ยอห์น 7 เทศกาลอยู่เพิงสุดท้าย

ก่อนเทศกาล…ไม่เชื่อ

ระหว่างเทศกาล โต้แย้ง

หลังเทศกาล แตกคอ

คำอธิบายเพิ่มเติม

คำแนะนำของน้องชายที่ไม่เชื่อ

1-5  ระหว่างบทที่ 6 กับ 7 นั้น ระยะเวลาห่างกันนานหลายเดือน  เพราะเรื่องในบทที่ 6 เกิดในช่วงเทศกาลปัสกา(เมษายน)แต่ในบทที่7 เป็นเทศกาลอยู่เพิง (กันยายนหรือ ตุลาคม)  และในช่วงนี้ พวกยิวก็คิดไว้แล้วว่าจะกำจัดพระองค์ให้ได้
คำว่า “งาน”  เออร์กอน .. 2041 การลงแรงทำงาน  อาชีพ การกระทำงาน หนัก ความสำเร็จในงาน รับจ้าง ออกแรง  น้องชายพระเยซูกำลังหมายถึงงานที่พระเยซูทรงทำอย่างมหัศจรรย์ ด้วยฤทธิ์เดช
 เทศกาลอยู่เพิง  เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนจะอยู่ในเพิงใบไม้เพื่อระลึกถึงความซื่อตรงของพระเจ้า ระหว่างที่อิสราเอลเดินทางในถิ่นกันดาร  และเป็นช่วงที่เขาขอบพระคุณสำหรับการเก็บเกี่ยวด้วย (เลวีนิติ 23:39-41
ชื่อของน้องชายร่วมมารดาของพระเยซูที่มัทธิวกล่าวถึง 13:55 คือ ยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาส
ยากอบกับยูดาส เป็นผู้ที่ต่อมาได้เชื่อและรับใช้อย่างซื่อสัตย์  เป็นผู้เขียนจดหมายฝาก ยากอบและยูดา พวกเขากลับใจเชื่อพระเยซูว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ หรือพระคริสต์ หลังจากที่เห็นพระองค์ทรงคืนชีพ กิจการ 1:14, 1 โครินธ์ 15:7
1 ยอห์น 5:18, 7:19,25, 8:37,40 คำว่ายิวในที่นี้ หมายถึงผู้ที่มีอำนาจทางศาสนา
2 เลวีนิติ 23:34, 42-43  3 มัทธิว 12:46 5 สดุดี 69:8, มาระโก 3:21

น้องกับพี่ อยู่คนละโลก

6-10  “เวลาของเรา” พระเยซูน่าจะหมายถึงการตรึงบนไม้กางเขน แต่น้อง ๆ ของพระองค์ไม่ได้เข้าใจตามนั้น คิดว่าเป็นเวลาที่จะต้องไปเทศกาล  ไปให้ใคร ๆ รู้จัก
โลกไม่อาจชังน้อง ๆ ของพระเยซูเพราะเป็นพวกเดียวกัน  เวลานั้นพวกเขายังไม่เชื่อวางใจพระองค์  คนที่ติดตามพระเยซูจริง ๆ จะรู้ว่า โลกไม่ชอบคนของพระองค์นั้น ความรู้สึกเป็นอย่างไร
ในภาษากรีก เป็นประโยคปัจจุบัน พระเยซูกำลังตรัสว่า ตอนนี้ เรายังไม่ไป .. และจะไม่ไปตามวิธีที่น้อง ๆ แนะนำด้วย  พระองค์ทรงมีวาระ ความมุ่งหมายของพระองค์ตามพระทัยพระบิดาอยู่แล้ว
น้องชายของพระเยซูชวนให้พระเยซูไปเปิดตัว แต่พระองค์กลับเดินทางไปเยรูซาเล็มเงียบ ๆ   ตามเวลาของพระองค์ 
6 ยอห์น 2:4, 8:20  7 ยอห์น 15:19, 3:19     8 ยอห์น8:20

ผู้คนต่างรอหาพระเยซู

11-13  ยิวที่ตามหาพระเยซูเป็นพวกที่ต้องการกำจัดพระองค์ น่าจะเป็นกลุ่มที่รุนแรงไม่น้อยเพราะประชาชนต่างซุบซิบถึงพระเยซู ไม่มีใครกล้าพูดเปิดเผยเลย  พวกยิว จงเกลียดจงชังพระเยซูจนเห็นได้ชัด 
11 ยอห์น 11:56   12 ยอห์น 9:16, 10:19, ลูกา7:16   13 ยอห์น 9:22, 12:42,19:38

ไม่ยอมรับ แต่ก็ยอมรับ

14-16  น่าจะใกล้เวลาของพระเยซูแล้ว เพราะระหว่างเทศกาลนั้นเอง พระเยซูก็ทรงเริ่มต้นสอนประชาชนในลานพระวิหารอย่างเปิดเผย   คำสอนของพระองค์นั้นพวกยิวเองยังยอมรับว่า อยู่ในระดับสูงมาก  เนื้อหา การสื่อและการอธิบายทำให้พวกเขาเองทึ่งไม่น้อย
พวกเขาไม่ต้องสงสัยนานว่า พระเยซูเรียนมาจากไหน ในเมื่อไม่ได้เข้าเรียนแบบพวกเขา  พระองค์ทรงตอบชัดเจน ว่าสิ่งที่พระองค์ตรัส มาจากพระบิดาโดยตรง  ในขณะที่พวกธรรมาจารย์ ฟาริสีทั้งหลาย เรียนรู้กันตามประเพณีสืบต่อกันมา  พระเยซูทรงเรียนจากพระบิดาเจ้า เหนือกว่าพวกเขาด้วยประการทั้งปวง
จริง ๆ แล้ว ศิษย์ของพระองค์ก็ไม่ได้ผ่านโรงเรียนแบบฟาริสี แต่พวกเขาได้เรียนจากพระเยซู  
14 มาระโก 6:34    15     มัทธิว13:54    16 ยอห์น 3:11,

17-18 พวกยิวคิดว่าตัวเองรู้จักพระเจ้าด้วยการเรียนพระคัมภีร์ จดจำและนำมาอภิปรายกัน
แต่การรู้จักพระเจ้าที่พระเยซูบอกนั้น คือ คนที่ตั้งใจทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าต่างหากที่รู้จักพระองค์จริง คนเหล่านั้นจะรู้ความจริง และจะเชื่อว่าพระเยซูสอนคำที่มาจากเบื้องบน ดู 6:44 ไม่มีใครมาหาพระเยซูได้นอกจากพระบิดาทรงส่งมาให้  6:29 งานของพระเจ้าคือให้เชื่อผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา
17 ยอห์น 3:21, 8:43  18 ยอห์น 5:41, 8:50, 2 โครินธ์ 5:21

ทรงชี้แจงให้ฟาริสีมองเห็นตัวเอง

19-24 ตอนนี้อาจเข้าใจยากนิดหนึ่งเพราะข้อความดูซับซ้อน เรื่องของเรื่องคือ ยิวเองไม่ได้รักษาบัญญัติของโมเสสจริงจัง เพราะเขาถือว่าเด็กอายุแปดวันก็ต้องให้สุหนัต ไม่ว่าวันนั้นจะไปตกอยู่วันสะบาโตหรือไม่ แต่พวกเขากับคาดคั้นไม่ยอมให้พระเยซูรักษาโรคในวันสะบาโต ดู ๆ ไป ก็น่าจะเป็นแค่ข้อแก้ตัว พวกเขาต้องการหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ 
19 เฉลยธรรมบัญญัติ 33:4, มัทธิว 12:14    20  ยอห์น 8:48,52    22  เลวีนิติ  12:3, ปฐมกาล 17:9-14,   23 ยอห์น  5:8,9,16   24 สุภาษิต 24:23

ความเห็นที่แตกต่าง ความรู้ที่ไม่ถูกต้องเรื่องพระผู้ช่วยให้รอดที่จะมา

25-27 ไป ๆ มา ๆ คนก็เริ่มสงสัยว่า จริง ๆ แล้วถึงแม้พวกยิวจะต่อต้านพระเยซูมากเพียงใด ลึก ๆ พวกเขาอาจจะเชื่อแล้วว่า พระองค์คือ พระคริสต์ หรือ พระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าทรงส่งมาจริง ๆ  นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดของผู้คนต่อเนื่องกันมาว่า พวกเขาจะไม่รู้ถิ่นกำเนิดของผู้ที่เป็นพระเมสสิยาห์  แต่ใน มีคาห์ 5:2 พระเจ้าตรัสก่อนหน้าแล้วว่า พระเมสสิยาห์จะเกิดที่เมืองเบธเลเฮม พวกเขาคิดกันว่าพระเยซูมาจากนาซาเร็ธก็ต้องเกิดที่นั่นด้วย … พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระองค์เลย 
25 มัทธิว 21:38, 26:4, ลูกา 22:2, ยอห์น 5:18, 8:37,40   26 ยอห์น 7:48,   27 มัทธิว 13:55, มาระโก 6:3, ลูกา 4:22

