โรม 10 ทุกคนต้องรับด้วยปากเชื่อด้วยใจ

โรม 10:1-2
พี่น้องชายหญิงทั้งหลายสิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดและที่ข้าอธิษฐานต่อพระเจ้าคือ ขอให้ชาวอิสราเอลทุกคนได้รับความรอด ข้าเป็นพยานเรื่องพวกเขาได้ว่าพวกเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะติดตามพระเจ้า แต่ ไม่ได้ทำอย่างถูกวิธีตามความรู้ที่แท้จริง

โรม10:3-4
เพราะเขาไม่รู้ความเที่ยงธรรมที่มาจากพระเจ้า แต่พวกเขาตั้งวิธีการที่จะเป็นคนเที่ยงธรรมด้วยตนเอง 
โดยไม่รับความเที่ยงธรรมของพระเจ้า พระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของบทบัญญัติ คือทุกคนที่เชื่อพระองค์จะเป็นคนเที่ยงธรรม 


โรม10:5
โมเสสได้เขียนถึงการที่มนุษย์จะมี
ความเที่ยงธรรมได้โดยการทำตามบทบัญญัติ
ท่านกล่าวว่า “คนที่เชื่อฟังทำตามบทบัญญัติจะมีชีวิตด้วยบทบัญญัตินั้น (เลวีนิติ  18:5)


โรม 10:6-7
แต่พระคัมภีร์กล่าวถึงความเที่ยงธรรมจากความเชื่อนั้นกล่าวว่า อย่านึกในใจว่าใครจะขึ้นไปสวรรค์? (คือนำพระคริสต์ลงมา?) หรือใครจะลงไปนรก? (คือนำพระคริสต์ขึ้นมาจากความตาย?)”

โรม 10:8-9
แต่พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า “ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่าน อยู่ในปากอยู่ในใจของท่าน คือ ถ้อยคำแห่งความเชื่อซี่งเรากำลังประกาศ ถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจว่า พระเจ้าได้ทรงทำให้พระเยซู ทรงคืนชีพจากความตายท่านจะรอด

โรม10:10-11
ท่านได้รับการประกาศว่าเป็นผู้เที่ยงธรรมเพราะท่านเชื่อด้วยใจ และท่านได้รับความรอดเพราะท่านยอมรับด้วยปาก ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า
“คนใดที่วางใจในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอาย”

โรม10:12-13
ไม่มีความแตกต่างระหว่างคนอิสราเอลกับคนต่างชาติ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวงและประทานพรมากมายให้กับทุกคนที่วางใจในพระองค์ ตามที่
พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ทุกคนที่ร้องเรียกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะรอด”

โรม10:14-15
แต่ที่ผู้คนจะทูลขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยเขา พวกเขาต้องเชื่อในพระองค์ ก่อนที่จะเชื่อใพระองค์ พวกเขาต้องได้ยินถึงพระองค์ก่อน ที่จะได้ยินถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ต้องมีใครบอกพวกเขาก่อน  ที่จะมีใครสักคนไปและบอกพวกเขา ก็ต้องมีคนส่งเขาไปก่อน ตามที่มีเขียนไว้ว่า (อิสยาห์  52:7)
“เท้าของผู้นำข่าวดีนั้นงามสักเพียงใด”

โรม10:16-17
ไม่ใช่คนอิสราเอลทุกคนจะตอบรับข่าวประเสริฐ เพราะอิสยาห์กล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าข้า ใครบ้างหรือที่เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเรา?” (อิสยาห์ 53:1)ดังนั้น ความเชื่อจึงมาจากการได้ยินข่าวประเสริฐ  เมื่อมีคนประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์

โรม10:18
แต่ข้าถามว่า จริงหรือที่เขาไม่ได้ยินข่าวประเสริฐ? 
ใช่ พวกเขาได้ยินตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า“มีเสียงออกไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก”
(สดุดี 19:4)

โรม10:19
ข้าถามอีกว่า “คนอิสราเอลไม่เข้าใจหรือ?  แน่นอน เขาเข้าใจทีแรกโมเสสกล่าวว่า เราจะทำให้คนที่
ไม่ใช่ชนชาตินี้ทำให้เจ้าอิจฉา เราจะใช้
ชนชาติที่ไม่เข้าใจทำให้เจ้าโกรธ”

โรม10:20-21
และอิสยาห์กล้าหาญที่กล่าวว่า“คนที่ไม่ได้แสวงหาเราได้พบเรา เราปรากฏแก่คนที่ไม่ได้ถามหาเรา”พระเจ้าตรัสถึงคนอิสราเอลว่า “ตลอดวันเวลา เรายื่นมือของเราออกมาให้แก่ชนชาติที่ไม่เชื่อฟังและดื้อด้าน” (อิสยาห์ 65:2) 

อธิบายเพิ่มเติม

โรม 10:1-2
คนอิสราเอลที่ท่านเปาโลกล่าวถึงนี้ คือคนที่มีความกระตือรือร้นในการติดตามพระเจ้า ในปัจจุบันจะมี 1คนอิสราเอลที่ติดตามบัญญัติอย่างสุดโต่ง
2 คนที่ไม่เอาพระเจ้าเลย 3 คนที่กลับใจมาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต
์ คนกลุ่มหลังสุดนี้กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ พระเจ้าทรงนำพวกเขากลับมาอย่างมหัศจรรย์จะเห็นว่าในจดหมายท่านเปาโลชมด้วยว่ายิวทั่วไปต้องการติดตามพระเจ้าแต่ที่น่าเสียใจคือไม่ทำตามวิธีของพระเจ้า 

โรม10:3-4
การที่ใครคนหนึ่งจะเป็นคนเที่ยงธรรม หรือเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า หรือพ้นผิดได้ ก็ต้องทำตามเงื่อนไขของพระเจ้า แต่มนุษย์ไม่ต้องการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า พวกเขาคิดหาวิธีการของตนเอง โดยหารู้ไม่ว่า วิธีการของเขาไม่ได้ผล นี่คือมนุษย์ได้สร้างระบบความเชื่อ ศาสนาต่าง ๆ มาเพื่อช่วยให้รู้สึกสบายใจมีที่ยึดเหนี่ยว มีที่ไปหลังจากตายแล้ว แต่พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของจักรวาล ทรงเป็นเจ้าของชีวิตทุกคนหน้า ..จึงต้องฟังพระองค์

โรม10:5
ท่านโมเสสกล่าวชัดเจนให้ทุกคนรู้ว่า ถ้าพวกเขาทำตามบทบัญญัติ ก็จะได้ชีวิต ได้ความเที่ยงธรรมจากการทำตามนั้น แต่ปัญหาคือ ไม่มีใครจะได้ชีวิตและได้ความเที่ยงธรรมจากบัญญัติเลย เพราะอะไรเล่า?ก็เป็นเพราะไม่มีใครสามารถทำตามบัญญัติทุกข้อโดยไม่มีการพลาดเลย  ทุกคนมีความพลาดมาตั้งแต่เป็นเด็กมา อย่างน้อย บาปยอดนิยมก็คือทุกคนเคยโกหกกันมาแล้วทั้งนั้น

โรม10:6-7
เราจะเข้าใจพระคำตอนนี้ได้ก็ต้องย้อนไปที่ เฉลยธรรมบัญญัติ 30:11-13 11 สิ่งที่ข้าพเจ้ากำชับท่านในวันนี้ไม่ใช่สิ่งที่เหลือบ่ากว่าแรงหรือเกินเอื้อมสำหรับท่าน 12 ไม่ได้อยู่สูง ในฟ้าสวรรค์จนท่านต้องถามว่า “ใครจะขึ้นไปบนสวรรค์แล้วนำมาประกาศแก่เราเพื่อเราจะได้ปฏิบัติตาม?” 13 และไม่ใช่อยู่โพ้นทะเลจนท่านต้องถามว่า “ใครจะข้ามทะเลเพื่อนำมาประกาศแก่เราเพื่อเราจะได้ปฏิบัติตาม?”  (จากเล่มอมตธรรมร่วมสมัย)นั่นคือ ความเที่ยงธรรมจากความเชื่อไม่ได้อยู่ไกล จนเป็นนามธรรม ไกลจนไม่เข้าใจ สังเกตได้ว่าท่านเปาโลได้ใช้พระคัมภีร์เดิมหลายข้อในหนังสือโรมเพราะยิวที่มาเชื่อนั้นคุ้นเคยดี

โรม 10:8-9
(เฉลยธรรมบัญญัติ  30:14) การที่จะได้รับของประทานยิ่งใหญ่จากพระเจ้า “ความรอดพ้น”  นั้น คือการได้อยู่กับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งในโลกนี้และหลังจากตายไปแล้ว  สิ่งแรกที่เราต้องทำคือการรับด้วยปาก”พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อด้วยใจว่า “พระบิดาทรงทำให้พระองค์คืนชีพจากความตาย” เป็นสองสิ่งที่ดูง่าย แต่คนเป็นจำนวนมากกลับไม่ยอม พวกเขาต้องการวิธีที่ยากกว่า ต้องการวิธีที่เขาทำเองเพื่อได้มา

โรม10:10-11
 ฉะนั้นพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า“ดูเถิด เราวางศิลาก้อนหนึ่งไว้ในศิโยนเป็นศิลามุมเอกล้ำค่าเหมาะเป็นรากฐานอันมั่นคงผู้ที่วางใจจะไม่มีวันท้อแท้[ (อิสยาห์ 28:16) (อมตธรรมร่วมสมัย) เราเห็นชัดว่า ท่านเปาโลยังไม่ได้หลุดไปจากคำจากพระคัมภีร์เดิมเลย ท่านใช้ข้อความต่าง ๆ ที่ชาวยิวคริสเตียนรู้ดี มาทำให้พวกเขาเข้าใจว่า ผู้เผยพระดำรัสสมัยก่อนได้กล่าวถึงพระเยซูมาตั้งนานแล้ว  การที่เราแต่ละคนปฏิเสธพระองค์เท่ากับเป็นการหาความอับอายมาให้ตัวเอง 

โรม10:12-13
และทุกคนที่ร้องออกพระนามของพระยาห์เวห์จะรับความรอดจากโยเอล 2:32  ท่านเปาโลได้ยืนยันชัดเจนให้ผู้เชื่อชาวยิวไม่หลงตัวเองไปว่า พวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก จึงเป็นพวกเดียวที่มีสิทธิรับความรอดได้พระยาห์เวห์ในโยเอล คือองค์พระเยซูคริสต์เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของมนุษย์ทั้งปวงจึงทรงตอบคำอธิษฐานใครก็ตามที่ร้องเรียกหาพระนามของพระองค์ด้วยจริงใจ รับด้วยปากเชื่อด้วยใจ  พระเจ้าจะไม่ทรงเมินจากพวกเขา 

โรม10:14-15
พระคำข้อนี้จริง ๆ แล้ว เป็นวัฎจักร  คนที่ได้เชื่อจะกลายเป็นคนที่ออกไปในเวลาต่อมา พระเจ้าทรงใช้เราทุกคนให้เป็นคนที่ถูกส่งออกไป  เท้าของผู้นำข่าวดีท่านแรกคือ องค์พระเยซูคริสต์ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน คนต่อ ๆ มา จำนวนไม่น้อยที่ถูกเข่นฆ่าทรมานเพราะพวกเขายึดมั่นในพระองค์ผู้พลีชีวิตเพื่อพวกเขา  พระเจ้าทรงให้กำลังใจกับทุกคนที่ออกไป สิ่งที่งามสุดคือ เท้าของพวกเขา! เป็นเท้าที่นำความรอดไปสู่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน 

โรม10:16-17
ท่านเปาโลรู้ดีว่า คนอิสราเอลจำนวนมากจะต้องได้ยินเรื่องพระเยซู องค์พระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าทรงส่งลงมา แต่ก็มีจำนวนมากที่จะไม่ยอมรับพระองค์ ยังติดกับเชื่อว่าจะต้องทำตามบทบัญญัติให้ครบจึงจะรอด การรับด้วยปากเชื่อด้วยใจดูเหมือนง่ายไป  พวกเขายังคงทะนงตัวไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า แต่คนที่ได้รับพระองค์ พวกเขาก็ได้รับการเปลี่ยนชีวิตจริง ๆความถ่อมตนนั้นคือเส้นทางแห่งชีวิตนิรันดร์ !

โรม10:18
ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จสู่สวรรค์ พระองค์ทรงบัญชาให้ผู้เชื่อออกไปประกาศพระกิตติคุณทั่วโลก โดยเริ่มจากเยรูซาเล็ม .. จนสุดปลายแผ่นดินโลก ในวันนี้ มีผู้รับใช้ของพระเจ้ามากมายทั้งส่วนตัว ทั้งเป็นองค์กร ทั้งเป็นคริสตจักรที่กลับเข้าไปยังประเทศอิสราเอลที่กำลังต่อสู้สงครามรอบด้าน
และปรากฎว่า มีคริสเตียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คนชาวอิสราเอลได้ฟังเรื่องพระเยซูอย่างไตร่ตรองมากขึ้น ใช่แล้ว!! พวกเขากำลังได้ยินข่าวประเสริฐ

โรม10:19
(เฉลยธรรมบัญญัติ  32:21) ในสมัยของโมเสส  อิสราเอลได้ก่อกวนให้พระเจ้าทรงพิโรธจากการที่พวกเขาไปไหว้รูปเคารพพระองค์ทรงกริ้วเป็นอย่างมากที่พวกเขาพากันไปสร้างและกราบไหว้รูปเคารพไร้ค่า แทนที่จะเชื่อฟังพระองค์ ดังนั้นเมื่อเขามองว่า คนต่างชาติโง่เขลาพระองค์จะทรงทำให้คนที่พวกเขาเห็นว่าโง่เขลาได้รู้จักพระองค์ ติดตามพระองค์อย่างภักดี  แล้ววันหนึ่งอิสราเอลจะอิจฉาและโกรธมากที่พระเจ้าทรงแสนดีต่อคนต่างชาติ  

โรม10:20-21 พระเจ้าทรงตั้งพระทัยมานานแล้วว่า พระองค์จะให้ชาวโลก ชาติต่าง ๆ ได้มาพบพระองค์ เราเห็นจาก
คำกล่าวของอิสยาห์ และพระเยซูก็ได้ทรงยืนยันน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งถ้าย้อนกลับไป เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงตั้งพระทัยมาตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลกเสียอีก (เอเฟซัส 1:4) พอเรารู้อย่างนี้ ก็ต้องขอบคุณพระเจ้ามาก เพราะว่าทรงเลือกอิสราเอลเพื่อให้เขาเป็นพระพร แต่สถานการณ์กลับเป็นว่า ชาติต่าง ๆ จะกลายเป็นพระพรต่ออิสราเอล 

พระคำเชื่อมโยง

โรม 10
2* กิจการ 21:20
3* โรม  1:17; ฟีลิปปี 3:9
4* กาลาเทีย 3:24; 4:5
5* เลวีนิติ 18:5
6* เฉลยธรรมบัญญัติ 30:12-14
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 30:13


8* เฉลยธรรมบัญญัติ 30:14
9* ลูกา 12:8
11* อิสยาห์ 28:16
12* โรม 3:22,29  ; กิจการ 10:36;
เอเฟซัส 1:7
13* โยเอล 2:32 ;กิจการ 9:14
14* ทิตัส 1:3

15* อิสยาห์ 52:7; นาฮูม 1:15
16* อิสยาห์ 53:1; ยอห์น  12:38
18* สดุดี 19:4
19* เฉลยธรรมบัญญัติ 32:21; ทิตัส 3:3
20* อิสยาห์ 65:1
21* อิสยาห์ 65:2

โรม 9 อิสราเอลปฏิเสธพระคริสต์!

