มาระโก 11 โฮซันนา! โฮซันนา!

เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างทรงเกียรติ
(เศคาริยาห์ 9:9–13; มัทธิว 21:1–11; ลูกา 19:28–40; ยอห์น 12:12–19)
1 เมื่อพวกเขาเดินทางเข้ามาใกล้เยรูซาเล็ม เข้าไปยังหมู่บ้านเบธฟายีและเบธานี บนเนินเขามะกอกเทศ พระเยซูทรงส่งศิษย์สองคนออกไป
2 และตรัสกับเขาว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านข้างนี้ และเมื่อเจ้าเข้าไปก็จะเห็นลูกลาตัวหนึ่งที่ไม่เคยมีใครขี่เลยผูกอยู่ เจ้าจงแก้เชือกและจูงมันมาที่นี่
3 หากมีใครถามว่า ‘ทำไมเจ้าทำอย่างนี้?’ ให้ตอบว่า ‘พระองค์ทรงจำเป็นต้องใช้มัน และสักพักก็จะส่งมันกลับคืนให้’ ”

4 พวกเขาจึงออกไปและพบลูกลาผูกอยู่นอกประตูบนถนน ขณะที่เขากำลังแก้เชือกนั้นเอง
5 มีบางคนที่อยู่ตรงนั้นถามว่า “ทำไมเจ้าจึงแก้เชือกลูกลา?”
6 พวกศิษย์จึงตอบตามที่พระเยซูตรัสสั่ง และพวกนั้นก็ยอมปล่อยลูกลาให้เขา


7 จากนั้น พวกเขาเอาลูกลามาหาพระเยซู โยนเสื้อคลุมของพวกเขาคลุมหลังลาให้พระองค์ประทับบนหลังมัน
8 ฝูงชนเป็นอันมากได้กางเสื้อคลุมของตนตามทาง บางคนเอากิ่งไม้ที่ตัดมาจากทุ่งมาปู
9 คนที่เดินนำเสด็จ และคนที่ตามมา ต่างโห่ร้องกันว่า
“โฮซันนา .. สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
คำว่าโฮซันนา แปลว่า ขอทรงช่วยเดี๋ยวนี้ เป็นคำตะโกนสรรเสริญพระเจ้า สดุดี 118:25


10 “ขอให้ราชอาณาจักรของกษัตริย์ดาวิด บรรพบุรุษของเราจงเจริญเถิด!”
“โฮซันนาในที่สูงสุด”
สดุดี 118:25 และ 148:1
11 แล้วพระเยซูทรงลูกลาเสด็จเข้าไปในเยรูซาเล็ม ทรงไปยังพระวิหาร แล้วทรงมองไปรอบ ๆ แต่เนื่องจากว่า ใกล้ค่ำ พระองค์จึงออกไปยังหมู่บ้านเบธานีกับศิษย์ทั้งสิบสองคน

พระเยซูทรงสาปต้นมะเดื่อ
(มัทธิว 21:18–22; มาระโก 11:20–25)
12 วันต่อมา เมื่อพวกเขาออกจากหมู่บ้านเบธานี พระเยซูทรงรู้สึกหิว
13 ทรงเห็นต้นมะเดื่อที่มีใบเขียวดก ทรงเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูว่ามีผลบ้างหรือไม่ แต่เมื่อถึง ก็ทรงเห็นว่า มีแต่ใบ เพราะยังไม่ถึงฤดู
14 พระองค์ตรัสกับต้นมะเดื่อว่า “ต่อจากนี้ไป จะไม่มีใครได้กินผลจากเจ้าอีกเลย” พวกศิษย์ก็ได้ยินคำนี้

พระเยซูทรงชำระพระวิหาร
(มัทธิว 21:12–17; ลูกา 19:45–48; ยอห์น 2:12–25)
15 เมื่อพวกเขาไปถึงเยรูซาเล็ม พระเยซูทรงเข้าไปในบริเวณพระวิหาร และทรงขับไล่เหล่าคนที่ซื้อขายของกันอยู่ ทรงคว่ำโต๊ะคนแลกเงิน และม้านั่งของคนที่ขายนกพิราบ
16 และพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ใครเอาสินค้าเข้ามายังบริเวณพระวิหาร
17 จากนั้น พระองค์ทรงเริ่มต้นสอนพวกเขา และทรงประกาศว่า
“มีเขียนไว้มิใช่หรือว่า ..พระนิเวศของเราจะได้ชื่อว่า เป็นพระนิเวศแห่งการอธิษฐานของชาติต่าง ๆ ?แต่พวกเจ้ากลับมาทำให้กลายเป็นถ้ำโจร” เยเรมีย์ 7:11
18 เมื่อหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์ได้ยินเรื่องนี้ ก็เริ่มหาช่องทางที่จะสังหารพระองค์ เพราะพวกเขากลัวพระองค์ เนื่องจากประชาชนต่างพากันอัศจรรย์ใจกับคำสอนของพระองค์
19 ตกเย็น พระเยซูกับพวกศิษย์ก็ออกจากเมืองไป

ต้นมะเดื่อที่เหี่ยวแห้ง
(มัทธิว 21:18–22; มาระโก 11:12–14)
20 ขณะที่พวกเขาเดินกลับมาตามทาง
เขาเห็นต้นมะเดื่อแห้งจากรากขึ้นมา
21เปโตรจำได้จึงทูลพระเยซูว่า
“รับบีขอรับ ดูสิ ต้นมะเดื่อที่ท่านสาปนั้น ได้เหี่ยวลงไปแล้ว”
22 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “จงเชื่อในพระเจ้าเถิด”
23 “เราขอบอกความจริงกับพวกเจ้าว่า หากใครจะสั่งภูเขาลูกนี้ว่า ‘จงเคลื่อนลงไปในทะเล’ โดยไม่สงสัยในใจแต่มีความเชื่อว่าจะเกิดขึ้น ก็จะเกิด
24 ดังนั้น เราขอบอกพวกเจ้าว่า เจ้าจะทูลขอสิ่งใด จงเชื่อว่าจะได้รับ และเจ้าจะได้รับสิ่งนั้น
25 และเมื่อท่านยืนอธิษฐาน หากว่ายังถือโทษใครอยู่ จงอภัยให้เขา เพื่อพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะทรงอภัยการล่วงละเมิดของเจ้าเช่นกัน”

26 (แต่หากเจ้าไม่อภัยเขา พระบิดาของท่านในสวรรค์ก็จะไม่ให้อภัยเจ้าเช่นกัน)
ข้อความที่อยู่ในวงเล็บนั้น ผู้ที่แปลสงสัยว่าอาจจะไม่ได้มีอยู่ในต้นฉบับแรกของมาระโก



การท้าทายสิทธิอำนาจของพระเยซู
(มัทธิว 21:23–27; ลูกา 20:1–8)
27 หลังจากที่พวกเขากลับมายังเยรูซาเล็มอีกครั้ง พระเยซูทรงดำเนินในบริเวณพระวิหาร และปุโรหิตใหญ่พร้อมกับธรรมาจารย์และผู้อาวุโสทั้งหลาย ได้มาหาพระองค์ทูลว่า
28“ท่านทำการเหล่านี้ด้วยสิทธิอำนาจของใครกัน? ใครมอบอำนาจให้ท่านทำสิ่งเหล่านี้?”
29“เราจะถามพวกเจ้าสักข้อหนึ่ง” พระเยซูตรัสตอบ “และหากเจ้าตอบเรา เราจะบอกเจ้าว่า เราได้สิทธิอำนาจมาจากไหนจึงทำสิ่งเหล่านี้ได้
30 ตอบเรามาเถิดว่า การให้บัพติศมาของท่านยอห์นนั้นมาจากสวรรค์หรือจากมนุษย์ ”

31 พวกเขาหารือกันว่า ควรจะตอบอย่างไร “หากเราตอบว่า ‘มาจากสวรรค์ ท่านเยซูก็จะถามว่า ทำไมเราไม่เชื่อท่านยอห์น?’
32 แต่หากเราตอบว่า ‘มาจากมนุษย์’ พวกเขาก็กลัวความเห็นประชาชน เพราะประชาชนเชื่อว่า ยอห์นเป็นผู้กล่าวพระดำรัสของพระเจ้าจริง ๆ
33 ดังนั้นพวกเขาจึงตอบว่า “พวกเราไม่รู้” และพระเยซูทรงตอบพวกเขาว่า “เราก็จะไม่บอกพวกเจ้าว่า เราเอาสิทธิอำนาจทำการเหล่านี้มาจากไหนเช่นกัน”

อธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 11:1-11
พระเยซูเสด็จมาร่วมเทศกาลอย่างนี้เสมอมาตั้งแต่เด็ก แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป เพราะใกล้เวลาที่พระองค์จะถูกตรึงแล้ว
พระองค์ทรงเตรียมที่จะเข้าไปในเมืองโดยนั่งบนหลังลา ซึ่งมีความหมายว่าเข้ามาโดยสันติอย่างถ่อมพระทัย ไม่ได้นั่งบนหลังม้าศึกหรือรถรบ
ลาตัวนี้ไม่เคยถูกใครนั่งมาก่อนด้วย ดูเหมือนว่า พระเยซูได้ทรงตกลงกับเจ้าของลามาก่อนหน้านี้ ศิษย์ของพระองค์แค่ไปทำตามคำสั่งเท่านั้น
จากเหตุการณ์นี้ เราเห็นความแตกต่าง ปกติแล้วพระองค์จะไม่ให้ใครทราบว่า พระองค์คือใคร แต่ตอนนี้พระองค์ประกาศแล้วว่า พระองค์คือ พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมา ประชาชนที่เห็นต่างโห่ร้องต้อนรับพระองค์ การเสด็จเข้ามาครั้งนี้ เป็นการเปิดเผยความจริงให้กับประชาชนและผู้นำศาสนา ซึ่งเวลานั้นพวกเขาไม่พอใจมากที่ประชาชนสรรเสริญพระองค์ขนาดนั้น แต่พระองค์ตรัสว่า หากพวกเขาเงียบ ก้อนหินก็จะร้องออกมาเอง (ลูกา 19:40)

มาระโก 11:12-14
มีผู้ที่ศึกษาปีเดือนของอิสราเอลบ บอกเราว่า ช่วงเวลานี้เป็นเวลาเดือนมีนาคม ปีคศ. 33
ตอนนี้ยังไม่ถึงฤดูเก็บเกี่ยวของต้นมะเดื่อ แต่ว่าต้นที่พระเยซูทรงเห็นนั้น ออกใบเขียวทีเดียว เป็นใบออกล่วงหน้า พระเยซูเองทรงพอพระทัยที่จะสอนศิษย์ของพระองค์โดยใช้ต้นมะเดื่อต้นนี้ ความหมายก็คือ ต้นมะเดื่อต้นนี้มีใบเยอะ ดูเหมือนอิสราเอลที่น่าจะมีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ดี แต่กลับไม่เจอความเที่ยงธรรมในหมู่คนอิสราเอล พบเจอแต่คนหน้าซื่อใจคดในหมู่ผู้สอนพระบัญญัติ พวกศิษย์ควรรู้ว่า สภาพภายนอกกับตัวจริงข้างในนั้นอาจไม่ตรงกันก็เป็นได้ (จาก Constable’s note : Netbible.org)

