มัทธิว 9 ราชกิจเพื่อชาวเมือง

ทรงรักษาคนเป็นอัมพาตที่เพื่อนพามา
1พระเยซูทรงลงเรือและข้ามฟากไปยังเมืองของพระองค์ 
2 ดูสิ มีบางคนได้นำชายอัมพาตคนหนึ่งนอนบนเปลหามมา เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อของคนเหล่านี้  พระองค์จึงตรัสกับชายที่เป็นอัมพาตว่า “ลูกชายเอ๋ย จงกล้าหาญเถิด ความบาปทั้งหลายของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”
3 มีธรรมาจารย์บางคนได้ยินก็คิดในใจว่า ‘ชายผู้นี้กำลังพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า’
4 พระเยซูทรงหยั่งรู้ถึงความคิดของพวกเขา จึงตรัสว่า “เหตุใดพวกท่านจึงคิดชั่วในใจเล่า?
5 การที่จะพูดว่า ‘เจ้าได้รับการอภัยบาปแล้ว กับการที่จะบอกเขาว่า จงยืนขึ้น และเดินไป อย่างไหนจะง่ายกว่ากัน?’
6 แต่เราจะให้พวกท่านรู้ว่า บุตรมนุษย์   มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะอภัยบาปทั้งหลาย แล้วพระเยซูจึงตรัสกับชายอัมพาตว่า “จงลุกขึ้น แล้วแบกเปลนอนของเจ้า และกลับบ้านไปเถิด
7  ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นและกลับบ้านไป
8 เมื่อประชาชนเห็นดังนั้น ก็รู้สึกยำเกรงยิ่งนัก และสรรเสริญพระเจ้าที่ประทานสิทธิอำนาจอย่างนี้ให้กับมนุษย์

พระเยซูทรงเรียกมัทธิวให้ติดตามพระองค์
9 ตอนที่พระเยซูเสด็จออกจากที่นั่น พระองค์ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิว นั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ตามเรามา” และเขาก็ลุกขึ้น ตามพระองค์ไป
10 ขณะที่พระเยซูทรงทรงเอนกายเสวยพระกระยาหารที่บ้านของมัทธิว  มีคนเก็บภาษี และคนบาปจำนวนมากมาร่วมรับประทานกับพระองค์และพวกศิษย์ของพระองค์
11 เมื่อพวกฟาริสีเห็นอย่างนั้น จึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “เหตุใดอาจารย์ของเจ้าจึงรับประทานอาหารร่วมกับคนเก็บภาษี ?”  
12 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินเช่นนั้น ก็ตรัสว่า “คนที่มีสุขภาพดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการหมอ”

13จงไปเถิด ไปเรียนรู้ว่า คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร
‘เราพอใจความเมตตาสงสารยิ่งกว่าเครื่องเผาบูชา”
(โฮเชยา 6:6) เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนดี แต่เรามาเพื่อเรียกคนบาป” 

คำถามเรื่องการอดอาหารของศิษย์

14 แล้วศิษย์ของยอห์นก็มาพบพระเยซู ทูลถามว่า “เหตุใดพวกเราและฟาริสีถือศีลอดอาหารเสมอ แต่ศิษย์ของพระองค์ท่านกลับไม่ทำเช่นนั้น?” (การอดอาหารเพื่ออธิษฐาน จะได้ไม่เสียเวลากับการกินอยู่ แต่มุ่งมั่นเข้าเฝ้าพระเจ้า)
 15 พระเยซูทรงตอบว่า “เพื่อน ๆ ของเจ้าบ่าวน่ะ จะเศร้าใจเวลาที่เจ้าบ่าวอยู่ด้วยได้อย่างไรเล่า? แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวถูกนำตัวไปจากพวกเขา แล้วตอนนั้นพวกเขาจะอดอาหาร
( เจ้าบ่าวในที่นี้ พระองค์หมายถึงพระองค์เอง ยอห์น 3:29; วิวรณ์ 19:7)
16 “ไม่มีใครจะเย็บปะผ้าใหม่ที่ยังไม่หดบนผ้าเก่า เพราะถ้าทำอย่างนั้น ผ้าใหม่จะหดตัว ดึงให้ผ้าเก่าของเสื้อนั้นให้ขาดมากกว่าเดิม

17 เช่นเดียวกัน ไม่มีใครเทเหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า มิฉะนั้น ถุงหนังจะแตกออก (เพราะขบวนการหมักเกิดขึ้นทำให้เกิดก๊าซ) และเหล้าองุ่นจะไหลรั่วออกมาหมด  และถุงหนังเองก็จะขาดด้วยแต่เขามักจะเทเหล้าองุ่นใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่ และสามารถเก็บรักษาทั้งถุงและเหล้าองุ่น”

พระเยซูทำให้เด็กหญิงคืนชีวิต และทรงรักษาผู้หญิงป่วยเรื้อรัง 

18 ขณะที่กำลังตรัสอยู่นั้นเอง นายศาลาธรรมคนหนึ่งเข้ามาหาพระองค์ และคุกเข่าลงทูลว่า    “ลูกสาวของข้าพเจ้าเพิ่งเสียชีวิตไป แต่หากพระองค์เสด็จไปวางพระหัตถ์บนตัวลูก เธอจะได้มีชีวิตอีกครั้ง”
19 ดังนั้นพระเยซูและพวกศิษย์ของพระองค์ก็ลุกขึ้นและตามชายคนนั้นไป
20 แล้วดูสิ มีผู้หญิงคนหนึ่งเธอมีอาการโลหิตตกเรื้อรังมาสิบสองปีแล้ว ได้เข้ามาข้างหลังพระเยซู และแตะชายฉลองพระองค์ 

21 เพราะเธอคิดว่า ‘หากเพียงฉันได้แตะเสื้อของพระองค์ ฉันก็จะหายโรคแล้ว’
22 พระเยซูทรงหันมาเห็นเธอ จึงตรัสว่า “ลูกสาวเอ๋ย จงชื่นใจเถิด เจ้าหายโรคได้ก็เพราะเจ้าเชื่อ” และเธอก็หายโรคขณะนั้นเอง

23 พระเยซูเสด็จไปกับนายศาลาธรรม และเข้าไปในบ้านของเขา ก็พบพวกงานศพที่กำลังเป่าปี่ และคนจำนวนมากส่งเสียงร้องไห้เสียงดัง 
24 พระเยซูตรัสว่า “จงออกไปให้หมด เพราะเด็กหญิงยังไม่ตาย เพียงแต่กำลังหลับอยู่” ผู้คนจึงพากันหัวเราะเย้ยหยันพระองค์ 
25 หลังจากที่เอาผู้คนออกไปจากบ้านแล้ว พระเยซูก็เสด็จเข้าไปในห้องของเด็กหญิงและจับมือเธอ  เธอก็ลุกขึ้น
 26 ข่าวนี้จึงเลื่องลือออกไปทั่วทั้งแคว้นนั้น 




พระเยซูทรงรักษาชายตาบอดและชายใบ้ผีสิง
27 เมื่อพระเยซูเสด็จจากที่นั่น ก็มีชายตาบอดสองคนเดินตามพระองค์  ทั้งสองร้องว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาพวกข้าพเจ้าด้วยเถิด” (คำว่าบุตรดาวิดหมายถึงพระเยซูเป็นลูกหลานของดาวิด และทรงเป็นพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอด 2 ซามูเอล 7:11-16)
28 หลังจากที่พระองค์เข้าไปในบ้าน ชายตาบอดทั้งสองก็เข้าไปด้วย พระองค์ทรงถามพวกเขาว่า “เจ้าเชื่อหรือว่า เราทำให้เจ้ามองเห็นได้?”  เขาตอบว่า “เชื่อ พระองค์เจ้าข้า”
29 แล้วพระองค์ก็แตะดวงตาของพวกเขา ตรัสว่า “เพราะเจ้าเชื่อ ก็ให้เป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด”
30 แล้วเมื่อทั้งสองมองเห็นได้ พระเยซูกลับทรงกำชับพวกเขาว่า “ขอเจ้าอย่าบอกเรื่องนี้กับใครเป็นอันขาด”
31 แต่เมื่อทั้งสองออกไป พวกเขาก็ป่าวร้องเรื่องพระเยซูไปทั่วแคว้นนั้น 

32 ตอนที่เขากำลังจะออกไปนั่นเอง ดูสิ มีคนพาชายอีกคนหนึ่งเข้ามาพบพระเยซู เขาพูดไม่ได้เพราะถูกผีสิง
33 หลังจากที่พระองค์ทรงขับผีออกไป ชายคนนั้นก็พูดขึ้นมาได้ ประชาชนพากันประหลาดใจ กล่าวว่า
“เราไม่เคยพบอะไรอย่างนี้ในอิสราเอลเลย”
34 แต่พวกฟาริสีกล่าวว่า “เขาขับผีออกได้ ก็โดยฤทธิ์ของเจ้านายผีต่างหาก”

คนงานน้อย ทุ่งนากว้างนัก

35 พระเยซูเสด็จไปทั่วเมือง และหมู่บ้านต่าง ๆ  ทรงสอนในศาลาธรรม ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
36 เมื่อทรงเห็นประชาชน ทรงรู้สึกสงสารพวกเขาเพราะพวกเขาถูกรังควาญ ไร้ที่พึ่งเหมือนกับฝูงแกะ
ที่ขาดผู้เลี้ยง
37 พระเยซูตรัสกับพวกศิษย์ของพระองค์ว่า “งานที่ต้องเก็บเกี่ยวมีมากแต่มีคนงานน้อยเหลือเกิน
38 ดังนั้น จงทูลขอพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ทรงส่งคนงานมาเพื่อเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด”

คำอธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 9:1-8 ทรงรักษาคนเป็นอัมพาตที่เพื่อนพามา
พระเยซูทรงข้ามฟากจากเมืองที่มีประชากรต่างชาติอยู่หนาแน่นพร้อมกับศิษย์ และ ทรงเข้าไปยังเมืองคาเปอรนาอูม ที่นั่นเราได้เจอเพื่อนสี่คนหามชายอัมพาตมา ซึ่งในมาระโก ลูกาได้บอกว่า พวกเขาขึ้นไปบนหลังคาบ้านและหย่อนเพื่อนลงมา จากเหตุการณ์นี้ เราประเมินได้ว่า ชายอัมพาตนี้เป็นหนักไม่ใช่ประเภทลากขาได้ข้างหนึ่ง แต่ไม่สามารถเดินได้เลย
เมื่อพระเยซูทรงเห็นเขา ก็ทรงให้กำลังใจและตรัสว่า พระองค์อภัยบาปเขาแล้ว .. พระองค์ทรงเห็นชัดว่า สิ่งสำคัญที่ชายคนนี้ต้องได้ก่อนการหายโรค และเดินได้ (เขาน่าจะป่วยจากบาปที่ทำลงไป) คือการได้รับการอภัยบาป .. และพระเจ้าเท่านั้นที่จะอภัยบาปให้มนุษย์ได้
ในเวลานั้นมีธรรมาจารย์หลายคนฟังพระองค์อยู่พร้อม ๆ กับประชาชน พวกเขาก็คิดทันทีว่า พระเยซูทรงทำเสมอพระเจ้า หรือให้ชัดคือ เขาพูดราวกับว่าเขาเป็นพระเจ้า!
แม้พระเยซูจะทรงมีเลือดเนื้ออย่างมนุษย์ แต่พระองค์ทรงรู้ถึงความคิดของทุกคน เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย ทรงหันมาถามว่า ทำไมพวกเขาจึงคิดเช่นนั้น พวกเขาก็ตกใจทันที เพราะพระองค์ทรงรู้ความคิดของเขา
พระองค์ตรัสว่า อภัยบาปนั้นยากกว่าการรักษาโรคเสียอีก เพราะว่า การที่ผู้คนจะได้รับการอภัย พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน นี่คือสิ่งที่ยากกว่า แต่ตอนที่พระองค์ตรัสนั้น ไม่มีใครเข้าใจ …
แล้วพระองค์ตรัสออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่า พระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์ นั่นคือ ทรงแจ้งให้พวกเขาทราบว่า ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา (เป็นคำที่ดาเนียลใช้ บ่งบอกว่าบุตรมนุษย์คือพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดของโลก ดาเนียล 7:13-14  พวกธรรมจารย์รู้พระคำข้อนี้ดี แต่ประชาชนทั่วไปไม่ได้เข้าใจอย่างนั้น) ชายที่เป็นอัมพาต ลุกขึ้นได้ รับการอภัยบาป รับการรักษา เป็นการชุบชีวิตใหม่ให้เขา ..​ใคร ๆ เห็นก็ดีใจ มองได้แค่ว่า พระเจ้าประทานอำนาจยิ่งใหญ่ให้มนุษย์คนหนึ่งที่ชื่อ พระเยซู !

มัทธิว 9:9-13 พระเยซูทรงเรียกมัทธิวให้ติดตามพระองค์
เหตุการณ์นี้เกิดแถว ๆ เมืองคาเปอรนาอุม จะมีซุ้มเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เขตแดนเป็นที่เก็บภาษี พระเยซูทรงเรียกมัทธิวซึ่งนั่งเก็บภาษีอยู่ที่นั่นพอดี  เขาเป็นเหมือนกับผู้รับจ้างจากโรมเพื่อเก็บภาษีจากประชาชน  ทำให้ประชาชนไม่ชอบยิวที่เก็บภาษี เพราะพวกเขาส่วนใหญ่นั้นทั้งใจดำ ทั้งขูดรีด ทั้งคดโกง ในสายตาผู้นำศาสนา คนเก็บภาษีชั่วช้ามาก
แล้วพระเยซูกลับทรงเลือกมัทธิว คนเก็บภาษีมาเป็นศิษย์ใกล้ชิด! ใครจะรับได้?
มัทธิวอยู่ในวงการมาเฟีย แต่เขาคนนี้กลับตอบรับพระเยซู เขาลุกจากซุ้มที่ทำงานอยู่ เดินตามพระเยซูไปโดยไม่คิดจะกลับไปทำงานเดิมอีก  แล้วเขายังจัดงานเลี้ยงที่บ้าน โดยเชิญพระเยซู และเพื่อน ๆ ของเขาไปในงานด้วย  พระองค์ทรงรับคำเชิญ และไปรับประทานกับเพื่อนสนิท มิตรสหายของมัทธิว และนี่เองทำให้ฟาริสีรู้สึกเหมือนจะรับไม่ได้กับการที่พระเยซูทรงคลุกคลีกับกลุ่มคนที่พวกเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยเพราะเป็นคนบาปเหลือเกิน  การกินอาหารด้วยกันถือเป็นการบอกว่าเป็นพวกเดียวกัน
ฟาริสีเริ่มมีปัญหามากขึ้นพอ ๆ กับธรรมาจารย์ในข้อสาม พวกเขาถามศิษย์ของพระองค์ว่า ทำไมไปกินอาหารกับคนบาป …ไม่ถามพระองค์โดยตรง และคำถามของเขาก็บ่งบอกใจของเขา  คงจะต้องการถามว่า ทำไมอาจารย์ของเจ้า(ที่น่าจะทำตัวดีกว่านี้) จึงไปสุงสิงกับคนบาป อย่างนี้ใช้ไม่ได้
แทนที่ศิษย์จะตอบ พระเยซูทรงตอบให้เลย คำตอบของพระองค์คือ เหล่าฟาริสีคิดว่าตัวเองดีอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องการพระเจ้าไม่ต้องการกลับใจ  แต่พวกเขาเหล่านี้ต้องการพระเจ้า  ต้องการชีวิตที่เปลี่ยนแปลง  คือ คนบาปที่รู้ว่าตัวเองต้องการที่จะกลับใจ
พระเยซูตรัสให้เขาไป และไปเรียนรู้ว่า … นั่นคือทรงให้ฟาริสีไปคิดดูให้ถ่องแท้ว่าพระคำของพระเจ้าที่ตรัสถึงในโฮเชยามีความหมายอย่างไร  นั่นคือ พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะนำการรักษาฝ่ายวิญญาณมาให้อิสราเอลเสมอมา   แม้ทุกวันนี้ พระองค์ก็ยังทรงทำอยู่ (อิสยาห์ 19:22; 30:26; เยเรมีย์ 30:17)
แต่ฟาริสีเองกลับหมกมุ่นกับพิธีกรรม บทบัญญัติ การรักษากฎอย่างเคร่งครัดมากกว่าความเมตตาที่จะมีต่อประชาชน  พระเยซูทรงสอนฟาริสีต่างจากประชาชน พระองค์ทรงให้เขาไปใคร่ครวญว่า พระเจ้าทรงประสงค์อะไรจากพวกเขากันแน่

มัทธิว 9:14-17คำถามเรื่องการอดอาหารของศิษย์
ฟาริสีต่อว่าพระเยซูไปแล้ว คราวนี้ ศิษย์ของยอห์นก็มาตั้งคำถามเชิงตำหนิกับพระเยซูโดยตรง  เมื่อพระเจ้าทรงส่งยอห์นมา เขาก็ประกาศและมีศิษย์หลายคนติดตามเขา เมื่อพระเยซูเริ่มทำราชกิจของพระเจ้า บางคนก็มาติดตามพระองค์ บางคนก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น พวกเขายังคงถือศีลอดอาหารเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าเสมอตามที่พระคัมภีร์เดิมสนับสนุนให้ทำฟาริสีก็ทำเช่นกัน   แล้วก็เลยแปลกใจว่า เหตุใดศิษย์ของพระเยซูยังใช้ชีวิตที่ดูไม่เคร่งเลย … ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
แล้วพระเยซูทรงตอบเป็นคำอุปมาสามประการ​..เจ้าบ่าวกับเพื่อน/ ผ้าใหม่กับผ้าเก่า / เหล้าองุ่นใหม่กับถุงน้ำองุ่นเก่า
ยอห์นกล่าวว่า เขาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวที่มานำเสด็จเจ้าบ่าวคือพระเยซูในยอห์น 3:27-29
พระเยซูเปรียบเทียบว่า ศิษย์ก็คือเพื่อนเจ้าบ่าว เจ้าบ่าวคือพระองค์เอง และพวกเขาก็ยินดีมากที่ได้อยู่กับพระองค์ (คนยิวเข้าใจว่า ..พระเมสสิยาห์คือเจ้าบ่าว การที่พระเยซูตอบเช่นนี้ ทำให้พวกเขารู้ทันทีว่า พระองค์กำลังตรัสว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ อิสยาห์ 62:4-5; มัทธิว 22:2)
คำอุปมาที่สอง ก็เข้าใจได้ว่า จะไม่มีการเอาสิ่งใหม่กับเก่ามาปะปนกัน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะเสียหายมากกว่าเดิม
คำอุปมาที่สามนั้น ทรงบอกว่า เหล้าใหม่ก็เอาไปใส่ในถุงเก่าไม่ได้
อุปมาทั้งสามนี้มีความหมายว่า  ไม่อาจเอาหลักการศาสนายิวที่ศิษย์ของยอห์นยังถือรักษา ที่ฟาริสีกำลังประกาศ ที่ธรรมาจารย์เรียนรู้จริงจังมาผสมกับวิธีการ คำสอน ราชกิจ เป้าหมาย ของพระเยซูได้ บทบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมได้ทำหน้าที่ของบทบัญญัติไปแล้วคือการชี้ให้เห็นว่า พระเมสสิยาห์จะทรงมาเพื่อทำให้ทุกอย่างสำเร็จ  (อ่านกิจการ 19:1-7 เพิ่มเติม)