28 -31  ทุกอย่างที่พวกเขาพูดกัน พระเยซูทรงทราบหมด สิ่งที่ตรัสในตอนนี้ว่า พวกเขารู้จักพระองค์ น่าจะเป็นคำกระทบกระเทียบพวกเขามากกว่า    เรื่องนี้สำคัญมาก พระเยซูจึงตรัสด้วยเสียงอันดัง  ไม่ว่าใครจะคิดว่าพระองค์เป็นใครมาจากไหน ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า พระเจ้าที่ส่งพระองค์มานั้น ทรงเป็นจริง คนยิวคิดว่า พวกเขารู้จักพระเจ้าพระบิดา แต่ความจริงแล้ว พวกเขากลับต่อต้านพระองค์ และพระบุตรที่ทรงส่งมา 
ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาของพระเยซู ก็ไม่มีใครจะจับพระองค์ไปได้ หลายครั้งแล้วที่เป็นเช่นนี้  หลายคน เชื่อ…  ตอนนี้คนเริ่มแตกคอ มีความเห็นไม่เหมือนกัน  ปรากฏว่าจำนวนไม่น้อยที่หันมาเชื่อพระองค์ พวกเขาเห็นว่า  พระเมสสิยาห์ที่เขาคิดว่าจริงมา ก็ไม่มีทางจะทำการอัศจรรย์ได้มากกว่าพระเยซู
28 ยอห์น 8:14,5:43,โรม 3:4, ยอห์น 1:18, 8:55   29 มัทธิว 11:27, ยอห์น 8:55,17:25      30 มาระโก 11:18, มัทธิว 21:46, ยอห์น 7:32,44, 8:20, 10:39    31 มัทธิว 12:23

ความพยายามจับกุมพระเยซู

32-36   ความจริงแล้ว ฟาริสีกับปุโรหิตใหญ่ไม่ถูกคอกันมานานมาก  แต่ครั้งนี้พวกเขามีศัตรูคนเดียวกัน จึงส่งเจ้าหน้าที่ของพระวิหารออกไปเพื่อจะจับพระเยซู.   ที่ ๆ พวกเขาไปไม่ได้ก็คือ ที่ ๆ พระองค์จะเสด็จไปหาพระบิดาหลังจากที่พระองค์คืนชีพแล้ว
33 ยอห์น 13:33, มาระโก 16:19, ลูกา 24:51, กิจการ 1:9, ฮีบรู 9:24, 1 เปโตร 3:22      34 โฮเชยา 5:6, มัทธิว 5:20, 1 โครินธ์ 6:9, 15:50, วิวรณ์ 21:27     35  สดุดี 147:2, อิสยาห์ 11:12, 56:8, เศฟันยาห์ 3:10, ยากอบ 1:1,  1 เปโตร 1:1

คำเชิญที่ยิ่งใหญ่สำหรับทุกคน

37-39. เทศกาลอยู่เพิงครั้งนี้ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเป็นเทศกาลปัสกา ซึ่งเป็นเทศกาลที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  พระองค์ทรงอยู่ลานพระวิหาร และตรัสหลังจากที่มีการเทน้ำออกมาเพื่อระลึกถึงการที่พระเจ้าประทานน้ำให้ในถิ่นกันดาร ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่เน้นกันในเทศกาล 
พระเยซูทรงเรียกให้คนมาหาพระองค์และดื่ม  ทรงเรียกทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครที่กระหาย. พระองค์ทรงหมายความว่า ใครก็ตาม ขอให้มา และเชื่อพระองค์ พระองค์ทรงสัญญาจะให้เขามีน้ำแห่งชีวิตไหลออกมาจากใจ. ท่านยอห์นได้บันทึกไว้ให้เราเข้าใจว่า เมื่อพระเยซู สิ้นชีพและคืนชีพแล้ว  คนที่เชื่อจะได้รับพระวิญญาณของพระองค์อย่างแน่นอน 
37 เลวีนิติ 23:36, กันดารวิถี 29:35, เนหะมีย์ 8:18, อิสยาห์ 55:1   39 ยอห์น 12:16, 13:31, 17:5

ประชาชนฉงน ผู้นำศาสนาไม่ยอมรับ

40-44  มีคนที่แน่ใจในความจริงที่พระเยซูตรัส  เขาเชื่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ (พระเมสสิยาห์)แน่นอน ตรงนี้ทำให้เรารู้ว่าคนไม่น้อยไม่รู้สถานที่บังเกิดของพระเยซู พวกเขาคิดว่า พระองค์มาจากกาลิลีทางเหนือ  มีคนที่แน่ใจว่า พระเยซูคือพระเมสสิยาห์ หรือพระคริสต์ แต่ก็ยังมีคนไม่รู้และค้านแบบไม่รู้ไปดื้อ ๆ อย่างนั้น  เห็นได้ชัดว่า พระเยซูทรงทำให้คนต้องคิด ต้องชั่งน้ำหนัก ให้เหตุผล และทำให้คนแตกคอกันจากสิ่งที่พวกเขาเห็นตรงหน้า 
40 เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15,18   41 ยอห์น 4:42,6:69    42 สดุดี 132:11, เยเรมีย์ 23:5, มีคาห์  5:2, ,มัทธิว 2:5, ลูกา 2:4, 1 ซามูเอล 16:1,4    43 ยอห์น 7:12    44 ยอห์น7:30

45-49 การจับกุมพระเยซูไม่สำเร็จ  ที่เป็นเช่นนั้นเพราะยังไม่ถึงเวลาของพระองค์   ยามพระวิหารเองก็เห็นว่า พระเยซูตรัสไม่เหมือนใครเลย ทำให้ฟาริสีเองหงุดหงิดมากขึ้น  ภาพนี้เราเลยเห็นชัดเจนว่า เหล่าธรรมาจารย์และฟาริสีต่างมีความเย่อหยิ่ง ไม่ยอมรับความจริงที่พระเยซูตรัสเลย 
46 มัทธิว 13:54,56, ลูกา 4:22

คนที่เป็นฝ่ายพระเยซู

50-51 คราวนี้นิโคเดมัสออกตัวให้ใคร ๆ รู้ว่า เขาปกป้องพระเยซูอยู่  เขาเปิดเผยตัวแล้วว่า เขาเป็นฝ่ายพระองค์  เขาพยายามชี้แจงเหตุผลที่ถูกต้องตามธรรมเนียม แต่ไม่มีใครฟัง52  จากข้อนี้ เราเห็นเลยว่า ฟาริสี ก็ไม่ได้รู้จริงนัก เขาก็ไม่รู้ด้วยว่า จริงแล้ว พระเยซูทรงเกิดที่เบธเลเฮม เขาไม่รู้ว่าโยนาห์และนาฮูม มาจากกาลิลี  พวกเขาพูดอะไรก็ได้ที่คิดว่าจะทำให้ตนชนะ  น่าอายจริงที่เรื่องนี้ถูกบันทึกมานานเข้าปีที่สองพันกว่า
50 ยอห์น 3:1-2, 19:39  51 เฉลยธรรมบัญญัติ 1:16-17,19:15  52 อิสยาห์ 9:1-2, ,มัทธิว 4:15, 

 


ยอห์น 6 อาหารแห่งชีวิต

มีคำอธิบายในช่วงสุดท้าย ส่วนข้อพระคัมภีร์เล็ก ๆ ใต้ภาพ เป็นข้อพระคัมภีร์เชื่อมโยงที่ทำให้เรามองเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนขึ้น

การเลี้ยงครั้งใหญ่ 5000 คน

มัทธิว 14:13-21,มาระโก 6:32-35, ลูกา 9:10-12, ยอห์น 6:32,21:1, มัทธิว 4:23, 8:16,9:35, 14:36, 15:30, 19:2, 14:14,,เทศกาล เลวีนิติ 23:5,7 , เฉลยธรรมบัญญัติ 16:1