มาระโก 11:15-19
การชำระพระวิหารเป็นการแสดงสิทธิอำนาจในฐานะที่ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่จะชำระพระวิหาร ทำลายสิ่งที่ทำให้พระวิหารเป็นมลทิน พระองค์ไม่อนุญาตการขายของ ณ บริเวณนั้น
สถานที่เกิดเรื่อง คือส่วนลานของคนต่างชาติ ด้านนอก (ภาษากรีกสื่อว่าเป็นลานส่วนนั้น ไฮรอน) โดยปกติแล้ว ช่วงปัสกา คนที่เดินทางจากที่ไกล ๆ มา สามารถซื้อสัตว์เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชา และแลกเงินได้จากภูเขามะกอกเทศ จึงไม่ต้องตั้งร้านค้าในพระวิหาร แต่พวกผู้นำศาสนายิวสมัยกายาฟัสกลับเอาสถานที่ส่วนนั้นมาตั้งร้านทำธุรกิจ ชาวต่างชาติที่จะมาอธิษฐานจึงไม่มีที่สำหรับอธิษฐาน
การกวาด ขับไล่ร้านค้าต่าง ๆ ครั้งนี้ ทำให้ผู้นำศาสนายิวโกรธมาก เพราะเป็นการทำลายธุรกิจผูกขาดของพวกเขา ถึงกับหาช่องที่จะกำจัดพระเยซูถึงกับฆ่าให้ตาย แต่อย่างไรก็ยังต้องรอเวลาเพราะประชาชนนิยมพระองค์มาก

มาระโก 11:20-26
เดินกลับมาตามทางก็พบว่า ต้นมะเดื่อแห้งขึ้นมาจากรากเลย ก็แสดงว่า มันไม่ได้ร้อนตาย แต่เป็นการขาดอาหารจากส่วนราก
ต้นมะเดื่อในพระคัมภีร์มีความหมายถึงอิสราเอล และเหล่าผู้นำศาสนายิว ผู้นำศาสนาเหล่านี้ไม่ได้รับใช้ประชาชน ไม่ได้เป็นพระพรสำหรับผู้คนอีกต่อไป เป็นเพราะพวกเขาไม่ยอมติดสนิทกับพระเจ้า แต่กลับติดสนิทกับกฎเกณฑ์ที่ตนเองตั้งขึ้นมา เมื่อเปโตรทักว่ามันเหี่ยวแห้งลงไปแล้ว พระเยซูกลับตรัสว่า จงเชื่อในพระเจ้าเถิด และทรงบอกด้วยว่า ถ้าจะอธิษฐานสั่งให้ภูเขาเคลื่อนก็ทำได้ แต่เวลาอธิษฐานต้องให้อภัยกับคนที่เราถือโทษอยู่
ทั้งหมดนี้ ..เกี่ยวข้องกันอย่างไร

มาระโก 11:27-33
ครั้งนี้ ฝ่ายตรงข้ามกับพระเยซู คือพวกผู้นำศาสนาต้องการจะกำจัดพระเยซูด้วยคำตรัสของพระองค์เอง พวกเขาเห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงทำ แถมยังจัดการกับพวกที่ค้าขายในพระวิหาร (ซึ่งก็น่าจะเป็นพวกที่ให้ประโยชน์การเงินกับพวกเขา) พวกเขายอมรับว่า พระองค์มีอำนาจจริง ๆ จึงเข้ามาถามว่าใครเป็นผู้ให้อำนาจนี้
แทนที่พระเยซูจะตอบทันที ทรงถามเขากลับว่า การให้บัพติศมาของยอห์น (คือการยอมรับว่า กลับใจใหม่แล้ว) มาจากพระเจ้าหรือมาจากการตั้งพิธีขึ้นมาของมนุษย์ การย้อนถามกลับไปเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยนั้น
พวกเรา ไม่คุ้นชินกับพิธีซึ่งเป็นพิธีที่สำคัญของยิว ยอห์นได้มาทำหน้าที่สั่งสอนให้คนกลับใจใหม่ และให้บัพติศมากับผู้คนเพื่อประกาศว่าเขากลับใจ
พวกผู้นำศาสนาเหล่านี้ ไม่อาจตอบยอมรับหรือปฎิเสธ เพราะพวกเขากลัวความเห็นประชาชนที่นับถือยอห์นเป็นอย่างมาก แผนลวงพระเยซูครั้งนี้จึงล่มไปโดยปริยาย

พระคำเชื่อมโยง

Cross Reference มาระโก 11
1* มัทธิว 21:1-9
8* มัทธิว 21:8
9* เศคาริยาห์ 9:9; สดุดี 118:25
10* สดุดี 148:1
11* มัทธิว 21:12
12* มัทธิว 21:18-22

13* มัทธิว 21:1915* ยอห์น 2:13-16; เลวีนิติ 14:22
17* อิสยาห์ 56:7; เยเรมีย์ 7:11
18* มัทธิว 21:45-46; มัทธิว 7:28
20* มัทธิว 21:19-22
23* มัทธิว 17:20; 21:21
24* มัทธิว 7:7

25* โคโลสี 3:13
26* มัทธิว 6:15; 18:35
27* ลูกา 20:1-8
28* ยอห์น 5:27
30* ลูกา 7:29-30
32* มัทธิว 3:5; 14:5

มาระโก 10 จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า

คำสอนเรื่องการหย่าร้าง
(มัทธิว 19:1–12)
1แล้วพระเยซูก็ทรงละจากที่นั่น และเข้าไปในเขตแคว้นยูเดียและอีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน
ผู้คนก็เข้ามาหาพระองค์อีก และพระองค์ทรงสอนพวกเขาอย่างที่เคย
2 มีฟาริสีบางคนมาหาเพื่อจะทดสอบพระองค์ ถามพระองค์ว่า
“ถูกต้อง ตามพระบัญญัติไหมที่ชายคนหนึ่งจะหย่าภรรยาของตน?”
3 พระองค์ตรัสตอบว่า “แล้วโมเสสได้สั่งไว้ว่าอย่างไร?”
4 พวกเขาตอบว่า “โมเสสอนุญาตให้ผู้ชายเขียนหนังสือหย่า และให้ภรรยาละจากเขาไป
5 แต่พระเยซูตรัสว่า “โมเสสเขียนคำสั่งนี้เพราะว่าพวกเขาใจแข็งนัก
6 ตั้งแต่การทรงสร้าง ‘พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เป็นชายและหญิง
7 เพราะอย่างนี้ ชายจึงละจากพ่อและแม่เพื่อเขาจะได้ผูกพันกับภรรยาของเขา
8 และทั้งสองจะเป็นหนึ่งเนื้อเดียวกัน จึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นหนึ่งเนื้อเดียวกัน
9 ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าทรงทรงผูกพันกันไว้ อย่าให้มนุษย์แยกเขาจากกันเลย”

10 เมื่อพวกเขากลับมาในบ้านอีกครั้ง ศิษย์ก็ถามพระองค์เรื่องนี้
11 พระองค์ทรงบอกเขาว่า “ใครก็ตามที่หย่าภรรยาและแต่งงานกับหญิงอื่นเท่ากับล่วงประเวณีต่อเธอ
12 และหากหญิงคนใดหย่าสามีของเธอและแต่งงานกับชายอื่น เท่ากับเธอล่วงประเวณี”

พระเยซูทรงอวยพระพรเด็กเล็ก ๆ
(มัทธิว 19:13–15; ลูกา 18:15–17)
13 ตอนนี้ประชาชนได้พาเด็กเล็ก ๆมาหาพระเยซูเพื่อให้พระองค์วางพระหัตถ์เหนือพวกเขา พวกศิษย์ก็ไปตำหนิคนที่พาเด็ก ๆ มา
14 แต่เมื่อพระเยซูทรงเห็นเช่นนั้น พระองค์ทรงไม่พอพระทัย ตรัสว่า “จงให้เด็กเล็ก ๆ มาหาเรา อย่าขัดขวางพวกเขา เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนเด็ก ๆ เหล่านี้
5 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า ใครไม่ตอบรับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับเด็กเล็ก ๆ จะไม่มีวันได้เข้าในแผ่นดินนั้น”
16 และพระองค์ทรงอุ้มเด็ก ๆ วางพระหัตถ์ทั้งสองบนตัวเขา และทรงอวยพระพรเขา

คำถามของเศรษฐีหนุ่ม
(มัทธิว 19:16–30; ลูกา 18:18–30)
17 ขณะที่พระเยซูกำลังจะออกเดินทาง ก็มีชายคนหนึ่งวิ่งมาและคุกเข่าต่อพระองค์ “ท่านอาจารย์แสนดีขอรับ ข้าพเจ้าจะต้องทำอย่างไร จึงจะได้รับชีวิตนิรันดร์เป็นมรดกขอรับ?”
18“เจ้ามาเรียกเราว่าดีทำไม ไม่มีใครดีต่อจากพระเจ้าเท่านั้น
19 เจ้ารู้บัญญัติที่ว่า..อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ ให้เกียรติพ่อและแม่ของเจ้า”
20“ท่านอาจารย์ขอรับ” เขาตอบ “ทุกอย่างที่ท่านกล่าวมานั้นข้าพเจ้าถือรักษามาตั้งแต่เด็ก
21 พระเยซูทรงมองเขาด้วยความรัก และตรัสกับเขาว่า “มีอีกอย่างที่ขาดอยู่ จงไปขายทุกสิ่งที่เจ้ามี และแจกจ่ายให้คนยากจน และเจ้าจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้นก็ตามเรามา”
22 แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของเขาก็เศร้าสลด และเดินออกไปด้วยความทุกข์ใจ เพราะเขาเป็นคนร่ำรวยมาก



23 แล้วพระเยซูทรงมองรอบ ๆ ตรัสกับศิษย์ของพระองค์ว่า “ยากจริง ๆ ที่คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า!”
24 พวกศิษย์ก็ประหลาดใจกับคำตรัสของพระองค์ แต่พระเยซูก็ตรัสอีกว่า “ลูกเอ๋ย ดูสิว่าการจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า!
25 ที่จะให้อูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่าที่คนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า”

26 พวกเขายิ่งประหลาดใจขึ้น ถามกันว่า “ถ้าอย่างนั้น ใครจะรอดได้เล่า?”
27 พระเยซูทรงมองที่พวกเขาและตรัสว่า “กับมนุษย์แล้วนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่กับพระเจ้าแล้วทุกสิ่งเป็นได้สำหรับพระองค์”

28 เปโตรทูลว่า “ข้าพเจ้าต่างละทิ้งทุกสิ่งและติดตามพระองค์มา”
29 พระเยซูตรัสตอบว่า “ไม่มีใครสักคนที่ละจากบ้าน พี่น้องชายหญิง หรือแม่ หรือพ่อ หรือลูก ๆ หรือไร่นาเพื่อเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ
30 แล้วจะไม่ได้รับผลตอบแทนร้อยเท่าในยุคนี้ (ไม่ว่าจะเป็นบ้าน พี่น้องชายหญิง แม่และลูก ๆ และไร่นา รวมทั้งการข่มเหง)

