ฮาบากุก 1 เหตุใดพระเจ้าทรงนิ่ง?

1 นี่คือภาพเหตุการณ์อันน่าหนักใจ
ที่ผู้เผยพระคำฮาบากุกได้เห็น

คำทูลร้องขอพระเมตตา
2 โอ พระยาห์เวห์ 
ข้าพเจ้าจะต้องร้องทูลขอความช่วยเหลือ
อีกนานเท่าไรหรือ พระองค์จึงจะทรงฟัง?
อีกนานเท่าไรที่จะร้องทูลต่อพระองค์ว่า
“โหดร้ายนัก” แต่พระองค์ไม่เสด็จมาช่วย?
3 เหตุใดพระองค์ทรงให้ข้าพเจ้าต้องทนดูความอยุติธรรม
เหตุใดพระองค์ทรงทนต่อการกระทำผิด?
หายนะและความโหดร้ายท่วมท้นอยู่ต่อหน้าต่อตาข้าพเจ้า
4 ดังนั้น บัญญัติจึงไร้ความหมาย
ความยุติธรรมไม่อาจส่งผลสำเร็จ
เพราะคนชั่วอยู่ล้อมรอบคนเที่ยงธรรม
ความยุติธรรมจึงถูกบิดเบือน

คำตอบจากพระยาห์เวห์
5 จงมองดูชาติต่าง ๆ และสังเกตให้ดี
จงประหลาดใจอย่างที่สุด เพราะเรากำลังทำการในสมัยของเจ้า ที่เจ้าจะไม่เชื่อ แม้ว่าจะมีใครมาบอกเจ้า

6 ดูเถิด เรากำลังยกให้ชาวเคลเดียมีอำนาจขึ้น พวกเขาเป็นชนชาติที่ไร้ความปราณี และไม่อาจหยุดยั้งได้ พวกเขาจะเดินทัพไปทั่วแผ่นดินโลกเพื่อยึดครองดินแดนของผู้อื่น
7 ใคร ๆ ก็ขยาด หวาดกลัวพวกเขา พวกเขาตั้งความยุติธรรมแบบของตนเองขึ้นมา และถือว่าตนเป็นผู้ปกครองสูงสุด

คิดว่าตัวเองเก่งกล้ากว่าใคร!!

8 ม้าศึกของพวกเขารวดเร็วยิ่งกว่าเสือดาว โหดเหี้ยมยิ่งกว่าหมาป่าในทะเลทรายพลม้าของพวกเขาตะบึงมาจากแดนไกล โฉบเฉี่ยวลงมาอย่างว่องไวราวกับแร้งที่กัดกินเหยื่อ
9 พวกเขาทุกคนมุ่งมั่นกับความรุนแรง ประชาชนของพวกเขาก็รุกเข้ามาเหมือนลมตะวันออก พวกเขารวบรวมเชลย ราวกับกอบทราย
10 พวกเขาเยาะเย้ยกษัตริย์ทั้งหลาย และทำให้ผู้ปกครองเป็นเป้าให้คนเหยียดหยาม พวกเขาหัวเราะเยาะเมืองป้อมทุกแห่ง และสร้างเชิงเทินข้ามไปเพื่อยึดเมือง
11 แล้วพวกเขาก็เดินทัพผ่านไปรวดเร็วราวกับลม และมุ่งหน้าต่อไป พวกเขามีความผิด เพราะเขาพึ่งกำลังของตนเองว่าเป็นพระเจ้า

คำถามครั้งที่สอง : เหตุใดจึงทรงให้คนชั่วกว่ามาสั่งสอนคนชั่วน้อยกว่า?