มัทธิว 14:13-21, ยอห์น 1:43

ยอห์น 1:40, 2 พงศ์กษัตริย์ 4:43

มัทธิว 15:36, 1 เธสะโลนิกา 5:18, ลูกา 24:30

ปฐมกาล 49:10, เฉลยธรรมบัญญัติ18:15}18, ยอห์น 1:21, 7:40, กิจการ 3:22, 7:37

ยอห์น 18:36, 7:3-4,

พระเยซูทรงเดินบนน้ำทะเล

มัทธิว 14:23, มาระโก 6:47

มัทธิว 17:6, อิสยาห์ 43:1-2

พระเยซูผู้เป็นอาหารแห่งชีวิต

มาระโก 1:37, ยอห์น 6:15-21, ยอห์น 6:2, ลูกา 8:40,

คำถามแรกเมื่อพบพระเยซู ยอห์น 1:38-39 , โรม 16:18, ฟีลิปปี 2:21

คำถามที่สอง โคโลสี 3:2, อิสยาห์ 55:2, กิจการ 6:30,16:31, มัทธิว 19:16

ยอห์น 12:37, 1 โครินธ์ 1:22, สดุดี 105:40, 78:24-25

กาลาเทีย 4:4, ยอห์น 1:9, 1 ยอห์น 1:1-2, ยอห์น 17:8, 4:15

ยอห์น 7:37-38, 4:13-14, วิวรณ์ 22:17, 1 เปโตร 1:8-9, ลูกา 16:31, ยอห์น 17:24, 10:28-29

ยอห์น 5:30, 4:34, 3:13, ฟีลิปปี 2:7-8, ยอห์น 18:9, 17:12, 10:27-30

โรม 6:23, ยอห์น 5:24,

พระเยซูทรงอธิบายว่าเหตุใดพวกเขาไม่รับพระองค์ ยอห์น 7:12, 6:51-52, ลูกา 4:22

ยอห์น 6:65, 12:32, เอเฟซัส 2:4-10,อิสยาห์ 54:13, เยเรมีย์ 31:33-34

อาหารแท้จากสวรรค์ ยอห์น 1:18, 7:29, 5:24,37, 3:36, 1 ยอห์น 4:12, 1 โครินธ์ 10:16-17, ยูดา 1:5

ยอห์น 6:33,58, 11:25-26, ลูกา 22:19, ฮีบรู 10:5-12, 20

การต้อนรับพระเยซูคืออย่างไร? ความหมายแท้ ยอห์น 10:19,9:16 , 1 ยอห์น 5:12

ยอห์น 15:4-7, 1 ยอห์น 2:6,27,28, 3:6,24,

1 ยอห์น 3:24, 4:15-16, 15:4-5, ยอห์น 6:24, 47-51, 41,31-34, 18:20

คำแห่งชีวิตนิรันดร์ ที่หลายคนปฏิเสธ

ปฏิกริยาต่อคำของพระเยซู 2 เปโตร 3:16, ยอห์น 8:43, 2:24-25, มาระโก 16:19, ยอห์น 3:13

เหตุผลที่คนไม่รับพระองค์ กาลาเทีย 5:25, ฮีบรู 4;12, ยอห์น 10:26, 2 ทิโมธี 2:19,

ยอห์น 6:44-45, 6:37, 3:27

พวกศิษย์รับพระองค์แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด 1 ยอห์น 2:19, ลูกา 9:62, ฮีบรู 10:38

พระเยซูทรงรู้จักศิษย์ทุกคนอย่างดี มัทธิว 16:16, มาระโก 8:29, ลูกา 9:20, ยอห์น 1:49,11:27, 12:4,13:2,26
มัทธิว 26:14-16

ยอห์น 6:1-15 นี่เป็นหมายสำคัญครั้งที่สี่ ซึ่งท่านยอห์นได้บันทึกไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ และทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นการอัศจรรย์ที่พระกิตติคุณทั้งสี่ได้บันทึกเอาไว้ ท่านยอห์นมักบอกรายละเอียดที่ท่านอื่นละเอาไว้ ทำให้เราเห็นฤทธิ์อำนาจของพระเยซูชัดเจน และยังเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่มาก่อนคำของพระเยซูที่ตรัสว่า ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิตด้วย (ข้อ 22-40) |
ทั้ง ๆ ที่ผู้คนมาเพราะอยากเห็นการอัศจรรย์ แต่พระเยซูก็ไม่ได้รู้สึกทางลบกับพวกเขา ทรงทั้งสั่งสอน และรักษาโรคให้จนเย็น พระองค์ทรงถามฟีลิปว่าจะเลี้ยงพวกเขาอย่างไร การตอบโต้ของฟีลิปทำให้เราเห็นว่า เขายังคิดไม่ออกว่า พระเยซูสามารถทำการอัศจรรย์ที่เกินคาดได้ เขามองเห็นจำนวนคนก็ท้อแล้ว ในบันทึกว่า 5000 คน หมายถึงเฉพาะผู้ชาย แต่ถ้าเรารวมผู้หญิงและเด็กเข้าไปก็น่าจะถึงสองหมื่น หลังจากการเลี้ยงคนจำนวนมหาศาลด้วยขนมปังเล็ก ๆ 5 ชิ้น กับปลา 2 ตัวของเด็กชายคนหนึ่ง ข้อ 14 พวกเขาพูดกันว่า พระองค์คือ ผู้เผยพระคำ เขาพอใจพระองค์ และคิดว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้นำที่ช่วยพวกเขาได้อย่างที่ต้องการ ข้อ 15 จึงคุยกันว่า จะบังคับให้พระองค์เป็นกษัตริย์ของพวกเขา แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของพระเยซู

ยอห์น 6: 16-21 การดำเนินบนน้ำทะเลเป็นหมายสำคัญที่ห้า ที่ท่านยอห์นบันทึก เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์และพระบุตรของพระเจ้า (ยอห์น 20:30-31) การอัศจรรย์ทุกครั้งทำให้เราได้เห็นว่า พระองค์ทรงอยู่เหนือกฎธรรมชาติ
สบาย ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องใช้พลังมากเลย หลังจากที่เลี้ยงคนจำนวนมากนั้นแล้ว ศิษย์ของพระองค์ก็มุ่งหน้าไปทางตะวันตกทันที ทะเลกาลิลีนี้แปลก อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 700 ฟุต ดังนั้น ลมเย็นจากภูเขาทางเหนือ และที่ราบสูงทางตะวันออกเฉียงใต้ก็มักจะพัดเข้ามาทำให้เกิดพายุอย่างทันควันได้เสมอ
ในหนังสือมัทธิว 14:26 ,มาระโก 6:49 บอกว่าเขาคิดว่าพระองค์เป็นผีเสียด้วยซ้ำ เพราะบรรยากาศเอื้อให้คิดอย่างนั้น
พวกเขารู้สึกหวาดกลัวมาก แต่ครั้งนี้เอง ไม่เฉพาะแค่ดำเนินบนน้ำเท่านั้น พระเยซูยังทรงสั่งให้พายุสงบ แถมเรือก็ไปถึงอีกฝั่งทันที พวกเขาจึงเห็นชัดเลยว่า ทรงยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติทุก ๆ ด้าน

ยอห์น 6:22-29
วันต่อมา ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์การเลี้ยงใหญ่นั้น ก็ตามหาพระเยซู พวกเขารู้ว่าพระองค์ไม่ได้กับศิษย์ด้วย จึงตัดสินใจพากันข้ามจาก ด้านตะวันออกของทะเลมาด้านตะวันตกที่เมืองคาเปอร์นาอูม ในหมู่คนเหล่านั้นมีพวกยิวอยู่ด้วย (มัทธิว 15) แปลกที่ถามว่า พระองค์มาถึงเมื่อไร และแปลกที่พระเยซูไม่ทรงตอบคำถามนั้นกลับตรัสบอกเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงมาหาพระองค์… เขาทั้งต้องการอาหาร หมายสำคัญ และกษัตริย์ที่จะช่วยพวกเขา
คำถามต่อมาคือ ต้องทำอย่างไรเพื่อจะทำให้พระเจ้าพอพระทัย… แต่นั่นเป็นพื้นฐานที่เข้าใจพระเจ้าผิด พระเยซูทรงตอบทันทีว่า สิ่งที่ต้องทำคือการเชื่อพระองค์เอง เชื่อองค์เยซูที่พระเจ้าทรงส่งมา
นี่เป็นความเข้าใจผิดของคนเป็นจำนวนมาก พวกเขาคิดว่าต้องทำดีจึงจะมาหาพระเจ้าได้ แต่พระเยซูทรงชัดเจน …ต้องเชื่อพระองค์!”

