ยอห์น 3 เพราะพระเจ้าทรงรักโลก

นิโคเดมัสกับการเกิดใหม่

พระเยซูทรงอธิบายถึงแผนการแห่งความรอดของพระเจ้า

ยอห์นผู้ให้บัพติศมายกย่องพระเยซู

อธิบายเพิ่มเติม

ยอห์นบทที่ 3

1-10 การสนทนาของพระเยซูกับนิโคเดมัส
11-21  พระเยซูอธิบายถึงแผนการแห่งความรอดของพระเจ้า               
22-36  คำพยานของยอห์นเรื่องพระคริสต์
ยอห์น 3:1-3
จาก ยอห์น 2:23 -24 เราจะเห็นว่า มีคนมากมายได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเยซูแล้วพวกเขาก็เชื่อ แต่พระเยซูไม่ได้วางพระทัยในคนเหล่านั้นเลย  นิโคเดมัสเป็นคนหนึ่งในนั้น  แต่เขาไม่อยู่นิ่งเฉย เขาต้องการรู้ ต้องการเข้าใจมากขึ้น   เพราะเขาเป็นฟาริสี เป็นคนใหญ่โต อยู่ในสภาปกครองของยิว  เขามาหาพระเยซูเวลากลางคืน
เขาเริ่มต้นด้วยคำที่บอกให้เรารู้ว่า มีฟาริสีคนอื่น ๆ ด้วยที่ยอมรับว่าพระเจ้าสถิตกับพระเยซูจริง เพราะว่าทรงทำการอัศจรรย์   เขาเรียกพระองค์ว่าอาจารย์  
แต่พระเยซูไม่ได้สนทนาตอบคำชมเชยของเขา  พระองค์กลับตรัสว่า หากคนใดไม่บังเกิดใหม่ ก็จะไม่อาจเห็นอาณาจักรพระเจ้า   นี่เป็นคำสนทนาแทงใจ  คำตรัสของพระเยซูพูดให้ชัดง่าย ๆ คือ “ นิโคเดมัส  ท่านต้องยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนท่านใหม่  เปลี่ยนจากเบื้องบน ขุดรื้อถอนความเข้าใจเดิมที่มีอยู่เอาออกไปให้หมดและใส่ความคิดของพระเจ้าเข้าไป”
ในฐานะที่เป็นฟาริสี เขามีพื้นฐานความคิดที่ว่า คนเราต้องทำดีตามกฎพระเจ้าจึงจะพอใจ แต่นั่นไม่ใช่วิธีของพระเจ้าซึ่งทรงเป็นเจ้าของอาณาจักร
 คำว่าเกิดใหม่ ในภาษากรีกว่า อะโนเทน มีสามความหมายคือ 
1.ทำใหม่อีกครั้ง  2.เริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ต้น 3.ยังมีความหมายว่า จากเบื้องบน 

ยอห์น 3:4-6
จากคำตอบของนิโคเดมัส แสดงว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูตรัส   นิโคเดมัสเข้าใจว่าการเกิดใหม่ที่พระเยซูกล่าวถึง เป็นการเกิดใหม่ด้วยการเกิดในท้องแม่อีกครั้ง    แต่พระเยซูทรงมีความหมายว่า การเกิดใหม่นี้คือการเปลี่ยนชีวิตโดยพระวิญญาณของพระเจ้า ได้รับการชำระให้สะอาดจนเหมือนเกิดใหม่    นิโคเดมัสทำเองไม่ได้  เป็นการเปลี่ยนแปลงรากฐานชีวิต ความคิด ทัศนคติ ความเชื่อ การประพฤติอย่างสุดขีด แบบถอนรากถอนโคน
พระเยซูทรงอธิบายต่อไปว่า พระองค์ทรงหมายถึง การเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ  น้ำในที่นี้หมายถึงการได้รับการชำระให้สะอาด    ดู เอเสเคียล 36:24-27  เราเอาน้ำสะอาดพรมเจ้า เพื่อให้พ้นจากมลทิน เราจะใส่วิญญาณใหม่
ที่เกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง ที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ  ที่เขาเกิดมาจากท้องแม่จนเข้าวัยชรานี้ ยังเป็นเนื้อหนังอยู่   นิโคเดมัสต้องเกิดใหม่ด้วยพระวิญญาณ    จะได้เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าที่เป็นฝ่ายวิญญาณได้ 

ยอห์น 3:7-9
พระเยซูทรงอธิบายต่อว่า คนที่เกิดจากพระเจ้าใหม่นั้น เขาไม่อาจรู้ได้ว่า มันเกิดอย่างไร รู้แต่ว่ามันเกิดขึ้นจริงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น   
มนุษย์ไม่สามารถควบคุมลมที่พัดมาได้ และมองไม่เห็นลม  แต่ก็จะเห็นผลที่ได้เมื่อลมพัดมา   พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เช่นกัน เราไม่อาจควบคุมพระองค์ หรือเห็นพระองค์ได้  
ความรอดของคน ๆ หนึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า  (เอเสเคียล 37)   เมื่อพระวิญญาณทรงทำราชกิจในชีวิตใครแล้ว  คนรอบข้างจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของคน ๆ นั้นอย่างชัดเจน  เป็นหลักฐานว่าพระเจ้าได้ทรงทำการในชีวิตของเขาแล้ว
ความรอดเป็นการเริ่มต้นจากพระวิญญาณ (ยอห์น 6:44-45)  และคนที่ตอบรับพระองค์ก็ตอบโดยการเชื่อและกลับใจสำนึกผิด  (ยอห์น 1:12, 3:16-18)
เมื่ออ่านหนังสือยอห์นต่อไป เราจะเห็นว่า ยอห์นเน้นพระวิญญาณและราชกิจของพระองค์ชัดเจนมาก  (ยอห์น 14:17,25-26, 16:7-15)

ยอห์น 3:10-11
ท่านเป็นอาจารย์ของอิสราเอล  แสดงว่า นิโคเดมัสเป็นอาจารย์มีชื่อเสียง ใหญ่โตทีเดียว  คำของพระเยซูทำให้เห็นว่า   พวกอาจารย์ชาวยิวทั้งหลายไม่มีความเข้าใจพระคัมภีร์เดิมเรื่องการชำระวิญญาณให้สะอาด
จาก เอเสเคียล 36:24-27 
แต่ที่เราไม่ค่อยเข้าการสนทนาครั้งนี้  พวกเราเป็นคนไทยเกิดมากับความคิดอีกแบบ พอได้ยินว่าเกิดใหม่ อาจไปคิดถึงการเกิดใหม่ในชาติหน้า ซึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงกล่าวถึง
แต่การที่นิโคเดมัสไม่เข้าใจพระเยซู เป็นเพราะเขายังไม่เชื่อพยานของพระองค์จริงจัง
พวกท่านไม่รับคำพยานของเรา  นั่นคือ ทั้งนิโคเดมัสและฟาริสี ธรรมาจารย์ทั้งหลายไม่ได้ยอมรับพระองค์ 

ยอห์น 3:12-15# พระบุตร
ในหนังสือกันดารวิถี 21:4-9  ชาวยิวในถิ่นกันดารได้ประสบกับการพิพากษาของพระเจ้า  พวกเขาบ่นว่าโมเสส เกลียดมานา ไม่มีน้ำ ไม่มีขนมปัง พระเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดคนตายมากมาย  พวกเขาจึงขอให้โมเสสอธิษฐานขอพระเจ้าเอางูออกไป
พระเจ้าทรงให้โมเสสทำเสา และติดงูทำจากทองสัมฤทธิ์ไว้บนเสา  คนที่ถูกงูกัดเมื่อมองงูสัมฤทธิ์จะมีชีวิตอยู่
งูสัมฤทธิ์นั้น เป็นเครื่องหมายของบาปที่ถูกพระเจ้าจัดการ หลายพันปีต่อมาจากวันนั้นพระเยซูจะต้องแบกบาปของมนุษย์ทั้งโลกและถูกพิพากษาเพราะบาปนั้นโดยพระบิดา
ชีวิตนิรันดร์  ในกรีกคือ โซเอ  หมายถึงชีวิตที่ฟื้นขึ้นมา  ชีวิตในอนาคต ในยุคใหม่ เป็นชีวิตของพระเจ้า

