ฟีลิปปี 4 พระเจ้าแห่งสันติสุข
โครงร่างคริสตจักรที่เข้มแข็ง
ฟีลิปปี 1:27
1 โครินธ์ 15:58
ฮีบรู 12:14
1 เปโตร 3:8-11
เอเฟซัส 6:13
หลังจากที่พูดมาหลายเรื่อง ท่านบอกเขาว่าพวกเขาเป็นที่รัก คิดถึงแล้วสบายใจ และในวันที่ท่านยืนต่อพระที่นั่งของพระเจ้า ถ้าพวกเขายืนมั่น นั่นก็คือมงกุฎของท่านต่อพระพักตร์ของพระเจ้า การยืนมั่น ไม่ได้ให้ไปยืนที่ไหน เพราะไม่มีที่ไหนมั่นคง นอกจากยืนมั่นในพระเจ้า แต่ในชุมชนทุกแห่งอาจมีความขัดแย้งเกิดขึ้นได้ สตรีสองคนที่มีปัญหาในคริสตจักร ท่านสั่งให้เธอทั้งสองคืนดีกันเสีย ให้มีใจเดียวกัน คิดอย่างเดียวกัน
วิวรณ์ 13:8 ,3:5, 21:27,20:12,15
ลูกา 10:20
แม้ว่าทั้งสองจะเป็นผู้ร่วมงานของท่านเปาโล แต่ก็กลับมีความเห็นต่างกัน หรืออาจมีเรื่องราวต่อกัน และครั้งนี้ท่านเปาโลได้กล่าวถึงเคลเมนท์ ซึ่งเป็นอีกคนที่รับใช้พระเจ้าด้วยกันกับท่าน สิ่งสำคัญคือ ท่านแน่ใจว่าคนเหล่านี้ ถึงแม้ยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่พวกเขามีชื่อบันทึกในหนังสือแห่งชีวิต เรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าเรามีชื่อจดไว้เท่ากับเรามีสิทธิเป็นพลเมืองของสวรรค์ ได้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าอย่างที่ไม่เคยมาก่อน
เอาชนะความกังวล
1 เธสะโลนิกา 5:16-18
ยากอบ 1:2-4,5:8-9
1 เปโตร 4:13,5:7
จดหมายฉบับนี้ของท่านเปาโลเป็นจดหมายแห่งความยินดี การมีความกังวลนั้น ถ้ากังวลไม่หยุดหย่อน ไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นเหมือนยาพิษของใจ ที่จะทำให้เราไม่มีความสุข ท่านเปาโลบอกวิธีที่จะทำให้ใจทุกข์เป็นสุขด้วยการวางทุกอย่างไว้กับพระเจ้า เชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงเปิดทาง และประทานความสามารถที่เราจะผ่านเหตุการณ์ยากๆ ไปได้ เมื่อปัญหามันยากเกิน ซับซ้อนเกิน อย่าหยุดที่จะหันมาพึ่งพาพระเจ้า เราจะพ้นจากอาการทางจิต ทางร่างกายที่ไม่พึงประสงค์
ยอห์น 14:27
2 เธสะโลนิกา 3:16
อิสยาห์ 26:3
โคโลสี 3:15
ใจและความคิดของเราต้องการโล่ป้องกัน ไม่ให้คิดสิ่งที่ทำให้เราตกต่ำ ไม่ให้เราหมกมุ่นในสิ่งที่ทำลายชีวิตของเรา สิ่งที่ช่วยป้องกันให้เราไม่คิดสิ่งชั่วร้ายก็คือเมื่อเรามีสันติสุขในใจนั่นเอง คนสบายใจมีสันติสุขของพระเจ้า จะไม่ข้องแวะกับสิ่งสกปรกใด ๆ อย่างอัตโนมัติ เพราะเขาไม่ต้องพยายามควานหาความสุขจากอะไร ๆ ที่ไม่ใช่ต้นตอความสุขแท้ อย่าลืม.เด็ดขาดว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยเสมอเมื่อเราขอความช่วยเหลือจากพระองค์
คิดสิ่งที่ทำ ทำสิ่งที่คิด
ยากอบ 3:17
ทิตัส 2:7
โรม 12:9-21
กาลาเทีย 5:22
แล้วท่านเปาโลก็บอกถึงแปดสิ่งที่ควรคิดถึง ท่านไม่พูดเป็นนามธรรม แต่กล่าวเป็นรูปธรรมชัดเจน เมื่อความคิดวนเวียนอยู่ในสิ่งเหล่านี้ เราก็จะไม่มีเวลาไปคิดเรื่องไร้สาระ เรื่องสกปรกใด ๆ เช้ามาเราจึงยังไม่ควรเปิดฟังข่าวใด ๆ เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยข่าวที่ตรงข้ามกับแปดข้อที่ควรคิด เราควรอยู่กับพระคำของพระเจ้า จบวันด้วยพระคำของพระองค์ ให้ข้อมูลข่าวสารของโลกเป็นรองจากพระคำ
เราลองดูทั้งแปดสิ่งนี้ แล้วเราจะเห็นว่า เมื่อเราคิดถึงพระบิดา พระบุตร และองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะได้ครบทั้งหมดเลย!