โรม 9:1-3
ข้าขอบอกความจริงในพระคริสต์ ไม่มุสา จิตสำนึกของข้าเป็นพยานในพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าข้าเป็นทุกข์และเจ็บปวดในใจ
ไม่หยุดหย่อน  ถ้าเป็นไปได้ ข้าเต็มใจที่จะถูกสาปตลอดไป นั่นคือถูกตัดขาดจากพระคริสต์
หากสิ่งนั้นจะช่วยให้พี่น้องยิวซึ่งเป็นคนเชื้อชาติเดียวกับข้าจะได้รับความรอด 

โรม 9:4
พวกเขาเป็นชนอิสราเอล ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นลูกของพระองค์  พวกเขาได้เห็นพระเกียรติสิริ ทรงทำพันธสัญญา
ต่าง ๆ กับพวกเขา  ประทานบทบัญญัติ  สิทธิที่ได้นมัสการ พระองค์ในพระวิหารรวมไปถึงรับพระสัญญาดีเลิศต่าง ๆ

โรม 9:5
พวกเขาเป็นลูกหลานของบรรพบุรุษของเรา 
และพระเยซูคริสต์ได้ทรงลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์
ในเชื้อสายของพวกเขา
สรรเสริญแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือ
สรรพสิ่ง ตลอดไปเป็นนิตย์  อาเมน

โรม 9:6-7
พระเจ้ามิได้ทรงล้มเหลวในการรักษาพระสัญญา เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เกิดในเชื้อสายอิสราเอลเป็นอิสราเอลแท้ ไม่ใช่ทุกคนที่สืบเชื้อสายจากอับราฮัมจะเป็นลูกหลานแท้จริงของท่าน แต่พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า  “ลูกหลานสืบเชื้อสายที่เราสัญญากับเจ้าจะผ่านมาทางอิสอัค” 

โรม 9:8
นี่หมายความว่า 
ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นลูกหลานทางสายเลือดของอับราฮัม
เป็นลูกหลานแท้ของพระเจ้า
แต่ลูกแห่งพระสัญญาเท่านั้น ที่ถือว่าเป็นลูกที่สืบเชื้อสาย

โรม 9:9-10
พระสัญญาที่พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมคือ“ปีหน้า เราจะกลับมาประมาณช่วงนี้ และซาราห์จะมีลูกชายคนหนึ่ง(ลูกชายคืออิสอัค)”อิสอัคซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเรา มีภรรยาคือเรเบคาห์เธอคลอดบุตรเป็นเด็กแฝดชาย (คือเอซาวและยาโคบ)

โรม 9:11-13
ก่อนที่เด็กชายทั้งสองจะเกิด ก่อนที่จะทำความดีหรือความชั่ว (เพื่อว่าพระประสงค์ของพระเจ้าจะสืบเนื่องต่อ ไม่ถูกเลือกจาก
ความประพฤติ แต่พระเจ้าทรงเลือกเอง)
 
พระเจ้าตรัสกับเรเบคาห์ว่า “พี่ชายจะรับใช้น้องชาย”ตามที่บันทึกในพระคัมภีร์ว่า “เรารักยาโคบแต่เราชังเอซาว”

โรม 9:14-15
เราจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้? พระเจ้าไม่ทรงยุติธรรมอย่างนั้นหรือ?   จะไม่เป็นเช่นนั้น!
เพราะพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
“เราจะแสดงความเมตตาต่อคนที่เราเลือกที่จะเมตตา และเราจะแสดงความสงสารต่อคนที่เราเลือกที่จะสงสาร”

โรม 9:16-17
ดังนั้น การเลือกของพระเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่มนุษย์ต้องการหรือความพยายามของพวกเขา แต่ขึ้นอยู่กับพระเมตตาของพระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวแก่ฟาโรห์แห่งอียิปต์ว่า“เราแต่งตั้งให้เจ้าเป็นกษัตริย์เพราะเหตุนี้คือเพื่อแสดงฤทธานุภาพของเราให้ปรากฎในตัวเจ้า  เพื่อนามของเราจะได้ถูกประกาศออกไปทั่วทั้งโลก”

โรม 9:18-19
ดังนั้น พระเจ้าทรงแสดงพระเมตตาต่อคนที่ทรงเลือกจะเมตตา และทรงทำให้คนบางคนมีใจแข็งดึงดันตามที่ทรงเลือก
มีคนจะถามข้าว่า
“ถ้าอย่างนั้น เหตุใดพระเจ้าจึงทรงตำหนิเราเรื่องบาปของเรา ใครล่ะ ที่จะขัดขืนพระประสงค์ของ
พระองค์ได้?”


โรม 9:20-21
จริงแล้วท่านเป็นใครกัน? ท่านเป็นเพียงมนุษย์ ซึ่งไม่มีสิทธิที่จะท้าทายพระเจ้า สิ่งที่ถูกปั้นไม่ควรถามผู้ที่ปั้นว่า “เหตุใด
ท่านจึงปั้นฉันออกมาเช่นนี้?” ช่างปั้นไม่มีสิทธิปั้นดินเหนียวก้อนเดียวกัน เป็นภาชนะสำหรับใช้งานที่มีเกียรติ หรือสำหรับใช้สอยประจำวันอย่างนั้นหรือ?


โรม 9:22-23
เช่นเดียวกัน แม้ว่าพระเจ้าทรงมีสิทธิที่จะสำแดงพระพิโรธและฤทธิ์อำนาจของพระองค์ พระองค์ยังทรงอดกลั้นกับคนที่เป็นภาชนะที่ถูกปั้นเพื่อการทำลาย พระองค์ทรงทำเช่นนี้ เพื่อทำให้พระสิริตระการได้ส่องประกายเจิดจ้ายิ่งขึ้นต่อคนที่เป็นภาชนะที่ถูกปั้นล่วงหน้าเพื่อจะรับพระเมตตา แล้วใครจะว่าอย่างไร?

โรม 9:24-25
และเราก็เป็นคนเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงเรียก ทั้งจากหมู่คนยิวและจากหมู่คนต่างชาติด้วย เหมือนอย่างที่พระเจ้าตรัสไว้ในหนังสือโฮเชยา (โฮเชยา 2:1,23)
เราจะเรียกคนที่ไม่ใช่ประชากรของเราว่า
  ‘เจ้าคือประชากรของเรา’
และเราจะเรียกคนที่เราไม่ได้รักมาก่อนว่า‘ผู้เป็นที่รัก’ 
 

โรม 9:26 
และในที่เดียวกันซึ่งพระเจ้าเคยตรัสว่า
‘เจ้าไม่ใช่ชนชาติของเรา’
พระองค์จะทรงเรียกเขาว่า
ลูก ๆ ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์’ 

โรม 9:27-28
อิสยาห์ได้ร้องเกี่ยวกับอิสราเอลว่า “แม้จำนวนประชากรอิสราเอลจะมีมากมายเหมือนเม็ดทรายชายฝั่งทะเล
แต่จะมีผู้ที่รอดเหลือเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น  เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า จะทรงลงโทษคนในโลกครบถ้วน และรวดเร็ว

โรม 9:29
ตามที่อิสยาห์ได้กล่าวล่วงหน้าว่า 
หากพระยาห์เวห์องค์จอมทัพมิได้เหลือผู้สืบเชื้อสายไว้ให้พวกเราบ้างพวกเราจะกลายเป็นเหมือนโสโดม
และเป็นเหมือนอย่างเมืองโกโมราห์ (ปฐมกาล 19)


โรม 9:30
แล้วเราจะว่าอย่างไรกันดี? 
แม้ว่าคนต่างชาติไม่ได้ตามหาความเที่ยงธรรม
แต่พวกเขากลับได้รับสถานะเป็นคนเที่ยงธรรม
เพราะความเชื่อของพวกเขา

โรม 9:31-32
คนอิสราเอลพยายามที่จะติดตามบทบัญญัติเพื่อทำให้พวกเขาเที่ยงธรรมแต่กลับทำตามบทบัญญัติไม่สำเร็จก็เพราะพวกเขาไม่หาตามความเชื่อแต่ใช้การประพฤติเพื่อจะเป็นคนเที่ยงธรรม พวกเขาสะดุดก้อนหินที่ทำให้สะดุดนั้น

โรม 9:33
ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ดูเถิด เราจะวางศิลาก้อนหนึ่งไว้ในศิโยนซึ่งจะทำให้ผู้คนสะดุด  เป็นหินที่จะทำให้
พวกเขาล้มลง คนใดที่วางใจในพระองค์จะไม่ได้รับความอาย” (อิสยาห์ 28:16)

อธิบายเพิ่มเติม

โรม 9:1-3 จากบทที่ผ่านมา ท่านเปาโลได้กล่าวถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้เชื่อ น้ำพระทัยของพระเจ้าจะสำเร็จทุกประการ และไม่มีอะไรจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้  ในบทนี้ ท่านมุ่งไปที่คนเชื้อชาติอิสราเอลที่ดูเหมือนว่าได้หลงไปจากเงื่อนไขของพระเจ้าที่มีให้เขา พวกเขาหลงคิดว่าหน
ทางสู่ความรอดคือการประพฤติตามบทบัญญัติอย่างเคร่งครัด  พวกเขาดื้อดึง ไม่ยอมรับทางแห่งความเชื่อในพระคริสต์ ท่านเปาโลจึงเป็นทุกข์นัก 

โรม 9:4 จากข้อนี้ เราจะเห็นความพิเศษของชนอิสราเอลซึ่งพระเจ้าทรงตั้งพระทัยให้เขาประกาศพระนามของพระองค์ไปทั่วโลก เราจะเห็นสิทธิพิเศษของเขา
มากมายเพียงในข้อเดียวนี้ แต่ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงสิทธิพิเศษนี้เลย เปรียบได้กับคนที่อยู่ในประเทศที่สบายแต่ยังโวยวายว่าตัวเองไม่ได้
รับสิ่งดีที่ต้องการ แต่ถ้ามองให้ดีแล้ว เราซึ่งเป็นคนต่างชาติ ได้มาพบพระเยซูก็ได้พระพรดีเลิศสุดจะบรรยาย 

โรม 9:5 พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงเลือกที่จะให้พระเยซูพระบุตรที่รัก มาบังเกิดในเชื้อสายของเผ่ายูดาห์ที่พระองค์ทรงเลือกในอิสราเอล   ดังนั้นพระพรที่
พวกเขาได้รับเป็นพระพรยิ่งใหญ่มาก พระเจ้าทรงชนชาตินี้ ซึ่งอยู่ในตะวันออกกลาง และเรา คนสมัยใหม่ก็เป็นพยานได้ถึงความพิเศษ ความเก่งกาจและพระพรที่พวกเขาได้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากมาย แต่ในฝ่ายวิญญาณแล้ว พวกเขายังไม่พบพระพรสุดยอดของเอกภพ…

โรม 9:6-7
เมื่ออ่านครั้งแรกอาจจะงงว่า ท่านเปาโลพูดทำให้รู้สึกสับสน แต่เมื่อเราทำภาพออกมา เราจึงเห็นชัดว่า บุคคลสำคัญที่จะมาเกิดในวงศ์วานของอับราฮัม
ต้องผ่านมาทางอิสอัคเท่านั้น ไม่ใช่ลูกคนอื่น แม้ว่าอับราฮัมจะมีอิชมาเอล และลูกคนอื่น ๆ หลังจากที่ซาราห์สิ้นชีวิตไปแล้วก็ตาม  บุคคลสำคัญที่พระเจ้า
ทรงสื่อสารกับอับราฮัมคือ พระบุตรที่พระเจ้าทรงเตรียมมาให้กับโลกนี้ พระองค์ทรงเตรียมมาตั้งแต่วันที่อาดัมผิดกับพระเจ้า ใช้เวลาหลายพันปี!

โรม 9:8
แต่ลูกแห่งพระสัญญาเท่านั้นที่เป็นเชื้อสายแท้ นี่หมายความว่าอย่างไร เหตุใดฟังแล้วจึงดูซับซ้อนมาก ตอนนี้ท่านเปาโลกำลังพูดกับคนอิสราเอลที่มา
เชื่อพระเจ้า
เราต้องมองภาพให้ออกว่า ท่านกำลังพยายามอธิบายสิ่งใดให้พวกเขาเข้าใจ นั่นคือ“อิสราเอลแท้ หรือลูกแห่งพระสัญญาคือคนที่ทั้งเป็นอิสราเอลและเชื่อพระเยซู”  ลูกหลานผ่านอิสอัคและยาโคบก็จริง   แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นลูกหลานแท้ของพระเจ้า  

โรม 9:9-10
ท่านเปาโลทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ตั้งแต่หลายพันปีก่อนหน้านี้ ทบทวนให้ทราบว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ก่อให้เกิด บันดาลให้เป็นไปตามที่พระองค์ทรงประสงค์  ในฐานะที่ทรงเป็นพระเจ้าสูงสุดทรงอนุญาตให้ซาราห์อายุ 90-91 ปี มีลูกชายอย่างมหัศจรรย์ และหญิงอีกคือเรเบคาห์ สตรีที่
เป็นหมันและพระเจ้าประทานให้ตามคำขอของอิสอัค ตอนที่เรเบคาห์ได้ลูกมา เธออายุ 60 ปี 

โรม 9:11-13
เวลาได้ยินคำว่า เรารัก เราชัง ทั้ง ๆ ที่พี่ชายน้องชายในบ้านนี้มาจากแม่คนเดียวกัน เราอาจจะคิดไปว่า พระเจ้าทรงมีอคติกับเด็กคนหนึ่ง และก็ทรงโปรดปรานเด็กอีกคนอย่างไม่มีเหตุผล ความหมายแท้จริงของคำนี้คือ  เราเลือกยาโคบเราไม่เลือกเอซาว เป็นการเลือกของพระเจ้าที่จะให้ลูกหลานอิสราเอลสืบเชื้อสายมาจากฝ่ายของยาโคบไม่ใช่เอซาว ตัวยาโคบเองก็จะมาทำตัวเย่อหยิ่งคิดว่าพระเจ้าทรงเลือก ก็ไม่ได้  ปฐมกาล 25:23 (มาลาคี 1:2-3)

โรม 9:14-15
จากหนังสืออพยพ 33:19วันนั้น โมเสสเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นวันที่พระองค์ทรงสำแดงพระสิริของพระองค์ให้โมเสสเห็น โมเสสเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าและพระเจ้าทรงย้ำให้เขารู้ว่า พระองค์ประสงค์จะโปรดปรานใคร ก็เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเลือกเอง  ดังนั้น มนุษย์เรามักคิดว่าพระเจ้าทรงง้อ ให้เรากลับมาหาพระเจ้ามาสยบต่อพระองค์ แต่ความจริงคือสิ่งที่กลับกันมนุษย์ต้องเข้ามาง้อพระเจ้า ไม่อย่างนั้นอนาคตมืด!