มัทธิว 9:18-26 พระเยซูทำให้เด็กหญิงคืนชีวิต และทรงรักษาผู้หญิงป่วยเรื้อรัง 
 ต่อไปเป็นการอัศจรรย์ เป็นราชกิจรักษาโรคและทำให้คืนชีวิตจากตาย
จากบทที่ผ่านมาเราก็เห็นแล้วว่า พระเยซูทรงฤทธิ์มากมาย พระองค์ทรงสามารถรื้อฟื้นสิ่งที่เสียไปแล้วในร่างกายมนุษย์ให้คืนดีขึ้นมาได้.  นายศาลาธรรมของเมืองคาเปอรนาอุมชื่อไยรัส ได้มาหาพระองค์ (มาระโก 5:22)  เป็นยิวที่ฟาริสี และธรรมาจารย์รู้จักดี แต่เขาก็เข้ามาหาพระองค์ คุกเข่าลงโดยไม่อาย โดยไม่ใส่ใจว่า คนเหล่านั้นจะกล่าวหาอย่างไร  มัทธิวว่าเธอตายแล้ว แต่ในมาระโกว่าเธอป่วยหนัก  เมื่อพระเยซูไปถึง… เด็กหญิงก็ตายไปแล้ว
ระหว่างทาง มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความมั่นใจเหมือนไยรัสว่า เธอจะหายโรคเมื่อแตะชายเสื้อของพระองค์ สิบสองปีที่โลหิตตกทำให้เธออ่อนแรง ซีดเซียว และความจริงคือ ในกฎของบทบัญญัติ เธอจะไปเดินชนคนโน้นคนนี้ไม่ได้เพราะเธอเป็นมลทิน แต่เธอไม่อาจทนอยู่ในกฎระเบียบได้ต่อไป เธอเชื่อว่าแค่แตะ
ก็จะหาย  พระเยซูไม่น่าจะทราบเพราะคนเยอะแยะ เต็มไปหมด
แต่เธอเข้าใจปิด เพราะพระเยซูทรงทราบและเธอหายโรคทันทีที่แตะชายเสื้อพระองค์  พระเยซูทรงย้ำให้เธอทราบว่า เพราะเชื่อ เธอจึงหายโรค  ความเชื่อในพระเจ้าทำให้เธอได้รับคำตอบจากพระองค์
แล้วพระเยซูกับฝูงชนก็ไปถึงบ้านของไยรัสที่กำลังทำงานศพกันอยู่ มีคนมาร้องไห้เสียงดังตามพิธี  เป็นอันว่าเด็กหญิงตายแน่นอน
พระเยซูทรงสั่งให้ทุกคนออกไป และตรัสประกาศว่าเด็กหญิงแค่หลับอยู่  คนทั้งหลายจึงเยาะพระองค์ทันที  (ซึ่งจริง ๆ ในฮีบรู คำว่าหลับ ก็อาจหมายถึงตายด้วยเช่นใน ยอห์น 11:11)
แล้วพระเยซูก็ทรงแตะต้องเด็กหญิงที่ตายแล้ว ถ้าคิดตามบทบัญญัติ พระองค์ทรงแตะต้องคนเป็นมลทินสองคนเลย  และก็ทรงทำให้ทั้งสองได้รับชีวิตใหม่อีกครั้ง  เราลองเปรียบเทียบการที่พระเยซูทรงช่วยทั้งหญิงโลหิตตก และทรงทำให้เด็กหญิงฟื้นจากตาย เราจะเพิ่มความเชื่อของเราเองอย่างมหาศาล 


มัทธิว 9:27-34 พระเยซูทรงรักษาชายตาบอดและชายใบ้ผีสิง
ชายตาบอดสองคนตามพระองค์มาจากบ้านของไยรัส  เขาทั้งสองร้องเรียกพระองค์ว่า บุตรดาวิด เป็นเครื่องหมายชัดว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่ยิวรอคอย  แน่นอนที่เมื่อฟาริสี ธรรมาจารย์ และผู้นำศาสนายิวได้ยินก็จะโกรธมาก เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าพระองค์คือ พระบุตรพระเจ้า แต่เป็นคนที่แอบแฝง ทำตัวเป็นพระบุตร 
พวกเขาร้องเรียกพระองค์ตามทาง แต่พระองค์ไม่ทรงรักษาเขาที่นั่น เมื่อเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ทั้งสองก็ตามเข้าไป  พระองค์จึงทรงถามว่า เชื่อหรือว่าพระองค์สามารถทำให้เขามองเห็นได้  พระเยซูทรงเน้นหนักหนาถึงความเชื่อที่คนจะมีต่อพระองค์ เพื่อจะได้รับตามที่ทูลขอ  เราไม่ทราบว่าทั้งสองคนนี้รู้หรือเปล่าว่า ในอิสยาห์ เคยบอกไว้ว่า พระเมสสิยาห์จะทรงทำให้คนตาบอดมองเห็น (อิสยาห์ 35:5-6)  พระองค์ทรงรักษาเขาในบ้าน ไม่ให้คนอื่นเห็นและยังทรงกำชับไม่ให้บอกใคร แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ทำตามนั้นเลย​ใครจะอดไม่บอกให้โลกรู้ได้?


แล้วอิสยาห์ 35:5-6 ก็ถูกย้ำเตือนอีกครั้งเมื่อชายผีสิงที่เป็นใบ้คนหนึ่งถูกนำมาหาพระเยซู  มัทธิวบอกเราว่า เขาเป็นใบ้เพราะถูกผีสิง  พระเยซูทรงขับผีออก และเขาก็พูดได้.. ใคร ๆ ตื่นเต้น แต่ฟาริสีกลับกล่าวหาว่า พระองค์ทรงมีฤทธิ์ของนายผี
ฟาริสีเหล่านี้ มีความดื้อด้านในวิญญาณอย่างมาก ไม่ยอมสยบให้พระเยซู
และยังกล่าวหาพระองค์ด้วย พวกเขาทำราวกับว่าพระองค์ทรงมาจากมารไม่ได้มาจากพระเจ้า  และไม่ได้พูดครั้งเดียวแต่ยังพูดอีกในมัทธิว 12:24

มัทธิว 9:35-38 คนงานน้อย ทุ่งนากว้างนัก
จากข้อ 35 เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงทำราชกิจเพื่ออาณาจักรของพระเจ้า ทั้งประกาศข่าวประเสริฐ และรักษาโรค ทรงช่วยประชาชนทั้งฝ่ายวิญญาณและร่างกายอย่างชัดเจน
แล้วอีกมุมหนึ่งในพระทัยของพระเยซู ..พระองค์ทรงทราบสภาพจิตวิญญาณของพวกเขา ความทุกข์ใจของประชาชนคือ ถูกรังควาญด้วยจากทั้งวิญญาณชั่ว และจากเหล่าผู้นำศาสนา  พวกเขา ไร้ที่พึ่งเพราะไม่รู้หนทางที่จะเข้าใกล้ชิดพระเจ้า.. ผู้นำศาสนาพร่ำสอนเรื่องการทำตามทำบัญญัติ การถวาย การทำตามพิธีกรรมต่าง ๆ แต่เหล่านั้น ไม่ได้ทำให้เขาพบองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เลย  พวกเขาไม่มีผู้เลี้ยงที่มีปัญญาและวิญญาณของพระเจ้าในตัว  … ตลอดสี่ร้อยปีที่ผ่านมา พระเจ้าไม่ทรงส่งผู้รับใช้มาหาพวกเขาเหมือนอย่างที่เคย ..แล้วพระองค์ก็ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ลงมา
พระองค์ทรงเห็นสภาพที่มนุษย์มีแต่จะลงไปสู่ความตาย พระองค์ทรงเปิดทางให้ศิษย์เห็นว่า พระเจ้าจะทรงเป็นผู้ดูแลขบวนการหว่านและเก็บเกี่ยว เพราะพระองค์ทรงเป็นเจ้าของคนเหล่านี้   สิ่งที่พวกเราเป็นอยู่คือ เป็นคนงานของพระองค์ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เราต้องขอจากท่านเจ้าของนาให้ส่งคนมามากกว่านี้!
(พระคัมภีร์เดิมที่พูดเรื่องผู้เลี้ยงของอิสราเอล..  เอเสเคียล 34:23-24; 37:24  พระเจ้าและพระเมสสิยาห์ทรงเป็นพระผู้เลี้ยงของคนของพระองค์  มัทธิว 2:6; 10:6, 16; 15:24; 25:31-46; 26:31)

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 4:13; 11:23
2* ลูกา 5:18-26; มัทธิว 8:10
4* มัทธิว 12:25
8* ยอห์น 7:15
9* ลูกา5:27
10* มาระโก 2:15
11* มัทธิว 11:19; กาลาเทีย 2:15
13* โฮเชยา 6:6; 1 ทิโมธี 1:15
14* ลูกา 5:33-35; 18:12
15* ยอห์น 3:29; กิจการ 13:2,3; 14:23

18* ลูกา 8:41-56
19*  มัทธิว 10:2-4
20* ลูกา 8:43; มัทธิว 14:36; 23:5
22* ลูกา 7:50; 8:48; 17:19; 18:42
23* มาระโก 5:38; 2 พงศาวดาร 35:25
24* กิจการ 20:10
25* มาระโก 1:31
26* มัทธิว 4:24
27* มัทธิว 20:29-34; ลูกา 18:38-39

