มาระโก 3 ราชกิจที่ฟาริสีเคือง

พระเยซูทรงรักษาโรคในวันสะบาโต
(มัทธิว 12:9–14; ลูกา 6:6–11)
1อีกครั้งที่พระเยซูทรงเข้าไปในศาลาธรรม มีชายมือลีบคนหนึ่งอยู่ที่นั่น
2 มีบางคนมองพระเยซูไม่วางตา
ดูว่าพระองค์จะทรงรักษาคนป่วยในวันสะบาโตหรือไม่
แล้วพวกเขาจะได้กล่าวโทษพระองค์ได้
3 แล้วพระเยซูตรัสกับชายมือลีบว่า
“มายืนข้างหน้านี่เถิด”
4 แล้วพระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า
“อะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามบัญญัติสะบาโต?
ให้ทำดี หรือทำชั่ว ให้ช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต?”
แต่พวกเขานิ่งเฉย
5 พระเยซูทรงทั้งโกรธและเสียพระทัย
ทรงมองไปรอบ ๆ เห็นว่าพวกเขาใจแข็งยิ่งนัก
แล้วจึงตรัสกับชายคนนั้นว่า “เหยียดมือออกมาเถิด”
เมื่อเขาเหยียดมือออกมา มือของเขาก็หายเป็นปกติ!
6 เรื่องเกิดขึ้นอย่างนี้ พวกฟาริสีจึงออกไป
และเริ่มต้นวางแผนเพื่อจะฆ่าพระองค์พร้อมกับกลุ่มผู้สนับสนุนเฮโรด


พระเยซูทรงรักษาโรคคนจำนวนมาก
(
มัทธิว 4:23–25; ลูกา 6:17–19)
7 แล้วพระเยซูจึงทรงปลีกตัวไปยังทะเลพร้อมกับศิษย์ โดยมีคนกลุ่มใหญ่ตามไปด้วย
คนพวกนี้มาจากแคว้นกาลิลี แคว้นยูเดีย
8 จากเมืองเยรูซาเล็ม แคว้นดิดูเมอา ซึ่งอยู่อีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน
ยังมีคนจากแถบเมืองไทระ และไซดอนด้วย คนจำนวนมากมาหาพระองค์
เมื่อได้ยินข่าวว่าทรงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่หลายประการ
9 พระเยซูทรงบอกให้ศิษย์เตรียมเรือลำหนึ่งให้พร้อม
เพื่อว่าผู้คนจะได้ไม่เบียดเสียดพระองค์
10 เป็นเพราะพระองค์ได้รักษาคนจำนวนมาก
ทำให้คนที่ป่วยเป็นโรคต่าง ๆ พากันเบียดเสียดเข้ามาใกล้เพื่อจะแตะพระองค์
11 และเมื่อวิญญาณชั่วเห็นพระองค์ครั้งใด พวกมันจะทรุดตัวลงร้องว่า
“ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า!”
12 แต่พระองค์ทรงสั่งห้ามพวกมันไม่ให้ประกาศให้คนรู้ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด

พระเยซูทรงแต่งตั้งอัครทูตสิบสองคน
(มัทธิว 10:1–4; ลูกา 6:12–16)
13 จากนั้น พระเยซูเสด็จขึ้นไปบนภูเขาและทรงเรียกคนที่พระองค์ทรงดำริไว้
พวกเขาก็เข้ามาหาพระองค์
14 ทรงแต่งตั้งสิบสองคนโดยทรงให้เขาเป็นอัครทูต
ที่จะเดินทางไปกับพระองค์ และส่งออกไปเพื่อเทศนา
15 และทรงให้พวกเขามีสิทธิอำนาจที่จะขับผีออกจากผู้คน
16 คนทั้งสิบสองที่ทรงตั้งให้เป็นอัครทูตคือ
ซีโมนซึ่งพระองค์ทรงให้ชื่อว่า เปโตร
17 ยากอบบุตรชายของเศเบดี ยอห์นน้องชายของยากอบ
ทั้ง 2 คนนี้พระองค์ให้ชื่อว่า โบอาเนอเยซึ่งแปลว่า “ลูกชายแห่งฟ้าร้อง”
18 อันดรูว์ ฟีลิป บาร์โธโลมิว มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรชายอัลเฟอัส
ธัดเดอัส ซีโมนซึ่งอยู่ในพรรคชาตินิยม
19 และยูดาสอิสคาริโอทผู้ที่ทรยศพระองค์


เรื่องที่เราก็เจอเหมือนกัน
20 จากนั้น พระเยซูเสด็จเข้าไปในบ้าน และครั้งนี้
ผู้คนก็รวมตัวชุมนุมกันที่บ้านนั้น ทำให้พระองค์และศิษย์ใกล้ชิดไม่อาจรับประทานอาหารได้
21 เมื่อคนในครอบครัวของพระองค์รู้เรื่องนี้เข้า
พวกเขาก็มาเพื่อจะจัดการพระองค์ โดยกล่าวว่า “เขาเสียสติไปแล้วนะ”

บ้านที่แตกแยก บ้านที่เข้มแข็ง
22 ส่วนพวกธรรมาจารย์ที่ลงมาจากเยรูซาเล็มต่างพูดกันว่า
“เบเอลเซบูลเข้าสิงเขานี่นา” และยังพูดด้วยว่า
“เขาขับผีออกจากคนได้ก็เพราะเจ้าแห่งผีนั่นแหละ”
23 แล้วพระเยซูทรงเรียกพวกเขาออกมา ตรัสกับเขาเป็นคำอุปมาว่า
“ซาตานจะไล่ซาตานออกไปได้อย่างไร?”
24 หากอาณาจักรหนึ่ง แตกแยกกันแล้ว อาณาจักรนั้นย่อมอยู่ไม่ได้
25 หากครอบครัวหนึ่งแตกแยกกัน ครอบครัวนั้นก็อยู่ไม่ได้
26 และหากซาตานแตกแยกกัน และลุกขึ้นสู้กันเอง
มันก็จะอยู่ไม่ได้ เท่ากับเป็นจุดจบของมันเอง
27 ที่จริงแล้ว ไม่มีใครจะเข้าไปในบ้านของคนที่เข้มแข็ง
และขโมยเอาทรัพย์สมบัติของเขาไปสำเร็จ
ยกเว้นเขาจะมัดคนที่เข้มแข็งนี้ไว้ก่อน
แล้วจึงจะปล้นบ้านของเขาได้

บาปที่จะไม่ได้รับการอภัย
(มัทธิว 12:31–32)
28 เราบอกเจ้าจริง ๆ ว่า ลูกหลานของมนุษย์จะได้รับการยกโทษบาปทุกอย่าง
แม้บาปหมิ่นประมาท ที่เขาเอ่ยออกมาไม่ว่าจะมากมายขนาดไหน
29 แต่ใครก็ตามที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์
จะไม่มีวันได้รับการยกโทษบาปนั้น
เขาทำความผิดซึ่งเป็นบาปที่ติดตัวไปตลอดกาล
30 ที่พระเยซูตรัสเช่นนี้ เพราะว่า พวกเขากล่าวว่า
พระองค์มีวิญญาณชั่วสิงอยู่

ใครเป็นมารดาและน้องชายของพระเยซู?
(มัทธิว 12:46–50; ลูกา 8:19–21)
31 แล้วมารดากับน้องชายของพระเยซู
มาและยืนอยู่ข้างนอก พวกเขาให้คนเข้าไปเรียกพระองค์ออกมา
32 และมีคนจำนวนมากนั่งรอบ ๆพระองค์อยู่
“ท่านขอรับ” คนหนึ่งกล่าว
“มารดาและน้องชายของท่านขอพบท่าน พวกเขารออยู่ข้างนอก”
33 แต่พระเยซูตรัสตอบว่า “ใครเป็นมารดาและพี่น้องของเราหรือ?”
34 พระองค์ทรงมองไปรอบ ๆ ดูคนที่นั่งล้อมรอบพระองค์อยู่
“นี่ไง พวกเขาคือมารดาและพี่น้องของเรา!
35 เพราะใครก็ตามที่ทำตามพระทัยของพระเจ้า
คนนั้นแหละคือพี่น้องทั้งชายหญิงและมารดาของเรา

อธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 3:1-6 พระเยซูทรงรักษาโรคในวันสะบาโต
นี่เป็นเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ในมัทธิว 12:9 และลูกา 6:6-11 ก่อนหน้าเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ ฟาริสีไม่พอใจที่ศิษย์ของพระองค์เก็บข้าวในนา มีการคุยกันอย่างไม่เป็นที่พอใจของฟาริสี พวกเขาไม่พอใจพระเยซูมาก่อนหน้านี้หลายเรื่อง อย่างเรื่องที่ทรงยกโทษให้กับชายง่อยคนหนึ่งก็เช่นกัน สิ่งที่เราจับได้จากพระคำตอนนี้คือ *ฟาริสี และคนอื่น ๆ เดาได้ว่า ยังไง ๆ วันสะบาโตนี้ต้องมีการรักษาโรคเกิดขึ้นแน่ *เราเห็นอารมณ์เสียใจ ทั้งอารมณ์โกรธ ของพระเยซูกับความใจร้ายของฟาริสีที่มีต่อชายมือลีบ การที่พวกเขาขัดขืนพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อคนยากลำบาก *เมื่อพระเยซูทรงสั่งให้ชายมือลีบเหยียดมือออก ถ้าเป็นคนทั่วไปย่อมทำไม่ได้ แต่เมื่อพระองค์ทรงสั่ง พระองค์ก็เมตตาให้เขาทำได้ และหายโรคทันที เวลาพระเจ้าทรงสั่งให้เราทำอะไร พระองค์จะทรงเสริมกำลัง ความสามารถให้เราทำสิ่งนั้นได้