ยอห์น 3:16-17  #พระบิดา
ยอห์น 3:36 มีความหมายเดียวกับยอห์น 3:16 
ในข้อนี้ ทุกคำสำคัญหมด  พระเจ้าทรงรักมนุษย์ และส่งพระเยซูมาบังเกิด สิ้นพระชนม์บนกางเขน และคืนพระชนม์    เป็นความรักที่ไม่อาจเข้าใจได้  เพราะมนุษย์ชั่วร้าย เลวชาติ   ปฏิเสธความจริง  คำของพระองค์อาจทำให้นิโคเดมัสผงะก็เป็นได้  เพราะยิวเชื่อว่า พระเจ้าทรงรักพวกเขาเท่านั้น คนต่างชาติไม่เกี่ยว  นี่เป็นคำที่ยิวไม่คาดว่าจะได้ยิน  รักของพระเจ้าเป็นอย่างนี้
                        พระเจ้าทรงรักโลก   พระเจ้าทรงรักคริสตจักร  พระเจ้าทรงรักฉัน 
ยอห์น 3:16               เอเฟซัส  5:25            กาลาเทีย 2:20
(กาลาเทีย 2:20 “พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า”)
พระเจ้าทรงรักเราโดยพระองค์ต้องจ่ายราคาแลกมาที่แพงสุดจักรวาล  คือพระชนม์ชีพของพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  พระบุตรองค์นี้ สัมพันธ์สนิทกับพระบิดามาเป็นนิรันดรกาล  พระเจ้าทรงไม่ทรงโหดร้ายที่จะให้มนุษย์พินาศ แต่เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์   บาปเป็นสิ่งที่ผู้พิพากษาทรงธรรมจะต้องพิพากษาโทษ   พระองค์ทรงเปิดทางให้เราพ้นจากการลงโทษนั้น  โดยการตัดสินใจที่จะหนีเข้ามาทางพระเยซู
ความพินาศที่พูดถึงนี้คือ การพ้นไปจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าตลอดไป   แต่พระเจ้าเองไม่ได้ทรงต้องการเช่นนั้น ทรงยินดีที่คนชั่วร้ายกลับมาหาพระองค์ (เอเสเคียล 18:23) โลกตกอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้าเพราะโลกตกจากเป้าหมายที่ควรจะไปให้ถึง (ยอห์น 3:36, โรม 1:18)
 เมื่อคนใดเชื่อพระเจ้า ก็จะได้เกิดใหม่ คือรับการเปลี่ยนแปลงใหม่  ได้รับชีวิตนิรันดร์ และความรอดพ้นบาป แต่ยังมีอีกทางเลือกคือ พินาศ (10:28)  เสียชีวิตของตน (12:25) และถูกทำลายไป (17:12)

ยอห์น 3:18-19 # มนุษยชาติ
คนที่เชื่อพระเยซูจะหนีจากการพิพากษาโทษได้  โรม 8:1 ยอห์น 5:24    แต่คนที่ไม่เชื่อ ถูกตัดสินเสร็จแล้ว ไม่มีทางที่จะหนีได้  3:36  การตัดสินไม่ได้รอจนเขาตายก่อน  เราทุกคนที่ไม่เชื่อ ถูกตัดสินและถูกลงโทษไปแล้ว   เมื่อเราเดินทางผิด และเห็นป้ายให้เดินไปทางถูกแต่ไม่ยอมเปลี่ยนเส้นทาง เท่ากับว่า ยังมุ่งหน้าไปหาปลายทางที่ไม่ใช่   หลายคนไม่ยอมรับว่ากำลังเดินทางผิด ยากสำหรับพวกเขาที่จะเปลี่ยนทาง

คนยิวคิดว่าตัวเองเป็นลูกหลานอับราฮัมก็รอด แต่พระเยซูไม่ได้ตรัสเช่นนั้น  จะได้ความรอดต้องเชื่อ!   หากไม่เชื่อในพระนามพระเยซูองค์นี้ ก็จะพบกับความตายฝ่ายวิญญาณ เหมือนกับคนที่ต้องตายเพราะงูพิษ    ตรงนี้มีความชัดเจน แตกต่างระหว่าง เชื่อกับไม่เชื่อ…
การปฏิเสธความสว่าง หรือความเข้าใจเรื่องพระบิดาและพระบุตรนี้  ก็เท่ากับปฏิเสธพระเยซูโดยตรง ที่พวกเขาไม่เลือกความสว่าง เพราะไม่ชอบสว่าง สว่างทำให้เห็นความชั่วของตน  มนุษย์ยังอยากรู้สึกดีทั้งที่บาป 

ยอห์น 3:20-21    # มนุษยชาติ
 คนทำชั่ว ไม่ใช่แค่รักความมืด แต่เขาเกลียดความสว่างด้วย  คำว่าคนชั่วในที่นี้หมายความถึงคนที่ไร้ค่า  เมื่อพระเยซูมา เมื่อความสว่างเข้ามา เขาจะเห็นความไร้ค่าของชีวิตตนเอง ไม่มีเป้าหมายชีวิต  ไม่มีอะไรดี ๆ รออยู่ในอนาคต  ชีวิตขึ้นอยู่กับยถากรรม ไปตามบุญตามกรรม เขาทนไม่ได้ที่สว่างจะมาบอกเขาอย่างนั้น 
ทุกคนมีเหตุผลที่จะไม่เชื่อพระเจ้า  อย่ามายุ่งกับพี่เลย พี่ขอไปตามทางเดิมนี้     โอย ฉันไม่ชอบพวกคริสเตียน   ฉันดีแล้ว ศาสนาที่มีอยู่ก็สอนให้ฉันเป็นคนดี    เฮ้ย ฉันเป็นคนไทยนะ  จะให้ไปเชื่ออย่างอื่นได้ไง       ไม่เอาหรอก ถ้าเชื่อพระเจ้าก็ไม่ได้เที่ยวอย่างเคย     จะเชื่อพระเจ้าได้ไง  ทำไมพระเจ้าจึงปล่อยให้มีความทุกข์ในโลกมากมาย  ทั้งหมดเป็นความพยายามที่จะซ่อนความดื้อดึงต่อพระเจ้า  เหตุผลแท้จริงคือ พวกเขาไม่ต้องการความสว่าง
แต่คนที่มาหาพระเจ้า เขาพร้อมที่จะให้คนเห็นว่า สิ่งที่เขาทำนั้น เขาทำเพราะพึ่งพระปัญญาของพระเจ้า พึ่งความมหัศจรรย์ พลังของพระองค์  ยอมถ่อมตนรับว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าชีวิตเขา  เขายอมรับว่า เป็นคนบาปต่อพระพักตร์ของพระเจ้า   เขาต้องการให้พระองค์อภัยบาปให้   ทัศนคติของคนที่มีต่อความสว่างนั้น  เป็นของคนใจถ่อมยอมรับว่าช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้

ยอห์นยกย่องพระเยซู

ยอห์น 3:22-24
พระเยซูทรงรับใช้ประชาชน และในเวลาเดียวกัน ทรงอยู่กับศิษย์ด้วย  ทรงใช้เวลากับพวกเขา เรารู้มาจากยอห์น 4:2 ว่า การให้บัพติศมานั้น ศิษย์ของพระเยซูเป็นผู้ทำให้ พระเยซูไม่ได้ทรงทำเอง การทำบัพติศมานี้ เป็นสัญลักษณ์ว่า บุคคลผู้นั้นกลับใจ และยอมรับความจริงฝ่ายวิญญาณที่ทรงสอน
เหตุการณ์นี้ทำให้ศิษย์ของยอห์นไม่ค่อยสบายใจตามประสามนุษย์   พระเยซูทรงมาทีหลังแต่ดูเหมือนจะดังกว่ายอห์น 

ยอห์น 3:25-26
อาจมีการทุ่มเถียงกันว่าพิธีชำระบาปแบบไหนมันใช้ได้ แบบยอห์นคือให้บัพติศมาหรือแบบของยิว
(เมื่อเป็นมลทินก็ไปอาบน้ำ ตามกฎบัญญัติโมเสส)   แต่จากเหตุการณ์นั้น ทำให้ยอห์นได้ทราบว่า พระเยซูทรงให้บัพติศมา และผู้คนหันไปหาพระองค์แทนที่จะมาหายอห์น  ศิษย์ของยอห์นตกใจเหมือนกันที่เหตุการณ์เป็นแบบนั้น  แต่ยอห์นไม่ได้กังวลสักนิดเขารู้หน้าที่  บทบาทของตนดี   ศิษย์ของยอห์นเคยได้ยินคำพยานของท่านที่ว่า พระเยซูทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้า (1:19)

ยอห์น 3:27-30   
พวกศิษย์คิดง่าย ๆ อย่างคนทั่วไป  แต่ยอห์นกลับดีใจ เพราะเขาไม่ใช่คู่แข่งของพระเยซู  พระองค์จะต้องเป็นหนึ่ง
เขาบอกให้รู้ว่า ทุกตำแหน่งในโลกนั้นมาจากพระเจ้าไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม ยอห์นกล่าวชัดเจนว่า สถานภาพของทุกคนมาจากพระเจ้า!
เขาแจ้งให้ศิษย์รู้ว่า เขาเป็นใคร เขาเป็นคนที่ถูกส่งมาเตรียมทางให้กับผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม องค์พระเมสสิยาห์หรือองค์พระคริสต์ เขาเป็นเสียงในถิ่นกันดารที่เตรียมทาง (อิสยาห์ 40:3)
สุดท้าย เขาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวที่ดีใจมากเมื่อเห็นเจ้าบ่าว  เมื่อคนไปหาพระเยซูเขาดีใจเพราะเขาไม่อาจทำได้อย่างพระองค์ เขาไม่อาจให้ความรอดกับผู้คนได้ ยอห์นดีใจที่เขาเป็นเพื่อนของเจ้าบ่าว ที่คอยรับใช้ ยอห์นเป็นต้นแบบของชีวิตเราได้อย่างดี  จริงไหม  เราพูดได้ไหมว่า ฉันต้องต่ำลง ให้เธอสูงขึ้น?