2 เปโตร 1:10
ยากอบ 1:22
1 เธสะโลนิกา 4:1-8
ยอห์น 13:17
รางวัลของการที่ทำตามสิ่งที่เรียน รับ ได้ยิน ได้เห็นจากท่านเปาโล คือการที่พระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงอยู่กับเรา แม้ว่าในโลกของคริสเตียนจะมีหลายความคิดแตกต่างกันไป มีหลายคริสตจักร มีหลายกลุ่ม แต่สิ่งที่ท่านเปาโลสอนนั้นยอดเยี่ยม ติดตามไปจะไม่หลงทาง
การมีพระเจ้าแห่งสันติสุขอยู่กับเรานั้น ยอดเยี่ยมจริง ๆ ไม่ว่าโลกจะโกลาหลเพียงใด เรายังจะมีสันติสุขได้ ประหลาดนัก
น้ำใจชาวเมืองฟีลิปปี
2 โครินธ์ 11:9, 7:6-7
กาลาเทีย 6:10
ฮีบรู 13:5-6
1 ทิโมธี 6:6-9
2 โครินธ์ 9:8
เราจะเห็นว่า ท่านเปาโลมีความสัมพันธ์สนิทกับพี่น้องชาวฟีลิปปี ทั้ง ๆ ที่เวลาผ่านไปนานแล้วถึง 10 ปีหลังจากที่ท่านตั้งคริสตจักรในเมืองนี้ พวกเขาห่วงใยสนับสนุนงานรับใช้เสมอ แม้มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ขาดการติดต่อกัน ท่านเล่าให้เขาฟังว่า ท่านพอใจกับการจัดเตรียมของพระเจ้าทุกรูปแบบ ความพอใจของท่านไม่ได้ขึ้นอยู่กับมีมากหรือน้อย แต่ดูเหมือนขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดที่ท่านมีกับพระเจ้า
2 โครินธ์ 11:27,12:7-10,11:9
มัทธิว 11:29
อิสยาห์ 41:10
โคโลสี 1:11
ท่านบอกเขาว่าจะมีมากหรือขัดสน จะอิ่มหรือหิว ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หลายคนเมื่อขาด เมื่อต้องการแล้วไม่ได้ก็จะเกิดอาการหงุดหงิด งุ่นง่าน ไม่สบายใจเพราะรู้สึกว่า ต้องมีมาก ๆ มีเกินพอจึงจะมีความสุข ความรู้สึกเพียงพอ พึงใจแบบนี้ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ก็เกิดขึ้นมา แต่เป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ต้องฝึกฝน หยุดบ่น ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับใคร ไม่โลภ เมื่อเรามั่นใจในพระเจ้าอย่างท่านเปาโลในทุก ๆ สถานการณ์ เราจึงพึงพอใจได้ไม่ว่าจะมีหรือขาด
ฮีบรู13:16 ,10:34
ฟีลิปปี 1:7
2 โครินธ์ 11:8-12
พระคัมภีร์สอนเรื่องการใช้จ่าย การเงินมากเหมือนกัน และในข้อนี้ท่านเปาโลก็กล่าวถึงการช่วยเหลือที่คริสตจักรฟีลิปปีได้ช่วยท่านจริงจัง พวกเขาให้ด้วยใจกว้างขวาง ไม่ได้ไปดูว่าคนอื่นทำอย่างไร แต่มีน้ำใจเอง ทำให้เขาเป็นผู้มีส่วนในการรับใช้ เป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ออกไปแนวหน้า เป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญยิ่ง ทำให้งานของพระเจ้าขยายออกไป เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าด้วย (18)
1 เธสะโลนิกา 2:9, 2:18
ทิตัส 3:14