มาระโก 3:7-12 พระเยซูทรงรักษาโรคคนจำนวนมาก
ถ้าเราจะดูจากแผนที่จะเห็นว่าคนต้องเดินทางมาไกลหลายสิบกิโลเมตรเพื่อจะมาพบพระเยซู แต่พวกเขาก็พากันมา น่าเสียดายที่เป้าหมายของเขาไม่ได้อยู่ที่ฟังคำสอน คำเตือนจากพระเจ้า แต่เป็นเรื่องต้องการหายโรคเป็นหลัก คิดถึงเวลามีคนเป็นพัน ๆ ตามติดใครคนหนึ่งในโลกโบราณสิ มันเป็นเรื่องที่ต้องพูดต่อกันไป และใคร ๆ ที่รู้เรื่องก็อยากเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ กับตา
น่าแปลก ..​ผู้ที่ประกาศว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้ากลับกลายเป็นวิญญาณชั่ว พระเยซูทรงกำราบไม่ให้มันพูดอะไร เพราะยังไม่ถึงเวลาของพระองค์ และไม่จำเป็นที่พระองค์จะต้องได้คำยืนยันจากมารในเรื่องนี้

มาระโก 3:13-19พระเยซูทรงแต่งตั้งอัครทูตสิบสองคน
มาระโกได้เล่าถึงการที่พระเยซูทรงเลือกศิษย์ใกล้ชิดทั้งสิบสองคน ซึ่งทั้งสิบสองนี้จะเดินทางไปรับใช้พระเจ้าพร้อมกับพระองค์ตลอดเวลาที่พระองค์ทรงอยู่ในโลกนี้ และหลังจากที่เสด็จสู่สวรรค์ พวกเขาจะทำงานไปพร้อมกับองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือการเทศนา และมีสิทธิอำนาจในการขับผีที่ทรมานผู้คนในที่ ๆ พวกเขาไป เราจะสังเกตได้ว่า เมื่อกล่าวถึงศิษย์ใกล้ชิดทั้งสิบสองมักจะมีเปโตรเป็นคนแรก และยูดาสเป็นคนสุดท้ายเสมอ

มาระโก 3:20-21 เรื่องที่เราก็เจอเหมือนกัน
เราจะเห็นว่า พี่น้องในครอบครัวของพระองค์ไม่เห็นด้วยกับการที่พระเยซูเลิกทำงานเลี้ยงดูครอบครัว และออกมารับใช้พระเจ้าพระบิดาของพระองค์. พวกเขาไม่ได้เข้าใจเลยว่า พระองค์คือผู้ใด ดังนั้นจึงเห็นว่าพระองค์ไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนี้ อะไรกันอยู่ดี ๆ ก็ออกมาจากงานดี ๆ ที่มั่นคง ออกไปทำงานที่ไม่มีรายได้อะไรเลย แล้วทำไมสามารถรักษาโรคให้ผู้คนได้? แล้วทำไมมีคนติดตามมากมาย? ทำไมกลายเป็นคนที่ผู้คนตามหา? ทำไมต้องออกไปพูดเรื่องของพระเจ้า วันนี้พวกเขาจึงมาเพื่อพยายามจัดการให้พระเยซูกลับไปเป็นอย่างเดิม และพวกเขาลงความเห็นกันว่า พี่ชายคนนี้ เสียสติไปแล้ว!แต่ถึงอย่างไร คนเดียวที่รู้เรื่องดีคือมารีย์ .. มารดาของพระองค์

มาระโก 3:22-27 บ้านที่แตกแยก บ้านที่เข้มแข็ง
ต่อมา พวกธรรมาจารย์ที่มาเพื่อจะจับผิดพระเยซูโดยเฉพาะก็ให้ร้ายทันทีว่า พระเยซูไล่ผีด้วยอำนาจนายผี เรียกว่า เบเอลเซบูล ซึ่งก็หมายถึงซาตานนั่นเอง พระองค์จึงทรงตอบเขาสองประการ อย่างแรกคือ ถ้าแผ่นดินใดแตกแยกกันเองมันจะอยู่ไม่ได้ ซึ่งก็หมายความว่า พระองค์ไม่ได้เป็นลูกน้องของมาร แล้วมาไล่มารออกจากคน อีกอย่างคือ พระเยซูทรงประกาศว่า ตอนนี้ อย่างไร ๆ มารก็แพ้อยู่แล้ว แม้ว่ามันจะแข็งแรงและจับผู้คนในโลกเก็บเป็นเชลยไว้ในบ้านของมัน แต่พระเยซูเป็นผู้ที่แข็งแรงกว่าและมาช่วยผู้ที่ถูกมารรังควาญให้พ้นภัยจากมัน ใช่แล้ว.. แผ่นดินของพระเจ้ากำลังบุกเข้าไปและทำลายอาณาจักรของมารอยู่

มาระโก 3:28-30 บาปที่จะไม่ได้รับการอภัย
แล้วพระเยซูก็ทรงจัดการกับธรรมาจารย์ที่ไร้ความเชื่อในพระเจ้าจริง ๆ ตรัสว่า หากใครดูหมิ่น สบประมาทองค์พระวิญญาณก็จะไม่ได้รับการยกโทษตลอดไป… นี่หมายความว่าอย่างไร มีคนแปลความหมายแตกต่างออกไป แล้วเราจะแปลความหมายนี้อย่างไรดี …​
*พระวิญญาณ ทรงเป็นผู้ที่ตรัสความจริง … พระองค์ทรงเป็นผู้ต่อต้านงานของซาตาน แต่พวกเขากลับบอกว่า งานของพระองค์เป็นงานของมาร.. การปฏิเสธราชกิจของพระวิญญาณเท่ากับปฏิเสธพระเจ้าด้วย …​
* มีบางท่านกล่าวว่า การที่เราปฏิเสธไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป และกลับมาหาพระเจ้า เท่ากับทำให้พระองค์เป็นผู้กล่าวคำมุสา
ผู้คนในชุดนี้ จึงไม่ได้ยอมจำนนต่อพระเจ้า เขาจึงไม่ได้รับการยกบาปจากพระองค์
เราจึงไม่ควรที่จะสบประมาทพระองค์ด้วยวิธีใด ๆ ทั้งสิ้น ..

มาระโก 3: 31-35 ใครเป็นมารดาและน้อง ๆของพระเยซู?
จากเหตุการณ์ข้างบนในข้อ 21 เราไม่ทราบว่า มารีย์มารดาอยู่ในเหตุการณ์นั้นหรือเปล่า แต่มาตอนนี้ มารดามาด้วย และขอพบพระเยซู
พระเยซู ในฐานะที่เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์มีพันธกิจพิเศษ รับการทรงเจิมจากพระบิดามาเพื่อช่วยโลกให้รอดบาป พระนามของพระองค์ในภาษาฮีบรูคือ เยชูวา ฮามาชิอัค หรือ ผู้ที่ได้รับการเจิมมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด (ชื่อที่ใช้ว่า เยซูคริสต์ เป็นภาษากรีก) ดังนั้นคนที่เป็นญาติพี่น้องของพระองค์จริง ๆ คือ คนที่ทำตามพระทัยของพระเจ้า น้อง ๆ ของพระองค์ที่มา ถ้าคิดตามสายเลือด ก็แค่มีมารดาเดียวกัน แต่พระองค์ทรงเกิดมาแตกต่างจากพวกเขา ทรงเกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 6:6-11
2* ลูกา14:1; 20:20; 13:14
5* เศคาริยาห์ 7:12
6* สดุดี 2:2; มาระโก 12:13; มัทธิว 22:16
7* ลูกา 6:17
8* มาระโก 5:19
10* ลูกา 7:21; มัทธิว 9:21; 14:36

11* ลูกา 4:41; มัทธิว 8:29; 14:33
12* มาระโก 1:25,34
13* ลูกา 9:1
16* ยอห์น 1:42
20* มาระโก 6:31
21* มาระโก 6:3; ยอห์น 7:5; 10:20
22* มัทธิว 9:34; ยอห์น 12:31;14:30; 16
:11

23* มัทธิว 12:25-29
27* อิสยาห์ 49:24, 25
28* ลูกา 12:10
30* มัทธิว 9:34
31* มัทธิว 12:46-50
35* เอเฟซัส 6:6