ยอห์น 3:31-33
ยอห์นผู้ให้บัพติศมา  บอกทุกคนชัดเจนว่า พระเยซูทรงมาจากเบื้องบน ไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ใช่แค่คนเก่ง มีปัญญา มีฤทธิ์มาก แต่ทรงเป็นพระเจ้าจากสวรรค์ มาจากโลกที่มองไม่เห็น ไปไม่ถึง (1 ทิโมธี 6:16)  พระองค์ทรงมีความคิดและหนทางที่สูงกว่าความคิดของมนุษย์ (อิสยาห์ 55:8-9) 
ยังมีเรื่องราวของพระองค์ที่เราไม่รู้ ไม่เข้าใจ เข้าไม่ถึง เราไม่อาจอธิบายพระองค์ได้ด้วยภาษาที่จำกัดแบบมนุษย์ได้    
ยอห์นบอกด้วยว่า พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกคน รวมไปถึงธรรมจารย์ทั้งหลายที่เป็นคนธรรมดา
พระองค์ทรงเห็นอะไรในสวรรค์ ทรงได้ยินจากพระเจ้าอย่างไร ก็ทรงบอกตามนั้น  นี่เป็นเหตุผลที่คำของพระองค์ยิ่งใหญ่กว่าคำใด ๆ ในโลกนี้   พระองค์คือผู้ที่ได้ยินได้เห็นจากประสบการณ์จริง ไม่ใช่ได้ยินแล้วเอามาเล่า    แต่ถึงอย่างนั้น คนไม่ฟังคำของพระองค์      นี่เป็นคำพยานของยอห์นถึงพระเยซูเพิ่มเติมจากที่ศิษย์เคยได้ยิน

ยอห์น 3:34-36
คำกล่าวของพระเยซูนั้น คือคำของพระเจ้าพระบิดา  พระองค์ทรงมีพระวิญญาณบริสุทธิ์แบบไม่จำกัด เหนือเหล่าธรรมาจารย์ที่เมื่อมาเทียบกับพระเยซูคือ พวกเขาไม่มีอะไรเลย  
และทรงให้สรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเยซู คือ ทรงครอบครองเหนือทุกสิ่ง
เหตุผลหนึ่งที่ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์  ในอำนาจ ในการปกครองของพระเยซูก็เป็นเพราะพระบิดาทรงรักพระองค์มาก   พระบิดาทรงพอพระทัยที่จะให้ความเต็มบริบูรณ์อยู่ในพระองค์  (โคโลสี 1:19)
ยอห์นพูดสองครั้ง พระบิดาทรงรักพระบุตร  3:35  กับ 5:20  ยอห์นกล่าวอย่างชัดเจนว่า พระเยซูคือ พระบุตร พระองค์ไม่ใช่แค่ใครคนหนึ่งที่พระเจ้าเจิมให้มารับใช้  แต่ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
ยอห์นบอกทางเลือกสองทางให้ด้วย  จะไปดี หรือไปร้าย? จะเชื่อหรือไม่เชื่อ?

*ฟาริสี มีความหมายว่า แยกออก เป็นคนบริสุทธิ์แยกตัวออกจากคนบาป  พวกเขาร้อนใจในเรื่องความบริสุทธิ์ตามกฎของโมเสส ถือว่านี่คือการทำให้พระเจ้าพอพระทัย แถมยังมีกฎของตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย 
**นิโคเดมัสเป็นฟาริสีที่อยู่ในระดับผู้ปกครอง เราทราบว่า ต่อมาเขาเชื่อพระเยซู (7:50-52)  เขาเป็นคนที่ช่วยดูแลเรื่องการเก็บพระศพจากไม้กางเขนด้วย (19:34-42)


ยอห์น 2 งานสมรสที่บ้านคานา

งานเลี้ยงสมรสที่บ้านคานา

ยอห์น 2:1-3
หมู่บ้านคานาอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือห่างจากนาซาเร็ธประมาณ  14.5 กิโลเมตร  เป็นบ้านเกิดของนาธานาเอล  (21:2)  งานเลี้ยงนี้พระเยซูและมารีย์มารดา น่าจะไปร่วมงานพร้อมกับศิษย์ซึ่งพระองค์ทรงเรียก   ทรงไปร่วมงานนี้หลังจากที่ทรงรับบัพติศมาจากยอห์น และกำลังจะเริ่มราชกิจของพระเจ้าที่ทรงใช้พระองค์มา
งานเลี้ยงแต่งงานสมัยนั้น จะใช้เวลาฉลองสองสามวัน ไปจนถึงเป็นสัปดาห์  และผู้ที่ต้องรับผิดชอบในงานเลี้ยงก็คือฝ่ายเจ้าบ่าว  คนที่สำคัญในงานคือเจ้าบ่าว
สิ่งที่เจ้าบ่าวกลับไม่รู้คือ เหล้าองุ่นที่เลี้ยงนั้นกำลังจะไม่เหลืออยู่แล้ว  แต่คนที่ไปรู้เรื่องกลับเป็นมารีย์ มารดาของพระเยซู  เธอหันไปบอกพระเยซูถึงปัญหาที่เจ้าบ่าวกำลังจะเจอ   คือถ้าไม่มีอาหาร เหล้าองุ่นเพียงพอให้แขก  ผู้คนในหมู่บ้านจะเอาเรื่องนี้ไปพูดต่อ ๆ กันตลอดชีวิตเลย  นี่เป็นความอับอายทางสังคมที่โลกโบราณถือเป็นเรื่องจริงจัง
ยอห์น 2:4-5
การที่พระเยซูทรงเรียกมารดาว่า หญิงเอ๋ย เป็นการเรียกอย่างเคารพ แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงปรามเธอว่ายังไม่ถึงเวลาของพระองค์   พระองค์ไม่ได้ปฏิเสธว่าจะไม่ช่วย 
มารีย์ไม่ได้คะยั้นคะยอขอให้พระองค์ทรงช่วยในงานนี้  เธอรู้ดีว่า พระเยซูคือใคร  พระองค์ทรงมีน้ำใจอย่างไร ดังนั้น เธอจึงแค่สั่งคนรับใช้ในงานให้ทำตามที่พระเยซูทรงสั่ง ลองคิดถึงตลอดสามสิบปีที่มารีย์อยู่กับพระเยซู  มารีย์ได้ประสบการณ์ตรงมากมายที่ทำให้รู้ว่า พระองค์คือพระบุตรของพระเจ้าแน่นอน  
ยอห์น 2:6-7
โอ่งน้ำที่วางอยู่นั้น ใส่น้ำใช้ชำระมือเท้าของพวกยิวก่อนกินอาหาร หรือชำระหลังจากที่ไปเจอกับคนต่างชาติซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นมลทิน   และปกติแล้วคนจะไม่ดื่มน้ำจากโอ่งเหล่านั้น โอ่งแต่ละใบบรรจุน้ำได้มากพอสมควรทีเดียว  พระเยซูทรงสั่งให้คนรับใช้ไปตักน้ำมาใส่ให้เต็ม   พวกเขาก็ทำตามทันทีไม่มีใครรีรอ หรือสงสัย
ยอห์น 2:8-9
เมื่อโอ่งมีน้ำเต็มปริ่มขอบปากโอ่ง    พระองค์ก็ทรงสั่งให้ตักน้ำนั้นไปให้พ่องานชิม  อัศจรรย์จริง ๆ !  มันเป็นเหล้าองุ่นชั้นดี  การเปลี่ยนแปลงของน้ำธรรมดาที่กลายเป็นเหล้าองุ่น ทำให้รู้ว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้าง  ทรงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นที่ต้องการเวลาหมักนาน ๆ เสียด้วย   พระองค์ไม่ได้ทำการวางมือบนปากโอ่ง หรือเสก หรือทำพิธีอะไรเลย  ง่ายสำหรับพระองค์ที่จะทรงทำการเหนือธรรมชาติ เพราะทรงเป็นพระเจ้าผู้อยู่เหนือธรรมชาติ
คนรับใช้คงยิ้มด้วยความสุข เมื่อเขาได้เห็นอัศจรรย์ครั้งนี้ ได้มีส่วนในการอัศจรรย์อันเหลือเชื่อจากการที่เขาทำตามคำสั่งของพระเยซู
ยอห์น 2:10-11
ผู้ที่เป็นพยานสำคัญในเหตุการณ์นี้คือ คนรับใช้  มารีย์  พ่องานที่ไม่รู้เรื่องว่าเหล้าองุ่นมาจากไหนแต่บอกได้ว่าเหล้าองุ่นนี้เป็นเหล้าชั้นดีกว่าที่เลี้ยงกันอยู่  และศิษย์ของพระเยซูที่ได้เห็นขบวนการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และเป็นวันที่พวกเขาเชื่อวางใจในพระองค์  ผู้นี้คือมนุษย์และพระเจ้าในบุคคลเดียวกัน  เป็นการอัศจรรย์แรกหรือหมายสำคัญแรกที่บ่งบอกว่า พระองค์คือ พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมาเพื่อชาวโลก