และยุคหน้าเขาจะไม่ขาดชีวิตนิรันดร์
31 แต่หลายคนที่เป็นคนต้นจะกลับกลายเป็นคนสุดท้าย และคนสุดท้ายจะกลายเป็นคนต้น”

ทรงบอกเรื่องการทนทุกข์ครั้งที่สาม
(มัทธิว 20:17–19; ลูกา18:31–34)
32 ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางขึ้นไปยังนครเยรูซาเล็ม พระเยซูทรงนำหน้าพวกเขาไป และศิษย์ก็ประหลาดใจ แต่คนที่ตามมากลับรู้สึกกลัว อีกครั้งที่พระเยซูทรงพาศิษย์ทั้งสิบสองคนออกมาจากผู้คน เพื่อทรงแจ้งให้พวกเขาทราบว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์บ้าง
33“ดูเถิด เรากำลังขึ้นไปยังนครเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกส่งตัวให้กับปุโรหิตใหญ่ และธรรมาจารย์ พวกเขาจะตัดสินประหารและมอบพระองค์ให้กับคนต่างชาติ
34 ซึ่งคนเหล่านี้จะเยาะหยันพระองค์ จะถ่มน้ำลายรดพระองค์ จะเฆี่ยนและประหารพระองค์เสียหลังจากนั้นสามวัน พระองค์จะทรงคืนชีพขึ้นมา”

คำขอพิเศษจากยากอบและยอห์น
(มัทธิว 20:20-28)
35 จากนั้นยากอบและยอห์นลูกชายของเศเบดี มาหา และทูลขอพระเยซูว่า “พระอาจารย์ขอรับ เรามาขอให้พระองค์ทรงทำตามคำขอ ไม่ว่าเราจะขออะไร”
36“เจ้าต้องการให้เราทำอะไรให้หรือ?” พระองค์ตรัส
37พวกเขาตอบว่า “ขอทรงอนุญาตให้เราคนหนึ่งนั่งด้านขวาพระหัตถ์ และอีกคนนั่งด้านซ้าย ในเวลาที่พระองค์ทรงรับพระบัลลังก์”
38 “เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าขออะไรอยู่สินะ” พระเยซูตรัสตอบ “เจ้าจะดื่มถ้วยที่เราจะดื่มได้หรือ? หรือเจ้าจะต้องผ่านบัพติศมาที่เราต้องผ่านได้หรือ?”
39 “ได้แน่ พระเจ้าข้า” พี่น้องทั้งสองตอบ “เจ้าจะได้ดื่มถ้วยที่เราต้องดื่ม” พระเยซูตรัส “และเจ้าจะได้ผ่านบัพติศมาที่เราต้องผ่าน

40 แต่การที่จะนั่งข้างขวาหรือซ้ายมือของเราไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะจัดให้ ที่นั่งตรงนั้น เป็นที่ของคนที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้”
41 เมื่ออีกสิบคนได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาก็ไม่พอใจยากอบและยอห์น42 พระเยซูจึงทรงเรียกพวกเขามาทุกคน ตรัสว่า “พวกเจ้ารู้อยู่ว่า สำหรับคนต่างชาตินั้น คนที่เป็นผู้ปกครองก็จะเป็นเจ้าเหนือผู้คน คนใหญ่โตก็จะใช้สิทธิอำนาจเหนือผู้คน
43 แต่สำหรับพวกเจ้าจะไม่เป็นอย่างนั้น ใครก็ตามที่ต้องการเป็นใหญ่ท่ามกลางพวกเจ้า จะต้องเป็นผู้รับใช้ของเจ้า
44 คนที่ต้องการเป็นต้น ก็จะต้องเป็นทาสของทุกคน
45 แม้แต่บุตรมนุษย์เองไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อรับใช้ และเพื่อประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่แก่คนเป็นจำนวนมาก”

พระเยซูทรงรักษาบารทิเมอัส
(มัทธิว 20:29–34; ลูกา 18:35–43)
46 จากนั้น พวกเขามาถึงเมืองเยรีโค และขณะที่พระเยซูกับสาวกกำลังเดินออกจากเมืองพร้อมกับคนเป็นจำนวนมาก มีชายขอทานตาบอดคนหนึ่งชื่อบารทิเมอัส ลูกชายของทิเมอัส นั่งอยู่ข้างทาง
47 เมื่อเขาได้ยินว่า เป็นพระเยซูทรงผ่านมาก เขาก็ร้องตะโกนขึ้นมาว่า “โอ พระเยซูบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพเจ้าด้วย”
48 มีหลายคนห้ามเขา สั่งให้เงียบแต่เขากลับร้องเสียงดังกว่าเดิม “บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพเจ้าด้วย!”
49 พระเยซูทรงหยุดและตรัสว่า “เรียกเขามาสิ” ดังนั้น พวกเขาจึงเรียกชายตาบอดเข้ามา “ใจกล้าเข้าไว้” พวกเขาบอก “ลุกขึ้นสิ เพราะพระองค์ทรงเรียกหาเจ้า”
50 บารทิเมอัสสลัดเสื้อคลุมทิ้ง กระโดดขึ้นมาหาพระเยซู


51“เจ้าต้องการให้เราทำอะไรให้เจ้ารึ?” พระเยซูตรัสถาม“รับโบนี เจ้าข้า” ชายตาบอดกล่าว “ขอทรงให้ข้าพเจ้ามองเห็นได้” (รับโบนี แปลว่า เจ้านายของข้าพเจ้า)
52“ไปตามทางของเจ้าเถิด” พระเยซูตรัส “ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายแล้ว” ทันใดนั้น เขาก็มองเห็น และเดินตามพระเยซูไปตามทางนั้น

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 10:1-12
ช่วงนี้ พระเยซูกำลังจะเดินทางไปเยรูซาเล็มครั้งสุดท้าย พระองค์มาที่คาเปอรนาอุมก่อน แล้วเข้าไปในเขตยูเดีย ทรงเจอผู้คนมากมายที่จะฟังคำสอน เราเห็นชัดว่า พระเยซูทรงพร้อมสอนคนเหล่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะฟังแล้วลืมไปบ้างก็ตาม
แล้วก็มีฟาริสีที่อยากจะทดสอบพระองค์ เพื่อจะจับผิดให้ได้ จึงถามเรื่องการหย่าร้างว่า ผิดบัญญัติหรือไม่ที่ชายคนหนึ่งจะหย่าภรรยาของตน ซึ่งคำตอบนั้นพวกเขาก็รู้ดีอยู่แล้ว นั่นคือผู้ชายเขียนหนังสือหย่า แล้วภรรยาต้องออกจากบ้านไป
ในเฉลยธรรมบัญญัติ 24:1-4 พวกเขาพยายามทำให้การแต่งงานระหว่างชายหญิงและการหย่าเป็นเรื่องธรรมดา ต้องการดูว่า พระเยซูทรงมีความเห็นอย่างไร
แต่พระเยซูทรงกลับไปที่จุดเริ่มต้น พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาให้เขาได้เป็นสามีภรรยาหนึ่งต่อหนึ่ง และให้ทั้งสองอยู่ด้วยกันตลอดไป พระเยซูทรงมองการแต่งงานเป็นเรื่องของการที่พระเจ้าทรงผูกพันคนสองคนเข้าด้วยกัน ดังนั้น คนสองคนที่ตั้งใจจะอยู่ด้วยกันทั้งชีวิตก็ต้องช่วยกันประคับประคองชีวิตคู่ เพราะในชีวิตคู่นั้น มีทั้งสุขและทุกข์ ง่ายและยาก รักและโกรธ ซื่อสัตย์ และแอบไปมีคนอื่น ความอ่อนโยนและความรุนแรง สิ่งที่พระเยซูทรงย้ำคือ การผูกพันของสามีภรรยา มาจากพระเจ้า ในโลกของเราทุกวันนี้ มีปัญหาเกิดขึ้นในครอบครัว ทุกระดับ ทุกรูปแบบ ซับซ้อนกว่าเดิมมาก

มาระโก 10:13-16
มีคนพาเด็ก ๆ มาหา เพื่อให้พระเยซูทรงอวยพระพร แต่ศิษย์ของพระองค์กลับรู้สึกไม่พอใจ ไปห้ามคนเหล่านั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พระเยซูไม่ทรงพอพระทัยศิษย์ แล้วก็ทรงตรัสบางอย่างที่ผู้เชื่อในพระเจ้าจะต้องฟังดี ๆ
1. จงให้เด็กมาหาเรา
2.อย่าขัดขวางเด็กจากทางของพระเจ้า
3.อาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนเด็ก ๆ
4.คนที่ไม่ต้อนรับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กรับ จะไม่มีวันเข้าแผ่นดินนั้น
พระเยซูทรงบอกเราว่า เด็กสำคัญกับพระองค์ ไม่ว่าสังคมโบราณจะมองเด็กว่าไร้ค่า แต่พระเยซูทรงมองแตกต่าง พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างพวกเขามา ครอบครัว คริสตจักร บุคคลใดที่ให้ความสำคัญกับเด็กและทุ่มเทให้พวกเขา จะได้รับอนาคตของชุมชนที่น่าชื่นชม แต่ถ้าเราละทิ้งเด็ก เราก็จะเจอความโกลาหลจากเด็กและวัยรุ่น ที่ไม่เข้าใจสิทธิ หน้าที่ของตน ไม่สนใจจะช่วยเหลือคนอื่น เอาแต่จะเรียกร้องเพื่อตัวเองอย่างที่เราเจอกันทุกวันนี้