ยอห์น 6:30-37 ประชาชนที่ตามพระองค์มานั้น ยังต้องการเห็นหมายสำคัญ การอัศจรรย์อีก พวกเขาอ้างไปถึงอดีต คราวที่บรรพบุรุษของพวกเขาอยู่ในถิ่นกันดาร โดยการนำของโมเสส เขาได้รับการเลี้ยงดูเป็นเวลานานมากด้วยมานา และนกคุ่ม
พูดเป็นนัย ๆ ว่า พระเยซูจะเลี้ยงแค่มื้อเดียวเองหรือ เขาต้องการอาหารจากพระองค์ทุกมื้อจากนี้ไป
แต่พระเยซูตรัสตอบเขาว่า คนที่เลี้ยงพวกเขาไม่ใช่โมเสส แต่เป็นพระบิดาต่างหาก จากนั้นทรงโยงไปเรื่องที่สำคัญคือ พระองค์นี้แหละ คืออาหารแห่งชีวิต คืออาหารแท้จากสวรรค์ที่พระเจ้าทรงส่งลงมา พระองค์หมายความว่า ทรงเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณที่พวกเขาต้องกิน ดื่มเข้าไป(นั่นคือเชื่อวางใจพระองค์) เพื่อจะมีชีวิต เป็นเรื่องของอาหารเลี้ยงวิญญาณ
ข้อสังเกต.. สิ่งที่พวกเขาต้องการ พระองค์ไม่ให้ แต่อาหารที่ทรงเสนอให้ คือพระองค์เอง พวกเขากลับไม่รับ การเชื่อในพระเยซูนั้น ไม่ซับซ้อน เพราะการเชื่อคือการออกมาจากชีวิตเดิม และเข้ามาหาพระองค์ พระเยซูตรัสชัดเจนว่า การเข้ามาหาพระองค์นั้น เป็นราชกิจของพระบิดา และพระบุตรจะไม่มีการปฏิเสธคนที่พระบิดาส่งมาให้พระองค์

ยอห์น 6:38-51 การสนทนากันครั้งนี้ พระเยซูตรัสตรง ๆ หลายครั้งว่า พระบิดา พระบิดา… และทรงย้ำว่า พระองค์ถูกส่งมาจากพระบิดา และใครที่มาหาพระเยซูจะมีชีวิตนิรันดร์ นี่เป็นความประสงค์ของพระบิดา
และแล้ว พวกยิวก็เริ่มเอะใจ ไม่พอใจที่พระองค์ตรัสเช่นนั้น พวกเขาไม่ยอมเชื่อว่าพระองค์ลงมาจากสวรรค์ ยังไงกัน จะยกตัวเองมากเกินไปแล้ว ก็เป็นลูกชายโยเซฟ แล้วมาอ้างอย่างนี้ได้ไง…
ในขณะที่พวกเขาคิดว่าตนเองมีเชื้อสายอิสราเอล เป็นคนพิเศษของพระเจ้า พระเยซูกลับทรงบอกเขาว่า คนที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์นั้น เป็นการเลือกจากพระบิดา ไม่ใช่มาจากเชื้อสาย
และในที่สุด พวกเขาก็เริ่มเข้าใจว่า มานาที่พระเจ้าส่งลงมา ก็ยังไม่ใช่อาหารแห่งชีวิต เพราะคนที่กินก็ตายตาม ๆ กัน
แต่อาหารใหม่จากสวรรค์นี้ จะให้ชีวิตตลอดไป …. พระองค์ตรัสอีกประโยคที่ทำให้เราตะลึงก็คือ อาหารที่จะให้ชีวิตจริง ๆ กับโลกคือเลือดเนื้อของพระองค์

ยอห์น 6:52-59 ในหนังสือยอห์น ผู้เขียนจะบันทึกคำตรัสแบบเปรียบเทียบของพระเยซูไว้หลายครั้ง เช่นการเกิดใหม่
น้ำแห่งชีวิต อาหารแห่งชีวิต เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ทำให้พวกยิวเริ่มไม่พอใจ โต้เถียงกัน กินเนื้อ ดื่มโลหิตนั่นคือ รับเอาพระองค์ทั้งหมด และพระองค์เน้นด้วยทรงเป็นเนื้อแท้ เลือดแท้… ท่านยอห์นเป็นคนที่เน้นเรื่องของ จริง, แท้ บ่อย ๆ ในข้อเขียนของท่าน
คำ “พระบิดาผู้ทรงพระชนม์” บ่งบอกว่า พระองค์ทรงมีชีวิตในพระองค์เอง และทรงมอบชีวิตนั้นให้พระบุตร (ยอห์น 5:21) ทั้งพระบิดาพระบุตรทรงทำให้คนคืนชีพ

ยอห์น 6:60-71 พวกเขาบอกว่ายากที่จะรับได้ นั่นหมายถึงว่า ไม่อยากรับว่า พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า และในบางครั้ง พระเยซูเองก็ตรัสอะไรยากที่จะเข้าใจด้วย (มัทธิว 23:15, ยอห์น 4:17-18)
ข้อ65 ทำให้เรารู้ว่า มนุษย์ไม่หาพระเจ้าเอง แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เริ่มช่วยให้เขาแสวงหาพระองค์ มนุษย์เป็นผู้ที่จะตอบสนองการเริ่มต้นของพระเจ้า
ในหมู่คนที่ติดตามพระเยซูนั้น มีคนที่เชื่ออย่างจริงใจ กับคนที่ต้องการจะได้ประโยชน์ และเราพบว่า ทุกคนที่พระเยซูทรงเลือกมาตั้งแต่ต้นก็ตัดสินใจที่จะติดตามพระองค์ไป เปโตรเองเป็นคนที่บอกชัดว่า จะไปเอาใครที่ไหนมาเปรียบกับพระองค์ ไม่มีเลย เขามั่นใจเต็มร้อยว่า พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า
แต่แล้วสิ่งที่น่าเสียดายคือ ยูดาสไม่เลือกที่จะเป็นคนของพระเจ้า เขาปฏิเสธพระเยซูทั้งที่เคยได้ยิน ได้เห็น และอยู่กับพระองค์มานานเท่า ๆ กับอัครทูตคนอื่น

ยอห์น 5 พยานทั้งห้าของพระบุตรพระเจ้า

เดินได้ทันที!

ประเด็นเดิม-สะบาโต

สิทธิอำนาจของพระบุตร

แหล่งพยานทั้งห้าของพระบุตร

อธิบายเพิ่มเติม ยอห์น 5

เดินได้ทันที

 ยอห์น 5:1-15 หมายสำคัญที่สาม   ทรงรักษาคนเป็นอัมพาต 

ต่อมา พระเยซูทรงขึ้นไปเยรูซาเล็มในงานเทศกาลหนึ่งของยิว  ที่ประตูแกะทางเหนือของเยรูซาเล็ม   ที่สระเบเธสดา หรือบางคนเรียก เบธไซดา (บ้านแห่งความเมตตา)   มีคนป่วยนอนรอน้ำกระเพื่อมอยู่มากมาย  (มีการอธิบายว่า เมื่อมีน้ำใต้สระพลุ่งเข้ามาเป็นระลอก  น้ำนั้นจะอุ่นและน่าจะมีแร่ธาตุที่ช่วยให้คนเป็นโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและไขข้อต่าง ๆ รู้สึกดีขึ้น) 
ชายคนที่เราพูดถึงเดินไม่ได้ และดูเหมือนว่าโรคนี้เป็นผลจากบาปของเขาเอง (ข้อ 14 ) จากคนที่ป่วยมากมายรายล้อมอยู่ พระเยซูทรงยื่นความช่วยเหลือไปให้เขาคนเดียวเท่านั้น  ทรงถามง่าย ๆ ว่าอยากหายป่วยไหม แปลก ทำไมทรงรักษาแค่คนเดียวในวันนั้น?
เขาบอกว่า ไม่มีใครช่วยพาเขาลงน้ำ  นี่บอกว่าเขาอยากหาย  พระเยซูทรงสั่งให้เขาหยิบเสื่อนอนแล้วเดิน  เขาก็ลุกขึ้น หายโรคทันที และนี่เองทำให้เกิดความชุลมุนวุ่นวาย   จากคนเดินไม่ได้กลายเป็นคนเดินคล่องพร้อมหอบหิ้วที่นอนไปด้วย  คนที่อยู่ตรงนั้นเห็นว่าเขาหายป่วยจริง ปกติแล้วถ้าง่อยมานาน กว่าจะลุกกว่าเดินมันต้องใช้เวลาขยับเนื้อขยับตัว  แต่ชายคนนี้กลับทำได้ทันควัน  
พระเมสสิยาห์มาแล้วจริงใช่ไหม?  พระเยซูทรงใช้การรักษาโรควันสะบาโตมาบอกให้ยิวรู้ว่า พระองค์คือใคร ทำไมทรงมีสิทธิที่จะรักษาโรคในวันสะบาโต  ทุกครั้งทำให้พวกยิวโกรธ
มัทธิว 12:1-14  ศิษย์เด็ดรวงข้าววันสะบาโตก็ผิดในสายตายิวแล้ว
ยอห์น 9:14 รักษาชายตาบอดในวันสะบาโต
เยเรมีย์ 17:21-22 พระเจ้าทรงสั่งให้คนไม่ทำงานในวันสะบาโต