ชำระพระวิหาร

ยอห์น 2:12-13
จากบ้านคานา พระเยซูทรงไปทางเหนือพักที่เมืองคาเปอร์นาอูมริมทะเล จากนั้นก็เดินทาง
ไปร่วมเทศกาลปัสกาในกรุงเยรูซาเล็ม   ซึ่งเป็นสิ่งที่ชายชาวยิวอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปจะต้องไปเข้าร่วมเทศกาลนี้ทุกปี เพื่อระลึกถึงวันที่พระเจ้าทรงนำบรรพบุรุษของพวกเขาออกมาจากอียิปต์  ( อพยพ 23:14-17, เฉลยธรรมบัญญัติ 16:1-8)   
ยอห์น ผู้เขียนได้กล่าวถึงเทศกาลปัสกาสามครั้ง  นี่เป็นปัสกาครั้งแรกที่ท่านพูดถึงในหนังสือยอห์น  (ครั้งที่สอง 6:4   ครั้งที่สาม 11:55  12:1  13:1  18:28,39   19:14)   พระเยซูทรงชำระพระวิหารเป็นครั้งแรกเช่นกัน ในช่วงเวลาที่พระองค์ทรงเริ่มต้นประกาศข่าวดีของพระเจ้า

ยอห์น 2:14-17
ช่วงเวลานี้จะมียิวจากทุกหนแห่งมุ่งหน้ามายังเยรูซาเล็ม  ทั้งจากต่างประเทศด้วย พวกนี้ไม่อาจจะหอบหิ้วสัตว์ต่าง ๆ ตามบทบัญญัติของโมเสสมาได้ แถมยังใช้เงินของพื้นที่ต่าง ๆ จากโรม กรีก ซีเรีย ซึ่งไม่สามารถใช้สำหรับการถวาย หรือให้ภาษีพระวิหารได้ เพราะในพระวิหารรับเฉพาะเงินไทร์ (Tyrian coin) ซึ่งเป็นเหรียญเงินบริสุทธิ์ 
จากความจำเป็นเพื่อให้ความสะดวกกับคนที่เดินทางมาไกลนี้ กลายเป็นเรื่องของธุรกิจ ผลประโยชน์ของทั้งพ่อค้าสัตว์ คนแลกเงิน และเจ้าหน้าที่พระวิหารที่เรียกเก็บค่าที่  พวกเขาใช้พื้นที่ลานพระวิหารซึ่งเป็นลานส่วนนอกสำหรับคนต่างชาติ ไม่ใช่ในบริเวณพระวิหารด้านใน
ในช่วงเวลาเทศกาลปัสกา  พระวิหารของพระเจ้าจึงกลายเป็นพื้นที่การค้าอันวุ่นวาย  แน่นอนเมื่อพระเยซูทรงเข้าไปในสถานที่นั้น พระองค์ทรงโกรธจัด  ถึงขนาดเอาเชือกทำเป็นแส้ ทรงเทถาดเงิน คว่ำโต๊ะคนแลกเงิน  ไล่ทั้งสัตว์และคนออกไป คิดดูแล้วกันว่าเวลานั้น จะโกลาหล ชุลมุนวุ่นวายขนาดไหน เมื่อสัตว์ทั้งหลายตกใจกับเสียงและแส้ของพระเยซู ผู้คนที่กำลังง่วนกับการซื้อขายต้องมาเจอพระเยซูที่ทรงเกรี้ยวสุดเหวี่ยง  ที่เรารู้ว่าเป็นอย่างนั้น เพราะยอห์นได้อ้างถึงพระคัมภีร์ที่บอกล่วงหน้าว่า พระเมสสิยาห์จะทรงชำระพระวิหารที่ถูกทำให้เป็นมลทิน
สดุดี 69:9 ความร้อนใจในเรื่องพระนิเวศได้เผาผลาญข้า
มาลาคี 3:1-3 พระองค์เสด็จมายังพระวิหารของพระองค์อย่างกระทันหัน…ใครจะทนได้เมื่อพระองค์เสด็จมา
เศคาริยาห์ 14:21 ในวันนั้นจะไม่มีพ่อค้าในพระนิเวศของพระยาห์เวห์องค์จอมทัพอีกต่อไป
วันนั้น พระองค์ประกาศก้องว่า พระองค์คือพระบุตรขององค์พระบิดาเจ้า..!! ยิวทุกคนในพระวิหารนั้น ได้ยินกับหู
การกระทำของพระเยซูครั้งนี้เป็นการประกาศศึกกับพวกฟาริสี ปุโรหิตในพระวิหารอย่างเปิดเผย โจ่งแจ้ง ไม่มีการเกรงกลัวอำนาจการเมืองใด ๆ  …แต่การวุ่นวายครั้งนี้กลับไม่ได้มีปัญหากับโรมที่จะส่งทหารเข้ามา แสดงว่าก็ยังไม่มีความรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้น 
ยอห์น 2:18-22
ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนผิด  ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ  พวกยิวที่มีอำนาจกลับมาท้าทายพระเยซูว่า ทรงใช้อำนาจใดที่ไล่พ่อค้าเหล่านี้
นี่เป็นการใช้อำนาจในทางที่ผิดมานานจนไม่รู้ว่าตัวเองผิดต่อพระเจ้า  คิดว่าตนเองทำถูกต้อง  พวกเขาทำให้พระวิหารของพระเจ้าซึ่งเป็นที่ ๆ คนจะเข้ามามีความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าให้กลายเป็นที่ ๆ แสวงหาผลประโยชน์ เอาพระวิหารมาบังหน้าเพื่อตนเองจะได้ร่ำรวยขึ้น
พวกยิวต้องการหมายสำคัญแบบให้เห็นต่อหน้าต่อตาว่า พระเยซูคือผู้ที่มีอำนาจจากพระเจ้า แต่พระองค์กลับไปตรัสถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากสิ้นพระชนม์  พวกเขาจึงงง ไม่เข้าใจ
พระองค์กำลังตรัสแบบว่า “ฆ่าเราสิ  เราจะฟื้นขึ้นมาภายในสามวัน  จัดการเราสิ เราจะชนะ”
ยอห์น 2:23-25
คำพูดของพระองค์ ทำให้ต่อมาหลังจากที่พระเยซูคืนชีพขึ้นมา  ศิษย์ของพระองค์จึงเข้าใจว่า ทรงหมายความว่าอย่างไร   พระเยซูกำลังตรัสกับศิษย์ของพระองค์โดยตรง แต่ปิดความหมายไว้จากพวกยิว
ร่างกายของเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า  เราได้ทำอะไรในชีวิตที่พระเยซูต้องไล่และชำระออกไหม  ลองคิดดี ๆ  พระเจ้าจะทรงให้ความเข้าใจแก่ทุกคน? 
ยอห์น 2:23-25
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น พระเยซูยังทรงพักในเยรูซาเล็ม  และไม่ได้ทรงอยู่เฉย ๆ การอัศจรรย์ที่บ่งบอกว่า พระองค์มาจากพระเจ้านั้นเด่นชัด ทำให้หลายคนมาเชื่อพระนามของพระองค์  (พระนามเยซู มาจากเยชูวา แปลว่า ช่วยกู้ ช่วยให้รอดพ้น )  พวกเขาตื่นเต้นที่ได้เห็นการรักษาโรค  การไล่ผีสิงออกมา  การสอนของพระองค์ น่าตื่นตาตื่นใจมากกว่าที่ธรรมาจารย์ทั้งหลายสอน
แต่พระเยซูไม่วางใจว่า จะไว้ใจพวกเขาว่าจะเชื่อพระองค์  อยู่ข้างพระองค์เสมอไป  มีคนที่ต้องการให้พระองค์เป็นกษัตริย์ (6:15)   มียิวที่เข้ามาเชื่อพระองค์ มีคนที่เชื่อแต่งุนงงกับคำสอนของพระองค์ (6:60)   มีคนที่ปลีกตัวออกไป  (6:66)   เป็นศัตรูกับพระองค์ภายหลัง  พระองค์ไม่สนใจความเห็นของมนุษย์ ทรงมุ่งที่น้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้าจริง ๆ  

 

 


ยอห์น 1 พระเยซูคริสต์คือผู้ใด?

