กิจการ 9 พบผู้ถูกข่มเหงตัวจริง !

ไอเนอัส โดรคัส กับเปโตร

คำอธิบายเพิ่มเติม

กิจการ 9:1-2
เซาโล ผู้เห็นเหตุการณ์วันที่เขาเอาหินขว้างสเทเฟน ได้กลายเป็นคนที่มุ่งมั่นทำลายล้างความเชื่อใหม่ การที่ผู้คนเปลี่ยนในจากศาสนายูดาห์ไปเชื่อพระเยซูที่ใคร ๆ บอกว่าฟื้นขึ้นมาจากตายนั้น เป็นเรื่องรับไม่ได้จริง ๆ ไม่ได้จับผู้เชื่อในเยรูซาเล็มเท่านั้น แต่ยังตามไปทางเหนือถึงเมืองดามัสกัสซึ่งเป็นดินแดนต่างชาติเสียด้วย ​(กิจการ 26:11) เซาโลมั่นใจว่า เขากำลังทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกที่ถือทางใหม่นี้ เทศนาทำให้คนยิวไขว้เขว เขาได้ขอจดหมายจากปุโรหิตเพื่อว่าเขาจะได้จับตัวคริสเตียนที่เข้าไปในศาลาธรรมยิวได้ แล้วจะจับตัวมาขึ้นศาลในเยรูซาเล็ม การทำเช่นนี้เป็นเรื่องภายในของพวกยิว โรมไม่เข้ามาจัดการ
เวลานั้น ยังไม่มีชื่อเรียกคริสเตียน จึงเรียกผู้เชื่อกันว่า คนที่ถือ “ทางนั้น”

กิจการ 9:3-5
เหตุการณ์วันที่เซาโลพบพระเยซูหน้าเมือง เป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง มีเสียงจากฟ้าถามเขาว่า “เซาโล เซาโล เจ้าข่มเหงเราทำไม?”เมื่อเขาถามว่าผู้พูดเป็นใคร เสียงนั้นตอบกลับมาว่า “เราคือเยซู ผู้ที่เจ้าข่มเหง” แสดงว่า การที่เขาข่มเหงคนของพระองค์ คือการข่มเหงพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตของคนเหล่านั้น พระคริสต์กับผู้เชื่อเป็นกายเดียวกัน มีพระองค์เป็นศีรษะ พวกเขาเป็นคนของพระเจ้า ไม่ใช่ตัวเซาโล
ในเหตุการณ์ครั้งนี้ เราอ่านแล้วรู้สึกว่า เซาโลได้ยินแค่เสียงของพระเยซู แต่ใน 1 โครินธ์ 9:1 ได้กล่าวว่า “ข้าไม่ได้เห็นพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราหรือ?” จึงดูเหมือนว่า เขาได้เห็นพระเยซูที่ตรัสกับเขา ไม่ครั้งนี้ ก็ครั้งอื่นที่ไม่ได้บันทึกไว้

กิจการ 9:6-8
พระเจ้าทรงสั่งใ
ห้เขาเข้าเมืองดามัสกัส ดังนั้น เพื่อน ๆที่มาด้วยก็ต้องพาไป เพราะแสงจ้าครั้งนี้ทำให้เขามืดบอดไปทันที และพระเจ้าทรงใช้คนของพระองค์เพื่อช่วยให้เปาโลได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์
แต่หากเราไปอ่านกิจการ 26: 15-18 จะเห็นว่า พระเจ้าตรัสมากกว่านั้น พระองค์ทรงแต่งตั้งให้เขารับใช้ เป็นพยานถึงสิ่งที่เขาได้เห็นเกี่ยวกับพระองค์ และจะส่งเขาไปหาคนยิว คนต่างชาติ เพื่อทำให้พวกเขาเข้ามาสู่ความสว่าง มาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ได้รับการอภัย และรับการชำระ

กิจการ 9:9-11
หลังจากการพบพระเยซูอย่างไม่คาดฝัน พบพระองค์จากแสงสว่างและเสียง เซาโลก็มองอะไรไม่เห็น ใช่แล้ว เป็นเวลาที่ ต้องมองเข้าไปในใจของตนเอง สามวันสามคืนที่ท่านไม่ได้กินดื่มเลย เหตุการณ์นี้ระทึกใจและต้องเปลี่ยนชีวิตไปตลอด แต่ท่านเองก็ยังไม่เข้าใจ… เวลานี้ สิ่งที่ทำได้คือการทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา ทบทวนสิ่งที่พระเจ้าตรัสแก่เขา จากคนที่ข่มเหงพระเจ้า ตอนนี้เขาจะกลายมาเป็นตัวแทนของพระองค์ไปยังชาติต่าง ๆ อย่างไร ทำไมพระเจ้าทรงเลือกที่จะให้เขาเป็นคนที่ทำงานเช่นนั้น แต่สิ่งสำคัญที่เขาทำคือ อธิษฐาน… เซาโลที่กำลังตาบอด อธิษฐานต่อพระเจ้า ขอความเข้าใจในเหตุการณ์ทั้งหมด
แล้วพระเจ้าทรงมาหาอานาเนียในนิมิต เขาเป็นศิษย์ของพระองค์แต่อาศัยในดามัสกัส พระเจ้าทรงสั่งให้เขาทำสิ่งที่ยากมากคือ ไปหาเปาโลผู้เป็นศัตรูตัวร้ายของผู้เชื่อ ถนนตรงคือ ถนนที่เริ่มจากเมืองด้านหนึ่งตรงไปอีกด้าน

กิจการ 9:15-16
แล้วสิ่งที่พระเจ้าทรงตอบมาก็ทำให้อานาเนีย อึ้ง ..​พระองค์จะทรงใช้เซาโลผู้นี้นำคนต่างชาติ กษัตริย์และยิวมาพบพระองค์ และเขาจะต้องทนทุกข์เพื่อพระองค์ ไม่ต้องทัดทานพระเจ้าแล้ว เขาต้องไปทำตามคำสั่งของพระองค์ เราจะเห็นว่า พระเจ้าไม่ทรงกริ้วกับอานาเนีย แต่ทรงอธิบายให้เขาเข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้น แผนการของพระองค์เป็นอย่างไร

กิจการ 9:12-14
พระเจ้าทรงบอกรายละเอียดว่า ตัวเซาโลเองก็เห็นในนิมิตว่าอานาเนีย จะไปพบเขา วางมืออธิษฐานเพื่อเขาจะมองเห็นได้ ในนิมิตนั้น อานาเนีย ทูลค้านพระเจ้าว่า เซาโลผู้นี้เป็นคนทำร้ายคนของพระองค์ แล้วเขาก็มาดามัสกัสเพื่อการนี้ แสดงว่า การมาของเซาโลเป็นที่รู้กันทั่วดามัสกัส