12 โอ พระยาห์เวห์ องค์ผู้บริสุทธิ์ของข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นอมตะ? โอ พระยาห์เวห์ พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งให้พวกเขาเป็นผู้ตัดสิน โอ องค์พระศิลา พระองค์ได้ทรงกำหนดให้พวกเขาเป็นผู้ลงโทษ
13 พระเนตรของพระองค์บริสุทธิ์เกินที่จะมองความชั่ว และพระองค์ไม่อาจทรงทนต่อความผิดได้ แล้วเหตุใดพระองค์จึงทรงทนต่อคนทรยศเยี่ยงนั้น? เหตุใดพระองค์ทรงนิ่งเงียบขณะที่คนชั่วร้ายกลืนกินคนที่มีความเที่ยงธรรมยิ่งกว่าพวกเขา?

14 พระองค์ทรงสร้างให้มนุษย์เป็นเหมือนปลาในทะเล เหมือนสิ่งมีชีวิตคืบคลานที่ไม่มีผู้ปกครอง
15 ศัตรูได้เกี่ยวพวกเขาขึ้นด้วยเบ็ด และลากจับพวกเขาไว้ด้วยแห และรวบรวมพวกเขาขึ้นมาด้วยอวน ศัตรูผู้นั้นจึงยินดีเป็นอย่างยิ่ง
16 ดังนั้นพวกเขาจึงถวายเครื่องบูชาให้กับแหของพวกเขา เผาเครื่องหอมให้อวนของตน
เพราะเขาเห็นว่า แหของเขาทำให้เขาได้อยู่อย่างหรูหรา และมีอาหารอย่างเลิศเกินพอ
17 แล้วเขาจะเอาสิ่งที่แหจับได้ออกมา และยังคงทำลายล้างชาติต่าง ๆ อย่างไร้เมตตาต่อไปหรือ?

อธิบายเพิ่มเติม

ฮาบากุก 1:1-4
ทูลถามครั้งแรก  สิ่งที่ฮาบากุกเห็นรอบข้างเขา เห็นสิ่งเลวร้ายที่เกิดในประเทศของเขา  ผู้คนโหดเหี้ยม ทำร้ายกันและกัน
เหตุใดพระเจ้าทรงนิ่งเฉยทั้ง ๆ ที่ ประชากรโหดร้ายต่อกัน
1:1 ฮาบากุก  ได้เห็นภาพเหตุการณ์ในอนาคตที่น่าหนักใจมาก แทนที่เขาจะนำมาบอกให้กับประชาชน เขากลับหันไปหาพระเจ้าและถามเหตุผล
1:2 เกือบไม่ไหวแล้วที่จะต้องทนเห็นความทารุณโหดร้ายที่ประชากรของพระเจ้าได้ทำร้ายกันและกัน คนรวยกดขี่คนยากจน ฮาบากุกรู้ว่า พระเจ้าเท่านั้นที่จะทรงจัดการกับคนเหล่านี้ได้ เขาถามซ้ำว่า อีกนานเท่าไรที่จะต้องทูลขอ  เวลานั้นเขาสงสัยจริง ๆ ว่า ทำไม่พระเจ้าทรงเงียบเหลือเกิน
คำว่า ร้องทูล มาจากคำว่า ชาวา (שָׁוַע) หมายถึงการร้องทูลขอความช่วยเหลือด้วยเสียงอันดัง
คำว่าโหดร้ายในภาษาฮีบรูนี้คือ คามาส (חָמָ֖ס)หรือ ฮามาสนั่นเอง เป็นความโหดร้ายแบบสุด ๆ สืบต่อมาจากธรรมชาติของซาตาน สุขที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข

1:3 สิ่งที่ทำฮาบากุกคับข้องใจเอามาก ๆ คือ ทำไมทั้งพระเจ้าและเขาต้องทนต่อความอยุติธรรมและการกระทำผิดที่รุนแรงเหล่านี้  หันไปทางใดก็เจอแต่สิ่งร้าย บ้านเมืองจะอยู่ต่อไปไม่ได้  ฮาบากุกต้องการให้คนกลับใจ เขารู้ดีว่า ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป วันหนึ่งพวกเขาจะต้องโดนลงโทษสาหัสเป็นแน่
1:4 ในภาษาเดิม บัญญัตินิ่ง ไร้อำนาจ ไม่ส่งผลต่อชีวิตของคน ไม่มีการสั่งสอนบัญญัติ ไม่มีการทำตามบัญญัติ  คนชั่วทำร้ายคนดีตลอดเวลา คำว่าคนชั่วคำนี้ ฮีบรูว่า ราฌา (רָשָׁע֙ )เป็นคนที่รู้จักบัญญัติแต่ไม่ทำตาม ท้าทาย ไม่กลัวผลของการทำผิด  ขบวนการยุติธรรมในครอบครัว ในสังคมจบไปแล้ว  คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนของพระเจ้าคดโกงก็โกงต่อไปไม่มีใครจัดการได้เลย 
สำหรับฮาบากุกคือ ถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมพระเจ้ายังทรงเฉยอยู่ได้…​ สภาพของฮาบากุก เหมือนกับอาสาฟที่กล่าวในสดุดี 77:2  ว่า ..ยามค่ำ ข้าชูมือวิงวอนไม่อ่อนล้า จิตข้า ไม่รับการเล้าโลมใจ 

ฮาบากุก 1:5-11
คำตอบที่ไม่คาดฝัน
1:5 แทนที่พระเจ้าจะทรงตอบทันที พระองค์กลับทรงให้ฮาบากุกหันไปสังเกตพฤติกรรมของชาติต่าง ๆ รอบข้าง ฮาบากุกทูลพระองค์เรื่องคนอิสราเอล แต่พระเจ้าทรงให้เขามองชนชาติอื่น เมื่อมองแล้ว ก็ให้รู้สึกประหลาดใจเป็นที่สุด นั่นคือ ฮาบากุกจะเห็นอะไรที่ตนเองไม่เคยเห็นมาก่อน เขาจะเห็นว่า พระเจ้ากำลังทำบางอย่างที่เขาคาดไม่ถึง!!
1:6 แล้วพระองค์ก็ทรงบอกแผนการของพระองค์ให้เขาทราบ .. นั่นคือ จะทรงยกให้ชาวเคลเดีย หรือบาบิโลนกลายเป็นผู้ที่ใหญ่สุดในภูมิภาคนี้
ชาวเคลเดียรึ? พวกเขาน่ากลัวเป็นที่สุด พระเจ้าจะทรงให้เขาใหญ่… และตรงนี้ พระเจ้าทรงยืนยันชัดเจน ดาวิดเองรู้มาตลอดว่า พระเจ้าเท่านั้นทรงเป็นผู้ยกขึ้นหรือทำให้ต่ำลง
1:7 ชาวเคลเดียไม่รู้ว่า พวกเขาเป็นใหญ่ได้เพราะพระเจ้าทรงอนุญาต พวกเขามีกฎของตนเอง และคิดว่าตนเองสุดยอดกว่าใคร เยเรมีย์ 51:20-23 บอกเราชัดว่า พระเจ้าทรงส่งพวกเขาไปทำอะไรบ้าง
1:8 พระเจ้าทรงบรรยายให้ฮาบากุกได้ฟังว่า ม้าศึกและพลม้าของเคลเดียหรือบาบิโลนนั้น รวดเร็ว โหดเหี้ยม ว่องไวขนาดไหน พระองค์ทรงเปรียบเทียบกับสัตว์ต่าง ๆ
1:9 ไม่พอ ยังตั้งหน้าตั้งตาที่จะใช้ความรุนแรง (คำเดียวกันกับข้อ 1:2 ) มาเร็ว ควบคุมเร็ว แรง 1:10 ไม่ว่าจะผ่านไปทางไหน ก็เย้ยหยัน ผู้นำและคนในพื้นที่
1:11 ดูเหมือนการที่พวกเขาไปที่ใด ก็จะปราบได้หมดสิ้นดังนั้นจึงมุ่งหน้าต่อไป ไม่คิดจะหยุด แต่ต้องการครองอำนาจให้กว้างไกลที่สุด
แต่พระเจ้าทรงบอกฮาบากุกว่า พวกเขามีความผิด เพราะแทนที่จะเชื่อพระองค์ แต่เขากลับคิดว่า กำลังอันเข้มแข็งของตนเองคือ สิ่งที่ช่วยพวกเขา คือพระเจ้าของพวกเขา

