ยอห์น 1-21

ยอห์น 1 พระเยซูคริสต์คือผู้ใด
ยอห์น 2 งานสมรสที่บ้านคานา
ยอห์น 3 เพราะพระเจ้าทรงรักโลก
ยอห์น 4 พบที่บ่อน้ำ 
ยอห์น 5 พยานทั้งห้าของพระบุตรพระเจ้า
ยอห์น 6 อาหารแห่งชีวิต
ยอห์น 7 เทศกาลอยู่เพิงสุดท้าย
ยอห์น 8 เราคือความสว่างของโลกนี้
ยอห์น 9 แสงสว่างแห่งโลก
ยอห์น 10 ผู้เลี้ยงแสนดี
ยอห์น 11 เพื่อนรักที่ฟื้นจากความตาย

ยอห์น 12 องค์ราชาปรากฏแก่ประชาชน
ยอห์น 13 อาหารมื้อสุดท้ายกับการล้างเท้า
ยอห์น 14 คำสนทนาในอาหารมื้อสุดท้าย 
ยอห์น 15 ต้องเข้าสนิทในพระเยซู
ยอห์น 16 ราชกิจขององค์พระวิญญาณ
ยอห์น 17 คำทูลก่อนไม้กางเขน 
ยอห์น 18 มอบชีวิตให้ด้วยพระองค์เอง
ยอห์น 19
 การตรึงที่กางเขน
ยอห์น 20 ทรงฟื้นขึ้นมาแล้ว 
ยอห์น 21 พบกันที่กาลิลี

ยอห์น 21 พบกันที่กาลิลี

โอกาสบอกรัก เปโตรคืนดี….