ยอห์น 5:14-16 พระเยซูทรงเตือนชายคนนั้นว่าถ้าไม่ระวังจะเจอหนักกว่านี้

  พระเยซูทรงหลบไปสักพักแล้วมาเจอชายที่หายโรคอีกที เขาจึงรู้ว่า ท่านที่ช่วยให้เขาเดินได้คือพระเยซู จึงรีบกลับไปบอกยิว ชายคนนี้โยนความผิดเรื่องที่เขาแบกที่นอนไปให้พระเยซู   ดูไปแล้วชายคนนี้อาจไม่ได้กลับใจเสียด้วยซ้ำ การเตือนของพระเยซู นิสัยใจคอของเขา ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นคนไร้กตัญญู 
ยอห์น 8:11 พระเยซูไม่เอาโทษหญิงที่ถูกจับมา
ยอห์น 8:37 เจ้าหาโอกาสฆ่าเรา เพราะไม่เชื่อคำสอนของเรา
ยอห์น 10:39 พวกเขาพยายามจับพระเยซูอีกครั้ง แต่ทรงรอดไปได้

ยอห์น 5:17-18  พระเยซูทรงให้เหตุผลที่ทรงทำในสะบาโต

พระบิดาของเราทรงทำงานอยู่ และเราก็ทำด้วยเหมือนกัน   หลักการตรงนี้ของพระองค์ชัดเจนมาก   พระเจ้าทรงให้ทุกอย่างในธรรมชาติดำเนินต่อไปไม่ว่าจะเป็นวันไหน  ดังนั้นพระเยซูผู้ทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า จึงทรงทำเช่นเดียวกัน
ในขณะที่พวกยิว ธรรมาจารย์สนใจว่า ทุกคนจะต้องรักษากฎ แต่พระเยซูกลับทรงก้าวข้ามกฎเหล่านั้นให้เห็น   ท้าทายพวกเขามาก  ที่พระเยซูทรงยืนยันว่า พระเจ้าของอิสราเอลเป็นพระบิดาของพระองค์ ก็เป็นอีกประเด็นที่ทำให้พวกเขาเกลียดชังพระองค์ 
ยอห์น 9:4  เราต้องทำงานของพระบิดาเมื่อยังเป็นกลางวัน
ยอห์น 17:4 ข้าพระองค์ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลก เพราะทำงานของพระองค์สำเร็จแล้ว

สิทธิอำนาจของพระบุตร

ยอห์น 5: 19-20  พระเยซูทรงอธิบายความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระบิดา

พระเยซูทรงบอกพวกเขาว่า พระบุตรไม่ทำอะไรด้วยตัวเอง แต่เห็นพระบิดาทรงทำอะไรก็ทรงเช่นนั้นเหมือนกัน
คำของพระองค์ = พระบุตรทำอะไรตามลำพังไม่ได้เลย เพราะทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกันแนบสนิท
คำพูดนี้ ยืนยันว่าทรงเป็นพระเจ้าและเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา
พวกเขาจะได้ประหลาดใจเพราะต่อมาพระบิดาทรงให้พระเยซูคืนชีพและให้พระองค์เป็นผู้พิพากษามนุษยชาติด้วย(ข้อ 22)
ยอห์น 6:38 เราลงมาจากสวรรค์เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา
ยอห์น 14:10 เราอยู่ในพระบิดา พระบิดาอยู่ในเรา คำที่เรากล่าวเกิดจากพระบิดาผู้สถิตในเราทรงทำกิจของพระองค์

ยอห์น 5: 21-23 งานของพระบิดาและพระบุตร

พระเยซูทรงยืนยันชัดเจนว่า ทรงมีสิทธิที่จะทำให้คนคืนชีพได้ซึ่งเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก ทรงบอกด้วยว่า ทรงมีทั้งอำนาจสูงสุดและอิสระที่จะทำ ไม่เหมือนเหล่าผู้เผยพระคำที่มีอำนาจจำกัด อีกแล้วที่น่าโมโหสำหรับคนยิว พวกเขาเชื่อว่า พระเจ้าเท่านั้นที่จะพิพากษามนุษย์ คำของพระเยซู เร้าอารมณ์โกรธพลุ่งพล่าน

ยอห์น 11:25 เราเป็นการคืนชีพและเป็นชีวิต คนที่วางใจในเราแม้ว่าตายไปแล้วแต่เขาจะมีชีวิต
กิจการ 17:31 พระเจ้าจะทรงพิพากษาตามความชอบธรรม โดยบุคคลที่พระองค์ทรงกำหนดไว้
1 ยอห์น 2:23  คนที่ปฏิเสธพระบุตรไม่มีพระบิดา คนที่รับพระบุตรก็มีพระบิดาด้วย   

ยอห์น 5:24-27  จากความตายสู่ชีวิตในพระบุตรของพระเจ้า

พระเยซูตรัสว่า คนที่ฟังคำเราและเชื่อพระบิดาจะมีชีวิตนิรันดร์ ไม่ต้องถูกพิพากษา แต่ผ่านจากความตายสู่ชีวิต คนตายจะได้ยินเสียงพระบุตรของพระเจ้า เมื่อได้ยินจะมีชีวิต ทรงให้พระบุตรมีอำนาจพิพากษาด้วยเพราะทรงเป็นบุตรมนุษย์  คำตรัสของพระองค์ บอกให้ผู้นำศาสนารู้ว่า พระองค์ทรงเป็นมากกว่ามนุษย์แน่นอน

ยอห์น 3:16 ทุกคนที่วางใจพระบุตร จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 
โคโลสี 2:13  ท่านตายแล้ว.. แต่ พระเจ้าทรงให้ท่านมีชีวิตร่วมกับพระคริสต์  ทรงอภัยการละเมิดทั้งสิ้น สดุดี  36:9 น้ำพุแห่งชีวิตอยู่กับพระองค์ เราเห็นความสว่างได้โดยสว่างของพระองค์
กิจการ 10:42 พระเจ้าทรงตั้งพระเยซูให้เป็นผู้พิพาษาทั้งคนเป็นและคนตาย

ยอห์น 5:28-30 ความจริงเรื่องการพิพากษาโดยพระบุตร

ในข้อ25 พระเยซูตรัสว่า คนที่มีชีวิตนิรันดร์จะได้ยินเสียงของพระองค์และมีชีวิต  ตอนนี้ทรงกล่าวว่า คนที่อยู่ในหลุมศพจะได้ยินเสียงของพระองค์ ยังไงกัน??? ตอนนี้ทรงพูดถึงการคืนชีพของมนุษยชาติ  คนทำดี กับคนทำชั่วจะถูกตัดสินต่างกัน  พวกเขาจะอยู่นิรันดร์ นอกเหนือไปจากชีวิตสั้น ๆ ในโลกนี้ พระองค์จะทรงเป็นผู้ทำให้พวกเขาคืนชีพขึ้นมา
การพูดเช่นนี้ทำให้ผู้นำศาสนาอึ้งเลยทีเดียว … ทรงบอกเขาว่า พระองค์ทรงตัดสินอย่างยุติธรรม ทรงมีสิทธิ มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้พิพากษา   และทรงยืนยันคำเดิมว่า พระองค์ไม่ทำอะไรตามใจพระองค์เอง แต่ทำตามพระทัยพระบิดา

1 เธสะโลนิกา 4:15-17 พระเยซูจะทรงกลับมา คนที่ตายไปในพระองค์จะเป็นขึ้นมาก่อน 
อิสยาห์ 26:19 คนตายของพระองค์จะมีชีวิตขึ้นอีก
ดาเนียล 12:2  คนที่หลับในผลคลีแห่งแผ่นดินจะตื่นขึ้น

