลายเป็นเลือดเป็นเนื้อ พระองค์ก็จะทรงเข้ามามีส่วนในการเป็นมนุษย์แบบเดียวกับพวกเขา เพื่อว่า พระองค์จะทรงทำลายผู้ที่มีอำนาจแห่งความตายคือมารด้วยการสิ้นพระชนม์

ทรงเป็นเหมือนพี่น้องทุกประการ

2:15-16 และจะทรงช่วยปลดปล่อยผู้ที่ทั้งชีวิต
ตกเป็นทาสความกลัวตายเพราะพระองค์มิได้ทรงช่วยเหล่าทูตสวรรค์
แต่ทรงช่วยลูกหลานของอับราฮัม
2:17 ด้วยเหตุนี้ จึงต้องให้พระองค์เป็นเหมือนพี่น้องของพระองค์ทุกประการ
เพื่อว่าจะทรงมาเป็นมหาปุโรหิตผู้ทรงเต็มด้วยความเมตตา
และทรงซื่อตรงในการรับใช้พระเจ้า
เพื่อจะทรงลบล้างบาปให้กับผู้คนทั้งหลาย
2:18 เพราะพระองค์เองทรงเป็นทุกข์เมื่อทรงถูกทดลองใจพระองค์
จึงทรงสามารถที่จะช่วย (ทั้งปลอบใจและช่วยกู้)
เหล่าคนที่ถูกทดลองใจ

อธิบายเพิ่มเติม

ฮีบรู 2:1
เวลาเรารู้เรื่องอะไร ไม่ว่าจะใหม่ เก่า ใกล้ตัวหรือไกลตัว หากว่าเราได้ยินแล้ว เราก็ปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่สนใจ อีกไม่กี่วันเราก็จะลืม และสิ่งที่รู้ก็ไม่ส่งผลต่อชีวิตในทางที่ดี เหมือนกับเวลาเราลอยตัวในน้ำ แล้วปล่อยให้น้ำพาเราล่องลอยไปตามสายลมที่พัดมา วิธีง่ายสุดที่เราจะไม่ได้พบแผ่นดินสวรรค์แต่กลับเจอนรกก็คือ การที่เราปล่อยชีวิตไปวัน ๆ ห่างจากพระเจ้าไปทีละน้อยจนกู่ไม่กลับค่อย ๆ ลืมพระองค์ ค่อย ๆ ล่องลอยออกไป
ฮีบรู 2:2
ตั้งแต่สมัยโบราณมา เมื่อคนอิสราเอลไม่เชื่อฟังพระเจ้า จะมีผลสืบเนื่องเสมอมา ตอนที่พวกเขาหันไปไหว้รูปวัวทองคำ พระเจ้าทรงให้เกิดภัยพิบัติแก่พวกเขา (อพยพ 32:35) และเมื่ออาคานเก็บของบางสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาต เขาและครอบครัวก็ถูกหินขว้างจนตาย (โยชูวา 7)ผู้เขียนฮีบรูได้เตือนสติ
ให้เรา เอาใจใส่สิ่งที่เราฟังจากพระคำ อ่านจากพระคัมภีร์ สิ่งที่ได้ยินจาก การเตือนสติจากคนรอบข้าง
ฮีบรู 2:3
ความรอดที่ยิ่งใหญ่นี้ มีมาเพื่อชาวโลกผ่านการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระเจ้าทรงบอกเราเรื่องความรอดมาตั้งแต่หนังสือปฐมกาล เป็นเพราะพระเจ้าไม่ทรงประสงค์ให้มนุษย์แม้สักคนเดียวต้องพินาศ และทรงยื่นความรอดให้พวกเขาโดยพระบุตรของพระองค์ แต่สำหรับคนที่ปฏิเสธ คนที่คิดว่าตนเองเก่งกว่าพระเจ้า เขาก็จะไม่ได้รับความรอดนั้น
ฮีบรู 2:4
เรื่องของความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์นี้ เป็นเรื่องที่เชื่อถือได้แน่นอน เพราะว่า พระเจ้าทรงให้เกิดหมายสำคัญ การอัศจรรย์ต่าง ๆ ในทั้งในเวลาที่พระเยซูทรงอยู่ในโลกนี้ รวมไปถึงของประทานแห่งพระวิญญาณ ที่ทำให้เกิดผลดีในคริสตจักรในเวลาต่อมา เหตุการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวมีพยานเห็น และบันทึกไว้อย่างชัดเจน เรื่องที่คนเห็นเป็นพยานนั้นสำคัญ และเมื่อบอกว่าพระเจ้าทรงรับรองว่าเป็นจริงก็สำคัญมากขึ้นอีก
ฮีบรู 2:5-6
แล้วผู้เขียนก็ยืนยันกับคนยิวที่คิดว่า ทูตสวรรค์ใหญ่ และคงจะได้ปกครองโลก .. ทูตสวรรค์ไม่ใช่ผู้ที่จะครองมนุษยชาติ แต่จะเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่เป็นมนุษย์พิเศษกว่าใคร ๆ เพราะท่านผู้นั้น เป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้าเต็มร้อย ในฮีบรู 1:3ย้ำว่า พระบุตรทรงเป็นรัศมีแห่งพระเกียรติสิริตระการของพระเจ้า และข้อต่อมาบอกว่าทรง
ดำรงสถานะเหนือเหล่าทูตสวรรค์ เพราะว่าพระนามสูงส่งเหนือกว่านามของทูตสวรรค์