หนังสือยอห์นต่อไปนี้ เป็นการถอดความด้วยรูปภาพและคำ
หากอ่านเฉพาะรูปภาพ คือ พระธรรมยอห์น คุณอ่านต่อไปได้เรื่อย ๆ จนจบ แต่หากต้องการความเข้าใจมากขึ้น ก็ศึกษาต่อได้จาก
คำอธิบายเพิ่มเติม และพระคัมภีร์เชื่อมโยง

พระคำนิรันดร์

คำพยานยืนยันของยอห์นเรื่องความสว่าง

พระคำได้ลงมาเป็นมนุษย์

คำพยานยืนยันของยอห์น :เสียงจากถิ่นกันดาร

ลูกแกะของพระเจ้า

ลูกศิษย์รุ่นแรก อันดรูว์และซีโมน

ฟีลิปและนาธานาเอล

ยอห์น 1 อธิบายเพิ่มเติม+พระคำเชื่อมโยง

จริง ๆ แล้ว การอธิบายพระคัมภีร์ดีที่สุดคือ การให้พระคำตอนอื่น ๆ ช่วยอธิบาย ดังนั้น เราจึงควรใช้พระคำเชื่อมโยงช่วยให้เราเข้าใจพระคำตอนที่เรากำลังศึกษา

พระคำนิรันดร์

ยอห์น 1:1-3
ท่านยอห์นวางเรื่องราวไว้ ณ ต้นกำเนิดของกาลเวลา ใช้คำ “เมื่อเริ่มต้น หรือ ในปฐมกาล” เริ่มต้นหนังสือเล่มนี้ จากนั้นท่านแนะนำ “พระคำ” ว่า “ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์”  ชัดเจนว่า พระคำท่านนี้เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง โดยไม่เว้นสักสิ่งเดียว
พระคำ คือใคร ให้อ่านข้ามไปที่ยอห์น 1:14
 พระคำเชื่อมโยง ยอห์น 1:1-3
ปฐมกาล 1:1 ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดิน
โคโลสี 1:17  พระองค์ทรงอยู่มาก่อนสรรพสิ่ง  และสรรพสิ่งเหล่านี้ ถูกเชื่อมโยงติดกันในพระองค์
สุภาษิต 8:23-30 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้กำเนิดเรา ก่อนบรรดาราชกิจของพระองค์แต่โบราณ  เราอยู่ที่นั่นเมื่อพระองค์สถาปนาฟ้าสวรรค์ 
1 ยอห์น 1:1 เราประกาศพระคำแห่งชีวิต ซึ่งดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล  
วิวรณ์ 3:14 พระองค์ทรงปกครองเหนือสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง
วิวรณ์ 19:13 พระนามของพระองค์นั้นคือ พระคำของพระเจ้า

ยอห์น 1:4-5 ชีวิตดังกล่าวไม่ได้ถูกสร้างขึ้น ท่านยอห์นเน้นคำว่าชีวิตที่มาจากพระคำ ตรงนี้ท่านใช้คำว่า โซเอ zoē ซึ่งหมายถึงชีวิตนิรันดร์ ชีวิตของพระเจ้า แหล่งที่มาของชีวิต ไม่ใช่คำว่า bios ซึ่งหมายถึงชีวิตทางสรีระ 
ในพระคำมี ชีวิตที่เป็นแสงสว่างของมนุษย์   คำว่า แสงสว่างนี้  เป็นคำที่ยอห์นหมายถึงความจริง ความรู้ในพระเจ้า  (ยอห์น 3:19 )   ชีวิตนั้นมีเพื่อคนทุกคน 
ความสว่างที่ส่องมาในความมืดนี้ ท่านยอห์นใช้คำที่สื่อว่าเป็นสว่างที่ส่องมาอย่างต่อเนื่อง ต่อไป ไม่หยุด ความมืดไม่ชนะความสว่าง หรือ ความมืดไม่เข้าใจความสว่าง  สว่างไม่แพ้มืด
จากพระคำเชื่อมโยงข้างล่าง เราจึงได้รู้ว่า ความสว่างนั้นก็คือองค์พระเยซูนั่นเอง
พระเยซูทรงยืนยันชัดเจนว่า พระองค์ทรงเป็นความสว่างของโลก
พระคำเชื่อมโยง ยอห์น 1:4-5
 ยอห์น 9:5 ขณะที่เราอยู่ในโลก เราเป็นความสว่างของโลก 
ยอห์น 12:46 เราเข้ามาในโลกในฐานะความสว่าง เพื่อว่าคนที่เชื่อเราจะไม่ตกในความมืด
ยอห์น 12:36 จงวางใจในความสว่างขณะที่ยังมีความสว่าง เพื่อจะได้กลายเป็นลูกของความสว่าง 
ยอห์น 3:19-20  ความสว่างเข้ามาในโลกแล้ว  แต่มนุษย์รักความมืด แทนที่จะรักความสว่าง   ทุกคนที่ทำชั่วก็เกลียดความสว่าง กลัวว่าจะถูกเปิดโปง

ยอห์น 1:6-8 ช่วงเวลา 400 ปีก่อนหน้านี้  พระเจ้าไม่ได้ตรัสอะไรกับคนอิสราเอลเลย   แล้วในเวลาอันเหมาะ พระเจ้าทรงยอห์นมาเพื่อเป็นพยาน มีการพยากรณ์ถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมาจะเป็นคนที่มาก่อนพระเยซู   การที่ใคร ๆ ก็สงสัยว่ายอห์นคือผู้ใด ผู้เขียนจึงบอกให้รู้ชัดเจน ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีหลายคนที่ไม่เข้าใจว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมานั้น เป็นรองจากพระเยซูเพื่อว่าทุกคนจะได้เชื่อ ยอห์นผู้ให้บัพติศมา เป็นหนึ่งในพยานหลาย ๆ คนที่กล่าวว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอด   หน้าที่ของเขาชัดเจนมาก คือช่วยเตรียมใจของคนที่ฟังให้ตอบรับพระเมสสิยาห์   ผู้เขียนย้ำอีกว่า ยอห์นไม่ใช่องค์ความสว่างที่เข้ามาในโลก
คำว่าเชื่อ มีใช้ถึง 78 ครั้งในหนังสือยอห์น แน่นอน เป็นคำสำคัญมาก  เราไม่ได้เชื่อเพราะอารมณ์ หรือได้ความรู้มา เราเชื่อเพราะเราเต็มใจตอบรับความรอดที่พระเจ้าทรงยื่นให้
ความสว่างที่ยอห์นเป็นพยานให้ เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงสัญญาจะให้มาตั้งแต่นานมาแล้ว ดูพระคำข้างล่าง

พระคำเชื่อมโยง ยอห์น 1:6-8
มัทธิว 3:1-17 เรื่องราวของท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา
ยอห์น 3:25-36 ผู้คนประหลาดใจที่มีทั้งยอห์น และพระเยซู จึงสงสัยว่าใครเป็นใคร
อิสยาห์ 9:2 คนที่เดินในความมืดได้เห็นสว่างที่ยิ่งใหญ่