มาระโก 10:17-31
ข้อความตอนนี้ เป็นเรื่องของคนรวยที่ดี แต่ไม่อาจละทิ้งสมบัติตามพระองค์ไป และสำหรับคนที่ติดตามพระเจ้าจริง พระเยซูทรงสัญญาชีวิตนิรันดร์ให้แก่เขา และเป็นเรื่องที่ทั้งมัทธิว และลูกาเล่าเช่นกัน
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นทั้งผู้นำ (ลูกา 18:18 ) ร่ำรวย (22) เป็นคนดีรักษาพระบัญญัติ (20) เขามีความเข้าใจว่า การที่จะได้ชีวิตนิรันดร์คือ ต้องทำอะไรสักอย่างที่ดีมาก ๆ จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์ (17) แล้วแถมยังคิดว่า เขาน่าจะทำสำเร็จผ่านความดีที่ทำลงไปมาตั้งแต่เด็ก อาจมีอะไรที่ขาดอยู่ที่ยังไม่ได้ทำ และเป็นไปได้ไหมที่เขาคิดว่า ความมั่งคั่งของเขาเกิดจากการที่พระเจ้าทรงอวยพระพรเพราะเขาทำดี? (สดุดี 128:1-2)
พระเยซูทรงอ้างพระคัมภีร์เดิมจาก เฉลยธรรมบัญญัติ 30:15-16 เป็นข้อที่เน้นการประพฤติต่อบุคคลรอบข้าง (หลายคนคิดว่า เขาเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ความจริงแล้ว ทุกคนเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้าทั้งหมด) แล้วจากนั้นพระองค์จึงบอกวิธีที่จะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ นั่นคือ ต้องทิ้งทุกอย่าง ไม่ให้มันมาเป็นอุปสรรค (ถ้าจะโยงไปถึงการรับพระเจ้าอย่างเด็ก ๆ นั้นก็คือ รับพระเจ้าโดยไม่หวังพึ่งสิ่งอื่นแทนพระองค์นั่นเอง)
ประเด็นคือ คนรวยจะเข้าแผ่นดินของพระเจ้ายากอย่างนั้นหรือ? ที่จริงคนรวยมีอุปสรรคขัดขวางจากความร่ำรวยของเขา ต้องขจัดอุปสรรคนั้นมีคนรวยหลายคนที่ได้มาพบพระเจ้าอย่างเช่น โยเซฟ ชาวอาริมาเธีย ศักเคียส เป็นต้น จึงจะเห็นว่าเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า เราเองก็ต้อง คิด หาเหตุผลว่า เหตุใดคนรวยจึงสยบต่อพระเจ้า และไม่ได้มีเงินเป็นอุปสรรคต่อการพบพระองค์
ในสมัยนี้ บางครั้งอุปสรรคอาจจะเป็นคนที่มีความรู้สูง ถ้ามาตามพระเยซูแล้วจะดูเหมือนคนไม่ฉลาด ดังนั้นจึงไม่ยอมมาหาพระองค์

ส่วนคนที่ตามพระองค์จริง ๆ แล้ว พวกเขาจะได้รับหลายอย่างร้อยเท่า นั่นคือ การติดตามพระเยซูไม่ได้หมายความว่าเป็นคนโง่หรือ แพ้ แต่เป็นคนที่พระเจ้าจะอวยพระพรและ ให้มากถึงชีวิตนิรันดร์เลย

มาระโก 10:32-34
นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว ที่พระองค์ทรงบอกพวกเขาล่วงหน้าว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์
1. จะเสด็จไปเยรูซาเล็ม (ทั้งที่ทรงรู้ว่าจะเกิดอะไรกับพระองค์ ทรงไปตามแผนของพระบิดา 2.พระองค์จะถูกจับกุมส่งตัวให้ศัตรู
3. พวกเขาจะตัดสินประหารพระองค์แต่
4.ยืมมือคนต่างชาติมาสั่งประหาร
5.พระองค์จะถูกเย้ย ถ่มน้ำลายรด ถูกเฆี่ยน
6.ในที่สุดจะสิ้นพระชนม์จริง ๆ เพราะพวกเขาประหารสำเร็จ แต่..
7.อีกสามวันจะทรงเป็นขึ้นมา
​พระเยซูทรงบอกให้พวกเขาเตรียมตัวเตรียมใจ และในพระคัมภีร์ก็บอกหลาย ๆ อย่างล่วงหน้าแก่เราด้วย เราจึงควรเอาใจใส่ดูว่า พระเจ้าทรงบอกอะไรล่วงหน้าบาง

มาระโก 10:35-45
อย่างน้อยตอนนี้เรารู้แล้วว่า ลูกชายสองคนของเศเบดีนี่เองที่ต้องการเป็นใหญ่ อยากที่จะนั่งข้างซ้ายและขวาของพระเยซู โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่า การขอเช่นนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง
คำตอบของพระเยซูคือ ทั้งสองจะต้องเจอกับความยากลำบากอย่างแน่นอน แต่ที่จะได้นั่งในที่สูงขนาดนั้น เป็นเรื่องที่พระบิดาทรงตัดสิน
พระเยซูตรัสชัดเจนว่า พระองค์ไม่ได้เป็นผู้จัดที่ทางในสวรรค์ว่าใครจะเป็นใหญ่ ใครจะเป็นผู้น้อย พระเจ้าเท่านั้นทรงเป็นผู้ยกคนหนึ่งขึ้นหรือทำให้คนหนึ่งต่ำลง แต่พวกเขาควรทำตามพระองค์คือ การเป็นทาสของผู้อื่น ทำเพื่อรับใช้ และให้ชีวิตเพื่อนำคนอื่นสู่ชีวิตอย่างพระองค์

มาระโก 10:46-52
เรื่องราวนี้เราจะเห็นว่า การติดต่อกันระหว่างสองคนนั้น มีผู้คนขัดขวาง แต่คนที่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ยอมฟัง เขาตั้งใจว่า วันนี้เขาต้องตาดีเหมือนอย่างคนตาบอดอื่น ๆที่เขาได้ยินมาว่า พระเยซูทรงรักษาให้หาย เมื่อเราจะมาหาพระเยซูแต่มีคนขัดขวางเราก็ต้องไม่ยอมเหมือนกับบารทิเมอัสผู้นี้
เรามาดูเหตุการณ์ที่นำไปสู่บารทิเมอัสคนใหม่ที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องเป็นขอทานอีก
เราจะเรียนอะไรได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้

1. บารทิเมอัสรับรู้ว่า พระเยซูผ่านมาทางเขา
2.เขาร้องเรียกพระองค์ว่า พระเยซูบุตรดาวิด..แสดงว่า เขาเชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นลูกหลานของกษัตริย์ดาวิด เขารู้ว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์หรือไม่ เราไม่ทราบ
3.มีคนห้ามเรียกพระเยซู เขาไม่ฟัง ยิ่งเรียกพระองค์เสียงดังขึ้น
4.พระเยซูทรงหยุดและเรียกให้เขามาใกล้
5.เขาลุกขึ้น สลัดเสื้อ กระโดดไปตามทางเสียงของพระเยซูทั้ง ๆ ที่เป็นคนตาบอด เขาตอบรับคำเรียกของพระเยซูทันที
6.เมื่อพระเยซูทรงถามว่า “เจ้าต้องการให้เราทำอะไรให้เจ้า?” เขาตอบทันที “ขอมองเห็นขอรับ เจ้านายของข้าพเจ้า” เขาเชื่อฤทธิ์พระเยซูผู้ที่เขาเรียกว่า บุตรชายของดาวิด
7. พระเยซูทรงให้ตามคำขอทันที ทรงย้ำว่า ความเชื่อทำให้เจ้าหาย ทรงให้เขาไปตามทางของเขา
8.บารทิเมอัสมองเห็น และตัดสินใจเดินตามพระเยซูไป ไม่ได้กลับไปตามทางของตนเอง


พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 19:1-9
2* มัทธิว 19:3
4* เฉลยธรรมบัญญัติ24:1-4
6* ปฐมกาล 1:27; 5:2
7* ปฐมกาล 2:24
11* มัทธิว 5:32; 19:9
13* ลูกา 18:15-17
14* 1 เปโตร 2:215* มัทธิว 18:3-4; 19:14; ลูกา 13:28
17* มัทธิว 19:16-30; ยอห์น 6:28
18* 1 ซามูเอล 2:2


19* อพยพ 20:12-16; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16-20
20* ฟีลิปปี 3:6
21* ลูกา 12:33; 16:9
24* 1 ทิโมธี 6:17
25* มัทธิว 13:22; 19:24
27* เยเรมีย์ 32:17
28* ลูกา 18:28
30* ลูกา 18:29-30; 1 เปโตร 4:12-13
31* ลูกา 13:30
32* มัทธิว 20:17-19; มาระโก 8:31; 9:31
33* มาระโก 14:53, 64

34* ลูกา 24:46
35* ยากอบ 4:3
38* ยอห์น 18:11; ลูกา 12:50
39* กิจการ 12;2
40* ฮีบรู 11:16
41* มัทธิว 20:2442* ลูกา 22:25
43* มาระโก 9:35
45* ฟีลิปปี 2:7-8; อิสยาห์ 53:12; ทิตัส 2:14
46* ลูกา 18:35-43
47* วิวรณ์ 22:16;มัทธิว 15:22
52* มัทธิว 9:22

มาระโก 9 ปรากฏพระกายแท้


ปรากฏพระกายแท้จริง


1 แล้วพระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ จะไม่ได้พบความตายก่อนที่เขาจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงด้วยฤทธานุภาพ”
2 หกวันต่อมา พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบและยอห์น ขึ้นไปยังภูเขาสูงตามลำพังกับพระองค์ ที่นั่น พระองค์ทรงเปลี่ยนพระกายต่อหน้าพวกเขา
3 ฉลองพระองค์กลายเป็นสีขาวระยับ

ขาวสว่างแบบที่ไม่มีช่างฟอกคนไหนจะทำได้ !!
4 และเอลียาห์กับโมเสสปรากฏต่อหน้าพวกเขา สนทนากับพระองค์
5 เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ขอรับ ดีจริง ๆ ที่พวกเราได้มาอยู่ที่นี่ ขอให้เราได้สร้างพลับพลาขึ้นสามหลังสำหรับพระองค์หลังหนึ่ง โมเสสหลังหนึ่ง และเอลียาห์หลังหนึ่ง”
6 พวกเขาตกใจกลัวกันมาก และเปโตรก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่านี้
7 แล้วก็มีเมฆปรากฏขึ้น คลุมพวกเขาไว้ และมีเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า
“ท่านนี้เป็นลูกรักของเรา จงฟังท่านเถิด!”
8 ทันใดนั้น เมื่อพวกเขามองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นใครอีกนอกจากพระเยซู
9 ขณะที่พวกเขาลงมาจากภูเขา พระเยซูทรงห้ามไม่ให้พวกเขาบอกสิ่งที่เห็นให้ใครทราบจนกว่าบุตรมนุษย์จะคืนชีพจากความตาย
10 ดังนั้นพวกเขาจึงเก็บเรื่องนี้ไว้ โดยถามกันถึงความหมายของ “การคืนชีพจากตาย”
11 แล้วพวกเขาทูลถามพระเยซูว่า “เหตุใดธรรมจารย์จึงกล่าวว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อนขอรับ?”

12 พระองค์ตรัสตอบว่า “ที่จริงแล้วเอลียาห์จะมาก่อน และเขาจะช่วยให้ทุกสิ่งกลับสู่สภาพเดิม แล้วเหตุใดจึงมีคำเขียนว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายประการ และจะถูกปฎิบัติอย่างเหยียดหยาม?
13 แต่เราขอบอกเจ้าว่า เอลียาห์ได้มาแล้ว และพวกเขาก็ได้ทำกับเอลียาห์ตามใจชอบเหมือนกับที่มีเขียนบันทึกเรื่องของเขาไว้”

เด็กชายที่ถูกวิญญาณชั่วเข้าสิง
14 เมื่อพวกเขากลับมาพบศิษย์คนอื่น ๆ ก็เห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังมุงพวกเขาอยู่ และมีธรรมาจารย์กำลังโต้เถียงกับพวกเขา
15 ทันทีท่ีประชาชนเห็นพระเยซู พวกเขาก็รู้สึกดีใจและวิ่งเข้ามาทักทายพระองค์
16 พระองค์ตรัสถามเขาว่า “เจ้ากำลังโต้กันเรื่องอะไร?”