ฮีบรู 2:7
มนุษย์ท่านนี้ เป็นผู้ที่ถูกทำให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพราะท่านลงมาเป็นมนุษย์เต็มตัว แต่เป็นชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น พระเจ้าไม่ได้ให้พระเยซูทรงมาเป็นทูตสวรรค์ แต่ให้เป็นมนุษย์ พระเจ้าทรงให้สิทธิครอบครองแก่มนุษย์ ไม่ใช่แก่ทูตสวรรค์ ผู้ที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีสูงกว่าผู้ใดในจักรวาลคือพระเยซูคริสต์ ผู้เขียนฮีบรูได้ย้ำเตือนผู้อ่านที่
เป็นยิวให้รู้ว่า พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าทูตสวรรค์ที่พวกเขาเคารพ

ฮีบรู 2:8
การที่บอกว่า พระเยซูทรงมีเกียรติสูงเหนือผู้ใด เราต้องเข้าใจด้วยว่า ทุกสิ่งในเอกภพอยู่ในการควบคุม ครอบครองของพระเยซู ตั้งแต่สัตว์โลกตัวจิ๋วอย่างจุลินทรีย์จำนวนมากมายที่มองไม่เห็นด้วยตา ไปจนถึงดวงดาวมหึมาที่ใหญ่กว่าโลกหลายล้านเท่า ไม่ใช่แค่นั้น แต่วิญญาณทุกดวงในเอกภพก็เป็นของพระองค์เช่นกัน ทรงอยู่เหนือทั้งวิญญาณทูตสวรรค์ และมนุษย์ตอนนี้เรามองไม่เห็น แต่ความจริงคืออย่างนั้น

ฮีบรู 2:9
การที่พระเยซูทรงลงมาเป็นมนุษย์และรับสภาพมนุษย์ ก็เพื่อว่าพระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์ และคืนพระชนม์ เสด็จสู่สวรรค์ ซึ่งเป็นชัยชนะเหนือความตายที่ยิ่งใหญ่นัก ชัยชนะนี้ ทำให้มนุษย์มีโอกาสที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านความเชื่อวางใจในพระองค์​ และที่พระองค์ทรงเผชิญความตายโดยที่ความตายไม่สามารถยึดพระองค์ในแดนตาย
ได้ก็โดยพระคุณของพระบิดาเจ้า (กิจการ 2:24)

ฮีบรู 2:11
พระคำตอนนี้สุดยอด .. พระเยซูทรงมองว่า เราเป็นพี่น้องของพระองค์ เป็นครอบครัวเดียว พระบิดาองค์เดียวกัน ที่ทรงเรียกเราว่า เป็นพี่น้องได้นั้น เพราะว่า พระองค์ทรงมาเป็นมนุษย์แบบพวกเรา พระองค์ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ด้วยการสละพระชนม์เป็นเครื่องบูชาลบบาปให้แล้วเราเอง เป็นคนบาปที่ไม่อาจจะเรียกพระองค์ว่าเป็นพี่น้องได้ แต่พระองค์กลับทรงเป็นผู้ยื่นความเป็นพี่น้องให้กับเรา

ฮีบรู 2:12
ในสดุดี 22 เล่าถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูล่วงหน้า และคำสัญญาว่าจะประกาศพระนาม จะร้องเพลงสรรเสริญในหมู่ผู้คน .. พระเยซูทรงประกาศพระนามของพระเจ้าแก่เหล่าคนอิสราเอลและทรงสรรเสริญพระเจ้าก็คนเหล่านั้นในศาลาธรรมก็จริง แต่ทุกวันนี้ พระวิญญาณของพระองค์ก็ทรงดลใจให้ผู้รับใช้ประกาศพระนามไม่หยุด เรารู้ว่า พระเยซูทรงอยู่ท่ามกลางพี่น้องทั่วโลกขณะที่เขารวมตัวกันเพื่อพระนาม (มัทธิว 18:20)