ฮาบากุก 1:12-17
นี่เป็นปัญหาของฮาบากุกมาก เพราะเขารู้จักพระบุคลิกภาพของพระเจ้า
รู้จักพระองค์ว่าทรงเป็นอย่างไร ในเมื่อพระเจ้าสถิตในสวรรค์และทรงมองเห็นมนุษย์ทุกคน ทรงตรวจสอบพวกเขาประจำอยู่แล้ว และทรงชังคนที่ชั่วร้ายด้วย (สดุดี 11:1-7)  พระองค์ไม่น่าจะปล่อยให้แบบนี้เกิดขึ้นนี่นา 
แต่..ฮาบากุกมองตามสายตามนุษย์ ไม่ได้มองลงมาจากเบื้องบน

1:12 สองข้อต่อไปนี้ ฮาบากุกเข้าใจแล้วว่า พระเจ้าจะทรงส่งชาวบาบโลนมาจัดการกับคนของพระองค์   เขาตระหนักว่า พระองค์ทรงเป็นมาจากเดิม
1:13  ถึงจะยอมรับการพิพากษาของพระเจ้าต่อคนอิสราเอล เข้าใจแล้วว่า พระเจ้าให้คนเคลเดียมาช่วยตีสอน ไม่ใช่ทำลายให้สิ้นซาก ฮาบากุกอดถามไม่ได้ว่า ทำไมให้คนชั่วมากกว่า มาจัดการกับคนที่ชั่วน้อยกว่า
1:14 แล้วเขาก็กล่าวเหมือนต่อว่า พระเจ้าว่าพระองค์ทรงสร้าง มนุษย์ให้เหมือนอย่างปลา ที่ต่ำต้อย ไม่มีระบบการปกครอง
1:15  ศัตรูที่กล่าวถึงคือคนเคลเดียหรือบาบิโลนที่จะเข้ามาบุก
1:16 พวกเขาได้จับผู้คนราวกับใช้แห อวน ลากคนเข้าไปเป็นเชลย ดังนั้น เขาจึงมองเห็นว่า อาวุธต่าง ๆ ของเขานั้นคือพระเจ้า เพราะทำให้พวกเขาได้ทำตามที่ต้องการได้ทุกอย่าง 
1:17 แล้วพระเจ้าจะทรงปล่อยให้บาบิโลนทำชั่วช้าต่อประชาชาติต่าง ๆ อย่างนี้ต่อไปหรือ  เขาเข้าใจว่า พระเจ้าน่าจะทรงจัดการกับบาบิโลนเหมือนกัน 

พระคำเชื่อมโยง

2* เพลงคร่ำครวญ 3:8; มีคาห์ 2:1-2; 3:1-3 โยบ 21:5-16
4* เยเรมีย์ 12:1
5* อิสยาห์ 29:14
6* 2 พงศ์กษัตริย์ 24:2; เอเสเคียล 7:24; 21:31

8* เยเรมีย์ 4:13; โฮเชยา 8:1
11* ดาเนียล 5:4
12* สดุดี 90:2; 93:2; อิสยาห์ 10:5-7; เยเรมีย์ 25:9
16* เฉลยธรรมบัญญัติ 8:17

โยเอล 3 พิพากษาและรื้อฟื้น

สิ่งที่ชาติต่าง ๆ ทำกับคนของพระเจ้า
1 ดูเถิด ในวันเหล่านั้น และเวลานั้น 
เมื่อเราจะรื้อฟื้นยูดาห์และเยรูซาเล็ม จากการเป็นเชลย 
2 เราจะรวบรวมชาติต่าง ๆ
และนำพวกเขามายังหุบเขาเยโฮชาฟัท และที่นั่น
เราจะพิพากษาพวกเขาในประเด็นเรื่องประชากรของเรา
และมรดกของเราคืออิสราเอล
ซึ่งพวกเขาได้ทำให้กระจัดกระจายไปตามชาติต่าง ๆ 
และได้แบ่งแยกแผ่นดินของเรา 
3 พวกเขาได้จับฉลากจับประชากรของเราไป
และทำให้เด็กชายต้องขายตัว 
และค้าเด็กหญิงเอาเงินไปดื่มเหล้าองุ่น