กิจการ 9:17-19
อานาเนียสไม่มีอะไรจะโต้ตอบแล้ว เขาทำตามพระองค์ทันที
อานาเนีย บอกเซาโลว่า พระเจ้าที่ปรากฏแก่เขานั้น เป็นพระเยซูคริสต์ และทรงส่งเขามาอธิษฐานให้ เพื่อจะมองเห็น เพื่อจะเต็มด้วยพระวิญญาณ และเขาวางมือบนเปาโล เรียกเซาโลว่าเป็นพี่น้อง อานาเนียกำลังรับเขาเข้ามาเป็นหนึ่งในชุมชนผู้เชื่อ
ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ อานาเนียได้กล่าวด้วยจากกิจการ 22:14 ทำให้เรารู้ว่า เซาโลทั้งเห็นและได้ยินเสียงองค์พระผู้เป็นเจ้า
เมื่ออธิษฐานก็มีเกล็ดตกออกมาจากตา เซาโลก็มองเห็น เขาจึงได้รับบัพติศมาวันนั้น .. แล้วมีกำลังขึ้นจากอาหารที่พี่น้องเตรียมให้

กิจการ 9:19ข-22
เมื่อเซาโลได้พบอานาเนียส และบัพติศมาแล้ว ก็ยังคงอยู่ที่ดามัสกัสกับพี่น้อง แล้วทำสิ่งที่กล้าหาญมากคือ ประกาศพระนามพระเยซู ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ (พระคริสต์) ที่ยิวรอกันมานาน ตอนนี้ คนที่มาเพื่อเข่นฆ่าพี่น้องกลับกลายเป็นคนทรยศต่อศาสนายิวไปเสียแล้ว ใคร ๆ ก็สงสัย แต่ยังงุนงงอยู่ ส่วนเซาโลเองก็ไม่ได้กลัวเลย ความมั่นใจของเขานั้นเต็มร้อย พระวิญญาณทรงทำให้เขารู้ตัวว่า ทำผิดต่อพระเจ้าไปมากเพียงไร นี่เป็นเวลาที่เซาโลต้องบอกให้โลกรู้ว่า พระเจ้าแท้จริงคือผู้ใด
คำว่าเขาพิสูจน์ให้คนเห็นว่าพระเยซูคือผู้ใด คือเขานำเรื่องต่าง ๆ มาอธิบายเปรียบเทียบให้เห็น โดยเอาพันธสัญญาเดิมของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับพระเมสสิยาห์มาทำให้พี่น้องได้เห็นความจริงว่า พระเยซูองค์นี้เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงกล่าวถึงในพันธสัญญาเดิมนั้น

กิจการ 9:23-25
หลายวันผ่านไป เซาโลก็ยังประกาศเรื่องพระเยซูนี้ เริ่มชีวิตใหม่ไม่เท่าไร เซาโลก็สร้างศัตรูแล้ว ข่าวประเสริฐแผ่ออกไปทั่วเมือง คิดดูว่า ในเมืองดามัสกัสจะวุ่นเพียงไหน ข่าวเรื่องเซาโลมาทำร้ายแต่พระเจ้าทรงป้องกันพี่น้องไว้ แถมยังให้เซาโลกลับกลายเป็นพวกของพระองค์อีก นี่ทำให้ยิวไม่อาจอยู่นิ่งได้ พวกเขาวางแผนฆ่าเซาโล ทั้งๆ ที่รู้ว่า ถูกหมายหัว แต่ก็ออกจากเมืองไม่ได้เพราะตรงประตูเมืองเป็นจุดนัดสังหารเซาโล แถมยังมีทหารเฝ้าไว้ทั่วเมืองเพื่อจับกุมเขา (อ่าน 2 โครินธ์ 11:32) พวกยิวเหล่านี้ร่วมมือกับเจ้าเมืองเพื่อกำจัดเขา
ดังนั้น คืนหนึ่ง พี่น้องผู้เชื่อจึงจับเขาใส่เข่งใหญ่ หย่อนลงมานอกเมือง สั่งเซาโลหนีไป

กิจการ 9:26
จากดามัสกัส
เซาโลไม่ได้เดินทางกลับมายังกรุงเยรูซาเล็มทันที ถ้าเราอ่านกาลาเทีย 1:16-17 เขาไปยังอาระเบียก่อน เชื่อว่าท่านทำอะไรหลายอย่างในเวลานั้น สิ่งที่หนึ่งที่ทำแน่นอนคือการประกาศพระนามพระเยซู กลับมาดามัสกัสอีกครั้ง ซึ่งทั้งหมดใช้เวลาสามปี จึงเข้าไปเยรูซาเล็ม พบเปโตรและยากอบ ซึ่งเป็นน้องของพระเยซูแต่การที่จะเข้าไปอยู่กับพี่น้องก็มีปัญหา เพราะใครๆ ก็ไม่เชื่อว่าเซาโลกลับใจจริง แม้จะได้ยินเรื่องการกลับใจที่ชัดเจนนอกเมืองดามัสกัส ได้ยินเรื่องการประกาศ และการที่เขาถูกตามฆ่า ทั้งหมดนี้อาจเป็นแผนการที่จะเข้ามาสืบความลับในหมู่พี่น้อง มารู้ว่าใครเป็นใคร และตลบหลังทำร้ายอีกทีก็เป็นได้

กิจการ 9:27-28
แต่มีคนหนึ่งเป็นประกันให้ว่า เซาโลผู้นี้กลับใจจริง และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่น้องฟัง พวกเขาจึงสบายใจขึ้น บารนาบัส เป็นคนที่มีหัวใจของพระคริสต์ เชื่อในความจริงใจของผู้อื่น เป็นคนให้โอกาสคนที่จะรับใช้พระเจ้าเสมอ และการพบครั้งนี้ เป็นใครบ้างก็น่าจะเป็นสองท่านใน กาลาเทีย 1:16-17 เซาโลมีโอกาสที่จะอยู่ด้วยประมาณสองสัปดาห์ เขาเข้านอกออกในอย่างอิสระในเยรูซาเล็ม เท่ากับว่า ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องเต็มที่
สิ่งสำคัญยิ่งคือ เซาโลกล้าในการประกาศพระนามพระเยซู!

กิจการ 9:29-30
แต่แล้วเซาโลก็ไปโต้แย้งกับยิวที่นำความเชื่อ วัฒนธรรมกรีกเข้ามาผสมกับศาสนายิว ในเรื่องของพระเจ้า ทำให้เขาถูกหมายหัวอีกครั้ง ยิวกลุ่มนี้เป็นพวกเดียวกันกับที่เอาหินขว้างสเทเฟน พอเซาโลมาเป็นอย่างนี้ พวกยิวก็พร้อมที่จะฆ่าเขา ดูเหมือนว่า ศัตรูที่มองไม่เห็นของพระเจ้า มักอยู่เบื้องหลังของคนที่ยึดมั่น เคร่งครัดในศาสนาของตน ครั้งนี้พี่น้องคริสเตียนช่วยให้เซาโลได้ไปซีซาริยา และขึ้นเหนือไปทาร์ซัส

กิจการ 9:31
ในช่วงเวลานั้นเอง เมื่อไม่มีเปาโล คริสตจักรก็สงบสุข และยังมีการเปลี่ยนจักรพรรดิโรม องค์ใหม่คือคาลิกูลา ต้องการสร้างรูปปั้นของตนไปไว้ในพระวิหาร จึงเป็นอีกเรื่องที่ดึงความสนใจของเหล่าปุโรหิต ฟาริสีไปจากคริสเตียน เพราะต้องไปสู้กับจักรพรรดิใหม่นั้น