โรม 9:16-17
พระคัมภีร์เดิมกำลังถูกนำมาใช้อธิบายความหมายฝ่ายวิญญาณในพระคัมภีร์ใหม่ ตรงจุดนี้ทำให้เราเห็นภาพหนึ่งที่ชัดเจนคือ พระเจ้าทรงอธิบายความ
อยู่ในพระวจนะของพระองค์อยู่แล้ว  เหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นในโลกนี้ เป็นการกระทำของมนุษย์ก็จริง แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้อนุญาตให้เกิดหรือไม่ก็ได้
พระเจ้าทรงเป็นผู้อนุญาตให้ฟาโรห์องค์นี้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ เขาโหดเหี้ยม แต่พระเจ้าทรงพลิกเหตุการณ์เพื่อให้โลกได้รู้จักพระองค์ 

โรม 9:18-19
เหมือนว่าท่านเปาโลจะรู้ว่า ต้องมีคนตั้งคำถามนี้ แน่นอน ท่านก็เลยดักไว้ก่อน คำถามนี้จริง ๆ ก็คือ “ทำไมคนที่ต่อต้านพระเจ้าจึงมีความผิด?” ท่านไม่ได้แก้ตัวแทนพระเจ้า หรือแก้ปัญหาเรื่องความยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้า กับความรับผิดชอบที่มนุษย์ควรจะมีต่อพระองค์  ท่านได้ทำอีกอย่างที่พวกเราน่าจะทำตามนั่นคือ ไม่ต้องไปแก้แทนพระเจ้าแต่บอกให้รู้ว่า ฐานะของเขาต่อพระพักตร์พระเจ้านั้นคืออะไร

โรม 9:20-21
คำตอบต่อไปนี้บอกชัดเจนว่า มนุษย์เป็นผู้ที่ถูกสร้างมา แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกยิ่งใหญ่ขนาดไหน หรือประสบความสำเร็จขนาดไหนในชีวิตก็ตาม พวกเขาไม่มีวันทำตัวทัดเทียมพระเจ้า และมาหาเรื่องพระองค์อย่างที่ทำกันอย่างไม่มีความเกรงกลัวในโลกยุคนี้  ท่านเปาโลถามตรง ๆ ว่า “จริง ๆแล้วนายเป็นใครกัน? นายไม่รู้หรือว่า ตัวเองไม่มีสิทธิที่จะท้าทายองค์ผู้ทรงสร้างพวกนายมา?” (อิสยาห์ 29:16; 45:9)

โรม 9:22-23
ช่างปั้นมีสิทธิเหนือดินเหนียวฉันใด พระเจ้าก็ทรงมีสิทธิเหนือมนุษย์ที่ทรงสร้างมาฉันนั้น  พระองค์ทรงมีสิทธิจะทำอะไรกับพวกเราก็ได้ทั้งนั้น  แต่มนุษย์ไม่เข้าใจ ต่อว่า โต้แย้งว่าพระองค์ไม่ยุติธรรม  พระองค์จะทรงปั้นมนุษย์มาเพื่อการทำลายย่อมได้แต่พระเจ้าทรงให้โอกาสคนเหล่านั้นกลับใจด้วยและนั่นเองคือพระเมตตาของพระเจ้าที่ทำให้หลายคนที่ใคร ๆ เห็นว่าลงนรกแน่ กลับมีโอกาสกลับใจ

โรม 9:24-25
เมื่อเราตอบรับพระเจ้า แม้เป็นคนต่างชาติ  ก็ทรงนับพวกเราเป็นประชากรของพระองค์เหมือนอย่างคนยิว นั่นคือ ใครก็ตามที่ตอบรับพระเจ้าทรงให้เขาเป็นทั้งที่รัก เป็นทั้งประชากรของพระองค์ นี่เป็นความจริงที่คนยิวส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ และคิดว่า เมื่อเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นชนชาติของพระองค์ แปลว่า เขาทำอะไรก็ได้ตามใจ แต่พระเจ้าทรงให้มนุษย์ทุกคนรับผิดชอบต่อสถานะของตนด้วย

โรม 9:26 
ข้อต่อมานี้ก็ย้ำเตือนในเรื่องเดียวกัน สรุปว่า คนที่พระเจ้าทรงสร้างมานั้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่คิดว่าตนเป็นภาชนะสวย ได้รับการเลือกอย่างคนยิว หรือคนต่างชาติที่คิดว่าตนเองอยู่นอกพระคุณของพระองค์ ต่างต้องตอบรับพระคุณของพระองค์ด้วยการรับว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา แล้วก็จะได้เข้ามาเป็นลูก ๆ ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ คนไม่รับพระคุณก็ไม่ได้เป็นลูก… 

โรม 9:27-28
เมื่อพระเจ้าทรงเมตตาคนอิสราเอลนั้น พระองค์ทรงใช้มาตรฐานอันเดียวกันกับคนต่างชาติในเรื่องความเชื่อ อิสราเอลทุกคนจะต้องเชื่อในพระนามของพระเยซูคริสต์ รับว่า พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา เขาจึงจะได้รับการประกาศว่าเป็นคนเที่ยงธรรม พ้นผิด ถูกต้องกับพระเจ้าทุกคนที่จะรับความรอด ต้องผ่านมาทางพระเยซูเท่านั้น เขาจะคิดวิธีเอาตามใจตัวเองไม่ได้ ทุกวันนี้กำลังมีอิสราเอลมากมายที่หันมาเชื่อพระเยซู 

โรม 9:29
การมีคนหลงเหลืออยู่ของอิสราเอลนั้น นับได้ว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่มีประเทศอิสราเอลยืนหยัดสู้ศัตรูรอบด้านเพื่อ
การดำรงอยู่ของชาติ (ปี 2025) เขาต่อสู้กับความพยายามของศัตรูที่จะล้างอิสราเอลออกจากแผนที่โลก .. เพราะพระเจ้าเป็นผู้ที่ทรงยืนยันว่า จะให้มีคนหลงเหลืออยู่ และพวกเขาคือคนที่ทำให้โลกรู้ว่า สิ่งที่พระเจ้าตรัสทุกอย่างจะเกิดขึ้นจริงทรงกั้นไม่ให้พวกเขาสูญพันธุ์อย่างโสโดมโกโมราห์

โรม 9:30คนต่างชาติ(ไม่ใช่อิสราเอล)ท่ีได้รับฟังการประกาศพระนามพระเยซู เมื่อพวกเขาเชื่อพระองค์ พระเจ้าก็ทรงประกาศว่าเป็นคนเที่ยงธรรมเพราะความเชื่อเขาพ้นผิด เขาเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้าพระเจ้าทรงตั้งทรงเลือกคนอิสราเอลไว้เพื่อเขาจะเป็นพระพรให้แก่ชาวโลก ในยุคแรกคนอิสราเอลออกไปประกาศและทำให้คนต่างชาติมารู้จักพระเจ้า แต่เวลานี้กลับกัน คนต่างชาติกลับไปประกาศพระนามพระเยซูแก่คนอิสราเอล!

โรม 9:31-32เหตุใดองค์พระเยซูจึงเป็นหินสะดุดของอิสราเอลในอดีต? พวกเขายังคงยึดถือหลักการของบทบัญญัติอย่างเคร่งครัด และยังเข้าใจว่าความดี
จะทำให้รอด  ปัจจุบัน ยังมีหลายพวกหลายกลุ่มที่ยึดถือบทบัญญัติเคร่งครัดสุดโต่ง และอิสราเอลอีกพวกที่ไม่ยอมเอาพระเจ้าเลย  พวกเขาสะดุดพระนามของพระเยซูอย่างน่าเสียดาย ความภาคภูมิใจในความเป็นคนเที่ยงธรรมตามบัญญัติล้มเหลวในสายพระเนตรพระเจ้า 

โรม 9:33
คนอิสราเอลย่อมรู้ว่า หินสะดุดที่พระเจ้าจะทรงวางไว้ในศิโยนนั้่น เป็นผู้ที่พวกเขาต้องเชื่อ สยบให้ พวกเขาจึงจะไม่สะดุดล้ม ท่านเปาโลได้บอกวิธีที่
จะไม่สะดุด ก็คือวางใจพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อยกบาปของพวกเขา แต่ความเป็นยิวของคนอิสราเอลนั้นรุนแรงมาก โดยเฉพาะคนที่ยึดมั่นใน
บัญญัติ   พวกเขาดูหมิ่นพระเยซูมาตั้งแต่ที่ทรงอยู่ในโลก พวกเขาเป็นศัตรูกับพระองค์อย่างเปิดเผย จะให้ยอมต่อพระองค์..ยากมาก!!

พระคำเชื่อมโยง

โรม 9
1* 2 โครินธ์ 1:23
2* โรม 10:1
3* อพยพ 32:32
4* อพยพ 4:22; 1 ซามูเอล 4:21; กิจการ 3:25; สดุดี 147; ฮีบรู 9:1,6 ;กิจการ 2:29; 13:32
5* เฉลยธรรมบัญญัติ 10:15; ลูกา 1:34-35; 3:23; เยเรมีย์ 23:6
6* กันดารวิถี  23:19; กาลาเทีย 6:16
7* กาลาเทีย 4:23; ปฐมกาล 21:12
8* กาลาเทีย 4:28
9*ปฐมกาล 18:10, 14

10* ปฐมกาล 25:21
11* โรม 4:14
12* ปฐมกาล 25:23
13* มาลาคี 1:2-3
14* เฉลยธรรมบัญญัติ   32:4
15* อพยพ 1:2,3
17* กาลาเทีย 3:8; อพยพ 9:16
18* อพยพ 4:21
19*2 พงศาวดาร 20:6
20* อิสยาห์ 29:16
21* สุภาษิต 16:4; 2 ทิโมธี 2:20
22* 1 เธสะโลนิกา 5:9; 1 เปโตร 2:8

23* โคโลสี 1:27; โรม   8:28
24* โรม  8:28; 3:29 
25* โฮเชยา 2:23
26* โฮเชยา 1:10
27* อิสยาห์ 10:22-23; โรม  11:5
28* อิสยาห์ 10:23; 28:22
29* อิสยาห์ 1:9; 13:19
30* โรม  4:11; 1:17; 3:21; 10:6
31* โรม  10:2-4; กาลาเทีย 5:4
32* 1โครินธ์  1:23
33* สดุดี 118:22; อิสยาห์ 8:14; 28:16; โรม 5:5; 10:11

มัทธิว 13 คลังคำอุปมา

คำอุปมาเรื่องผู้หว่าน

1  วันเดียวกันนั้น
พระเยซูเสด็จออกจากบ้านไปประทับริมทะเลสาบ(กาลิลี) 
2 มีคนจำนวนมากเข้ามารุมล้อมพระองค์ 
พระองค์จึงทรงลงไปในเรือ และประทับนั่งลง
ส่วนประชาชนยืนอยู่ริมฝั่ง
3 แล้วพระเยซูทรงใช้เรื่องอุปมา
สอนพวกเขาหลายสิ่ง พระองค์ตรัสว่า
“มีชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพันธุ์ 
4 ขณะที่เขาหว่านนั้น บางเมล็ดก็ตกลงตามหนทาง
พวกนกก็มาจิกกินไปจนหมด


5 บางเมล็ดตกลงบนพื้นที่เป็นกรวด
ซึ่งมีเนื้อดินน้อย
เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นอย่างเร็ว
เพราะดินไม่ลึก
6 แต่เมื่อแสงแดดส่องลงมา
ต้นอ่อนก็เหี่ยวแห้งไป เพราะไม่มีรากลึก
7 เมล็ดอื่น ๆ ตกลงท่ามกลางพุ่มไม้หนาม
ซึ่งเติบโตทับและทำให้ต้นพืชตายไป   
8 เมล็ดที่เหลือตกลงไปในดินดี
ซึ่งทำให้ต้นไม้เติบโตและออกผลร้อยเท่าบ้าง
หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง
9 ใครที่มีหูเพื่อฟัง ก็จงฟังเถิด 

ขอคำอธิบาย
10 พวกศิษย์ก็มาหาพระองค์ ทูลถามว่า
“เหตุใดพระองค์ท่านจึงใช้เรื่องอุปมาสอนประชาชนขอรับ?”
11 พระเยซูตรัสตอบว่า “เพราะเจ้าได้รับเลือกที่จะให้เข้าใจความลึกลับแห่งแผ่นดินสวรรค์ 
แต่มิได้ทรงให้กับพวกเขา
12 คนที่มีความเข้าใจ ก็จะได้รับมากขึ้น
และพวกเขาก็จะมีอย่างมากมาย
แต่สำหรับคนที่ไม่เข้าใจ
แม้แต่ที่เขามีอยู่น้อยนิด ก็จะถูกเอาไปจากเขา 
13 เพราะเหตุนี้ เราจึงใช้เรื่องอุปมาสอนพวกเขา
พวกเขามอง แต่ก็ไม่เห็น 
พวกเขาฟังอยู่ แต่ก็ไม่เข้าใจหรือได้ยินจริง ๆ


 

14 ซึ่งก็เป็นจริงตามที่อิสยาห์กล่าวถึงพวกเขาว่า
‘เจ้าฟังแล้วฟังเล่า แต่ก็ไม่เข้าใจ เจ้ามองดูแล้ว
มองดูเล่าแต่ก็ไม่หยั่งรู้ 
15 เพราะใจของคนเหล่านี้แข็งด้านชาไป 

พวกเขาไม่ได้ยินด้วยหู พวกเขาปิดตา
ไม่อย่างนั้นแล้ว ตาของเขาจะได้เห็น 
ได้ยินด้วยหู  และใจก็จะเข้าใจจริง ๆ
แล้วหันกลับมาหาเรา
และได้รับการบำบัดรักษาให้หาย’ อิสยาห์ 6:9-10
16 แต่ดวงตาของเจ้าเป็นสุข
เพราะเจ้ามองด้วยตา และได้ยินด้วยหู 
17 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า
ผู้เผยพระดำรัส และคนเที่ยงธรรมมากมาย
ต้องการที่จะเห็นสิ่งที่เจ้าเห็นเวลานี้ 
แต่พวกเขาก็ไม่ได้เห็น
และพวกเขาต้องการที่จะได้ยินสิ่งที่เจ้าได้ฟังตอนนี้
แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีโอกาสฟัง


ทรงอธิบายความหมาย
18 “จงฟังความหมายของเรื่องอุปมาผู้หว่าน
19 เมล็ดพืชที่ตกลงไปตามหนทางนั้น
เปรียบเหมือนคนที่ได้ยินพระคำเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าแล้วแต่ก็ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มา
และกระชากสิ่งที่หว่านลงไปในใจของเขา
20 แล้วเมล็ดที่ตกลงไปในพื้นที่มีกรวดเนื้อดินน้อยเล่า?
เมล็ดนั้นเป็นเหมือนคนที่ได้ยินพระคำแลัว
ก็รับไว้ด้วยความยินดี
21 แต่เขาไม่ยอมให้คำสอนนั้นลงลึกเข้าไปในชีวิตของเขา
ดังนั้น จึงเก็บไว้เพียงชั่วคราว เมื่อมีปัญหาเข้ามา
มีการข่มเหงเนื่องจากพระคำนั้น จึงเลิกเชื่ออย่างรวดเร็ว 


22แล้วเมล็ดที่ตกลงบนพุ่มไม้หนามเล่า? 
เมล็ดนั้นเป็นเหมือนคนที่ฟังพระคำ
แต่ปล่อยให้ความกังวลในชีวิตนี้
และการทดลองเรื่องทรัพย์สมบัติเป็นอุปสรรค
ทำให้ไม่อาจเติบโตได้
23 ส่วนเมล็ดพืชที่ตกลงบนดินดี
เมล็ดนั้นเป็นเหมือนคนที่ได้ยินพระคำและเข้าใจ
และเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่า
ของที่ได้หว่านลงไป

คำอุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์ดีและวัชพืช 
24 แล้วพระเยซูเล่าเรื่องอุปมาอีกว่า
“แผ่นดินสวรรค์มาเป็นเหมือน
คนที่หว่านเมล็ดพันธุ์ดีลงในทุ่งของตน
25 แล้วคืนนั้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ 
ศัตรูของเขาก็เข้ามาหว่านวัชพืชปนไปกับข้าวดี 
แล้วก็จากไป
26 ต่อมาเมื่อข้าวดีงอกขึ้นออกรวง
วัชพืชก็โตขึ้นเช่นกัน 
27  คนรับใช้ของเขาจึงมาหาและกล่าวว่า
‘นายท่านหว่านข้าวดีไว้ในนามิใช่หรือขอรับ?