แหล่งพยานทั้งห้าของพระเยซู

ยอห์น 5:31-32 ห้าแหล่งคำพยาน   ว่าพระเยซูคือใคร

พระเยซูตรัสว่า ถัาเราเป็นพยานเพื่อตัวเอง คำพยานก็ไม่น่าเชื่อถือ พระเยซูทรงบอกเองว่า ต้องเป็นผู้อื่นที่เป็นพยาน ไม่ใช่พระองค์ (เฉลยธรรมบัญญัติ 19:15  กันดารวิถี 35:30)  แลัวพระองค์ก็ทรงบอกถึงห้าแหล่งพยาน ที่ยืนยันพระองค์คือพระบุตร ทรงเท่าเทียมกับพระบิดา
ยอห์น 8:14 คำพยานของเราจริง เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหน และจะไปไหน
มัทธิว 3:17 มีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราพอใจท่านมาก

ยอห์น 5: 33-35  คำพยานของยอห์น

พวกผู้นำศาสนาได้ยินยอห์นพูดถึงพระเยซูแล้ว แล้ว เขาควรเชื่อยอห์นซึ่งเป็นเหมือนตะเกียงที่ส่องสว่างให้เห็นความจริง  พวกเขาได้ยินยอห์นพูดเรื่องพระเมสสิยาห์ แต่พอมาเจอพระเยซูกลับไม่รับ 
แต่มีผู้หนึ่งเป็นพยานถึงเรา  พยานนั้นเป็นจริง คำนี้กรีกหมายถึง อีกคนที่เป็นแบบเดียวกัน อัลโลส  ยอห์น 8:14 ตรัสว่าคำพยานของพระองค์เป็นจริง
ยอห์น 1:15,19,27,32  ยอห์นเป็นพยานให้พระองค์
2 เปโตร 1:19 ให้เราสนใจคำเผยพระวจนะ 
มาระโก 6:20  แม้เฮโรดยังเกรงกลัวและฟังยอห์น 

ยอห์น 5:36 คำพยานจากงานของพระเยซู

พระเยซูมีพยานใหญ่กว่าของยอห์น นั่นคือ งานที่พระเจ้าทรงให้พระองค์ทำจนสำเร็จ งานนั้นพิสูจน์ว่าทรงมาจากพระบิดาแน่ ๆ  จากการที่ทรงรักษาชายที่ป่วยมา 38 ปีหยก ๆ นี่เป็นหนึ่งในงานของพระองค์ การที่พระเยซูใส่พระทัยคนยากจน คนป่วย ไม่ได้เป็นพระเมสสิยาห์แบบที่พวกเขาต้องการ   พวกเขาอยากเห็นเมสสิยาห์องค์จอมทัพ เป็นนักรบ นักการเมืองที่กล้าหาญ   สิ่งที่พระองค์ทำไม่ถูกใจพวกเขาเลยสักนิด พวกเขาไม่อาจรับพระองค์ในฐานะพระบุตรพระเจ้าได้  (ยอห์น 1:29-34)

ยอห์น 5: 36 คำพยานจากงานของพระเยซู

พระเยซูมีพยานใหญ่กว่าของยอห์น นั่นคือ งานที่พระเจ้าทรงให้พระองค์ทำจนสำเร็จ งานนั้นพิสูจน์ว่าทรงมาจากพระบิดาแน่ ๆ  จากการที่ทรงรักษาชายที่ป่วยมา 38 ปีหยก ๆ นี่เป็นหนึ่งในงานของพระองค์ การที่พระเยซูใส่พระทัยคนยากจน คนป่วย ไม่ได้เป็นพระเมสสิยาห์แบบที่ พวกเขาต้องการ   พวกเขาอยากเห็นเมสสิยาห์องค์จอมทัพ เป็นนักรบ นักการเมืองที่กล้าหาญ   สิ่งที่พระองค์ทำไม่ถูกใจพวกเขาเลยสักนิด พวกเขาไม่อาจรับพระองค์ในฐานะพระบุตรพระเจ้าได้  (ยอห์น 1:29-34)
1 ยอห์น 5:9  พยานของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ามนุษย์
ยอห์น 3:2  ไม่มีใครทำหมายสำคัญที่ท่านทำได้ นอกจากพระเจ้าสถิตกับเขา
ยอห์น 10:25 สิ่งที่เราทำในนามพระบิดาก็เป็นพยานให้เรา
ยอห์น  17:4 ข้าพระองค์ถวายเกียรติแด่พระองค์ในโลก เพราะทำราชกิจที่ทรงให้ทำสำเร็จ
ยอห์น   9:16  ยิวไม่เชื่อว่าชายตาบอดมองเห็น แต่เมื่อได้คุยกับพ่อแม่เขาจึงยอมรับ
ยอห์น  10:38 ถ้าเจ้าไม่วางใจในเรา ก็วางใจเพราะพระราชกิจที่เราทำเถิด

ยอห์น 5: 37-38  คำพยานจากพระบิดา

พระบิดาทรงยืนยันว่า พระเยซูคือใครตอนที่พระองค์ทรงรับบัพติศมา  เสียงจากสวรรค์และพระวิญญาณที่ลงมาเหนือพระเยซูดุจนกพิราบ เรื่องนี้ ต้องเป็นที่รู้กันในหมู่คนยิว ต้องมีการคุยกันเยอะเพราะมีคนเห็นและเอาไปพูดต่ออย่างแน่นอน 
ลูกา 3:22    เหตุการณ์สุรเสียงจากสวรรค์
มัทธิว 3:17  มีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราพอใจท่านมาก

ยอห์น 5:39  คำพยานจากพระคำ

ค้นพระคำเพื่อหาชีวิตนิรันดร์  ทั้ง ๆ ที่พระคำเหล่านั้นยืนยันถึงพระเยซูอยู่แล้ว พวกเขาเรียน พระคัมภีร์เดิม อ่าน ท่อง จำ ศึกษา เอาใจใส่ คิดอยู่ว่าการสำแดงของพระเจ้าจะทำให้พวกเขาได้พบชีวิตนิรันดร์  หากเขาค้นจริง หาจริง เขาต้องพบความจริงสิ   แต่ทำไมจึงไม่เจอ …???
พวกเขาไม่ได้มีพระคำของพระเจ้าในวิญญาณจิตจริง ๆ  มีอยู่ในสมอง แต่ไม่ได้เกิดผลเป็นชีวิตฝ่ายวิญญาณเลย 
อิสยาห์ 8:20 ไปดูธรรมบัญญัติและคำพยาน
อิสยาห์ 34:16 จงค้นและอ่านจากหนังสือของยาห์เวห์
ลูกา 24:27  พระเยซูทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้ศิษย์ทั้งสองฟัง

ยอห์น 5:40-44 เหตุผลที่พวกเขาไม่เชื่อ

คือ เขาไม่เต็มใจทั้ง ๆ ที่มีพยานเหลือเฟือ  พวกเขาไม่ได้รักพระเจ้าจริง พระเยซูยังทรงพยากรณ์ล่วงหน้าด้วยว่า พวกเขาจะชอบและเข้าหาคนที่เป็นผู้ต่อต้านพระองค์ ซึ่งจะมาแน่ในอนาคต การที่เขาไม่ยอมรับพระเยซูเป็นเหมือนประตูเปิดรับสิ่งที่หลอกลวง   (2 เธสะโลนิกา 2: 4, 8-12)  ต่อมาในประวัติศาสตร์ของยิวเราพบว่า มีคนที่อ้างตัวเป็นพระคริสต์หลอกให้คนติดตามมาโดยตลอด 
ยอห์น 1:11 พระองค์มายังบ้านเมืองของพระองค์ แต่คนของพระองค์ไม่รับพระองค์ 
ยอห์น 3:19 หลักการพิพากษา ความสว่างเข้ามาในโลก แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่า
ยอห์น  12:43 พวกเขารักการชมเชยจากมนุษย์มากกว่าจากพระเจ้า

ข้อ 45-47 คำพยานจากโมเสส

พระเยซูทรงบอกพวกเขาว่าพวกเขาวางใจโมเสส แต่เขากลับไม่เชื่อสิ่งที่โมเสสเขียนไว้เกี่ยวกับพระองค์  โมเสสได้ชี้ว่า จะมีผู้เผยพระคำแบบท่านเองเกิดขึ้นในอนาคต และขอให้ทุกคนได้เชื่อฟังท่าน (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15-19)  แต่กลับไม่มีใครฟังโมเสส   ถ้าเขาเชื่อโมเสสจริง ๆ เขาจะเชื่อพระเยซูด้วย ความจริงคือพวกเขาไม่ยอมรับคำของโมเสส 
ลูกา 16:29,31 เขามีโมเสสและผู้เผยพระคำแล้ว ให้เขาเชื่อคนเหล่านั้นเถิด