กิจการ 9:32-35
เปโตรไม่ได้ประกาศแค่ในเยรูซาเล็ม แต่เดินทางไปทั่ว และสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่ผู้คนคือ พระเยซูทรงทำการของพระองค์ตลอดเวลา พระวิญญาณทรงอยู่กับเขาในการรักษาโรคทำให้คนได้กลับมาเชื่อพระเจ้ากันมากมาย

กิจการ 9:36-38
ขณะที่เปโตรอยู่ในเมืองลิดดา ที่เมืองใกล้ ๆ ก็มีผู้เชื่อสตรีคนหนึ่งคือ โดรดัสสิ้นชีวิตลง เธอเป็นคนมีชื่อเสียงดีว่ามีน้ำใจยิ่งนัก เป็นที่รักของคนยากจนในเมือง แต่มีคนรู้ว่า เปโตรอยู่ที่เมืองใกล้ ๆ พวกเขาจึงส่งคนไปตามมา รู้ว่า เปโตรจะเป็นผู้ที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ … พระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานของเปโตร

กิจการ 9:39-40ก
เมื่อมีการตามเปโตร .. เปโตรก็มาทันที และเห็นว่าผู้คนเศร้าเสียใจกันมาก เปโตรสั่งให้ทุกคนออกไป
เขาทำเหมือนตอนที่พระเยซูกำลังจะทำให้เด็กหญิงคนหนึ่งฟื้นจากความตาย นั่นคือ ไม่ให้มีใครที่ขาดความเชื่อ หรือเป็นแค่ยิวมุง เข้ามาอยู่ในการอธิษฐาน

กิจการ 9:40ข-43
เขาอธิษฐานต่อพระเจ้า เขาอธิษฐานเหมือนที่พระเยซูทำกับเด็กหญิง เขาเรียกชื่อเธอ และบอกให้ลุกขึ้น และพระเจ้าทรงตอบ โครคัสฟื้นขึ้นมาจากความตาย และคนในเมืองยัฟฟาก็กลับใจมาเชื่อพระเจ้า โดยที่พวกเขามารวมตัวกันที่บ้านของซีโมน ผู้เชื่อคนหนึ่งที่เป็นช่างฟอกหนัง เราจะเห็นการทำงานของพระเจ้า และการตอบสนองของผู้คน การทำงานต่อในการสอนของอัครทูต เหล่านี้ไปด้วยกันเป็นขบวนการสร้างชีวิตใหม่ของพระเจ้า
อย่างที่พระเยซูทรงบอกไว้ในยอห์น 14:12 ว่า ผู้ที่เชื่อในเรา จะทำในสิ่งที่เราทำอยู่ และคำของพระองค์ก็เป็นจริงในมือของเปโตร! และงานของพระเจ้าก็เกิดผลในเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กัน ในบทต่อไปเราจะเห็นงานของพระเจ้าขยายไปอีกพื้นที่

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 7:57; 8:1,3; 26:10,11
2* กิจการ 22:5
3* 1 โครินธ์ 15:8
4* มัทธิว 25:40
7* กิจการ 22:9;26:13
10* กิจการ 22:12
11* กิจการ 21:39; 22:3
13* กิจการ 9:1
14* กิจการ 7:59; 9:2,21
15* เอเฟซัส 3:7,8; โรม 1:5; 11:13; กิจการ 25:22,23; 26:1; โรม 1:16; 9:1-5
16* กิจการ 20:23; 2 โครินธ์ 4:11

17* กิจการ 22:12,13; 8:17; 2:4; 4:31; 8:17; 13:52
19* กิจการ 26:20
21* กาลาเทีย 1:13,23
22* กิจการ 18:28
23*2 โครินธ์ 11:26
24* 2 โครินธ์ 11:32
25* โยชูวา 2:15
26* กิจการ 22:17-20; 26:20
27* กิจการ 4:36; 13:2; 9:20,22
28* กาลาเทีย 1:18

29* กิจการ 6:1; 11:20; 2 โครินธ์ 11:26
31* กิจการ 5:11; 8:1; 16:5; เอเฟซัส 4:16,29; สดุดี 34:9; ยอห์น 14:16; กิจการ 16:5
32* กิจการ 8:14
34* กิจการ 3:6, 16; 4:10
35* 1 พงศาวดาร 5;16; 27:29; กิจการ 11:21; 15:19
36* 1 ทิโมธี 2:10
37* กิจการ 1:13; 9:39
40* มัทธิว 9:25; กิจการ 7:60; มาระโก 5:41-42
42* ยอห์น 11:45
43* กิจการ 10:6