มาระโก 2 สี่เรื่องราวในคาเปอรนาอุม

หายทั้งจากบาปและจากโรค

1 สองสามวันผ่านไป พระเยซูทรงกลับเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุมอีกครั้ง
ชาวเมืองได้ยินว่า พระองค์มาประทับที่บ้าน
2 ผู้คนจึงพากันมารวมตัวกันที่นั่น จนไม่มีที่ว่าง แม้ตรงประตู
และพระองค์ทรงประกาศพระคำแก่พวกเขา   
3  มีชาย 4 คนหามชายเป็นอัมพาตมาหาพระองค์
4  เมื่อพวกเขาไม่อาจนำชายเป็นอัมพาตเข้ามาถึงพระองค์ เพราะคนแน่นมาก
    พวกเขาจึงขึ้นไปรื้อหลังคาเหนือพระเยซู 
    เมื่อรื้อสำเร็จ พวกเขาก็หย่อนแคร่ที่ชายอัมพาตนอนลงมา
5  เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อของพวกเขา ก็ตรัสกับชายอัมพาตว่า
    “ลูกเอ๋ย บาปทั้งหลายของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” 
​​​  (ภาษาเดิมทำให้ทราบว่าคำนี้เป็นคำพูดว่า พระเจ้าทรงให้อภัย) 
6 แต่มีพวกธรรมาจารย์นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็พากันคิดในใจของตนว่า
7  “เหตุใดชายคนนี้จึงกล่าวเช่นนี้?  นี่เขากำลังหมิ่นประมาทพระเจ้านี่นา
นอกเหนือจากพระเจ้าแล้ว จะมีใครอภัยบาปได้เล่า?”
8  เวลานั้นเอง พระเยซูทรงทราบในพระทัยว่า พวกเขากำลังคิดแบบนั้นกันอยู่ 
พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “เหตุใดพวกท่านจึงคิดในใจเช่นนั้น?
9  พูดอย่างไหนจะง่ายกว่ากัน ที่จะกล่าวกับคนป่วยว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ 
หรือกล่าวว่า ‘ จงลุกขึ้น หยิบแคร่ของเจ้าแล้วเดินไป’ ?
10  แต่เพื่อพวกท่านจะรู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะอภัยบาปได้”
พระองค์จึงตรัสกับชายอัมพาตว่า
11 “เราขอบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้น ยกแคร่ของเจ้าและกลับบ้านไป”
12 ชายคนนั้นลุกขึ้นทันที หยิบแคร่ของเขา เดินออกไปต่อหน้าทุกคน  พวกเขาต่างประหลาดใจและกล่าวสรรเสริญยกย่องพระเจ้าว่า “เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย!” 

“ตามเรามาเถอะ เลวี! “

13  พระเยซูทรงดำเนินไปริมทะเลอีก ผู้คนพากันมาหาพระองค์ และพระองค์ทรงสอนพวกเขา
14 ขณะที่ทรงผ่านไป ก็ทรงเห็นเลวีลูกชายของอัลเฟอัส
เขากำลังนั่นอยู่ที่ด่านเก็บภาษี พระองค์ตรัสกับเขาว่า
“ตามเรามา” เขาก็ลุกขึ้นและตามพระองค์ไป
15 ขณะที่พระเยซู รับประทานอาหารในบ้านของเลวี ก็มีคนเก็บภาษีหลายคน
รวมทั้งคนบาป (ในสายตาของยิว) กำลังนั่งรับประทานอาหารกับพระองค์ รวมทั้งพวกศิษย์
เพราะมีหลายคนติดตามพระองค์ไปด้วย
16 เมื่อผู้เชี่ยวชาญธรรมบัญญัติและพวกฟาริสีเห็นว่า
​​​​ พระองค์รับประทานอาหารกับคนบาปและคนเก็บภาษี
จึงกล่าวแก่พวกศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมท่านจึงกินอาหารกับคนเก็บภาษีและคนบาป?”
17 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินดังนั้นจึงตรัสกับพวกเขาว่า
​​​ “คนที่สุขภาพดีแล้วก็ไม่ต้องการหมอ  แต่คนเจ็บป่วยต้องการหมอ 
เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป”

ของใหม่ที่ไปด้วยกัน

18 ตอนนั้น ศิษย์ของยอห์นและพวกฟาริสีกำลังอยู่ในช่วงเวลาอดอาหาร
ดังนั้นพวกเขาจึงมาหาพระเยซู กล่าวว่า
“ศิษย์ของยอห์น และศิษย์ของฟาริสีพากันอดอาหาร แต่เหตุใดศิษย์ของท่านไม่อดอาหาร?”
19 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “แขกในงานเลี้ยงแต่งงานไม่อดอาหาร
ยามที่เจ้าบ่าวอยู่กับพวกเขา อย่างนั้นไม่ใช่หรือ? 
20 แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวถูกนำไปจากพวกเขา ถึงเวลานั้นพวกเขาจะอดอาหาร”
21”ไม่มีใครเย็บเศษผ้าที่ยังไม่หดตัว เข้ากับผ้าเก่า เพราะไม่อย่างนั้น ผ้าที่ปะไว้จะดึงรั้งผ้าเก่าให้
ขาดมากขึ้น  และรอยขาดก็จะแย่กว่าเดิม”
22 “และไม่มีใครเทน้ำองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า มิฉะนั้นเหล้าองุ่นใหม่จะทำให้ถุงนั้นขาด
ทั้งเหล้าองุ่นและถุงหนังจะเสียไป
ดังนั้นเหล้าองุ่นใหม่ก็จะต้องเทลงในถุงหนังใหม่”

เจ้าเหนือวันสะบาโต


23 วันสะบาโตหนึ่ง พระเยซูทรงเดินผ่านเข้าไปในนาข้าว
     ระหว่างที่เดินไปนั้น ศิษย์ของพระองค์ก็เริ่มเด็ดรวงข้าวไปพลาง
24 เหล่าฟาริสีพูดกับพระองค์ว่า “ดูสิ ทำไมพวกเขาจึงทำสิ่งที่ผิดกฏวันสะบาโต?”
25  พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าไม่เคยอ่านเลยหรือว่า กษัตริย์ดาวิดทรงทำอะไรยามที่ท่านและผู้ติดตามพากันหิวโซและไม่มีอะไรกิน  
26  ท่านได้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าสมัยที่ท่านอาบีอาธาร์เป็นมหาปุโรหิต และกินขนมปังบริสุทธิ์ซึ่งเป็นการทำผิดกฎบัญญัติ เพราะเป็นขนมปังสำหรับปุโรหิตเท่านั้น และท่านยังส่งให้ผู้ติดตามของท่านด้วย”
27  แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า  “วันสะบาโตนั้นสร้างไว้เพื่อมนุษย์  ไม่ใช่สร้างมนุษย์เพื่อวันสะบาโต 
28  ด้วยเหตุนี้เอง บุตรมนุษย์จึงเป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต”


คำอธิบายเพิ่มเติมและพระคำเชื่อมโยง

มาระโก 2:1-12
เรื่องนี้ปรากฎอยู่ที่ มัทธิว 9:1-8 และ ลูกา 5:17-26. ด้วย
เมืองคาเปอรนาอุมอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบกาลิลี. พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์ที่เมืองนี้หลายครั้ง คาดว่าในช่วงเวลานั้นมีประชากรประมาณ 1,500 คน เมืองนี้อยู่ใต้ระดับน้ำทะเล  204 เมตร (netbible.org)
ท่านมาระโกเริ่มต้นเล่าเรื่องเหล่านี้แบบรวดเร็ว พระเยซูมา คนได้ยินข่าว พวกเขามารวมกัน พระเยซูทรงสอนพระคำ..ชายสี่คนหามเพื่อนที่เป็นอัมพาตมาหาพระองค์​ พวกเขารื้อหลังคา. บ้านของคนปาเลสไตน์สมัยก่อนมีบันไดขึ้นไปหลังคาด้วย ตัวหลังคามักทำด้วยไม้แผ่น หรือขื่อที่ใช้ดินพอกกับใบปาล์มช่วยปิดกันลมฝน
ข้อ 5 พระเยซูทรงเห็นความเชื่อของชายทั้งสี่และชายเป็นอัมพาตที่ตั้งใจมาพบพระองค์ให้ได้ เวลานั้น พระองค์ทรงตอบพวกเขาทันที โดยพวกเขาไม่ต้องพูดอะไร แค่ทำให้เห็นก็รู้แล้วว่าต้องการอะไร
คำของพระเยซูที่ว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยนั้น มีความหมายว่า บาปได้รับการอภัยจากพระเจ้าแล้ว” แต่ในวันนั้นมีคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องธรรมบัญญัตินั่นอยู่ พวกเขารู้สึกไม่พอใจกับคำตรัสนั้น หงุดหงิดคิดในใจว่าพระเยซูกำลังทำตัวเสมอพระเจ้า เพราะมีพระเจ้าเท่านั้นที่จะอภัยบาปได้
ทันทีที่พวกเขาคิด พระเยซูก็ทรงทราบว่าพวกเขาคิดอะไรกัน จึงตรัสถามว่าทำไมต้องคิดชั่งใจในเรื่องนี้ อะไรง่ายกว่ากัน การพูดยกโทษบาป หรือทำให้เห็นเลยว่า ชายคนนี้หายโรคแล้ว?
พระองค์จึงทรงสั่งให้เขาลุกเดินกลับบ้านให้เห็นต่อหน้าต่อตาเสียเลย
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พวกเขานึกขึ้นได้ว่า ไม่เคยเห็นการอัศจรรย์อย่างนี้มาก่อน เป็นไปได้อย่างไร คนที่เป็นอัมพาตจะเดินได้คล่องขนาดนี้ แถมขนแคร่กลับบ้านเองด้วย
คนยิวเองไม่เชื่อว่า ใครจะยกโทษให้ใครได้จริง นอกจากพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาจึงคิดว่าสิ่งที่ พระเยซูตรัสเป็นการหมิ่นพระเจ้า แต่พระเยซูกำลังจะชี้แจงให้พวกเขาได้รู้ว่า พระองค์นี่แหละคือพระเจ้า!
ทรงเรียกพระองค์เองว่า บุตรมนุษย์ ซึ่งมีความหมายว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมา ทรงเป็นตัวแทนของมนุษย์ต่อพระเจ้า (ดาเนียล 7:13-14)
เหตุการณ์วันนี้ ทำให้คนที่อยู่ ได้ประสบว่า พระเยซูทรงยกโทษบาปได้ พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ พระองค์ทรงมีอำนาจเหนือความเจ็บป่วย ทุกคนในบ้านเป็นพยานได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนในบ้านนั้น จะรับว่าทรงเป็นพระเจ้า
1*มัทธิว 9:1. 3*มัทธิว 4:24, 8:6, กิจการ 8:7,9:33, 7* โยบ 14:4, อิสยาห์ 43:25, ดาเนียล 9:9, 9* มัทธิว 9:5, 12*มัทธิว 15:31, ฟีลิปปี 2:11,