สำหรับผู้ที่ปฏิบัติตนร้ายกาจต่อคนของพระเจ้า

4 โอ ไทระ ไซโดน และพื้นที่แถบฟีลิสเตีย 
พวกเจ้ามาต่อต้านเราด้วยเรื่องอะไร?
พวกเจ้าจะแก้แค้นเราอย่างนั้นหรือ?
หากเจ้าตอบโต้เรา
เราจะคืนมันกลับไปบนกบาลของพวกเจ้า
อย่างทันควันและรวดเร็ว
5 เพราะพวกเจ้าได้เอาเงินและทองของเราไป  และนำทรัพย์สมบัติมีค่าของเราไปยังวิหารของพวกเจ้า 
6 เจ้าขายประชาชนชาวยูดาห์และชาวเมืองเยรูซาเล็มให้กับพวกกรีกส่งพวกเขาไปไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน 
7 ดูเถิด เราจะเร้าพวกเขาให้ออกจากพื้นที่ ๆ พวกเจ้าขายเขาไป  เราจะสนองการกระทำของเจ้าลงไปที่หัวของเจ้าเอง 
8  เราจะขายลูกชายลูกสาวของเจ้าให้ไปอยู่ในมืองของคนยูดาห์ และ คนยูดาห์จะขายต่อพวกเขาไปให้คนซาเบียนซึ่งเป็นชาติที่อยู่แสนไกล เพราะพระยาห์เวห์ได้ตรัสแล้ว”

การพิพากษาที่หุบเขาเยโฮชาฟัท
9 จงประกาศเรื่องนี้ท่ามกลางชนชาติต่าง ๆ
“จงเตรียมทำสงคราม เร้าใจคนที่แข็งแกร่งทั้งหลาย
ให้นักรบทุกคนบุกเข้ามาและโจมตี!
10 จงตีคันไถให้เป็นดาบและขอลิดแขนงให้เป็นหอก
ให้คนอ่อนแอกล่าวว่า “ฉันเข้มแข็ง”
11 จงรีบมา ชาติต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ เอ๋ย จงรวมตัวกันที่นั่น
โอ พระยาห์เวห์ ขอทรงนำนักรบของพระองค์ลงมา
12 ขอเร้าใจชาติต่าง ๆ และขึ้นมายังหุบเขาเยโฮชาฟัท
เพราะที่นั่น เราจะนั่งตัดสินความชาติต่าง ๆ ที่อยู่ล้อมรอบ
13 แกว่งเคียวเกี่ยวเถอะ เพราะฤดูเก็บเกี่ยวมาถึงแล้ว
มา มาย่ำผลองุ่น เพราะบ่อองุ่นเต็มแล้ว
บ่อเก็บน้ำองุ่นก็ล้นแล้วด้วย เพราะความชั่วร้ายของเขามากยิ่งนัก

วันของพระเจ้า ณ หุบเขาแห่งการตัดสินใจ
14 ผู้คนจำนวนมาก ผู้คนจำนวนมาก
ในหุบเขาแห่งการตัดสินใจ
15 ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์จะมืดไป
และดวงดาวจะไม่ส่องแสงต่อไป
16 พระยาห์เวห์จะทรงคำรามจากศิโยน​
และเปล่งพระสุรเสียงจากกรุงเยรูซาเล็ม ฟ้าสวรรค์
และแผ่นดินโลกก็สั่นสะเทือน
แต่พระยาห์เวห์จะทรงเป็นที่ลี้ภัยให้กับประชากรของพระองค์
ทรงเป็นป้อมปราการเข้มแข็งให้กับประชากรของอิสราเอล
พระพรมีแก่ประชากรของพระเจ้า
17 แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือ พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
ผู้ประทับในศิโยน ภูเขาบริสุทธิ์ของเรา
นครเยรูซาเล็มจะบริสุทธิ์
จะไม่ถูกคนต่างชาติเหยียบย่ำอีกต่อไป