17 คนหนึ่งในหมู่คนตอบว่า “พระอาจารย์ขอรับ ข้าพเจ้าพาลูกชายที่ถูกผีสิงทำให้เป็นใบ้มา
18 เมื่อไรที่มันเข้าสิงเขา มันจะทำให้เขาล้มฟาดพื้น น้ำลายฟูมปาก กัดฟันแรง และตัวเกร็ง ข้าพเจ้าขอให้ศิษย์ของท่านไล่มันออกไป แต่พวกเขาทำไม่ได้ขอรับ”
19 “โอ คนในยุคที่ไร้ความเชื่อ!” พระเยซูตรัส “เราจะต้องอยู่กับเจ้าอีกนานเท่าไร? เราจะต้องอดทนกับพวกเจ้านานเท่าไร? ไปพาเด็กมาหาเราสิ”
20 พวกเขาจึงพาเด็กมา และเมื่อเห็นพระเยซู วิญญาณนั้นก็ทำให้เด็กล้มลงและกลิ้งตัวไปมา น้ำลายฟูมปาก
21 พระเยซูทรงถามพ่อของเด็กว่า “เด็กเป็นอย่างนี้มานานเท่าไรแล้ว?” “ตั้งแต่ยังเล็กขอรับ” เขาตอบ
22 “มันมักทำให้เขาตกในกองไฟ และตกน้ำบ่อย ๆ พยายามจะฆ่าเขา แต่หากท่านทำอะไรให้ได้ ขอทรงสงสารเรา และช่วยเราด้วยขอรับ”
23 “หากเราทำได้อย่างนั้นหรือ?”พระเยซูทรงทวนคำ “ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกอย่าง”
24 พ่อของเด็กร้องทูลทันทีว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ ขอทรงช่วยที่ข้าพเจ้ายังขาดความเชื่ออยู่”

25 เมื่อพระเยซูทรงเห็นว่าฝูงชนกำลังวิ่งกรูเข้ามา พระองค์ตรัสสำทับวิญญาณชั่วว่า “เจ้าวิญญาณใบ้หูหนวก เราสั่งให้เจ้าออกมาจากเขาและไม่เข้าไปสิงเขาอีก!”
26 หลังจากที่วิญญาณนั้นกรีดเสียงร้องและทำให้เด็กชักอย่างแรง มันก็ออกมาจากตัวเขา เด็กก็นิ่งราวกับเป็นศพ จนหลายคนพูดว่า “เขาตายแล้ว”27 แต่พระเยซูทรงจับมือของเด็กและช่วยให้เขาลุกขึ้นมา เขาก็ยืนขึ้น
28 หลังจากที่พระเยซูทรงเข้าไปในบ้านแล้ว ศิษย์ของพระองค์ก็ทูลถามเป็นส่วนตัวว่า “ทำไมพวกเราจึงขับผีไม่ออกล่ะขอรับ?”
29 พระเยซูทรงตอบว่า “ผีแบบนี้ออกไม่ได้นอกจากต้องอธิษฐาน และการอดอาหาร* เท่านั้น”

ทรงบอกเรื่องการทนทุกข์ครั้งที่สอง
(Matthew 17:22–23; Luke 9:43–45)
30 พวกเขาออกจากที่นั่นโดยผ่านแคว้นกาลิลีไป พระเยซูไม่ทรงต้องการให้ใครรู้
31 เพราะพระองค์ทรงสอนศิษย์ของพระองค์ ตรัสกับพวกเขาว่า “บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในเงื้อมมือมนุษย์และพวกเขาจะฆ่าท่านเสีย หลังจากนั้นสามวัน ท่านจะคืนชีพขึ้นมา”
32 แต่พวกเขาไม่เข้าใจคำที่ตรัส และพวกเขาก็กลัว ไม่กล้าที่จะถาม

ผู้ที่เป็นใหญ่สุดในอาณาจักรสวรรค์

33 แล้วพวกเขาก็มาถึงเมืองคาเปอรนาอุม ขณะที่พระเยซูทรงอยู่ในบ้าน ทรงถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าเถียงกันเรื่องอะไรระหว่างทาง?”
34 แต่พวกเขากลับเงียบเพราะระหว่างทางพวกเขาเถียงกันว่า ใครใหญ่สุด!
35 พระเยซูทรงนั่งลงและตรัสเรียกทั้งสิบสองคนมา “หากใครต้องการเป็นคนที่หนึ่ง เขาต้องเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของคนทั้งปวง”
36 แล้วพระองค์ทรงนำเด็กเล็กคนหนึ่งมายืนท่ามกลางพวกเขา ทรงอุ้มเด็กไว้ และตรัสกับพวกเขาว่า
37 “ใครก็ตามที่ต้อนรับเด็กเล็กอย่างนี้ในนามของเรา เท่ากับเขารับเรา และใครก็ตามต้อนรับเรา เท่ากับว่า เขาได้ต้อนรับทั้งเราและพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา”


38 ยอห์นทูลว่า “พระอาจารย์ขอรับ เราเห็นบางคนไล่ผีในพระนามของพระองค์ เราพยายามจะห้ามเขา เพราะเขาไม่ได้อยู่เป็นพวกเรา”
39 “อย่าไปหยุดเขาเลย” พระเยซูตรัสตอบ “เพราะไม่มีใครที่ทำการอัศจรรย์ในนามของเรา จะหันกลับมาและพูดให้ร้ายเรา
40 เพราะคนที่ไม่ได้ต่อต้านเรา ก็เป็นฝ่ายเรา
41 ที่จริงแล้ว หากใครสักคนหนึ่งได้เอาน้ำสักแก้วมาให้เจ้าเพราะเจ้าเป็นคนของพระคริสต์
เราบอกความจริงว่า เขาจะไม่ขาดบำเหน็จอย่างแน่นอน”

ต้นเหตุแห่งการทดลองและการทำบาป

42 แต่หากใครทำให้คนเล็กน้อยที่เชื่อในเราสะดุด หลงผิดไป ให้เอาหินโม่ก้อนใหญ่ถ่วงคอเขาแล้วโยนลงทะเลก็ดีกว่า


.

43 หากมือของเจ้าทำให้เจ้าทำบาป ก็จงตัดมันเสีย เป็นการดีสำหรับเจ้า ที่จะเข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์ พร้อมมือด้วน แทนที่จะลงนรกซึ่งมีไฟที่ไม่มีวันดับ พร้อมกับมือทั้งสองข้าง
44 (ในที่ซึ่ง ตัวหนอนของพวกเขาไม่ตาย และไฟไม่มีวันดับ)
45หากเท้าของเจ้าทำให้เจ้าทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย เพราะเป็นการดีกับเจ้ามากกว่าที่เจ้าจะเข้าไปสู่ชีวิตทั้ง ๆ ที่ขาด้วน แทนที่จะถูกโยนลงนรกพร้อมขาสองข้าง
47 และหากดวงตาของเจ้าทำให้เจ้าทำบาป ก็ควักออกเสีย เพราะเป็นการดีกับเจ้ามากกว่าที่จะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าด้วยดวงตาข้างเดียวแทนที่จะมีดวงตาสองข้าง และถูกโยนลงไปในนรก
48 ซึ่งเป็นที่ ๆหนอนของพวกเขาไม่มีวันตาย และไฟที่ไม่มีวันดับ

เกลือเป็นสิ่งดี
49 เพราะทุกคนจะถูกเคล้าด้วยเกลือ และชำระให้บริสุทธิ์ด้วยไฟ
50 เกลือเป็นสิ่งดี แต่หากเกลือหมดรสเค็ม
เจ้าจะช่วยให้มีรสชาติได้อย่างไรเล่า?
จงมีเกลือท่ามกลางพวกเจ้า และอยู่กันอย่างสันติเถิด”

คำอธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 9:1-13
ไม่มีศิษย์คนใดสบายใจได้เลย เมื่อได้รับรู้ว่า อีกไม่นานพระเยซูจะทรงสิ้นพระชนม์ แต่พวกเขากลับไม่ค่อยได้ยินที่ทรงบอกว่า พระองค์จะเป็นขึ้นมาอีก พระองค์จึงทรงบอกล่วงหน้าให้รู้ว่า อาณาจักรของพระองค์นั้น เป็นอาณาจักรแห่งฤทธานุภาพที่เหนือธรรมชาติ อีกหกวันต่อมา พระองค์ได้ทรงพาศิษย์สามคนเท่านั้น ขึ้นไปบนภูเขา เข้าใจจากสถานที่ในบทที่ผ่านมา ว่า น่าจะเป็นภูเขาเฮอร์โมน ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงสุดในตะวันออกกลางเลยทีเดียว
บนภูเขานั้นเอง พระเยซูทรงเปลี่ยนสภาพร่างของพระองค์จากเนื้อหนัง หน้าตาที่ทุกคนชิน กลายเป็นร่างที่แตกต่างออกไป เป็นร่างที่พวกเขายังจำได้ว่า เป็นพระองค์ และฉลองพระองค์นั้นก็สว่างระยับแบบที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น โมเสส ซึ่งเป็นตัวแทนของกฎบัญญัติ และเป็นผู้นำอิสราเอลออกจากการเป็นทาส กับเอลียาห์ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้เผยพระคำของพระเจ้า ก็ปรากฏตัวด้วย ทั้งสองกำลังสนทนากับพระเยซู
ช่วงชีวิตของโมเสสประมาณ 1400 ปีมาแล้ว ส่วนเอลียาห์ก็ประมาณ 900 ปีมาแล้ว ทั้งสองมาสนทนากับพระองค์ผู้ทรงอยู่มาก่อนการสร้างโลก แม้ว่าจะกลัวเพียงใด เปโตร ยอห์นและยากอบ ก็ได้มีโอกาสเห็นพระเยซูองค์จริง และเห็นความสง่างามตระการของพระองค์อย่างที่ไม่มีใครจะได้เห็น
เหนืออื่นใด พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า (ได้ยินทั้งหมดสามครั้ง จากมาระโก 1:11 และยอห์น 12:28) ตรัสว่า ให้พวกเขาฟังเสียงของพระบุตรที่ทรงรักด้วย เป็นประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่ทำให้ทั้งสามได้เชื่อมั่นคงในพระเยซูมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่เห็นนี้ กลับกลายต้องเป็นความลับ เผยไม่ได้จนกว่าพระองค์จะคืนชีพจากความตายเสียก่อน
ข้อ 12-13 ดูเหมือนจะเป็นการกล่าวถึงท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่มาแล้ว ท่านไม่ได้เป็นเอลียาห์มาเกิด แต่เป็นผู้ที่มาก่อนพระเยซูและทำงานโดยน้ำใจและฤทธิ์เดชของเอลียาห์ (ลูกา 1:17) ท่านยอห์นเป็นคนที่ทำหน้าที่เหมือนเอลียาห์ตามในหนังสือมาลาคี 4:5-6 และยอห์นเองถูกกักขังและประหารอย่างไร้ความยุติธรรม