ยอห์น 4 พบที่บ่อน้ำ

หญิงสะมาเรียกับน้ำชีวิต

เชื่อคำมั่นสัญญา

อธิบายเพิ่มเติม ยอห์น 4

พบที่บ่อน้ำ

ยอห์น 4:1-6  
การที่ฟาริสีรู้ว่า มีคนติดตามพระเยซูมากขึ้น ทำให้พระเยซูเองทรงหลีกเลี่ยงโดยเดินทางขึ้นไปกาลิลี ยังไม่ถึงเวลาที่จะเผชิญหน้ากับเหล่าผู้นำทางศาสนาพวกนี้
สมัยนั้น แคว้นสำคัญกาลิลี อยู่ภาคเหนือ  สะมาเรียอยู่ภาคกลาง และยูเดีย อยู่ทางใต้
พระองค์ทรงผ่านเมืองสิคาร์แคว้นสะมาเรีย ซึ่งเป็นเมืองที่ใกล้ที่ดินซึ่งยาโคบได้ให้โยเซฟลูกชาย ทรงพักเหนื่อยโดยนั่งลงข้างบ่อยาโคบ ประมาณเที่ยงวัน  ส่วนศิษย์ของพระองค์ออกไปซื้ออาหารในเมือง นานมาแล้ว โยเซฟเป็นคนที่ถูกพี่ชายขายไปอียิปต์  เขาพบกับความลำบากมากมายจนกระทั่งได้กลายเป็นอุปราชของอียิปต์  ได้สร้างระบบการจัดเก็บอาหารที่ทำให้คนในโลกโบราณนั้นต้องหันไปพึ่งพาอียิปต์ในช่วงเวลากันดารอาหาร (อ่านเรื่องโยเซฟได้ในปฐมกาล ตั้งแต่บทที่ 37-50)  ​​   คนสะมาเรียเป็นลูกหลานของโยเซฟ
หลังจากที่พระเยซูได้พบกับนิโคเดมัส อาจารย์ผู้ทรงเกียรติ เป็นฟาริสี เป็นผู้นำทางศาสนา  ต่อมาพระองค์มาพบอีกคนหนึ่งที่ตรงกันข้ามสิ้นเชิง  เธอเป็นผู้หญิงซึ่งยอห์นผู้เขียนไม่ได้เอ่ยนาม  เป็นชาวสะมาเรียที่ถูกรังเกียจ เรียกได้ว่าทุกด้านของชีวิตเธอไม่มีอะไรดูดีเลย   ไม่มียิวคนไหนคิดจะเป็นเพื่อนกับคนสะมาเรีย
คนสะมาเรียไม่ถูกกันกับคนกาลิลีทางเหนือและยูเดียทางใต้  ผู้คนเป็นลูกผสมจากคนต่างชาติที่อัสซีเรียส่งมาในอดีตเพื่อให้มีการแต่งงานข้ามเผ่าพันธ์ุ  คนต่างชาติเหล่านี้ก็ยังกราบไหว้รูปเคารพของพวกเขา  คนยิวส่วนใหญ่จึงมองพวกเขาเป็นคนสองเชื้อชาติ คนสะมาเรียจะนมัสการที่ภูเขาเกริซิม  และนับถือเฉพาะหนังสือของโมเสสห้าเล่ม  จะเห็นได้ว่าพวกเขานับถือพระเจ้าองค์เดียวกับคนยิว แต่มีความคิดเห็นแตกต่างกันหลายเรื่อง

ยอห์น 4:7-15  คุยกันขอน้ำเบื้องต้น …
ผู้ที่เริ่มการสนทนาคือ พระเยซู   พระองค์ขอน้ำดื่มจากหญิงชาวสะมาเรียที่ออกมาตักน้ำในเวลานั้นพอดี  แทนที่เธอจะให้น้ำดื่ม เธอถามกลับในทำนองที่ว่า  ชายยิวอย่างท่านมาพูดขอน้ำแบบนี้ได้ด้วยหรือ?
พระเยซูไม่คุยเรื่อยเปื่อย  ทรงพูดอย่างที่ทรงตั้งพระทัย  ทรงแนะนำว่าพระองค์เป็นผู้ประทานน้ำชีวิต  น้ำชีวิตที่หมายถึง น้ำฝ่ายวิญญาณที่ให้ชีวิต  แต่หญิงผู้นี้เข้าใจว่าเป็นน้ำที่เราดื่มกิน  พระเยซูทรงแนะให้เธอได้รู้ว่า พระองค์เท่านั้นคือ ผู้ที่จะให้น้ำชีวิตกับเธอได้  น้ำนั้นจะกลายเป็นน้ำพุพลุ่งภายในถึงชีวิตนิรันดร์  และพระองค์ทรงยินดีให้ถ้าเธอขอ จากการสนทนา เห็นชัดว่าเธอต้องการน้ำชีวิตดังกล่าว

ยอห์น 4:16-19
แต่พระเยซูทรงตัดการสนทนาด้วยการบอกให้เธอไปตามสามีมา   เธอบอกว่าไม่มี ตรงนี้เอง.. ที่พระองค์ทรงมีโอกาสบอกให้เธอรู้ว่า พระองค์ทรงรู้ชีวิตของเธอ มีสามีมาแล้ว 5  คน  คนที่อยู่ด้วยก็ไม่ใช่สามี  เธอต้องตกใจมาก ๆ ที่พระองค์ทรงรู้เช่นนั้น !  แน่นอนพระองค์ต้องรู้ความเป็นไปทุกอย่างในชีวิตที่ผ่านมา  ทำให้เวลานี้เธอเริ่มมั่นใจแล้วว่า บุรุษที่กำลังคุยกับเธอไม่ใช่คนธรรมดา เขาต้องมาจากพระเจ้า เธอบอกพระองค์ว่า “ดิฉันแน่ใจว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระคำ”

ยอห์น 4: 20-21
เริ่มลึกขึ้นแล้ว ในเมื่อมาถึงจุดนี้ ทำไมไม่พูดประเด็นร้อนที่เป็นข้อถกเถียงของคนสะมาเรียกับคนยิวล่ะ 
เธอเปลี่ยนไปสนทนาเรื่องการนมัสการ  “บรรพบุรุษสะมาเรีย นมัสการที่ภูเขาเกริซิม  คนยิวให้นมัสการที่เยรูซาเล็ม”  เรื่องที่อยากรู้คือ จะให้นมัสการที่ไหนกันแน่ อะไรถูก อะไรผิด
แต่คำตอบของพระเยซูเกินคาดหมาย!

ยอห์น 4: 21-22
พระเยซูตรัสว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถอะ” ( ทรงบอกเธอว่า สิ่งที่ตรัสเป็นความจริง) ทรงบอกว่าสถานที่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ  แต่ที่สำคัญคือนมัสการอย่างไร  “ใกล้เวลาที่ไม่ต้องนมัสการในทั้งสองที่นั้น .. ความรอดมาจากยิว”  นั่นคือความรอดมาจากเผ่ายูดาห์ (ปฐมกาล 49:10) พระเยซูทรงเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเผ่ายูดาห์ด้วย   คนสะมาเรียเป็นลูกหลานของโยเซฟ