การรื้อฟื้นครั้งสุดท้ายของอิสราเอล
18 และในวันนั้น ภูเขาจะส่งน้ำองุ่นหยดลงมา
และเนินเขาจะเต็มด้วยน้ำนม ลำธารทั้งหลายของ
ยูดาห์จะมีน้ำหลั่งไหล และจะมีน้ำพุออกมาจาก
พระนิเวศของพระยาห์เวห์
เพื่อรดน้ำให้กับหุบเขาอาคาเชีย (ชิทธีม)
19 อียิปต์จะกลายเป็นที่รกร้าง
และเอโดมจะเป็นถิ่นกันดารร้างเปล่า
เพราะความทารุณโหดร้ายที่พวกเขาทำต่อคนยูดาห์
พวกเขาได้ทำให้คนไร้ผิดต้องหลั่งเลือด
20 แต่ยูดาห์จะมีคนอาศัยตลอดไปเป็นนิตย์
และนครเยรูซาเล็มจะมีคนอาศัยอยู่ยุคแล้วยุคเล่า
21เพราะเราจะแก้แค้นแทนเลือดตกที่เรายังไม่ได้จัดการให้
เพราะพระยาห์เวห์ประทับในศิโยน

อธิบายเพิ่มเติม

ยเอล 3:1-8
บทนี้บอกถึงการรื้อฟื้นชนชาติอิสราเอล จากการเป็นเชลย
1 เมื่อกล่าวถึงวันเหล่านั้น เวลานั้น เป็นการอ้างไปถึงวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า (เยเรมีย์ 33:15)
2 พระองค์ทรงแจ้งให้ชัดว่า จะทรงพิพากษาคดีใด ชาติต่าง ๆ ที่ต้องมาอยู่ต่อพระพักตร์คือชาติที่ได้เข้ามากดขี่ข่มเหงชนชาติของพระเจ้า (อิสยาห์ 66:18; เยเรมีย์ 25:31; เศฟันยาห์ 3:8) หุบเขาเยโฮชาฟัทมีความหมายว่า พระเจ้าทรงพิพากษา (อ่านมัทธิว 25:31-46)
3 แล้วพระองค์ทรงบอกว่า พวกเขาได้ทำอะไรกับคนของพระองค์ กับเด็กชายและเด็กหญิง นี่เป็นการค้ามนุษย์ในสมัยโบราณ เขามีการจับฉลากกันในขบวนการค้ามนุษย์นั้น

4 เมืองไทระ ไซโดน เป็นเมืองของชาวฟีนีเชียปกติแล้วมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอิสราเอล แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้นำ บางครั้งพวกเขาก็เป็นภัยต่ออิสราเอล การที่พระเจ้าจะรื้อฟื้นอิสราเอลขึ้นมาได้ พระเจ้าก็ต้องทรงทำบางอย่างกับชนชาติเหล่านี้ด้วย พวกเขาไม่ได้นับถือพระเจ้าแห่งอิสราเอล พวกเขาเป็นเหมือนตัวแทนของศัตรูชาติอื่น ๆ ของอิสราเอล
5 ความผิดของพวกเขาคือ การเอาเครื่องใช้ เครื่องประดับต่าง ๆ ในพระวิหารไปยังวิหารเทพของตน
6 ชาวกรีกพวกนี้ เป็นคนที่พูดภาษากรีก ทั้งสองฝั่งของทะเลอีเจียน เราจะเห็นว่า มีค้ามนุษย์กันมาอย่างดาษดื่นแล้วในโลกโบราณ (อาโมส 1:6-9; เอเสเคียล 27:13)
7 พระเจ้าทรงตอบสนองพวกเขาอย่างที่เขาทำกับอิสราเอล พระเจ้าจะทรงช่วยอิสราเอลที่ถูกขายไปไกล และเราจะเห็นว่า ส่วนใหญ่ยิวไปอยู่ที่ไหน ก็จะมีสภาพดีขึ้น พวกเขามักเป็นนักธุรกิจที่เฉลียวฉลาด
8 ชนชาติซาเบียน เป็นพวกพ่อค้าที่อาศัยในอาราเบีย (เยเรมีย์ 6:20)