คำอธิบายเพิ่มเติม พบกันที่กาลิลี
ยอห์น 21:1-3
ทะเลสาบทิเบเรียสเป็นอีกชื่อของทะเลสาบกาลิลีทางเหนือของอิสราเอล
หลังจากที่พบพระเยซูในห้องแล้ว พวกเขาก็ชวนกันไปจับปลา สิ่งที่เห็นชัดเจนมากคือเปโตรเป็นคนมีลักษณะทำอะไรรวดเร็ว พุ่งไปข้างหน้าและมีความเป็นผู้นำที่เพื่อน ๆ จะทำตาม เขาเป็นคนที่ต้องได้รับการปั้นให้เป็นผู้นำที่ใช้การได้ กล้าหาญ และสามารถช่วยให้คนอื่นมีชีวิตที่ดีขึ้น
เราไม่ทราบเหตุผลจริง ๆ ที่ไปจับปลา ขาดเงิน ไม่รู้จะทำอะไร หรือ ในเมื่อต้องมารอพระเยซูตามที่ทรงบอกไว้ก็น่าจะหาอะไรทำไปด้วย แต่จากการจับปลาครั้งนี้ พวกเขาต้องผิดหวังมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นชาวประมงมาก่อน น่าจะได้อะไรบ้าง
ยอห์น 21:4-6ก
มีใครคนหนึ่งปรากฏตัวที่หาดทราย ถามคำถามง่าย ๆ และเมื่อพวกเขาตอบว่าไม่มีปลา ก็ชวนให้เขาโยนอวนลงทางขวามือของเรือ …​พอเขาผู้นี้บอก เหล่าศิษย์ก็ทำตามทันทีไม่ได้คิดอะไรมาก
ยอห์น 21:6ข-7
แล้วยอห์น คิดเร็วมาก จำได้ว่า พระเยซูเคยทำอย่างนี้กับพวกเขามาก่อนครั้งหนึ่ง จึงบอกกับเปโตรว่า นั่นคือพระเยซู เปโตรจึงเห็นด้วย กระโจนลงจากเรือมาหาพระองค์ก่อนใคร เขาดีใจมาก
ดูสิ ยอห์นสังเกต และสรุปได้เร็ว แต่คนที่พุ่งลงมาจากเรือคือเปโตร ลักษณะนิสัยของทั้งสองต่างกันมาก ตรงนี้เราเห็นเลยว่า ผู้รับใช้ของพระเจ้าอาจจะมีลักษณะนิสัยต่างกัน แต่พระเจ้าทรงรักและส่งแต่ละคนไปทำงานได้เช่นกัน …​
ยอห์น 21:8-10
ส่วนเพื่อน ๆ ค่อย ๆ ลากเรือตามมา พระเยซูทรงจุดไฟเพื่อย่างปลาให้แล้ว พระเยซูไม่ได้ทรงรอให้พวกเขาคอยปรนนิบัติ แต่พระองค์ทรงทำให้พวกเขาที่เหน็ดเหนื่อยอยู่ได้รู้สึกทั้งดีใจและอิ่มอกอิ่มใจ
พระเยซูทรงปรากฏพระองค์อย่างเป็นธรรมชาติมาก ไม่ได้เป็นภาพลวงตา แต่ทรงกินอาหารเช้ากับพวกเขาบนหาดทราย พวกศิษย์ไม่ได้ตาฝาดไป ใช่.. พระองค์สิ้นพระชนม์บนกางเขน ใช่.. มีการเก็บพระศพเอาไว้ แต่วันนี้เป็นครั้งที่สามที่เขาได้พบพระเยซูผู้ทรงคืนพระชนม์ขึ้นมาแล้วจริง ๆ
ยอห์น 21:11-12
พวกเขานับปลาได้ 153 ตัว ซึ่งมากเกินพอสำหรับพวกเขา มีพอให้กับคนอื่น ๆ ในช่วงแรกที่พระเยซูทรงเรียกให้เขาเป็นศิษย์ของพระองค์ ทรงชวนให้เขาตามพระองค์ไปนั้น พระองค์เคยทำอย่างนี้กับพวกเขาหนหนึ่ง ทรงให้ถอยไปที่น้ำลึก แล้วจับปลาอีกครั้งหลังจากที่เขาหาปลาทั้งคืนไม่ได้เลย (ลูกา 5:1-11) พระเยซูทรงย้ำให้พวกเขารู้ว่า แม้ในงานมือ งานหนักที่เราทำอยู่ พระองค์ก็ทรงช่วยเราได้ให้ประสบความสำเร็จ หากเราฟังเสียงของพระองค์ การจับปลาครั้งสุดท้ายนี้ ช่วยเน้นย้ำให้เขารู้ว่า พระเยซูจะทรงให้เขาเป็นผู้จับคน แทนการจับปลา อย่างที่ทรงบอกไว้ตั้งแต่ครั้งแรกนั้น
ยอห์น 21:13-14
นี่เป็นครั้งที่สามที่พระเยซูปรากฏพระองค์แก่เขา การคืนพระชนม์นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า พระองค์ทรงทำการที่พระเจ้าทรงใช้พระองค์มาทำจนสำเร็จลุล่วง การได้กินอาหารร่วมกับพระองค์ในครั้งนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิตของศิษย์ทุกคน เขาเห็นพระเจ้าและเจ้านายของเขา เขาได้แตะต้องร่างของพระองค์ เขาได้นั่งล้อมวงกับพระองค์ คุยกับพระองค์จริง ๆ เปโตรได้บอกเราชัดเจนใน 1 เปโตร 1:3 ว่า “ถวายพระพรแด่พระเจ้าคือพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา!พระองค์ทรงให้เราเกิดใหม่ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่เข้ามาสู่ความหวังที่มีชีวิตโดยการที่พระเยซูคริสต์ทรงคืนชีพจากความตาย
โอกาสบอกรัก เปโตรคืนดี
ในเมื่อเปโตรได้ปฏิเสธพระเยซูสามครั้งต่อหน้าคนหลายคน พระเยซูทรงให้โอกาสเขาที่จะตอบรับ เปลี่ยนคำที่พลาดไปนั้นสามครั้งต่อหน้าคนอื่นเช่นกัน และพระเยซูทรงเป็นผู้เริ่มต้นการคืนดีครั้งนี้ด้วยพระองค์เอง การพลาดพลั้งของเปโตรเกิดจากความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป… เขาบอกพระองค์ไว้ก่อนหน้าที่จะสิ้นพระชนม์ว่า แม้เขาจะต้องตายกับพระองค์ เขาก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย..มัทธิว 26:35
ยอห์น 21:15
สังเกตไหมว่า ครั้งนี้ พระเยซูทรงเรียกเปโตรว่า ซีโมน ลูกชายยอห์น พระองค์กำลังตรัสให้เขารู้ว่า ตอนนี้ต้องมีการคุยแล้วนะ .. เจ้าซีโมน..
คำถามแรกคือ “เจ้ารักเรามากกว่าเหล่านี้หรือ?” แล้วพระองค์ทรงสั่งให้เขาเลี้ยงดูลูกแกะของพระองค์ คือผู้เชื่อใหม่ ๆ นั่นเอง คำนี้เป็นความหมายว่า เลี้ยงดูด้วยพระคำของพระองค์ ครั้งแรกที่ทรงสั่ง ลูกแกะต้องการอาหารเลี้ยงดู