ยอห์น 4:23-26
“เวลามาถึง เมื่อพระบิดาทรงหาคนที่นมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง”   ถึงเวลาแล้วจริง ๆ เพราะพระเยซูมาในโลก  ทำให้การนมัสการแบบเดิมสิ้นสุดลง  เวลาที่พระองค์จะถูกตรึงก็ใกล้เข้ามา  การที่พระเยซูตรัสเช่นนี้ อาจพูดได้ว่า พระบิดาทรงหาคนที่นมัสการด้วยวิญญาณจริง ๆ   (ตรงข้ามกับการนมัสการด้วยพิธี รูปแบบ ระเบียบวาระ ไร้จิตวิญญาณ พูดแต่ปากใจไม่จริง  มีแต่ท่าทางภายนอกในใจคิดเรื่องอื่น สนใจอย่างอื่น หน้าไหว้หลังหลอกในการนมัสการ)  การนมัสการที่แท้จริง มาจากคนที่เชื่อวางใจพระเยซู  ผ่านพระเยซู(ผู้ทรงเป็นความจริง) ไปสู่พระบิดาเจ้า(ผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ)
ในขณะที่คนยิวคิดว่า พระเมสสิยาห์ทรงเป็นนักรบที่จะมาช่วยให้พวกเขาพ้นจากโรม คนสะมาเรียเชื่อเรื่องพระเมสสิยาห์เช่นกัน แต่พวกเขาเชื่อว่าทรงเป็นครู ทรงคล้ายโมเสส (เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15-19) คู่สนทนาของพระเยซูเป็นหญิงสามัญ เป็นชาวเมืองที่อาจไม่เข้าใจทั้งหมดที่พระเยซูตรัส  เธอกล่าวถึงพระเมสสิยาห์ขึ้นมา  และเวลานั้นเอง พระองค์ก็ทรงเปิดเผยแก่เธอว่า พระองค์คือพระเมสสิยาห์ … นี่เป็นเกียรติสูงส่งที่เธอคนนี้ได้รับ  จากคำพูดนี้ทำให้เรารู้ว่า พระองค์ทรงเชิญให้เธอมาเชื่อในพระองค์เพื่อจะได้รับความรอด

ยอห์น 4: 27-30
ศิษย์ของพระเยซูกลับมาและเห็นพระองค์สนทนากับเธอ พวกเขาได้แต่คิดว่ามันเรื่องอะไรกัน แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา พวกเขาคงคิดแบบชายยิวทั่วไปว่า ไปพูดกับผู้หญิงเชื้อชาติผสมที่น่ารังเกียจได้อย่างไร  ขณะเดียวกัน เธอก็ทิ้งหม้อน้ำไว้ เพราะตื่นเต้นมาก  เธอรีบกลับไปในเมืองบอกใคร ๆ ว่าได้พบบุรุษท่านหนึ่งที่รู้ทุกอย่างในชีวิตของเธอ จากการสนทนา คำของเขา   เขาคนนี้น่าจะเป็นพระเมสสิยาห์ที่พวกเรารอกันมา นาน   เธอเชิญให้พวกเขาไปตัดสินเองว่า ใช่หรือไม่  พวกเขาก็ตื่นเต้นเช่นกันพากันออกไปดูให้เห็นกับตา

ยอห์น 4: 31-38 
ขณะที่ชาวเมืองกำลังเดินทางมา ศิษย์ก็คะยั้นคะยอให้พระอาจารย์กินอาหาร  แต่พระองค์กลับมีเรี่ยวแรงมากกว่าพวกเขาเสียอีก “อาหารของเราคือทำตามพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา และทำให้งานสำเร็จ”  อาหารของพระเยซูยอดกว่าอาหารตามธรรมชาติ เป็นการได้รับพลังจากการทำงานของพระบิดา พระเยซูกำลังชื่นชมยินดีกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า …
แล้วพระองค์ก็หันความสนใจของศิษย์ไปที่ทุ่งนา  ทรงเปรียบเทียบทุ่งนาที่กำลังพร้อมเก็บเกี่ยวกับดวงวิญญาณที่พร้อมจะรับการเก็บเกี่ยว   ขณะที่มองทุ่งนา พวกเขาก็เห็นคนชาวเมืองกำลังมุ่งหน้ามาทางบ่อน้ำยาโคบนี้ด้วย  … ข้าวกับคนที่พร้อมรับการเก็บเกี่ยวอยู่ต่อหน้าต่อตา คนเกี่ยวในบริบทนี้คือ พระเยซูกับศิษย์ของพระองค์  แต่คนหว่านนั้นคือผู้เผยพระคำของพระเจ้าที่พระเจ้าทรงส่งมาก่อนพระองค์ รวมไปถึงโมเสสผู้เขียนพระคัมภีร์ที่คนสะมาเรียเหล่านี้เชื่อถือ  พระเยซูตรัสให้สาวกเข้าใจว่า ผู้ออกแรงทำงานมีทั้งคนหว่านและคนเกี่ยว ทั้งสองทำงานร่วมกัน อาจไม่ได้อยู่ในยุคเดียวกัน หรือที่ ๆ เดียวกัน  การเกี่ยวนั้นได้รับผลดีของการหว่าน ผู้ทำงานทั้งสองแบบก็จะทั้งได้รางวัล ได้ชื่นชมไปด้วยกัน

ยอห์น 4: 39-42
แล้วชาวเมืองก็ได้ยินพระเยซู  ตอนแรกสนใจจะเชื่อเพราะคำของหญิงนั้น แต่บัดนี้พวกเขาเชื่อเพราะได้ยินคำจากพระเยซูโดยตรง  พวกเขาสรุปว่า พระเยซูคือ พระผู้ช่วยให้รอดของโลก  พวกเขายังขอให้พระองค์พักอยู่อีกสองวัน เป็นวันที่มหัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์สะมาเรีย! ยิ่งกว่านั้น จากการหว่านของพระเยซูในครั้งนี้ ต่อมาฟีลิปก็ได้เข้าไปในแคว้นสะมาเรีย และประกาศ ได้เก็บเกี่ยวอย่างเกิดผลอีกด้วย (กิจการ 8:4-8)

เชื่อคำมั่นสัญญา

ยอห์น 4: 43-45  พระเยซูเคยตรัสว่า ผู้เผยพระคำไม่ได้รับเกียรติในบ้านเกิดของตน  มีหลายความคิดในเรื่องนี้ บางคนว่ายอห์นกำลังบอกว่า คนในยูเดียซึ่งเป็นคนในเขตบ้านเกิดของพระองค์ (เบธเลเฮม)   ไม่ต้อนรับพระองค์เหมือนกับคนเมืองอื่น ๆ   คน ในกาลิลีก็ต้อนรับพระองค์ดีกว่า บางคนว่า ยอห์นกำลังบอกว่า คนในกาลิลีต้อนรับพระองค์ก็จริง แต่เป็นเพราะพระองค์ทำการอัศจรรย์ ไม่ได้เป็นเพราะพระองค์คือผู้ที่มาจากพระเจ้า ที่แน่ ๆ คือ คนสะมาเรียรับพระเยซูในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก   ในเรื่องนี้ เราน่าดีใจกับคนสะมาเรียจริง ๆ

ยอห์น 4:46-54
ข้าราชการที่ยอห์นกล่าวถึงมีลูกชายป่วยหนัก  แต่ได้ข่าวว่าพระเยซูมาเมืองใกล้ ๆ ประมาณ 21 กิโลเมตร เขาเดินทางมาขอให้พระเยซูเดินทางไปรักษาลูกชาย  เขารู้ว่าพระเยซูรักษาโรคได้ เพราะน่าจะเคยได้ยินข่าวเหล่านี้มาก่อน  คำตรัสของพระเยซูดูเหมือนห้วน สั้น ไม่ได้ยินดีจะรักษาเลย “หากท่านไม่เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ท่านจะไม่เชื่อ”   แต่จริงแล้ว พระเยซูทรงต้องการให้เขาไม่ใช่แค่เชื่อการรักษาโรค แต่เชื่อพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นพระเจ้า 
ข้าราชการยังขอร้องพระองค์อีกครั้ง แต่พระเยซูไม่ทำตามคำขอ  กลับทรงให้สัญญาว่า ลูกชายจะมีชีวิต เขาฉวยพระสัญญานั้นทันที กลับบ้านไม่รั้งรอ   เห็นเลยว่าเขาเชื่อคำสัญญานั้น เชื่อว่าพระองค์จะทรงรักษาลูกชายแม้อยู่ไกล  “เขาเชื่อคำของพระองค์”  นี่เป็นความเชื่อแม้ไม่มีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นให้เห็นกับตา
ตอนที่พระเยซูทรงสัญญากับเขานั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายโมง  ระหว่างทางกลับบ้าน เขาได้พบคนรับใช้ที่นำข่าวดีมาบอกว่า ลูกชายหายตอนบ่ายโมงพอดี!  เขาและครอบครังจึงเชื่อพระองค์
ยอห์น ผู้เขียนได้บันทึกว่า หมายสำคัญแรกคือการเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่นเป็นการเปลี่ยนสภาพสสารจากน้ำเป็นเหล้า   หมายสำคัญที่สองคือการรักษาเด็กชายระยะไกล  ยอห์นทำให้เราเห็นภาพว่า ในยูเดียทางใต้กับในกาลิลีทางเหนือนั้น การตอบรับพระเยซูต่างกันมากทีเดียว