โยเอล 3:9-17
ต่อไปนี้ โยเอล กลับไปที่เรื่องราวของ 1-3
เป็นการรวบรวมชาติต่าง ๆ มาที่ศาลคือหุบเขาเยโฮชาฟัท 
9 ข้อนี้  พระเจ้าทรงเรียกให้ชาติต่าง ๆ ทำสงคราม แต่เป็นการทำสงครามเพื่อพิพากษาพวกเขา 
10 เป็นเพราะจะต้องเข้าสงคราม อุปกรณ์ทำการเกษตร จึงจะต้องถูกเปลี่ยนเป็นอาวุธ ซึ่งตรงกันข้ามกับเหตุการณ์ในอิสยาห์ 2:4 (ที่เป็นการปกครองของพระเจ้า และพระเมสสิยาห์จะเป็นผู้จบสงครามให้) แม้กระทั่งคนที่อ่อนแอ ก็จะต้องเข้าสงครามด้วย  เพราะอิสราเอลต้องการชายทุกคนให้เข้าไปต่อสู้
11 เรียกชาติต่าง ๆ ก็จริง แต่โยเอลก็เรียกนักรบของพระเจ้าลงมาด้วย (สดุดี  68:17; 103:19-20)  เราเห็นกองทัพสองแบบ พวกแรกมาจากชาติต่าง ๆ อีกพวกเป็นของพระเจ้า
12 ให้เรียกชนชาติต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อพระเจ้าจะทรงพิพากษาพวกเขา
13 โยเอลกล่าวถึงการการเก็บเกี่ยวผลองุ่น การย่ำบ่อองุ่น มีความหมาย……
14 หุบเขาแห่งการตัดสินใจ น่าจะเป็นชื่อเรียกของหุบเขาเยโฮชาฟัทนั่นเอง หรืออาจจะเล็งไปถึงการที่ผู้คนสามารถตัดสินใจได้ว่า จะกลับใจ และติดตามพระเจ้า หรือเดินตามทางของตนเอง
15 ข้อ 15 และ 16 นี้ พูดเหมือน 2:30-32 บรรยายภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในท้องฟ้า แต่พระเจ้าทรงยื่นความช่วยเหลือมาให้ประชากรของพระองค์ ท่ามกลางวิบัติต่าง ๆ ดูเศฟันยาห์ 2:1-3 บอกให้ผู้คนตามหาความถูกต้องกับพระเจ้าเพื่อจะรอดพ้น
17 โยเอลเห็นว่า วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อคนต่างชาติเข้ามา จะไม่เหยียบย่ำทำลายเยรูซาเล็มอีกต่อไป แต่จะมานมัสการพระเจ้า เหมือนกับเหตุการณ์ในเศคาริยาห์ 8:20-23

โยเอล 3:18-21
18 หุบเขาอาคาเชียเป็นที่ ๆ มีต้นอาคาเชียขึ้น อยู่ทางเหนือของทะเลตาย เป็น ที่ ๆ คนอิสราเอลพักก่อนที่จะเข้าไปในแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้  โยชูวา 2:1, 3:1จากการพิพากษา โยเอลหันมากล่าวเรื่องของพระพรแห่งพันปีจะมีองุ่นมากมายจนหยดเป็นน้ำองุ่น  น้ำนมมากมายก็แสดงว่ามีสัตว์ที่ให้นมมากพอ 
19 การที่อียิปต์ เอโดมเคยทำร้ายคนอิสราเอล พระเจ้าจะทรงเอาคืนให้เอง ศัตรูของพวกเขาจะกลับต้องพบกับความกันดาร อียิปต์กับเอโดมเป็นตัวแทนของชาติต่าง ๆ ที่ต่อต้านพระเจ้า
20 พระเจ้าจะให้แผ่นดินของพระองค์ไม่ขาดประชากรเลย 
21 เราเคยได้รับคำสั่งจากพระเจ้าว่า อย่าแก้แค้น การแก้แค้นเป็นของพระองค์  โยเอลบอกชัดเจนว่า พระเจ้าจะทรงจัดการให้เอง ไม่ต้องกังวล สิ่งใดที่คนกระทำต่อผู้อื่นอย่างโฉดชั่ว พระเจ้าจะทรงเอาคืน และสิ่งที่สำคัญคือ บอกย้ำครั้งสุดท้ายว่า พระเจ้าประทับในศิโยน  (2:27, 3:17)