พระเยซูทรงถามเปโตรว่า เจ้ารักเรามากสุดชีวิต สุดจิต สุดใจ (ἀγαπᾷς με อากาปาส เม ) หรือไม่​… แต่คำตอบของเปโตรคือ ใช่เขารักพระองค์อย่างเพื่อนมากทีเดียว เขารักพระองค์อย่างรักพี่น้องทั่วไป ( φιλῶ σε ฟิโล เซ)
นี่เป็นคำถามที่เราต้องตอบพระองค์เช่นกัน… อย่ามั่นใจในว่าตนเองเข้มแข็งกว่า อุทิศตัวมากกว่าคนอื่น
ยอห์น 21:16
ครั้งที่สองทรงถามว่า เจ้ารักเรามากสุดชีวิต สุดจิต สุดใจ (ἀγαπᾷς με อากาปาส เม ) หรือไม่​… แต่คำตอบของเปโตรคือ ใช่เขารักพระองค์อย่างเพื่อนมากทีเดียว รักอย่างรักพี่น้อง ( φιλῶ σε ฟิโล เซ) พระองค์ทรงสั่งให้เขา ดูแลแกะของพระองค์ คราวนี้เป็นคำว่า แกะหรือฝูงแกะของเรา ซึ่งแกะนี้ต้องการให้ผู้เลี้ยงนำพาไปอย่างถูกต้อง ถูกที่ทาง ไปพบกับอาหารที่สมบูรณ์
ยอห์น 21:17
ในเมื่อเปโตรปฏิเสธพระเยซูสามครั้ง พระองค์ทรงให้โอกาสเขาบอกรักพระองค์สามครั้ง …
และพระองค์ทรงลดระดับความหมายให้เขาด้วย
ครั้งที่สาม พระองค์ทรงลดระดับความรักลงมากว่า เปโตร เจ้ารักเราอย่างเพื่อนใช่ไหม? (Φιλεῖς με ฟิเลส เม) หรือไม่​… แต่คำตอบของเปโตรคือ ใช่เขารักพระองค์อย่างเพื่อนมากทีเดียว ( φιλῶ σε ฟิโล เซ)
พระเยซูทรงสั่งให้เขา เลี้ยงดูแกะของพระองค์ เปโตรจะต้องทั้งให้อาหาร และนำพาพวกเขาไปตามทางของพระเจ้านั่นคือหน้าที่ของเปโตร พระเยซูทรงให้หน้าที่ยิ่งใหญ่กับเปโตร เพราะผู้ที่เป็นผู้เลี้ยงนั้นจะต้องจัดหา นำ ปกป้อง และเป็นเพื่อนของแกะ เขามีอำนาจเหนือ และยังเป็นผู้นำของพวกมันด้วย พระเยซูทรงแต่งตั้งงานที่ยากมากให้กับเปโตร โดยที่ไม่มีพระองค์อยู่ด้วย แต่จะมีองค์พระวิญญาณเป็นผู้ทรงนำเขาไปตลอดชีวิต
และยอห์นเองก็บันทึกเรื่องนี้ไว้เพื่อให้พวกเราได้รับรู้ว่า เปโตรเองได้มีโอกาสกลับตัวกลับใจ บอกความตั้งใจของเขาตรง ๆ กับพระเยซูด้วย ก่อนหน้านี้เขาคงไม่สบายใจมาก ๆ ที่ได้ปฏิเสธพระเยซูขึงขัง การคืนดีครั้งนี้ ทำให้เราเข้าใจว่า นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เปโตรกล้าหาญอย่างยิ่งในหนังสือกิจการ
ยอห์น 21:18-19
พระเยซูเพิ่งคุยกับเปโตรเรื่องที่จะทรงใช้เขาดูแลคนของพระองค์ แล้วมาตอนนี้ก็ทรงบอกเขาล่วงหน้าว่า จะตายอย่างไร พระเยซูทรงทราบล่วงหน้าแล้วว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับเปโตรในเวลาต่อมา
การที่ตรัสว่าเจ้าแก่ เจ้าจะยื่นมือออก มีคนช่วยคาดเอง พาไปในที่ ๆ ไม่อยากไป ดูเหมือนเป็นการบอกล่วงหน้าว่า เขาจะต้องอยู่ใต้การควบคุมของโรม ที่จะพาเขาไปสู่ความตาย ซึ่งมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่า เขาถูกตรึงบนไม้กางเขนกลับหัว
พระเยซูตรัสให้เปโตรตามพระองค์ไป นั่นคือทำตามอย่างพระองค์ รับใช้อย่างพระองค์ พระองค์เป็นผู้เดียวที่เราควรทำตามอย่าง ตอนนี้เรากำลังทำตามใครอยู่ ลองสังเกตตัวเองให้ดี? ทรงให้ความสำคัญกับการตามพระองค์ไปจริง ๆ การติดตามพระเยซูเป็นเรื่องที่เราต้องใช้ทั้งชีวิตกับพระเยซูผู้ที่จะทรงนำไปตามทางที่พระเจ้าทรงวางแผนให้กับชีวิตของแต่ละคน (สดุดี 139:16)
ยอห์น 21:20-21
ศิษย์ที่พระเยซูทรงรัก เป็นชื่อที่ยอห์นเรียกตนเองในการเขียนหนังสือเล่มนี้ และนี่ก็เป็นเรื่องเดียวกับชีวิตเรา ยอห์นมักเรียกตัวเองเช่นนี้ เขาพึ่งพาความรักของพระเจ้าที่มีต่อเขา ไม่ใช่ความรักของเขาที่มีต่อพระเจ้า ..​นี่เป็นความหมายลึกซึ้งที่ยอห์นกำลังบอกเรา….
เปโตรเองอดถามถึงอนาคตของยอห์นไม่ได้ ในเมื่อพระเยซูทรงบอกอนาคตของเขา
ยอห์น 21:22-23
เปโตรควรจะสนใจการตามพระองค์ไปมากกว่าจะไปสนใจเรื่องของคนอื่น เขาต้องตามพระองค์ไป ใครจะเป็นอย่างไร เขาก็ยังต้องตามพระองค์ พวกเขาเข้าใจผิดไปว่า พระเยซูจะให้ยอห์นมีชีวิตอยู่ ไม่ตาย เรื่องแบบนี้ก็น่าสนใจ น่าอิจฉาด้วยในสายตาของพวกเขา ตรงนี้ช่วยบอกเราเลยว่า เมื่อรับใช้พระเจ้า ไม่ต้องไปสนใจว่าใครมีการรับใช้ดูดีกว่า หรือ พระเจ้าทรงนำมากกว่า ให้ดูที่ตัวเองว่า เราตามพระองค์ไปหรือไม่… การคิดเรื่องของคนอื่น การเปรียบเทียบกัน สร้างปัญหาให้มากกว่าที่จะสร้างเสริมชีวิตฝ่ายวิญญาณ
คำสุดท้ายของพระเยซูในพระธรรมยอห์นคือ ให้ตามพระองค์ไป… เป็นคำสำคัญมาก “​ตามเรามา” ไม่ว่าใครจะตามไปหรือไม่ เราจะตามพระองค์ไป.
ยอห์น 21:24-25
สิ่งสำคัญที่ยอห์นได้บันทึกไว้นั้น ประเด็นอยู่ที่สิ่งเขาเขียนเป็นความจริง ไม่ใช่ว่าจะเขียนทุกเรื่อง เขาเลือกเรื่องที่จะเขียนลงไปเป็นอย่างดี เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพชัด และมั่นใจในพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทำหน้าที่ของพระองค์ตามที่พระบิดาทรงใช้มาอย่างสมบูรณ์แบบ และทรงพร้อมให้เราเข้าไปมีส่วนในครอบครัวใหญ่ของพระองค์ด้วย