มาระโก 9:14-29
เมื่อลงมาจากภูเขานั้นเอง ก็มาพบกลุ่มคนที่กำลังพูดกันหน้าตาเครียดจริงจัง เราจะเห็นว่า พอคนเห็นพระเยซูพวกเขาก็จะวิ่งเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ นี่ก็เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้เหล่าฟาริสี ธรรมาจารย์ ปุโรหิตไม่พอใจเอามาก ๆ เป็นอันว่า พวกเขามีปัญหาคือ มีคุณพ่อพาลูกที่มีผีสิงมาหาศิษย์ของพระองค์ แต่พวกเขาไม่สามารถไล่ผีออกไปได้ ทั้ง ๆ ที่ แต่ก่อนพวกเขาเคยทำได้ เกิดอะไรขึ้นหรือ? มีอะไรที่แตกต่างในเด็กคนนี้?
ที่เราเห็นชัดคือ เด็กถูกผีทำให้เป็นใบ้ และหูหนวกด้วย ตามด้วยอาการชักอย่างรุนแรง ล้มฟาดพื้น น้ำลายฟูมปาก กัดฟัน ตัวเกร็ง และยังตกน้ำ ตกในไฟตลอดมา เป็นอันตรายกับชีวิตของเขามาก พ่อมีความเห็นว่าผีต้องการให้เด็กตาย
พ่อคนนี้ทูลว่า ถ้าพระองค์ช่วยได้.. เป็นเพราะศิษย์ของพระองค์ไม่อาจช่วยเขา ทำให้ความมั่นใจของเขาลดลง แต่พระเยซูกลับทรงให้กำลังใจตรัสว่า ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกอย่าง พระองค์ทรงเห็นใจเขา และรู้ดีว่าเขาต้องการความเชื่อที่มาจากพระองค์ พ่อคนนี้ ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นและทูลขออย่างไม่อายใคร
ก่อนที่ผู้คนจะวิ่งเข้ามามุง พระเยซูก็ทรงไล่ผีออกไปจากตัวเด็ก เขานิ่งสงบจนคนคิดว่าตาย … แต่ไม่ใช่ พระเยซูทรงจับมือเด็กช่วยให้เขาลุกขึ้นมา ..​กลายเป็นเด็กอีกคนที่จะเป็นพยานเรื่องของพระองค์ต่อไปอีกตลอดชีวิตของเขา ทั้งพ่อและเด็กไม่ต้องกลัวการปองร้ายจากมารอีกต่อไป
และที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ ผีที่เข้าสิงและทำให้คน ๆ หนึ่งต้องเผชิญกับอาการมากมายที่เป็นอันตรายอย่างนี้ ต้องการให้ผู้ที่ช่วยขับผีทั้งอธิษฐาน และอดอาหารขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า (* ในบางเล่มไม่มีคำว่าอดอาหาร) การอดอาหารอธิษฐานช่วยให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าได้มุ่งมั่น และเต็มด้วยความเชื่อ พึ่งพาพระเจ้ามากกว่าที่เป็นอยู่
เราจะเห็นเหตุการณ์แบบข้อ 28 บ่อย ๆ คือ ศิษย์และพระเยซูสนทนากันในเรื่องที่คนอื่นจะไม่ได้รับรู้ด้วย ในสมัยนั้น รับบีกับศิษย์ก็มักจะสนทนาเรื่องที่คนทั่วไปได้ยินแล้วอาจตีความผิดไป พวกเขาจึงมักสอนกันเป็นส่วนตัว

มาระโก 9:30-32
ครั้งที่สองแล้วที่พระเยซูตรัสเรื่องการสิ้นพระชนม์ และคืนพระชนม์ ช่วงเวลานี้ทรงอยู่กับศิษย์และสอนพวกเขาหลายอย่าง เตรียมไว้สำหรับวันที่พระองค์ไม่ทรงอยู่กับเขา พวกเขาเข้าใจดีว่า เมื่อตรัสถึงบุตรมนุษย์ นั้นมีความหมายถึงตัวพระองค์เอง ส่วนมนุษย์ที่ว่า พวกเขาก็น่าจะรู้ว่าเป็นศัตรูของพระองค์ที่คอยจับผิด และคอยทำร้ายพระองค์เมื่อมีโอกาส แต่ยังมีบางอย่างที่ศิษย์ ไม่กล้าถามอะไรทั้ง ๆ ที่สงสัยเหลือเกิน

มาระโก 9: 33-40
ระหว่างทางที่เดินทางไปยังเมืองคาเปอรนาอุม พวกเขาก็เดินกันโดยไม่ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่ม แต่มีการถกเถียงกันว่า ใครจะเป็นใหญ่ที่สุดในหมู่ศิษย์ทั้งสิบสองคนนี้ ถ้าเราคนนอกมองไป ก็อาจคิดว่าเป็นเปโตร ยอห์น ยากอบ เพราะพระองค์ทรงพาเขาไปให้เห็นพระสิริยิ่งใหญ่ คนในกลุ่มอาจมองไม่เหมือน แต่ที่สำคัญคือพวกเขาให้ความสำคัญกับคำว่า ผู้นำ หัวหน้า มากกว่าการที่จะรับใช้ แต่พระเยซูกลับให้ความสำคัญกับชีวิตที่ถ่อมตน และพระองค์เองก็ทรงบอกไว้แล้วว่า พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ (มัทธิว 11:29) พระองค์เอาเด็กเล็กมาเป็นสื่อของการถ่อมตนว่า ถ้าหากพวกเขาต้อนรับคนที่ต่ำต้อยเพราะเห็นแก่พระเยซูเท่ากับเขาได้ต้อนรับพระองค์ด้วย
ในโลกโบราณนั้น เด็กเป็นผู้ที่ต้องให้คนอื่นช่วย และพวกเขาไม่ได้มองเด็กสำคัญอย่างพระเยซู แม้จะมีบ้านที่รักเด็ก ๆ แต่โดยรวมพ่อแม่ที่ยากจน เลี้ยงลูกไม่ไหว ก็จะทิ้งลูกตามถนน เด็กจึงถูกมองว่า ไร้ค่า ไม่มีอำนาจ คนที่ใหญ่โตคือคนที่เป็นวีรบุรุษ นายทหาร ผู้ปกครอง ธรรมาจารย์
ในตอนต่อมาที่ศิษย์ไปเห็นคนที่ไล่ผีในพระนามของพระองค์ กลับไปห้ามเขาทั้งที่ตนเองก็ไล่ผีไม่ออก อันนี้น่าสนใจมาก ศิษย์ไม่เห็นตัวเอง แต่เห็นความผิดของคนอื่น พระเยซูกลับตอบอย่างที่เขาไม่คาดว่า คนที่ไม่ต่อต้านพระองค์เท่ากับเป็นคนฝ่ายพระองค์แล้ว ศัตรูแท้คือคนที่ต่อต้านพวกเขา ไม่ใช่คนที่เดินตามอย่างพวกเขา ดังนั้น ศิษย์ของพระเยซูจะต้องแยกคนที่เป็นมิตรกับศัตรูให้ออก

มาระโก 9:42-48
คำสอนตอนนี้ พระเยซูทรงใช้การเปรียบเทียบที่ค่อนข้างใหญ่ และทำให้เกิดความเข้าใจได้ทันที พระองค์ไม่ได้หมายความจะให้คนที่ทำผิดควักตา ตัดแขนขาของเขา แต่พระองค์กำลังตรัสถึงความหนักหนาสาหัสของโทษบาปที่พวกเขาควรจะกลัว พระเจ้าจะทรงเอาผิดกับคนที่หลอกล่อให้คนอื่นที่รู้น้อยกว่าทำผิดบาป ซึ่งในโลกปัจจุบันของเรา เราจะเจอกับการหลอกลวงทั้งวัน ไม่ว่าจากการโฆษณาสินค้า หรือข่าวปลอมต่าง ๆ ที่ส่งผลกับการตัดสินใจของผู้คนเป็นจำนวนมาก
พระเยซูทรงใช้คำว่า สะดุด หลงผิดไป นั่นคือ สะดุดไปจากความจริงของพระเจ้า ไม่ว่าจะด้วยการหลอกล่อแบบใด คนที่นำผู้อื่นอยู่จึงต้องรู้จักความจริง มิฉะนั้นอาจทำให้คนอื่นหลงผิดไปด้วยความเข้าใจผิดของตนก็เป็นได้
การถูกหินโม่ถ่วงคอ การตายในน้ำนั้น สำหรับคนยิวแล้วเป็นความตายที่น่ากลัวเป็นที่สุด เพราะไม่มีพิธี ไม่มีการฝัง

มาระโก 9:49-50
สมัยโมเสส เขาใช้เกลือกับธัญญบูชา จะมีการปรุงเครื่องบูชาด้วยเกลือและเผาไปพร้อมกัน (เลวีนิติ 2:13) เกลือบริสุทธิ์ที่มีรสเค็ม จึงมีความหมายในตัวของมันมากมาย ตั้งแต่ความบริสุทธิ์ ไปถึงความสามารถในการรักษาสิ่งต่าง ๆ ไม่ให้เน่าไป
พระเยซูทรงสอนให้เราหนีจากความบาป และตามด้วยการที่พวกเราจะต้องเป็นคนที่มีเกลือคือมีความดีของพระเจ้าอยู่ในตัว ความดีดังกล่าวจากความหมายของเกลือ นั้นคือความบริสุทธิ์ในชีวิต ความสามารถที่จะช่วยให้สังคมที่ผิดศีลธรรม ทำบาปได้กลับมาหาพระเจ้า เป็นผู้ที่สร้างสันติ เป็นเกลือที่จะช่วยให้สังคมได้รับ สัมผัสความรักมั่นคงและความดีงามของพระเจ้า

  พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 9:27; มัทธิว 24:30
2* มัทธิว 17:1-8
3* ดาเนียล 7:9
7* อพยพ 40:34; สดุดี 2:7; อิสยาห์ 42:1; มาระโก 1:11; ลูกา 1:35 ; กิจการ 3:22
9* มัทธิว 17:9-13
10* ยอห์น 2:19-22
11* มาลาคี 4:5
12* อิสยาห์ 53:3; ฟีลิปปี 2:7
13* ลูกา 1:17
14* มัทธิว 17:14-1917* ลูกา 9:38
19* ยอห์น 4:48

20* มาระโก 1:26
23* ยอห์น 11:40
24* ลูกา 17:5
25* มาระโก1:25
28* มัทธิว 17:1929* ยากอบ 5:1631* ลูกา9:44; มัทธิว 16:21; 27:50; ลูกา 24:46; 1โครินธ์ 15:4
32* ลูกา 2:50; 18:34
33* มัทธิว 18:1-5
34* สุภาษิต 13:10; ลูกา 22:24; 23:46; 24:46
35* ลูกา 22:26-2736* มาระโก 10:13-16

37* มัทธิว 10:40
38* กันดารวิถี 11:27-29
39* 1โครินธ์ 12:3
40* มัทธิว 12:30
41* มัทธิว 10:4242* ลูกา 17:1-243* มัทธิว 5:29-30; 18:8-9
44* อิสยาห์ 66:24
46* อิสยาห์ 66:2448* อิสยาห์ 66:24; เยเรมีย์ 7:20
49* มัทธิว 3:11; เลวีนิติ 2:13
50* มัทธิว 5:13; โคโลสี 4:6; โรม 12:18; 14:19