ฮีบรู 6:10
จากพระคำข้อนี้ จะเห็นว่า ตอนที่เปาโลทำงานในเมืองเธสะโลนิกา คนชาวเมืองฟีลิปปีก็มีน้ำใจรักคนอีกเมือง และช่วยเหลือท่านเปาโลจริง ๆ ท่านเปาโลเองก็อวยพรเขาไปกลาย ๆ ในข้อนี้ด้วย ท่านรู้ว่า พระเจ้าจะทรงอวยพระพรในน้ำใจนี้ และพวกเขาก็จะยิ่งรับใช้ปรนนิบัติในการสนับสนุนเพิ่มขึ้นอีก
ฮีบรู 13:16
2 โครินธ์ 9:8-12
สดุดี 84:11,23:1-5
1 เปโตร 5:10
โรม 11:36
กาลาเทีย 1:4-5
นี่เป็นเคล็ดลับแห่งการมีชีวิตที่ถวายได้ไม่มีวันหมด เมื่อเราถวายด้วยใจยินดี เมื่อเราใส่ใจในการช่วยเหลือ นั่นคือการนมัสการพระเจ้า เป็นของถวายที่พระเจ้าทรงพอพระทัย และพระเจ้าจะประทานให้เรามีเพื่อที่จะรับใช้ต่อไป นี่เป็นความจริงที่คริสเตียนจำนวนมากมายประสบมาแล้ว เราจึงไม่ต้องกังวล เพราะว่าพระเจ้าจะทรงใช้เราให้ทำงานแบบนี้ต่อไป
คำอำลา คำอวยพร
โรม 16:21-22
ฟีลิปปี 1:13
2 โครินธ์ ๅ_ซๅภ
ถึงแม้ท่านเปาโลจะถูกกักกันตัวไว้ในบ้าน และมีทหารมาเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เราจะเห็นว่า ท่านไม่ได้ขาดความสัมพันธ์กับพี่น้องเลย คนในวังซีซาร์ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าข้าราชการของโรมทั้งหลาย ก็มาพบพระเจ้าเพราะนักโทษชายเปาโลท่านนี้ ท่านจึงเป็นต้นแบบของคนที่มีความสุขความยินดีของพระเจ้า ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด
ฟีลิปปี 3 ทุกอย่างเพื่อพระคริสต์
1 เธสะโลนิกา 5:16
กาลาเทีย 5:15
สดุดี 119:115
โรม 2:28
ท่านเปาโลไม่เบื่อเลยที่จะบอกให้พี่น้องยินดีในพระเจ้า คนที่ไร้อิสรภาพ ไปไหนไม่ได้ มีทหารเฝ้าตลอดเวลา กลับยินดีเสมอ ดูเหมือนว่า เป็นทักษะที่ฝึกได้ เราต้องฝึกที่จะยินดีในพระเจ้าไม่หยุด ท่านเปาโลหมายความให้พี่น้องยินดีต่อเนื่อง..ไม่ว่าสถานการณ์รอบตัวจะเป็นอย่างไร
แล้วท่านก็ให้เขาระมัดระวังคนสอนผิดที่อ้างว่าต้องผ่านพิธีกรรมนี้ ต้องทำสิ่งนั้น ต้องเดินตามพวกเขา เพื่อว่าจะได้ไปสวรรค์ คนที่บอกว่าต้องดีเอง
เฉลยธรรมบัญญัติ 30:6
โรม 7:6
2 โครินธ์ 5:16,
11:18,22,23
ท่านบอกชัดเจนว่า เราต้องไม่เชื่อในความดีของเราเอง ไม่ว่าพื้นเพของเราจะเป็นอย่างไรนั้น ไม่เกี่ยว แม้ในชีวิตเราต้องทำสิ่งดี ทำดีมาก ๆ แต่การดีนั้น ไม่ได้ทำให้เราเหนือคนอื่น ทุกคนเท่าเทียมกัน ทุกคนควรอวดพระเยซู ไม่ใช่อวดตนเอง
2 โครินธ์ 11:22
โรม 11:1
กิจก่ี 23:6, 8:3,22:3-4
จะว่าไปแล้ว ท่านเปาโลนั้นมีคุณสมบัติครบถ้วนเรียกได้ว่า เป็นคนดี เพียบพร้อมด้วยชาติตระกูล ความรู้สูง มีความกระตือรือร้นมาก ทำตามธรรมบัญญัติแบบไม่มีที่ติได้เลย ท่านเปาโลไม่ได้อวดตัว ตอนนี้ท่านเพียงบอกว่า ถึงจะเป็นคนสมบูรณ์แบบอย่างนี้ มันก็ไม่มีความหมายอะไร