แล้ววัชพืชมาจากไหนกัน?’
28 เขาตอบว่า ‘มีศัตรูเข้ามาทำ’
‘แล้วนายท่านจะให้พวกเราไปถอนทิ้งไหม?’  
29 เขาตอบว่า ‘อย่าทำอย่างนั้น
เพราะหากเจ้าถอนวัชพืชออก
เจ้าก็อาจจะถอนข้าวสาลีออกไปด้วย 
30 ปล่อยให้ทั้งวัชพืชและข้าวสาลีขึ้นไปพร้อม ๆ กัน
จนถึงเวลาเกี่ยว
แล้วเราจะบอกให้คนเกี่ยวเก็บนั้น เก็บวัชพืชไปก่อน
แล้วจึงจะเก็บรวบรวมข้าวสาลีมาไว้ในยุ้งฉางของเรา’”

คำอุปมาเรื่องเมล็ดพันธ์มัสตาร์ดและเชื้อขนม
31 แล้วพระเยซูก็ทรงเล่าเรื่องอุปมาอีกเรื่อง
“แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด
ที่ชายคนหนึ่งเพาะในผืนนาของเขา
32 แม้ว่าเมล็ดนั้น เล็กกว่าเมล็ดพันธุ์อย่างอื่น  
แต่เมื่อมันงอกเ ติบโตขึ้น
มันก็กลายเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าพืชชนิดอื่น ๆ ในผืนนา
กลายเป็นต้นที่ฝูงนกมาสร้างรังบนกิ่งของมัน 


33 แล้วพระเยซูก็ทรงเล่าอุปมาอีกเรื่องว่า
“แผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนเชื้อขนมปัง
ที่ผสมลงไปในแป้งสามถังจนแป้งฟูขึ้นทั้งก้อน”
(ลูกา 13:20-21)
34 พระเยซูทรงใช้คำอุปมาเล่าเป็นเรื่องให้กับประชาชน พระองค์ไม่ได้ตรัสสอนอย่างอื่นเลย นอกจากเป็นเรื่องอุปมา   35 เพื่อให้เป็นไปตามที่ผู้เผยพระดำรัสได้กล่าวไว้ว่า
‘เราจะกล่าวเป็นเรื่องอุปมา
เราจะบอกสิ่งที่ลี้ลับตั้งแต่ครั้งที่ทรงสร้างโลก’”( สดุดี 78:2)  



คำอธิบายอุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์ดีและวัชพืช
36 แล้วพระเยซูทรงละจากประชาชน เข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ศิษย์ก็ทูลพระองค์ว่า
“ขอทรงอธิบายความหมายของ
อุปมาเรื่องวัชพืชด้วยขอรับ”
 37 พระเยซูตรัสตอบว่า
“ชายคนที่หว่างเมล็ดดีลงไปนั้นคือบุตรมนุษย์
38 ผืนนานั้นก็คือ โลกนี้ 
และเมล็ดพันธุ์ที่ดีนั้นคือลูก ๆ ของแผ่นดินพระเจ้า 
เมล็ดวัชพืชคือผู้คนที่เป็นของมารร้าย
39 ศัตรูที่มาหว่านวัชพืชก็คือมารนั่นเอง
เวลาเก็บเกี่ยวหมายถึงวันสิ้นยุค
และคนงานที่เก็บเกี่ยวคือ ทูตสวรรค์ของพระเจ้า
 40 “วัชพืชถูกถอนรากขึ้นมาและถูกเผาในไฟอย่างไร สถานการณ์วันสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น

 41 บุตรมนุษย์จะส่งทูตสวรรค์ของพระองค์ออกไป
และพวกเขาจะรวบรวมสิ่งที่เป็นต้นกำเนิดบาป
และกำจัดคนทำชั่วออกจากแผ่นดินของพระองค์ 
42 เหล่าทูตสวรรค์จะโยนพวกเขาลงไปในเตาไฟที่ลุกไหม้
ที่นั่นจะมีการร้องไห้ ขบกัดฟันด้วยความเจ็บปวด
 43 แล้วคนเที่ยงธรรมจะส่องแสง
เหมือนกับดวงอาทิตย์ในแผ่นดินของพระบิดาของพวกเขา
คนใดที่มีหู จงฟังเถิด” 



รื่องอุปมาถึงทรัพย์สมบัติกับไข่มุก
44 “แผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนทรัพย์สมบัติที่ถูกฝังไว้ในทุ่ง  ชายคนหนึ่งได้พบทรัพย์เหล่านั้น เขาจึงฝังไว้ในทุ่งอย่างเดิม เขามีความสุขมากจึงขายทุกสิ่งที่มีอยู่เพื่อไปซื้อทุ่งนั้น 


45 “ เช่นกัน แผ่นดินสวรรค์
เป็นเหมือนพ่อค้าที่ตามหาไข่มุกชั้นดี 
46 เมื่อเขาได้พบไข่มุกที่มีค่าล้ำ
เขาก็ไปขายทุกสิ่งที่มีอยู่ เพื่อซื้อไข่มุกนั้น50 ทูตสวรรค์จะโยนคนชั่วลงในเตาไฟที่กำลังไหม้อยู่ ที่นั่นผู้คนจะร้องและขบกัดฟันของตนด้วยความเจ็บปวด 
(ดูดาเนียล 3:11,19-30,42)
51 พระเยซูตรัสถามศิษย์ของพระองค์ว่า “เจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือไม่?” เขาตอบว่า “เข้าใจแล้วขอรับ”
52  แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า
“ดังนั้น ธรรมาจารย์ทุกคน
ที่ได้รับการเรียนรู้เรื่องแผ่นดินสวรรค์
ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่นำทั้งสิ่งใหม่และสิ่งเก่า
ออกมาจากคลังของตน”

อุปมาเรื่องอวนลากจับปลา
47 “เช่นกัน แผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนอวนลากจับปลา ที่ถูกโยนลงในทะเล และจับปลาได้หลายชนิดปนกันอยู่
 48 เมื่อปลาเต็มอวน ชาวประมงจะลากอวนขึ้นฝั่ง พวกเขานั่งลงและเลือกเอาปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาที่ไม่มีค่าก็จะโยนทิ้งไป
49 ในวันสิ้นยุคก็จะเป็นเช่นนี้ ทูตสวรรค์จะมาและแยกคนชั่วออกจากคนเที่ยงธรรม 


กลับไปยังบ้านเมืองที่ทรงเติบโตมา
53 เมื่อพระเยซูทรงสอนเสร็จแล้ว ก็เสด็จออกจากที่นั่น
54 พระองค์ทรงกลับไปยังบ้านเมืองที่ทรงเติบโตขึ้นมา (นาซาเร็ธ 2:23 ลูกา 2:39) ทรงเข้าไปสอนประชาชนในศาลาธรรม จนพวกเขารู้สึกประหลาดใจและกล่าวกันว่า “ชายคนนี้ได้สติปัญญาและฤทธิ์อำนาจทำการอัศจรรย์มาจากไหนกัน?
55 เขาเป็นแค่ลูกชายของช่างไม้ และมารดาคือมารีย์ น้องชายของเขาคือยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาสมิใช่หรือ?
56  น้องสาวของเขาทุกคนก็อยู่กับเรานี่นา  แล้วเขาได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหนกันนะ? ”
57  และพวกเขาจึงไม่พอใจพระองค์ แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ผู้เผยพระดำรัสจะได้รับเกียรติในทุกแห่ง ยกเว้นในเมือง และครอบครัวที่เขาเติบโตขึ้นมา”
58 ดังนั้นพระองค์จึงไม่ได้ทำการอัศจรรย์ที่นั่นมาก เพราะพวกเขาไม่มีความเชื่อ
 


อธิบายเพิ่มเติม

พระเยซูทรงเล่าคำอุปมาหลายเรื่องเป็นครั้งที่สามในมัทธิว  คำอุปมาเป็นคำสอนเรื่องฝ่ายวิญญาณโดยใช้เรื่องราวมาเล่าเปรียบเทียบให้ผู้ฟังได้เข้าใจง่ายขึ้น แทนที่จะสอนเป็นคำสอนตรง ๆ  อย่างเช่นเรื่องผู้หว่านเมล็ดพืชนี้ พระเยซูอาจจะเพียงบอกว่าคนเรามีหลายแบบ พวกฟังแล้วก็ลืม พวกที่ฟังแล้วก็ไม่สนใจเพราะต้องทำงานหรือมีเรื่องอื่น ๆ ฯลฯ อย่างนี้เป็นต้น แต่เหตุผลที่พระองค์ทรงใช้เรื่องราวนั้นแปลก พระองค์บอกว่า ความลึกลับของสวรรค์ ไม่ได้มีให้ทุกคน (11-12)  คนที่ไม่เข้าใจ ก็จะไม่เข้าใจอยู่นั่น ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เขาไม่สนใจท่ีจะเข้าใจ  ส่วนคนที่เข้าใจ ก็จะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เมื่อเขาตั้งใจตามหาความหมายของเรื่อง

นี่เป็นอุปมา เรื่องเล่าที่จะช่วยให้คนเข้าใจความลึกลับแห่งแผ่นดินสวรรค์
1. อุปมาเรื่องผู้หว่าน คนที่รับพระคำมีสี่แบบ
2. อุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์ดีและวัชพืช คนของพระเจ้า และคนของมารที่เติบโตไปด้วยกัน
3.อุปมาเรื่องเมล็ดพันธ์มัสตาร์ด ต้นมัสตาร์ดใหญ่ที่แปลกไปจากปกติ
4. อุปมาเรื่องเชื้อขนม เชื้อร้ายที่แพร่ไปในหมู่คนของพระเจ้า
5.อุปมาถึงทรัพย์สมบัติ ผู้ที่ยอมเสียทุกอย่างเพื่อทรัพย์ที่ถูกฝังไว้

6.อุปมาเรื่องไข่มุก ผู้ที่ยอมเสียทุกอย่างเพื่อไข่มุกที่เขาเห็นคุณค่า
7. อุปมาเรื่องอวนลากจับปลา การแยกความแตกต่างของคนที่ฟังกับคนที่ไม่ฟังพระเจ้า

8. อุปมาสั้น ๆ เรื่องเจ้าของบ้าน เมื่อเข้าใจก็ต้องรับผิดชอบ

13:1-2 จากบ้าน พระเยซูทรงตรงไปยังทะเลสาบ และที่นั่น มีเรือลำเล็ก ๆ อยู่ พระองค์ทรงลงไปประทับนั่งในเรือ ไม่ใช่เพื่อชมวิว แต่พระองค์ทรงสอนจากเรือเล็ก ๆ ลำนั้นพระองค์กำลังจะเล่าคำอุปมาให้กับประชาชนฟัง

13:3-9 วันนี้ทรงเล่าเรื่องผู้หว่านเมล็ดพันธุ์พืช
เมื่อหว่านพืช เมล็ดพืชก็อดไม่ได้ที่จะปลิวไปยังดินที่ผู้หว่านไม่ได้ตั้งใจ เขาตั้งใจว่า มันต้องตกในดินดีทั้งหมด แต่กลับเจอดินทั้งหมดสี่ชนิด
คือ ดินตามทาง ดินกรวด ดินมีต้นหนามและดินดี. เมล็ดตกตามกรวด มีดินบ้าง เมล็ดงอกได้ แต่ดินไม่ลึกจึงโตไม่ได้ เหี่ยวแห้งไป เพราะแดดส่องไม่ถึง
บ้างตกลงไปในพุ่มหนาม โตเป็นต้นเต็มที่ไม่ได้ ถูกต้นหนามรัดไว้ ส่วน เมล็ดที่ตกลงไปในดินดี เกิดผลหลายเท่าตามแต่ที่จะเกิด 
พระองค์ทรงอธิบายชัดว่า เกิดอะไรขึ้นกับเมล็ดที่ตกลงในดินที่ต่างชนิดกันแล้วพระเยซูทรงจบอุปมาเรื่องนี้ ด้วยคำว่า “ใครมีหูก็จงฟัง”

ขอคำอธิบาย
13:10-11 ศิษย์ของพระเยซูสงสัยว่า ทำไมพระเยซูทรงเล่าเรื่องอุปมา พวกเขาคงคิดว่า มันเป็นการยากที่จะแปลความหมายถ้าพระเยซูไม่ทรงแปลให้
ที่สรุปได้คือ การสอนเป็นคำอุปมานั้น ผู้สอนก็ต้องการทั้งปิดบัง(11) และเปิดเผย ความลึกลับของแผ่นดินสวรรค์ในเวลาเดียวกัน (13) เป็นการสอนหรือเทศนาแบบเดียวกับที่อิสยาห์เคยทำมาก่อน

13:12-13 การที่เราตอบสนองพระคำของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงอวยพระพรให้เราได้มากขึ้น เข้าใจขึ้น เกิดผลในชีวิตอย่างเห็นได้ชัด
เป้าหมายของพระเยซูคือ เปิดเผยความจริงของพระเจ้าต่อคนที่แสวงหา และปิดบังจากคนที่หันไปจากพระองค์

13:14-15 อิสยาห์เคยเตือนประชาชนถึงการลงโทษที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขาหากไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า แล้วอิสยาห์ก็พบว่า พวกเขาฟังเท่าไรก็ไม่เข้าใจ มองก็ไม่เห็น พวกเขาใจแข็งกับพระเจ้า พวกเขาได้ยินแต่ก็แค่ฟังผ่าน ๆ ซึ่งตรงนี้ คนสมัยใหม่อย่างเราต้องระวังมาก โทรศัพท์มือถือของเรานั้น ทำให้เราได้ฟังอะไรมากมาย ดูอะไรเยอะแยะ แต่แล้วเราก็ลืมไปง่าย ๆ ซึ่งเป็นผลดีหากสิ่งที่เราดูนั้นเป็นสิ่งที่ควรจะลืมไป แต่หากเราฟังเทศนา ฟังพระคำของพระเจ้า ฟังเสร็จลืมเลย นี่ก็น่าเป็นห่วง …
และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคนไม่ปิดหูปิดตา คนที่ตั้งใจฟัง เขาจะเห็น เขาจะได้ยิน และเข้าใจ และกลับมาหาพระเจ้า … พระเจ้าจะทรงบำบัดรักษา
พระคำตอนนี้ มีเพื่อเราในยุคใหม่ ตรงจุดที่เรากำลังเผชิญ!