30* มัทธิว 8:4
31* มาระโก 7:36
32* มัทธิว 12:22, 24
34* ลูกา 11:15
35* กันดารวิถี 4:23
36* มาระโก 6:34; กันดารวิถี 27:17
37* ลูกา 10:2
38* 2 เธสะโลนิกา 3:1

มัทธิว 8 ผู้ทรงสิทธิอำนาจ

พระเยซูทรงรักษาคนโรคเรื้อน
1 เมื่อพระเยซูเสด็จลงมาจากภูเขา
คนเป็นจำนวนมากได้ติดตามพระองค์ไปด้วย
2 มีชายคนหนึ่งเป็นโรคเรื้อน (โรคผิวหนัง เลวีนิติ 14) 
เข้ามาหาพระองค์ เขาคุกเข่าลงต่อพระพักตร์ และทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงรักษากระผม
ให้หายสะอาดได้หากพระองค์ทรงเลือกที่จะทำ”

3 พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปแตะต้องตัวเขา ตรัสว่า
“เราเลือกทำอย่างนั้น จงหายสะอาดเถิด”
ทันใดนั้น เขาก็หายจากโรคของเขา !
4 แล้วพระเยซูตรัสกับเขาว่า “ระวังอย่าไปบอกใครเรื่องนี้ แต่จงไปและแสดงตัวเจ้ากับปุโรหิต และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสได้สั่งไว้ เพื่อเป็นพยานหลักฐานว่า เจ้าได้หายจากโรคแล้ว”

พระเยซูทรงรักษาโรคของบ่าวนายร้อย
5 เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม 
มีนายร้อยนายหนึ่งมาหาพระองค์  ทูลขอความช่วยเหลือ
6 เขากล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า บ่าวของข้าพเจ้านอนป่วย
เป็นอัมพาต และเขากำลังเจ็บปวดทรมานมาก”
7 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขา”
8 เขาตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ตัวข้าพเจ้าเองไม่สมควร
ที่จะให้พระองค์เสด็จมายังบ้านของข้าพเจ้า
เพียงแต่ พระองค์ทรงบัญชา
บ่าวของข้าพเจ้าก็จะหายป่วยได้
9 เพราะข้าพเจ้าเองก็เป็นคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา
และมีทหารใต้บังคับของข้าพเจ้าด้วย 
เมื่อข้าพเจ้าสั่งทหารคนหนึ่งให้ ไป เขาก็จะไป
ข้าพเจ้าสั่งอีกคนว่า มา เขาก็จะมา
ข้าพเจ้าสั่งบ่าวของข้าพเจ้าให้ทำสิ่งนี้ เขาก็จะทำ”
 10 เมื่อพระเยซูทรงฟังคำของเขา
ก็ทรงประหลาดพระทัย
พระองค์ตรัสกับคนที่กำลังตามพระองค์มาว่า
“เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า เราไม่เคยพบความเชื่ออย่างนี้
แม้ในหมู่คนอิสราเอลทั้งหมด
11 เราขอบอกเจ้าว่า คนเป็นอันมากจากตะวันออก และจากตะวันตก จะเข้ามาเอนกายรับประทานอาหารร่วมกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบในแผ่นดินสวรรค์ 
(อิสยาห์ 25:6-8)

12 แต่เหล่าลูกหลานของอาณาจักรจะถูกโยนออกมา
ในความมืดข้างนอก  ซึ่งเป็นที่ ๆ ผู้คนจะร้อง
และขบฟันด้วยความเจ็บปวด”
13  แลัวพระเยซูตรัสกับนายร้อยว่า
“จงกลับบ้านไปเถิด บ่าวของท่านจะหายโรคตามที่ท่าน
เชื่อว่าเขาจะหาย”

และบ่าวของเขาก็หายขาดจากโรคในชั่วโมงนั้นเอง! 

พระเยซูทรงรักษาคนจำนวนมาก
14 เมื่อพระเยซูทรงไปยังบ้านของเปโตร
พระองค์ทรงเห็นแม่ยายของเปโตรนอนป่วย มีไข้
อยู่บนเตียง 
15 พระองค์ทรงจับมือของเธอ อาการไข้ก็หายไป!
แล้วเธอก็ยืนขึ้น และต้อนรับปรนนิบัติพระองค์
16 เย็นวันนั้นเอง ประชาชนก็นำคนจำนวนมาก
ที่มีผีสิงมาหาพระองค์ พระเยซูตรัส
และผีเหล่านั้นก็ออกจากพวกเขา
และพระองค์ทรงรักษาโรคให้คนป่วย  
17  ที่พระองค์ทรงทำสิ่งเหล่านี้ ก็เพื่อให้สำเร็จ
ตามคำที่อิสยาห์ ผู้เผยพระดำรัสได้กล่าวไว้ว่า
“พระองค์ทรงรับเอาความเจ็บป่วย
และนำเอาโรคต่าง ๆ ของเราไป”

ประชาชนต้องการติดตามพระเยซู 
18 เมื่อพระเยซูทรงเห็นฝูงชนมาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ก็ทรงบอกให้ศิษย์ข้ามไปยังอีกฝั่งทะเลสาบ
19 แล้วมีธรรมาจารย์คนหนึ่งมาหา และทูลว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะติดตามท่านไปทุกแห่งที่ท่านไป”
20 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรงอาศัย
และนกในอากาศยังมีรัง
แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ”
21 ชายอีกคนซึ่งเป็นศิษย์ของพระองค์ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอให้ข้าพเจ้าได้กลับไปฝังศพพ่อของข้าพเจ้าก่อน”
22 แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา
และให้คนที่ตายไปฝังคนตายของเขาเองเถิด”

พระเยซูทรงห้ามพายุในทะเล
23 พระเยซูเสด็จลงเรือ และศิษย์ของพระองค์ก็ตามพระองค์ไป
24 ทันใดนั้นเอง เกิดพายุใหญ่ขึ้นในทะเลสาบจนคลื่นท่วมเข้ามาในเรือ แต่พระเยซูบรรทมอยู่ 
25 พวกศิษย์ที่ไปกับพระองค์ก็ปลุกพระองค์ขึ้นมา กล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า โปรดช่วยพวกเราด้วย เรากำลังจะจมน้ำตายอยู่แล้ว”
26 พระเยซูตรัสตอบว่า “เหตุใดเจ้าจึงขลาดกลัวเช่นนี้?
เจ้ามีความเชื่อน้อยนัก”
แล้วพระเยซูทรงลุกขึ้น
ตรัสสั่งให้ลมพายุ และคลื่นหยุด แล้วมันก็สงบลง 
27  พวกเขาประหลาดใจและกล่าวกันว่า “ท่านผู้นี้ทรงเป็นใครกัน? แม้กระทั่งลมและคลื่นทะเลยังเชื่อฟังท่าน!”

พระเยซูทรงขับผีจากชายผีสิงสองคน
28 เมื่อพระเยซูทรงข้ามฟากมายังอีกฝั่ง ถึงเขตแดนกาดารา (เป็นพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของของทะเลสาบกาลิลี) มีชายสองคนที่มีผีสิงออกจากถ้ำเก็บศพ มาพบพระองค์
คนทั้งสองนั้นดุร้ายยิ่งนักจนผู้คนไม่กล้าผ่านไปทางนั้น
 29 ทั้งสองตะโกนว่า “พระองค์ต้องการทำอะไรพวกเรา?
พระบุตรของพระเจ้า ทรงมาที่นี่เพื่อทรมานเรา
ก่อนกำหนดเวลาอย่างนั้นหรือ?”
 30 ใกล้ๆ แถบนั้น มีสุกรฝูงใหญ่หากินอยู่  
31 ผี​(ในตัวชายทั้งสอง) ร้องขอพระเยซูว่า “หากพระองค์จะทรงขับเราออกจากพวกเขา ก็โปรดส่งเราไปสิงในฝูงหมูนั้นเถิด”
32 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ไปเลย!”
ดังนั้นผีจึงเข้าไปสิงในตัวสุกร 
ดูสิ สุกรทั้งฝูงก็กระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบ
จมน้ำตายจนหมดทุกตัว !
33 คนเลี้ยงสุกรวิ่งหนีเข้าไปในเมืองแล้วก็ป่าวร้องเรื่องที่เกิดขึ้น  รวมทั้งสิ่งที่เกิดกับชายผีสิงทั้งสอง  
34  แล้วคนทั้งเมืองก็ออกมาพบพระเยซู  เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์ ก็ขอร้องให้พระองค์ออกจากเขตแดนของเขา

คำอธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 8:1-4
เมื่อพระเยซูทรงสอนเสร็จ ทรงลงมาจากภูเขา แล้วประชาชนก็ได้เห็นว่า พระองค์ไม่ได้แค่สอนอย่างมีสิทธิอำนาจเท่านั้น แต่พระองค์ทรงสิทธิในการรักษาโรคด้วย ในบทนี้ เราจะเห็นการรักษา ชายโรคเรื้อน บ่าวนายร้อย  แม่ยายเปโตร คนจำนวนมาก และยังทรงห้ามพายุ  มัทธิวไม่ได้เรียงลำดับตามเหตุการณ์
แต่รวบรวมการรักษาของพระเยซูมาเรียงกัน
การเป็นโรคเรื้อนดังกล่าว หมายถึงโรคผิวหนังหลายระดับ ไม่เฉพาะโรคเรื้อนเท่านั้น ที่ร้ายแรงสุดคือโรคเรื้อนแท้ ๆ ที่เรียกว่า โรคแฮนเซน  คนที่เป็นโรคผิวหนังเหล่านี้จะต้องแยกตัวออกจากครอบครัว  ห้ามเข้าไปนมัสการในพระวิหาร ต้องอยู่นอกเมือง 
ชายโรคเรื้อนคนนี้เขาประกาศออกมาว่า เขาเชื่อว่าพระเยซูทรงมีฤทธิ์รักษาเขาได้หากพระองค์ทรงประสงค์ และพระเยซูทรงตอบเขาด้วยกันแตะต้องตัว ซึ่งถ้าเป็นตามบทบัญญัติ พระองค์กำลังเป็นมลทินไปแล้ว  แต่แทนที่พระองค์จะเป็นมลทิน กลับทรงทำให้เขาหายสะอาดทันที
เมื่อหายแล้ว พระองค์ทรงบอกให้เขาทำตามขั้นตอนของบทบัญญัติ ทั้งไปรับการตรวจ และถวายเครื่องบูชา เป็นนกสองตัว ไม้ซีดาร์ และด้ายแดง รวมถึงหุสบ (เลวีนิติ  14:4-8) เพื่อเขาจะได้รับการประกาศว่า หายโรคแล้วจากปุโรหิต แล้วเขาจึงจะกลับไปอยู่กับครอบครัวได้ดังเดิม   และถ้าเรากลับไปอ่านมาระโก 1:45 ซึ่งบันทึกเรื่องเดียวกันก็พบว่า เขาไม่ได้เก็บเรื่องนี้ไว้เองแต่ประกาศให้คนรู้ไปทั่ว ทำความลำบากให้พระเยซูพอสมควรเลยทีเดียว

มัทธิว 8:5-13
ในลูกาบทที่ 7 ได้เล่าเรื่องเดียวกัน แต่เล่าว่า นายทหารได้ขอให้ผู้ใหญ่ชาวยิวไปขอร้องให้พระเยซูทรงรักษา
ตอนที่พระเยซูทรงรักษาชายโรคเรื้อนนั้น เขามาขอร้องด้วยการยอมรับว่า หากพระองค์ทรงยินดีช่วย เขาจะได้รับการช่วยเหลือ จากนั้นทรงแตะต้องเขาและเขาก็หายจากโรคที่ไม่อาจหายได้ 
แต่ครั้งนี้ เหตุการณ์ต่างกันมาก คือ คนป่วยไม่ได้มาเอง แต่คนที่ห่วงใยเขาเป็นคนมาขอร้องให้พระเยซูช่วย และคนที่มาคนนี้ ก็ไม่ได้เป็นยิว แต่เป็นชาวโรม อาชีพทหาร  และมีน้ำใจ มองคนยิวด้วยความเคารพ ไม่เหมือนทหารทั่วไป
นายทหารคนนี้มาหาและเรียกพระองค์ว่า Lord พระองค์ท่าน หรือ นายท่าน เขารู้ เขาเชื่อว่า พระเยซูจะทรงทำให้บ่าวของเขาหายโรคที่กำลังกำเริบจนเกือบตายได้ พระเยซูทรงตอบทันทีว่า จะไปรักษาให้  พระเยซูไม่ได้ทำอย่างคนยิวทั่วไป พระองค์ทรงยินดีช่วยแม้จะเป็นคนต่างชาติที่ยิวจะหลีกเลี่ยง 

แต่… พระองค์ทรงถูกกั้นไว้...​ด้วยความเชื่อที่ยิ่งใหญ่  นายทหารไม่ให้พระเยซูไปที่บ้าน แต่ขอร้องให้ทรงสั่งกำราบโรคอัมพาต และบ่าวจะหาย จะเดินได้  เพราะบ้านของเขาไม่สมควรจะต้อนรับพระองค์ที่ยิ่งใหญ่เกิน
เขามองพระเยซูเป็นเหมือนทหารที่สามารถสั่งทหารชั้นผู้น้อยให้ทำอะไรก็ได้  พระเยซูทรงสามารถสั่งให้โรคหยุดทำงานได้!!  พระเยซูจะอยู่ตรงไหน ก็ทรงทำการอัศจรรย์ทางไกลได้  พระองค์ทรงอยู่เหนือกฎธรรมชาติ  นายทหารได้ข่าวเรื่องราวของพระเยซูมาก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน และกลับกลายเป็นคนที่เชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยใด ๆ 
เขาทำให้พระเยซูประหลาดพระทัย ..นายทหารผู้นี้ ทำให้พระองค์ทึ่ง ทั้ง ๆ ที่ทรงเป็นพระเจ้า  พระองค์ตรัสว่า ไม่เคยเห็นความเชื่ออย่างนี้ในหมู่คนอิสราเอล ซึ่งเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก จากนั้น พระองค์ทรงบอกล่วงหน้ากับคนกลุ่มที่ตามมาว่า ในอนาคต พระเจ้าจะทรงรับคนต่างชาติเข้ามาอยู่ในแผ่นดินสวรรค์ด้วย (อิสยาห์ 25:6-8; วิวรณ์ 19:9)
 และที่น่าเสียใจคือ คนที่น่าจะเป็นลูกหลานของอาณาจักร (คนอิสราเอลเอง)กลับจะถูกโยนออกมาอยู่ในนรกที่สุดทรมาน
จากพระดำรัสของพระเยซูตอนนี้ ทำให้เรารู้ว่า พระเจ้าทรงรับทุกคนที่เชื่อในพระองค์เข้าไปในแผ่นดินของพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าเป็นชนชาติใด นี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้ามาตั้งแต่ที่ทรงบอกอับราฮัมว่า ลูกหลานของเขาจะเป็นพระพรกับชาวโลก (ปฐมกาล 12:3)
แล้วนายร้อยก็ได้รับคำยืนยันจากพระเยซูว่า บ่าวของเขาจะหายโรค.. นี่เป็นหนึ่งในการอัศจรรย์ที่พิสูจน์ให้ยิวเห็นว่า
พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์จากพระบิดาจริง ๆ 

มัทธิว 8:14-17
เดิมเปโตรมาจากเบธไซดาตามที่ยอห์นบอกไว้ในบทที่ 1 ข้อ 44 เขากับน้องชายเป็นชาวประมงมาก่อน แต่ทิ้งอาชีพเพื่อมาติดตามพระเยซู แล้วพวกเขาก็มาอยู่กันที่เมืองคาเปอรนาอุม  โดยที่ความเป็นอยู่ก็จะดูแลคนสูงอายุในบ้านด้วย เหมือน ๆ กับคนไทย
วันที่พระเยซูทรงทรงไปบ้านเปโตร ปรากฏว่า พบแม่ยายของเขานอนเป็นไข้สูงอยู่
ไม่มีใครมาขอให้พระเยซูช่วย แต่ครั้งนี้ทรงจับมือของเธอขึ้นมา แล้วอาการไข้ก็หายทันที แถมยังสามารถทำอาหารเลี้ยงทุกคนด้วย นี่แสดงว่าเธอหายไข้จริง!!
 พระเยซูทรงทำสิ่งที่แตกต่างจากธรรมาจารย์ทั้งหลายที่จะไม่แตะต้องผู้หญิงเพราะถือว่าเป็นเรื่องไม่สมควร แต่ตอนนี้พระองค์ทรงทำเพื่อรักษาเธอ..   พระองค์ทรงแตะคนที่ป่วย ซึ่งในความเชื่อของพวกเขาคือ จะทำให้พระองค์เป็นมลทิน   แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้พระองค์บาป

แล้วเย็นวันนั้นเอง ประชาชนก็พากันมาห้อมล้อมพระเยซูอีก ทรงพบเจอกับคนที่ถูกมารรังควาญมากมาย พระองค์ทรงสู้กับโลกฝ่ายวิญญาณอย่างเห็นได้ชัด มารทั้งหลายก็จะต้องแพ้พระองค์ทุกครั้งไป 
ในสมัยโบราณ มารทำงานของมันอย่างแข็งขันในโลกที่มีความเข้าใจโลกวิญญาณแตกต่างจากคนสมัยใหม่ เรื่องผีสิงดูเป็นเรื่องธรรมดาของคนในสมัยพระเยซู  ปัจจุบันมารก็ทำงานของมันอยู่ทั้งแบบที่พระเยซูทรงพบ และแบบที่ทำเงียบ ๆ เบื้องหลัง ไม่ให้ใครรู้ แต่มันใช้คน และสถานการณ์ต่าง ๆ ทำแทนมัน
นอกจากคนมีผีสิงแล้ว คนเจ็บป่วย ไม่ว่าโรคอะไรก็ทรงรักษาให้หมด ตามคำที่เคยเขียนไว้ว่า พระเมสสิยาห์จะทรงเป็นผู้รับความเจ็บป่วย ทรงนำโรคต่าง ๆ ออกไปจากประชาชน 