ลูกา 14:26,33
มัทธิว 16:26
ยอห์น 17:3
กิจการ 20:24
โรม 8:18
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะท่านรู้ดีว่า สิ่งเหล่านั้นไร้สาระ เมื่อท่านได้มาพบพระเยซูบนถนนไปเมืองดามัสกัสครั้งนั้น ชีวิตก็เปลี่ยนไป การมองโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สิ่งเดิม ๆ ที่เคยภาคภูมิใจ เคยใช้เป็นเครื่องมือในการใช้ชีวิต ท่านกลับมองว่ามันด้อยค่าไปแล้ว ด้อยค่าจริง ๆ ไม่น่าสนใจอีกต่อไป ต้องทิ้งไป พระเยซูต่างหากที่มีค่าสูงสุดในชีวิต
โคโลสี 2:2-3
1 โครินธ์ 2:2
2 โครินธ์ 5:21
โรม 8:1
ท่านเปาโลเห็นว่าทุกสิ่งที่ท่านเคยให้ความสำคัญ เป็นเหมือนมูลสัตว์ (ภาษากรีกสื่อว่าเป็นเช่นนั้น ) สกปรก เหม็น สิ่งที่เคยเป็นเกียรติก็ไม่ใช่อีกต่อไป ความดีที่เคยภูมิใจกลายเป็นขี้ริ้ว การมองโลกใหม่ของท่านเปาโลคือ ความดีของพระคริสต์เท่านั้น การมีพระคริสต์เท่านั้น เชื่อในพระองค์เท่านั้นจึงจะเป็นของดีที่แท้จริง
กาลาเทีย 2:20
2 ทิโมธี 2:11-12
ยอห์น 11:24
แม้ว่าท่านเปาโลจะรู้พระคัมภีร์เดิมจนทะลุปรุโปร่ง แต่มาวันนี้ เมื่อพบพระคริสต์
หัวใจของท่านก็มุ่งมั่นจะรู้จักพระองค์ให้ดีขึ้น มากขึ้น ใกล้ชิดขึ้น ไม่เคยมีวันที่รู้จักพอแล้ว ท่านหาพระองค์แล้วหาพระองค์อีก กลายเป็นชีวิตที่เฝ้าหาพระเจ้า ทั้งรู้จักส่วนตัว ทั้งรู้จักฤทธิ์เดชแห่งการคืนชีพ ทั้งรู้จักความเจ็บปวดและความตายของพระองค์ ท่านไม่สนใจว่าจะทนทุกข์เท่าไรเพราะรู้ว่าพระคริสต์ทรงทนทุกข์มากกว่านั้น
วิ่งสู่เส้นชัย
1 ทิโมธี 6:11-12
2 เปโตร 1:5-8
2 โครินธ์ 7:1
ลูกา 9:62
ฮีบรู 12:1-2
ผู้ที่จะชนะในการแข่งขัน จะต้องไม่พอใจสภาพของตน ต้องทำให้ดีขึ้นเสมอ เขาต้องมีสมาธิในการฝึกฝน ต้องแน่วแน่ว่าจะได้ชัยชนะอย่างไร ต้องอุทิศตน และมีโค้ชที่ดี ทัศคติของท่านชัดเจนมาก
การลืมสิ่งที่ผ่านมาคือ ไม่ยอมให้มันมาเป็นอุปสรรคของการก้าวต่อไป เราจะต้องไม่เป็นแค่คนดูการแข่งขัน แต่เราจะต้องเอาตัวลงไปแข่งเหมือนอย่างท่านเปาโล
1 โครินธ์ 9:24
1 เปโตร 5:10
วิวรณ์ 3:21
กาลาเทีย 5:10
ยากอบ 1:4-5
1 โครินธ์ 15:51-52
1 เธสะโลนิกา 4:15-17
เป้าหมายนั้น กรีกว่า สโกโพส เป็นจุดที่นักกีฬามุ่งหัวใจสายตาไปที่นั่น ท่านเปาโลรู้ว่าเมื่อไปถึงเป้าหมายท่านจะพบพระคริสต์ ท่านจะพบพระองค์ต่อหน้าต่อตา เราต้องวิ่งสุดกำลังเหมือนท่านเพื่อรางวัล ซึ่งหมายความถึงได้รับเมื่อถึงเป้าหมาย ไม่ได้ก่อนหน้านั้น รางวัลนั้นน่าจะเป็นรางวัลที่พระเจ้าประทานเมื่อเราไปเฝ้าพระองค์ที่บัลลังก์พิพากษา ดังนั้นเราต้องรู้ว่า เวลานี้เรากำลังวิ่งแข่งในลู่วิ่งแห่งชีวิตอยู่
