มาระโก 9 ปรากฏพระกายแท้


ปรากฏพระกายแท้จริง


1 แล้วพระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ จะไม่ได้พบความตายก่อนที่เขาจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงด้วยฤทธานุภาพ”
2 หกวันต่อมา พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบและยอห์น ขึ้นไปยังภูเขาสูงตามลำพังกับพระองค์ ที่นั่น พระองค์ทรงเปลี่ยนพระกายต่อหน้าพวกเขา
3 ฉลองพระองค์กลายเป็นสีขาวระยับ

ขาวสว่างแบบที่ไม่มีช่างฟอกคนไหนจะทำได้ !!
4 และเอลียาห์กับโมเสสปรากฏต่อหน้าพวกเขา สนทนากับพระองค์
5 เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ขอรับ ดีจริง ๆ ที่พวกเราได้มาอยู่ที่นี่ ขอให้เราได้สร้างพลับพลาขึ้นสามหลังสำหรับพระองค์หลังหนึ่ง โมเสสหลังหนึ่ง และเอลียาห์หลังหนึ่ง”
6 พวกเขาตกใจกลัวกันมาก และเปโตรก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่านี้
7 แล้วก็มีเมฆปรากฏขึ้น คลุมพวกเขาไว้ และมีเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า
“ท่านนี้เป็นลูกรักของเรา จงฟังท่านเถิด!”
8 ทันใดนั้น เมื่อพวกเขามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นใครอีกนอกจากพระเยซู
9 ขณะที่พวกเขาลงมาจากภูเขา พระเยซูทรงห้ามไม่ให้พวกเขาบอกสิ่งที่เห็นให้ใครทราบจนกว่าบุตรมนุษย์จะคืนชีพจากความตาย
10 ดังนั้นพวกเขาจึงเก็บเรื่องนี้ไว้ โดยถามกันถึงความหมายของ “การคืนชีพจากตาย”
11 แล้วพวกเขาทูลถามพระเยซูว่า “เหตุใดธรรมจารย์จึงกล่าวว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อนขอรับ?”

12 พระองค์ตรัสตอบว่า “ที่จริงแล้วเอลียาห์จะมาก่อน และเขาจะช่วยให้ทุกสิ่งกลับสู่สภาพเดิม แล้วเหตุใดจึงมีคำเขียนว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายประการ และจะถูกปฎิบัติอย่างเหยียดหยาม?
13 แต่เราขอบอกเจ้าว่า เอลียาห์ได้มาแล้ว และพวกเขาก็ได้ทำกับเอลียาห์ตามใจชอบเหมือนกับที่มีเขียนบันทึกเรื่องของเขาไว้”

เด็กชายที่ถูกวิญญาณชั่วเข้าสิง
14 เมื่อพวกเขากลับมาพบศิษย์คนอื่น ๆ ก็เห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังมุงพวกเขาอยู่ และมีธรรมาจารย์กำลังโต้เถียงกับพวกเขา
15 ทันทีท่ีประชาชนเห็นพระเยซู พวกเขาก็รู้สึกดีใจและวิ่งเข้ามาทักทายพระองค์
16 พระองค์ตรัสถามเขาว่า “เจ้ากำลังโต้กันเรื่องอะไร?”


17 คนหนึ่งในหมู่คนตอบว่า “พระอาจารย์ขอรับ ข้าพเจ้าพาลูกชายที่ถูกผีสิงทำให้เป็นใบ้มา
18 เมื่อไรที่มันเข้าสิงเขา มันจะทำให้เขาล้มฟาดพื้น น้ำลายฟูมปาก กัดฟันแรง และตัวเกร็ง ข้าพเจ้าขอให้ศิษย์ของท่านไล่มันออกไป แต่พวกเขาทำไม่ได้ขอรับ”
19 “โอ คนในยุคที่ไร้ความเชื่อ!” พระเยซูตรัส “เราจะต้องอยู่กับเจ้าอีกนานเท่าไร? เราจะต้องอดทนกับพวกเจ้านานเท่าไร? ไปพาเด็กมาหาเราสิ”
20 พวกเขาจึงพาเด็กมา และเมื่อเห็นพระเยซู วิญญาณนั้นก็ทำให้เด็กล้มลงและกลิ้งตัวไปมา น้ำลายฟูมปาก
21 พระเยซูทรงถามพ่อของเด็กว่า “เด็กเป็นอย่างนี้มานานเท่าไรแล้ว?” “ตั้งแต่ยังเล็กขอรับ” เขาตอบ
22 “มันมักทำให้เขาตกในกองไฟ และตกน้ำบ่อย ๆ พยายามจะฆ่าเขา แต่หากท่านทำอะไรให้ได้ ขอทรงสงสารเรา และช่วยเราด้วยขอรับ”
23 “หากเราทำได้อย่างนั้นหรือ?”พระเยซูทรงทวนคำ “ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกอย่าง”
24 พ่อของเด็กร้องทูลทันทีว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ ขอทรงช่วยที่ข้าพเจ้ายังขาดความเชื่ออยู่”

25 เมื่อพระเยซูทรงเห็นว่าฝูงชนกำลังวิ่งกรูเข้ามา พระองค์ตรัสสำทับวิญญาณชั่วว่า “เจ้าวิญญาณใบ้หูหนวก เราสั่งให้เจ้าออกมาจากเขาและไม่เข้าไปสิงเขาอีก!”
26 หลังจากที่วิญญาณนั้นกรีดเสียงร้องและทำให้เด็กชักอย่างแรง มันก็ออกมาจากตัวเขา เด็กก็นิ่งราวกับเป็นศพ จนหลายคนพูดว่า “เขาตายแล้ว”27 แต่พระเยซูทรงจับมือของเด็กและช่วยให้เขาลุกขึ้นมา เขาก็ยืนขึ้น
28 หลังจากที่พระเยซูทรงเข้าไปในบ้านแล้ว ศิษย์ของพระองค์ก็ทูลถามเป็นส่วนตัวว่า “ทำไมพวกเราจึงขับผีไม่ออกล่ะขอรับ?”
29 พระเยซูทรงตอบว่า “ผีแบบนี้ออกไม่ได้นอกจากต้องอธิษฐาน และการอดอาหาร* เท่านั้น”

ทรงบอกเรื่องการทนทุกข์ครั้งที่สอง
(Matthew 17:22–23; Luke 9:43–45)
30 พวกเขาออกจากที่นั่นโดยผ่านแคว้นกาลิลีไป พระเยซูไม่ทรงต้องการให้ใครรู้
31 เพราะพระองค์ทรงสอนศิษย์ของพระองค์ ตรัสกับพวกเขาว่า “บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในเงื้อมมือมนุษย์และพวกเขาจะฆ่าท่านเสีย หลังจากนั้นสามวัน ท่านจะคืนชีพขึ้นมา”
32 แต่พวกเขาไม่เข้าใจคำที่ตรัส และพวกเขาก็กลัว ไม่กล้าที่จะถาม

ผู้ที่เป็นใหญ่สุดในอาณาจักรสวรรค์

33 แล้วพวกเขาก็มาถึงเมืองคาเปอรนาอุม ขณะที่พระเยซูทรงอยู่ในบ้าน ทรงถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าเถียงกันเรื่องอะไรระหว่างทาง?”
34 แต่พวกเขากลับเงียบเพราะระหว่างทางพวกเขาเถียงกันว่า ใครใหญ่สุด!
35 พระเยซูทรงนั่งลงและตรัสเรียกทั้งสิบสองคนมา “หากใครต้องการเป็นคนที่หนึ่ง เขาต้องเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของคนทั้งปวง”
36 แล้วพระองค์ทรงนำเด็กเล็กคนหนึ่งมายืนท่ามกลางพวกเขา ทรงอุ้มเด็กไว้ และตรัสกับพวกเขาว่า
37 “ใครก็ตามที่ต้อนรับเด็กเล็กอย่างนี้ในนามของเรา เท่ากับเขารับเรา และใครก็ตามต้อนรับเรา เท่ากับว่า เขาได้ต้อนรับทั้งเราและพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา”


38 ยอห์นทูลว่า “พระอาจารย์ขอรับ เราเห็นบางคนไล่ผีในพระนามของพระองค์ เราพยายามจะห้ามเขา เพราะเขาไม่ได้อยู่เป็นพวกเรา”
39 “อย่าไปหยุดเขาเลย” พระเยซูตรัสตอบ “เพราะไม่มีใครที่ทำการอัศจรรย์ในนามของเรา จะหันกลับมาและพูดให้ร้ายเรา
40 เพราะคนที่ไม่ได้ต่อต้านเรา ก็เป็นฝ่ายเรา
41 ที่จริงแล้ว หากใครสักคนหนึ่งได้เอาน้ำสักแก้วมาให้เจ้าเพราะเจ้าเป็นคนของพระคริสต์
เราบอกความจริงว่า เขาจะไม่ขาดบำเหน็จอย่างแน่นอน”

ต้นเหตุแห่งการทดลองและการทำบาป

42 แต่หากใครทำให้คนเล็กน้อยที่เชื่อในเราสะดุด หลงผิดไป ให้เอาหินโม่ก้อนใหญ่ถ่วงคอเขาแล้วโยนลงทะเลก็ดีกว่า


.

43 หากมือของเจ้าทำให้เจ้าทำบาป ก็จงตัดมันเสีย เป็นการดีสำหรับเจ้า ที่จะเข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์ พร้อมมือด้วน แทนที่จะลงนรกซึ่งมีไฟที่ไม่มีวันดับ พร้อมกับมือทั้งสองข้าง
44 (ในที่ซึ่ง ตัวหนอนของพวกเขาไม่ตาย และไฟไม่มีวันดับ)
45หากเท้าของเจ้าทำให้เจ้าทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเป็นการดีกับเจ้ามากกว่าที่เจ้าจะเข้าไปสู่ชีวิตทั้ง ๆ ที่ขาด้วน แทนที่จะถูกโยนลงนรกพร้อมขาสองข้าง
47 และหากดวงตาของเจ้าทำให้เจ้าทำบาป ก็ควักออกเสีย เพราะเป็นการดีกับเจ้ามากกว่าที่จะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าด้วยดวงตาข้างเดียวแทนที่จะมีดวงตาสองข้าง และถูกโยนลงไปในนรก
48 ซึ่งเป็นที่ ๆหนอนของพวกเขาไม่มีวันตาย และไฟที่ไม่มีวันดับ

เกลือเป็นสิ่งดี
49 เพราะทุกคนจะถูกเคล้าด้วยเกลือ และชำระให้บริสุทธิ์ด้วยไฟ
50 เกลือเป็นสิ่งดี แต่หากเกลือหมดรสเค็ม
เจ้าจะช่วยให้มีรสชาติได้อย่างไรเล่า?
จงมีเกลือท่ามกลางพวกเจ้า และอยู่กันอย่างสันติเถิด”