กิจการ 8 พระวิญญาณ ฟีลิป กับขุนนาง

จากร้ายกลายเป็นดี

คนสำคัญจากเอธิโอเปีย

อธิบายเพิ่มเติม

ร้ายกลายเป็นดี
กิจการ 8:1-3
การสิ้นชีวิตของสเทเฟนส่งผลให้กับชุมชนคริสเตียนยุคแรกเป็นอย่างมาก ยังมีคนที่รักพระเจ้าซึ่งได้ช่วยทำศพของสเทเฟนอย่างมีเกียรติ
ศัตรูตัวร้ายสุดก็คือ เซาโลที่พยายามทำลายคริสตจักรของพระเจ้าเพราะความเชื่อมั่นว่า คริสเตียนกำลังทำผิดต่อพระเจ้าที่เขาเชื่ออยู่
เขาเห็นด้วยกับพวกยิวที่ประหารสเทเฟนโดยการใช้หินขว้างจนตาย ไม่ใช่ย่อยเลย เซาโลคนนี้ เขาน่าจะได้ยินคำอธิบายของสเทเฟนทั้งหมด (ในบทที่ 7) สิ่งที่เขาทำคือ การออกไปตามบ้านและลากตัวผู้เชื่อออกไปจำคุก ไม่ใช่แค่ผู้ชายเท่านั้น แต่ทั้งผู้หญิงซึ่งต้องเป็นคนดูแลลูก ๆ ด้วย ได้ยินแค่ชื่อของเขาใคร ๆ ก็กลัวตัวสั่นแล้ว การข่มเหงของเซาโลและพรรคพวก ทำให้คริสเตียนหนีกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ประเทศอิสราเอล
กิจการ 8:4-8
แต่คนที่ย้ายถิ่นไปนั้น ไม่ได้อยู่เฉย พวกเขาประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าไปตามทาง ทั้ง ๆที่หนีออกมาเพราะกลัวตาย แต่กลายเป็นว่า ข่าวดีของพระเยซูคริสต์กลับได้ถูกเผยแผ่ไปทั่วอย่างไม่คาดฝัน พวกเขาหว่านพระคำของพระเจ้าไปทุกแห่งที่เขาหนีไปอยู่ ในขณะที่คนยิวทั่วไปมองคนสะมาเรียเป็นลูกครึ่งที่น่ารังเกียจ คริสเตียนกลับมองพวกเขาเป็นพี่น้องที่ต้องการพระเจ้าเหมือนกับพวกเขา
ที่สำคัญคือ ฟีลิป หนึ่งในอัครทูตก็ได้ไปประกาศที่สะมาเรียทางเหนือด้วย ปรากฏว่า พระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์ผ่านเขามากมาย ผู้คนต่างตื่นเต้นและได้รับการช่วยเหลือมาก คิดดูสิ คนง่อยเดินได้ คนผีสิงก็เป็นอิสระ นี่เป็นสุดยอดของชีวิตแล้ว พวกเขาไม่เคยเจออะไรที่มหัศจรรย์แบบนี้มาก่อน แม้ว่าจะมีพวกพ่อมด หมอผีอยู่ในเมืองของพวกเขา ผู้คนในเมืองต่างพากันยินดียิ่งนักกับเหตุการณ์เหล่านี้
กิจการ 8:9-13
ชายคนหนึ่งชื่อซีโมนเป็นคนทำวิทยาคม ซีโมนสนใจหมายสำคัญต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากกว่าปกติ ซีโมนคนนี้ถูกมองว่า เป็นคนมาจากพระเจ้า อำนาจของเขาที่ใคร ๆ เห็นไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากศัตรูของพระองค์
ซีโมนก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่แล้ว เมื่อเขาได้ยินเรื่องของพระเยซู เขาก็กลับใจพร้อมกับชาวเมืองหลายคน และรับบัพติศมาประกาศว่าเขารับเชื่อพระเยซูด้วย
กิจการ 8:14-17
เมื่อผู้ใหญ่ในชุมชนคริสเตียนได้ข่าวเรื่องการรับเชื่อของชาวสะมาเรีย ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ชาวยิวจงเกลียดจงชัง พวกเขาจึงส่งยอห์นและเปโตรให้ไปอธิษฐานเพื่อพวกเขาจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า .. เราไม่ทราบว่า การที่พวกเขารับพระวิญญาณนั้น มีอะไรเป็นเครื่องบอกว่า เขาได้รับแล้ว น่าจะเป็นของประทานฝ่ายพระวิญญาณต่าง ๆ ที่ช่วยสร้างชุมชนคริสเตียนขึ้นในเขตสะมาเรีย
กิจการ 8:18-20
ต้องมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นจากการรับพระวิญญาณครั้งนี้ เพราะซีโมนได้เห็นว่า เมื่อคนรับพระวิญญาณชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป เขาจึงอยากได้พระวิญญาณแบบที่อัครทูตมีด้วย ความต้องการดี แต่แรงจูงใจของซีโมนนั้นน่าชังมาก เป็นคนที่เฉียบแหลมในการหาเงิน เขาจึงมาขอลงทุนซื้อฤทธิ์แห่งพระวิญญาณจากอัครทูต!! เขาเข้าใจว่าพระวิญญาณเป็นพลังที่ซื้อขายได้ เขาต้องการเป็นผู้ควบคุมพระวิญญาณเพื่อจะได้กำไรเข้ากระเป๋าตัวเอง
ความเข้าใจผิดของซีโมนยังคงมีอยู่ในพี่น้องทุกวันนี้ หลายคนไม่เข้าใจว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือองค์พระเจ้าเอง พระองค์ไม่ใช่พลังทางฟิสิกส์ที่เราจะเอามาทดสอบ หรือควบคุมด้วยวิธีต่าง ๆ จึงมีการสร้างบรรยากาศการรับพระวิญญาณที่มาจากการปรุงแต่ง สร้างบรรยากาศที่ดูหวือหวาสารพัดแบบ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่แต่ละคนจะต้องรู้จักสังเกตว่า อะไรจริง อะไรเท็จ เมื่อพระวิญญาณทรงประสงค์จะทำให้ใครรู้จักพระเจ้า ให้เขาสำนึกผิด พระองค์จะทำตามพระทัยนั้นโดยที่เราไม่ทราบว่า พระองค์ทรงทำอย่างไร เมื่อไร อย่างที่พระเยซูทรงเปรียบพระวิญญาณกับลม (ยอห์น 2:7-8)
เราได้รับพระวิญญาณและของประทานจากพระเจ้า ด้วยความเชื่อและเชื่อฟังพระองค์ ในเวลาที่พระองค์ทรงเห็นสมควรสำหรับแต่ละคน
กิจการ 8:21-25
เปโตรจัดการเรื่องนี้ทันที ไม่ปล่อยให้มีการเล่าลือกันไปในหมู่พี่น้อง ท่านบอกซีโมนตรง ๆ ว่า เขาจะพินาศแน่ถ้าคิดอย่างนี้ …​
ใจของซีโมนไม่ถูกต้อง ..ในสายพระเนตรของพระเจ้า
 น่าสนใจคำนี้ เมื่อเราแสวงหาพระเจ้า ใจของเราถูกต้องกับพระองค์หรือเปล่า
เราจำเป็นต้องสำรวจตัวเอง
แล้วเปโตรก็ให้โอกาสกับเขากลับใจใหม่ อธิษฐานขอพระเจ้าทรงยกโทษ ท่านสังเกตวิญญาณได้ว่า ในตัวของซีโมนนั้น แม้ว่าจะเข้ามาเชื่อพระเจ้า ติดตามฟีลิปอยู่ แต่ในใจของเขายังมี ความขมขื่นใจงอกอยู่ และยังความผิดบาปตกค้างอยู่ด้วย เป็นบาปและความขมขื่นที่ยังไม่ได้จัดการให้สิ้นซาก
ซีโมนได้รับบัพติศมา รับเชื่อและประกาศว่าเขาเป็นผู้เชื่อแล้วก็จริง เขาได้แสดงให้เห็นว่าเขาติดตามพระเจ้าแล้วก็จริง แต่ไม่มีใครเห็นสิ่งที่ฝังอยู่ในใจของเขาจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ที่ท่านลูกาได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ ทำให้เราเองต้องสำรวจตัวเองด้วยว่า ยังมีความบาป ความขมขื่นที่ตกตะกอนอยู่ในชีวิตหรือไม่ เพื่อเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่จากพระเจ้าเต็มร้อย
แล้วซีโมนก็ได้กลับใจอีกระดับ เขาเข้าใจแล้ว ..​ความรักเงินของเขา บาปที่ยังค้างคาอยู่จะทำให้เขาพินาศ เขาจึงขอที่จะกลับใจ ขอพระเจ้าทรงยกโทษให้
ดินแดนสะมาเรียที่ขาดพระกิตติคุณ ในเวลานี้ก็ได้รับฝนแห่งพระกิตติคุณโปรยลงในแผ่นดินเพราะการที่พี่น้องกระจัดกระจายออกไปเนื่องจากการข่มเหงของเซาโล