ยอห์น 1:9-11 พระเยซูทรงเป็นความสว่างแท้  ทรงลงมาจากสวรรค์เข้ามาในโลกธรรมชาติที่พระองค์เองเป็นผู้สร้าง โลกที่มีพื้นที่ มีเวลาเป็นกรอบจำกัด  พระเยซูทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ทรงมาอยู่กับมนุษย์ชาติที่พระเจ้าทรงรัก (ยอห์น 3:16) พระองค์ทรงให้ความสว่าง คือพระองค์เองแก่ทุกคน  สว่างของพระองค์ เมื่อฉายเข้าไปในใจของเราแล้ว  เราจะเห็นตัวเองชัดเจนว่าเป็นคนบาปชั่วอย่างไร  ยอห์น 3:19-21 เมื่อเราตอบสนองความสว่างนั้น สิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้นมากมายในชีวิต
ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นผู้สร้าง ทั้งโลกนี้จึงเป็นของพระองค์ ทรงมีสิทธิเป็นผู้ครอบครอง แต่มนุษย์ไม่รู้จักพระองค์เพราะตาฝ่ายวิญญาณนั้นบอดไปเพราะความบาป
“ไม่รู้จัก” มีความหมายว่าไม่มีความสัมพันธ์สนิทแนบแน่นกับพระองค์  ไม่เข้าใจ ไม่ตระหนัก ไม่รับรู้ ปฐมกาล 4:1; เยเรมีย์ 1:5

อิสยาห์ 49:6 เจ้าจะเป็นความรอดของเราจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก
ฮีบรู 1:2 พระเจ้าตรัสกับมนุษย์ผ่านพระบุตรของพระองค์
ลูกา 19:14 คนที่ไม่ต้องการให้ชายที่รับแต่งตั้งเป็นกษัตริย์มาปกครองเขา

ยอห์น 1:12-13 แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนปฏิเสธพระองค์ไปหมด ยังมีอีกมากที่ต้อนรับพระองค์ มนุษย์มีส่วนในความรอดของตน พวกเขาต้องตอบรับพระคุณที่ผ่านมาทางพระเยซูคริสต์    พระเจ้าทรงเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่มีเงื่อนไขกับคนบาป โดยที่พวกเขาจะต้องกลับใจ เชื่อ เชื่อฟัง และบากบั่นในความเชื่อต่อไป ไม่หยุด  เป็นขั้นตอนที่ควรเกิดขึ้นกับเราทุกคน 
เมื่อใครคนหนึ่งรับและเชื่อพระเยซูคริสต์เท่ากับเขารับพระบิดาด้วย เมื่อได้รับแล้วเขาก็จะมีความสัมพันธ์สนิทส่วนตัวกับพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ 
พระองค์ประทานสิทธิ.. ให้เป็นบุตรของพระเจ้า  มหัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว!  คนชั่วที่รับพระเจ้าได้รับการชำระ เปลี่ยนไปเป็นลูกของพระเจ้า เขาได้รู้จักพระเจ้าและมีพระองค์เป็นพระเจ้าพระบิดาของเขา  ยอห์น 5:27; 17:2; 19:10,11 อย่างไรก็ดี คำกรีกที่กล่าวถึงพระบุตร คือ huios  ส่วนผู้เชื่อที่มาเป็นลูกของพระเจ้า เรียก teknon, tekna  พวกเขาได้เป็นลูกของพระเจ้า แต่คนละแบบกับพระเยซู  พระเจ้าทรงอยู่เหนือทุกสิ่ง แต่มนุษย์ต้องเป็นผู้ตอบสนองพระคุณยิ่งใหญ่นั้น  ในสมัยพันธสัญญาเดิมนั้น ชื่อของบุคคลสำคัญมาก เป็นดั่งคำอธิบายบุคลิกภาพของเขา เชื่อในพระนามของพระองค์ การเชื่อคน ๆ นั้น เท่ากับเชื่อเขาและรับเขาคนนั้น  ยอห์น 2:23; 3:18; 20:31; 1 ยอห์น 5:13    ลูกคนนี้ คือผู้เชื่อพระเยซูทุกคน จะเป็นวัยไหนชาติใด เพศหญิงหรือชายไม่สำคัญ แต่เขามาเป็นลูกเพราะ เขาเชื่อในพระบุตร พระเจ้าทรงรับเขาไว้แล้ว  

พระคำเชื่อมโยง
กาลาเทีย 3:26 เรามาเป็นบุตรของพระเจ้าโดยความเชื่อ
ยอห์น 3:6-8 การกลับใจของทุกคน เกิดจากพระเจ้าก่อน
ทิตัส 3:5 พระเจ้าทรงช่วยเราไม่ใช่เพราะเราดี แต่เพราะพระเมตตาของพระองค์
1 ยอห์น 3:9 คนที่บังเกิดจากพระเจ้า ไม่ทำบาป
1 เปโตร 1:23 เราบังเกิดใหม่จากเมล็ดที่มีชีวิต
ยากอบ 1:18 พระเจ้าทรงเลือกให้เราเกิดใหม่จากคำแห่งความจริง

ยอห์น 1:14 พระบุตรของพระเจ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ทรงใช้ชีวิตท่ามกลางประชาชน ไม่ได้ทรงแยกตัวออกไป ที่มหัศจรรย์ล้ำลึกนักก็คือ พระเจ้าผู้มองไม่เห็น กลับกลายมาเป็นมนุษย์ที่มองเห็นได้ องค์ผู้ทรงเป็นนิรันดร์ กลับมาอยู่กรอบเวลา องค์ผู้อยู่เหนือธรรมชาติ ทรงมาเป็นมนุษย์เหมือน ๆ อย่างเรา แต่ถึงกระนั้น พระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าไม่ได้หยุดที่จะเป็นพระเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าในร่างของมนุษย์ !
ทรงเมตตาเราเพียงใดที่ทรงลงมาในโลกเช่นนี้ อพยพ 33:20 บอกเราว่า มนุษย์เห็นพระพักตร์พระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาต้องตาย … พระสิริของพระเจ้านั้น รุนแรง เข้มข้น ทรงพลัง น่ายำเกรงนัก ถ้าจะให้เปรียบให้เข้าใจก็คือ ถ้าเราเพ่งมองดวงอาทิตย์ไม่นานเราจะตาบอดนั่นเอง

พระคำเชื่อมโยง
ฮีบรู 1:1-3 พระเจ้าตรัสกับเราทางพระบุตรผู้ทรงสร้างจักรวาล พระบุตรองค์นี้ทรงสะท้อนพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดา ทรงเป็นพิมพ์เดียวกับพระบิดา
มัทธิว 17:1-8 ศิษย์ของพระเยซูได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เมื่อทรงนำพวกเขาขึ้นไปบนภูเขา ยอห์นเป็นหนึ่งในสามคนที่ได้เห็น
2 เปโตร 1:17 เปโตรก็ได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์นั้น
ยอห์น 10:30 เรากับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน
โคโลสี 1:19 พระบิดาทรงพอพระทัยที่จะให้ความเต็มบริบูรณ์อยู่ในพระเยซู

ยอห์น 1:15 ยอห์นเกิดก่อนพระเยซู (ลูกา 1:36) พระองค์ทรงเริ่มราชกิจประกาศแผ่นดินของพระเจ้าหลังยอห์น แต่ยอห์นบอกว่า พระองค์ดำรงอยู่ก่อน ท่านหมายความว่า พระเยซูทรงมาจากนิรันดร์กาล (ดูข้อ 30)

พระคำเชื่อมโยง
มาลาคี 3:1 พระยาห์เวห์ตรัสว่าเราจะส่งทูตของเราไปเตรียมทางไว้
ยอห์น 3:32 พระเยซูทรงเป็นพยานสิ่งที่ทรงเห็น ทรงได้ยิน แต่ไม่มีใครรับคำนั้น
มัทธิว 3:11 ยอห์นให้บัพติศมาด้วยน้ำ แสดงการกลับใจ แต่ผู้ที่มาภายหลังจะให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณและด้วยไฟ
โคโลสี 1:17 พระเยซูทรงดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่ง ทุกสิ่งเชื่อมโยงยึดกันโดยพระองค์

ยอห์น 1:16-18 ท่านยอห์นผู้เขียน ได้ย้ำเรื่องการรับพระคุณซ้อนพระคุณ รับแล้วรับอีก พระคุณในที่นี้ คือความโปรดปราน ความดีของพระเจ้าที่ส่งลงมาให้มนุษย์ ให้โดยไม่ได้นับความดีงามหรือคุณค่าในตัวเองของมนุษย์ ทรงให้เพราะพระองค์มีพระดำริจะแบ่งให้ มนุษย์ทั้งโลกได้รับพระคุณของพระเจ้าทุกวันทุกเวลา จากโลกที่มีวันเดือนปี ฤดูกาล อาหาร อากาศ แต่คนที่พบพระเยซูได้พระคุณมากกว่านั้นอีก เพราะเขาได้ทุกอย่างที่พระบิดาจะประทานให้