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 9:1-13
ไม่มีศิษย์คนใดสบายใจได้เลย เมื่อได้รับรู้ว่า อีกไม่นานพระเยซูจะทรงสิ้นพระชนม์ แต่พวกเขากลับไม่ค่อยได้ยินที่ทรงบอกว่า พระองค์จะเป็นขึ้นมาอีก พระองค์จึงทรงบอกล่วงหน้าให้รู้ว่า อาณาจักรของพระองค์นั้น เป็นอาณาจักรแห่งฤทธานุภาพที่เหนือธรรมชาติ อีกหกวันต่อมา พระองค์ได้ทรงพาศิษย์สามคนเท่านั้น ขึ้นไปบนภูเขา เข้าใจจากสถานที่ในบทที่ผ่านมา ว่า น่าจะเป็นภูเขาเฮอร์โมน ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงสุดในตะวันออกกลางเลยทีเดียว
บนภูเขานั้นเอง พระเยซูทรงเปลี่ยนสภาพร่างของพระองค์จากเนื้อหนัง หน้าตาที่ทุกคนชิน กลายเป็นร่างที่แตกต่างออกไป เป็นร่างที่พวกเขายังจำได้ว่า เป็นพระองค์ และฉลองพระองค์นั้นก็สว่างระยับแบบที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น โมเสส ซึ่งเป็นตัวแทนของกฎบัญญัติ และเป็นผู้นำอิสราเอลออกจากการเป็นทาส กับเอลียาห์ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้เผยพระคำของพระเจ้า ก็ปรากฏตัวด้วย ทั้งสองกำลังสนทนากับพระเยซู
ช่วงชีวิตของโมเสสประมาณ 1400 ปีมาแล้ว ส่วนเอลียาห์ก็ประมาณ 900 ปีมาแล้ว ทั้งสองมาสนทนากับพระองค์ผู้ทรงอยู่มาก่อนการสร้างโลก แม้ว่าจะกลัวเพียงใด เปโตร ยอห์นและยากอบ ก็ได้มีโอกาสเห็นพระเยซูองค์จริง และเห็นความสง่างามตระการของพระองค์อย่างที่ไม่มีใครจะได้เห็น
เหนืออื่นใด พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า (ได้ยินทั้งหมดสามครั้ง จากมาระโก 1:11 และยอห์น 12:28) ตรัสว่า ให้พวกเขาฟังเสียงของพระบุตรที่ทรงรักด้วย เป็นประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่ทำให้ทั้งสามได้เชื่อมั่นคงในพระเยซูมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่เห็นนี้ กลับกลายต้องเป็นความลับ เผยไม่ได้จนกว่าพระองค์จะคืนชีพจากความตายเสียก่อน
ข้อ 12-13 ดูเหมือนจะเป็นการกล่าวถึงท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่มาแล้ว ท่านไม่ได้เป็นเอลียาห์มาเกิด แต่เป็นผู้ที่มาก่อนพระเยซูและทำงานโดยน้ำใจและฤทธิ์เดชของเอลียาห์ (ลูกา 1:17) ท่านยอห์นเป็นคนที่ทำหน้าที่เหมือนเอลียาห์ตามในหนังสือมาลาคี 4:5-6 และยอห์นเองถูกกักขังและประหารอย่างไร้ความยุติธรรม

มาระโก 9:14-29
เมื่อลงมาจากภูเขานั้นเอง ก็มาพบกลุ่มคนที่กำลังพูดกันหน้าตาเครียดจริงจัง เราจะเห็นว่า พอคนเห็นพระเยซูพวกเขาก็จะวิ่งเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ นี่ก็เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้เหล่าฟาริสี ธรรมาจารย์ ปุโรหิตไม่พอใจเอามาก ๆ เป็นอันว่า พวกเขามีปัญหาคือ มีคุณพ่อพาลูกที่มีผีสิงมาหาศิษย์ของพระองค์ แต่พวกเขาไม่สามารถไล่ผีออกไปได้ ทั้ง ๆ ที่ แต่ก่อนพวกเขาเคยทำได้ เกิดอะไรขึ้นหรือ? มีอะไรที่แตกต่างในเด็กคนนี้?
ที่เราเห็นชัดคือ เด็กถูกผีทำให้เป็นใบ้ และหูหนวกด้วย ตามด้วยอาการชักอย่างรุนแรง ล้มฟาดพื้น น้ำลายฟูมปาก กัดฟัน ตัวเกร็ง และยังตกน้ำ ตกในไฟตลอดมา เป็นอันตรายกับชีวิตของเขามาก พ่อมีความเห็นว่าผีต้องการให้เด็กตาย
พ่อคนนี้ทูลว่า ถ้าพระองค์ช่วยได้.. เป็นเพราะศิษย์ของพระองค์ไม่อาจช่วยเขา ทำให้ความมั่นใจของเขาลดลง แต่พระเยซูกลับทรงให้กำลังใจตรัสว่า ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกอย่าง พระองค์ทรงเห็นใจเขา และรู้ดีว่าเขาต้องการความเชื่อที่มาจากพระองค์ พ่อคนนี้ ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นและทูลขออย่างไม่อายใคร
ก่อนที่ผู้คนจะวิ่งเข้ามามุง พระเยซูก็ทรงไล่ผีออกไปจากตัวเด็ก เขานิ่งสงบจนคนคิดว่าตาย … แต่ไม่ใช่ พระเยซูทรงจับมือเด็กช่วยให้เขาลุกขึ้นมา ..​กลายเป็นเด็กอีกคนที่จะเป็นพยานเรื่องของพระองค์ต่อไปอีกตลอดชีวิตของเขา ทั้งพ่อและเด็กไม่ต้องกลัวการปองร้ายจากมารอีกต่อไป
และที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ ผีที่เข้าสิงและทำให้คน ๆ หนึ่งต้องเผชิญกับอาการมากมายที่เป็นอันตรายอย่างนี้ ต้องการให้ผู้ที่ช่วยขับผีทั้งอธิษฐาน และอดอาหารขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า (* ในบางเล่มไม่มีคำว่าอดอาหาร) การอดอาหารอธิษฐานช่วยให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าได้มุ่งมั่น และเต็มด้วยความเชื่อ พึ่งพาพระเจ้ามากกว่าที่เป็นอยู่
เราจะเห็นเหตุการณ์แบบข้อ 28 บ่อย ๆ คือ ศิษย์และพระเยซูสนทนากันในเรื่องที่คนอื่นจะไม่ได้รับรู้ด้วย ในสมัยนั้น รับบีกับศิษย์ก็มักจะสนทนาเรื่องที่คนทั่วไปได้ยินแล้วอาจตีความผิดไป พวกเขาจึงมักสอนกันเป็นส่วนตัว

มาระโก 9:30-32
ครั้งที่สองแล้วที่พระเยซูตรัสเรื่องการสิ้นพระชนม์ และคืนพระชนม์ ช่วงเวลานี้ทรงอยู่กับศิษย์และสอนพวกเขาหลายอย่าง เตรียมไว้สำหรับวันที่พระองค์ไม่ทรงอยู่กับเขา พวกเขาเข้าใจดีว่า เมื่อตรัสถึงบุตรมนุษย์ นั้นมีความหมายถึงตัวพระองค์เอง ส่วนมนุษย์ที่ว่า พวกเขาก็น่าจะรู้ว่าเป็นศัตรูของพระองค์ที่คอยจับผิด และคอยทำร้ายพระองค์เมื่อมีโอกาส แต่ยังมีบางอย่างที่ศิษย์ ไม่กล้าถามอะไรทั้ง ๆ ที่สงสัยเหลือเกิน

มาระโก 9: 33-40
ระหว่างทางที่เดินทางไปยังเมืองคาเปอรนาอุม พวกเขาก็เดินกันโดยไม่ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่ม แต่มีการถกเถียงกันว่า ใครจะเป็นใหญ่ที่สุดในหมู่ศิษย์ทั้งสิบสองคนนี้ ถ้าเราคนนอกมองไป ก็อาจคิดว่าเป็นเปโตร ยอห์น ยากอบ เพราะพระองค์ทรงพาเขาไปให้เห็นพระสิริยิ่งใหญ่ คนในกลุ่มอาจมองไม่เหมือน แต่ที่สำคัญคือพวกเขาให้ความสำคัญกับคำว่า ผู้นำ หัวหน้า มากกว่าการที่จะรับใช้ แต่พระเยซูกลับให้ความสำคัญกับชีวิตที่ถ่อมตน และพระองค์เองก็ทรงบอกไว้แล้วว่า พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ (มัทธิว 11:29) พระองค์เอาเด็กเล็กมาเป็นสื่อของการถ่อมตนว่า ถ้าหากพวกเขาต้อนรับคนที่ต่ำต้อยเพราะเห็นแก่พระเยซูเท่ากับเขาได้ต้อนรับพระองค์ด้วย
ในโลกโบราณนั้น เด็กเป็นผู้ที่ต้องให้คนอื่นช่วย และพวกเขาไม่ได้มองเด็กสำคัญอย่างพระเยซู แม้จะมีบ้านที่รักเด็ก ๆ แต่โดยรวมพ่อแม่ที่ยากจน เลี้ยงลูกไม่ไหว ก็จะทิ้งลูกตามถนน เด็กจึงถูกมองว่า ไร้ค่า ไม่มีอำนาจ คนที่ใหญ่โตคือคนที่เป็นวีรบุรุษ นายทหาร ผู้ปกครอง ธรรมาจารย์
ในตอนต่อมาที่ศิษย์ไปเห็นคนที่ไล่ผีในพระนามของพระองค์ กลับไปห้ามเขาทั้งที่ตนเองก็ไล่ผีไม่ออก อันนี้น่าสนใจมาก ศิษย์ไม่เห็นตัวเอง แต่เห็นความผิดของคนอื่น พระเยซูกลับตอบอย่างที่เขาไม่คาดว่า คนที่ไม่ต่อต้านพระองค์เท่ากับเป็นคนฝ่ายพระองค์แล้ว ศัตรูแท้คือคนที่ต่อต้านพวกเขา ไม่ใช่คนที่เดินตามอย่างพวกเขา ดังนั้น ศิษย์ของพระเยซูจะต้องแยกคนที่เป็นมิตรกับศัตรูให้ออก

มาระโก 9:42-48
คำสอนตอนนี้ พระเยซูทรงใช้การเปรียบเทียบที่ค่อนข้างใหญ่ และทำให้เกิดความเข้าใจได้ทันที พระองค์ไม่ได้หมายความจะให้คนที่ทำผิดควักตา ตัดแขนขาของเขา แต่พระองค์กำลังตรัสถึงความหนักหนาสาหัสของโทษบาปที่พวกเขาควรจะกลัว พระเจ้าจะทรงเอาผิดกับคนที่หลอกล่อให้คนอื่นที่รู้น้อยกว่าทำผิดบาป ซึ่งในโลกปัจจุบันของเรา เราจะเจอกับการหลอกลวงทั้งวัน ไม่ว่าจากการโฆษณาสินค้า หรือข่าวปลอมต่าง ๆ ที่ส่งผลกับการตัดสินใจของผู้คนเป็นจำนวนมาก
พระเยซูทรงใช้คำว่า สะดุด หลงผิดไป นั่นคือ สะดุดไปจากความจริงของพระเจ้า ไม่ว่าจะด้วยการหลอกล่อแบบใด คนที่นำผู้อื่นอยู่จึงต้องรู้จักความจริง มิฉะนั้นอาจทำให้คนอื่นหลงผิดไปด้วยความเข้าใจผิดของตนก็เป็นได้
การถูกหินโม่ถ่วงคอ การตายในน้ำนั้น สำหรับคนยิวแล้วเป็นความตายที่น่ากลัวเป็นที่สุด เพราะไม่มีพิธี ไม่มีการฝัง

มาระโก 9:49-50
สมัยโมเสส เขาใช้เกลือกับธัญญบูชา จะมีการปรุงเครื่องบูชาด้วยเกลือและเผาไปพร้อมกัน (เลวีนิติ 2:13) เกลือบริสุทธิ์ที่มีรสเค็ม จึงมีความหมายในตัวของมันมากมาย ตั้งแต่ความบริสุทธิ์ ไปถึงความสามารถในการรักษาสิ่งต่าง ๆ ไม่ให้เน่าไป
พระเยซูทรงสอนให้เราหนีจากความบาป และตามด้วยการที่พวกเราจะต้องเป็นคนที่มีเกลือคือมีความดีของพระเจ้าอยู่ในตัว ความดีดังกล่าวจากความหมายของเกลือ นั้นคือความบริสุทธิ์ในชีวิต ความสามารถที่จะช่วยให้สังคมที่ผิดศีลธรรม ทำบาปได้กลับมาหาพระเจ้า เป็นผู้ที่สร้างสันติ เป็นเกลือที่จะช่วยให้สังคมได้รับ สัมผัสความรักมั่นคงและความดีงามของพระเจ้า

  พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 9:27; มัทธิว 24:30
2* มัทธิว 17:1-8
3* ดาเนียล 7:9
7* อพยพ 40:34; สดุดี 2:7; อิสยาห์ 42:1; มาระโก 1:11; ลูกา 1:35 ; กิจการ 3:22
9* มัทธิว 17:9-13
10* ยอห์น 2:19-22
11* มาลาคี 4:5
12* อิสยาห์ 53:3; ฟีลิปปี 2:7
13* ลูกา 1:17
14* มัทธิว 17:14-1917* ลูกา 9:38
19* ยอห์น 4:48

20* มาระโก 1:26
23* ยอห์น 11:40
24* ลูกา 17:5
25* มาระโก1:25
28* มัทธิว 17:1929* ยากอบ 5:1631* ลูกา9:44; มัทธิว 16:21; 27:50; ลูกา 24:46; 1โครินธ์ 15:4
32* ลูกา 2:50; 18:34
33* มัทธิว 18:1-5
34* สุภาษิต 13:10; ลูกา 22:24; 23:46; 24:46
35* ลูกา 22:26-2736* มาระโก 10:13-16

37* มัทธิว 10:40
38* กันดารวิถี 11:27-29
39* 1โครินธ์ 12:3
40* มัทธิว 12:30
41* มัทธิว 10:4242* ลูกา 17:1-243* มัทธิว 5:29-30; 18:8-9
44* อิสยาห์ 66:24
46* อิสยาห์ 66:2448* อิสยาห์ 66:24; เยเรมีย์ 7:20
49* มัทธิว 3:11; เลวีนิติ 2:13
50* มัทธิว 5:13; โคโลสี 4:6; โรม 12:18; 14:19

มาระโก 8 ตามพระเยซูกันดีกว่า

พระเยซูทรงเลี้ยงคนสี่พันคน
1 เวลานั้น มีฝูงชนมารวมตัวกันกันอีก และพวกเขาไม่มีอะไรกิน พระเยซูทรงเรียกศิษย์มาหาและตรัสว่า
2“เราสงสารคนมากมายเหล่านี้ เพราะพวกเขาอยู่กับเราสามวันแล้ว และไม่มีอะไรกินเลย
3 ถ้าเราส่งพวกเขากลับบ้านไปทั้งที่หิวโหยอยู่ พวกเขาจะเป็นลม หมดแรงกันไปตามทาง เพราะบางคนก็มาจากที่ไกลมาก”
4ศิษย์ของพระองค์ทูลว่า “ในที่กันดารอย่างนี้ เราจะไปหาขนมปังให้พอเลี้ยงคนมากมายให้อิ่มที่ไหนกัน?”
5“เจ้ามีขนมปังอยู่กี่ก้อน?” พระเยซูตรัสถาม “เจ็ดก้อนขอรับ” พวกเขาตอบ
6 และพระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้น จากนั้นทรงนำเอาขนมปังทั้งเจ็ดก้อนมา ขอบพระคุณ และฉีกมันออก จากนั้นก็แบ่งให้ศิษย์เอาไปแจกให้ประชาชน และพวกเขาก็นำไปแจก

7 พวกเขายังมีปลาเล็ก ๆ สองสามตัว และพระเยซูก็ทรงอวยพระพร
และทรงสั่งให้พวกเขาเอาไปแจกเช่นกัน
8 ประชาชนได้กินจนอิ่มและศิษย์ของพระองค์

ได้เก็บเศษที่เหลือได้ถึงเจ็ดตะกร้าพูน
9 มีผู้ชายสี่พันคนอยู่กันที่นั่นและเมื่อพระองค์ทรงให้พวกเขากลับไป
10 พระองค์ก็ทรงลงเรือกับศิษย์และเดินทางไปยังเขตเมืองดาลมานูธา

ถามหาหมายสำคัญ
11 แล้วฟาริสีก็มาและเริ่มโต้แย้งกับพระเยซู ต้องการทดสอบพระองค์โดยขอให้พระเยซูแสดงหมายสำคัญจากสวรรค์
12พระเยซูทรงถอนพระทัยลึก ๆ ตรัสว่า
“เหตุใดคนยุคนี้จึงเรียกร้องหาหมายสำคัญ? เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า จะไม่มีการให้หมายสำคัญกับคนยุคนี้”
13 แล้วพระองค์ทรงละจากพวกเขา ทรงลงเรือและข้ามไปอีกฝั่ง


เชื้อของฟาริสีและเฮโรด
14 ตอนนี้ศิษย์ของพระองค์ลืมเอาขนมปังไปด้วย ยกเว้นแค่หนึ่งก้อนเดียวที่อยู่ในเรือ
15 “จงระวังให้ดี” พระเยซูทรงเตือนพวกเขา
“จงระวังเชื้อจากฟาริสีและเฮโรด”
16 พวกเขาจึงคุยกันเองว่า พวกเขาไม่มีขนมปังเลย
17 พระเยซูทรงทราบว่าเขาคุยอะไรกัน ทรงถามพวกเขาว่า “ทำไมเจ้าจึงโต้กันเรื่องไม่มีขนมปัง เจ้ายังไม่เห็น ไม่เข้าใจอีกหรือ?
ทำไมพวกเจ้าจึงใจแข็งนัก?
18 ..เจ้ามีตา แต่มองไม่เห็น มีหูแต่ไม่ได้ยินอย่างนั้นหรือ?
และเจ้าจำไม่ได้หรือว่า 
19 เมื่อเราหักขนมปังห้าก้อนให้คนห้าพันคน มีเศษขนมปังเหลือกลับมากี่กระบุง?” พวกเขาตอบว่า “สิบสองกระบุงขอรับ”
20 “ แล้วตอนที่เราหักขนมปังเจ็ดก้อนให้คนสี่พันคนนั้น เจ้าเหลือเศษขนมปังมากี่ตะกร้า?”  “เจ็ด ขอรับ” พวกเขาตอบ
21 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”

ทรงรักษาคนตาบอดที่เบธไซดา
22 เมื่อพวกเขามาถึงเบธไซดา มีบางคนนำชายตาบอดคนหนึ่งมา และทูลขอให้พระเยซูทรงแตะต้องเขา
23 พระองค์จึงทรงจูงมือเขาออกไปนอกหมู่บ้าน ทรงบ้วนน้ำลายลงบนดวงตาทั้งสองข้าง และวางพระหัตถ์ทั้งสองบนเขา “เจ้าเห็นอะไรบ้างไหม?” ทรงถามเขา
24 ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองและกล่าวว่า “ข้าเห็นคน แต่พวกเขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่เดินไปมาขอรับ”
25 พระองค์จึงทรงวางพระหัตถ์ทั้งสองที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขา และเมื่อเขาเปิดตา สายตาของเขาก็เป็นปกติ และเขาเห็นทุกอย่างชัดเจน
26 พระเยซูทรงส่งเขาให้กลับบ้าน ตรัสว่า “อย่ากลับเข้าไปในเมืองเลย อย่าเล่าเรื่องนี้ให้คนในเมืองฟัง”

เปโตรสารภาพว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์)
27 แล้วพระเยซูกับศิษย์ของพระองค์ก็เดินทางไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ แถบซีซาริยาห์ฟีลิปปี
ระหว่างทาง พระองค์ทรงถามศิษย์ว่า “ผู้คนกล่าวว่า เราเป็นใคร?”
28 พวกเขาตอบว่า “บางคนว่าทรงเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บางคนว่าทรงเป็นเอลียาห์ และยังมีบางคนว่า พระองค์ทรงเป็นผู้กล่าวพระคำคนหนึ่ง”
29“ แต่เจ้าล่ะ? เจ้าว่าเราเป็นใคร?” พระเยซูตรัสถาม เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ขอรับ”
(นั่นหมายถึงทรงเป็นผู้ที่ถูกเจิมจากพระเจ้าลงมาในโลก หรือที่ยิวเรียกพระนามว่า พระเมสสิยาห์)
30 และพระเยซูทรงเตือนพวกเขาไม่ให้บอกใครเรื่องพระองค์

บอกล่วงหน้าเรื่องการทนทุกข์
31 แล้วพระองค์จึงทรงสอนพวกเขาว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายประการ และเหล่าผู้ใหญ่ หัวหน้าปุโรหิต และธรรมาจารย์ จะไม่ยอมรับพระองค์ และพระองค์จะถูกประหาร อีกสามวันจะทรงคืนชีพขึ้นมา
32 พระองค์ตรัสเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา และเปโตรจึงดึงพระองค์ไป
และทูลต่อว่าพระองค์
33 แต่พระเยซูทรงหันมามองดูศิษย์ทั้งหลาย ทรงตำหนิเปโตรและตรัสว่า “จงถอยออกไป ซาตาน เพราะในหัวของเจ้าไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์”

ในหัวของเจ้า
ไม่ได้
คิดอย่างพระเจ้า
แต่
คิดอย่างมนุษย์

จงแบกกางเขนตามเรามา
34 แล้วพระเยซูทรงเรียกประชาชนมาหาพระองค์พร้อมกับศิษย์และทรงบอกพวกเขาว่า “หากใครต้องการติดตามเรามา เขาจะต้องปฏิเสธตนเอง และรับกางเขนของตน และตามเรามา”
35 เพราะใครก็ตามที่ต้องการรักษาชีวิตของตนไว้ จะสูญเสียชีวิตไป แต่คนที่ยอมเสียชีวิตเพื่อเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐจะรักษาชีวิตนั้นไว้
36 มีประโยชน์อะไรกับคนหนึ่งหากว่าเขาได้ทั้งโลกแต่ต้องสูญเสียวิญญาณของตนไป?
37 หรือใครคนหนึ่งจะเอาอะไรมาแลกกับวิญญาณของตนได้?

38 หากคนใดละอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา ในโลกที่ชั่วช้า บาปหน้า บุตรมนุษย์ก็จะละอายเพราะเขา เมื่อพระองค์เสด็จมาในพระเกียรติสิริของพระบิดาพร้อมกับทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์”

อธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 8:1-10
เปรียบเทียบครั้งนั้น(ตอนเลี้ยง 5000 คน) กับครั้งนี้ (การลี้ยง 4000 คน)
ในมาระโกบทที่หก คนอยู่กับพระเยซูเพียงหนึ่งวัน แต่ในครั้งนี้ อยู่ถึงสามวันแล้วพวกเขาก็หิวมากด้วย
ครั้งนั้นบันทึกว่าห้าพันคน ครั้งนี้นับสี่พันคน (ซึ่งนับผู้ชายเท่านั้น ยังไม่มีผู้หญิงกับเด็ก)
ครั้งนั้น พวกเขาได้นั่งบนทุ่งหญ้าเขียวในแถบตะวันตกของกาลิลี มีคนยิวหนาแน่น แต่ครั้งนี้พวกเขานั่งบนพื้นดินในเขตแดนทางตะวันออกที่เรียกว่าทศบุรี เป็นเวลาห่างจากครั้งแรกหลายเดือน และผู้คนแถบทศบุรีส่วนใหญ่จะเป็นคนต่างชาติ เป็นเมืองที่โรมสร้างไว้
ครั้งก่อนเลี้ยงจาก ขนมปัง 5 ก้อน ปลาสองตัว ครั้งนี้จากขนมปัง 7 ก้อนกับปลาสองสามตัว
ครั้งที่แล้วเหลือขนมปัง 12 กระบุงเล็ก ๆ แต่ครั้งนี้เหลือ 7 ตะกร้าใหญ่มาก
ที่เหมือนกันคือทุกคนกินจนอิ่มหนำสำราญ และคงจะมีกลับไปบ้านด้วย
สิ่งที่ควรสังเกต….
**ศิษย์ของพระองค์ทูลว่า “ในที่กันดารอย่างนี้ เราจะไปหาขนมปังให้พอเลี้ยงคนมากมายให้อิ่มที่ไหนกัน?”
ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเคยเห็นพระเยซูเลี้ยงคนห้าพันคนมาแล้ว ทำไมพวกเขายังไม่เชื่อว่าพระองค์จะทรงทำอีกครั้ง? อาจเป็นเพราะว่าคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติ พวกเขาไม่คิดว่า พระเจ้าจะทรงเลี้ยงคนเหล่านี้ แต่พระเยซูกลับทรงเลี้ยงดูด้วยความสงสาร (ข้อ 2) ครั้งนี้ศิษย์ของพระองค์ได้รับความเข้าใจชัดว่า พระเจ้าทรงรักคนต่างชาติเช่นกัน
** และพระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้น จากนั้นทรงนำเอาขนมปังทั้งเจ็ดก้อนมา ขอบพระคุณ และฉีกมันออก จากนั้นก็มอบให้ศิษย์เอาไปแจกให้ประชาชน และพวกเขาก็นำไปแจก คำเดียวที่บ่งบอกว่า เป็นกริยาที่ต่อเนื่องในภาษากรีกคือคำว่า มอบ(ให้ศิษย์ ) จึงพอสรุปได้ว่า การขยายตัวของขนมปังอย่างอัศจรรย์นั้นเกิดขึ้นโดยพระหัตถ์ของพระเยซู..เมื่อเลี้ยงเสร็จก็เดินทางข้ามทะเลมายังเมืองดาลมานูธา ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของทะเลสาบกาลิลี ห่างเมืองคาเปอร์นาอูมมาทางใต้ประมาณ 8 กิโลเมตร