13:16-17 คนที่อยู่ในยุคของพระเยซู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าศิษย์ที่ติดตามอย่างใกล้ชิดนั้น นับได้ว่า พวกเขาได้รับพระพรเกินกว่าใคร ๆ
พวกเขาได้อยู่ต่อพระพักตร์พระเมสสิยาห์ พระองค์ผู้ที่ชนอิสราเอลโบราณกว่าพวกเขาเฝ้ารอคอยและอยากเห็น อยากฟัง
เวลานั้นพวกเขาจะเข้าใจสิ่งที่พระเยซูตรัสหรือไม่ พวกเราซึ่งอยู่ในอนาคตก็อยากอยู่ตรงนั้นเหมือนพวกเขาเช่นกัน!

ทรงอธิบายความหมายความลึกลับของแผ่นดินสวรรค์
13:18 แล้วพระเยซูก็ทรงแปลความหมายอุปมาผู้หว่าน และเรื่องแรกนี้จะเป็นพื้นฐานทำให้เข้าใจเรื่องต่อไปง่ายขึ้นว่า สิ่งที่อยู่ในเรื่องนั้นมีความหมายอย่างไร

13:19 เมล็ดพืชนั้นอาจหมายถึงทั้ง พระคำของพระเจ้า พระกิตติคุณ หรือ แม้กระทั่งพระเยซูคริสต์เอง (พระองค์ทรงถูกฝัง และทรงคืนชีพขึ้นมา มีชีวิตคืนมาด้วยพลังยิ่งใหญ่ การสิ้นพระชนม์และการคืนพระชนม์นั้น เปรียบได้กับเมล็ดที่ต้องตาย เน่าเปื่อย จึงจะได้ชีวิตขึ้นมาผู้ที่ติดตามพระเยซูในยุคแรกนั้น ได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาจึงเกิดผลมาก) เราอ่านไปจริง ๆ แล้ว ดูเหมือนพระเยซูจะทรงเน้นเรื่องคุณภาพของดิน นั่นคือ หัวใจของผู้รับพระคำสี่แบบ เรื่องนี้จะช่วยเปลี่ยนใจของเราให้เป็นดินดีได้อย่างไร
เมล็ดพืชริมหนทางนั้น เป็นดินตามหนทางที่แข็งมาก คือพระคำที่ไปเจอกับคนที่ไม่เข้าใจ ผู้หว่านได้หว่านให้ทุกหูที่อยู่ ณ ที่นั้นได้ยินพระคำ แต่มีศัตรูมาฉกเอาพระคำนั้นไป ในมาระโก 4 บอกว่า นกมาจิกกิน ในเรื่องอุปมาที่พระเยซูเล่า นกนั้นมีความหมายถึงศัตรูของพระเจ้า เราพบกับตัวเองเสมอเมื่อเป็นพยานเรื่องพระเยซู คนที่เป็นดินแข็ง ใจแข็ง ก็จะทำแค่รับเออ เออ แต่เขาจะไม่รับพระคำของพระเจ้าเลย
มีคำถามว่า จะให้ดินแข็งกลายเป็นดินดีได้ไหม? ต้องได้สิ จำในหลวง ร.9 ของเราที่ทรงแกล้งดินด้วยวิธีต่าง ๆ … ในชีวิตฝ่ายวิญญาณ เราต้องมาหาองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ขอพระเจ้าทรงเปลี่ยนเราจากความเป็นดินแข็งให้กลายเป็นดินดี

13:20-21 เมล็ดตกพื้นกรวด ดินน้อย ก็คือ คนที่รับพระคำอย่างยินดี เวลานั้นเขาอาจมีความทุกข์ใจอะไรบางอย่าง พอพระคำของพระเจ้ามาถึงหู ก็เหมือนเป็นคำตอบสำหรับชีวิต หรือบางคนกำลังแสวงหาพระเจ้า พอได้ยินก็รู้สึกว่าใช่ … แต่เวลาผ่านไป ความตื่นเต้นนั้นจึดจาง คนรัก คนในครอบครัวไม่พอใจที่เขามาพบพระเจ้า เขาก็สวัสดี ลาจากพระองค์ไป เพราะเขาไม่อาจละทิ้งชีวิตเดิมได้
จะแก้ได้ก็โดยตระหนักว่า พระเจ้าทรงอยู่กับเราในทุกสถานการณ์ของชีวิต ไม่ว่าจะสุขล้ำ หรือทุกข์หนัก .. เราต้องเข้ามาด้วยถ่อมใจ รู้ว่า ทางของพระเจ้าดีที่สุด ไม่ว่าจะเห็นหรือไม่ ขอพระเจ้าทรงเปลี่ยนใจเราให้รักพระองค์มากกว่าสิ่งใดในโลกนี้

13:22 เมล็ดตกบนพุ่มไม้หนาม บางคนเรียกใจที่ถูกแบ่ง เขาได้ฟังพระคำแล้ว รับแล้ว แต่ว่ายังมีเรื่องต้องคิด ต้องกังวล เรื่องงาน ความก้าวหน้า
ต้องหาเงินเลี้ยงครอบครัว ท่วมสมอง ท่วมชีวิต เหล่านี้ทำให้แทบหายใจไม่ออก ความกังวลทับถม ไม่อาจเชื่อพระสัญญาที่พระเจ้าสอนให้วางใจพระองค์ในเรื่องนี้ได้ ดังนั้นสิ่งต่าง ๆ ที่มาแบ่งใจเราไปจากพระเจ้าจึงช่วยสนับสนุนให้ออกจากทางของพระเจ้าไป หรืออาจจะยังอยู่ในชุมชนของพระเจ้าแต่ไม่ได้โตขึ้นเลย เป็นเด็กฝ่ายวิญญาณอย่างไร ก็คงโตแค่นั้น ไม่สามาถโตไปได้มากกว่านี้
หนามเหล่านี้ พระเจ้าทรงเอาออกให้ได้ ดิน..คือเรา ต้องขอพระเจ้า และขอพลังให้เราพ้นผ่านหนามต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อชีวิต

13:23 เมล็ดที่ตกในดินดี ไม่ได้หมายถึงตกในคนทำความดี หรือคนใจกว้าง ใจดี แต่ตกในใจที่ฟัง ตั้งใจฟัง เป็นหูที่ได้ยิน เก็บเข้าไปคิด และรู้ว่า ตนเองต้องการพระวจนะของพระเจ้า คนที่เป็นดินดี คือคนที่ได้ยินและ เข้าใจ และแน่นอนต้องมาจากใจที่ถ่อมลง ยอมฟังพระคำ บางคนที่อายุมาก คิดว่าตัวเองเก่ง รู้หมดแล้ว ก็เลยไม่ฟังคนที่อายุน้อยกว่าพูดพระคำของพระเจ้า บางคนคิดว่าตัวเองจบสูงมาก จะไปฟังนักเทศน์เพิ่งจบทำไมเป็นต้น เราต้องถ่อมตนต่อพระคำของพระเจ้า เราอาจจะได้ยิน ได้เข้าใจในสิ่งที่ตัวคนพูดยังไม่ได้คิดถึงเสียด้วยซ้ำ เมื่อพระเจ้าจะประทานความคิด ความเข้าใจนั้น มันจะล้ำมาก มากกว่าที่เราจะคิดได้เอง
ดังนั้น ดินดีคือดินที่รับพระคำ มีความเข้าใจว่าสิ่งที่ได้ยิน ตรงกับน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ … และผลที่ตามมานั้นยอดเยี่ยม คือเมล็ด พลังแห่งพระคำของพระเจ้า จะหยั่งรากในดินนี้ และจะเกิดผลหลายสิบเท่า หรือหลายร้อยเท่าของที่หว่านลงไป
แล้วตัวอย่างก็ชัดเจน ทุกหูที่ฟังอย่างตั้งใจ ถ่อมใจ คริสตจักรยุคแรก จากผู้คนที่ตั้งใจฟังพระเยซูและได้รับฤทธิ์แห่งชีวิตจากพระองค์ ก้าวออกไปสู่โลกกว้างที่พวกเขาไม่เคยไปมาก่อน แล้วเกิดผลมากจนทุกวันนี้

และต่อไปจากนี้จนถึงเรื่องสุดท้าย พระเยซูคริสต์ทรงเปิดเผยบางอย่างที่ยิวไม่เคยรู้มาก่อน พวกเราอ่าน และเข้าใจในฐานะที่เป็นคริสตจักรทันที แต่ในสมัยพระคัมภีร์เดิม และช่วงชีวิตของพระเยซูนั้น ไม่มีใครเข้าใจคำว่าคริสตจักรเลย นี่เป็นความลึกลับของแผ่นดินสวรรค์ ซึ่งมารไม่รู้มาก่อน พวกเขาที่ได้ยินเรื่องทั้งหมดก็งุนงงกับสิ่งที่พระเยซูตรัสสอน

คำอุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์ดีและวัชพืช 
13:24 -26 แล้วพระเยซูก็ตรัสว่า แผ่นดินสวรรค์มาเป็นเหมือน นี่เป็นคำที่สำคัญเพราะบ่งบอกว่า มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในแผนการของพระเจ้า
ทำไมล่ะ … เพราะมีอิสราเอลไม่ยอมรับพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พวกเขาเองรอคอย เกิดอะไรขึ้นกับแผนการของพระเจ้า
ชาวสวนท่านนี้ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดีในทุ่ง (ต้นเรื่องคล้ายกับพระเจ้าที่ทรงปลูกองุ่นดี แล้วมันกลายเป็นองุ่นเปรี้ยวในอิสยาห์ 5 ) เมล็ดดีคำนี้ กรีกว่า σῖτος สิโตส หมายถึงธัญพืชหรือข้าวสาลี ส่วนวัชพืช ภาษาไทยคือ พืชที่ไม่ต้องการ ต้องทิ้งไป กรีกว่า ζιζάνια ซิซาเนีย เป็นวัชพืชที่ตอนต้นเล็กจะหน้าตารูปร่างเหมือนข้าวสาลีไม่มีผิด จนกระทั่งเริ่มออกรวงก็จะเห็นว่ามีความแตกต่างกันอย่างมากในการออกรวง รากของทั้งสองที่เกิดมาพร้อม ๆ กันก็จะพันกันในดิน ยากที่จะเอาออกจากกัน
ศัตรูที่เข้ามาหว่านเมล็ดวัชพืชก็ไม่ได้หว่านริม ๆ ขอบ ๆ ไร่นา แต่หว่านปนไปตามพื้นที่ ๆ เจ้าของไร่หว่านอยู่แล้ว

13:27-29คนรับใช้ได้มาแจ้งนายว่า พวกเขาเห็นวัชพืชโตไปพร้อมกับข้าวสาลี เกิดอะไรขึ้นกัน นายรู้ว่า มีศัตรูเข้ามาหว่านวัชพืช คนรับใช้ถามทันทีว่าให้ถอนทิ้งหรือไม่ .. จะให้ทำลายคนของโลกไปทันทีเลยหรือไม่ แต่เราจะเห็นว่า เจ้าของไร่ให้รอ… เขาจะแยกมันออกทีหลัง การทำลายวัชพืชอาจไปทำลายข้าวดีไปพร้อมกันโดยไม่จำเป็น พระเจ้าทรงอนุญาตให้คนของพระองค์อยู่ในโลกไปพร้อม ๆ กับคนที่ปฏิเสธพระองค์

13:30 เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว เจ้าของไร่จะให้คนรับใช้แยกวัชพืชกับข้าวดีออกจากกัน เอ… เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องไปต่อที่ข้อ 36-43

คำอุปมาเรื่องเมล็ดพันธ์มัสตาร์ดและเชื้อขนม
13:31-32 แล้วพระเยซูก็ทรงเปรียบเทียบแผ่นดินสวรรค์กับเมล็ดมัสตาร์ดที่ถูกเพาะขึ้น (การแปลความหมายของเรื่องนี้ จะแตกต่างจากที่เคยได้ยินขอให้ผู้อ่านพิจารณาเอง ที่นิยมแปลกันคือ พระคำของพระเจ้าเริ่มจากจุดเล็ก ๆ และเติบใหญ่จนมีคนเข้ามาพักพิงในพระเจ้าเป็นจำนวนมาก )
เมล็ดมัสตาร์ดนั้น เล็กกว่าเมล็ดอื่นก็จริง แต่เมื่อเติบโตมันจะเป็นไม้พุ่ม จึงไม่โตมาก แต่จะมีบางพันธุ์ที่สูง 12-15 ฟุต แต่ก็ยังเป็นไม้พุ่มที่ไม่อาจรับน้ำหนักนกเยอะ ๆ ได้ การกลายเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าต้นอื่น ๆ นับได้ว่า ผิดปกติของต้นมัสตาร์ด และพระเยซูยังตรัสว่า มีฝูงนกมาสร้างรังบนกิ่งของมัน และพระองค์ไม่ได้แปลความหมายของอุปมาเรื่องนี้ เราจึงต้องพยายามหาคำอธิบายที่ตรงกันกับความหมายของพระเยซูจากเรื่องอื่น ๆ
ถ้าเราจะดูจากคำอุปมาเรื่องดินสี่ชนิดนั้น เราจะพบว่า พระเยซูทรงเปรียบนกว่าเป็นศัตรูที่มาจิกเอาพระวจนะออกไป นั่นคือซาตานโดยตรง (จากมาระโก 4 ) ต้นไม้มักมีความหมายถึงอำนาจของโลก
เราจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในโลกนี้คือ มีคริสตจักร กลุ่มผู้เชื่อ นิกาย มากมายที่อ้างว่าตนเองเป็นคริสเตียน แต่ในคำสอนของพวกเขาก็ยังมีความตั้งใจที่จะสอนผิด เป็นความจงใจที่จะต่อต้านพระคำของพระเจ้า
อย่างเช่นพยานพระยะโฮวา มอร์มอน ยังมีคนสอนผิดอยู่ดาษดื่นในสังคม แต่อ้างพระเยซู พวกนี้เป็นเหมือนนกที่มาทำรังเพื่อทำลายแผ่นดินของพระเจ้า

13:33 ส่วนอุปมาเชื้อขนมปังก็เป็นเหมือนกัน คำว่าเชื้อขนมปังนี้ สื่อให้เห็นถึงเชื้อคำสอนที่แตกต่างจากพระเจ้า และเมื่อใดที่เรายอมให้เข้ามาอยู่ในชุมชนผู้เชื่อโดยไม่ตรวจสอบ เชื้อนั้นก็จะแพร่ไปเป็นเนื้อร้ายเพื่อทำลายชุมชนของพระเจ้า