พระคำเชื่อมโยง
1* ยอห์น 6:1
2*ยอห์น 20:24; 1:45-51; 2:1; มัทธิว 4:21
4* ยอห์น 20:14
5* ลูกา 24:41
7*ยอห์น 13:23; 20:2 24:41

12* กิจการ 10:41
14* ยอห์น 20:19,26
15* กิจการ 20:28
16* ฮีบรู 13:20; สดุดี 79:13
17* ยอห์น 2:24-25; 16:30

18* กิจการ 12:3-4
19* 2 เปโตร 1:3,14; มัทธิว4:19; 16:24
20* ยอห์น 13:23; 20:2; 13:25
22* วิวรณ์ 2:25; 3:11; 22:7,20
24* ยอห์น 19:35
25* ยอห์น 20:30; อาโมส 7:10

ยอห์น 20 ทรงฟื้นขึ้นมาแล้ว

ยอห์นบันทึกเรื่องราวการคืนพระชนม์ ถ้ำเก็บศพที่ว่างเปล่า พระเยซูทรงพบมารีย์และศิษย์ในห้องที่พวกเขาชุมนุมกันอยู่สองครั้ง

ถ้ำเก็บศพที่ไม่มีศพ

พระเยซูทรงพบมารีย์มักดาลา

พระเยซูทรงพบศิษย์

พระเยซูทรงพบโธมัส


คำอธิบายเพิ่มเติม ยอห์น 20
ถ้ำเก็บศพที่ไม่มีศพ
ยอห์น 20:1-2
เช้าวันต้นสัปดาห์คือเช้าวันอาทิตย์ ขณะที่ยังมืดมาก มารีย์ และเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน พากันไปยังถ้ำเก็บศพพระเยซู เพื่อนำเครื่องหอมไปชโลมพระศพอีก (ลูกา 24:1)
มารีย์คิดอย่างเดียวว่า มีคนมาขโมยพระศพไป แทนที่จะคิดว่า พระองค์ทรงฟื้นคืนชีพอย่างที่ทรงเคยบอกไว้ ดูเหมือนว่า เรื่องการคืนพระชนม์ไม่ได้อยู่ในหัวของเธอเลย เธอรีบกลับไปบอกข่าวพระศพหายไปกับอัครทูตสองท่าน เธอให้ข่าวผิด ๆ ว่า มีคนเอาพระองค์ไป
การคืนพระชนม์ในวันต้นสัปดาห์ ทำให้คริสเตียนได้เริ่มต้น มาประชุมนมัสการกันในวันนั้น และทำติดต่อกันมาจนทุกวันนี้
ยอห์น 20:3-5
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ทั้งสองก็รีบไปดูสถานที่เกิดเหตุเลย ยอห์นเข้าไปหน้าถ้ำก่อน เห็นแถบผ้าวางอยู่แม้ยอห์นจะเข้าไปเห็นก่อน แต่คนที่แซงเข้าไปในถ้ำคือเปโตร เราจะเห็นนิสัยที่พุ่งของเปโตรได้ชัดเจนเลย น่าแปลกที่ศิษย์คนอื่นไม่ได้สนใจจะวิ่งมาดูเหมือนสองคนนี้
ยอห์น 20:6-10
หลักฐานว่า พระศพไม่อยู่ก็คือ พระองค์หายไป มีผ้าพันพระศพวางไว้ ผ้าพันพระเศียรพับวางไว้ต่างหากด้วย แม้ตอนนั้นยังนึกไม่ออก ไม่เข้าใจว่า พระเยซูจะต้องคืนชีพ เขาก็เชื่อสิ่งที่ตาเห็น คนยิวในสมัยนั้น จะเก็บศพโดยใช้ผ้าพันศีรษะกับผ้าพันร่างกายคนละผืน
พระเยซูทรงพบมารีย์มักดาลา
ยอห์น 20:11-13
มารีย์ยังไม่ไปไหน แต่ร้องไห้เสียใจไม่เห็นพระศพ แต่ขณะนั้นเอง เธอก็ก้มลงไปมองในถ้ำ ก็เห็นทูตสวรรค์นั่งอยู่ทางด้านพระเศียรกับด้านพระบาท ท่านทั้งสองถามมารีย์ ว่าร้องไห้ทำไม? เพื่อเป็นการเตือนสติเธอ และมารีย์ก็ตอบซื่อ ๆ ว่า พระเยซูถูกคนเอาไป เธอเข้าใจผิดแต่ก็มั่นใจเหลือเกิน
ยอห์น 20:14-15
แต่ขณะกำลังคุยกับทูตสวรรค์ ซึ่งเวลานั้นเธอก็คงไม่รู้ว่าเป็นทูตสวรรค์ เธอหันกลับมาเจอบุรุษคนหนึ่ง เธอคิดว่าเป็นคนสวน ความที่อยากได้พระศพคืน เธอจึงถามเขาว่า พระศพอยู่ที่ไหน จะได้รับไป… เธอกล่าวคำที่ยังเป็นข่าวปลอมอยู่ คือ คิดว่ามีคนเอาพระศพไป ทั้ง ๆ ที่เธอไม่สามารถจะจัดการกับศพได้ (หากว่ามีจริง เพราะเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง) แต่เธอก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ศพคืน
ยอห์น 20:16-17
แต่เวลานั้นเอง พระเยซูตรัสเรียกว่า มารีย์เอ๋ย เท่านั้นแหละเธอก็ร้องออกมาว่า รับโบนี ซึ่งแปลว่าอาจารย์ ตาของเธอเปิดออก เห็นพระเยซูแล้ว เห็นเพราะเธอได้ยินเสียงเรียกของพระองค์
ตอนนี้ เธอรู้แล้วว่า พระเยซูคืนพระชนม์ แต่ยังตกใจมาก พระเยซูห้ามไม่ให้เธอรั้งพระองค์ไว้ แต่ทรงสั่งให้เธอไปบอกพี่น้องว่า พระเยซูกำลังจะไปหาพระบิดา พระเจ้าทั้ง..​ของพระองค์ และของพวกเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่พระเยซูทรงเรียกศิษย์ว่า พี่น้อง (แต่ก่อนทรงเรียกว่า ผู้รับใช้ เรียกว่าเพื่อน) และทรงบอกด้วยว่า พระบิดาเป็นของพระองค์และของเขา เท่ากับพระองค์ทรงรับพวกเขาเป็นพี่น้องของพระองค์ด้วย …​
พระเยซูทรงพบศิษย์
ยอห์น 20: 18-19ก
แล้วมารีย์ก็ทำตามคำสั่งพระเยซู ทุกอย่าง คืนวันนั้นเอง ศิษย์มารวมตัวกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน พวกเขาต้องมาคุยกันให้รู้เรื่อง พระเยซูฟื้นขึ้นมา แต่พระองค์อยู่ที่ไหนกันล่ะ? พวกเขายังกลัวเหล่าผู้นำยิวอยู่ จึงปิดประตูแน่นหนา เวลานั้นต้องมีข่าวออกมาแล้วว่า พระศพหายไป และคนที่น่าจะถูกกล่าวหาว่า ขโมยพระศพก็คือพวกศิษย์นั่นเอง ในเวลานั้น โทษของการขโมยศพคือประหารชีวิต
เราลองคิดดูว่า ในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันแรกที่ทรงคืนพระชนม์นั้น จะโกลาหลเพียงใด ข่าวจะแพร่สะพัดออกไปทั่ว ใคร ๆ ก็ต้องการคำอธิบาย มีมารีย์ เพื่อน ๆ เปโตร และยอห์นที่เป็นผู้เห็นว่า ไม่มีพระศพจริง ๆ ในเช้ามืดวันนั้น แต่มีคนเดียวที่ได้พูดกับพระองค์คือมารีย์ คำของมารีย์จะมีความน่าเชื่อถือเพียงใด?
ยอห์น 20:19ข-21
แต่ถึงปิดประตูแล้ว สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!! พระเยซูทรงมาหาพวกเขา ด้วยความที่ยังมีความกลัว กังวลใจ เป็นทุกข์ พระเยซูตรัสให้สันติสุขอยู่กับเขา ทรงให้เขาดูพระหัตถ์ และสีข้าง ซึ่งพวกเขาก็ต้องได้ยินจากยอห์นมาแล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์บ้าง พระเยซูตรัสให้เขามีสันติสุขถึงสองครั้ง และตรัสว่าสิ่งสำคัญยิ่งคือ พระองค์จะส่งพวกเขาออกไปแบบที่พระบิดาทรงส่งพระองค์มา
พระเยซูไม่ได้ตำหนิพวกเขาเลย และเวลานี้ พระองค์มาหาเขาด้วยวิธีแปลกมา เข้ามาได้อย่างไร ในเมื่อ ลั่นกลอนไว้อย่างดี
ยอห์น 20:22-23
จำได้ไหม พระเยซูตรัสเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์มาหลายครั้ง แต่พวกเขายังไม่เข้าใจ พระองค์ตรัสสั่งให้เขารับพระวิญญาณของพระองค์ และทรงกำชับให้เขายกโทษให้ผู้อื่น … ใช่แล้ว อย่างที่พระองค์ทรงทำบนไม้กางเขน!
พระเยซูทรงพบโธมัส
ยอห์น 20:24-25
หลังจากนั้น เมื่อพระเยซูไม่อยู่กับเขาแล้ว โธมัสก็เข้ามารวมกลุ่ม .. ทุกคนเห็นองค์พระเยซู แต่เขาไม่เห็น ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาจะไม่เชื่อ ถ้าไม่เห็นรอยตะปูและรอยแทงที่สีข้าง ขอเอานิ้วแหย่เข้าไปด้วย …​
มีคนอย่างโธมัสในโลกมากมาย ต้องขอเห็นหน่อย ต้องขอแตะด้วย ต้องใช้ประสาทสัมผัสเพื่อให้เกิดความเชื่อ แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงต่อว่าเขาเลย … พระองค์ทรงตอบสิ่งที่อยู่ในใจของโธมัส
ยอห์น 20:26
ต่อมาอีกสัปดาห์ อีกครั้งที่ประตูลงกลอนแน่น แต่พระเยซูก็มาอยู่ท่ามกลางพวกเขา ตรัสให้พวกเขามีสันติสุขอีก คราวนี้ โธมัสอยู่กับพวกเขา เอ พระเยซูทรงหายไปไหนนะ ไม่มาเลย แต่พระองค์กลับมาพบพวกเขาอีกในหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง
ยอห์น 20:27-29
คราวนี้ พระองค์ยื่นพระหัตถ์ให้โธมัสเอามือแยงเข้าไปในสีข้างของพระองค์ด้วย พอโธมัสได้ทำอย่างนั้น เขาก็ร้องว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า” เขาไม่สงสัยการคืนพระชนม์อีกต่อไป ที่ทรงคืนพระชนม์มาให้เขาเห็นครั้งนี้ พิสูจน์แล้วว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแท้จริง พระเยซูทรงมีร่างใหม่เมื่อทรงคืนพระชนม์ แต่กลับทรงเก็บรอยแผลสำคัญนั้นไว้
ด้วยความสงสัยของโธมัสนี่เองที่ทำให้เราได้พระพรกัน เพราะเมื่อเราเชื่อพระเยซูทั้งที่ไม่เห็นพระองค์ เราจึงมีความสุขมาก
ยอห์น 20:30-31
พระเยซูทรงทำหมายสำคัญมากมายที่เล็งถึงการเป็นพระเมสสิยาห์ องค์ผู้ถูกเจิม แต่ยอห์นไม่ได้บันทึกเอาไว้ เขาได้ให้เหตุผลที่เขียนเรื่องราวทั้งหมด ก็เพื่อผู้อ่านจะได้เชื่อว่า
​​​พระเยซูคือผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และจะได้ชีวิตนิรันดร์ ในพระนามของพระองค์
อย่างหนึ่งที่เราต้องเข้าใจคือ พระนามของพระเจ้ามีความหมายไม่ใช่แค่ชื่อ แต่พระนามเป็นตัวแทนของพระองค์ทั้งหมด การมีชีวิตในพระนาม ก็คือ การมีชีวิตในพระเจ้าองค์นี้ ผู้ทรงนามพระเยซู
บางทีเราเชื่อพระเยซูมานาน และไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องเข้าใจ รู้จัก สัมพันธ์สนิทกับพระองค์ต่างไปจากที่เคยแล้ว อย่าบอกแค่ว่า ฉันเป็นคริสเตียน แต่ลองตามพระเยซูจริง ๆ แล้วจะรู้ว่า การตามพระองค์นั้น เปลี่ยนชีวิตเราขนาดไหน