มัทธิว 8:18-22
คำว่าศิษย์ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงแค่อัครสาวก แต่รวมไปถึงคนที่ติดตามพระองค์อย่างตั้งใจ เรียนรู้จากพระองค์
จากข้อ 18-22 เราเห็นพระเยซู ศิษย์ ฝูงชน และธรรมาจารย์คนหนึ่ง กับศิษย์อีกคน
พระเยซูชวนให้ศิษย์ข้ามไปอีกฝั่ง แต่แล้วก็มีธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาหาและขอติดตามพระองค์  ธรรมาจารย์ยิวผู้นี้ คงสรุปในใจของเขาแล้วว่า เขาต้องการตามพระเยซูไป   เขาคงเห็นคำสอนของพระเยซูที่ทรงพลัง ไม่เหมือนพวกของเขาเอง จึงตัดสินใจเลือกพระเยซูมากกว่าศาสนายิว  เขามองว่า พระเยซูทรงเป็นอาจารย์!  แต่ที่น่าเสียดาย เขาไม่ได้มองว่า พระเยซูคือ พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงส่งมา
แต่แทนที่พระเยซูจะต้อนรับเขาทันที กลับเตือนว่า ถ้าตามพระองค์จะไม่มีที่อยู่สบาย ๆ นกป่ายังมีรัง พระองค์ไม่มีที่อยู่เป็นเรื่องราวเสียด้วยซ้ำ
แน่ใจหรือว่าจะตามมา
เราจะเห็นว่า พระองค์ทรงเตือนล่วงหน้าถึงความยากลำบากในการตามพระองค์
พระองค์ทรงให้เขาคิดดี ๆ ก่อน  การประกาศของพระองค์นั้น ทำให้พระองค์ไม่ได้มีที่อยู่
สร้างครอบครัวเหมือนอย่างธรรมาจารย์ยิว พระองค์ทรงเดินทางออกไปตลอดเวลา
การติดตามพระองค์จะไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองอย่างคนทั่วไป
อีกอย่างที่สำคัญคือ พระองค์ทรงบอกให้เขารู้ว่า พระองค์คือ บุตรมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม  (ดาเนียล  7:13-14)

มัทธิว 8:18-21
แล้วศิษย์อีกคน ได้ยินคำนี้ คิดว่าเขายังมีหน้าที่ในฐานะลูกชาย
เพราะตามประเพณียิวแล้ว มีพิธีฝังศพบิดาอีกครั้งหลังจากที่ตายไปแล้วหนึ่งปี  เขาจึงคิดว่าจะขอเลื่อนเวลาตามพระเยซูไปสักพัก
หรืออาจเป็นว่า เขาก็ไปเลี้ยงดูพ่อจนพ่อสิ้นชีวิตก่อน แล้วค่อยมาตามพระเยซู
แต่พระเยซูทรงไม่เห็นด้วย เราที่อ่านถึงตอนนี้อาจคิดว่า พระเยซูทรงพูดรุนแรงกับเขา … แต่ที่เราเห็นชัดคือ พระเยซูทรงสั่งให้ทุกคนที่จะตามพระองค์นั้น ให้พระองค์ทรงมาก่อนสิ่งอื่น ๆ ในชีวิต (มัทธิว 10:37-38) จริง ๆ แล้ว ศิษย์คนนี้ อาจไม่อยากตามพระองค์จริง ๆ ก็เป็นได้

มัทธิว 8:23-27
เกิดพายุใหญ่ขณะที่พระเยซูกับศิษย์กำลังข้ามทะเลสาบกาลิลีไปอีกฝั่ง ทะเลแห่งนี้อยู่ทางเหนือของประเทศอิสราเอล และต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ……
พระเยซูทรงเหนื่อยจัด และทรงหลับทันทีที่ลงเรือ จากบันทึกที่ผ่านมา เราเห็นว่า พระองค์ทรงรับใช้ประชาชนมาไม่หยุดเลย เมื่อทรงพักก็ไม่ได้ทรงเป็นห่วงเลยว่า เรือจะเป็นอย่างไร ทรงพักผ่อนแบบหลับสนิทจริง ๆ  แม้เรือโคลงขนาดนั้นยังบรรทมสบายมาก ถึงจะทรงเป็นพระเจ้า แต่ก็ทรงเป็นมนุษย์เต็มร้อย
ขณะที่พายุเกิดขึ้นนั้น ศิษย์ทุกคนรู้สึกเลยว่า ครั้งนี้ ต้องจมน้ำแน่นอน หลายคนในหมู่ศิษย์เป็นชาวประมง เขาย่อมรู้ว่า พายุแบบไหนเป็นพายุที่จะเอาชีวิตพวกเขา  แต่ในขณะนั้น พวกเขาไม่ได้คิดว่า มีพระเยซูผู้เป็นพระเจ้าอยู่ในเรือด้วย ไม่ต้องกลัวอะไร พวกเขาเห็นพายุใหญ่เกินกว่าพระบุตรของพระเจ้า (บางทีเราก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ในเหตุการณ์ต่าง ๆ ของชีวิต)
มาระโกก็เล่าเรื่องนี้เช่นกัน เขาบอกด้วยว่า ศิษย์ไม่ได้แค่ขอให้พระองค์ทรงช่วย แต่พวกเขายังตัดพ้อว่า พระองค์ไม่ทรงห่วงหรือที่เราจะตายกันอยู่แล้ว  นั่นก็เป็นเหตุการณ์เดียวกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แทนที่พระเยซูจะหลับต่อไป พระองค์ก็ทรงลุกขึ้น ทรงหันมาถามว่าทำไมถึงกลัว ?… แล้วทรงตอบให้เลยว่า พวกเจ้ามีความเชื่อน้อยนัก  จากนั้นตรัสสั่งให้ลมพายุสงบ ลมพายุก็สงบทันที ราวกับเป็นลูกน้องของพระองค์
พวกเขาประหลาดใจ … พระองค์เป็นใครที่ลมพายุ ทะเลยังเชื่อฟัง? … ยิ่งใหญ่มาก มหัศจรรย์กับตา 
เมื่อสักครู่ยังพายุกล้าเสียงสนั่น มาตอนนี้สงบนิ่งมีแค่ลมพัดเบา ๆ
นี่ทำให้เราเห็นว่า แม้เหล่าศิษย์จะอยู่กับพระองค์ เห็นการอัศจรรย์หลายอย่าง แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจเต็มร้อยว่า พระองค์คือผู้ใด
ตอนนี้เราเห็นแล้วว่า พระเยซูทรงสอนอย่างมีสิทธิอำนาจ ทรงมีฤทธิ์เหนือโลกร้ายฝ่ายวิญญาณ และโรคร้ายฝ่ายร่างกายมนุษย์ 
ใช่แล้ว… ทรงมีอำนาจเหนือธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แบบทุกด้าน!

มัทธิว 8:28-34
เมื่อพระเยซูทรงมาถึงเขตกาดาราพร้อมกับศิษย์  เป็นด้านตะวันออกของทะเลสาบกาลิลี ดินแดนส่วนนี้ เป็นที่อยู่ของคนต่างชาติเป็นอันมาก  
ทรงพบชายสองคนที่ถูกผีสิง เป็นผีที่ดุร้ายมาก
ไม่มีใครกล้าที่จะเดินผ่านไปทางนั้น ผู้คนรู้ว่า ผีในตัวสองคนนี้เกินกำลังที่พวกเขาจะสู้ได้
เราจะเห็นแล้วว่า โลกโบราณมีความคุ้นเคยกับวิญญาณที่มองไม่เห็น แต่สามารถทำร้ายให้มนุษย์เองเปลี่ยนลักษณะกลายเป็นคนโหดร้ายไป
เมื่อชายทั้งสองพบพระองค์ วิญญาณในตัวเขาทั้งสองก็ร้องออกมา มันรู้ทันทีว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป วิญญาณเหล่านี้ รู้ว่าพระองค์ทรงอยู่เหนือพวกมัน ไม่มีทางที่มันจะเอาชนะพระองค์ได้  มันรู้ด้วยว่า มีกำหนดเวลาของมัน ไม่ใช่ว่ามันจะอยู่ได้ตลอดไป!! 
แต่เหล่าศิษย์ของพระองค์สิ พวกเขายังไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย ไม่รู้ว่า พระองค์ทรงมีฤทธิ์เกินกว่าที่พวกเขาจะคิดออก
ในมาระโก 5:9  และลูกา 8:30 นั้น พระเยซูทรงถามชื่อของมัน และมันก็ตอบว่า กอง … เพราะหนึ่งในสองคนนั้นถูกผีหลายตนสิงในร่างเดียว  น่าสนใจคือ ผีจากคนทั้งสอง รู้ดีว่า มันต้องแพ้พระเยซู ต้องออกจากชายทั้งสอง มันจะต้องไปอยู่ในขุมลึก(คงเป็นที่ ๆ สยองมาก ๆ ขนาดผียังไม่อยากไปเลย อ่านลูกา 8:31 และวิวรณ์ 9:1-2) มันอ้อนวอน  ต่อรอง ขออนุญาตพระเยซูว่า ขอให้พวกมันไปสิงในฝูงหมูที่อยู่ใกล้ ๆ  เราอาจสงสัยว่า ยิวเลี้ยงหมูหรือ ไม่ใช่เลย ดินแดนแถบนี้เป็นคนต่างชาติ ดังนั้นการเลี้ยงหมูเป็นฝูงจึงเป็นเรื่องธรรมดาของพวกเขา  และฝูงนี้ มาระโกบอกเราว่า มีประมาณ 2000 ตัว นี่เป็นฝูงหมูที่ใหญ่มาก
แล้วพระองค์ก็ถูกเชิญออกจากเขตแดนแถบนั้น เพราะพวกเขายินดีจะอยู่กับความมืด มากกว่าที่จะได้รับความสว่างที่พระเจ้าทรงยื่นให้กับพวกเขา!