13:34-35 สดุดี 78:2 อาสาฟได้กล่าวล่วงหน้าว่า พระเยซูจะทรงสอนเป็นคำอุปมา ซึ่งเห็นภาพชัดเจนในบทนี้ ที่จริง น่าสงสัยเหมือนกันว่า ในยุคของพระองค์นั้น จะมีกี่คนที่เข้าใจคำอุปมาเหล่านี้จริง ๆ

คำอธิบายอุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์ดีและวัชพืช
13:36 จากนั้น พระเยซูก็ทรงเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ส่วนศิษย์ก็อดไม่ได้เพราะยังคาใจในความหมายของเมล็ดพันธุ์ดี และวัชพืช พวกเขาขอให้พระองค์อธิบายความ

13:37 ครั้งนี้น่าสนใจมาก เพราะพระองค์ทรงบอกว่า ชายที่หว่านเมล็ดดีคือ พระองค์เอง และทรงเรียกพระองค์เองว่า บุตรมนุษย์ (ซึ่งเป็นคำที่มาจากหนังสือดาเนียล 7:13-14 มีความหมายถึงพระเจ้าที่ทรงลงมาเป็นพระเมสสิยาห์ ทุกคนที่เป็นธรรมาจารย์ คนเรียนพระคัมภีร์เดิมจะเข้าใจดีว่า คำว่าบุตรมนุษย์หมายถึงพระเจ้า นี่เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้พวกฟาริสี ธรรมาจารย์โกรธพระองค์)

13:38 บุตรมนุษย์ได้ประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับผู้ที่เชื่อวางใจ แต่คนที่ไม่เชื่อนั้นเป็นคนของมาร เมื่อถึงวันสุดท้าย พระเจ้าจะทรงส่งทูตสวรรค์มาคัด แยกคนสองประเภทนี้ออกจากกันอย่างชัดเจน

13:39-42 มารเองก็ได้หว่านผู้คนที่ชั่วร้ายไว้บนโลกเช่นกัน ผู้คนที่หลงตามมารไปมีมากมาย ท่วมท้นในโลกนี้ แต่พวกเขาที่ดึงดัน ดื้อดึงต่อพระเจ้า พวกเที่พยายามบีบคั้น เคี่ยวเข็ญผู้เชื่อ ใช้อำนาจบาทใหญ่กับคนของพระองค์ จะถูกทูตสวรรค์เก็บเกี่ยวไป และถูกกำจัดไปจากแผ่นดินของพระองค์ และพวกเขาจะถูกโยนลงเตาไฟที่ลุกไหม้ ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งพระเยซูตรัสถึงหลายต่อหลายครั้ง

13:43 พระเยซูทรงมาสรุปว่า คนของพระองค์จะส่องแสงราวดวงอาทิตย์ เหมือนอย่างที่เขียนไว้ใน ดาเนียล 12:3

รื่องอุปมาถึงทรัพย์สมบัติกับไข่มุก
13:44 -46 อุปมาทั้งสองเรื่องนี้ มีความหมายอันเดียวกัน และที่เคยแปลมาก็อาจจะต้องมาทบทวนใหม่อีกที เรามักแปลกันว่า มนุษย์มาพบพระเจ้าแล้วก็ดีใจ สละทุกสิ่งที่มีอยู่เพื่อตามพระเจ้า แต่สิ่งที่เราเห็นจากทั้งสองเรื่องนี้คือ ชายคนที่พบสมบัติและไข่มุกนั้นมีความสุขมากที่ค้นพบสิ่งที่มีค่าในสายตาของเขา เขาเห็นค่าของทั้งสองสิ่งนั้น จากนั้นเขาก็ขายทุกสิ่งที่มีอยู่เพื่อจะได้สิ่งที่มีค่านี้มา
ความเห็นที่ค้านจากการแปลความหมายแบบเดิมคือ
1. พระเยซูไม่ใช่ทรัพย์หรือไข่มุกที่ถูกซ่อนไว้ พระเยซูทรงเป็นผู้มีชื่อเสียง
โลกตะวันตกต่างรู้จักพระองค์กันทั้งนั้น
2.ถ้าเป็นมนุษย์ทั่วไปแล้ว ไม่แสวงหาพระเจ้า.. “ไม่มีสักคนเดียวที่มีความเที่ยงธรรม ไม่มีแม้แต่คนเดียว ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า“(โรม 3:10-11) ดังนั้นชายคนนี้จึงไม่ใช่คนทั่วไป
3. พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อซื้อคนบาปทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์กลับไปเป็นของพระเจ้า .. พระองค์คือผู้ที่เห็นคุณค่าของมนุษย์ที่ทรงสร้างมา แม้ว่าเขาเป็นคนบาป แต่เมื่อเขายอมเชื่อวางใจพระองค์ เขาจึงมีค่าขึ้นมาได้เพราะพระเจ้าทรงสร้างเขามา
** อย่างไรก็ดี ยังมีความเห็นอื่นของผู้อธิบายพระคัมภีร์ว่า ชายที่ค้นพบขุมทรัพย์และไข่มุกคือ เหล่าศิษย์ของพระเยซู ที่จะต้องสละชีวิตของพวกเขาทั้งสิ้น
เพื่อที่จะได้แผ่นดินของพระเจ้ามา

อุปมาเรื่องอวนลากจับปลา
13:47-48 พระเยซูยังทรงเปรียบแผ่นดินสวรรค์เหมือนอวนลาก (ใช้เรือสองลำลากอวนเข้าฝั่ง) ในอวนที่จับปลามานั้น ได้ปลามาหลายชนิด เมื่อถึงฝั่ง ก็จะทำการเลือกปลาดี ปลาไม่ดีก็ทิ้งไป

13:49-51 แล้วพระเยซูก็ทรงกล่าวถึงวันสุดท้ายของโลก ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะมาเป็นผู้แยกคนที่เชื่อ กับคนที่ไม่เชื่อ และคนที่ไม่เชื่อจะถูกโยนลงในนรก! ณ ที่นั้น คนทั้งหลายจะร้องเสียงดัง ขบฟันด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่ง เท่ากับว่า อุปมาเรื่องนี้ พระเยซูทรงเล่าและแปลความหมายให้พร้อม ๆ กันไป และพระองค์ทรงถามศิษย์ว่า เขาใจหรือไม่ … พอพวกเขาตอบว่าเข้าใจ พระองค์ก็ทรงบอกอุปมาสั้น ๆ อีกเรื่อง !

13:52 คนใดที่เข้าใจแล้ว เขาก็เหมือนผู้รู้ เป็นอาจารย์แล้ว เข้าใจเรื่องของแผ่นดินสวรรค์ จากนั้น พวกเขาจะต้องรับผิดชอบในการนำสิ่งใหม่ และเก่าที่เคยเรียนรู้มา แบ่งปันให้กับผู้คน จะเก็บเอาไว้ในใจคนเดียวไม่ได้ ต้องแบ่งปัน เพราะนั่นคือ หน้าที่ของคนที่รู้!

กลับไปยังบ้านเมืองที่ทรงเติบโตมา
ตอนนี้ พระเยซูทรงพบการต่อต้านจากคนที่บ้านเกิดและในบทต่อไปจากผู้ปกครองที่ส่งมาจากโรมด้วย แม้ประชาชนจะติดตามพระองค์ แต่ก็ไม่ได้ไกล เพราะพวกเขายากจน ไม่อาจเดินทางไปไกล ๆ กับพระองค์ได้  หลังจากที่สอนจนช่ำพระทัยแล้ว พระองค์ก็เสด็จออกจากที่นั่น

13:53 พระองค์ทรงกลับไปบ้านเกิดและทรงเข้าไปสอนในธรรมศาลา ไม่ได้ประทับสอนใต้ต้นไม้ หรือในบ้านใครคนที่ฟังต่างประหลาดใจเพราะพระองค์ทรงปัญญา และทรงฤทธิ์ทำการอัศจรรย์ต่อหน้าพวกเขาด้วย … ตรงนี้เราเห็นว่า คนยอมรับพระปัญญาที่ยิ่งใหญ่   แต่ไม่ยอมรับพระองค์

13:55-56  คำตอบนั้น มาพร้อมกับความรู้สึกเหยียดหยาม ชิงชัง  พระเยซูเป็นคนในครอบครัวช่างไม้  ไม่ได้ร่ำรวย ใหญ่โต แต่เป็นครอบครัวธรรมดามาก ๆ  และพระคำตอนนี้ทำให้เรารู้ว่า โยเซฟกับมารีย์ได้มีลูกสาว ลูกชายต่อมา อย่างน้อยก็มีน้องชายของพระเยซูอีก สี่คน เราไม่ทราบว่า น้องสาวมีกี่คน  (คาธอลิกเชื่อว่า มารีย์เป็นสาวพรหมจารีตลอดไป

13:57. เมื่อสืบสาวราวเรื่องว่า พระองค์ทรงเป็นใครในเมือง … พวกเขาก็ไม่พอใจที่จะฟังคำของพระองค์  ทั้งที่รู้ว่า พระองค์ทรงมีสติปัญญาล้ำ มีฤทธิ์เหนือธรรมชาติ แต่..มนุษย์ก็คือมนุษย์ พวกเขาพอใจที่จะเหยียดคนอื่น และเห็นว่าตนเองดีกว่าเสมอ.  และพระเยซูเองก็ทรงยืนยันตามนั้น 

13:58  ที่น่าเสียดายคือ การที่พวกเขาหมิ่นพระองค์  ไม่เชื่อ พระองค์จึงไม่ได้ทำการอัศจรรย์ รักษาโรค ไล่ผีสิงต่าง ๆ มากเหมือนอย่างเมืองอื่น ๆ  ตรงนี้ เราจะเห็นชัดว่า เหตุใดในชีวิตบางคนจึงมีการอัศจรรย์เกิดขึ้นมากกว่าบางคน  พระเจ้าทรงฤทธิ์องค์เดียวกัน  ฤทธิ์เดชของพระองค์จะเทลงมายังคนที่มีความเชื่อ  เพราะความเชื่อนั้น ถวายพระเกียรติ ความเชื่อนั้นทำให้คนเห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้า  ความเชื่อและฤทธิ์เดชของพระเจ้าเหมือนกับแม่เหล็กขั้วต่างกันที่ดึงดูดเข้าหากันเสมอ 



บรรณานุกรมของบทที่ 13
https://brandywine.church/wp-content/uploads/2021/06/The-Parable-of-the-Sower-and-the-Seed-sermon-notes.pdf
https://www.youtube.com/watch?v=fQHkF4J1wh4

พระคำเชื่อมโยง

มัทธิว 13
1* มาระโก 4:1-12
2*ลูกา 8:4; 5:3
3* ลูกา 8:5
8* ปฐมกาล 26:12
9* มัทธิว 11:5
11* มาระโก 4:10-11
12* มัทธิว 25:29
14* อิสยาห์ 6:9-10; ยอห์น 3:36
15* ฮีบรู 5:11; ลูกา 19:42; กิจการ 28:26-27
16* ลูกา 10:23-24



17* ฮีบรู 11:13
18* มาระโก 4:13-20
19* มัทธิว 4:23
20* อิสยาห์ 58:2
21* กิจการ 14:22; มัทธิว 11:6
22* 1 ทิโมธี  6:9; เยเรมีย์ 4:3
23* โคโลสี 1:6
30* มัทธิว 3:12
31* ลูกา 13:18-19
32* เอเสเคียล 17:22-24; 31:3-9
33* ลูกา 13:20-21; 1 โครินธ์ 5:6
34* มาระโก 4:33-34
35* สดุดี 78:2; เอเฟซัส 3:9
38* โรม 10:18; ยอห์น 8:44

39* วิวรณ์ 14:15
41* มัทธิว 18:7
42* วิวรณ์ 19:20; 20:10; มัทธิว 8:12; 13:50
43* ดาเนียล 12:3; มัทธิว 13:9
44* ฟีลิปปี 3:7-8; อิสยาห์ 51:1
46* สุภาษิต 2:4; 3:14-15; 8:10, 19
47* มัทธิว 22:9-10
49* มัทธิว 25:32
52* บทเพลงโซโลมอน 7:13
54* ลูกา 4:16; สดุดี 22:22
55* ยอห์น 6:42; มัทธิว 12:46; มาระโก 15:40
57* มัทธิว 11:6 ; ลูกา 4:24
58* มาระโก 6:5-6

มัทธิว 12 ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่า อยู่ตรงนี้

เจ้านายเหนือวันสะบาโต

1 ครั้งนั้น พระเยซูเสด็จผ่านเข้าไปในทุ่งข้าวในวันสะบาโต และศิษย์ของพระองค์รู้สึกหิว จึงเริ่มต้นเด็ดรวงข้าวมากิน
2 เมื่อพวกฟาริสีเห็นเข้า ก็กล่าวกับพระเยซูว่า “ดูสิ พวกศิษย์ของท่านทำสิ่งที่ผิดบัญญัติในวันสะบาโต”
3 พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านหรือว่า กษัตริย์ดาวิดทำอะไรเมื่อท่านและคนของท่านหิว
4 ท่านเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า
และพวกเขาก็กินขนมปังบริสุทธิ์  ซึ่งมีปุโรหิตเท่านั้นที่จะกินได้ 
5 และท่านไม่ได้อ่านในบัญญัติของโมเสสหรือว่า
ทุกวันสะบาโต ปุโรหิตในพระวิหารก็ต่างละเมิดกฎวันสะบาโตกันทั้งนั้น  (เพราะพวกเขาถวายเครื่องบูชาซึ่งเท่ากับกำลังทำงาน)  แต่พวกเขาก็ไม่มีความผิด
 

6  เราขอบอกท่านว่า ผู้ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าพระวิหารก็อยู่ ณ ที่นี่ 
7  พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตามากกว่า เครื่องถวายสัตวบูชา’ (โฮเชยา 6:6) หากท่านเข้าใจความหมายของคำนี้  ท่านก็คงจะไม่กล่าวโทษผู้ที่ไม่มีความผิด 
8 เพราะว่า บุตรมนุษย์เป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต!”