มาระโก 8:11-13
แม้ว่าฟาริสีทั้งหลายได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเยซูมากมาย แต่พวกเขายังไม่พอใจ คนยิวกำลังรอคอยพระเมสสิยาห์หรือผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมเพื่อมาไถ่บาปพวกเขา แต่คนยิวไม่ได้มองพระเมสสิยาห์เช่นนั้น พวกเขามองว่า พระองค์ต้องเป็นนักรบที่จะมาปล่อยพวกเขาจากการเป็นเมืองขึ้นของโรม
หมายสำคัญที่พวกเขาต้องการคือ  σημεῖον เซมีออน เป็นลักษณะของหมายสำคัญพิเศษจากพระเจ้าโดยตรงเพื่อจะได้สนับสนุน และรับรองว่า คน ๆ นั้นเป็นผู้ที่มาจริง แต่พระเจ้าได้ให้หมายสำคัญมากมายแก่พวกเขาแล้ว ในเมื่อจะไม่เชื่อก็ต้องหาวิธีการที่จะให้พระเยซูเสียหาย แต่พระเยซูทรงถอนพระทัยเพราะรู้ว่าในใจของพวกเขาคืออะไร และทรงเดินออกไปจากพวกเขา โดยไม่ตรัสอะไรอีก ไม่มีประโยชน์ที่จะมาต่อล้อต่อเถียงกับคนพวกนี้ ยอห์นเคยบอกว่า การอัศจรรย์เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความเชื่อ (ยอห์น 20:30-31) แต่ในเหตุการณ์นี้ พวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะเชื่อ แต่ต้องการท้าทายพระองค์

มาระโก 8: 14-21
“จงระวังให้ดี” พระเยซูทรงเตือนพวกเขา “จงระวังเชื้อจากฟาริสีและเฮโรด” นี่เป็นคำเตือนของพระเยซูที่ทำให้เรารู้ว่า ความคดโกงของฟาริสีและพรรคพวกของเฮโรดนั้น แพร่ไปทั่วแผ่นดินอิสราเอล มันเข้าแทรกซึมไปในสถาบันการปกครอง และศาลาธรรม รวมไปถึงในสังคมทั่วไป ซึ่งเด่น ๆ ก็คือ การสอนให้คนสนใจการกระทำเพื่อที่จะเป็นคนดี และไปสวรรค์ได้ อีกอย่างคือ การเป็นคนหน้าซื่อใจคด พวกเฮโรดพยายามเปลี่ยนแปลงลักษณะของสังคมยิวโดยใช้วิธีการทางการเมือง (ซึ่งเหมือนกับโลกปัจจุบัน)
พวกศิษย์ก็ไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซู แต่กลับไปคิดถึงเรื่องขนมปังเสียนี่ พระองค์ทรงกล่าวถึงความใจดื้อด้านของผู้นำยิว แต่ศิษย์ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

มาระโก 8:22-26
การรักษาครั้งนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากที่คนที่เป็นเพื่อนของชายตาบอดพาเขามาหาพระเยซู ชายตาบอดไม่ได้รู้เรื่องอะไร แต่เพื่อนนั้นมีความเชื่อว่าเขาจะหายได้ และมาขอให้พระเยซูทรงแตะต้องเพื่อเขาจะหายได้
ครั้งนี้มาแปลก มีหลายอย่างที่ทรงทำกับชายผู้นี้ 1 พระเยซูทรงจูงเขาออกนอกเมืองออกจาก 2 ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ตา (ราวกับยาหยอดตา) 3 วางพระหัตถ์บนเขา 4 ทรงถามเขาเหมือนกับหมอถามคนไข้.. เห็นอะไร เขาเห็นคนเหมือนต้นไม้ ทรงให้เขามองเห็นแสง สีราง ๆ ทำให้เขามีความเชื่อ จากนั้น 5 พระองค์ทรงวางพระหัตถ์ที่ตา ขณะนี้ชายตาบอดมีความเชื่ออย่างสมบูรณ์แบบ 6 แล้วเขาก็มองเห็นได้ .. 7 แล้วที่สุดไม่ทรงอนุญาตให้กลับเข้าเมือง ไม่ให้เล่าเรื่องนี้กับใคร แต่ให้กลับบ้านไปทันที
เราอาจจะนึกแปลกใจว่าทำไมพระเยซูทรงทำเช่นนี้ ในมัทธิว 11:21–24 ได้บอกว่า พระองค์ทรงสาปเมืองนี้ไปพร้อมกับเมืองโคราซิน คาเปอร์นาอูม พระองค์ทรงรู้ว่าในใจของคนเมืองเหล่านี้เป็นใจที่กระด้างยิ่งนัก

มาระโก 8:27-30
จากนั้นพระเยซูกับศิษย์เดินทางต่อไปยังเมืองซีซารียาฟีลิปปี เป็นเมืองที่เฮโรดสร้างเพื่อให้เกียรติและซีซาร์ โดยมีแนวคิดว่าซีซาร์คือพระเจ้า ​ เมืองนี้อยู่ห่างจากเบธไซดาประมาณ 40 กิโลเมตร อยู่ทางใต้ของภูเขาเฮอร์โมน ซึ่งเป็นทิวเขาที่สูงสุดในตะวันออกกลาง เป็นพื้นที่ ๆ สวยงามมาก และเป็นที่ ๆ ต้นของแม่น้ำจอร์แดน แต่ มีการสลักรูปเคารพต่าง ๆ ลงบนหินภูเขาไว้ประปราย
ระหว่างการเดินทางนั้นเอง พระเยซูทรงถามศิษย์ว่า ประชาชนมีความคิดเห็นอย่างไรกับพระองค์ พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ ทำการสอนกับทั้งคนยิว และคนต่างชาติ ซึ่งคำตอบก็คือ ผู้คนซึ่งมาหาพระองค์เพื่อการรักษาโรค คำสอนคิดว่า พระองค์อาจเป็น ยอห์น เอลียาห์ หรือ ผู้เผยพระคำบางคน แล้วแต่จะคิด จากนั้นทรงขอความเห็นจากศิษย์เอง ว่า พวกเขาคิดอย่างไร
เปโตรเป็นคนเดียวที่ตอบอย่างมั่นใจว่าคือ พระองค์คือ พระเมสสิยาห์ (พระคริสต์ ภาษากรีก) ซึ่งหมายถึงคนที่รับการเจิม ซึ่งในสังคมยิวนั้นมีแค่สามพวกเท่านั้นที่จะได้รับการเจิม คือ ปุโรหิต ผู้เผยพระคำ และกษัตริย์ เปโตรมองว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ที่จะปลดปล่อยยิวจากโรม
แต่ถึงแม้รู้เช่นนั้น พระองค์ก็ทรงให้เขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับก่อน

มาระโก 8:31-33
เมื่อพระเยซูเล่าว่า พระเมสสิยาห์องค์นี้ จะต้องถูกประหาร
ไม่แปลกที่ เปโตรจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พระเยซูตรัส เขาไม่เห็นด้วยมาก ๆ ที่พระเมสสิยาห์ของพระเจ้าจะถูกประหาร นั่นคือการแพ้นี่นา พระองค์จะต้องเป็นผู้ชนะ ไม่ใช่ต้องถูกประหาร ถึงจะคืนพระชนม์ก็เถอะ สำหรับเปโตรแล้วนี่เป็นเรื่องรับไม่ได้ เขายังไม่เข้าใจว่า พระเยซูจะต้องเป็นพระเมสสิยาห์ที่จะถูกประหารเพราะบาปของเขาเอง

มาระโก 8:34-38
หากใครคนหนึ่ง ต้องการตาม..พระเยซู เขาต้องปฏิเสธตัวเอง รับกางเขนมาแบก และตามพระองค์ไป
เราจะต้องการแค่ใช้ชีวิตที่มีอยู่หนึ่งชีวิต หรือว่าต้องการมีชีวิตที่เต็มบริบูรณ์??
การยอมให้พระเจ้ามาก่อนความคิดเห็น จิตใจของตนเองเป็นเรื่องที่ยากสำหรับทุกคน เพราะเราชินกับการที่ทำอะไรตามใจตัวเอง พระคำข้อนี้ พระเยซูทรงบอกว่า เราทุกคนต้องตัดสินใจว่าจะปฏิเสธตนเองเพื่อเห็นแก่น้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ พระเจ้าไม่ใช่ผู้ที่จะมาช่วยให้เราทำตามใจของตนเองสำเร็จ แต่เราจะต้องให้พระองค์เป็นผู้ตัดสิน นำทางชีวิตของเรา
สำหรับคนที่รักทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เงินทอง และมีชีวิตเพื่อสิ่งเหล่านี้ เราเห็นตัวอย่างได้รอบตัว คนที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน ไม่อาจที่จะเห็นแก่คนอื่นได้ ชีวิตมีไว้เพื่อตัวเองเท่านั้น แล้วในที่สุด เขาก็จะจบแบบที่ไม่มีอะไรเหลือ แม้กระทั่งชื่อเสียงคนก็จะลืมไป พระคัมภีร์ตอนนี้ ให้เรายอมพระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิต ไม่ละอายพระนามของพระองค์

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 15:32-39
2* มาระโก 1:41; 6:34
5* มาระโก 6:38
7* มัทธิว 14:19
10* มัทธิว 15:39
11* มัทธิว 12:38; 16:1
12* มาระโก 7:34; มัทธิว 12:39
14* มัทธิว 16:515* ลูกา 12:1

17* มาระโก 6:52; 16:14
19* มัทธิว 14:20
20* มัทธิว 15:37
21* มาระโก 6:52
22* ยอห์น 9:1; ลูกา 18:5
23* มาระโก 7:33
26* มาระโก 5:43; 7:36
27* ลูกา 9:18-20

28* มัทธิว 14:2; ลูกา 9:7-8
29* ยอห์น 1:41; 4:42; 6:69;11:27
30* มัทธิว 8:4; 16:20
31* มัทธิว 16:21; 20:19; มาระโก 10:33; 9:31;10:34; ลูกา 24:36
33* วิวรณ์ 3:19
34* ลูกา 14:27
35* ยอห์น 12:25
38* มัทธิว 10:33; 2 ทิโมธี 1:8-9; 2:12



มาระโก 7 เหนือประเพณี ใจ เชื้อชาติ โรคร้าย

ประเพณีดังเดิมสืบจากบรรพบุรุษ
1 แล้วมีฟาริสีและธรรมาจารย์จากเยรูซาเล็มมาห้อมล้อมพระเยซู
2 พวกเขาเห็นศิษย์ของพระองค์บางคนกินอาหารด้วยมือมลทินนั่นคือไม่ได้ล้างมือ
3 เพราะฟาริสีและพวกยิวจะไม่กิน จนกว่าจะได้ล้างมือตามประเพณีบรรพบุรุษเสียก่อน
4 และหากกลับจากตลาด ก็จะไม่กินจนกว่าจะได้ล้างมือ และยังมีประเพณีอื่น ๆ ที่ต้องทำตามอีกเช่น การล้างถ้วย การล้างเหยือก กาน้ำ และภาชนะอื่น ๆ
5 พวกฟาริสีและธรรมาจารย์จึงถามพระเยซูว่า “เหตุใดศิษย์ของท่านจึงไม่ดำเนินตามประเพณีบรรพบุรุษ? แต่กลับกินอาหารด้วยมือมลทิน?