คนสำคัญจากเอธิโอเปีย
กิจการ 8:26-28
พระวิญญาณทำการของพระองค์โดยทรงให้กำลังกายใจ โอกาสแก่พี่น้องคริสเตียน ตามคำของพระเยซูในกิจการ 1:8 ที่พวกเขาจะได้ออกไปประกาศจากเยรูซาเล็มไป ยูเดีย สะมาเรีย และสุดปลายแผ่นดิน
จากสะมาเรีย พระวิญญาณทรงสั่งให้ฟีลิปออกไปตามถนนที่ลงไปทางใต้
บนถนนนั้น ฟีลิปพบขุนนางชาวเอธิโอเปีย ซึ่งเป็นชนชาติที่ผิวดำ ในสมัยนั้น คนยิว คนโรมจะชื่นชอบคนเอธิโอเปียมาก ( จากหนังสือ Acts:John Knos Press, หน้า 72) เขาเป็นขุนนางและเป็นขันทีด้วย แต่เขาเป็นคนที่ในสายตาของยิวคือ คนสุดปลายแผ่นดิน … เขากำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่ ช่างเป็นคนที่น่านับถือจริง ๆ รถวิ่งไปก็ขยับขลุกขลักไป แต่เขาก็ไม่ได้ให้เป็นอุปสรรคกับการอ่านเลย
กิจการ 8:29-31
พระวิญญาณทรงทำการของพระองค์ต่อไป ทรงสั่งให้ฟีลิปเข้าไปใกล้ ๆ จนได้ยินเสียงที่ขุนนางกำลังอ่าน .. โอ เป็นพระธรรมอิสยาห์นั่นเอง แสดงว่าท่านได้หนังสือม้วนนี้มาใหม่ จากเยรูซาเล็มแน่เลย ..
ฟีลิปถามท่านตรง ๆ ว่า อ่านแล้วเข้าใจไหม ..​เขาก็ไม่ได้อวดตัวสักนิด แต่ยินดีที่จะให้คนรู้ อธิบายให้ฟัง เขาคนนี้น่าจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในเอธิโอเปีย เพราะทั้งฉลาดและพร้อมที่จะเรียน… ขุนนางผู้ดูแลการคลังในวังกำลังจะได้เรียนจากลูกของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
เขาเป็นคนต่างชาติที่เพิ่งกลับจากการนมัสการพระเจ้าในเยรูซาเล็ม เขาเป็นหนึ่งในคนต่างชาติที่ยำเกรงพระเจ้า และเป็นขันทีด้วย ซึ่งหมายความว่า เขาเป็นคนต้องห้ามในกฎของโมเสส คือชายที่ถูกตัดอวัยวะสืบพันธ์ุไม่ให้เข้าร่วมในที่ประชุมของพระเจ้า (เฉลยธรรมบัญญัติ 23:1) ชายคนนี้ เป็นทั้งคนต่างชาติ เป็นคนที่มีอวัยวะผิดปกติ แต่พระเจ้าทรงพร้อมที่จะรับเขาเป็นลูกของพระองค์
กิจการ 8:32-34
สิ่งที่เขาสงสัยคือ ผู้เขียนอิสยาห์เขียนถึงตัวเองหรือเขียนถึงผู้อื่นกันแน่ แกะที่ไม่ปริปากนี้หมายถึงใคร ในสมัยโบราณ การเล่าเรื่องมีการใช้คำเปรียบเทียบเยอะมาก ซึ่งทำให้คนที่อ่านจะต้องไขปริศนาว่า ใครเป็นใครในเรื่อง เป็นโอกาสดีที่ฟีลิปจะบอกเขาว่า ท่านอิสยาห์กำลังพูดล่วงหน้าถึงพระเยซูคริสต์ที่ทรงสิ้นพระชนม์ไปไม่นานนี้ แล้วใครจะเป็นคนอธิบายพระกิตติคุณไปได้ดีกว่าคนที่อยู่กับพระเยซูมาหลายปีเช่นฟีลิป?
กิจการ 8:35-39ก
น่าประหลาดมาก พวกเขากำลังเดินทางในทะเลทราย แต่ข่าวดีเรื่องพระเยซูจับใจขุนนาง และเขาพร้อมที่จะรับเชื่อ พร้อมประกาศว่าเขาเป็นผู้ติดตามพระเยซู พระเจ้าได้จัดเตรียมบ่อน้ำให้เขาทั้งสองในเวลานั้น เป็นธารน้ำที่ร้างห่างไกล นี่เป็นการอัศจรรย์สำหรับการประกาศให้กับชาวอัฟริกันคนแรกนี้
กิจการ 8:39ข-40
พอรับบัพติศมาเสร็จ ทั้งสองขึ้นจากน้ำ พระเจ้าก็ทรงรับฟีลิปไปเลย ..​แน่นอน พระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงสอนขุนนางผู้แสวงหาพระเจ้าคนนี้ต่อไป ตามคำสัญญาของพระเยซูที่ว่าพระวิญญาณจะทรงสอนให้รู้ทุกสิ่ง เขาเดินทางกลับประเทศอย่างมีความสุขล้น มีเรื่องราวนอกพระคัมภีร์เล่าต่อว่า เขาผู้นี้ได้ประกาศพระนามพระเจ้าให้กับคนในประเทศของเขาต่อไปด้วย 
ส่วนฟีลิป ไปโผล่ที่เมือง อาโซทัส ประกาศที่นั่น และเดินทางขึ้นเหนือจนถึงซีซาริยา

พระคำเชื่อมโยง

1* กิจการ 8:4; 11:19
2* ปฐมกาล 23:2
3* ฟีลิปปี 3:6
4* มัทธิว 10:23
5* กิจการ 6:5; 8:26,30
7* มาระโก 16:17
9* กิจการ 8:11; 13:6; 5:36
12* กิจการ 1:3; 8:4
14* กิจการ 5:12, 29, 40
15* กิจการ 2:38; 19:2

16* กิจการ 19:2; มัทธิว 28:19; กิจการ 10:48;19:5
17* กิจการ 6:6. ;19:6
20* มัทธิว 10:8; กิจการ 2:38; 10:45; 11:17
21* เยเรมีย์ 17:9
22* 2 ทิโมธี 2:25
23* ฮีบรู 12:15
24* ยากอบ 5:16
26* กิจการ 6:5

27* สดุดี 68:31; 87:4; ยอห์น 12:20
32* อิสยาห์ 53:7-8; ยอห์น 12:20
33* ลูกา 23:1-25; 213:33-46
35* ลูกา 24:27 
36* กิจการ 10:47;16:33
37* มาระโก 16:16; มัทธิว 16:16
39* เอเสเคียล 3:12,14
40* กิจการ 21:8

กิจการ 7 คำอธิบายของสเทเฟน

เริ่มต้นที่อับราฮัม


แล้วมาถึงสมัยโยเซฟ

ตามด้วยโมเสส

อิสราเอลกับรูปเคารพ

สังหารสเทเฟน

คำอธิบายพระคัมภีร์ และพระคำเชื่อมโยง

กิจการ 7:1-4. เริ่มต้นที่อับราฮัม
เมื่อถูกจับกุมตัว สเทเฟนเองไม่ได้สะทกสะท้านเลย
คนแรกที่สอบสวนเขาก็คือมหาปุโรหิต ซึ่งน่าจะเป็นคายาฟาสที่อยู่ในการสอบสวนพระเยซูนั่นเอง
สเทเฟนเองพร้อมที่จะตอบคำถามทุกอย่าง
จากกิจการบทที่ 6 เราเห็นว่าท่านถูกกล่าวหาสี่ประการ และก็จะต้องแก้ข้อกล่าวหาทั้งหมดนั้นคือ คนเหล่านั้นกล่าวว่าสเทเฟน
1 หมิ่นประมาทโมเสส
2 หมิ่นประมาทพระเจ้า
3 กล่าวร้ายต่อสถานบริสุทธิ์ และบัญญัติ 4 เขาบอกว่าท่านเยซูจะทำลายที่นี้ และเปลี่ยนสิ่งที่โมเสสได้สอนไว้
ท่านจึงได้เล่าเรื่องตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าทรงพบอับราฮัมในดินแดนห่างไกลจากเยรูซาเล็ม โดยที่ตอนนั้นเองอับราฮัมเป็นคน ๆ หนึ่งที่พระเจ้าทรงเลือกใช้ให้เป็นต้นตระกูลของชนชาติอิสราเอล
เมื่อพระเจ้าจะใช้อับราฮัม พระองค์ทรงปรากฏพระองค์ และตรัสกับท่านโดยตรง
การเดินทางครั้งแรกของอับราฮัมนั้น ไม่ใช่ว่าจะมาที่แผ่นดินคานาอันเลย แต่ท่านกลับไปอยู่ที่เมืองฮาราน รอจนพ่อของท่านเสียชีวิตก่อน รายละเอียดการเดินทางของท่านอยู่ที่ปฐมกาล 12