มาระโก 2:13-17
เรื่องนี้ปรากฏใน มัทธิว 9:9-13 และ ลูกา 5:27-32 ด้วย
ต่อมาเมื่อทรงไปริมทะเล ก็พบเลวีที่ด่านเก็บภาษี นอกจากทรงสอนประชาชนแล้ว ยังทรงชวนให้ตามพระองค์ ซึ่งเขาก็ตอบพระองค์ทันทีและยังเชิญพระองค์ไปรับประทานอาหารที่บ้านพร้อมกับเพื่อน ๆ ของเขา และคนอื่น ๆ ในมื้อนี้มีศิษย์ของพระองค์อีกหลายคนได้ร่วมโต๊ะด้วย
แต่คนเก่งธรรมบัญญัติและฟาริสีก็ (คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มยิวที่ทุ่มเทชีวิตให้กับการรักษาบัญญัติ และกฏทางพิธีกรรมต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด) ยังหาเรื่อง ข้ออ้างของพวกเขาคือ พระองค์ทรงกินอาหารกับคนเก็บภาษี คนบาป (การกินอาหารแบบนี้ คือการเอนตัวลงข้าง ๆ กินอาหารไปกับคนอื่น ๆ ท่าทางการกินจึงดูสนิทสนมกันมาก )พระองค์ก็เลยบอกพวกเขาไปว่า พระองค์ไม่ได้มาหาคนดีอย่างพวกเขา แต่มาหาคนที่รู้ว่าตนเองเป็นคนบาป
การเก็บภาษีสมัยนั้น จะมีการตั้งด่านที่ท่าเรือ ทางเข้าเมืองเพื่อเก็บภาษีสินค้าที่เข้ามาขายในพื้นที่ ใครอยากเป็นคนเก็บภาษีก็จะต้องไปเข้าประมูลเพื่อให้ตนมีสิทธิที่จะเก็บภาษีได้ คนพวกนี้จะจ้างคนเก็บภาษีมาประจำที่ด่าน พวกเขาจะเก็บเงินภาษีสูงกว่าปกติเพื่อส่วนต่างจะเป็นของพวกเขา อีกส่วนก็ส่งให้กับรัฐไป ธุรกิจนี้เต็มด้วยการคดโกง การให้สินบน และอื่นๆ ที่สามารถทำเงินจากช่องโหว่ของกฎหมาย
เท่ากับว่า เลวี คนที่พระเยซูทรงเรียก เป็นคนที่ใคร ๆ ก็เกลียดชังเพราะหน้าที่การงานของเขา แต่พระเยซูกลับไม่ได้มองเรื่องนั้น พระองค์ทรงมาเรียกคนบาปอย่างเลวีนี่แหละ
แต่สิ่งที่พวกฟาริสีกำลังจะบอกก็คือ เขาเห็นว่า พระเยซูไม่ได้เป็นคนสะอาด ไม่ได้แยกตัวออกจากคนบาป คำว่าคนบาปของพวกเขา คือ คนที่ไม่ได้สนใจรักษาบัญญัติของโมเสส ในสายตาของพวกเขา คนเหล่านี้ชั่วร้าย และไร้ค่า
13* มัทธิว 9:9, 14* มัทธิว 9:9-13, ลูกา 5:27-32, มัทธิว 4:19, 8:22, 19:21, ยอห์น 1:43, 12:26, 21:22, ลูกา 18:28 15* มัทธิว 9:10, 17* มัทธิว 9:12, 13, 18:11, ลูกา 5:31,32, 19:10

มาระโก. 2:18-22
ศิษย์ของยอห์น(ผู้ให้บัพติศมา) ยังไม่ได้ติดตามพระเยซูจริงจัง อาจารย์ของพวกเขายังติดคุกอยู่ (มัทธิว 4:12) พวกเขาอาจอดอาหารอธิษฐานเผื่ออาจารย์ของเขา ส่วนฟาริสีจะอดอาหารอธิษฐานกันสัปดาห์ละสองครั้ง ตามกฎของฟาริสี (ในพระคัมภีร์เดิมมีบอกให้อดอาหารในวันลบมลทินบาป ปีละครั้ง เลวีนิติ 16:31 พูดถึงการบังคับใจตนเอง ซึ่งหมายความถึงการอดใจไม่กิน)
ดังนั้นการอดอาหารของฟาริสีจึงเป็นข้อบังคับที่พวกเขาเขียนขึ้นมาทีหลังเป็นการแสดงออกว่าพวกเขาเคร่งครัดมาก
เวลาพระเยซูตรัสตอบเขา ก็ไม่ได้ตอบตรง ๆ ตรัสเป็นคำเปรียบเทียบและตั้งคำถามอีก
เรื่องที่พระองค์ตรัสถึงงานเลี้ยงสมรสมีความหมายถึง เวลาที่พระเมสสิยาห์อยู่กับพวกเขา และพระองค์กำลังตรัสถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย ซึ่งดู ๆ ไปแล้ว จะมีใครเข้าใจว่าพระองค์ทรงหมายถึงอะไรในเวลานั้น พวกเขายังไม่รู้ชัดว่า พระองค์คือผู้ใดจนกว่าจะถึงวันที่ทรงถามเปโตร
(มาระโก 8:27-30) คำตอบที่พวกเขาได้ก็อาจจะเป็นว่า เมื่อไรที่พระองค์ไม่อยู่แล้ว พวกศิษย์จะอดอาหารอธิษฐานเองนั่นแหละ
แต่แล้วทรงตรัสเป็นเรื่องอีกเรื่องถึงเหล้าองุ่นใหม่ต้องใส่ในถุงหนังใหม่ พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไรกัน?
ในสมัยนั้น เขาเก็บเหล้าองุ่นไว้ในถุงหนัง ถ้าเป็นเหล้าใหม่ ต้องใส่ในถุงหนังใหม่ที่มีความยืดหยุ่นสูง. เหล้าใหม่มันจะขยายตัวมาก ดังนั้น ถ้าเกิดเอาเหล้าใหม่ใส่ถุงเก่าที่ยืดแล้ว มันจะยืดอีกจนขาด ความหมายคือ คำสอนและทุกสิ่งที่ตรัสนั้นเป็นของใหม่ที่ไม่อาจเอาไปอยู่รวมกับกฎเกณฑ์ของศาสนายิวที่ฟาริสียึดมั่นได้เลย เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงสอนนั้นเป็นเรื่องของชีวิตที่เปลี่ยนจากภายใน เป็นเรื่องของการที่พระเจ้าทรงปกครองใจ ไม่ใช่ให้กฎบัญญัติมาครองใจ
18* มัทธิว 9:14, 17, ลูกา 5:33-38, 20*กิจการ 1:9, 13:2, 3, 14:23,

มาระโก 2:23-28
อีกครั้งที่ฟาริสีหาเหตุกล่าวโทษพระเยซู เพียงเพราะศิษย์ของพระองค์เด็ดรวงข้าวกิน (พวกเขาไม่ได้เก็บข้าวแล้วใส่ย่ามไป) แค่เด็ดกินตรงนั้น พวกเขาก็มองว่าเป็นการผิดกฎสะบาโตที่พวกเขาตั้งกันขึ้นมา พระเยซูจึงทรงย้อนถามไปถึงวันที่ปุโรหิตกับดาวิดที่กำลังหนีกษัตริย์ซาอูลได้ละเมิดกฎ โดยเอาอาหารให้คนที่ไม่ใช่ปุโรหิตกินเพื่อจะมีแรงหนีต่อไปได้
เรื่องราวนั้นคือ ….ในสมัยที่กษัตริย์ซาอูลซึ่งเป็นกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอลครอบครองนั้น ตอนนั้นท่านอาบีอาธาร์เป็นมหาปุโรหิต ดูแลฝ่ายวิญญาณของอิสราเอล แต่ผู้ที่เป็นปุโรหิตที่มอบอาหารให้ดาวิดนั้นคือ อาหิเมเลค ซึ่งเป็นปุโรหิตประจำที่เมืองโนบ อ่าน 1 ซามูเอล 21:1
ดาวิดกำลังหนีกษัตริย์ซาอูล และต้องการอาหาร และอาหิเมเลคไม่มีอาหารอื่นนอกจากขนมปังบริสุทธิ์ และก็มอบให้ดาวิดไปเพื่อให้กับผู้คนที่ติดตามท่านมา
พระเยซูกำลังบอกพวกเขาว่า วันสะบาโตมีไว้ให้พักผ่อน มีเพื่อมนุษย์ ให้เป็นพรสำหรับเขา แต่ฟาริสีกลับเปลี่ยนวันแห่งพระพรให้กลายเป็นวันแห่งภาระหนักที่ต้องแบก ต้องคอยระมัดระวังไม่ให้ผิดกฎ
และพระองค์จึงเสริมให้เขารู้ว่า พระองค์ทรงเป็นเจ้า เหนือวันสะบาโต พระองค์ไม่ได้ใหัมันเป็นภาระที่ต้องแบก แต่เป็นพระพรให้กับชีวิตของคนอื่น ดังนั้น ในวันสะบาโตจะทรงทำอะไรที่ทรงเห็นสมควรย่อมได้เสมอ
23* ลูกา 6:1-5, เฉลยธรรมบัญญัติ 23:25, 24* อพยพ 20:10, 31:15, 25* 1 ซามูเอล 21:1-6, 26* เลวีนิติ 24:5-9, 27* เฉลยธรรมบัญญัติ 5:14 28* มัทธิว 12:8

บรรณานุกรม
netbible.org
Macarthur, John. The MacArthur Study Bible.