มาระโก 8 ตามพระเยซูกันดีกว่า

พระเยซูทรงเลี้ยงคนสี่พันคน
1 เวลานั้น มีฝูงชนมารวมตัวกันกันอีก และพวกเขาไม่มีอะไรกิน พระเยซูทรงเรียกศิษย์มาหาและตรัสว่า
2“เราสงสารคนมากมายเหล่านี้ เพราะพวกเขาอยู่กับเราสามวันแล้ว และไม่มีอะไรกินเลย
3 ถ้าเราส่งพวกเขากลับบ้านไปทั้งที่หิวโหยอยู่ พวกเขาจะเป็นลม หมดแรงกันไปตามทาง เพราะบางคนก็มาจากที่ไกลมาก”
4ศิษย์ของพระองค์ทูลว่า “ในที่กันดารอย่างนี้ เราจะไปหาขนมปังให้พอเลี้ยงคนมากมายให้อิ่มที่ไหนกัน?”
5“เจ้ามีขนมปังอยู่กี่ก้อน?” พระเยซูตรัสถาม “เจ็ดก้อนขอรับ” พวกเขาตอบ
6 และพระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้น จากนั้นทรงนำเอาขนมปังทั้งเจ็ดก้อนมา ขอบพระคุณ และฉีกมันออก จากนั้นก็แบ่งให้ศิษย์เอาไปแจกให้ประชาชน และพวกเขาก็นำไปแจก

7 พวกเขายังมีปลาเล็ก ๆ สองสามตัว และพระเยซูก็ทรงอวยพระพร
และทรงสั่งให้พวกเขาเอาไปแจกเช่นกัน
8 ประชาชนได้กินจนอิ่มและศิษย์ของพระองค์

ได้เก็บเศษที่เหลือได้ถึงเจ็ดตะกร้าพูน
9 มีผู้ชายสี่พันคนอยู่กันที่นั่นและเมื่อพระองค์ทรงให้พวกเขากลับไป
10 พระองค์ก็ทรงลงเรือกับศิษย์และเดินทางไปยังเขตเมืองดาลมานูธา

ถามหาหมายสำคัญ
11 แล้วฟาริสีก็มาและเริ่มโต้แย้งกับพระเยซู ต้องการทดสอบพระองค์โดยขอให้พระเยซูแสดงหมายสำคัญจากสวรรค์
12พระเยซูทรงถอนพระทัยลึก ๆ ตรัสว่า
“เหตุใดคนยุคนี้จึงเรียกร้องหาหมายสำคัญ? เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า จะไม่มีการให้หมายสำคัญกับคนยุคนี้”
13 แล้วพระองค์ทรงละจากพวกเขา ทรงลงเรือและข้ามไปอีกฝั่ง


เชื้อของฟาริสีและเฮโรด
14 ตอนนี้ศิษย์ของพระองค์ลืมเอาขนมปังไปด้วย ยกเว้นแค่หนึ่งก้อนเดียวที่อยู่ในเรือ
15 “จงระวังให้ดี” พระเยซูทรงเตือนพวกเขา
“จงระวังเชื้อจากฟาริสีและเฮโรด”
16 พวกเขาจึงคุยกันเองว่า พวกเขาไม่มีขนมปังเลย
17 พระเยซูทรงทราบว่าเขาคุยอะไรกัน ทรงถามพวกเขาว่า “ทำไมเจ้าจึงโต้กันเรื่องไม่มีขนมปัง เจ้ายังไม่เห็น ไม่เข้าใจอีกหรือ?
ทำไมพวกเจ้าจึงใจแข็งนัก?
18 ..เจ้ามีตา แต่มองไม่เห็น มีหูแต่ไม่ได้ยินอย่างนั้นหรือ?
และเจ้าจำไม่ได้หรือว่า 
19 เมื่อเราหักขนมปังห้าก้อนให้คนห้าพันคน มีเศษขนมปังเหลือกลับมากี่กระบุง?” พวกเขาตอบว่า “สิบสองกระบุงขอรับ”
20 “ แล้วตอนที่เราหักขนมปังเจ็ดก้อนให้คนสี่พันคนนั้น เจ้าเหลือเศษขนมปังมากี่ตะกร้า?”  “เจ็ด ขอรับ” พวกเขาตอบ
21 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”

ทรงรักษาคนตาบอดที่เบธไซดา
22 เมื่อพวกเขามาถึงเบธไซดา มีบางคนนำชายตาบอดคนหนึ่งมา และทูลขอให้พระเยซูทรงแตะต้องเขา
23 พระองค์จึงทรงจูงมือเขาออกไปนอกหมู่บ้าน ทรงบ้วนน้ำลายลงบนดวงตาทั้งสองข้าง และวางพระหัตถ์ทั้งสองบนเขา “เจ้าเห็นอะไรบ้างไหม?” ทรงถามเขา
24 ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองและกล่าวว่า “ข้าเห็นคน แต่พวกเขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่เดินไปมาขอรับ”
25 พระองค์จึงทรงวางพระหัตถ์ทั้งสองที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขา และเมื่อเขาเปิดตา สายตาของเขาก็เป็นปกติ และเขาเห็นทุกอย่างชัดเจน
26 พระเยซูทรงส่งเขาให้กลับบ้าน ตรัสว่า “อย่ากลับเข้าไปในเมืองเลย อย่าเล่าเรื่องนี้ให้คนในเมืองฟัง”

เปโตรสารภาพว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์)
27 แล้วพระเยซูกับศิษย์ของพระองค์ก็เดินทางไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ แถบซีซาริยาห์ฟีลิปปี
ระหว่างทาง พระองค์ทรงถามศิษย์ว่า “ผู้คนกล่าวว่า เราเป็นใคร?”
28 พวกเขาตอบว่า “บางคนว่าทรงเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บางคนว่าทรงเป็นเอลียาห์ และยังมีบางคนว่า พระองค์ทรงเป็นผู้กล่าวพระคำคนหนึ่ง”
29“ แต่เจ้าล่ะ? เจ้าว่าเราเป็นใคร?” พระเยซูตรัสถาม เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ขอรับ”
(นั่นหมายถึงทรงเป็นผู้ที่ถูกเจิมจากพระเจ้าลงมาในโลก หรือที่ยิวเรียกพระนามว่า พระเมสสิยาห์)
30 และพระเยซูทรงเตือนพวกเขาไม่ให้บอกใครเรื่องพระองค์

บอกล่วงหน้าเรื่องการทนทุกข์
31 แล้วพระองค์จึงทรงสอนพวกเขาว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายประการ และเหล่าผู้ใหญ่ หัวหน้าปุโรหิต และธรรมาจารย์ จะไม่ยอมรับพระองค์ และพระองค์จะถูกประหาร อีกสามวันจะทรงคืนชีพขึ้นมา
32 พระองค์ตรัสเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา และเปโตรจึงดึงพระองค์ไป
และทูลต่อว่าพระองค์
33 แต่พระเยซูทรงหันมามองดูศิษย์ทั้งหลาย ทรงตำหนิเปโตรและตรัสว่า “จงถอยออกไป ซาตาน เพราะในหัวของเจ้าไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์”

ในหัวของเจ้า
ไม่ได้
คิดอย่างพระเจ้า
แต่
คิดอย่างมนุษย์

จงแบกกางเขนตามเรามา
34 แล้วพระเยซูทรงเรียกประชาชนมาหาพระองค์พร้อมกับศิษย์และทรงบอกพวกเขาว่า “หากใครต้องการติดตามเรามา เขาจะต้องปฏิเสธตนเอง และรับกางเขนของตน และตามเรามา”
35 เพราะใครก็ตามที่ต้องการรักษาชีวิตของตนไว้ จะสูญเสียชีวิตไป แต่คนที่ยอมเสียชีวิตเพื่อเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐจะรักษาชีวิตนั้นไว้
36 มีประโยชน์อะไรกับคนหนึ่งหากว่าเขาได้ทั้งโลกแต่ต้องสูญเสียวิญญาณของตนไป?
37 หรือใครคนหนึ่งจะเอาอะไรมาแลกกับวิญญาณของตนได้?

38 หากคนใดละอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา ในโลกที่ชั่วช้า บาปหน้า บุตรมนุษย์ก็จะละอายเพราะเขา เมื่อพระองค์เสด็จมาในพระเกียรติสิริของพระบิดาพร้อมกับทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์”

อธิบายเพิ่มเติม

มาระโก 8:1-10
เปรียบเทียบครั้งนั้น(ตอนเลี้ยง 5000 คน) กับครั้งนี้ (การลี้ยง 4000 คน)
ในมาระโกบทที่หก คนอยู่กับพระเยซูเพียงหนึ่งวัน แต่ในครั้งนี้ อยู่ถึงสามวันแล้วพวกเขาก็หิวมากด้วย
ครั้งนั้นบันทึกว่าห้าพันคน ครั้งนี้นับสี่พันคน (ซึ่งนับผู้ชายเท่านั้น ยังไม่มีผู้หญิงกับเด็ก)
ครั้งนั้น พวกเขาได้นั่งบนทุ่งหญ้าเขียวในแถบตะวันตกของกาลิลี มีคนยิวหนาแน่น แต่ครั้งนี้พวกเขานั่งบนพื้นดินในเขตแดนทางตะวันออกที่เรียกว่าทศบุรี เป็นเวลาห่างจากครั้งแรกหลายเดือน และผู้คนแถบทศบุรีส่วนใหญ่จะเป็นคนต่างชาติ เป็นเมืองที่โรมสร้างไว้
ครั้งก่อนเลี้ยงจาก ขนมปัง 5 ก้อน ปลาสองตัว ครั้งนี้จากขนมปัง 7 ก้อนกับปลาสองสามตัว
ครั้งที่แล้วเหลือขนมปัง 12 กระบุงเล็ก ๆ แต่ครั้งนี้เหลือ 7 ตะกร้าใหญ่มาก
ที่เหมือนกันคือทุกคนกินจนอิ่มหนำสำราญ และคงจะมีกลับไปบ้านด้วย
สิ่งที่ควรสังเกต….
**ศิษย์ของพระองค์ทูลว่า “ในที่กันดารอย่างนี้ เราจะไปหาขนมปังให้พอเลี้ยงคนมากมายให้อิ่มที่ไหนกัน?”
ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเคยเห็นพระเยซูเลี้ยงคนห้าพันคนมาแล้ว ทำไมพวกเขายังไม่เชื่อว่าพระองค์จะทรงทำอีกครั้ง? อาจเป็นเพราะว่าคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติ พวกเขาไม่คิดว่า พระเจ้าจะทรงเลี้ยงคนเหล่านี้ แต่พระเยซูกลับทรงเลี้ยงดูด้วยความสงสาร (ข้อ 2) ครั้งนี้ศิษย์ของพระองค์ได้รับความเข้าใจชัดว่า พระเจ้าทรงรักคนต่างชาติเช่นกัน
** และพระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้น จากนั้นทรงนำเอาขนมปังทั้งเจ็ดก้อนมา ขอบพระคุณ และฉีกมันออก จากนั้นก็มอบให้ศิษย์เอาไปแจกให้ประชาชน และพวกเขาก็นำไปแจก คำเดียวที่บ่งบอกว่า เป็นกริยาที่ต่อเนื่องในภาษากรีกคือคำว่า มอบ(ให้ศิษย์ ) จึงพอสรุปได้ว่า การขยายตัวของขนมปังอย่างอัศจรรย์นั้นเกิดขึ้นโดยพระหัตถ์ของพระเยซู..เมื่อเลี้ยงเสร็จก็เดินทางข้ามทะเลมายังเมืองดาลมานูธา ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของทะเลสาบกาลิลี ห่างเมืองคาเปอร์นาอูมมาทางใต้ประมาณ 8 กิโลเมตร