กิจการ 7:5-7
สเทเฟนบอกพวกเขาชัดเจนว่า อับราฮัมไม่ได้มรดกเป็นผืนดิน แต่พระองค์ทรงมีแผนการยาวไกลสำหรับลูกหลานของอับราฮัม ซึ่งก็คือ คนเหล่านั้นที่สเทเฟนกำลังพูดด้วย
ก่อนที่ลูกหลานอับราฮัมจะได้แผ่นดินอุดมสมบูรณ์พวกเขาต้องไปเป็นทาสอยู่ 400 ปี เป็นการถูกทดสอบราวกับไฟเผาชีวิต ในช่วงเวลานั้นเองลูกหลานของอับราฮัมรู้จักพระเจ้าแล้ว และพวกเขาก็เป็นเหมือนชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งที่เข้าไปอยู่อย่างโอ่อ่าในตอนแรก ในเวลาต่อมาจึงตกต่ำกลายเป็นทาส แต่พระเจ้าจะทรงพิพากษาผู้ที่ทำให้อิสราเอลต้องเป็นทาส
กิจการ 7:8
พันธสัญญาที่พระเจ้าประทานให้อับราฮัมนั้น มีการทำสุหนัตเป็นเครื่องหมายของพันธสัญญา และยังทำสืบเนื่องกันมาจนทุกวันนี้
ความจริงแล้ว เรื่องพันธสัญญาของพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมาก หากเรามองการเสด็จมาของพระเยซู เราจะพบว่า จุดเริ่มต้นนั้นอยู่ที่พันธสัญญาของพระเจ้าที่ประทานแก่อาดัม

กิจการ 7:9-16 แล้วมาถึงสมัยโยเซฟ
จากนั้น สเทเฟนก็เล่าถึงชีวิตของโยเซฟ หนึ่งในพี่น้อง ลูก ๆ ของยาโคบ พระเจ้าทรงอยู่กับโยเซฟตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่พี่ ๆ เกลียดชัง ไม่ว่าชีวิตจะขึ้นหรือลง ท่านเต็มด้วยพระเจ้า แม้ว่าจะอยู่ในดินแดนที่เชื่อถือพระอื่น แต่โยเซฟก็ยังอยู่กับพระเจ้าทุกวินาที
แล้วในที่สุดครอบครัวของท่านก็เข้ามาอยู่ในอียิปต์ ที่ว่า 75 ในขณะที่ปฐมกาลว่า 70 ก็คือ สเทเฟนนับลูกชายหลานชายของโยเซฟที่เกิดในอียิปต์เข้าไปด้วย (จาก enduringword.com)

กิจการ 7:17-29 ตามด้วยโมเสส
ผ่านไป 400 ปี แม้จะเป็นทาส แต่คนยิวเป็นชนชาติที่ต้องทวีคูณ พวกเขามีลูกหลานเกิดขึ้นมากมาย
ฟาโรห์ในยุคใหม่นั้น ไม่รู้เรื่องว่า ที่ยิวเข้ามาทำให้พวกเขามีคนทำงาน ประเทศชาติเจริญขึ้น ท่านรู้สึกว่า คนยิวจำนวนมากขนาดนี้ เป็นภัยกับอียิปต์ แต่ก็เสียดายด้วยเพราะยิวแรงดี ทำงานแข็งขัน
ฟาโรห์ถึงกับสั่งฆ่าเด็กชาย แต่แล้ว ก็มีเด็กชายคนหนึ่งเกิดมาในบ้านที่รักพระเจ้า เด็กชายคนนี้ เป็นที่งดงามในพระเนตรพระเจ้า เขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกให้ทำการใหญ่ โดยที่พ่อแม่ไม่รู้เลย แล้วเขาก็ได้กลายไปเป็นเจ้าชายในวังของฟาโรห์อย่างมหัศจรรย์
คิดดูสิ เด็กชายชาวยิว กลับกลายเป็นลูกชายของธิดาของฟาโรห์ ในเวลาเดียวกันก็มีแม่ของตนแฝงตัวเข้าไปเป็นแม่นม เป็นผู้เลี้ยงดูเขาตั้งแต่เล็ก ดังนั้น เขาจึงรู้ว่า เขาคือใคร เชื้อสายอะไร
เขาได้กลายเป็นผู้ที่มีโอกาสเกินหน้าเด็กชายชาวยิวทั่วไป .. พระเจ้าทรงเตรียมการนี้อย่างมหัศจรรย์ แต่แล้ว เขาก็ต้องหมดโอกาสที่จะเป็นฟาโรห์คนต่อไป กลับกลายต้องระหกระเหินไปอยู่ในดินแดนห่างไกล จากเจ้าชายแห่งอียิปต์ กลายเป็นคนเลี้ยงแกะในแผ่นดินที่แห้งแล้ง มีครอบครัวเป็นคนธรรมดา ที่ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสอะไรอีกในชีวิต แต่นี่คือแผนการของพระเจ้า ที่ไม่มีใครคาดคิด พระเจ้าทรงสัญญาอะไรไว้กับอับราฮัม พระองค์จะทรงทำตามพระสัญญา ไม่ว่าจะต้องคอยมานานกว่าสี่ร้อยปี

กิจการ 7:30-37
แล้ววันหนึ่ง พระเจ้าทรงเรียกโมเสส ด้วยการให้เขาพบกับพุ่มไม้ไฟ ที่ไม่ไหม้มอดไป พระองค์ทรงบอกว่า จะทรงส่งเขาไปเพื่อนำคนของพระองค์ออกมา แม้ว่าโมเสสจะยืนกรานว่าทำไม่ได้ แต่.. ในที่สุด เขาไม่อาจจะทัดทานพระเจ้าได้เลย
เขาได้นำคนออกมาจากอียิปต์ แต่ไม่ใช่ออกมาได้ง่าย ๆ ฟาโรห์ต้องเจอภัยพิบัติมากมาย แต่ท่านก็ไม่ยอมแพ้ และแล้ว ฟาโรห์ต้องเสียหน้ามากที่สุด เสียรถศึก และกองทัพและพ่ายแพ้ต่อพระประสงค์ของพระเจ้า
ในช่วงเวลานั้นเอง โมเสสได้ให้คำพยากรณ์ว่า พระเจ้าจะทรงให้เกิดผู้เผยพระคำเหมือนข้าที่มาจากหมู่คนยิวเอง