มาระโก 1 บุรุษผู้มาเตรียมทาง

มาระโก 1:1-8
คำประกาศของยอห์นผู้ให้บัพติศมา

1 จุดเริ่มต้นข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์พระบุตรพระเจ้า
2 อิสยาห์ผู้เผยพระคำ เขียนไว้ว่า “ดูเถิด เราจะส่งผู้สื่อสารของเราไปล่วงหน้าเจ้า เขาจะเตรียมทางให้เจ้า” 
3 เสียงของผู้ร้องในถิ่นกันดารว่า “จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้พร้อม  จงทำทางของพระองค์ให้ราบตรงไป” 
 
4 ยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้ปรากฏตัวในถิ่นกันดาร และประกาศการบัพติศมาเนื่องจากการกลับใจ เพื่อรับการอภัยบาป
5 และคนในเมืองต่าง ๆ ของยูเดีย รวมทั้งชาวเมืองเยรูซาเล็มพากันออกไปหาท่านสารภาพบาปของตน และรับบัพติศมาในแม่น้ำจอร์แดน  
6 ยอห์นสวมเสื้อขนอูฐ มีสายหนังสัตว์รัดเอว กินจักจั่นและน้ำผึ้งป่าเป็นอาหาร
7 เขาประกาศว่า “หลังจากข้า ท่านผู้หนึ่งที่มีฤทธิ์ยิ่งกว่าข้าจะเสด็จมา ข้าไม่สมควรแม้จะก้มลงปลดสายรัดรองเท้าของท่าน
8 ข้าได้ให้บัพติศมาแก่พวกเจ้าด้วยน้ำ แต่พระองค์จะบัพติศมาพวกเจ้าด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 
————————————————————————————

เรื่องเดียวกันนี้ มีบันทึกไว้ที่ มัทธิว 3:1-12,ลูกา 3:1-18, ยอห์น 1:19-23

มาระโก 1:9-13 พระเยซูในถิ่นกันดาร

9 เวลานั้น พระเยซูทรงมาจากนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี และทรงรับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน
10 ทันทีที่พระองค์ทรงขึ้นจากน้ำ  ทรงเห็นสวรรค์เปิดออก และพระวิญญาณในรูปร่างดั่งนกพิราบทรงลงมาเหนือพระองค์ 
11 และมีพระสุรเสียงมาจากสวรรค์ 
“เจ้าเป็นลูกชายที่รักของเรา เจ้าเป็นคนที่เราพอใจยิ่งนัก”
12 ทันใดนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงผลักดันให้พระองค์ออกไปยังถิ่นกันดาร 
13 และพระองค์ทรงอยู่ในถิ่นกันดารสี่สิบวัน ซาตานมาหลอกล่อทดลองพระองค์ ทรงอยู่กับเหล่าสัตว์ป่า และทูตสวรรค์ได้มาปรนนิบัติพระองค์

มาระโก 1:14-20
พระเยซูทรงเรียกชาวประมง 4 คน

14 หลังจากที่ยอห์นถูกจับไปขัง  พระเยซูทรงเข้ามาในแคว้นกาลิลี  ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า
15 ตรัสว่า “สำเร็จตามเวลาที่กำหนดแล้ว อาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามามากแล้ว  จงกลับใจ และเชื่อข่าวประเสริฐเถิด”
16 ขณะที่พระองค์ดำเนินไปตามชาย ฝั่งทะเลกาลิลี  ทรงเห็นซีโมนและอันดรูว์น้องชายของเขา กำลังทอดอวนในทะเล เพราะพวกเขาเป็นชาวประมง
17 พระเยซูตรัสว่า “จงตามเรามา และเราจะให้เจ้ากลายเป็นผู้ที่นำพาผู้คนมาหาเรา”
18 ทันใดนั้นเขาก็ทิ้งอวนของเขา และตามพระองค์ไป 
19 และพระองค์ดำเนินต่อไปอีกหน่อย ทรงเห็นยากอบลูกชายของเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขา กำลังซ่อมอวนของเขาในเรือ
20 ทันที่ที่ทรงเรียกเขาทั้งสอง เขาก็ลาจากเศเบดีบิดาของพวกเขา ให้ท่านอยู่กับลูกจ้าง และติดตามพระองค์ไป

มาระโก 1:21-28 ปราบผีโสโครก 

21 และพวกเขาไปยังเมืองคาเปอร์นาอุม และถึงวันสะบาโต พระองค์ทรงเข้าไปสอนในธรรมศาลาทันที
22 และผู้คนต่างตื่นใจประทับใจกับคำสอนของพระองค์  เพราะทรงสอนด้วยสิทธิอำนาจ ไม่เหมือนกับที่ธรรมาจารย์สอน
23  ในธรรมศาลาเวลานั้นเอง มีชายคนหนึ่งถูกวิญญาณโสโครกเข้าสิง เขาร้องออกมาว่า 
24 “ท่านเยซูแห่งนาซาเร็ธ เรื่องอะไรท่านจึงมายุ่งวุ่นวายกับพวกเรา?
ท่านจะมาล้างผลาญเราหรือ? ข้ารู้ว่าท่านคือใคร ท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า”
25 “เงียบได้แล้ว!” พระเยซูทรงสั่งมัน “จงออกมาจากเขา!”
26 แล้ววิญญาณนั้นก็ทำให้ชายคนนั้นชักตัวสั่น ร้องเสียงดังลั่น แล้วมันก็ออกมาจากเขา
27 คนทั้งหลายก็แปลกประหลาดใจนัก พวกเขาถามกันว่า “นี่มันอะไรกัน   คำสอนใหม่ที่มีพลังอำนาจ! ท่านเยซูทรงไล่วิญญาณโสโครกให้ออกมา   และมันก็เชื่อฟังท่าน
28 และชื่อเสียงของพระองค์ก็เลื่องลือออกไปทั่วแคว้นกาลิลีอย่างรวดเร็ว

มาระโก 1:29-39
ทรงรักษาคนป่วยมากมาย/เวลาส่วนพระองค์

29 จากนั้นพระองค์ทรงออกมาจากศาลาธรรมและเข้าไปในบ้านของซีโมนและอันดรูว์ พร้อมด้วยยากอบและยอห์น
30 ตอนนั้น แม่ยายของซีโมนนอนป่วย มีไข้สูง พวกเขาจึงทูลพระองค์เรื่องนี้ทันที 
31 พระองค์ทรงไปดูเธอ และทรงจับมือเธอให้ลุกขึ้น  ไข้ก็หายจากเธอทันที และเธอก็ต้อนรับเลี้ยงดูพวกเขาทุกคน

32 คืนนั้นเมื่อตะวันตกดิน ผู้คนนำคนป่วยและคนที่ถูกวิญญาณชั่วรังควาญมาหาพระองค์ 
33 คนทั้งเมืองต่างมาชุมนุมกันที่ประตู
34 พระองค์ทรงรักษาเหล่าคนป่วยด้วยโรคต่าง ๆ และทรงขับผีหลายตน และพระองค์ไม่อนุญาตให้วิญญาณเหล่านั้นกล่าวอะไรออกมา เพราะว่ามันรู้ว่า พระองค์คือผู้ใด
เช้ามืดกับพระเยซู
35 เวลาเช้ามืด พระเยซูทรงลุกขึ้นเสด็จออกจากบ้าน ไปยังที่ ๆ ไม่มีคน ทรงอธิษฐานที่นั่น
36 และซีโมนกับคนอื่น ๆ ก็ออกตามหาพระองค์
37 เมื่อพบพระองค์จึงทูลว่า “ทุกคนกำลังตามหาพระองค์อยู่”
38 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “พวกเราไปยังเมืองต่อไปกันเถอะ เราจะได้เทศนาที่นั่นด้วย  ที่เรามาก็เพราะเหตุนั้น”
39 ดังนั้น พระองค์ก็เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงเทศนาในศาลาธรรมของพวกเขา และทรงไล่ผีออกจากผู้คน

มาระโก 1:40-45
คำขอร้องจากชายโรคเรื้อน
 

40 มีชายโรคเรื้อนคนหนึ่ง มาหาพระเยซู ทูลอ้อนวอนโดยคุกเข่าลงว่า“หากท่านประสงค์  ท่านก็ทำให้ข้าพเจ้าสะอาดได้”
41 พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ออกด้วยพระทัยสงสาร แตะต้องตัวและตรัสกับเขาว่า “เราต้องการเช่นนั้น จงหายสะอาดเถิด”
42 ทันใดนั้น โรคเรื้อนก็หายไปจากตัวเขา  เขาได้รับการชำระให้สะอาด
43 และพระเยซูทรงกำชับเขา ทรงส่งเขาออกไปทันที
44 ตรัสกับเขาว่า “เจ้าต้องไม่บอกเรื่องนี้กับใคร แต่ไปแสดงตัวให้แก่ปุโรหิตและถวายเครื่องบูชาที่เจ้าได้รับการชำระแล้วตามบัญญัติของโมเสส เป็นการยืนยันให้ทุกคนได้รู้”
45 แต่เขากลับออกไปและพูดเรื่องนี้ตามใจตัวเอง เพื่อปล่อยข่าวออกไปทั่ว จนกระทั่งพระเยซูไม่อาจเสด็จเข้าเมืองอย่างเปิดเผยได้  แต่พระองค์ทรงอยู่ในที่ ๆ ห่างไกลผู้คน และประชาชนก็มาหาพระองค์จากทุกสารทิศ