6 พระเยซูทรงตอบกลับว่า “อิสยาห์ได้กล่าวคำล่วงหน้าถึงพวกเจ้าคนหน้าซื่อใจคดอย่างถูกต้องที่เขียนไว้ว่า “คนเหล่านี้ให้เกียรติเราด้วยปาก แต่ใจของพวกเขาห่างจากเรา
7 พวกเขานมัสการเราอย่างไร้ความหมาย พวกเขาสอนกฎต่าง ๆ ของมนุษย์
8 เจ้าไม่ใส่ใจพระบัญชาของพระเจ้า และกลับไปถือรักษาประเพณีของมนุษย์”

9 พระองค์ตรัสต่อไปว่า “เจ้าได้หลบเลี่ยงพระบัญชาของพระเจ้าเพื่อจะได้รักษาประเพณีของตน
10เพราะโมเสสกล่าวว่า ..จงให้เกียรติบิดาและมารดาของเจ้า.. และ..คนใดที่ด่าแช่งพ่อแม่จะต้องรับโทษถึงชีวิต..
11 แต่เจ้ากลับกล่าวว่า ถ้าคนใดกล่าวแก่พ่อหรือแม่ว่า “สิ่งที่ท่านจะได้รับจากข้าพเจ้านั้น เป็น โกระบาน นั่นคือ ของถวายแด่พระเจ้าแล้ว”
12 พวกเจ้าก็ไม่อนุญาตให้เขาทำสิ่งใดให้กับพ่อ แม่อีกต่อไป
13 เท่ากับเจ้าได้ยกเลิกพระดำรัสของพระเจ้าด้วยประเพณีที่เจ้าทำสืบเนื่องกันต่อ ๆ มา
และเจ้ายังทำแบบนี้อีกหลายอย่างด้วย”

สิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน
14 อีกครั้งที่พระเยซูทรงเรียกฝูงชนเข้ามา และตรัสว่า
“ทุกคนจะฟังเรา และจงเข้าใจตามนี้
15ไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปในร่างมนุษย์แล้วจะทำให้เขาเป็นมลทิน
แต่สิ่งที่ออกมาจากมนุษย์ต่างหากที่ทำให้เขาเป็นมลทิน
16 ใครมีหูก็จงฟังเถิด


17 หลังจากที่พระเยซูทรงละจากผู้คนและเข้ามาในบ้าน
ศิษย์ของพระองค์ก็ถามเรื่องคำอุปมานั้น
18 “เจ้ายังคิดไม่ออกอีกหรือ?” พระองค์ตรัสถาม “เจ้าไม่เข้าใจหรือว่า สิ่งใด ๆ จากภายนอก ที่เข้าไปในร่างของมนุษย์ ไม่ได้ทำให้เขาเป็นมลทิน
19 เพราะมันไม่ได้เข้าไปในใจ แต่เข้าไปในท้อง แล้วก็ออกจากร่างกายไป”
(พระองค์ทรงประกาศว่า อาหารทั้งสิ้น ไม่มีมลทิน)
20 แล้วตรัสต่อไปว่า “สิ่งที่ออกมาจากมนุษย์คือสิ่งที่ทำให้เขาเป็นมลทิน
21 เพราะจากใจของมนุษย์ คือความคิดชั่ว ความผิดทางเพศ การขโมย ฆาตกรรม และการล่วงประเวณี
22 ความโลภ ความชั่วร้าย การหลอกลวง ราคะตัณหา การอิจฉา การสบประมาทผู้อื่น ความยโสจองหอง และความโง่เขลา
23ความชั่วเหล่านี้มาจากข้างในและทำให้มนุษย์เป็นมลทิน

ความเชื่อของหญิงซีเรียฟินิเชีย
24 แล้วพระเยซูทรงละจากที่นั่นเข้าไปยังเขตเมืองไทระโดยไม่ทรงประสงค์จะให้ใครรู้ว่าทรงอยู่ที่นั่น ทรงเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง แต่แล้ว ก็มีคนสังเกตเห็นพระองค์จนได้
25 มีหญิงคนหนึ่งที่มีลูกสาวตัวเล็ก ๆ ถูกวิญญาณโสโครกสิงอยู่ ได้ยินข่าวเรื่องพระองค์ เธอจึงเข้ามาหมอบแทบพระบาท
26 เธอเป็นหญิงชาวกรีก ที่เกิดในซีเรียฟินิเชีย และเธอเฝ้าอ้อนวอนขอให้พระเยซูทรงช่วยขับผีออกจากลูกสาวของเธอ


27 “ต้องให้ลูก ๆ กินอิ่มก่อนนี่นา ไม่ถูกต้องเลยที่จะเอาขนมปังของลูกโยนให้ลูกสุนัข” พระองค์ตรัส
28“ใช่แล้วเจ้าค่ะ พระผู้เป็นเจ้า” เธอตอบ “แม้แต่สุนัขใต้โต๊ะก็ยังกินเศษอาหารที่เหลือจากลูก”
29 พระเยซูจึงตรัสกับเธอว่า “เพราะคำตอบนี้ เจ้าไปได้ ผีร้ายได้ออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว”
30 เธอจึงกลับบ้านไปพบว่า ลูกสาวนอนอยู่บนเตียง และผีออกไปจากตัวเด็กน้อยแล้ว

ทรงรักษาคนหูหนวกเป็นใบ้
(Matthew 9:27–34)
31 แล้วพระเยซูทรงละจากแคว้นเมืองไทระและทรงเดินทางผ่านไซดอนไปยังทะเลสาบกาลิลี เข้าไปในเขตทศบุรี
32 มีบางคนนำคนหูหนวกที่เกือบพูดไม่ได้มาหาพระองค์ และพวกเขาขอพระองค์ทรงวางมือบนเขา
33 ดังนั้น พระองค์ทรงนำเขาออกมาจากฝูงชน อยู่เป็นส่วนตัว และทรงเอานิ้วพระหัตถ์แยงเข้าไปในหูของเขา จากนั้นทรงถ่มน้ำลายเอาไปแตะที่ลิ้นของช่ายคนนั้น
34 และทรงมองไปยังฟ้าสวรรค์ ถอนพระทัยลึก ๆ ตรัสกับเขาว่า “เอฟฟาธา” ซึ่งหมายความว่า จงเปิดออก
35 ทันใดนั้นเอง หูของเขาก็เปิด ลิ้นของเขาก็เคลื่อนไปมาได้ และเขาก็เริ่มต้นพูดเป็นปกติ
36 พระเยซูทรงสั่งพวกเขาไม่ให้บอกใคร แต่ยิ่งสั่งพวกเขาก็ยิ่งประกาศโพทนาเรื่องนี้มากขึ้น ๆ
37 ผู้คนแปลกใจมาก และกล่าวว่า “พระองค์ทรงทำทุกอย่างดีมาก ดูสิ ทรงทำให้แม้แต่คนหูหนวกได้ยิน และคนใบ้พูดได้”

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 7:1-13
จากพระคำตอนนี้ เราจะเห็นว่า ฟาริสีและธรรมาจารย์ได้ให้ความสำคัญกับประเพณีของบรรพบุรุษเป็นอย่างมาก กฎเล็ก กฎน้อยเหล่านี้ เป็นกฎที่เล่าต่อกันมา พวกเขาเชื่อว่าถ้าทำตามกฎเหล่านี้ ก็จะช่วยให้ทำตามพระบัญญัติได้ และการทำได้ ก็จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย พวกเขาบังคับการใช้ชีวิตของผู้ึคน แม้การล้างมือ ก่อนกินอาหาร วิธีการกิน​ฯลฯ และการทำตามกฎเหล่านี้ ทำให้พวกฟาริสี ธรรมาจารย์ทั้งหลาย มีความรู้สึกว่า ตนเองดีเหนือชาวบ้านชาวเมืองธรรมดา และยังยกระดับกฎเล็กน้อยเหล่านี้เหนือพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานแก่โมเสส
พวกเขาถึงกับเข้าใจว่า การที่ทำตามประเพณีเช่นการล้างมือให้สะอาด เป็นหนึ่งในวิธีการที่จะทำให้ได้รับความรอดบางครั้งเราเองก็มีความคิดคล้ายคลึงกัน เพียงแต่เปลี่ยนเนื้อหาเพราะสังคมเปลี่ยนไป
เราอาจจะบอกคนหนึ่งว่า คุณจะเข้าหาพระเจ้าได้ก็ต้องเลิกเหล้า บุหรี่เสียก่อน คุณต้องเป็นคนสะอาดก่อนจึงจะเข้าหาพระเจ้าได้ ซึ่งความจริงนั้น พระเยซูได้ทรงตายเพื่อคนบาปทั้ง ๆ ที่เขายังเป็นคนบาปอยู่ การสนใจในพระบัญชาจริง ๆ ของพระเจ้า เงื่อนไขจริงของพระเจ้าสำคัญกว่าความคิดอันย้อนแย้งและสับสนของพวกเรา
ในข้อสิบสามพระเยซูได้กล่าวถึงการที่พวกเขายกเลิกพระดำรัสตรง ๆ ของพระเจ้า แล้ว เอาข้อบังคับทางประเพณีต่าง ๆ มาใช้แทนพระคำตอนนี้ เตือนเราว่า อย่าได้ถือเอาความเห็นของมนุษย์มาเหนือพระคำของพระเจ้าเด็ดขาด ทั้งยอห์นผู้ให้บัพติศมา และพระเยซู ได้กลายเป็นศัตรูสำคัญของเหล่าปุโรหิต ฟาริสี และธรรมาจารย์ เพราะไม่ยอมให้กฎของพวกเขามาเหนือพระดำรัสของพระเจ้า!