พระคำเชื่อมโยง
เอเฟซัส 1:23 คริสตจักรเป็นพระกายพระคริสต์ ซึ่งเป็นความบริบูรณ์ของพระองค์ ทรงเติมทุกอย่าง ทุกแห่งให้บริบูรณ์
เอเฟซัส 3:19 เมื่อเราซาบซึ้งในความรักของพระเจ้าที่เกินความรู้ เราก็จะได้รับความบริบูรณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
เอเฟซัส 4:13 คริสเตียนเติบโตถึงความบริบูรณ์ของพระคริสต์
โคโลสี 1:19 พระเจ้าทรงพอพระทัยให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นอยู่ในพระเยซู
โคโลสี 2:9 ความเป็นพระเจ้าครบถ้วนดำรงในพระกายพระเยซู

อพยพ 20:1 พระเจ้าทรงนำออกจากแดนทาส
ยอห์น 1:14 พระคำมาบังเกิดในโลก ทำให้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า
โรม 5:21 บาปทำให้ตาย พระคุณทำให้ถึงชีวิตนิรันดร์
ยอห์น 8:32 ความจริงที่รู้จะทำให้เป็นไท
ยอห์น 18:37 พระเยซูทรงมาในโลกเพื่อเป็นพยานให้ความจริง และคนที่อยู่ฝ่ายความจริงจะฟังเสียงของพระองค์

อพยพ 33:20 มนุษย์เห็นพระพักตร์พระเจ้าไม่ได้ เห็นแล้วต้องตาย
มัทธิว 11:27 ไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร และคนที่พระบุตรดำริให้รู้
1 ทิโมธี 6:16 พระเจ้าทรงอมตะ สถิตในความสว่างที่ไม่มีใครเข้าใกล้ได้ ไม่มีใครเห็นและเห็นไม่ได้
1 ยอห์น 4:9 ประจักษ์รักของพระเจ้าคือพระองค์ทรงให้พระบุตรองค์เดียวมาในโลก เพื่อเราจะได้ดำรงชีวิตในพระบุตร

คำพยานยืนยัน:เสียงจากถิ่นกันดาร

ยอห์น 1:19-20 ไม่ว่าท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาจะไปเทศนาที่ไหน ผู้คนก็ตามไปฟังกันมากมาย แม้จะออกไปนอกเมืองพวกเขาก็ดั้นด้นตามไป ยอห์นไม่เหมือนธรรมาจารย์ ไม่เป็นฟาริสี ทำให้ยิวในเยรูซาเล็มกังขามาก ถึงกับส่ง ปุโรหิต เลวีจากพระวิหารไปตามหาข้อมูล
คำตอบแรกของยอห์น คือเขาปฏิเสธว่า เขาไม่ใช่พระเมสสิยาห์(เรียกด้วยภาษาฮีบรู) หรือพระคริสต์ (เป็นชื่อภาษากรีก) หมายถึงผู้ที่ถูกเจิม เป็นชื่อตำแหน่งของผู้ช่วยกู้อิสราเอลที่ผู้กล่าวพระคำในอดีตได้ทำนายเอาไว้
(พระเมสสิยาห์ หรือพระคริสต์เป็นผู้ที่ชาวยิวตั้งตารอคอยให้มากู้ชาติให้เป็นอิสระ)

พระคำเชื่อมโยง
ยอห์น 3:25-36 ความสับสนของผู้คนว่า พระเยซูและยอห์นเป็นใคร

ยอห์น 1:21-22 ที่พวกเขาย้อนถามไปถึงเอลียาห์ เพราะท่าทาง บุคลิกภาพของยอห์นนั้น คล้ายเอลียาห์ อีกอย่างพวกเขาเชื่อว่า เอลียาห์จะมาก่อนพระเมสสิยาห์ (มาลาคี 4:5-6 เราจะส่งเอลียาห์มาก่อนวันแห่งพระเจ้า) ยังมีคำถามต่อว่า เขาคือผู้เผยคำของพระเจ้าท่านนั้นหรือ? (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15-18 เป็นคำพยากรณ์ว่าพระเจ้าจะตั้งผู้เผยพระคำของพระองค์เหมือนอย่างโมเสส ผู้จะเป็นกระบอกเสียงแทนพระองค์)

ยอห์น 1:23-25 ท่านยอห์นกล้าหาญมากที่จะบอกว่า ตนเองเป็นคนที่อิสยาห์กล่าวถึงใน อิสยาห์ 40:3 เป็นผู้ที่มาก่อนพระเมสสิยาห์(พระคริสต์) และท่านก็กล่าวว่าตนเป็นเสียง เป็นเสียงที่เตรียมทางให้อีกผู้หนึ่ง ทำทางให้ราบเรียบ ตรงไป เพื่อให้เดินทางสะดวก ทำงานสะดวก อิสยาห์ 40:5 กล่าวว่า จะเผยให้มนุษย์ทั้งสิ้นได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า (ยอห์น 1:14)
พวกเขาจึงสงสัยว่า ท่านยอห์นเอาสิทธิในการให้บัพติศมา มาจากไหน การให้บัพติศมานั้น ถูกมองว่าเป็นการบอกว่าผู้ให้มีสิทธิอำนาจ ถ้าเรามองย้อนกลับไปในพันธสัญญาเดิมจึงรู้ว่า การเสด็จมาของพระเมสสิยาห์เป็นเรื่องของการกลับใจและชำระฝ่ายวิญญาณ …………..

ยอห์น 1:26-28 คนที่มาฟังยอห์นไม่ใช่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พวกเขากลับใจใหม่ จิตใจของเขาถูกเตรียมไว้สำหรับการพบกับพระเยซูในเวลาต่อมา พวกเขาแสดงการกลับใจด้วยการรับบัพติศมาจากยอห์น
การถอดสายรัดรองเท้านั้นเป็นหน้าที่ของทาส เป็นงานที่ต่ำต้อยที่สุดในสายตาของยิว  ความหมายของยอห์นคือ เขาต่ำต้อยมากไม่สมควรแม้จะเป็นทาสของพระเยซู เพราะพระองค์สูงส่งเกิน

พระคำเชื่อมโยง
มัทธิว 3:11 เรื่องราวของยอห์นผู้ให้บัพติศมา
มาลาคี 3:1 พระเจ้าตรัสว่าจะมีคนมาเตรียมทาง

ลูกแกะของพระเจ้า

ยอห์น 1:29-31 วันต่อมา คือเป็นอีกวันแล้ว ที่เรื่องความสับสนของผู้คนยังค้างคาอยู่ (ข้อ19-28 เกิดขึ้นก่อนหน้าวันนี้) ยอห์นคงพูดกับคนอีกกลุ่ม คำว่า “ข้าไม่ได้รู้จักพระองค์” ยอห์นกำลังบอกว่า ท่านไม่ทราบว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์) มาตั้งแต่ต้น ทั้งสองเป็นญาติกันห่าง ๆ กัน สิ่งที่ยอห์นรู้คือ ท่านต้องให้บัพติศมาแก่พระเยซู เพื่อว่าอิสราเอลจะได้เห็นว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ เครื่องหมายที่ทำให้ยอห์นทราบว่าพระเยซูคือใครคือข้อต่อไป…
อย่างน้อยตรงนี้ ยอห์นรับว่า พระเยซูคือ ลูกแกะของพระเจ้าที่จะนำความบาปของทั้งโลกออกไป คำนี้เป็นคำที่ยิวทั้งหลายคุ้นเคยดี เพราะลูกแกะเป็นเครื่องออกไปถวายบูชาระหว่างพิธีปัสกา ลูกแกะถูกนำไปฆ่า ลูกแกะเป็นเครื่องบูชาประจำวันของคนอิสราเอล ยอห์นกำลังบอกพวกเขาว่า พระเยซูคือผู้ที่จะรับบาปของคนทั้งโลกไป

พระคำเชื่อมโยง
อพยพ 12:21 ลูกแกะของครอบครัว มาฆ่าเป็นลูกแกะปัสกา
อิสยาห์ 52:13-53:12 ผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ของพระเจ้า อิสยาห์นี้ได้พยากรณ์ถึงพระเยซูที่ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เหตุการณ์เกิดตรงกันในสมัยพระเยซู
วิวรณ์ 5:6-14 ลูกแกะของพระเจ้าถูกปลงพระชนม์ ทรงไถ่ทุกคนด้วยพระโลหิต ทรงทำให้พวกเขาเป็นอาณาจักร เป็นปุโรหิตของพระเจ้า
1 เปโตร 2:24 พระเยซูทรงรับแบกบาปของเราไว้ในพระกาย