พระคำเชื่อมโยง

2* มาระโก 1:40-45; ยอห์น 9:38
3* ลูกา 4:27
4* มาระโก 5:43 ;ลูกา 5:14
5* ลูกา 7:1-3;
8* ลูกา 15:19, 21

11* อิสยาห์ 49:12; 59:19; มาลาคี 1:11
12* มัทธิว 21:43 ; ลูกา 13:28
14* มาระโก 1:29-31; 1โครินธ์ 9:5
16* ลูกา 4:40-41
17* อิสยาห์ 53:4; 1 เปโตร 2:24
19* ลูกา 9:57-58

21* ลูกา 9:59-60;1 พงศ์กษัตริย์ 19:20
24* มาระโก 4:37
26* สดุดี 65:7; 89:9; 107:29
28* มาระโก 5:1-20; ลูกา 8:26-29
34* ลูกา 5:8; กิจการ 16:39

มัทธิว 7 ทัศนคติตามน้ำพระทัย

1 “อย่าตัดสินคนอื่น เพื่อว่าเจ้าจะไม่ถูกตัดสิน
2 เจ้าจะถูกตัดสินแบบเดียวกับที่เจ้าไปตัดสินผู้อื่น และเจ้าตวงให้คนอื่นด้วยจำนวนเท่าไร เจ้าจะได้รับคืนมาแบบนั้น 
3 เหตุใดกันที่เจ้าสังเกตเห็นผงในดวงตาของเพื่อน แต่เจ้ากลับไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในดวงตาของเจ้าเอง?
4 เจ้าพูดกับเพื่อนของเจ้าว่า ‘ให้ฉันเขี่ยผงออกจากตาเพื่อนเถิด’ ได้อย่างไร   ในเมื่อยังมีไม้ท่อนใหญ่อยู่ในดวงตาของเจ้าเอง?
5 เจ้าคนหน้าซื่อใจคด  เจ้าจงเอาไม้ออกจากดวงตาของเจ้าเสียก่อน แล้วเจ้าจะมองเห็นชัด จากนั้นจึงเขี่ยผงออกจากดวงตาของเพื่อนเจ้าได้ 
6 อย่าเอาของบริสุทธิ์ให้กับพวกสุนัข และอย่าโยนไข่มุกให้กับสุกร  สุกรมันจะย่ำไข่มุก และสุนัขจะก็หันมาขย้ำเจ้า






จงทูลขอสิ่งที่จำเป็นจากพระเจ้า
7 จงเฝ้าขอ แล้วเจ้าจะได้รับจากพระเจ้า จงเฝ้าหา แล้วเจ้าจะพบ จงเฝ้าเคาะและประตูจะเปิดให้แก่เจ้า
8  ใช่แล้ว เพราะทุกคนที่ทูลขอจะได้รับ ทุกคนที่แสวงหาจะได้พบ และทุกคนที่เคาะนั้น ประตูก็จะเปิดให้เขา



9  หากลูก ๆ ขอขนมปัง มีใครในพวกเจ้าจะเอาก้อนหินให้พวกเขา?
10 หรือถ้าลูก ๆ ขอปลา เจ้าจะเอางูให้แทนอย่างนั้นหรือ?
11 แม้ว่าเจ้าเป็นคนเลว ยังรู้ว่าจะให้สิ่งดีแก่ลูก ๆ แบบไหน  พระบิดาของพวกเจ้าผู้สถิตในสวรรค์จะประทานของดีให้กับคนที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นอีกเพียงใด

12 ดังนั้น จงปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างที่เจ้าเองต้องการให้เขาปฏิบัติต่อเจ้า นี่คือบทสรุปของบัญญัติโมเสส และคำสอนของผู้เผยพระดำรัส (พระคัมภีร์เดิม)


13 จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะประตูกว้าง และทางกว้างนั้น นำสู่หายนะ คนจำนวนมากเข้าไปทางประตูกว้างนั้น
14 ส่วนประตูเล็กและทางแคบนั้น จะนำสู่ชีวิต มีน้อยคนที่จะพบทางนั้น

คนรู้จักเราจากการกระทำ
15 จงระวังคนที่เผยพระดำรัสเท็จ พวกเขาจะมาหาเจ้าโดยดูเหมือนแกะ แต่จริงแล้วพวกเขาอันตรายดั่งสุนัขป่าตัวร้าย

16 เจ้าจะรู้จักคนเหล่านี้ด้วยผลของพวกเขา ผลองุ่นไม่ได้เกิดจากต้นหนาม และผลมะเดื่อไม่ได้เกิดจากพุ่มหนาม
 17 เช่นเดียวกัน ต้นไม้ที่ดีทุกต้นจะออกผลดี  และต้นไม้เลวก็จะออกผลที่เลว
18 ต้นไม้ดีนั้นไม่อาจออกผลที่เลว และต้นไม้เลวก็ไม่อาจออกผลที่ดี
19 ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่ออกผลดี จะถูกโค่น และโยนทิ้งลงในไฟ
20 เช่นเดียวกัน เจ้าจะรู้จักคนเผยพระดำรัสเท็จก็โดยดูจากผลของเขา 


21 ไม่ใช่ทุกคนที่กล่าวกับเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ แล้วจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่คนที่เข้าไปได้ คือคนที่กระทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ 
22 ในวันพิพากษานั้น จะมีหลายคนกล่าวกับเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า  ข้าพเจ้าได้เผยพระดำรัสในพระนามของพระองค์  และเราขับผีในพระนามของพระองค์ และทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ ในพระนามของพระองค์’ 
23 แล้วเราจะบอกเขาชัดเจนว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้า จงออกไปจากเรา เจ้าผู้ทำความชั่ว!’ 

คนสองแบบ

24 “ทุกคนที่ได้ยินคำของเรา และเชื่อฟังทำตามก็เป็นเหมือนคนฉลาดที่สร้างบ้านของตนบนศิลา
25  ฝนตกหนัก น้ำท่วม และลมพัดบ้านนั้นอย่างรุนแรง แต่บ้านนั้นก็ไม้พัง เพราะถูกสร้างบนศิลา
26 คนที่ฟังคำของเรา และไม่เชื่อฟังก็เป็นเหมือนคนโง่ที่สร้างบ้านของตนไว้บนพื้นทราย
 27 ฝนก็ตกหนัก น้ำท่วมขึ้นมา และลมพัดบ้านนั้นอย่างรุนแรง และบ้านนั้น ก็พังทลายลงไม่เหลือ

28 เมื่อพระเยซูตรัสคำเหล่านี้จบลง ประชาชนต่างประหลาดใจกับคำสอนของพระองค์ 
29 เพราะพระองค์ไม่ทรงสอนเหมือนอย่างธรรมาจารย์ของพวกเขาเลย  พระองค์ทรงสอนดั่งผู้ที่มีสิทธิอำนาจ 

อธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 7:1-2 ในบทที่ 6  พระเยซูทรงกล่าวถึงทัศนคติของเราในใจว่า แรงจูงใจนั้นคืออะไร จะทำอะไร ของให้มีแรงจูงใจที่ถูก ไม่ใช่ต้องการอวด … แต่บทนี้เริ่มมาดูว่า เราจะคิดกับคนอื่นอย่างไร 
การตัดสินคนอื่นมักจะเกิดจากการที่เราคิดว่า เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราดีกว่า แต่อย่าลืมว่า เราตัดสินคนอื่นอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินเราเช่นกัน ลองทบทวนย้อนกลับไปว่า เมื่อเราตัดสินคนอื่น เราเป็นอย่างนั้น หรือคล้ายกัน หรือหนักกว่าคนที่เราไปตัดสินหรือเปล่า  แต่ตรงนี้พระเยซูทรงบอกเราว่าอย่าไปตัดสินเพื่อเราจะไม่ถูกตัดสินด้วยมาตรฐานเดียวกัน 
มัทธิว 7:3-5 
แล้วพระเยซูทรงยกตัวอย่างให้เราเห็นอย่างชัดเจน เป็นคำอุปมาสั้น ๆ ที่เราทุกคนโดนหมด ไม่มีใครผ่านเลย  ยิ่งฟาริสีที่ฟังอยู่ ถ้าเป็นคนที่คิดเป็น เขาก็จะเห็นตัวเองชัดเจนมาก  เท่าที่ผ่านมาหลายพันปีของโลกนี้ เราจะเห็นการตัดสินผู้อื่นแบบที่ไม่ยุติธรรมมากมาย การที่เราไม่เห็นความผิดของตัวเองที่มากมาย แต่เห็นความผิดเล็กน้อยของคนอื่นนั้น  เป็นเพราะเรามองตนเองว่าเป็นคนดี 
มัทธิว 7:6  
บางครั้งคนของพระเจ้าก็มักจะเป็นคนใจดี น่ารัก ให้ได้เสมอ แต่พระเจ้าทรงเตือนว่า การให้บางสิ่งกับคนที่ไม่เห็นค่านั้น มันเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ลึกไปกว่านั้น พวกสุนัข และสุกร ในความหมายตรงนี้คือ คนที่เป็นศัตรูต่อไม้กางเขน ถึงจะประกาศไปเท่าไร เขาก็ไม่เอา แถมเหยียบย่ำทำลาย พระกิตติคุณเสียด้วย  (แตกต่างจากคนที่ฟัง แต่ยังไม่เชื่อ)
มัทธิว 7:7-8
เป็นข้อพระคัมภีร์ที่ทุกคนจำฝังใจ … เพราะคนเรามีความต้องการจำเป็นที่แทบจะไม่มีวันหมดสิ้น เรื่องที่เราจะขอพระเจ้าหลายต่อหลายอย่าง 
เท่าที่พระเยซูได้ตรัสสอนมา  ทรงสอนสารพัดเรื่อง และตอนนี้พระองค์กำลังบอกถึงสิ่งดีที่พระเจ้าพร้อมจะประทานให้กับคนของพระองค์
เราจะเห็นว่าเริ่มจากขอ แล้วแสวงหา แล้ว เคาะ เป็นการเพิ่มระดับการขอ พระเยซูทรงสอนให้เราไม่อ่อนระอาใจในการเฝ้าขอ( ลูกา 11:5-13; 18:1-8)   ทรงสอนให้อธิษฐานมาก่อนหน้านี้  (มัทธิว 6:5-14)
ดูสิ่งที่น่าสนใจคือ ขอแล้วได้  หาแล้วพบ เคาะแล้วประตูจะเปิด  ผลที่ได้รับเป็นรางวัลของการขอ หา และเคาะ  มีคริสเตียนเป็นจำนวนมากที่ใช้ชีวิตโดยไม่รู้สึกว่า ต้องขอหาหรือเคาะ เพราะเขามีบริบูรณ์ เขาลืมไปว่า ในชีวิตจริงของเรานั้น ยังมีอีกหลาย ๆ สิ่งที่เราทำเองไม่ได้ หากเราเข้าเฝ้าพระเจ้าบ่อยเข้า เราจะตระหนักเรื่องนี้ชัดเจน
ดังนั้นคนใดที่มีความทุกข์ยาก ต้องการพระเจ้า ต้องการความช่วยเหลือ พระเจ้าทรงมีพระสัญญานี้ให้ไว้  ยิ่งเรามีชีวิตที่ขึ้นอยู่กับพระเจ้ามากเพียงไร เราจะได้สิ่งที่เหนือกว่าที่เราขอ นั่นคือ เราได้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าที่ทรงยิ่งใหญ่สุดในจักรวาล! 
มัทธิว 7:9-12
พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาที่มีน้ำพระทัยดีเลิศ ทรงเตรียมทุกอย่างไว้ให้เราเพื่อเราจะมีชีวิตอยู่ อากาศ แสงแดด น้ำ ฝน อาหาร  คิดดูดี ๆ ว่า พระเจ้าทรงเตรียมไว้ล่วงหน้าเสมอ พระองค์ทรงดียิ่งกว่าพ่อแม่ที่แสนรักเรา ทรงเห็นทุกอย่างล่วงหน้า ทรงรู้แล้วว่า เราต้องการสิ่งใด แต่การที่เราทูลขอ ทำให้เราซึ่งเป็นมนุษย์ที่ค่อนข้างขาดความกตัญญูจะได้ตระหนักรู้ว่า สิ่งที่เราได้รับมาในชีวิตไม่ได้มาจากตัวเราเอง แต่มาจากพระบิดาพระเจ้าองค์สูงสุด มัทธิว 7:12
ตรงนี้ พระเยซูทรงย้อนกลับไปถึงพระคัมภีร์เดิม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระองค์มิได้มาเพื่อทำลายพระบัญญัติ แต่เพื่อทำให้สำเร็จ  (มัทธิว 5:17)
คำว่า ดังนั้น คือสิ่งที่พระองค์กล่าวมาทั้งหมด มาสรุปตรงนี้ว่า สิ่งที่สมควรทำคือ ให้ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่เราอยากให้เขาทำต่อเรา ( เลวีนิติ 19:18 คือรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง)  ข่าวดีคือ สิ่งเหล่านี้เป็นทักษะที่เราต้องฝึกฝน ไม่ใช่ทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่ต้องเป็นนิสัยใจคอที่ทั้งมาจากพระเจ้า และความตั้งใจของเราด้วย
 มัทธิว 7:13-14 ทางสองเส้น
คำสอนของพระเยซูนี้ ไม่ได้แค่กล่าวถึงชีวิตในปัจจุบัน แต่เป็นการบอกถึงชีวิตข้างหน้า ในอนาคต ในวันของพระเจ้า  เราจะเห็นประตูสองแบบ ทางสองทาง คนจำนวนน้อยและมาก ชีวิตและหายนะ  และคนที่ไปสู่หายนะก็มีมากกว่า เพราะพวกเขาเลือกประตูกว้างและทางกว้างที่เปิดโอกาสให้ทำตามใจตนเอง จะคิดวิปริตอย่างไรก็ได้ แต่ประตูแคบและทางแคบนั้น เดินยากกว่า ต้องตามพระเจ้า และไม่ตามใจตัวเอง มีแผ่นดินสวรรค์เป็นเป้าหมายในใจ เดินเลียนแบบองค์พระเจ้า (โคโลสี  3:1-2) และมั่นใจว่า จะได้พบจุดหมายที่เป็นชีวิตนิรันดร์ 
มัทธิว 7:15-20  ต้นไม้สองแบบ
สำหรับคนที่กำลังฟังพระเยซูอยู่นั้น เขาอยู่ในสังคมที่ศาลาธรรม ธรรมาจารย์ ฟาริสี สะดูสีเป็นใหญ่ในเรื่องฝ่ายวิญญาณ และยังเป็นใหญ่บางส่วนในทางการเมืองด้วย  ประชาชนเองต้องรู้จักดูผลของชีวิตคนที่สอนเขาว่า มีผลออกมาอย่างไร เขาก็จะรู้ว่าใครเป็นใคร
เฉลยธรรมบัญญัติ 13:1-11 สอนว่ามีคนเผยพระดำรัสเท็จอยู่ในสังคมที่ประชาชนเองต้องรู้จักสังเกต และไม่ติดตามพวกเขา เพราะคนเหล่านี้หวังประโยชน์และพยายามให้คนเลิกติดตามพระเจ้า ผู้เผยพระดำรัสเท็จเป็นเรื่องใหญ่ เพราะสามารถทำให้ผู้ที่เชื่อมั่นคงในพระเจ้าหลงไปได้ด้วย ทำให้สูญเสียชีวิตนิรันดร์ สูญเสียองค์พระเจ้าไปจากชีวิต 
มัทธิว 7:21-23 คำกล่าวอ้าง
ในวันของพระเจ้านั้น เราจะพบคนที่เอาแต่พูดเรื่องพระเจ้า  กับคนที่ลงมือทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า คนสองแบบนี้จะได้รับผลจากการตัดสินของพระเจ้าแตกต่างกัน  การเป็นครูสอนคนอื่น แต่ตนเองไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้านั้น รับผลที่น่ากลัว
สังเกตด้วยว่า ตอนนี้พระเยซูกล่าวถึงพระบิดาว่า ทรงเป็น “พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์”
พระเยซูตรัสว่า หลายคน!! ทูลต่อพระบิดาว่า เขาได้ประกาศพระนาม ขับผี ทำการอัศจรรย์ ในพระนามของพระองค์ แต่ทำไมพระองค์ตรัสตอบว่า “เราไม่รู้จักเจ้า”?  พวกเขาจะถูกขับออกไปให้พ้นพระพักตร์!!   คนที่เป็นอาจารย์ที่สอนผิดจะเจอกับเหตุการณ์นี้ 
มัทธิว 7:24-27 คนสร้างบ้านสองแบบ
สองข้อก่อนหน้านี้เป็นเรื่องของการพูดกับการลงมือทำ ส่วนคำอุปมาสั้น ๆ เรื่องการสร้างบ้าน เป็นเรื่องของการ   ฟังแล้วลงมือทำแบบที่ต่างกัน 
ตอนนี้พระเยซูทรงกล่าวถึงคนที่ได้ยิน “คำของเรา”  แล้วทำตามก็เป็นคนฉลาดเหมือนคนสร้างบ้านบนพื้นที่แข็งแรงกับอีกคนที่ฟังแล้วไม่ทำตามก็เป็นเหมือนคนที่สร้างบ้านบนฐานที่อ่อนแรง
นั่นคือ คนที่ยินคำของพระเยซู และทำตาม เป็นคนที่วางใจในพระเยซูผู้ทรงเป็นดั่งศิลาที่แข็งแกร่ง สร้างชีวิตบนพระคำของพระองค์ ติดตามใกล้ชิด คนนั้นคือคนที่สร้างบ้านบนศิลา
ส่วนอีกคนที่สร้างชีวิตบนคำคม ติดตามความคิดของคนในโลกที่ระบาดอยู่ทั่วไป ชีวิตขึ้นอยู่กับความเห็นของคนนั้น คนนี้ ไม่ได้สร้างขึ้นบนพระคำ ก็คือคนที่สร้างบ้านบนทรายนั่นเอง .. เมื่อเจอพายุของชีวิต ก็ยากที่จะแก้ไข เราจึงเห็นคนมากมายที่ขาดศิลาอันมั่นคง ทำลายชีวิตตัวเอง และบางคนถึงกับฆ่าตัวตายไปเพราะหาทางออกไม่ได้
มัทธิว 7:28-29 คำตรัสของพระเยซูไม่ได้เป็นเหมือนของฟาริสี ธรรมาจารย์ที่พยายามสั่งสอนให้คนทำตามบัญญัติอย่างเคร่งครัด แต่เป็นคำสอนสำหรับคนที่รับแผ่นดินของพระเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงจิตใจที่ส่งผลมายังการกระทำ  พระองค์ตรัสเสมอ  เรากล่าวแก่เจ้าว่า …. 

พระคำเชื่อมโยง

1* โรม 12:1-2
2* ลูกา 6:38
3* ลูกา 6:41
5* ลูกา 6:42
6* สุภาษิต 9:7-8
7* มาระโก 11:24
8* สุภาษิต 8:17
9* ลูกา 11:11
11* ปฐมกาล 6:5; 8:21

12* ลูกา 6:31;
13* ลูกา 13:24
14* ลูกา 13:23-30
15* 1 ยอห์น  4:1
16* มัทธิว 7:20; ลูกา 6:43
17* มัทธิว 12:23
18* กาลาเทีย 5:17
19* ยอห์น 15:2, 6
20* มัทธิว 7:16

21* ลูกา 6:46 ; โรม 2:13
22* กันดารวิถี 24:4
23* 2 ทิโมธี 2:19; สดุดี 5:5; 6:8
24* ลูกา 6:47-49
25* ยากอบ 1:12; สดุดี 125:1-2
26* ลูกา 6:49; เยเรมีย์ 8:9
27* มัทธิว 13:19-22
28* มัทธิว 13:54
29* ยอห์น 7:46