ฮีบรู 2:13
ตอนที่พระเยซูทรงอยู่บนไม้กางเขน พระองค์ทรงวางใจในพระเจ้าว่า จะทรงช่วยกู้ให้พ้นจากโลกแห่งความตายอย่างแน่นอน เป็นความวางใจที่สะท้อนมาจากสดุดี 18:16-17 พระเยซูทรงมองเห็นว่า คนที่วางใจในพระองค์นั้น
มีค่ายิ่งนัก พวกเขาเป็นคนที่พระบิดาเจ้าประทานให้ ผู้ที่เชื่อวางใจเป็นของขวัญจากพระบิดาและเป็นผู้ที่พระองค์จะทรงรักษาไม่ให้หายไปจากสายพระเนตร (ยอห์น 6:39)

ฮีบรู 2:14
ผู้เขียนได้แจ้งให้เราทราบว่า ผู้กำอำนาจความตายของมนุษยชาติไว้ในมือคือมาร มารได้อำนาจนี้มาเมื่ออาดัมและเอวาได้หลงเชื่อ และพ่ายแพ้การหลอกลวงของมัน มันพยายามให้มนุษย์สิ้นชีวิตโดยปราศจากพระเจ้า จะได้ลงนรกห่างจากพระเจ้าตลอดไป แต่หากพวกเขาเชื่อพระองค์ ความตายไม่อาจมีชัยชนะเหนือพวกเขาได้ พระเยซูได้ทรงถือกุญแจแห่งความตายแล้ว (วิวรณ์ 1:17-18)

ฮีบรู 2:15-16
พระเยซูคริสต์เท่านั้นที่จะทำให้เราไม่ตกอยู่ในความกลัวตาย ศาสนาต่าง ๆ ทำให้เรารู้ว่า มนุษย์กลัวความตายมากเพียงไร เพราะพยายามหาหนทางไปอยู่ในภพดี ๆ หลังจากที่ตายไปแล้วแต่..เสียดายที่ทำอย่างไรไม่มีวันสำเร็จเพราะค่าจ้างของบาปคือตาย! (โรม 6:23)ทางเดียวที่จะไปได้คือ ต้องไปทางเจ้าของสวรรค์ ทางเดียวคือทางพระเยซูคริสต์ (ยอห์น 14:6)

ฮีบรู 2:17
พระเยซูไม่ได้ทรงมาช่วยทูตสวรรค์ที่หลงทางไปพรอมกับมาร แต่ทรงมาเพื่อช่วยมนุษย์ที่หลงทางไปเพราะมาร วิธีเดียวที่จะทำให้พระองค์ลบล้างบาปพวกเขาได้คือ มาเป็นพวกเดียวกับเขา มารับรสชาติความเป็นมนุษย์ โดยอย่างเดียวที่ไม่ทรงเหมือนพวกเขาคือ พระองค์ทรงปราศจากความบาป พระองค์ไม่ได้ทรงช่วยตามหน้าที่ แต่ด้วยความรักเมตตาอย่างที่พระบิดาทรงเมตตาสงสารพวกเขา

ฮีบรู 2:18
บทบาทของผู้ที่จะปลอบใจ และช่วยกู้มนุษย์ที่ต้องเจอกับความทุกข์ยากนั้น ไม่ใช่เป็นของทูตสวรรค์ เพราะพวกเขาไม่อาจจะเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ได้เหมือนพระบุตรของพระเจ้าที่ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยพระองค์เอง พระองค์ได้ทรงเผชิญกับความอ่อนแอ ความเหน็ดเหนื่อยความทุกข์ยากของความเป็นมนุษย์ ทั้งที่ทรงพบด้วยพระองค์เอง ทั้งที่ทรงพบในผู้คนรอบข้างที่มาขอความช่วยเหลือไม่หยุดหย่อน

พระคำเชื่อมโยง

2* กิจการ 7:53; กันดารวิถี 15:30
3* ฮีบรู 10:28; มัทธิว 4:17; ลูกา 1:2
4* กิจการ 2:22, 43
5* 2 เปโตร 3:13
6* สดุดี 8:4-6

8* มัทธิว 28:18; 1โครินธ์ 15:25, 27
9* ฟีลิปปี 2:7-9; กิจการ 2:33; 3:13; ยอห์น 3:16
10* โคโลสี 1:16; ฮีบรู 5:8-9; 7:28
11* ฮีบรู 10:10; กิจการ 17:26; มัทธิว 28:10
12* สดุดี 22:22

13* 2 ซามูเอล 22:3;อิสยาห์ 8:17-18
14* ยอห์น 1:14; โคโลสี 2:15; 2 ทิโมธี 1:10
15* อิสยาห์ 42:7; 49:9; 61:1 ; ลูกา 1:7417* ฮีบรู 4:15; 5:1-10
18* ฮีบรู 4:15-16