กิจการ 7:38-43 อิสราเอลกับรูปเคารพ
สเทเฟนกำลังชี้แจงให้คนที่ยืนฟังอยู่ได้เห็นว่า คนยิวสมัยก่อนก็ไม่ต้องการการช่วยเหลือของพระเจ้า พวกเขาหันไปหารูปเคารพ และกราบไหว้สิ่งเหล่านั้น ตรงนี้เองที่ทำให้พวกเขาต้องได้รับโทษจากพระเจ้าโดยตรง ต่อมาพระเจ้าทรงส่งพวกเขาไปเป็นเชลยในบาบิโลน ในเปอร์เซีย
สเทเฟนทำให้พวกเขารู้ว่า โมเสสทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ปกครอง และเป็นผู้พิพากษาตัดสินคดีของพวกเขา โมเสสทำการอัศจรรย์ ซึ่งทั้งหมดนี้เหมือนกับพระเยซู สเทเฟนพูดถึงโมเสสนานเป็นพิเศษ เพราะคนที่ฟังเขาอยู่นั้น เป็นคนถือกฎบัญญัติของโมเสสอย่างเคร่งครัด แต่แล้ว คนยิวก็ได้ปฏิเสธโมเสสไปไหว้รูปเคารพ นี่เองสเทเฟนกำลังชี้ให้เห็นว่า โมเสสเป็นผู้ที่มาก่อนพระเยซู และพระเยซูคือคนที่โมเสสกล่าวถึง
และหากพวกเขาปฏิเสธพระเยซู พวกเขาจะต้องเจอกับอะไร

กิจการ 7:44-53
ถึงอย่างนั้น พระเจ้ายังทรงอยู่ท่ามกลางพวกเขา โดยมีกระโจมแห่งพยานเป็นสัญลักษณ์ ต่อมาเมื่อครอบครองดินแดนแล้ว ก็ยังมีพระวิหารด้วย แม้จะมีการสถิตอยู่กับพระเจ้าให้เห็น คนยิวส่วนใหญ่ก็กลับหันหลังให้พระองค์ มีบางพวกที่พยายามบอกใคร ๆ ว่า พระเจ้าอยู่แค่ในพระวิหารของพวกยิวเท่านั้น แต่พระองค์กลับแจ้งให้เขารู้ว่า พวกเขาจะมาจำกัดพระองค์ให้อยู่ตามที่พวกเขาต้องการไม่ได้
คนยิวสมัยสเทเฟนเองก็เช่นกัน เขาพยายามวางรูปแบบ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ตามใจตัวเองเพื่อบอกว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่ได้ตรัสอย่างนั้น
แล้วในที่สุด สเทเฟนก็หวนกลับมายังตัวผู้ที่กำลังยืนฟังอยู่ว่า พวกเขาต่อต้านองค์พระวิญญาณของพระเจ้าเหมือนกับที่บรรพบุรุษได้ทำ. พวกเขาสังหารผู้รับใช้ของพระเจ้าเหมือนบรรพบุรุษของเขา และนั่นก็คือ พวกเขาได้สังหารพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าด้วย

กิจการ 7:54-60 สังหารสเทเฟน
พอได้ยินว่า พวกเขาเองเป็นคนที่สังหารองค์บริสุทธิ์ที่พระเจ้าทรงส่งมา ..​ก็โกรธจัด กัดฟันกรอด
ทนฟังต่อไปไม่ได้แล้ว ผู้นำศาสนายิวไม่อาจฟังคำพยาน ไม่อาจฟังความจริงจากสเทเฟนได้
ขณะนั้น สเทเฟน ซึ่งกล่าวความจริงมาเนิ่นนาน เต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านมองเห็นพระเยซูเบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้า! นี่เป็นเหตุให้ท่านกล้าหาญ ไม่กลัวความตายแม้แต่นิด ที่จริง ท่านคงรู้แล้วว่า หลังจากคำกล่าวครั้งนี้ คงไม่รอดแน่ แต่ความตายไม่ทำให้ท่านกลัวเลย ยิ่งเห็นพระเจ้าบนสวรรค์ ใครจะไปสนใจที่จะอยู่ในโลกอีกต่อไป?
ในที่สุดสเทเฟนถูกขว้างด้วยหินจนเสียชีวิต .. ในวันนั้นเอง ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ได้ยินคำทั้งสิ้นของสเทเฟน และเป็นคนที่ยินยอมให้เกิดการขว้างด้วยหินครั้งนี้ คือชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ เซาโล
คำอธิษฐานสุดท้ายของสเทเฟนคือ “ขอพระเจ้าทรงรับวิญญาณของข้าพเจ้าไป” และ”ขออย่าทรงถือโทษคนทั้งปวง” ที่เป็นอย่างนี้ได้เพราะว่า พระเจ้าทรงอยู่ตรงหน้าสเทเฟน ไม่มีอะไรที่ท่านจะต้องกลัว ไม่มีสิ่งที่ค้างคาใจของท่านเลย ท่านไปจากโลกนี้อย่างมีศักดิ์ศรี และถวายพระเกียรติพระเจ้าเป็นที่สุด


พระคำเชื่อมโยง
2* กิจการ 22:1, สดุดี 29:3, ปฐมกาล 11:31-32
3* ปฐมกาล 12:14* ปฐมกาล 11:31-32; 15:754* กิจการ 5:33; 2:37; โยบ 16:9; สดุดี 35:16; 37:12
5* ปฐมกาล 12:7; 13:15; 15:3,18; 17:8; 26:3
6* ปฐมกาล 15:13,14,16; 47:11,12 อพยพ 1:18-14; 12:40,41
7* ปฐมกาล 15:14 อพยพ 14:13-31; 3:12
8* ปฐมกาล 17:9-12; 21:2-4; ลูกา 1:59; ปฐมกาล 25:26; 29:31-35, 30:5-24, 35:18,23-26
9* ปฐมกาล 37:4,11,28
11* ปฐมกาล 41:54; 42:5
12* ปฐมกาล 42:1-2
13* ปฐมกาล 45:4, 16
14* ปฐมกาล 45:9, 27; เฉลยธรรมบัญญัติ 10:22
15* ปฐมกาล 46:1-7; 49:33
16* โยชูวา 24:32; ปฐมกาล 23:16
17*ปฐมกาล 15:13; อพยพ 1:7-9
18* อพยพ 1:8
19* อพยพ 1:22
20* อพยพ 2:1-2; ฮีบรู 11:23
21* อพยพ 2:3-4; 5-10
22* ลูกา 24:19
23* อพยพ 2:11-12
27* อพยพ 2:14
29* ฮีบรู 11:27; อพยพ 2:15, 21, 22; 4:20; 18:3
30* อพยพ 3:1-10
32* อพยพ 3:6, 15
33* อพยพ 3:5, 7 , 8, 10
34* อพยพ 2:24, 25; สดุดี 105:26
35* อพยพ 2:14; อพยพ 14:21
36* อพยพ 12:41; 33:1; 14:21; 16:1, 35
37* เฉลยธรรมบัญญัติ 18:15, 18, 19; มัทธิว 17:5
38* อพยพ 19:3; กาลาเทีย 9:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:27; ฮีบรู 5:12
39* สดุดี 95:8-11
40* อพยพ 32:1, 23
41*เฉลยธรรมบัญญัติ 9:16; อพยพ 32:6, 18, 19
42* 2 เธสะโลนิกา 2:11; 2 พงศ์กษัตริย์ 21:3; อาโมส 5:25-27
43* เยเรมีย์ 25:9-12
44* ฮีบรู 8:5
45* โยชูวา 3:14; 18:1; 29:3; สดุดี 44:2; 2 ซามูเอล 6:2-15
46* 2 ซามูเอล 7:1-13
52* กิจการ 3:14; 22:14
53* อพยพ 20:1
54* กิจการ 5:33
55* กิจการ 6:5; อพยพ 24:17
56* มัทธิว 3:16; ดาเนียล 7:13
58* เลวีนิติ 24:14-16; กันดารวิถี 15:35
59* กิจการ 9:14; สดุดี 31:5; ลูกา 23:46
60* กิจการ 9:40; 20:36; 21:5; ลูกา 22:41; เอเฟซัส 3:14; มัทธิว 5:44; 27:52