คำอธิบายและพระคำเชื่อมโยง

ข้อ 1-8 คำประกาศของยอห์นผู้ให้บัพติศมา
ข้อ 1 
มาระโกเริ่มบันทึกเรื่องราวของพระเยซูคริสต์.. ด้วยคำว่า จุดเริ่มต้นของข่าวประเสริฐ คือท่านกำลังบอกว่าจะเล่าเรื่องราวพระบุตรของพระเจ้า  พระเยซูคริสต์
พระนามของพระองค์นั้น เรียกแตกต่างกัน แต่คือพระเยซูองค์เดียวกัน 
ไทยเรียกพระเยซูคริสต์ (เมื่อไรที่เรียกว่าพระคริสต์ มาจากรากภาษากรีกว่า คริสโตส  ส่วนเมื่อเรียกพระเมสสิยาห์ มาจากภาษาฮีบรูว่า ฮามาชิอัค) มาระโกย้ำว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  ทรงมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าในฐานะทรงเป็นพระบุตร
ลูกา 3:22 พระวิญญาณตรัส.. ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราพอใจท่านมาก
มัทธิว 14:33 ศิษย์พบพระเยซูดำเนินบนทะเล พวกเขากล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง”


ข้อ 2-3
ยอห์นผู้ให้บัพติศมาท่านนี้ เป็นคนที่พระเจ้าทรงสัญญาว่า จะส่งมาก่อนเพื่อเตรียมใจคนอิสราเอลให้ตอบรับสิ่งที่พระเยซูจะทรงทำให้พวกเขาต่อไป   พระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดมาผู้เดียว แต่ส่งยอห์นผู้ให้บัพติศมา มาก่อนล่วงหน้า ประกาศก่อน ส่งข่าวให้รู้ก่อน 
มาลาคี 3:1 พระเจ้าตรัสเราจะส่งคนมาเตรียมทาง
อิสยาห์ 40:3  จงเตรียมทางของพระเจ้าในถิ่นกันดาร ให้ตรงไปในทะเลทราย


ข้อ 4-6
ชื่อของยอห์นผู้ให้บัพติศมา  ถ้าเป็นฮีบรูเรียก โยฮานัน แปลว่า พระเจ้าทรงพระคุณ เรื่องราวความเป็นมาของยอห์น ท่านลูกาได้เขียนไว้อย่างละเอียด พ่อของท่านเป็นปุโรหิต ส่วนแม่ก็สืบเชื้อสายมาจากอาโรน การกินอยู่ของท่านนั้นทำให้รู้ว่าท่านไม่ได้สนใจชีวิตส่วนตัวหรือการสร้างครอบครัว หรือทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพเหมือนคนอื่น ๆ  ทำให้เราคิดไปถึงท่านเอลียาห์สมัยพระคัมภีร์เดิม (2 พงศ์กษัตริย์ 1:8)   การรับใช้พระเจ้าของยอห์นไม่เหมือนเหล่าธรรมาจารย์ที่สอนบัญญัติโมเสส
ท่านให้บัพติศมาที่แตกต่างจากพิธีของยิวซึ่งทำพิธีแบบนี้เพื่อให้คนต่างชาติได้ประกาศตนว่า ได้เข้ามาเชื่อแล้ว  การที่ยิวจะเข้าพิธีบัพติศมาเท่ากับว่า ตนเองยอมรับว่าเป็นคนบาปเหมือนกับคนต่างชาติ เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากมาก แต่ยอห์นกลับได้คนยิวไม่น้อยมารับบัพติศมาเพื่อประกาศว่าตนกลับใจจากบาปแล้ว นี่คือการเตรียมใจพวกเขาให้พร้อมก่อนที่จะพบองค์พระเมสสิยาห์  อย่าลืมว่าใจของคนยิวนั้นแข็งและดื้อมาก พวกเขาต่อสู้กับพระเจ้าเสมอมา
มัทธิว 3:1-5 เนื้อหาเรื่องยอห์นมาประกาศ 

ข้อ 7-8
แม้ว่ายอห์นจะนำคนเป็นจำนวนมากกลับใจ แต่ท่านก็ถ่อมตนยิ่งนัก  หลังจากที่พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์ พระองค์ก็ทรงบัพติศมาเหล่าผู้เชื่อด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามที่ยอห์นได้กล่าวไว้ 
กิจการ 1:5,8  พระเยซูตรัส ..ไม่ช้าเจ้าจะได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณ
กิจการ 11:6  ข้าพเจ้านึกได้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ยอห์นให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่พวกเจ้าจะได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
อิสยาห์ 44:3 เราจะเทน้ำลงบนดินกระหาย เทวิญญาณของเราเหนือเชื้อสายของเจ้า 

มาระโก 1:9-12
บัพติศมาในจอร์แดน พระเยซูในถิ่นกันดาร
 

มาระโก 1:9-13 พระเยซูในถิ่นกันดาร
ข้อ ​9
พระเยซูทรงใช้ชีวิตที่เมืองนาซาเร็ธก่อนที่จะทรงออกประกาศแผ่นดินของพระเจ้าในสามปีหลัง เป็นเมืองอยู่ทางเหนือของเยรูซาเล็ม ห่างไปประมาณ 113 กิโลเมตร  แม้ว่ายอห์นจะไม่เห็นด้วยเพราะพระองค์ทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้าที่ไร้บาป (ยอห์น 1:29) แต่พระองค์ก็ทรงรับบัพติศมาจากยอห์น พระองค์เองตรัสว่า “สมควรที่จะทำเช่นนี้ เพื่อให้ความชอบธรรมทั้งสิ้นสำเร็จครบถ้วน” 

พระเยซูทรงถูกนับเข้ากับคนบาป เสมือนว่าเป็นคนบาป เยซูเป็นชื่อธรรมดาในสมัยนั้น  แต่มาระโกเติมคำว่า คริสต์ คือ เยซูผู้ถูกพระเจ้าทรงเจิมอย่างชัดเจน   พระองค์มาจากนาซาเร็ธที่ใคร ๆ ดูหมิ่น  และตามธรรมเนียมของรับบีแล้ว แม่น้ำจอร์แดนก็ไม่ใช่แม่น้ำสำหรับการชำระบาปด้วย 
มัทธิว 3:13-17   การรับบัพติศมาจากยอห์น
ลูกา 3:21-22  การรับบัพติศมาจากยอห์น


ข้อ 10
ทันทีที่ทรงขึ้นจากน้ำ ทุกคนในที่นั้นก็ได้ยินเสียงจากสวรรค์ ได้เห็นพระวิญญาณดั่งนกพิราบมาเหนือพระเยซู นี่ทำให้เราเห็นสัญลักษณ์ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมเพื่อสิ่งที่จะทรงทำต่อไป  และพระคัมภีร์ตอนนี้เองที่เราเห็นองค์ตรีเอกานุภาพอยู่พร้อมกันอย่างชัดเจน พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
จากข้อ 1-11   เราเห็นคำพยานจากสี่ท่าน    มาระโกกล่าวว่าพระองค์คือพระผู้ถูกเจิม (คริสต์หรือคริสโตส หรือเมสสิยาห์ หมายถึงผู้ที่พระเจ้าเจิม)  อิสยาห์กล่าวว่าพระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า
ยอห์นผู้ให้บัพติศมากล่าวว่าทรงยิ่งใหญ่กว่าเขานัก  พระบิดาตรัสว่า ทรงเป็นบุตรชายที่รัก
นกพิราบเป็นสัตว์ที่อ่อนโยน ไม่โจมตีทำร้าย แต่มันเป็นสัตว์ที่ยอม
เอเสเคียล 1:1 ฟ้าสวรรค์เปิด และเอเสเคียลเห็นนิมิตจากพระเจ้า
ยอห์น 1:32  ฟ้าเปิด และพระเจ้าตรัสถึงพระเยซู 
กิจการ 10:38 พระเจ้าทรงเจิมตั้งพระเยซูด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 
สดุดี 2:7 พระเจ้าตรัสกับข้าฯว่า เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราเป็นบิดาของเจ้า 
อิสยาห์ 42:1 เขาคือผู้รับใช้ที่เราเชิดชู ผู้เลือกสรรที่เราปีติ ..เขาจะส่งความยุติธรรมออกไป

ข้อ 12 
พระวิญญาณทรงเร้าให้พระเยซูออกไปในถิ่นกันดารทันที ซึ่งก็คงจะอยู่ใม่ห่างจากสถานที่ ๆ รับบัพติศมามากนัก  คำที่มาระโกใช้บอกเราว่า พระวิญญาณทรงผลักดันพระเยซูอย่างจริงจัง ทันควัน   พระเยซูทรงเป็นเหมือนคนบาปเมื่อทรงรับบัพติศมา และบัดนี้ทรงอยู่ในถิ่นกันดารกับมาร เท่ากับพระเยซูทรงพบการล่อลวงเช่นเดียวกับเราทุกคน 
มัทธิว 4:11  การล่อลวงของมารและการตอบโต้ของพระเยซู
ลูกา 4:1-13 รายละเอียดการล่อลวงของมาร และการตอบโต้ของพระเยซู