ยอห์น 1:32-34 ขณะที่ยอห์นได้ให้บัพติศมาแก่พระเยซู พระวิญญาณที่มีรูปทรงดั่งนกพิราบทรงลงมา ทำให้ยอห์นมั่นใจตามคำของพระเจ้าที่เคยตรัสบอกท่านไว้ก่อนหน้านี้
ยอห์นจึงย้ำ ยืนยันว่า พระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้า ยอห์นเน้นให้ผู้ฟังรู้ว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรที่มีความสัมพันธ์สนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา คำนี้ท่านสื่อความเป็นพระเจ้าของพระเยซูในฐานะพระเมสสิยาห์พระผู้ช่วยให้รอด และยอห์นยืนยันว่า พระองค์เป็นผู้ให้บัพติศมาแก่ผู้คนด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์

พระคำเชื่อมโยง
มัทธิว 3:16 หลังรับบัพติศมา พระเยซูขึ้นจากน้ำ สวรรค์เปิดออก พระวิญญาณดั่งพิราบลงมาและมีพระสุรเสียงจากสวรรค์ว่า ทรงเป็นคนที่พระเจ้าทรงพอพระทัยมาก
มาระโก 1:10 บอกอย่างเดียวกับข้อข้างบน
ลูกา 3:22 เรื่องเดียวกัน

ศิษย์รุ่นแรก

วันต่อมา ยอห์นได้ยืนยันความเป็นพระเจ้าของพระเยซูกับศิษย์ทั้งหลายของท่าน ท่านให้ศิษย์มุ่งติดตามพระเยซูโดยไม่แสดงความเป็นเจ้าของศิษย์ของท่านเองเลย สนับสนุนให้ศิษย์ของท่านไปกับพระเยซู

ยอห์น 1:35-37 ในสองคนที่เป็นศิษย์ของยอห์นนี้ คนหนึ่งชื่ออันดรูว์ อีกคนเราไม่ทราบว่าเป็นใคร อาจเป็นยอห์นผู้เขียนพระกิตติคุณเล่มนี้ก็เป็นได้ ทั้งสองลาอาจารย์ตัวเองตามพระเยซูไปด้วยความเต็มใจของอาจารย์ ทั้งสองคงต้องการรู้จักพระเยซูมากขึ้น (ดูข้อ 41) ต่อมาพวกเขาจึงติดตามพระองค์ไป (มัทธิว 4:18-22)

พระคำเชื่อมโยง
ยอห์น 1:29 ยอห์นบอกให้ดูลูกแกะของพระเจ้าที่จะเอาบาปของโลกไป
มัทธิว 4:20,22 พระเยซูทรงเรียกชาวประมง และเขาทิ้งอาชีพ ติดตามพระองค์ทันที

ยอห์น 1:38-39 พระเยซูถูกเรียกว่า อาจารย์ (รับบี) พระคัมภีร์บางเล่มว่า สิบโมง ยิวแบ่งเวลากลางวันออกเป็น 12 ชั่วโมง ดังนั้น สี่โมงเย็น คือชั่วโมงที่สิบ ตรงนี้ที่ทำให้เราคิดว่ายอห์นผู้เขียน เป็นคนที่มากับอันดรูว์ เขาจำได้แม้เวลาที่พบพระเยซูอย่างใกล้ชิดครั้งแรก

ยอห์น 1:40-42 อันดรูว์ไม่รอช้า เมื่อเขามั่นใจว่าพระเยซูคือใคร ก็ตามพี่ชายไปพบพระองค์ทันที อันดรูว์เรียกพระเยซูว่า พระผู้ช่วยให้รอด คำว่าพระเมสสิยาห์เป็นคำเรียกผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม ซึ่งเรียกในภาษากรีกว่าพระคริสต์ เป็นคำมีความหมายเหมือนกัน คำพระเมสสิยาห์ หรือ พระคริสต์ ไม่ใช่ชื่อ แต่เป็นตำแหน่งของพระเยซูที่พระเจ้าทรงตั้งไว้
เมื่อพระเยซูทรงมองเปโตร พระองค์เห็นลึกเข้าไปในใจของเขา และทรงเปลี่ยนชื่อให้เขาเหมาะกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ซีโมนลูกชายของยอห์น จะกลายเป็นเคฟาสซึ่งมีความหมายว่า หินในภาษาอาราเมค(ยิวโบราณ) เป็นชื่อที่ประกาศว่า พระเยซูจะทรงเปลี่ยนชีวิตเขาไปอย่างไร และเขาจะเป็นผู้ก่อตั้งคริสตจักรในยุคแรกอย่างเหลือเชื่ออย่างไร (กิจการ 2:14-4:32)

พระคำเชื่อมโยง

มัทธิว 4:18 ที่ชายทะเลสาบกาลิลี พระเยซูทรงพบซีโมนกับอันดรูว์
มัทธิว 16:18 พระเยซูตรัสว่า ท่านคือเปโตร บนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ พลังแห่งความตายไม่สามารถเอาชนะคริสตจักร

ยอห์น 1:43-45 วันต่อมา นี่เป็นวันที่สี่หลังจากคำพยานของยอห์น เมื่อฟีลิปรับคำชวนของพระเยซูให้ตามพระองค์ เขาก็รีบไปบอกนาธานาเอลถึงความชัดเจนของพระเยซูที่ทรงเป็นคนที่ใคร ๆ เขียนถึง ตอนเล็ก ๆ เปโตรกับอันดรูว์น้องชายคงอยู่เบธไซดาเหมือนกับฟีลิป เขาจึงรู้จักกันดี ฟีลิปบอกว่า พระเยซูเป็นคนที่โมเสสและผู้เผยพระคำในอดีตเขียนถึง ซึ่งตรงนี้เองช่วยสรุปพระกิตติคุณยอห์นชัดเจนว่า พระเยซูทรงเป็นผู้ที่ทำให้คำพยากรณ์ทั้งหลายในพันธสัญญาเดิมสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ

พระคำเชื่อมโยง
ยอห์น 6:5 พระเยซูกับฟีลิปกับปัญหาที่ต้องเลี้ยงคนจำนวนมาก
ยอห์น 12:21 คนกรีกไปหาฟีลิป บอกว่า พวกเขาอยากพบพระเยซู
ยอห์น 14:8 คำสนทนาระหว่างพระเยซูกับฟีลิป

ยอห์น 1:46-49 คำของนาธานาเอล ทำให้เรารู้ว่า นาซาเร็ธไม่ได้เป็นเมืองที่มีอะไรสำคัญเลย ไม่มีชื่อเสียงดี เขามาจากบ้านคานา แคว้นกาลิลี (ยอห์น 21:2) และดูถูกคนที่มาจากนาซาเร็ธ
แต่พระเยซูกลับทรงบอกว่า เขาไม่มีอุบายเลย จากความตรงไปตรงมาของเขา เขาแตกต่างจากคนยิวทั่วไป พระองค์น่าจะทรงเอ็นดูเขาอยู่เหมือนกัน นาธานาเอลทึ่งกับการที่พระองค์ทรงเห็นเขาก่อนหน้านั้น การเห็นของพระองค์นั้นอาจจะไกลมากเกินสายตามนุษย์จะเห็นได้ เขาจึงกล่าวว่า พระองค์ทรงเป็นทั้งพระบุตรของพระเจ้า และเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล พระองค์เป็นผู้ที่เขาไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ธรรมดา น่าสนใจจริง ๆ ที่เขาเห็นด้วยกับฟีลิปแล้ว

พระคำเชื่อมโยง
ยอห์น 7:41,42,52 ฝูงชนมีความเห็นขัดแย้งกันว่า พระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์หรือไม่ เป็นเพราะพระองค์มาจากเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลีซึ่งเป็นสถานที่ ๆ คนรู้สึกว่าต่ำต้อยมาก ๆ
มัทธิว 14:29-33 ศิษย์ของพระเยซูยอมรับว่า พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง

ยอห์น 1:50-51 พระเยซูทรงเรียกพระองค์เองว่า บุตรมนุษย์ และเป็นคำที่พระองค์ทรงกล่าวถึงพระองค์เองบ่อย ๆ
พระเยซูทรงบอกให้พวกเขารู้ว่า มีการติดต่อระหว่างสวรรค์และโลกด้วยในฝ่ายวิญญาณอยู่เสมอ

พระคำเชื่อมโยง
ดาเนียล 7:13 ดาเนียลเห็นท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์ในนิมิต
ปฐมกาล 28:12 ยาโคบฝันเห็นแบบที่พระเยซูตรัส