กิจการ 6 แต่งตั้งผู้รับใช้ดูแลพี่น้อง

จับกุมสเทเฟน

คำอธิบายและพระคำเชื่อมโยง
แต่งตั้งผู้รับใช้ดูแลพี่น้อง

กิจการ 6:1-4
ตอนที่เริ่มต้นคริสตจักรนั้น มียิวที่มาจากต่างประเทศ เข้ามาอาศัยในเยรูซาเล็ม เป็นพวกที่ใช้ภาษากรีกเป็นหลัก
และก็มียิวท้องที่ซึ่งใช้ภาษาอาราเมคสื่อสาร จึงมียิวสองพวกที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ที่คริสตจักรดูแลแม่ม่ายก็เพ1ราะพวกเธอไม่มีใครที่จะช่วยให้สภาพความเป็นอยู่ดีขึ้น นี่เป็นลักษณะของคนยิวอยู่แล้วที่จะมีการดูแลแม่ม่ายและลูกกำพร้า

และเมื่อปัญหาเกิดขึ้น อัครทูตก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลย พวกเขาหาทางที่จะแก้ปัญหาด้วยการเลือกคนที่ มีสติปัญญา และเต็มด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาช่วยทำงานด้านสังคม ดูแลความเป็นอยู่ทั่วไป. ในขณะที่อัครทูตจะใช้เวลากับการสอนพระวจนะ ซึ่งเป็นงานหลักของคริสตจักร เพราะถ้าพี่น้องไม่มีความเข้าใจในพระคำของพระเจ้าพวกเขาก็จะไม่แข็งแรง เราจึงเห็นว่าคริสตจักรทำงานทั้งสองอย่างไม่ได้ละทิ้ง ด้านใดด้านหนึ่ง และก็ได้เลือกคนทำงานให้เหมาะสมด้วย ในสมัยใหม่นี้ น่าจะเรียกผู้รับใช้แบบนี้ว่ามัคนายก 
1* กิจการ 2:41; 4:4; 9:29; 11:20; 4:35; 11:292 อพยพ 18:17. 3* 1 ทิโมธี 3:7-13 4* กิจการ 2:42

กิจการ 6:5-7
เมื่อพวกเขาเลือกคนเข้ามา ท่านลูกาก็บันทึกให้ทราบด้วยว่า มีใครบ้าง แต่ดูเหมือนสเทเฟนจะเป็นคนที่โดดเด่นกว่าทุก ๆ คน เขาน่าจะเป็นผู้นำคนกลุ่มนี้ เราอาจคิดว่าทำไมท่านลูกาจึงต้องบอกชื่อคนเหล่านี้รู้ไหมเพราะอะไร?

เพราะว่าทุกคนมีชื่อเป็นกรีกหมดทั้ง ๆ ที่เป็นคนยิว พวกเขาคือกรีกที่เป็นชาวต่างชาติที่เข้ามา น่าสนใจคือ ทุกคนในกลุ่มไม่ว่าจะเป็นยิวพูดอาราเมค หรือยิวพูดกรีกเห็นด้วยและมีการอธิษฐานวางมือให้พวกเขาได้ทำงานด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้าพวกเขาไม่ได้เห็นว่างานนี้เป็นงานเล็ก ๆ แต่มีความสำคัญมากเช่นกัน
5* กิจการ 6:3; 11:24; 8:5; 26; 21:8; วิวรณ์ 2:6, 15 6* กิจการ 1:24; 2 ทิโมธี 1:6. 7* กิจการ 12:24, ยอห์น 12:42

กิจการ 6:8-11
แม้ว่าสเทเฟนไม่ได้เป็นอัครทูต แต่เป็นผู้ที่ดูแลความเป็นอยู่ของแม่ม่ายซึ่งมีอยู่มากมายพร้อมกับคนอื่น ๆ ที่ถูกเลือกเข้ามาทำงาน เขากลับเป็นคนที่ทำการอัศจรรย์ ทำหมายสำคัญซึ่งมีความหมายถึงการอัศจรรย์ ที่ชี้ไปถึงพระเมสสิยาห์ คือพระเยซูคริสต์ ที่เขาทำได้เพราะชีวิตของเขาเต็มด้วยพระคุณและฤทธิ์เดชของพระวิญญาณในตัวเขา 

และเมื่อมีคนมาโต้แย้ง พวกนั้นก็ไม่อาจชนะข้อโต้แย้งได้ เพราะสเทเฟนมีทั้งสติปัญญา และพระวิญญาณทรงกล่าวผ่านเขา น่าตื่นเต้นจริง ๆ ที่ใครคนหนึ่งจะมีปัญญาพร้อมพระวิญญาณเช่นนี้ ให้สังเกตอย่างหนึ่งคือ ยิวที่มาจากแคว้่นซิลีเซีย เป็นบ้านเกิดของท่านเปาโลด้วย มีบางคนให้ความเห็นว่าเรื่องเหล่านี้ ท่านลูกาน่าจะได้ยินมาจากท่านเปาโลอีกที แล้วศัตรูก็หาทางอื่นที่จะกำจัดสเทเฟนให้พ้นทาง เป็นวิธีเดิม ๆ ที่พวกเขาใช้กับพระเยซู และอัครทูต
8* กิจการ 2:43; 5:12; 8:15; 14:310* ลูกา 21:15. 11* 1 พงศ์กษัตริย์ 21:10,13

จับกุมสเทเฟน

กิจการ 6:12-15
มีการยุยง ปลุกปั่นประชาชนและผู้ใหญ่ให้จับตัวสเทเฟนมา และพวกเขาก็ทำสำเร็จ จะเห็นว่าจากการคุยกันธรรมดา กลายเป็นการโต้แย้ง จากนั้นก็กลายเป็นการให้ร้าย และความ รุนแรงจนถึงชีวิต  

พวกเขาพยายามให้คนยิวคิดว่าสิ่งที่สเทเฟนพูดและทำนั้น เป็นการทำลาย ความเชื่อในศาสนายิว ทำลายวัฒนธรรม กฎบัญญัติของโมเสส แต่ในวันนั้นทุกคนกลับมองสเทเฟนเห็นเขาเป็นเหมือนทูตสวรรค์! เป็นไปได้อย่างไร ชายคนที่พวกเขาจับตัวมา กลับนิ่งสงบ เป็นสุข และหน้าตามีราศีขนาดนั้น พวกเขาเข้าใจไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
14* กิจการ10:38, 25:8