ฮีบรู 4:15  พระเยซูทรงเข้าพระทัยเมื่อเราถูกล่อลวง แต่พระองค์ไม่ได้ทำบาปเมื่อถูกล่อลวง

ข้อ 13  
เหมือนเปิดศึกแรกกับอำนาจมืดอย่างเป็นทางการเลยทีเดียว ซาตานผู้นี้เป็นศัตรูกับพระเจ้ามานานมากและมันพยายามจริงจังที่จะให้พระเยซูเลิกทำสิ่งที่พระเจ้าทรงใช้พระองค์มา  สี่สิบวันในที่ร้างเปล่านั้น พระองค์ไม่ได้เสวยอาหาร ทรงอยู่กับสัตว์ป่า และทูตสวรรค์ ไม่มีผู้คนมาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้  สี่สิบวัน เป็นจำนวนที่มักจะหมายถึงการทดสอบหรือการถูกพิพากษา อย่างเช่นคนอิสราเอลต้องอยู่ในถิ่นกันดาร 40  ปี 
การที่บอกว่า “พระเยซูทรงอยู่กับเหล่าสัตว์ป่า”ใช้ภาษาที่บอกว่า พระองค์อยู่กับมันอย่างเป็นสุขไม่ใช่ต้องคอยระวังไม่ให้มันทำร้าย และการที่ทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้  ทำให้เรารู้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเหนือสรรพสัตว์ และโลกฝ่ายวิญญาณ
มัทธิว 4:10-11 พระเยซูทรงไล่มารออกไป
======================================================================================

ข้อ 14-20 พระเยซูทรงเรียกชาวประมง 4 คน
ข้อ 14
ที่ยอห์นถูกจับไปขังเพราะไปติเตียนเฮโรดเนื่องจากแต่งงานกับน้องสะใภ้ของตัวเอง คนที่อาฆาตคือฝ่ายหญิงไม่ใช่เฮโรด  เฮโรดเองสนใจที่จะฟังยอห์นเพราะสงสัย อยากรู้ในช่วงเวลานั้นเอง พระเยซูก็ทรงเดินทางไปตามแคว้นกาลิลีทางเหนือซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น ประกาศเรื่องความรอดของพระเจ้า
มัทธิว 4:12 มีข่าวว่า ยอห์นถูกจับกุม พระเยซูก็ทรงเริ่มประกาศข่าวประเสริฐ
มัทธิว 4:23 พระเยซูทรงสอนตามศาลาธรรมทั่วไปในกาลิลี ประกาศข่าวประเสริฐและรักษาโรค


ข้อ 15
ถึงเวลาที่กำหนดของพระเจ้า  เป็นยุคที่พระเจ้าจะทรงจัดการกับมนุษย์แตกต่างออกไปจากสมัยพระคัมภีร์เดิมที่มี ผู้เผยพระคำ ปุโรหิตและกษัตริย์  เพราะองค์กษัตริย์ที่พระเจ้าทรงเจิมทรงมาในโลกแล้ว   พระเจ้าทรงเสนอความรอดให้กับประชาชน พวกเขาต้องกลับใจเปลี่ยนความคิดและเชื่อสิ่งที่พระองค์ทรงสอน  พระองค์ไม่ทรงต้องการให้เขาพลาดโอกาสนี้
เมื่อพระเยซูตรัสว่า จงกลับใจ  แปลว่า พวกเขาจะมีชีวิตเหมือนเดิมไม่ได้แล้วหากตั้งใจจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า กลับใจเป็นคำที่ต้องลงมือทำจริง ๆ ไม่ใช่แค่คิดกลับใจ เสียใจที่ทำผิดเท่านั้น เขาต้องเปลี่ยนใจ เปลี่ยนทิศทางของชีวิต 
เมื่อพระเยซูตรัสว่า ให้เชื่อข่าวประเสริฐ การเชื่อข่าวประเสริฐไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงศีลธรรม แต่เป็นการวางใจพระเจ้า เชื่อพระวาจา และมีสัมพันธ์สนิทกับพระองค์
กาลาเทีย 4:4 เมื่อครบกำหนดเวลา พระเจ้าทรงส่งพระบุตรลงมา
ทิตัส 1:3 เมื่อเวลาเหมาะ พระเจ้าให้พระวจนะของพระองค์ปรากฏ ให้ข้าพเจ้าประกาศ 

เอเฟซัส 1:10 เมื่อถึงเวลาอันควร พระเจ้าจะให้สรรพสิ่งในโลกและสวรรค์มาสยบต่อพระเยซู

ข้อ 16 
ย้อนกลับไปดูที่ยอห์น 1:35-4:54 พระองค์ทรงพบซีโมนและอันดรูว์มาแล้ว
แปลกที่พระเยซูทรงเลือกชาวประมงที่ไม่ได้เรียนในศาลาธรรม แต่เป็นคนธรรมดาที่ทำงานหาเช้ากินค่ำ  พวกเขาต้องมีคุณสมบัติที่ดีบางอย่างที่เหมาะกับการเป็นผู้ประกาศนำคนมาหาพระเจ้า เขาทำงานร่วมมือกัน  เขาต้องช่วยเหลือกัน มีความอดทน มีพลัง มีความทรหด หนักเอาเบาสู้ ทำงานทุกอย่างไม่เกี่ยงกัน  ส่วนเรื่องที่เขาต้องเรียนรู้จักพระเจ้านั้น พระเยซูจะทรงช่วยพวกเขาเอง
มัทธิว 4:18-22  ศิษย์กลุ่มแรกที่ตามพระเยซู 
ลูกา 5:2-11  ศิษย์กลุ่มแรกที่ตามพระเยซู เหตุการณ์จับปลาได้มากมาย
ยอห์น 1:40-42 ศิษย์กลุ่มแรกที่ตามพระเยซู


ข้อ 17-18 
จงตามเรามา … นี่เป็นหัวใจของชีวิตคริสเตียนเลย ชีวิตของเราคือ ต้องตามพระเยซูเหมือนพวกเขา  มาระโกได้บอกเราว่า พวกเขาก็ตามพระองค์ไปทันที
มัทธิว 19:27  เปโตรถามพระเยซูว่า การที่พวกเขาสละทุกสิ่งตามพระองค์ไป พวกเขาจะได้อะไร
ลูกา 14:26 คนใดรักครอบครัว หรือชีวิตของตนมากกว่ารักพระเยซู จะเป็นศิษย์ของพระองค์ไม่ได้
 
ข้อ 19-20 
มาได้อีกหน่อย พระองค์ทรงพบยากอบ กับยอห์น ลูกชายเศเบดีกำลังง่วนชุนอวนอยู่   ทั้งสองก็ตามพระองค์ทันทีที่พระองค์ทรงเชิญเขา  ดูเหมือนว่า เศเบดีทำการประมงได้ดี เพราะมีลูกจ้างด้วย 
แปลกจริง คนทั้งสี่น่าจะต้องเคยได้ยินคำสอนของพระเยซูมาแล้ว รู้จักพระองค์มาก่อน จึงตัดสินใจทันทีอย่างรวดเร็ว ไม่มีความลังเลเลย 
มัทธิว 27:56  มารดาของบุตรชายทั้งสองของเศเบดี ก็ติดตามพระเยซูพร้อมกับคนอื่น ๆ มาจากกาลิลี

มาระโก 1:21-28 ปราบผีโสโครก 
ข้อ 21 
ที่เมืองคาเปอร์นาอูมทางตะวันตกเฉียงเหนือริมทะเลกาลิลี เป็นเหมือนเมือง
สถานีในการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู  มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นที่นั่น
ลูกา 4:31-37 เป็นเรื่องเดียวกันในมุมมองของท่านลูกา
มัทธิว 4:23  พระเยซูทรงไปประกาศทั่วแคว้นกาลิลี

ข้อ 22
พระเยซูสอนอย่างแตกต่างกับธรรมาจารย์อย่างสิ้นเชิง เพราะอำนาจนั้นมาจาก.oพระเจ้า ผู้คนสัมผัสได้กับคำพูดที่เต็มด้วยชีวิตและความรัก ส่วนพวกธรรมาจารย์จะคอยสอนบังคับให้คนทำตามกฎที่พวกเขาตั้งขึ้นมาอย่างเคร่งครัด
มัทธิว 7:28-29 ความเห็นของประชาชนเมื่อพระเยซูทรงสอน
มัทธิว 13:53-54  ผู้คนประหลาดใจกับสติปัญญาและอานุภาพของพระเยซู

ข้อ 23-28
ในศาลาธรรมนั่นเองที่พวกเขาเจอว่า มีชายที่มีผีโสโครกสิงอยู่ในหมู่พวกเขา พอผีเห็นพระเยซูมันก็โวยวาย ถ้าเราย้อนคิดไปถึงวันในถิ่นกันดารที่พระองค์พบกับมาร เราจะเห็นว่า พวกผีนั้นรับรู้ว่ามันพ่ายแพ้พระองค์ในวันนั้น มันพูดดักเอาไว้ก่อนว่าพระองค์จะทำลายมัน
แล้วมันยังอ้างด้วยว่ามันรู้จักพระองค์ พระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า
แต่พระเยซูกลับสั่งให้มันเงียบและออกมาจากชายคนนั้น ซึ่งมันก็ต้องยอมทำทันที  วิธีของพระเยซูนั้นเรียบง่าย สั่งด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า  ไม่ต้องใช้เครื่องรางของขลังใด ๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ ตัวช่วยใด ๆ   คนที่อยู่ตรงนั้นประหลาดใจเพราะพวกเขาไม่เคยเห็นวิธีแบบนี้มาก่อนเลย  อย่าปล่อยให้ผีสิงคนโวยวาย ปราบมันให้เงียบอย่างพระเยซู!
มัทธิว 12:43 เรื่องของวิญญาณเร่ร่อนออกมาจากคน และกลับไปอีก
มัทธิว 12:28   พระเยซูตรัสว่า พระองค์ไล่มารโดยพระวิญญาณของพระเจ้า
มาระโก 9:14-29 พระเยซูขับไล่วิญญาณร้ายจากเด็ก
มัทธิว 4:24  ข่าวเรื่องพระเยซูรักษาโรคลือเลื่องไปทั่วแคว้นซีเรีย
มัทธิว 9:31 คนที่หายโรค ป่าวประกาศเรื่องพระองค์ไปทั่ว