ข้อพระคำเชื่อมโยง
1*มัทธิว 28:1-8;27:60,66; 28:2
2* ยอห์น 21:23,24; 13:23; 19:26; 21:7,24
3* ลูกา 24:12
5* ยอห์น 19:40
7* ยอห์น 11:44
8* ยอห์น 21:23,24
9* สดุดี 16:10

11* มาระโก 16:5
14* มัทธิว 28:9 ยอห์น 21:4
16* ยอห์น 10:3
17* ฮีบรู 4:14, 2:11; มาระโก 16:19;
ยอห์น 16:28; 17:11; กิจการ 1:9
เอเฟซัส 1:17
18* ลูกา 24:10,23
19* ลูกา 24:36; ยอห์น 9:22; 19:38; 16:6; 14:27; 16:33
20* กิจการ 1:3; ยอห์น 16:20,22

21* ยอห์น 17:18-19
22* ยอห์น 16:20-22
23* มัทธิว 16:19; 18:18
24* ยอห์น 11:16
27* 1 ยอห์น 1:1; มาระโก 16:14
29* 1 เปโตร 1:8
30* ยอห์น 21:25
31* ลูกา 1:4; 1 ยอห์น 5:13; ลูกา2:11; ยอห์น 3:15-16; 5:24

ยอห์น 19 การตรึงที่กางเขน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบทนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับพระบุตรของพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์
ทุกคนไม่รู้ว่า พวกเขากำลังทำอะไรกับองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นตามที่พระเจ้าทรงวางแผนล่วงหน้าไว้แล้ว

คำสั่งโบย!