คนที่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด เป็นคนที่โตแล้ว และเราไม่จำเป็นต้องไปเริ่มต้นที่จุดแรก แต่เราอยู่ตรงไหน ก็เริ่มติดตามพระเจ้าต่อไปจากตรงนั้นเลย
เราเป็นประชากรอาณาจักรสวรรค์
ฟีลิปปี 4:9
1 โครินธ์ 4:16
เอเฟซัส 4:17
โรม 16:18
2 เปโตร 2:3
สิ่งสำคัญยิ่งคือการรู้จักพระเจ้าให้มากขึ้น ลึกซึ้ง ใกล้ชิดขึ้นตามที่ท่านเปาโลสอน
แต่แล้วท่านเปาโลก็มากล่าวถึงคนที่ไม่ได้ทำตามอย่างท่าน และแถมทำตัวต่อต้านพระเจ้าด้วย ในสังคมตอนนั้น ยังมีคนสนับสนุนการใช้ชีวิตไร้กฎ เอาแต่หาความสนุกใส่ตัว พวกนี้แตกต่างจากคนในข้อ 2 ที่เคร่งครัดจนเกินเลย มีคนไม่น้อย พวกเขาใช้ชีวิต และพูดตรงข้ามกับไม้กางเขน สนใจปากท้อง อวดสิ่งที่ไม่ควรอวด หมกมุ่นในทางโลก พระของเขาคือตัวเอง สิ่งที่ตนอยากกินอยากได้
เอเฟซัส 2:19
โคโลสี 3:1-4
1 ยอห์น 3:2
เอเฟซัส 1:19-20
ยอห์น 11:24-26
เรารอคอย หมายถึงตั้งอกตั้งใจคอย การที่เรารอคอยการเสด็จมาของพระเจ้านั้น ตอนนี้เราแน่วแน่รอ หรือว่าคิดว่ามาเมื่อไรก็เมื่อนั้น … แรงจูงใจสำคัญของเราคือ เมื่อพระเจ้าเสด็จมา พระองค์จะทรงเห็นเราพร้อมรับพระองค์
และวันนั้น ร่างกายของเราจะเปลี่ยนแปลงใหม่ จากร่างกายที่ตายได้เป็นร่างกายที่เป็นอมตะ
ฟีลิปปี 2 ถ่อมตนอย่างองค์พระคริสต์
รากฐานของความเป็นหนึ่งเดียวกัน
โคโลสี 3:12
1 ยอห์น 4:12
2 โครินธ์ 13:14
สดุดี 133:1
ที่คริสเตียนควรฟังกันและกัน เพราะว่าทั้งพระเยซูและอัครทูตต่างเน้นเรื่องการถ่อมตน พระเยซูเองทรงทำเป็นตัวอย่างให้เห็น สี่อย่างที่สำคัญคือ ในพระเจ้า เราต่างหนุนใจกัน ปลอบใจกัน สนิทกับพระวิญญาณ รักและเห็นใจกัน การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันช่วยให้ทั้งชุมชนคริสเตียนอยู่อย่างเป็นสุข
กาลาเทีย 5:26
โรม 12:10
ฟีลิปปี 4:2
โรม 15:1
คนทั่วไปส่วนใหญ่เอาตัวเองมาก่อน ใส่ใจเกียรติ ศักดิ์ศรีของตนเอง แต่ท่านเปาโลกลับสอนตรงข้ามคือ ให้คนอื่นมาก่อนตน และยังต้องคิดถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย ให้สิ่งดี ๆ กับคนอื่น นี้เป็นพระคำที่มาจากคำสอนของพระเยซูที่ว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
2 โครินธ์ 8:9
อิสยาห์ 42:1
1 เปโตร 2:21
ท่านเปาโลกล่าวย้อนไปถึงตอนที่พระเยซูยังอยู่ในสวรรค์กับพระบิดา ว่าพระองค์ทรงคิดอย่างไร พระองค์ทรงยอมเปลี่ยนจากฐานะพระเจ้า มาเป็นฐานะพระเจ้า-มนุษย์ ยิ่งกว่านั้นทรงมารับสภาพเป็นมนุษย์ที่เป็นทาส!