ข้อ 29-39 ทรงรักษาคนป่วยมากมาย/เวลาส่วนพระองค์
ข้อ 29-31 
แม้จะเป็นเรื่องที่ดูไม่สำคัญมาก เพราะแม่ยายเปโตรเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร  แต่มาระโกได้ทำให้เราเห็นว่า พระเยซูทรงใส่ใจทุกคน
แม้เพียงคน ๆ เดียวที่ป่วยอยู่  วิธีการของพระองค์แสนจะง่าย จับมือเธอลุกขึ้น เป็นเพราะพระองค์ทรงฤทธิ์   ที่น่าสนใจคือ ไม่ใช่แค่หายป่วยเธอยังมีแรงที่จะทำอาหารเลี้ยงพวกเขาทุกคนราวกับว่าไม่ได้ป่วยเลย แสดงว่าหายขาดจริง ๆ
มัทธิว 8:14-17 เหตุการณ์ พระเยซูรักษาแม่ยายเปโตร
ลูกา 4:38-39 พระเยซูรักษาแม่ยายเปโตร

ข้อ 32 
จากการรักษาโรคในบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง พระเยซูก็ออกมาที่สาธารณะ และรักษาคนเป็นจำนวนมาก ในตอนเย็นซึ่งเป็นเย็นของวันสะบาโต ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองออกมาได้อย่างเป็นอิสระ ไม่ถูกจำกัดด้วยกฎสะบาโตที่ห้ามหลาย ๆ อย่าง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเมืองคาเปอร์นาอูม
ข้อ 33
บอกเราว่าคนทั้งเมืองออกมากันที่ประตู  วันนี้ พระเยซูทรงทำงานหนักมากแต่เช้าจนมืด
ข้อ 34
เราเห็นเลยว่า พระเยซูกำราบมารไม่ให้พูดอะไรออกมา …มันอยากจะพูดเพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น
ลูกา 13:32  พระเยซูตรัสว่า เราจะไล่ผีมารทั้งหลาย
กิจการ 16:17-18 ทาสที่มีวิญญาณชั่วสิง เดินตามเปาโลและร้องตะโกนตามไปไม่หยุด

ข้อ 35
แม้พระเยซูจะทรงมีฤทธิ์เหนือมาร และโรคภัยไข้เจ็บมากมาย ทรงทำงานทั้งวัน เหน็ดเหนื่อย แต่เช้าตรู่ พระองค์เสด็จออกไปยังที่ไกลหูไกลตา และทรงอธิษฐานสัมพันธ์สนิทกับพระบิดาตามลำพัง มีหลายคนอาจให้ความเห็นว่า เป็นเหมือนการเสริมพลัง ทำให้พระองค์ทรงมีฤทธิ์ต่อไป นั่นอาจจริงแต่สิ่งสำคัญที่สุดคือที่พระองค์จะทรงสนทนากับพระบิดาต่างหาก แม้ว่าทรงเป็นพระเจ้า แต่เวลานี้ทรงอยู่ในกรอบเวลาแบบมนุษย์ พระองค์ทรงต้องการเวลาส่วนตัวกับพระบิดา และเป็นเวลาอันหวานชื่นของพ่อลูก
ข้อ 36-37
เมื่อศิษย์ตื่นขึ้นมา พบว่า พระอาจารย์ไม่อยู่ในบ้าน พวกเขาก็ออกตามหา และทูลพระองค์ว่าใคร ๆ ก็อยากพบพระองค์
ลูกา 4:42 เรื่องเดียวกันในมุมมองของลูกา
ฮีบรู 5:7 ตลอดเวลาที่ทรงเป็นมนุษย์ ทรงอธิษฐานต่อพระองค์ผู้ทรงช่วยให้รอดพ้นความตาย พระเจ้าทรงฟัง เพราะพระเยซูทรงเชื่อฟัง

ข้อ 38
แต่พระเยซูไม่ได้ทรงยอมให้คนอื่นมาเปลี่ยนวาระพันธกิจที่ทรงตั้งพระทัยไว้ ทรงชัดเจนถึงเหตุผลที่พระองค์ทรงอยู่ในโลก
ลูกา 4:43 เราถูกส่งมาเพื่อประกาศข่าวอาณาจักรของพระเจ้า
ข้อ 39
พระเยซูทรงเข้าไปสอนในศาลาธรรมอย่างอิสระ และทรงขับไล่มารในศาลาธรรมทั่วแคว้นกาลิลี น่าสนใจจริง มารชอบอยู่ในศาลาธรรม
สดุดี 22:22 ข้าเล่าถึงพระนามของพระองค์แก่พี่น้อง ร้องเพลงสรรเสริญท่ามกลางที่ประชุม
มัทธิว 9:35 พระเยซูทรงไปตามหมู่บ้าน เมืองต่าง ๆ สอนในศาลาธรรม รักษาโรค ทรงสงสารเห็นประชาชนเหมือนแกะไร้ผู้เลี้ยง

ข้อ 40-45 คำขอร้องจากชายโรคเรื้อน 
ข้อ 40-42
สำหรับชายโรคเรื้อนคนนี้ กล้าที่จะมาทูลขอต่อพระเยซู  และเขาทูลขอในสิ่งที่เราน่าจะเลียนแบบ   ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า  พระองค์ทรงทำได้… ความเชื่ออย่างเด่นชัด   เขามาขอให้พระองค์มีพระทัยที่จะช่วยให้เขาหายโรค
โรคเรื้อนของเขาเป็นหนักมาก ในลูกา 5:12 บอกว่า เขาเป็นโรคเรื้อนเต็มทั้งตัว
พระเยซูทรงสงสารเขา ความสงสารของพระองค์มากกว่าความสงสารที่มนุษย์จะมีต่อกันมากนัก  พระองค์ทรงแตะตัวเขา ผิวหนังที่ใคร ๆ ก็รังเกียจ เป็นโรคที่เต็มตัว น่าจะอยู่ในระยะสุดท้ายเลยทีเดียว  ชายคนนี้เป็นทุกข์มานานแล้ว โรคร้ายไม่สามารถก้าวล้ำไปที่ร่างของพระเยซูได้  แต่ชายคนนี้กลับได้รับการรักษาจากการแตะต้องและคำตรัสของพระเยซู
แค่พระเยซูตรัสว่า พระองค์ทรงประสงค์สิ่งใด สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น! นี่เป็นเรื่องที่เหมือนกับการทรงสร้างเลย… พระเจ้าตรัสสิ่งใด สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น
ชายโรคเรื้อนผู้นี้หายสะอาด
มัทธิว 8:1    ทรงรักษาคนโรคเรื้อน
มาระโก 8:2   พระเยซูตรัสเองในเรื่องของความสงสารผู้คน
กันดารวิถี 5:1-4 ย้ายคนเป็นโรคเรื้อนออกนอกค่าย  ไม่ให้เป็นมลทิน
เลวีนิติ 13:45-46  คนเป็นโรคเรื้อนต้องปล่อยผม สวมเสื้อขาด ปิดริมฝีปากบนและร้องว่า มลทิน  เขาต้องอยู่ลำพัง 
ข้อ 43-45
พระเยซูทรงสั่งให้เขาไปหาปุโรหิตเพื่อจะได้รับการประกาศว่าหายป่วยตามบัญญัติโมเสส (เลวีนิติ 14:2-32)
แต่แล้ว ความตั้งใจที่พระเยซูจะทรงไปประกาศเมืองอื่น ๆ ตามข้อ 38 กลับถูกขัดขวางเพราะชายโรคเรื้อนที่หายสะอาด เที่ยวไปเล่าเรื่องของพระองค์ให้คนมากมายฟัง ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงห้ามแล้ว  เราเข้าใจว่า เขาตั้งใจดี อยากให้คนอื่นได้รู้ว่า มีท่านที่รักษาโรคให้ได้  คนจนมากมาย คนป่วยหนักจะได้มาหาพระองค์   แต่เรื่องนี้ทำให้พระองค์ต้องอยู่ห่างไกลผู้คน  ชื่อเสียงเลื่องลือว่าเป็นผู้รักษาโรคกลับมาเบียดบังพันธกิจสำคัญของพระองค์คือการเทศนาสั่งสอนเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า
เลวีนิติ 14:2-32 กฎต่าง ๆ เกี่ยวกับคนโรคเรื้อน
ลูกา 5:15-16  เมื่อชื่อเสียงเลื่องลือไป คนก็ยิ่งมาหาพระองค์ แต่พระองค์มักเสด็จไปที่เปลี่ยวและอธิษฐาน
ยอห์น 6:2 คนเห็นการรักษาโรคของพระเยซู ก็จะพากันตามพระองค์ไป