มาระโก 7:14-23
สืบเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า กฎต่าง ๆ ทำให้คนเราสะอาดขึ้นมาได้ ธรรมาจารย์ ฟารีสี ปุโรหิตทั้งหลายจึงระวังรักษากฎเพื่อที่จะให้ตนเองไม่เป็นมลทิน ไม่ใช่แค่พวกเขา แม้แต่ศิษย์ของพระเยซูเองก็ยังคงเชื่อเช่นนั้น พอพระเยซูตรัสบอกว่า ความสกปรกมาจากในตัวมนุษย์เอง ทำให้พวกเขาถึงงง ตั้งแต่เป็นเด็กมาก็รู้ว่า ต้องรักษากฎที่มาจากศาลาธรรมชีวิตจึงจะสะอาดนี่นา
เป็นอีกครั้งที่พระเยซูตรัสว่า ใครมีหูจงฟังเถิด ซึ่งจริง ๆ แล้ว คำ ๆ นี้สำคัญมาก บอกให้รู้ว่า คนแต่ละคนมีความสามารถในการฟัง และไตร่ตรอง และนำไปใช้ในชีวิตไม่เท่ากัน คนที่ฟังดี และคิดต่อได้ดี จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนและเจริญขึ้น คงจะต้องกลับไปหาเยเรมีย์ 17:9-10 ที่เตือนไว้ว่า ใจของมนุษย์นั้นหลอกลวงและชั่วร้ายเหนืออื่นใด ดังนั้นการที่ใครคนหนึ่งจะสะอาดเฉพาะพระเจ้าได้ ต้องใช้เงื่อนไขกฎแห่งพระคุณของพระเจ้า กฎการสำนึกผิด การกลับใจ การให้อภัยบาปจากพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยกฎที่เกิดจากการกระทำ ดังนั้นเราจึงเห็นว่า การนำพระคำของพระเจ้าไปใช้ในชีวิตเป็นเรื่องของจิตใจที่เปลี่ยน ไม่ใช่การกระทำตามกฎใหม่ ๆ ที่คิดว่าใช้ได้

มาระโก 7:24-30
น่าเสียดายจริง ๆ ในขณะที่ผู้นำยิว ธรรมาจารย์คนอื่น ๆ และแม้แต่ศิษย์ของพระองค์เอง ยังไม่ค่อยเข้าใจว่า พระองค์คือผู้ใด พวกเขาติดตามพระองค์และเห็นการอัศจรรย์มากมาย แต่ก็ยังขาดความเข้าใจในบางเรื่อง เราเห็นว่า แม้แต่ผีมาร (1:24; 5:7)และธรรมชาติยังยอมรับ (4:39) และเชื่อฟังพระองค์มากกว่าคนเสียอีก เป็นจริงอย่างที่ยอห์น 1:11 บันทึกไว้ว่า พระองค์เสด็จมายังบ้านเมืองของพระองค์แต่คนของพระองค์กลับไม่ต้อนรับพระองค์​ นี่เป็นบันทึกเดียวที่กล่าวถึงการที่พระเยซูออกไปนอกเขตแดนอิสราเอล และเป็นการเดินทางออกไปไกลมาก
พระเยซูทรงประสงค์ที่จะพักผ่อน และทรงเข้าไปในบ้านของคน ๆ หนึ่งที่ต้อนรับพระองค์ แต่มีคุณแม่ชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว รู้ว่า พระเยซูทรงอยู่ในบ้านนั้น ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยไม่ให้ใครรับรู้ และการพบปะครั้งนี้ ดูเหมือนพระเยซูทรงไม่สนพระทัยคนที่ตั้งใจมาหาพระองค์เสียด้วย
พระเยซูจะทรงทำอะไรกับหญิงต่างชาติที่มาขอให้ช่วยขับผีออกจากลูกสาวตัวเล็ก ๆ ซึ่งนอนซมอยู่ที่บ้าน?
จากเรื่องนี้ พระเยซูทรงทำเหมือนเมินเฉยต่อคำขอร้อง และยังเปรียบเธอเหมือนลูกสุนัขในบ้านที่คอยกินอาหารตกจากโต๊ะนาย แต่เธอยินดีที่จะเป็นลูกสุนัขตัวนั้น ขอเพียงพระเยซูทรงรักษาลูกสาวของเธอ
แล้วพระเยซูก็ทรงรักษาเพราะเธอตั้งใจมาหาพระองค์ คำตอบของเธอเป็นที่พอพระทัย แสดงถึงความเชื่อที่ไม่ยอมแพ้ แม้ว่าจะเป็นคนต่างชาติที่ยิวไม่ชอบ จะเห็นภาพชัดเจนของความเชื่อที่ก้าวข้ามทั้งความเป็นหญิงต่างชาติ เป็นคนที่ดูต่ำต้อย ก้าวข้ามคำที่เหมือนดูถูก แต่ความเชื่อยิ่งใหญ่นัก เป็นคนที่ได้รับพระพรเหนือธรรมาจารย์ และศิษย์เสียด้วยซ้ำ

มาระโก 7:31-37
​​​ เหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นขณะที่พระเยซูอยู่ในแคว้นทศบุรีทางตะวันออกของทะเลสาบกาลิลี เป็นถิ่นที่อยู่ของคนต่างชาติ มีคนนำพาชายหูหนวกและเกือบใบ้คนหนึ่ง มาหาพระเยซู คนที่ได้ยิน ได้รู้เรื่องของพระองค์มีน้ำใจพามา มีความเชื่อว่าเขาจะหายโรค
สำหรับชายคนนี้ พระองค์ทรงสัมผัสตัวเขา เอานิ้วของพระองค์แยงเข้าหู ทรงใช้น้ำลายของพระองค์แตะลิ้นเขาด้วย พระองค์ทรงช่วยทั้งหู และปากของเขาในเวลาเดียวกัน พระเยซูทรงมองไปยังฟ้าสวรรค์ ทรงติดต่อกับพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์ แล้วถอนพระทัยที่บาปร้ายในโลกทำให้ชายคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานแล้วพระดำรัสสั่งของพระเยซูทำให้ชายหูหนวกที่เกือบพูดไม่ได้ มีหูที่เปิด และลิ้นสามารถขยับไปมาได้สามารถพูดเป็นปกติ ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาพูดไม่ชัด เพราะหูไม่ได้ยินคำที่ถูกต้องเลย
จากเรื่องนี้ทำให้เรามั่นใจว่า ในวันนี้พระเยซูทรงทำให้คนที่หูหนวกฝ่ายวิญญาณได้ยินเสียงของพระเจ้าเป็นครั้งแรกได้ เช่นกัน เรามีความเชื่อเหมือนเพื่อนที่นำเขามาหาพระเจ้าได้
ดูสิ เมื่อพระเจ้าทรงอยู่ท่ามกลางประชาชนของพระองค์ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อิสยาห์บอกเราไว้ใน อิสยาห์ 35:5-6
4 จงกล่าวแก่คนที่ขลาดกลัวว่า “จงเข้มแข็ง อย่ากลัวไป พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่นี่ พระองค์เสด็จมาพร้อมกับการแก้แค้นการตอบสนองของพระองค์กำลังมาพระองค์จะทรงช่วยเจ้า 5 แล้วคนตาบอดจะมองเห็นคนหูหนวกจะได้ยิน
6 คนง่อยจะโลดเหมือนกวางและลิ้นของคนใบ้จะร้องเพลงแห่งความยินดี

การห้ามบอกใครเรื่องการหายโรคนี้ ไม่ได้ผล ชายหูหนวกเที่ยวประกาศให้ใคร ๆ รู้ว่า เขาได้ยินแล้ว พูดได้แล้ว นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิต เมื่อเราได้เปิดหูฝ่ายวิญญาณของเรา ได้ยินสิ่งที่พระเจ้าตรัสอย่างที่ไม่เคยมาก่อน ก็จะมีความตื่นเต้น และต้องขอบอกให้โลกรู้อย่างชายคนนี้แหละ

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 15:1-20
2* มัทธิว 15:20
3* มาระโก 7:5, 8,9,13; กาลาเทีย 1:14; 1 เปโตร 1:18
5* มัทธิว 15:2
6* มัทธิว 23:13-29; อิสยาห์ 29:13
9* สุภาษิต 1:25; อิสยาห์ 24:5; เยเรมีย์ 7:23-24
10* อพยพ 20:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16; มัทธิว 5:4; อพยพ 21:17; เลวีนิติ 20:9; สุภาษิต 20:20

11* มัทธิว 15:5; 23:18
14* มัทธิว 15:10; 16:9, 11, 1215* อิสยาห์ 59:3; ฮีบรู 12:15
16* มัทธิว 11:15
17* มัทธิว 15:15
18* อิสยาห์ 28:9-11; 1โครินธ์ 3:2; ฮีบรู 5:11-14
20* สดุดี 39:1 มัทธิว ยากอบ
21* ปฐมกาล สดุดี เยเรมีย์ มัทธิว กาลาเทีย 2 เปโตร 1 เธสะโลนิกา
22* ลูกา โรม 1 เปโตร วิวรณ์ 1ยอห์น

24* มัทธิว มาระโก
25* มาระโก ยอห์น วิวรณ์31* มัทธิว มาระโก ยอห์น ลูกา กิจการ 1โครินธ์
32* มาระโก ลูกา
33* มาระโก ยอห์น
34* มาระโก ยอห์น
35* อิสยาห์ 35:5-636* มาระโก 5:43
37* มาระโก 6:51; 10:26; มัทธิว 12:22


มาระโก 6 อัศจรรย์ที่เกิดแล้วเกิดอีก

ชาวเมืองเดียวกัน

1 จากที่นั่น พระเยซูเสด็จไปที่บ้านเมืองที่ทรงเติบโตมา
โดยมีศิษย์ไปกับพระองค์ด้วย 
2 พอถึงวันสะบาโต พระองค์ทรงสอนในศาลาธรรม คนที่ได้ฟังพระองค์มากมายรู้สึกประหลาดใจ กล่าวกันว่า “ผู้นี้ได้สิ่งที่พูดมาจากไหนกัน?   สติปัญญาของเขานั้นเป็นแบบไหนนะ?  และเขาทำการอัศจรรย์แบบนั้นได้อย่างไร? 
3 เขาเป็นช่างไม้ไม่ใช่หรือ? เป็นลูกชายของมารีย์ เป็นพี่ชายของยากอบ โยเซฟยูดาส  กับซีโมนนี่นา พวกน้องสาวของเขาก็อยู่กับเราที่นี่ไม่ใช่หรือ?”  แล้วพวกเขาก็เริ่มขุ่นเคืองพระองค์
4 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้เผยพระคำของพระเจ้านั้น จะขาดการนับถือเฉพาะในหมู่ญาติพี่น้อง และเมืองที่เขาเติบโตขึ้นมา”
5 ดังนั้น พระองค์จึงไม่อาจทำการอัศจรรย์ใด ๆ ยกเว้นทรงวางพระหัตถ์รักษาคนป่วยสองสามคนให้หาย
6 และทรงประหลาดพระทัยที่พวกเขาไม่มีความเชื่อ  แล้วทรงเดินทางไปสั่งสอนตามหมู่บ้านรอบ ๆ นั้น 

การรับใช้ของศิษย์ทั้งสิบสอง

7 แล้วพระเยซูทรงเรียกศิษย์ทั้งสิบสองมาหาพระองค์ และทรงส่งพวกเขาออกไปเป็นคู่ ทรงให้พวกเขามีสิทธิอำนาจเหนือวิญญาณชั่ว
8 พระองค์ทรงสั่งไม่ให้นำสิ่งใดไปนอกจากไม้เท้าเพื่อช่วยเดินทาง ไม่ต้องนำอาหาร ย่าม หรือเงินติดเอวไป
9 ให้สวมรองเท้าไปด้วยแต่ไม่ให้เอาเสื้ออีกตัวไป
10 และพระองค์ตรัสกับพวกเขา “เมื่อเจ้าเข้าไปในครอบครัวใด ก็จงอยู่กับเขาจนกว่าเจ้าจะออกจากพื้นที่นั้น
11 หากใครไม่ตอนรับเจ้า ไม่ฟังเจ้า ก็จงสลัดผงจากเท้าของเจ้าเมื่อเจ้าออกไปจากที่นั่น เพื่อเป็นพยานต่อต้านเขา”

(** เราขอบอกเจ้าว่า โทษของเมืองโสโดม และโกโมราห์ยังจะเบากว่าโทษของเมืองนั้น)
12 ดังนั้นพวกเขาจึงออกไป และประกาศให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขาควรกลับใจเสียใหม่
13 พวกเขายังขับผีมากมาย และรักษาโรคให้กับคนป่วยโดยการเจิมด้วยนำ้มัน

การสั่งตัดคอยอห์นผู้ให้บัพติศมา

14 กษัตริย์เฮโรดได้ยินเรื่องที่กล่าวมานี้ เพราะผู้คนรู้จักพระนามของพระองค์ไปทั่ว
และพวกเขาพูดกันว่า “ท่านคือยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่ฟื้นขึ้นมาจากตาย ดังนั้นท่านจึงมีฤทธิ์อำนาจทำการอัศจรรย์ได้15 ส่วนคนอื่นกล่าวว่า “ท่านคือเอลียาห์”บางคนกล่าวว่า “ท่านเป็นผู้กล่าวพระคำเหมือนกับคนอื่น ๆ ในสมัยโบราณ”
16 แต่เมื่อเฮโรดได้ยินก็กล่าวว่า “ท่านยอห์นที่ข้าตัดหัวไป ฟื้นขึ้นมาจากตาย!”
17 เพราะเฮโรดเอง ได้สั่งจับยอห์น ล่ามโซ่และขังเขาไว้ เพราะเหตุนางเฮโรเดียส ภรรยาของน้องชายที่เฮโรดแต่งงานด้วย
18 เพราะยอห์นได้บอกเฮโรดว่า “ท่านทำผิดบัญญัติที่เอาภรรยาของน้องมาเป็นของตน!”
19 เป็นเพราะอย่างนี้ นางเฮโรเดียสจึงอาฆาตยอห์น ต้องการที่จะฆ่าเขา แต่นางทำไม่ได้
20 เนื่องจากเฮโรดเองกลัวยอห์น และปกป้องเขาไว้ เฮโรดรู้ว่ายอห์นเป็นผู้เที่ยงธรรม และบริสุทธิ์ เมื่อท่านได้ยินคำของยอห์น ท่านจะรู้สึกประหลาดใจ งุนงงมาก แต่เขาก็ยินดีที่จะฟังเสมอ