พระเยซูทรงรักษาชายมือลีบ

9 พระเยซูทรงออกจากที่นั่น
และทรงเข้าไปในศาลาธรรมของพวกเขา
  10 ดูสิ มีชายมือลีบคนหนึ่งอยู่ที่นั่น  พวกเขากำลังหาเหตุที่จะกล่าวหาพระเยซู ดังนั้นพวกเขาจึงถามพระองค์ว่า “ที่จะรักษาโรคให้กับคนในวันสะบาโตนั้น ผิดบัญญัติหรือไม่?”
11 พระเยซูตรัสตอบว่า “หากใครในพวกเจ้ามีแกะอยู่ตัวหนึ่ง และแกะตัวนั้นตกบ่อในวันสะบาโต  ท่านจะไม่ช่วยดึงมันขึ้นมาออกจากบ่อนั้นหรือ?
 12 มนุษย์มีค่ายิ่งกว่าแกะตัวหนึ่ง ดังนั้น การทำความดีในวันสะบาโตก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามบัญญัติ

13 แล้วพระเยซูตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงยื่นมือออกมา” เขาก็ยื่นมือออกมา และมือนั้นก็กลับเป็นปกติดีเหมือนข้างที่ดี 
14 แต่ฟาริสีก็ออกไปวางแผนว่า จะใช้วิธีใดประหารพระเยซู

พระเยซูทรงเป็นผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเลือก
15  พระเยซูทรงรู้ว่า พวกฟาริสีคิดทำอะไร จึงทรงออกจากที่นั่นไป คนเป็นจำนวนมากก็ตามพระองค์ไปด้วย พระองค์ทรงรักษาคนที่เจ็บป่วยทุกคน 
16 แต่ก็ทรงห้ามไม่ให้ประชาชนบอกว่า
พระองค์ทรงเป็นผู้ใด
17 ที่ทรงทำเช่นนี้ก็เพื่อให้คำของอิสยาห์ ผู้เผยพระดำรัส
เป็นจริงที่ว่า
18  ‘ดูสิ นี่คือผู้รับใช้ที่เราได้เลือกไว้ เรารักและชื่นชมเขา
เราจะส่งวิญญาณของเรามาเหนือเขา
และเขาจะประกาศความยุติธรรมให้กับประชาชนทุกชาติ
19 เขาจะไม่ทะเลาะวิวาท ไม่ส่งเสียงตะโกน
และไม่มีใครได้ยินเสียงของเขาตามถนน
20 เขาจะไม่หักทำลายไม้อ้อที่แตกหักแล้ว  
เขาจะไม่ดับตะเกียงที่ส่องแสงริบหรี่
จนกว่าเขาจะทำให้ความยุติธรรมได้ชัยชนะ
 21 คนต่างชาติทั้งหลายจะมีความหวังในพระองค์

อิสยาห์ 42:1-14

สิทธิอำนาจของพระเยซูมาจากพระเจ้า

22 มีบางคนนำชายเป็นใบ้ ตาบอด เพราะเขามีผีสิงมาหาพระเยซู พระองค์ทรงรักษาเขา เขาจึงพูดได้ และมองเห็น
23 คนทั้งหลายที่เห็นเหตุการณ์ต่างประหลาดใจ กล่าวว่า “ชายคนนี้เป็นลูกหลานของดาวิดอย่างนั้นหรือ?”
(มีความหมายว่าเป็นพระเมสสิยาห์ ที่สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด) อ่าน 2 ซม 7:11-16
24 พอพวกฟาริสีได้ยินดังนั้น พวกเขากล่าวว่า “ชายคนนี้ใช้อำนาจของนายผี เบเอลเซบูล (อีกชื่อของซาตาน) เพื่อขับผีให้ออกจากผู้คน” 
25 พระเยซูทรงทราบว่า พวกฟาริสีคิดอย่างไร .. พระองค์ตรัสว่า “อาณาจักรใดที่แตกแยกกัน ก็จะถูกทำลาย และเมืองใด ครอบครัวใดที่แตกแยกกันก็ไม่อาจยืนอยู่ได้ 
26 และหากซาตานไล่ตัวมันเองออกไป เท่ากับมันสู้ตัวเอง  อาณาจักรของมันก็ไม่อาจยืนหยัดอยู่ได้ 
27  เจ้ากล่าวว่า เราใช้อำนาจของ เบเอลเซบูลเพื่อขับไล่ผีออกไป หากเป็นอย่างนั้นจริง คนของพวกเจ้าใช้ใครเพื่อขับผีออกเล่า?  พวกเขาจะตัดสินเจ้าเอง

28 แต่หากเราใช้ฤทธิ์แห่งพระวิญญาณของพระเจ้าขับผีออก แผ่นดินของพระเจ้าก็มาถึงท่ามกลางพวกเจ้าแล้ว
 29 “ใครก็ตามที่ต้องการเข้าไปในบ้านของคนที่มีพลังมาก และจะขโมยทรัพย์สินของเขา ก็จะต้องมัดตัวคนที่มีพลังนั้นก่อน แล้วจึงจะปล้นบ้านของเขาได้ 

บาปต่อองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์​
30 “ใครก็ตามที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายเราก็เป็นศัตรูกับเรา ใครที่ไม่เก็บรวบรวมไว้กับเรา เท่ากับต่อต้านเรา (ทำให้กระจัดกระจายไป ยอห์น 10:21) 
31  ดังนั้น เราจึงขอบอกเจ้าว่า มนุษย์จะได้รับการอภัยบาป และคำหมิ่นประมาททุกอย่าง แต่หากใครกล่าวคำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะไม่ได้รับการยกโทษเลย  
32ใครที่กล่าวคำต่อต้านบุตรมนุษย์ ก็จะได้รับการอภัยได้
แต่ใครที่กล่าวคำต่อต้านองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์
จะไม่ได้รับการอภัย ทั้งเวลานี้ และในอนาคต   

ระวังคำพูดไร้สาระ
33 “หากเจ้าต้องการผลดี เจ้าก็ต้องปลูกต้นไม้ดี หากต้นไม้ของเจ้าเลว ก็จะมีผลเลวออกมา เราจะรู้ว่าต้นไม้เป็นอย่างไรก็ดูจากผลของมัน 
34 เจ้างูร้าย เจ้าเป็นคนชั่ว จะพูดสิ่งดีออกมาได้อย่างไร  เพราะปากก็จะพูดสิ่งที่ล้นออกมาจากใจ 
35 คนดี ก็มีสิ่งดีในใจ เขาจึงพูดสิ่งดีออกมา แต่คนชั่วก็มีสิ่งชั่วในใจ เขาก็จะกล่าวคำชั่ว ๆ ออกมา  
36  เราบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษาโทษนั้น มนุษย์จะต้องให้การเรื่องคำพูดของตัวเองที่กล่าวออกมาอย่างไม่ระวัง 
37 เจ้าจะพ้นจากความผิดหรือถูกลงโทษนั้น ขึ้นอยู่กับคำที่เจ้ากล่าวออกมา  

ฟาริสีขอการอัศจรรย์
38 มีฟาริสี และธรรมาจารย์บางคนกล่าวกับพระเยซูว่า “ท่านอาจารย์ พวกเราอยากเห็นการอัศจรรย์ซึ่งเป็นหมายสำคัญจากท่าน”
39 พระเยซูตรัสตอบว่า “เจ้าคนในยุคที่ชั่วร้ายและกบฎต่อพระเจ้า เฝ้าตามหาการอัศจรรย์ที่เป็นหมายสำคัญ แต่พวกเจ้าจะไม่ได้หมายสำคัญใด ๆ นอกจากหมายสำคัญของผู้เผยพระดำรัสโยนาห์ 


40 โยนาห์อยู่ในท้องปลาใหญ่สามวันสามคืนอย่างไร บุตรมนุษย์ก็จะอยู่ในใจกลางแผ่นดินโลกสามวันสามคืนอย่างนั้น  41 ในวันพิพากษา ประชาชนจากนีนะเวห์จะลุกขึ้นพร้อมกับคนยุคนี้ และพวกเขาจะแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีความผิด เพราะเมื่อโยนาห์ประกาศ พวกเขาก็กลับใจ และเราขอบอกเจ้าว่า
ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่! 

42 ในวันพิพากษา ราชินีแห่งแผ่นดินทางใต้จะลุกขึ้น พร้อมกับคนในยุคนี้  พระนางจะแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีความผิด เพราะพระนางเดินทางมาจากที่สุดปลายโลกเพื่อฟังคำสติปัญญาของกษัตริย์โซโลมอน  ( 1 พงศ์กษัตริย์ 10:1-13)  และเราบอกเจ้าว่า ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์โซโลมอนก็อยู่ที่นี่!

คนในยุคนี้เต็มด้วยความชั่วร้าย
43 “เมื่อวิญญาณชั่วออกจากใครคนหนึ่งแล้ว มันก็ออกไปทั่วดินแดนที่แห้งแล้งเพื่อหาที่พัก แต่ก็ไม่พบ
 44 มันจึงกล่าวว่า ‘ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าละจากมา’ เมื่อมันกลับมา ก็พบว่า บ้านว่างเปล่า เก็บกวาดสะอาดตา เป็นระเบียบเรียบร้อย
 45 วิญญาณชั่วตนนี้จึงออกไป และนำวิญญาณชั่วอีกเจ็ดตนที่ร้ายกว่าเข้ามาอยู่ในบ้านนั้น  คน ๆ นั้นจึงตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายกว่าเดิม คนในยุคที่ชั่วร้ายก็จะเป็นเช่นนั้น”

ครอบครัวแท้จริงของพระเยซู
46 ขณะที่พระเยซูกำลังตรัสอยู่กับฝูงชนนั่นเอง ดูเถิด มารดาและน้องชาย น้องสาวก็มายืนอยู่ด้านนอก กำลังหาทางที่จะพูดกับพระองค์
47 มีคนมาทูลพระองค์ว่า “ดูเถิด มารดา และน้อง ๆ ของท่านยืนอยู่ข้างนอก และพวกเขาต้องการจะพูดกับท่าน”
48 พระองค์ตรัสตอบว่า “ใครเป็นมารดาของเรา ใครเป็นพี่น้องของเรา?” 
49 แล้วพระองค์ทรงชี้ไปที่เหล่าศิษย์ทั้งหลาย ตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา
50     ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์  ผู้นั้นคือ พี่น้องชายหญิงและมารดาแท้จริงของเรา”

อธิบายเพิ่มเติม

 

พระเจ้าแห่งวันสะบาโต
บทนี้ เราเริ่มเห็นความพยายามของฟาริสี ที่จะจัดการโค่นพระเยซูให้ผู้คนเลิกติดตาม เลิกฟังพระองค์และตอนนี้พวกเขาก็ใช้เรื่องของกฎเกณฑ์ที่พวกฟาริสี ธรรมาจารย์ โบราน ช่วยกันตั้งกันขึ้นมาเพิ่มเติมในช่วง  400 ปีก่อน พวกเขาจึงมีกฎการปฏิบัติตนอย่างละเอียดมาควบคุมการใช้ชีวิตของประชาชนอีกมากมาย จนพระเยซูได้ตรัสว่า บรรดาผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา…
ประชาชนเหน็ดเหนื่อยกับการทำตามบทบัญญัติตั้งแต่เช้าจนค่ำ …​แทนที่ผู้นำฝ่ายวิญญาณจะนำความสุขมาให้ประชาชน กลับนำความทุกข์ใจมาโถมทับพวกเขา

12:1
เมื่อศิษย์ของพระเยซูเด็ดรวงข้าวมาขยี้กินตามทางในวันสะบาโต เป็นสิ่งที่จริง ๆ แล้ว ทำได้ เพราะพวกเขาไม่ได้ทำงานแต่ประการใด พวกเขาเข้าไปในนาของบางคนที่มีข้าวอยู่
แล้วแค่เด็ดกิน ไม่ได้ขโมยด้วย เพราะมีบทบัญญัติของโมเสสอยู่แล้วว่า เจ้าของนาจะต้องไม่เก็บข้าวจนหมดนา แต่ให้เหลือไว้เผื่อคนยากจน คนเดินทางได้กินหายหิวได้
12:2
แต่แล้ว พวกเขาถูกฟาริสีกล่าวหาว่าทำผิดบทบัญญัติสะบาโต   ซึ่งพวกเขาหมายถึงบัญญัติเพิ่มเติมในรายละเอียดเล็ก ๆ ไม่ใช่บทบัญญัติดั้งเดิม
12:3-4
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ดาวิดพาทหารเข้าไปกินขนมปังที่วางไว้เพื่อนมัสการพระเจ้า เพราะพวกเขากำลังหิวมาก  และก็ไม่ได้ถือว่าผิดจนต้องลงโทษ

12:5
และคำนี้ที่พระเยซูตรัสก็เป็นการชี้ให้เห็นว่า จริง ๆ แล้ว ปุโรหิตทุกคนก็ทำผิดในวันสะบาโต ถ้าถือว่า เขากำลังทำงานอยู่ในการรับใช้พระเจ้าและประชาชน  ตรงนี้ ทำให้เราเห็นว่า ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน แต่พระเยซูทรงชี้ให้เห็นภาพที่พวกเขาไม่เคยคิด  ฟังแล้ว สำหรับพวกฟาริสี ก็น่าโมโหที่พระเยซูทรงพลิกความจริงให้เห็นกระจ่างได้ขนาดนี้   และพวกเขาก็ไม่สามารถโต้เถียงกลับได้
12:6
แล้วพระเยซูทรงสรุปให้ ซึ่งเป็นการจุดไฟโกรธของพวกเขาให้พลุ่งขึ้นเต็มที่เลย … พระองค์ทรงแจ้งให้พวกเขาทราบว่า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าพระวิหาร ทรงยิ่งใหญ่กว่าเครื่องบูชาทั้งหลาย เพราะพระเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเขามีเมตตา ไม่ใช่การรักษาบัญญัติเคร่งครัดและกล่าวหาคนที่ทำผิดอย่างไร้ความปรานี   ทรงสรุปชัดเจนว่า พระองค์ทรงอยู่เหนือวันสะบาโต … เมื่อใดที่พระเยซูตรัสว่า บุตรมนุษย์ ทุกคนเข้าใจดีว่า ทรงหมายถึงพระเจ้าที่ปรากฎในหนังสือ ดาเนียล   ตอนนี้ฟาริสีโกรธจนควันออกหูแล้ว!!


พระเยซูทรงรักษาชายมือลีบ
12:9-10
จากนั้นทรงเข้าไปในธรรมศาลา พบชายคนหนึ่งมือลีบ  เอาล่ะ ได้ทีสำหรับพวกที่รอค้านพระเยซู จึงแกล้งถามว่าผิดไหมที่จะรักษาในวันสะบาโต ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า พระเยซูทรงรักษาชายมือลีบนั้นแน่นอน
12:11-12 
พระเยซูทรงสรุปให้โดยเล่าเรื่องที่อาจจะเกิดกับพวกเขา หรือเคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว คำของพระองค์แตะใจทุกคนที่อยู่ตรงนั้น  แกะใคร ๆ ก็รักและห่วง คงไม่ยอมให้มันติดหล่มแล้วต้องตายในวันสะบาโต แล้วพระองค์ทรงสรุปว่า ทำความดีในวันสะบาโตนั้นเป็นสิ่งที่ถูกตามบัญญัติ
12:13-14 
จากนั้นก็ทรงรักษาชายมือลีบทันที ชายคนนั้นดีใจนักที่หายจากความพิการ แต่.. ไม่มีใครสักคนในหมู่ฟาริสีดีใจด้วย พวกเขากลับรู้สึกเสียหน้า และถึงกับพยายามวางแผนฆาตกรรม … พวกนี้เป็นคนอย่างไรกัน?