มาระโก 8:11-13
แม้ว่าฟาริสีทั้งหลายได้เห็นการอัศจรรย์ของพระเยซูมากมาย แต่พวกเขายังไม่พอใจ คนยิวกำลังรอคอยพระเมสสิยาห์หรือผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมเพื่อมาไถ่บาปพวกเขา แต่คนยิวไม่ได้มองพระเมสสิยาห์เช่นนั้น พวกเขามองว่า พระองค์ต้องเป็นนักรบที่จะมาปล่อยพวกเขาจากการเป็นเมืองขึ้นของโรม
หมายสำคัญที่พวกเขาต้องการคือ  σημεῖον เซมีออน เป็นลักษณะของหมายสำคัญพิเศษจากพระเจ้าโดยตรงเพื่อจะได้สนับสนุน และรับรองว่า คน ๆ นั้นเป็นผู้ที่มาจริง แต่พระเจ้าได้ให้หมายสำคัญมากมายแก่พวกเขาแล้ว ในเมื่อจะไม่เชื่อก็ต้องหาวิธีการที่จะให้พระเยซูเสียหาย แต่พระเยซูทรงถอนพระทัยเพราะรู้ว่าในใจของพวกเขาคืออะไร และทรงเดินออกไปจากพวกเขา โดยไม่ตรัสอะไรอีก ไม่มีประโยชน์ที่จะมาต่อล้อต่อเถียงกับคนพวกนี้ ยอห์นเคยบอกว่า การอัศจรรย์เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความเชื่อ (ยอห์น 20:30-31) แต่ในเหตุการณ์นี้ พวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะเชื่อ แต่ต้องการท้าทายพระองค์

มาระโก 8: 14-21
“จงระวังให้ดี” พระเยซูทรงเตือนพวกเขา “จงระวังเชื้อจากฟาริสีและเฮโรด” นี่เป็นคำเตือนของพระเยซูที่ทำให้เรารู้ว่า ความคดโกงของฟาริสีและพรรคพวกของเฮโรดนั้น แพร่ไปทั่วแผ่นดินอิสราเอล มันเข้าแทรกซึมไปในสถาบันการปกครอง และศาลาธรรม รวมไปถึงในสังคมทั่วไป ซึ่งเด่น ๆ ก็คือ การสอนให้คนสนใจการกระทำเพื่อที่จะเป็นคนดี และไปสวรรค์ได้ อีกอย่างคือ การเป็นคนหน้าซื่อใจคด พวกเฮโรดพยายามเปลี่ยนแปลงลักษณะของสังคมยิวโดยใช้วิธีการทางการเมือง (ซึ่งเหมือนกับโลกปัจจุบัน)
พวกศิษย์ก็ไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซู แต่กลับไปคิดถึงเรื่องขนมปังเสียนี่ พระองค์ทรงกล่าวถึงความใจดื้อด้านของผู้นำยิว แต่ศิษย์ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

มาระโก 8:22-26
การรักษาครั้งนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากที่คนที่เป็นเพื่อนของชายตาบอดพาเขามาหาพระเยซู ชายตาบอดไม่ได้รู้เรื่องอะไร แต่เพื่อนนั้นมีความเชื่อว่าเขาจะหายได้ และมาขอให้พระเยซูทรงแตะต้องเพื่อเขาจะหายได้
ครั้งนี้มาแปลก มีหลายอย่างที่ทรงทำกับชายผู้นี้ 1 พระเยซูทรงจูงเขาออกนอกเมืองออกจาก 2 ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ตา (ราวกับยาหยอดตา) 3 วางพระหัตถ์บนเขา 4 ทรงถามเขาเหมือนกับหมอถามคนไข้.. เห็นอะไร เขาเห็นคนเหมือนต้นไม้ ทรงให้เขามองเห็นแสง สีราง ๆ ทำให้เขามีความเชื่อ จากนั้น 5 พระองค์ทรงวางพระหัตถ์ที่ตา ขณะนี้ชายตาบอดมีความเชื่ออย่างสมบูรณ์แบบ 6 แล้วเขาก็มองเห็นได้ .. 7 แล้วที่สุดไม่ทรงอนุญาตให้กลับเข้าเมือง ไม่ให้เล่าเรื่องนี้กับใคร แต่ให้กลับบ้านไปทันที
เราอาจจะนึกแปลกใจว่าทำไมพระเยซูทรงทำเช่นนี้ ในมัทธิว 11:21–24 ได้บอกว่า พระองค์ทรงสาปเมืองนี้ไปพร้อมกับเมืองโคราซิน คาเปอร์นาอูม พระองค์ทรงรู้ว่าในใจของคนเมืองเหล่านี้เป็นใจที่กระด้างยิ่งนัก

มาระโก 8:27-30
จากนั้นพระเยซูกับศิษย์เดินทางต่อไปยังเมืองซีซารียาฟีลิปปี เป็นเมืองที่เฮโรดสร้างเพื่อให้เกียรติและซีซาร์ โดยมีแนวคิดว่าซีซาร์คือพระเจ้า ​ เมืองนี้อยู่ห่างจากเบธไซดาประมาณ 40 กิโลเมตร อยู่ทางใต้ของภูเขาเฮอร์โมน ซึ่งเป็นทิวเขาที่สูงสุดในตะวันออกกลาง เป็นพื้นที่ ๆ สวยงามมาก และเป็นที่ ๆ ต้นของแม่น้ำจอร์แดน แต่ มีการสลักรูปเคารพต่าง ๆ ลงบนหินภูเขาไว้ประปราย
ระหว่างการเดินทางนั้นเอง พระเยซูทรงถามศิษย์ว่า ประชาชนมีความคิดเห็นอย่างไรกับพระองค์ พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ ทำการสอนกับทั้งคนยิว และคนต่างชาติ ซึ่งคำตอบก็คือ ผู้คนซึ่งมาหาพระองค์เพื่อการรักษาโรค คำสอนคิดว่า พระองค์อาจเป็น ยอห์น เอลียาห์ หรือ ผู้เผยพระคำบางคน แล้วแต่จะคิด จากนั้นทรงขอความเห็นจากศิษย์เอง ว่า พวกเขาคิดอย่างไร
เปโตรเป็นคนเดียวที่ตอบอย่างมั่นใจว่าคือ พระองค์คือ พระเมสสิยาห์ (พระคริสต์ ภาษากรีก) ซึ่งหมายถึงคนที่รับการเจิม ซึ่งในสังคมยิวนั้นมีแค่สามพวกเท่านั้นที่จะได้รับการเจิม คือ ปุโรหิต ผู้เผยพระคำ และกษัตริย์ เปโตรมองว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ที่จะปลดปล่อยยิวจากโรม
แต่ถึงแม้รู้เช่นนั้น พระองค์ก็ทรงให้เขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับก่อน

มาระโก 8:31-33
เมื่อพระเยซูเล่าว่า พระเมสสิยาห์องค์นี้ จะต้องถูกประหาร
ไม่แปลกที่ เปโตรจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พระเยซูตรัส เขาไม่เห็นด้วยมาก ๆ ที่พระเมสสิยาห์ของพระเจ้าจะถูกประหาร นั่นคือการแพ้นี่นา พระองค์จะต้องเป็นผู้ชนะ ไม่ใช่ต้องถูกประหาร ถึงจะคืนพระชนม์ก็เถอะ สำหรับเปโตรแล้วนี่เป็นเรื่องรับไม่ได้ เขายังไม่เข้าใจว่า พระเยซูจะต้องเป็นพระเมสสิยาห์ที่จะถูกประหารเพราะบาปของเขาเอง

มาระโก 8:34-38
หากใครคนหนึ่ง ต้องการตาม..พระเยซู เขาต้องปฏิเสธตัวเอง รับกางเขนมาแบก และตามพระองค์ไป
เราจะต้องการแค่ใช้ชีวิตที่มีอยู่หนึ่งชีวิต หรือว่าต้องการมีชีวิตที่เต็มบริบูรณ์??
การยอมให้พระเจ้ามาก่อนความคิดเห็น จิตใจของตนเองเป็นเรื่องที่ยากสำหรับทุกคน เพราะเราชินกับการที่ทำอะไรตามใจตัวเอง พระคำข้อนี้ พระเยซูทรงบอกว่า เราทุกคนต้องตัดสินใจว่าจะปฏิเสธตนเองเพื่อเห็นแก่น้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ พระเจ้าไม่ใช่ผู้ที่จะมาช่วยให้เราทำตามใจของตนเองสำเร็จ แต่เราจะต้องให้พระองค์เป็นผู้ตัดสิน นำทางชีวิตของเรา
สำหรับคนที่รักทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เงินทอง และมีชีวิตเพื่อสิ่งเหล่านี้ เราเห็นตัวอย่างได้รอบตัว คนที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน ไม่อาจที่จะเห็นแก่คนอื่นได้ ชีวิตมีไว้เพื่อตัวเองเท่านั้น แล้วในที่สุด เขาก็จะจบแบบที่ไม่มีอะไรเหลือ แม้กระทั่งชื่อเสียงคนก็จะลืมไป พระคัมภีร์ตอนนี้ ให้เรายอมพระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิต ไม่ละอายพระนามของพระองค์

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 15:32-39
2* มาระโก 1:41; 6:34
5* มาระโก 6:38
7* มัทธิว 14:19
10* มัทธิว 15:39
11* มัทธิว 12:38; 16:1
12* มาระโก 7:34; มัทธิว 12:39
14* มัทธิว 16:515* ลูกา 12:1

17* มาระโก 6:52; 16:14
19* มัทธิว 14:20
20* มัทธิว 15:37
21* มาระโก 6:52
22* ยอห์น 9:1; ลูกา 18:5
23* มาระโก 7:33
26* มาระโก 5:43; 7:36
27* ลูกา 9:18-20

28* มัทธิว 14:2; ลูกา 9:7-8
29* ยอห์น 1:41; 4:42; 6:69;11:27
30* มัทธิว 8:4; 16:20
31* มัทธิว 16:21; 20:19; มาระโก 10:33; 9:31;10:34; ลูกา 24:36
33* วิวรณ์ 3:19
34* ลูกา 14:27
35* ยอห์น 12:25
38* มัทธิว 10:33; 2 ทิโมธี 1:8-9; 2:12