21 แล้วโอกาสของนางเฮโรเดียสก็มาถึง วันนั้นเป็นงานฉลองวันเกิดของเฮโรด มีการเลี้ยงขุนนางและนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ทั้งเหล่าผู้นำในแคว้นกาลิลี
22 เมื่อลูกสาวของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำ ทำให้ทั้งเฮโรดและแขกเหรื่อพอใจมาก กษัตริย์จึงตรัสกับเธอว่า “ให้เธอขอสิ่งที่ต้องการมา แล้วเราจะให้เธอ”
23 กษัตริย์สัญญาว่า “ไม่ว่าเธอจะขอสิ่งใด เราจะให้ แม้จะเป็นครึ่งหนึ่งของอาณาจักร”
24 ดังนั้นเธอจึงออกไปถามมารดาว่า “หนูควรขออะไรดี?” มารดาตอบว่า “ขอหัวของยอห์นผู้ให้บัพติศมา”
25 เด็กสาวรีบกลับมาหากษัตริย์ ทูลว่า “หม่อมฉันต้องการศีรษะของท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา ใส่ถาดมาให้เดี๋ยวนี้เลยเพคะ”
26 กษัตริย์เป็นทุกข์ใจนัก แต่เป็นเพราะเขาสาบานแล้วต่อหน้าแขกเหรื่อ จึงไม่อาจขัดใจเธอได้
27 ท่านจึงสั่งให้เพชฌฆาตนำศีรษะของยอห์นเข้ามาทันที โดยส่งเขาไปตัดศีรษะยอห์นในคุก
28 เขานำศีรษะของยอห์นใส่ถาดมาให้หญิงสาว ซึ่งเธอก็เอาไปให้มารดา

งานเลี้ยงที่ไม่คาดฝัน

30 ในช่วงเวลานั้น อัครทูตก็รวมตัวกันรอบ ๆ พระเยซู และเล่าถึงสิ่งที่พวกเขาไปทำ และสั่งสอน
31 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงมากับเรา ไปหาที่พักสงบ และให้เราพักผ่อนสักหน่อย” เนื่องจากว่ามีคนไป ๆ มา ๆ มากมายและพวกเขาไม่มีแม้กระทั่งเวลารับประทานอาหาร
32 ดังนั้นพวกเขาจึงลงเรือไปด้วยกัน ไปยังที่สงบ
33 แต่มีหลายคนเห็นพวกเขาลงเรือไป และจำได้ว่าเป็นใคร พวกเขาจึงวิ่งออกจาเมืองต่าง ๆ และไปถึงที่หมายก่อนเสียอีก34 เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากเรือ ก็ทรงเห็นคนเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงสงสารพวกเขานัก เพราะว่าพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง และพระองค์ทรงเริ่มต้นสั่งสอนเขาหลาย ๆ อย่าง


35 เวลาล่วงเลยไปนาน ดังนั้นศิษย์จึงมาหาพระเยซูทูลว่า “ที่นี่อยู่ห่างไกลมาก และตอนนี้ก็เย็นแล้ว
36 ขอพระองค์ทรงปล่อยผู้คนไปตาม เมืองและหมู่บ้านรอบๆ จะได้ซื้ออาหารกินขอรับ”
37 แต่พระเยซูตรัสว่า “พวกเจ้าจงเลี้ยงพวกเขาเถิด” เขาทูลถามว่า “จะให้เราออกไป และจ่ายเงินสองร้อยเดนาริอันเพื่อเลี้ยงอาหารพวกเขาหรือขอรับ?”
38 แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ไปดูสิว่า มีขนมปังสักกี่ก้อน”หลังจากที่ไปตรวจดู พวกเขากลับมา “มีขนมปังห้าก้อน และปลาสองตัวขอรับ”
39 พระเยซูจึงทรงสั่งให้เขาจัดให้ประชาชนนั่งเป็นกลุ่ม ๆ บนทุ่งหญ้าเขียวสด
40 ดังนั้นพวกเขาจึงนั่งกันเป็นกลุ่ม ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง
41พระเยซูทรงรับขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวมา และเงยพระพักตร์ไปยังฟ้าสวรรค์ ทรงขอบพระคุณ และฉีกขนมปังออก จากนั้นทรงส่งต่อให้กับศิษย์ เพื่อแจกให้กับประชาชน แล้วทรงแบ่งปลาทั้งสองตัวให้ทุกคนได้จนทั่วถ้วนหน้า
42 พวกเขาได้กิน และอิ่มกันทุกคน
43 พวกศิษย์ได้เก็บเศษขนมปังและปลาได้ถึงสิบสองตะกร้า
44 มีผู้ชายรับประทานขนมปังทั้งสิ้นห้าพันคน!

เดินมาแบบนี้ได้อย่างไร?

45 จากนั้นทันที พระเยซูทรงให้ศิษย์ลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองเบธไซดาล่วงหน้าพระองค์ ขณะที่พระองค์ทรงรอส่งให้ประชาชนกลับไป
46 หลังจากที่ลาพวกเขาแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐาน
47 ค่ำแล้ว เรืออยู่กลางทะเล และพระเยซูทรงอยู่ผู้เดียวบนฝั่ง

48 พระองค์ทรงเห็นพวกศิษย์พยายามที่จะกรรเชียงเรือต้านลมที่มาปะทะ ประมาณช่วงใกล้เช้า (ประมาณตีสามถึงหกโมงเช้า) พระเยซูเสด็จไปหาพวกเขา ทรงเดินบนน้ำ พระองค์กำลังจะทรงเดินผ่านพวกเขาไป
49 แต่เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์เดินบนน้ำ พวกเขาก็ร้องลั่นออกมา คิดว่า พระองค์เป็นวิญญาณตนหนึ่ง
50 ทุกคนเห็นพระองค์และตกใจกลัวกัน แต่พระองค์ตรัสทันทีว่า “กล้าเข้าไว้ นี่เราเอง อย่ากลัวไปเลย!”
51 จากนั้นทรงขึ้นเรือไปกับพวกเขา และลมแรงก็ผ่อนลง พวกศิษย์ต่างอัศจรรย์ใจเป็นที่สุด
52 เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง และพวกเขายังใจแข็งนัก

แค่แตะชายเสื้อของพระเยซู!

53 เมื่อข้ามฟากไปแล้ว ก็จอดเรือขึ้นฝั่งที่เมืองเกนเนซาเร็ธ
54 ทันทีที่พวกเขาขึ้นจากเรือ ประชาชนก็จำพระเยซูได้
55 พวกเขาจึงวิ่งไปทั่วแคว้น แล้วแบกคนป่วยมาบนที่นอน ไปยังที่ พวกเขาได้ยินว่า พระองค์เสด็จไป
56 และไม่ว่าพระองค์ทรงไปที่ไหน จะเป็นหมู่บ้านหรือเมืองหรือชนบทพวกเขาจะเอาคนป่วยมาที่ย่านตลาด และทูลขออนุญาตแค่แตะชายเสื้อของพระองค์ และคนที่ได้แตะก็หายป่วยทั้งหมด

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 6:1-6
ใคร ๆ ก็ปฏิเสธพระเยซู
มีครั้งหนึ่งที่พระเยซทรงกลับไปที่บ้านเมืองที่ทรงเติบโตมา
เมื่อทรงสอนในธรรมศาลา พวกที่มาฟังกลับประหลาดใจว่าทรงมีปัญญาล้ำเลิศนัก แต่..กลับมีกิริยาวาจาดูหมิ่นเมื่อนึกได้ว่าเป็นลูกชายของคนรู้จัก เป็นลูกชายมารีย์ซึ่งเป็นแม่บ้านกับโยเซฟช่างไม้ พระเยซูไม่ใช่ผู้ที่ ไม่ร่ำเรียนมาแบบธรรมาจารย์ โดยประเพณีแล้ว ไม่น่าจะมาสอนได้ในศาลาธรรมเสียด้วยซ้ำ พวกเขาคิดว่าตนรู้จักพระองค์ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ความจริงอะไรเลย
พระคำตอนนี้ทำให้เราเห็นชัดว่า การที่ใครคนหนึ่งมารับใช้พระเจ้า แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว คนในหมู่บ้าน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว แม้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าแต่พระองค์ก็ยังถูกเพื่อนบ้านพี่น้องไม่ยอมรับ พระองค์ถึงกับประหลาดพระทัยกับการที่พวกเขาไม่มีความเชื่อ จริงสิ พระองค์ทรงมีฤทธิ์ ทรงเป็นพระเจ้า ทรงเต็มด้วยสติปัญญาล้ำ แต่มนุษย์เดินดินกลับไม่เชื่อในพระองค์ น่าประหลาดใจจริง ๆ

มาระโก 6:7-13 การรับใช้ของศิษย์ทั้งสิบสอง
พระเยซูทรงใช้ศิษย์ออกไปเป็นคู่ และประทานสิทธิอำนาจเหนือผี
ไม่อนุญาตให้เอาของพะรุงพะรังไป แต่มุ่งหน้าประกาศ ชวนให้คนกลับใจจากบาป พวกเขาจะต้องเชื่อว่า พระเจ้าจะทรงเลี้ยงดู ซึ่งในสมัยโบราณนั้น ผู้ที่ประกาศก็จะได้รับการสนับสนุนจากคนที่ได้รับประโยชน์จากการประกาศนั้นทรงให้เขาขับผี รักษาโรค ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการมาก ในสมัยนั้น ศัตรูสำคัญของการมีชีวิตคือ ทั้งบาป ผี และโรคร้ายและถ้าใครไม่ต้อนรับก็สลัดผงที่เท้าตอนจากมา เป็นสัญลักษณ์ว่า เป็นความผิดของพวกเขาเองที่เขาไม่ยอมที่จะกลับใจ

มาระโก 6:14-28
การสั่งตัดคอยอห์นผู้ให้บัพติศมา
มาระโกได้บรรยายเรื่องความตายของท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา เป็นการถูกประหารที่ดูเหมือนไร้เหตุผลอันสมควรอย่างมาก เพราะเกิดจากความอาฆาตแค้นของเฮโรเดียส ที่ยอห์นกล่าวว่า เฮโรดทำผิดที่มาเอาเธอซึ่งเป็นภรรยาของน้องชาย มาเป็นของตน
บรรยากาศงานเลี้ยงที่มีผู้ชายเต็มงานและมีผู้หญิงสาวคอยปรนเปรอ ทุกคนเมาเหล้า และเสียงดังอึกทึกวุ่นวาย
และแล้วเฮโรดก็ตกปากสัญญากับสาวน้อยลูกสาวนางเฮโรเดียสว่าจะให้รางวัลถึงครึ่งอาณาจักร (มีความหมายว่าให้ได้มาก แต่ก็จำกัด) เพราะเธอเต้นรำเร้าใจมาก
รางวัลที่เธอต้องการจากเขานั้น ไม่ใช่จากความต้องการจริง ๆ ของเธอแต่เป็นของมารดา นั่นคือศีรษะของยอห์น และความที่ไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าแขกทั้งหลาย เฮโรดจำต้องให้ตามที่เธอขอ