มัทธิว 26:39
ฮีบรู 5:8,2:9
กิจการ 2:23
เอเฟซัส 1:21
เมื่อเราอ่านพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงเป็นผู้รับใช้คนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นใคร ทรงพร้อมที่จะรักษาโรคให้ สั่งสอน อวยพร ยกโทษ มัทธิว 20:28 บอกชัดว่าพระองค์มาเพื่อรับใช้และมอบชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่คนมากมาย ผู้ที่จำนนต่อพระเจ้าจะไม่หลีกเลี่ยงชีวิตที่ต้องเสียสละ พระองค์ถูกกระทำจนสิ้นพระชนม์ด้วยน้ำมือมนุษย์ แต่แล้ว พระเจ้าทรงมอบเกียรติยิ่งใหญ่เมื่อทรงคืนชีพจากความตาย พระนามของพระองค์เป็นนามที่อยู่เหนือนามทั้งหลายในเอกภพ
อิสยาห์ 45:23-25
ยอห์น 13:13
โรม 14:11
พระเจ้าทรงยกให้พระเยซูอยู่เหนือสรรพสิ่งในสวรรค์ ในโลกและใต้โลก (ซึ่งหมายถึงคนที่หลงหายไป) ทุกคนจะต้องสยบต่อพระองค์ ถ้าเรายอมต่อพระองค์ในวันนี้ เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่หากปฏิเสธพระองค์ ก็จะต้องไปยอมสยบต่อพระองค์ในวันที่ทรงพิพากษา ซึ่ง..สายเกินไปที่จะได้ความรอด
ฟีลิปปี 1:5-6, 4:15, ยอห์น 6:27, เอเฟซัส 6:5, 1:5, ฮีบรู 13:20,21
แต่การที่เราจะใช้ชีวิตอย่างที่ท่านเปาโลบอกมานั้น เราต้องการพลังจากข้างใน
เป็นพระเจ้าที่ทรงทำการในชีวิตของเรา การที่ผู้เชื่อจะทำตัวสมกับที่ได้รับความรอดอย่างที่ท่านเปาโลกล่าว มีความหมายว่า ทำให้สำเร็จครบถ้วนจนถึงรอดร้อยเปอร์เซ็นต์ เราต้องทำให้ถึงเป้าหมาย พระเจ้าทรงมีแผนการให้เราทุกคน แตกต่างกันไปในรายละเอียด และนี่คือสิ่งที่น่าตื่นเต้น เราแต่ละคนจึงต้องติดตามพระเจ้าด้วยตัวของเราเอง และเติบโตอย่างที่พระองค์ทรงวางแผนไว้
1 เปโตร 4:9
โรม 14:1
มัทธิว 5:15
ท่านเปาโลบอกชัดว่า ลูกของพระเจ้าจะต้องไม่เป็นคนที่บ่น ด่า ให้ร้าย คดโกง บิดเบือน หากเรายอมให้พระเจ้าทำราชกิจของพระองค์ในชีวิต ไม่ต่อต้าน แต่ร่วมมือกับพระองค์ งานของพระองค์ในชีวิตเราก็ราบรื่นขึ้น ไม่ต้องเสียเวลากับการเรียนรู้อะไรนาน ๆ ทั้งที่ไม่จำเป็น การเชื่อและเชื่อฟังเป็นปัจจัยที่ช่วยให้คนของพระเจ้าเติบโตเร็วและแข็งแรง
2 โครินธ์ 1:14
กาลาเทีย 2:2
2 ทิโมธี 4:6
โรม 15:16