พระเยซู.. ไม้กางเขน

สิ้นพระชนม์

เก็บพระศพ

คำอธิบายเพิ่มเติม

คำสั่งโบย
ยอห์น 19:1-2
สิ่งที่ปีลาตทำแล้วเหล่ายิวพอใจก็คือ สั่งเฆี่ยน การที่เขาสั่งเฆี่ยนอาจเป็นเพราะเขาต้องการปล่อยพระองค์ คือลงโทษแล้วก็ปล่อยได้ แต่เหล่าผู้นำยิวไม่ได้ต้องการอย่างนั้น การเฆี่ยนนี้จะใช้ทหารหลายคน คนหนึ่งโบยจนหมดแรงก็จะใช้อีกคนโบยต่อ ผู้ที่ถูกโบยจะเจ็บปวดมาก เพราะการเฆี่ยนอย่างนี้ จะใช้แส้ที่มีลูกเหล็กอยู่ตรงปลาย บางครั้งเหยื่อจะตายคาแส้เลย
ทหารสวมมงกุฎหนามให้พระองค์ ไม่ได้สวมดี ๆ แต่กดหนามเข้าไปให้แน่น หนามจะแทงเนื้อของพระเยซูอย่างแรง สวมเสื้อคลุมสีม่วงให้ ..​เป็นการเยาะเย้ยอย่างที่สุด กษัตริย์ที่มีมงกุฎเป็นหนาม
ยอห์น 19:3-5
พวกเขาเยาะว่า ขอต้อนรับกษัตริย์ชาวยิว แล้วยังตบพระพักตร์ ! ในเวลาเดียวกันปีลาตนำพระเยซูออกมาและประกาศว่า พระเยซูไม่มีความผิดอย่างที่ถูกฟ้อง นี่เป็นการประกาศซ้ำอีกครั้งว่า พระเยซูไม่มีความผิด สภาพของพระเยซูเวลานี้บอบช้ำอย่างหนัก แต่ยังไม่เป็นที่พอใจของพวกผู้นำศาสนาเหล่านั้น
ยอห์น 19:6-7
พวกเขา ร้องลั่นเมืองว่า ให้ตรึงพระเยซู ไม่ใช่พวกเขาเท่านั้นยังพาคนอื่น ๆ มาช่วยกันตะโกนเสียงดังด้วย ปีลาตเองไม่อยากยุ่งเรื่องนี้เลย ..​ตอนนี้เขาคงรู้แล้วว่า เขาถูกใช้เป็นเครื่องมือให้สั่งประหารพระเยซู ขอแลกตัวนักโทษก็ไม่ยอม ทั้งโบยให้แล้วก็ไม่พอใจ การสวมเสื้อคลุมสีม่วงให้พระเยซูอาจจะเป็นการยั่วเย้าเหล่าผู้นำเหล่านั้นเข้าไปอีก
จริง ๆ แล้ว พระเยซูทรงยืนยันว่า ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า และยังตรัสด้วยว่า ทรงเป็นพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์เองตรัสก่อนหน้านี้ ในที่ต่าง ๆ หลายครั้ง
แต่ที่พวกเขานำข้อกล่าวหานี้มาใช้ เพราะพวกเขากำลังหลอกปีลาต เนื่องจากว่า ซีซาร์ถูกเรียกว่า เป็น บุตรของพระเจ้า ดังนั้นถ้าใครอ้างว่าตนเป็นบุตรของพระเจ้าเท่ากับท้าทายองค์จักรพรรดิซีซาร ผู้นำศาสนาพยายามเร้าให้ปีลาตเห็นว่า พระเยซูควรถูกประหาร
ยอห์น 19:8-10
คราวนี้ปีลาตเห็นชัดว่า เขาจะปล่อยพระเยซูไปง่าย ๆ ไม่ได้แล้ว พวกนี้เอาจริง และคงจะหาเรื่องจนตัวเขาเองอาจถูกปลดก็เป็นได้
เขาหันกลับมาถามพระเยซูจริงจังว่า พระองค์มาจากไหน… คงต้องการรู้ว่า มาจากพื้นที่ ๆ เป็นที่ซ่องสุมพวกก่อกบฎหรือไม่ หรือเขาอาจจะสนใจว่าพระองค์เป็นคนมาจากไหนจริง ๆ ..แต่พระเยซูไม่ทรงตอบ
เขาจึงโกรธและยังอ้างว่าเขามีสิทธิจะให้พระองค์เป็นอิสระหรือตายก็ได้
ยอห์น 19:11-12ก
แล้วพระเยซูในฐานะนักโทษ กลับทรงพิพากษาผู้ที่จับพระองค์มา รวมทั้งปีลาตเองด้วย พระองค์บอกให้เขารู้ว่า เขากำลังทำบาปอยู่ แต่เหล่าผู้นำยิวนั้นก็มีโทษบาปหนักกว่าปีลาต …​ และพวกเขาจะไม่พ้นโทษจากพระเจ้าแน่นอน
ตัวปีลาตเองต้องเข้าใจทุกอย่างที่พระเยซูตรัส เขาเข้าใจด้วยว่า พระเยซูไม่ได้ทำผิดอะไร อีกอย่างคือเขาอาจคิดว่า พระเยซูอาจเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง ๆ และสามารถจัดการกับเขาด้วยฤทธิ์ของพระองค์ ทางเดียวคือ เขาพยายามจะปล่อยพระเยซูอีกครั้ง
ยอห์น 12ข
แต่เหล่าผู้นำยิวก็ไม่ยอมเช่นกัน พวกเขาขู่ปีลาตว่า หากปีลาตปล่อยพระเยซูเท่ากับเป็นศัตรูของซีซาร์ พวกนี้ตั้งใจแน่วแน่ว่าต้องเอาชีวิตของพระเยซูให้ได้ในครั้งนี้ เพราะครั้งหน้าอาจจะยากกว่านี้อีก พวกเขายังยึดมั่นประเด็นที่พระเยซูตรัสว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ว่าเป็นการต่อต้านซีซาร์โดยตรง
ที่จริงแล้วปีลาตก็ไม่ได้ถูกกับซีซาร์สักเท่าไร เขาเองเคยก่อเรื่องมาแล้ว จากความโอหังของเขาเอง ตอนนี้ เขาก็เลยตกเป็นเบี้ยล่างของเหล่าผู้นำยิว…
ยอห์น 19:13-14
แล้วปีลาตจึงต้องถอย .. สั่งเอาพระเยซูไปตัดสินที่ลานซึ่งมีบัลลังก์พิพากษาตั้งอยู่ เป็นลานใหญ่ในป้อมอันโตเนีย วันนั้นเป็นวันเตรียมปัสกา วันนี้ คือวันศุกร์(ดูข้อ 31)
ปีลาตกำลังจะต้องพิพากษาองค์พระเจ้ายิ่งใหญ่ที่วันหนึ่งจะกลับมาพิพากษาเขาอีกครั้ง … น่ากลัวจริง
คำที่ปีลาตกล่าวว่า นี่ไง กษัตริย์ของพวกเจ้านั้น เป็นคำประชดประชัน เพราะพระเยซูทรงสวมมงกุฎหนามและเสื้อคลุมสีม่วง…​ และพระองค์ทรงอยู่ในสภาพที่เต็มด้วยเลือด รอยแผลเฆี่ยนและ รอยช้ำตามตัวมากมาย
ยอห์น 19:15-16
ถึงตอนนี้ ปีลาตจำเป็นต้องยกพระเยซูให้กับผู้นำยิว ทั้งที่รู้ว่า พระเยซูทรงบริสุทธิ์ เพราะว่า เขาอาจจะถูกผู้นำยิวเหล่านี้เล่นงานทีหลัง เอาไปฟ้องซีซาร์อีก เรื่องจะใหญ่โต เขาเองอาจต้องออกจากงาน ดังนั้น ชีวิตของพระเยซูจึงไม่สำคัญเท่ากับอาชีพการงานของเขา
เห็นไหมว่า ผู้นำยิวยินดีจะยอมรับกษัตริย์ต่างชาติเป็นกษัตริย์ของเขา มากกว่าที่จะยอมรับว่า พระเยซูทรงเป็น องค์พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมา

พระเยซู.. ไม้กางเขน
ยอห์น 19:17-18
พระเยซูจะต้องแบกกางเขนที่แสนหนักไปยังแดนประหารด้วยพระองค์เอง ทรงแบกลากไม้กางเขนไปถึงประตูเมือง แล้ว ซีโมนชาวซีรีน ได้มารับแบกไม้กางเขนต่อจากพระองค์ (มัทธิว 27:32)
แดนประหารอยู่ที่โกละโกธา เป็นพื้นที่ ๆ เหมือนกระโหลกคน ขบวนการตรึงนักโทษบนไม้กางเขน เป็นอีกช่วงเวลาที่เจ็บปวดสุดแสน ทั้งถูกตอกตะปูลงที่มือ เท้า และเมื่อเอาตั้งขึ้นก็มีการกระแทกที่ทำให้ความเจ็บปวดนั้นอยู่ในระดับที่ตายได้เลย.. เมื่อนักโทษจะหายใจก็ต้องขยับตัวขึ้นมาเพื่อจะได้อากาศเข้าไปในปอดได้ เป็นการเพิ่มความเจ็บปวดจากบาดแผลตะปูย้ำ ซ้ำ เข้าไปอีก
การประหารแบบนี้เป็นการคิดขึ้นของโรม เพื่อจะทรมานนักโทษให้ได้มากที่สุด นอกจากจะถูกประจาน โดยให้นักโทษเปลือยกายแล้ว พวกเขายังคิดว่าจะต้องให้ตายในความร้อนของดวงอาทิตย์ที่ส่องลงมา
อาจใช้เวลาเป็นวันกว่าจะสิ้นใจ
เหมือนว่ายอห์นเป็นผู้เดียวในหมู่อัครทูตที่ได้อยู่ในการประหารครั้งนี้ ท่านไม่ได้เล่าอะไรที่น่าสะพรึงกลัว นอกจากว่า ยังมีโจรอีกสองคนถูกตรึงข้างพระองค์ด้วย
ยอห์น 19:19-20
ปีลาตรู้ดีว่า เขาถูกมัดมือชก ดังนั้น เขาจึงเอากลับคืนบ้าง เป็นการแก้แค้นส่วนตัว โดยการเขียนป้ายบนไม้กางเขนว่า พระเยซูทรงเป็นกษัตริย์ของพวกยิว และก็ได้ผลเพราะยิวมาโวยวายอีก ขอเปลี่ยนคำ
ยอห์น 19:21-22
การทำป้ายเขียนข้อหาและชื่อนักโทษ เป็นประเพณีของโรม พวกยิวไม่พอใจเลยที่ปีลาตเขียนว่า กษัตริย์ของชาวยิว เขียนอย่างนั้นเป็นการให้เกียรติมากกว่าประจาน พวกเขามายื่นคำขาดอีก แต่ทีนี้ปีลาตไม่สนใจแล้ว ไม่ตามใจต่อไป ที่ทำให้ขนาดนี้ก็มากเกินพอ ในหนังสือมาระโก 15 เล่ารายละเอียดว่า พระเยซูทรงถูกหยามอย่างไรบ้าง
ยอห์น 19:23-24
ตามประเพณีแล้ว เสื้อคลุมและเสื้อชั้นในของนักโทษ จะกลายเป็นของผู้ที่ประหารเขา แสดงว่า มีคนประหารพระเยซู 4 คน รายละเอียดนี้ ยังมีการพยากรณ์มาล่วงหน้าด้วย
สดุดี 22:18 บันทึกว่า พวกเขาแบ่งปันเสื้อตัวนอกของข้าพเจ้า… แล้วเขาจับฉลากเอาเสื้อตัวในของข้าพเจ้าไป คำเขียนนี้ ได้เกิดขึ้นจริงหลายร้อยปีต่อมา นี่คือพระคำของพระเจ้าที่มีพระเจ้าเป็นผู้เขียนจริง ๆ ดาวิดจะทราบได้อย่างไรว่า วันหนึ่งจะมีวิธีการประหารแบบนี้ด้วย
เราจะรู้ได้ว่า พระเยซูทรงคิดทรงอธิษฐานอย่างไรก็อ่านได้จากสดุดีบทนี้เช่นกัน
ยอห์น 19:25-26
การถูกตรึงบนไม้กางเขนเป็นความเจ็บปวด ทรมานแสนสาหัสทั้งกับผู้ถูกตรึงและญาติพี่น้องที่เข้ามาอยู่ในแดนประหารนั้น ระหว่างอยู่บนไม้กางเขน พระเยซูทรงแสดงความรักและห่วงใยมารีย์ ด้วยการให้ยอห์นรับเธอไปดูแล น้องชายของพระองค์ คงไม่ได้อยู่ที่นั่น และพระองค์ก็ทรงไว้ใจยอห์นมาก
ยอห์น 19:27-28
ยอห์นตอบรับคำขอของพระเยซูทันที เขาช่วยดูแลมารีย์ราวกับเธอเป็นมารดาของเขาเอง และคำตรัสที่ว่า เรากระหายน้ำ ก็ทำให้คำพยากรณ์ของดาวิดสำเร็จด้วย (สดุดี ​22:15, 42:2)