มาระโก 6:30-44
แล้วอัครทูตต่างรายงานตนหลังจากที่ออกไปประกาศและรักษาคนให้หายโรคตามที่พระเยซูทรงส่งออกไป พวกเขาตื่นเต้นที่มีการอัศจรรย์เกิดขึ้น และคนธรรมดาอย่างเขาก็มีโอกาสที่จะช่วยอธิษฐานรักษาโรคให้คนด้วย
เมื่อมีการทำงานเกิดขึ้น ก็ควรจะมีการรายงานให้รับรู้ เพื่อแนวหลังจะได้อธิษฐานเผื่อ เพื่อทราบความก้าวหน้า
แต่แล้วจากนั้นพระเยซูกลับชวนพวกเขาให้หนีออกไปพัก .. พระองค์ทรงรู้ดีว่า พวกเขาเหนื่อยมาก ไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะกินข้าว พวกเขาอาจตื่นเต้น แต่การพักผ่อนก็สำคัญ ทรงชวนให้พักสักหน่อย… พระองค์ไม่ได้สั่งให้เขาทำงานต่อ แต่ให้พัก
การหนีออกไปจากประชาชนครั้งนี้ไม่เป็นผล เพราะมีคนเห็นจึงพากันไปจากเมืองต่าง ๆ โดยวิ่งไปจนถึงอีกฝั่ง เมื่อพระเยซูทรงเห็นดังนั้น โอกาสที่จะพักจึงไม่มีอีก ทรงสงสารพวกเขา เพราะว่าพวกเขาไม่รู้อะไรเลย ไม่เข้าใจอะไร ยากจน เจ็บป่วย มีผีเข้า ถูกรังควาญโดยเหล่ามาร เขาถูกเอาเปรียบจากพวกธรรมาจารย์ ที่สั่งสอนสิ่งที่ไม่จำเป็น สั่งสอนสิ่งที่เป็นคำของมนุษย์ไม่ใช่คำจากพระเจ้า
สิ่งที่พระองค์ทรงทำอย่างแรกคือ ทรงสอนพวกเขา… เราอย่าลืมว่า ในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน คนที่หลงทางต้องการคำสอน คำหนุนใจ คำแนะนำอย่างถูกต้อง

หากเราดูการอัศจรรย์ของพระเยซู การเลี้ยงคนจำนวนมหาศาล เป็นเรื่องที่ทั้งมัทธิว มาระโก ลูกาและยอห์นกล่าวถึง เพราะเป็นเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่ต้องจดจำจริง ๆ ทรงมีคนห้าพัน ขนมปังห้าก้อน ปลาสองตัว ขณะที่คนห้าพัน (ซึ่งยังไม่รวมผู้หญิงและเด็ก) กำลังหิว พระเยซูทรงเปลี่ยนอาหารจำนวนที่น้อย กลายเป็นจำนวนมากมหาศาลแล้วยังมีเหลืออีกสิบสองตะกร้า นี่มันอะไรกัน? เป็นไปไม่ได้ที่จะตาฝาดไป เพราะพวกเขากินอิ่มจริง ๆ จากจำนวนห้าพันคนเหล่านี้ วันหนึ่งข้างหน้า จะมีบางคนที่กลายเป็นคนที่ติดตามพระเยซูและประกาศพระนามต่อไป

ก่อนการอัศจรรย์จะเกิดขึ้น มีการคุยกันระหว่างพระเยซูกับศิษย์ของพระองค์ คนหนึ่งเสนอให้ประชาชนออกไปซื้ออาหารเอง พระองค์ทรงบอกให้พวกเขาเลี้ยง แต่อีกคนกลับพูดทำนองว่า จะให้จ่ายเงินจำนวนมากมายเพื่อเลี้ยงพวกเขาหรือ ซึ่งคำพูดนี้ถ้าเราฟังเผิน ๆ จะรู้ว่า คนพูดรู้สึกเสียดายเงิน รู้สึกว่าไม่น่าจะต้องจ่ายขนาดนี้กับอาหารมื้อเดียว
แต่พระเยซูทรงอยู่เหนือความคิดความเข้าใจทั้งหมด
ทรงให้เขาไปตามหาอาหารที่มีอยู่.. แน่นอนที่มีบางคนเอาอาหารมา แต่คนนั้นก็ต้องยอมให้ด้วย
เมื่อได้ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวมา เมื่อทุกคนนั่งเป็นระเบียบ
พระเยซูทรงรับอาหารนั้นมา ทรงเงยพระพักตร์ไปหาองค์พระบิดาในสวรรค์ …. พระบิดา กับพระบุตรจะทรงทำการยิ่งใหญ่ต่อหน้าคนนับหมื่น ..ทรงขอบพระคุณด้วยรู้ว่า สิ่งเหนือธรรมชาติกำลังจะเกิดขึ้น แล้วจากนั้นพระองค์ก็ทรงฉีกขนมปังออก และแบ่งปลาออกไป ใช้เวลาที่ทำให้ผู้คนได้ประหลาดใจ ได้กล่าวขาน ได้รับขนมปังและปลา ได้อิ่มพุง
เหตุการณ์ตอนนี้ สมกับคำในสดุดี 23 ที่ว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงของฉัน… พระองค์ทรงจัดเตรียมโต๊ะให้ฉัน …

และอาหารที่แจกยังเหลืออีกทำให้พวกศิษย์ได้กินต่ออีกมื้อหรือสองมื้อ
พระพรของพระเจ้าเกินความเข้าใจ เกินคาด และหากเราอยู่ใกล้ ๆ พระเจ้า เดินไปกับพระองค์ เราก็จะมีประสบการณ์มหัศจรรย์ที่ทำให้เรารู้ว่า พระเจ้าทรงอยู่ด้วยได้ไม่หยุดเหมือนกัน

มาระโก 6:45-52
พระเยซูทรงเดินบนน้ำ
หลังจากที่พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์แบบทำให้ตาลุกวาวไปแล้ว ผู้คนก็เริ่มทยอยกันกลับบ้าน พระเยซูทรงสั่งให้ศิษย์ลงเรือไปก่อน โดยที่ยังทรงส่งคนทั้งหลายแทนพวกเขาด้วย แต่แล้ว เมื่อคนไปหมด
พระเยซูก็ทรงขึ้นภูเขาเพื่อไปอธิษฐาน
แน่นอนที่ว่าทรงเหนื่อยมาก ถ้าเป็นเราก็ขอพักก่อนแล้วกัน แต่พระเยซูคงมีสิ่งที่อยากจะสนทนากับพระบิดาตามลำพังแน่นอน เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่เราควรทำตามเป็นอย่างยิ่ง .. พระองค์มีพลังมากแต่ไม่ทรงลืมที่จะหันกลับไปสนทนากับพระบิดาเลย เชื่อว่าพระองค์ทรงอธิษฐานเผื่อทั้งศิษย์ ประชาชน และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ช่วงเวลานั้นเอง พระองค์ทรงเห็นศิษย์ที่พยายามกรรเชียงเรือต้านลม ทรงมองเห็นจากที่ไกล หรือทรงเห็นด้วยวิธีพิเศษเราไม่ทราบ แต่ทรงตั้งพระทัยเดินบนน้ำไปหาพวกเขาสบาย ๆ เหมือนเดินบนดิน
เวลาพวกเราเจอปัญหาหนัก ๆ ก็อย่างนี้แหละ และต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าทรงเห็น
เมื่อศิษย์บนเรือเห็นพระเยซูดำเนินมาบนน้ำ ก็ตกใจมาก คิดว่าเป็นผี… แต่พระองค์ทรงปลอบใจว่าเป็นพระองค์เอง ..​ ดูสิว่า พระองค์ไม่จำเป็นต้องให้น้ำสงบก่อนเสียอีก ทรงขึ้นเรือไปกับพวกเขาลมจึงสงบ

มาระโกได้เขียนว่า เมื่อพระเยซูขึ้นเรือไป ลมก็เบาลง พวกศิษย์อัศจรรย์ใจ พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง เพราะใจแข็งนัก ทำไมจึงเขียนคำคอมเม้นท์เช่นนี้?

พวกศิษย์ยังไม่เข้าใจอะไรหลาย ๆ เรื่องที่พระเยซูทรงทำ เขายังมองไม่เห็นว่า การเลี้ยงคนมากมายนั้น คือการที่พระเจ้าทรงจัดหาให้ตามที่จำเป็น ตามที่ผู้คนมีความต้องการ เป็นเราเองก็อาจจะตื่นเต้น แต่ไม่เข้าใจพระดำริของพระเจ้าทั้งในเรื่องขนมปังและการดำเนินบนน้ำ

คำว่าเข้าใจ ภาษากรีกว่า ซูนนีเอมี .. หมายถึงวิเคราะห์ หาความเข้าใจ สรุปผล ส่วนคำว่าใจแข็งนั้นคือ โพโรโอ หมายถึงแข็ง ทำให้แข็งเป็นหิน เท่ากับมีกรอบความคิดที่ขยายออกมาใหม่ได้ยาก เพราะยังมีความคิดเก่า ๆ ที่ติดแน่นอยู่ ไม่สามารถเปลี่ยนได้

มาระโก 6:53-56
แค่แตะชายเสื้อของพระเยซู!
ตอนแรก ตั้งใจไปที่เบธไซดา แต่แล้วการมีพายุทำให้พวกเขาไปจอดเรือที่เกนเนซาเรธซึ่งอยู่อีกด้าน (ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกาลิลี) เป็นเมืองที่ทำการเกษตรเป็นหลัก
มาระโกได้เล่าเรื่องที่พระเยซูพบประชาชนว่า พวกเขาจำพระองค์ได้ทันที แล้วก็พากันวิ่งไปป่าวร้องให้รู้ว่า พระเยซูกำลังไปที่ไหน พวกเขาก็ตามไป
พระเยซูทรงไปทั้งตามหมู่บ้าน เมือง ชนบท และตลาด ทุกแห่งมีคนมารุมล้อมพระองค์
ที่สำคัญ แค่ขอแต่เพียงชายเสื้อ พวกเขาก็หายโรคแล้ว มหัศจรรย์เหลือเกิน!

พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 4:16-30; มัทธิว 13:54-58
2* ยอห์น 6:42; 7:15 กิจการ 4:13-14;
3* มัทธิว 12:46; 11:6
4* ยอห์น 4:44
5* ปฐมกาล 19:22; 32:25
6* อิสยาห์ 59:16; มัทธิว 9:35
7* มาระโก 3:13-14; ปัญญาจารย์ 4:9-10
9* เอเฟซัส 6:15
10* มัทธิว
11* มัทธิว 10:14;
13* ลูกา 9:7-9
14* ลูกา 19:3715* มาระโก 8:28; มัทธิว 21:11

16* ลูกา 3:19
18* เลวีนิติ 18:16; 20:21
20* มัทธิว 14:5; 21:26
21* มัทธิว 14:6; ปฐมกาล 40:20
23* เอสเธอร์ 5:3, 6; 7:2
26* มัทธิว 14:929* 1 พงศ์กษัตริย์ 13:29-30
30* ลูกา 9:1031* มัทธิว 14:13; มาระโก 3:20
32* มัทธิว 14:13-21
33* โคโลสี 1:6
34* มัทธิว 9:36; 14:14; กันดารวิถี 27:17; ลูกา 9:11
35* มัทธิว 14:15
37* 2 พงศ์กษัตริย์ 4:43
38* ยอห์น 6:9

39* มัทธิว 15:35
41* ยอห์น 11:41-42; มัทธิว 15:36; 26:26
45* ยอห์น 6:15-21
46* ลูกา 5:16
48* ลูกา 24:28
49* มัทธิว 14:26
50* มัทธิว 9:2; อิสยาห์ 41:10
51* สดุดี 107:29; มาระโก 1:27; 2:12; 5:42; 7:37
52* มาระโก 8:17-18; 3:5; 16:14
53* มัทธิว 14:34-36
56* มัทธิว 9:20; กันดารวิถี 15:38-39