ความยินดีที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความยินดีในปัจจุบัน แม้เปาโลจะต้องสละชีวิต (ท่านเห็นแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นเพราะท่านถูกจองจำในโรม และท่านอาจจะโดนลงโทษ ) แต่เมื่อพี่น้องยึดมั่น ทำตามพระคำของพระเจ้า เปาโลก็เป็นสุขว่า ไม่เสียแรงเปล่า อ่านมาถึงตอนนี้ พอจะเห็นว่า ผู้ที่รับใช้อย่างเสียสละนั้นคือคนที่มีใจที่ยอมต่อพระเจ้า และเขามีความสุขได้แม้อยู่ท่ามกลางความทุกข์ยาก
โรม 16:21
2 ทิโมธี 3:10
ตัวอย่างจากทิโมธี เขาค่อย ๆ เพิ่มหัวใจทั้งรับใช้และเสียสละมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่รับใช้พระเจ้า กลายเป็นคนที่มีหัวใจแบบพระคริสต์ รับใช้พี่น้องอย่างจริงใจ เอาใจใส่ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ในขณะเดียวกันท่านเปาโลก็พูดถึงคนที่เอาแต่ประโยชน์ของตนเองด้วย มีผู้เชื่อหลายนิสัยใจคออยู่ในชุมชนผู้เชื่อแน่นอน เป็นอย่างนี้มาแต่โบราณ
1 โครินธ์ 4:17
3 ยอห์น 1:14
ทิโมธีได้รับใช้กับเปาโลในการประกาศ และยังได้รับใช้ในคริสตจักรด้วย ทำให้เขาเติบโตมีหัวใจผู้รับใช้เต็มเปี่ยม พี่น้องมีความพอใจในการงานของทิโมธี (กิจการ 16:2) ต่อมาเปาโลก็ได้เขียนจดหมายสอนทิโมธีอีกสองฉบับ และท่านได้ส่งเขามาเป็นตัวแทนของท่านยังคริสตจักรฟีลิปปีด้วย
ฟีลิปปี 4:18
ฟิเลโมน 2
2 โครินธ์ 8:23
ฟีลิปปี 1:8
ยังมีอีกคนที่ท่านเปาโลส่งมาเยี่ยมพี่น้อง คือ เอปาโฟรดิทัส ชื่อแปลว่า มีเสน่ห์ เป็นคนต่างชาติ ไม่ใช่ยิวอย่างท่านเปาโล เขาเป็นคนที่นำของถวายจากพี่น้องมาให้ท่านที่โรม ท่านเปาโลยกย่องว่าเป็นน้องชาย ผู้ร่วมงาน เพื่อนทหารที่ร่วมรับใช้ ลองคิดดูแล้วกันว่า เขามีเสน่ห์น่าคบหาขนาดไหน
สดุดี 34:19
1 โครินธ์ 10:13
2 ทิโมธี 1:4
หัวใจเอปาโฟรดิทัสนั้นเฝ้าห่วงคนอื่น เป็นคนที่ซื่อตรงแม้ต้องเดินทางไกลก็สามารถรักษาของถวายจากพี่น้องได้ เขาเป็นคนที่เป็นตัวอย่างของคนฝ่ายสนับสนุน แล้ววันหนึ่งเขาป่วยหนัก จนเกือบตาย ทำให้กลับไปฟีลิปปีช้า
1 ทิโมธี 5:17
1 เธสะโลนิกา 5:12
1 โครินธ์ 16:17
ท่านเปาโลว่า เขาเกือบตายเพื่องานของพระเจ้า เราไม่ทราบรายละเอียด แต่หัวใจของเขาเป็นเหมือนพระเยซู เขาไม่ดัง เขาไม่เด่น ไม่ใช่อาจารย์ที่ใคร ๆ จะมาฟังเขาพูด แต่รับใช้ด้านที่จำเป็น ทำให้ท่านเปาโลทำงานได้สะดวกขึ้น เขาเป็นพระพรสำหรับท่านเปาโลและคริสตจักร เป็นที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า