พระเยซูทรงเป็นผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเลือก
12:15-21 
พระเยซูทรงรู้ทันทีว่า ฟาริสีคิดอะไรอยู่  แต่พระองค์ไม่ได้ต่อต้านพวกเขาอย่างรุนแรง พระองค์กลับหันไปทรงรักษาโรคให้กับประชาชนมากมาย แต่ขณะเดียวกัน ก็ปรามไม่ให้พวกเขาไปเผยแพร่สิ่งที่เกิดขึ้น หรือบอกว่า พระองค์คือผู้ใด
เมื่อเราอ่านพระลักษณะของพระเมสสิยาห์ที่อิสยาห์ได้บรรยายไว้
เราจะเห็นว่า พระองค์ทรงสงบ  ไม่ตะโกน พระองค์ตรัสอย่างเรียบ ง่ายทรงพลังกับประชาชนทั้งหลาย  พระองค์ไม่ทรงซ้ำเติมประชาชน แตกต่างจากเหล่าฟาริสีที่พยายามเอาแต่จับผิดอย่างสิ้นเชิง พระเยซูทรงเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ (ยกเว้นวันที่พระองค์ทรงพิโรธเมื่อเห็นคนย่ำยีพระวิหารของพระเจ้า)

สิทธิอำนาจของพระเยซูมาจากพระเจ้า  
12:22-23
มัทธิวได้กล่าวถึงเหตุการณ์คนมีผีสิงแล้วทำให้ตาบอดเป็นใบ้มารับการรักษา แล้วเขาก็กลายเป็นพูดได้ และมองเห็น ชายคนนั้นดีใจมาก  และคนที่เห็นก็ประหลาดใจ ใช้คำถามที่ต้องการคำตอบเป็น ไม่ นั่นคือคนนี้ไม่น่าจะใช่ลูกชายของดาวิด เขาเป็นได้หรือ?  พวกเขายังคงรู้สึกไม่เชื่อแต่ก็ประหลาดใจเราต้องไม่ลืมว่า คนยิวคาดหวังว่า พระเมสสิยาห์ที่มานั้น จะเป็นนักรบที่จะช่วยพวกเขาให้พ้นจากประเทศที่ครอบครองพวกเขาอยู่  พระเมสสิยาห์น่าจะมาแบบยิ่งใหญ่
อย่างน้อยก็เป็นคล้ายดาวิดองค์กษัตริย์ผู้แกร่งกล้า  

12:24
แต่แล้ว ฟาริสีมีความคิด ทางลบ.. กล่าวร้ายว่า พระเยซูทรงใช้อำนาจนายผีให้ประชาชนคิดตามไปอย่างนั้น พระเยซูเองทรงรู้อยู่แล้วว่า เขาจะพูดอะไรจึงทรงชี้แจงให้ประชาชนที่มุงอยู่ได้เข้าใจให้ถูกต้อง
 12:25-28 
เหมือนในข้อ 15  พระเยซูทรงรู้ใจฟาริสี พระองค์ทรงสัพพัญญู ทรงรู้ความคิดของทุกคน ดังนั้น ทรงยืนยันว่า ที่อาณาจักรของมารยังมีพลัง เพราะมันช่วยกัน ไม่ได้แตกแยกกัน  การที่กล่าวหาพระองค์ว่าใช้อำนาจนายผีเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะคนฟาริสีก็ยังมีการไล่ผีออกจากผู้คนด้วย ดังนั้นหมายความว่า ฟาริสีเอง ใช้อำนาจของนายผีใช่หรือไม่ (สมัยนั้นก็มีการไล่ผีอยู่แล้ว ดู กิจการ 19:13)
ในเรื่องนี้ พระเยซูทรงบอกชัดว่า การที่พระองค์ทรงขับผีโดยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณก็หมายความว่า แผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้พวกเขา พวกเขาจะได้รับการปกครองจากพระเจ้า จากองค์พระเมสสิยาห์ ไม่ใช่จากบทบัญญัติอีกต่อไป
เมื่อพูดถึงพระวิญญาณ เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงแนะนำให้ประชาชนเริ่มเห็นว่า พระองค์ทรงทำงานร่วมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อน
12:29 
พระเยซูตรัสให้พวกเขาคิดใหดี  พระองค์ทรงเป็นคนที่มีอำนาจเหนือมารที่อยู่ในร่างกายของคนที่ถูกผีสิง (ร่างที่อยู่ใต้อำนาจมาร)  พระองค์ทรงเป็นผู้มัดมารที่อยู่ในร่างของคนก่อน แล้วทรงไล่มันออกไป  การที่พระเยซูตรัสเช่นนี้ บ่งบอกว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ด้วย  ทรงยิ่งใหญ่กว่ามาร 
บาปต่อองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์​
12:30 
จากนั้น พระเยซูชี้ให้เห็นว่า ใครก็ตามที่มีสัมพันธ์กับพระองค์นั้น จะเป็นกลางไม่ได้เป็นอันขาด  ไม่อยู่ข้างเดียวกัน ก็เท่ากับอยู่คนละข้างเลยนั่นคือ อยู่ฝ่ายมาร
ฟาริสีทั้งหลายพยายามให้ผู้คนไม่เป็นฝ่ายพระเยซู พยายามทำให้พวกเขาสับสน คอยยุแหย่ให้เป็นศัตรูกับพระองค์จนกระทั่งวันที่ทรงสิ้นพระชนม์   ฟาริสีเหล่านี้เป็นฝ่ายมารแท้ ๆ
12:31
ฝ่ายตรงข้ามที่กล่าวคำหมิ่นประมาทองค์พระวิญญาณของพระเจ้าต้องรู้ว่า มีบาปบางอย่างที่พวกเขาไม่อาจแก้ลำได้เลย ไม่สามารถแก้ไข แก้คืน หรือได้รับการยกโทษได้  การที่พวกเขากล่าวว่า พระเยซูทรงใช้อำนาจนายผีไล่ผีออกนั้น แสดงว่าพวกเขาไม่สำนึกว่า กำลังดูหมิ่นองค์พระวิญญาณ   การมองว่างานของพระเจ้าเป็นงานของมาร  
การกล่าวต่อต้านก็เป็นเหมือนการหมิ่นประมาทเช่นกัน  พระเจ้ายังทรงเมตตาที่จะยกโทษให้กับคนที่ต่อต้าน หมิ่นพระเยซู แต่เขาจะไม่ได้รับการอภัยหากไปแตะต้ององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ !  องค์พระวิญญาณทรงเป็นอำนาจพื้นฐานที่ทำงานร่วมกับพระเยซูในขณะที่พระองค์ทรงอยู่ในโลกนี้   (ลูกา 4:14)

ระวังคำพูดไร้สาระ
12:33-35 
พระเยซูไม่ทรงปล่อยให้ฟาริสีกล่าวร้ายพระองค์โดยไม่สำนึก ทรงสอนให้ประชาชนรู้ว่า พฤติกรรมหรือผลในชีวิตทำให้รู้ว่าใจของคน ๆ นั้นเป็นอย่างไร  หากต้นไม้ถูกละเลย ไม่ให้น้ำ ไม่ให้ปุ๋ย ผลที่ได้ก็ไม่น่ากิน ไม่มีประโยชน์  พระเยซูทรงเรียกฟาริสีว่า เจ้าชาติงูร้าย เป็นคนที่มีใจชั่วจึงพูดแต่สิ่งที่ชั่วออกมา  เราจึงดูได้ว่าใครเป็นใครในโซเชียลมีเดีย เรารู้ได้เลยว่า ควรตามหรือไม่ตามใคร
12:36-37 
เป็นที่ชัดเจนว่า ในวันพิพากษาของพระเจ้า เราจะต้องให้การกับพระเจ้าสำหรับสิ่งที่กล่าวออกมา น่ากลัวมากเลย ถ้าเราได้รับคำเตือนเรื่องนี้แล้ว ก็สมควรจะระวังตัวตั้งแต่วันนี้   เพราะการตัดสินความนั้น ขึ้นอยู่กับคำพูดของเราเอง การพูดอย่างไม่ระวังนั้นคือประตูสู่ความตายได้ !! (ยากอบ 1:19; 3:1-12) พวกเขาตัดสิน กล่าวหาพระเยซูว่า ทำการด้วยนายผี แต่แล้วไม่ได้ดูตัวเองว่า กำลังพูดไม่ระวัง และนำอันตรายสู่ชีวิตตัวเอง

ฟาริสีขอการอัศจรรย์
12:38-39  
แล้วก็มีฟาริสี ธรรมาจารย์แกล้งขอให้พระเยซูทำการอัศจรรย์ที่เป็นหมายสำคัญ (เพื่อพิสูจน์ว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ ) นี่ไม่ได้เป็นคำขอเพื่อจะเชื่อ แต่เป็นคำขอที่บอกว่า ฉันไม่รับท่านเป็นพระเมสสิยาห์   อย่างไรท่านก็เป็นลูกน้องมารอยู่ดี จึงไล่ผีได้ 
(ดูมัทธิว 27:27-31 ทหารก็เยาะพระองค์ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ )
ก่อนหน้านี้พระองค์ก็ทรงทำการอัศจรรย์มากมาย แต่พวกเขาก็ไม่เชื่อ แต่บิดเบือนราชกิจของพระองค์เป็นอย่างอื่น เหตุใดพระเยซูทรงกล่าวถึงหมายสำคัญของโยนาห์?
12:40-41
แม้โยนาห์เป็นผู้เผยพระดำรัสเพื่อชาวนีนะเวห์ แต่ชีวิตการทำงานของเขาก็ยังเป็นการพยากรณ์ถึงการสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ของพระเยซู
ชีวิตของโยนาห์นั้น บ่งว่า เขาได้ยอมตายเพื่อให้ชาวเรือได้รอดจากพระพิโรธ ลมพายุ จากนั้น ก็อยู่ในท้องปลาสามวัน โดยที่ความตายไม่สามารถยึดเขาไว้ได้  เขาออกจากท้องปลา เหมือนกับพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย  ที่สำคัญ ชาวนีนะเวห์เชื่อคำกล่าวของเขา และกลับใจ
พระเยซูทรงบอกเขาว่า พระองค์ทรงใหญ่กว่าโยนาห์ ทรงอยู่ตรงนี้ แต่พวกเขาก็ไม่กลับใจ  เป็นคนที่กบฏต่อพระเจ้า ดังนั้นคนนีนะเวห์ที่กลับใจจะกล่าวโทษพวกเขา
 12:42
นอกจากนั้น พระเยซูทรงกล่าวถึงราชินีจากแดนไกลที่เดินทางมาฟังคำของโซโลมอน และกลับใจ.. แต่แล้วพวกเขากำลังฟังพระเมสสิยาห์ตรัสแต่ใจแข็งเหลือเกิน 

คนในยุคนี้เต็มด้วยความชั่วร้าย
12:43-45
การที่พระเยซูทรงกล่าวถึงวิญญาณชั่วที่เคยอยู่ในคน ๆ หนึ่ง  แต่ต้องออกไปซึ่งน่าจะเกิดจาการขับออกไป  คำตรัสของพระองค์ทำให้เรารู้ชัดว่า เรื่องของผีสิงคนนั้น เป็นเรื่องจริง คนไทยไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้ เพราะพวกเราเห็นชัดว่า มี ส่วนคนตะวันตกนั้นไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
เมื่อวิญญาณชั่วออกไป มันก็ต้องไปหาที่อยู่ มันต้องการที่ ๆ จะสิง ต้องการใจที่ว่าง ใจที่ไม่มีฤทธิ์ของพระเจ้า เป็นใจที่พร้อมจะยอมรับวิญญาณร้ายแต่เมื่อไม่มีที่ ก็เลยลองกลับมาที่เดิม ปรากฏว่า ใจเดิมนั้นไม่มีพระเจ้าว่างเปล่า เรียบร้อย อาจหมายความถึงใจที่มีศีลธรรม ไม่ได้หมกมุ่นในความชั่ว ตราบใดที่ใจนั้นไม่มีพระเจ้า มันก็พร้อมที่จะเข้ามาสิงอยู่ 
บางครั้งคนที่ป่วยทางจิต คนที่สุขภาพไม่แข็งแรง ก็จะเป็นเหยื่อของวิญญาณเหล่านี้ง่าย  และมารก็จะใช้ชีวิตของเขาทำตามใจของมันเองทำให้ชีวิตนั้นย่ำแย่ลงกว่าเดิม
ดังนั้น สิ่งที่เราต้องระวังคือ เราต้องมีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในชีวิต แล้วมารตัวไหนก็จะเข้ามาไม่ได้ และต้องไม่ทำบาป ซึ่งบาปเหล่านั้นเป็นประตูเปิดรอพวกมันอยู่  แม้มันพยายามจะเข้ามากัดกิน เหมือนสิงโตคำราม แต่ก็จะทำอะไรเราไม่ได้ 

ครอบครัวแท้จริงของพระเยซู
12:46-47 
ขณะที่พระเยซูกำลังอยู่กับฝูงชน มารีย์ ลูกชาย ลูกสาว ซึ่งเป็นลูกที่เกิดจากโยเซฟหลังจากที่เธอได้ประสูติพระเยซูมา  แสดงว่า พระเยซูยังทรงมีน้อง ๆ ในครอบครัวอีกหลายคน ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้วางใจในพระองค์นัก 

12:48-50 
คำตรัสที่ว่า ใครเป็นแม่และพี่น้องของเรา? นั้น พระองค์ไม่ได้ดูหมิ่นมารดาและครอบครัวของพระองค์ แต่ พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับพี่น้องฝ่ายวิญญาณ ให้ความสำคัญกับคนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าว่า เป็นครอบครัวแท้จริงของพระองค์ อย่างที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ในยอห์น 1:12 ว่า คนที่เชื่อในพระนามจะได้มีสิทธิเป็นลูกของพระเจ้า! 

พระคำเชื่อมโยง

มัทธิว12
1* ลูกา 6:1-5; เฉลยธรรมบัญญัติ 23:25
3* 1 ซามูเอล  21:6
4* เลวีนิติ 24:5; อพยพ 29:32
5* กันดารวิถี 28:9
6* อิสยาห์ 66:1-2
7* โฮเชยา 6:6
9* มาระโก 3:1-6
10* ยอห์น 9:16
14* มาระโก 3:6
15* มาระโก 3:7; มัทธิว 19:2
16* มัทธิว 8:4; 9:30; 17:9

18* อิสยาห์ 42:1-4; 49:3;
มัทธิว 3:17; 17:5
22* ลูกา 11:14-15
23* มัทธิว 9:27; 21:9
24* มัทธิว 9:34
25* มัทธิว 9:4
28* ดาเนียล 2:44; 7:14
29* อิสยาห์ 49:24
31* มาระโก 3:28-30; กิจการ 7:51
32* ยอห์น 7:12, 52; 1 ทิโมธี 1:13
33* มัทธิว 7:16-18
34* มัทธิว 3:7; 23:33; ลูกา 6:45













38* มาระโก 8:11
39* มัทธิว 16:4
40* โยนาห์ 1:17
41* ลูกา 11:32; เยเรมีย์ 3:11; โยนาห์ 3:5
42* 1 พงศ์กษัตริย์ 10:1-13
43* ลูกา 11:24-26; 1 เปโตร 5:8
45* 2 เปโตร 2:20-22
46* ลูกา 8:19-21 ; ยอห์น 2:12; 7:3,5
47* มัทธิว 13:55-56
49* ยอห์น 20:17
50* ยอห์น 15:14