สิ้นพระชนม์
ยอห์น 19: 29-30
พระเยซูได้ตรัสว่า พระองค์จะต้องดื่มจากถ้วยแห่งพระพิโรธของพระเจ้า พระองค์ถูกตรึงใกล้สิ้นพระชมน์ และได้ดื่มน้ำส้มนี้ลงไปด้วยจริง ๆ ตามที่เคยตรัสไว้
คำว่า สำเร็จแล้วที่พระองค์ตรัส เป็นคำที่มักจะเจอในใบเสร็จที่ประชาชนเสียภาษี สำเร็จแล้ว คือ ได้จ่ายค่าครบถ้วน เป็นคำที่แสดงด้วยว่า พระเยซูทรงมอบชีวิตของพระองค์ด้วยความตั้งพระทัยของพระองค์เอง ไม่ได้เกิดจากการบังคับของมนุษย์คนใด ถ้าพระองค์เป็นเพียงเหยื่อของเหล่าผู้นำยิว พระองค์จะไม่ตรัสคำแบบนี้แน่นอน
ยอห์น 19:31-32
ความกังวลของเหล่าผู้นำยิวยังไม่จบ พวกเขาต้องการเอาศพนักโทษลงมา ต้องการหักขาของทุกคนเพื่อทำให้คนที่ยังหายใจแผ่ว ๆ อยู่ได้ตายเร็วขึ้น จะแน่ใจว่าตายสนิท พวกเขาคงกลัวว่า พระเยซูไม่สิ้นพระชนม์จริง ๆ การหักขาของโรม คือการใช้ท่อนเหล็กตีลงไปที่ขาให้กระดูกแตก นักโทษจะไม่สามารถยืดตัวขึ้นเพื่อหายใจอีก เขาจะตายอย่างรวดเร็วเพราะหายใจไม่ได้
ถ้าเป็นกฎทั่วไปของโรม เขาจะปล่อยให้นักโทษตายช้า ๆ บนกางเขน ทิ้งไว้เป็นหลายวัน และให้นกแร้ง เหยี่ยมมาจิกกินร่างของพวกเขา
แต่สำหรับยิวแล้ว จะไม่ให้มีการทิ้งศพไว้ข้ามคืน เพราะเป็นการทำให้แผ่นดินเป็นมลทิน นี่เป็นกฎที่โมเสสให้ไว้ในเฉลยธรรมบัญญัติ 21:22-23
ยอห์น 19: 33-35
และเมื่อทหารมาถึงร่างของพระเยซู พวกเขาพบว่า พระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว เพื่อให้แน่ใจ จึงเอาหอกแทงที่สีข้าง และน้ำกับเลือดก็ไหลออกมาให้เห็นว่า พระองค์สิ้นแล้วจริง ๆ
คนที่เห็นและเป็นพยานคือยอห์นนั่นเอง
ยอห์น 19:36-37
ยอห์นเองได้บอกเราตั้งแต่บทแรก ๆ ว่า พระองค์คือลูกแกะของพระเจ้าที่จะมาเอาบาปของชาวโลกไป (ยอห์น 1:29)
พระเยซูคือลูกแกะแห่งพิธีปัสกาที่ถูกห้ามไว้ว่า “อย่าหักกระดูกของมันเลย” (อพยพ 12​:46)
นี่เป็นอีกตอนที่มีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าจากพระคัมภีร์เดิม

เก็บพระศพ
ยอห์น 19:38
โยเซฟคนนี้ เป็นสมาชิกสภายิว เป็นคนมั่งคั่ง และเขาไม่เห็นด้วยกับการพยายามประหารพระเยซูในครั้งนี้ (ลูกา 23: 50) เขารีบไปขอพระศพ เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครมายุ่งกับพระศพอีก เขาต้องการเก็บพระศพไว้อย่างดี
ยอห์น 19:39-40
ส่วนนิโคเดมัสที่เคยมาพบพระเยซูยามค่ำ ก็เป็นผู้ติดตามพระเยซูมาโดยตลอด แต่ไม่ได้ออกตัวชัดเจน
เวลานี้ เขาเตรียมเครื่องหอมและสมุนไพรต่าง ๆ ที่ใช้ชโลมศพ เขาตั้งใจจะใช้ทั้งหมดนี้กับพระศพของพระเยซู ดูแล้วเป็นจำนวนมากมายทีเดียว
โดยจะมีการวางเครื่องหอมกระจายลงไปบนร่างของพระเยซู และใส่ลงบน แถบผ้ายาว ๆ เพื่อพันพระศพ
มียางเรซินที่ช่วยยึดผ้าให้ไม่หลุดออกมา
ยอห์น 19:41-42
อิสยาห์ 53:9 เขียนล่วงหน้าไว้หลายร้อยปีว่า “เขาถูกฝังร่วมกับเศรษฐี” เราทราบมาจากมัทธิวว่า ถ้ำเก็บศพแห่งนี้เป็นของโยเซฟ ชาวอาริมาเธีย (มัทธิว 27:60)
ถ้ำเก็บศพนี้อยู่ใกล้ ๆ กับที่ ๆ เขาตรึงพระเยซู ทำให้พวกเขาสามารถเก็บพระศพได้ทันก่อนที่จะมีวันสะบาโตซึ่งเริ่มต้นตอนเย็นวันศุกร์พอดี โยเซฟเป็นคนจัดการให้เอาหินที่พิงไว้กลิ้งปิดปากถ้ำ โดยมีทหารยามมาช่วยผนึกหินให้แข็งแรงและเฝ้ายามด้วย
(จากมัทธิว 27:60-66)

ข้อพระคำเชื่อมโยง
1* มัทธิว 20:19; 27:26
3* อิสยาห์ 50:6
4* ยอห์น 18:33,38
6* กิจการ 3:13
7* เลวีนิติ 24:16; มัทธิว 20:18; 26:63-66
9* อิสยาห์ 53:7
11* ลูกา 22:53; โรม 13:1
12* ลูกา 23:2
13* 1 ซามูเอล 15:24
14* มัทธิว 27:62
15* อิสยาห์ 53:3; ปฐมกาล 49:10

16* ลูกา 23:24
17* มาระโก 15:21-22; กันดารวิถี 15:36
18* สดุดี 22:16-18; มัทธิว 20:19; 26:2; อิสยาห์ 53:12
19* มัทธิว 27:37
23* ลูกา 23:34
24* สดุดี 22:18
25* มาระโก 15:40; ลูกา 24:18
26 * ยอห์น 13:23; 20:2; 21:7, 20, 24; 2:4
27* ยอห์น 1:11; 16:32
28* สดุดี 22:15
29* มัทธิว 27:48, 50
30* เศคาริยาห์ 11:10,11; ยอห์น 17:4

31* มาระโก 15:42; เฉลยธรรมบัญญัติ21:23; อพยพ 12:16
33* สดุดี 34:20
34* 1 ยอห์น 5:6, 8
35* ยอห์น 21:24; 20:31
36*อพยพ 12:46; กันดารวิถี 9:12; สดุดี 34:20
37* เศคาริยาห์ 12:10; 13:6
38* ลูกา 23:50-56; ​ยอห์น 7:13; 9:22; 12:42
39* ยอห์น 3:1,2; 7:50; มัทธิว 2:11
40* ยอห์น 20:5,7
42* อิสยาห์ 53:9; มัทธิว 26:12; มาระโก 14:8; ยอห์น 19:14,31