พระคำเชื่อมโยง

1* เยเรมีย์ 30:3
2* เศคาริยาห์ 14:2; อิสยาห์ 66:16
3* เนหะมีย์ 3:10
4* อาโมส 1:6-8
7* เยเรมีย์ 23:8
8* เอเสเคียล 23:42; เยเรมีย์ 6:20


9* เอเสเคียล 38:7
10* อิสยาห์ 2:4; เศคาริยาห์ 12:8
11* อิสยาห์ 13:3
12* อิสยาห์ 2:4
13* วิวรณ์ 14:15; เยเรมีย์ 51:33; อิสยาห์ 63:3

14* โยเอล 2:1
16* อิสยาห์ 51:5-6
17* เศคาริยาห์ 8:3
18* เอเสเคียล 47:1
21* อิสยาห์ 4:4

โยเอล 2 วันของพระเจ้ากำลังมา


กองทัพใกล้เข้ามา
1 จงเป่าเขาแกะผู้ในศิโยน
 ส่งเสียงเตือนบนภูเขาบริสุทธิ์ของเรา   
ให้ทุกคนที่อาศัยในแผ่นดิน ตัวสั่นเทา   
เพราะวันของพระยาห์เวห์ กำลังมาใกล้ มาใกล้แล้ว  
2  เป็นวันแห่งความมืดและหมองหม่น
วันที่เต็มด้วยหมู่เมฆและความมืดทึบ
เหมือนกับเวลาเช้ามืดที่แผ่ปกคลุมบนภูเขา  
มีกองทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งปรากฎขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และจะไม่มีอีกต่อไปในยุคต่อ ๆ มา

กองทัพใหญ่ที่อำนาจทำลายล้างสูง
3  มีกองไฟเผาผลาญนำหน้ามัน
และตามหลังมันคือไฟเผาไหม้
แผ่นดินหน้ามันงดงามดั่งสวนเอเดน 
แต่แผ่นดินด้านหลัง เป็นถิ่นกันดารที่ร้างเปล่า  
ไม่มีสิ่งใดอาจหนีมันไปได้เลย 
4 พวกมันปรากฏขึ้นเหมือนกับม้า
มันควบราวกับม้าศึก
5 และมีเสียงเหมือนรถรบ
พวกมันวิ่งโลดอยู่บนยอดเขาทั้งหลาย  
เป็นเหมือนเปลวไฟที่ไหม้ตอข้าว
เป็นเหมือนกองทัพที่ทรงอำนาจ
ตั้งแนวรบเข้าประจันบาญ

กองทัพที่ไม่ปราณี
6 ชาติต่าง ๆ บิดตัวด้วยความกลัวต่อหน้าพวกมัน  ทุกคนหน้าซีดเผือด
7 พวกมันกระโจนเข้ามาเหมือนนักรบกระโดดข้ามกำแพงเหมือนทหารต่างเดินแถวเป็นขบวน ไม่แตกแถวที่กำหนดไว้ 
8 พวกมันไม่ปะทะกันเลย ต่างเดินแถวในทางของตน
พวกมันทะลุ ผ่านแนว ป้องกันไม่มีสิ่งใดยับยั้งพวกมันได้ 
9พวกมันเหยียบย่ำเข้าไปในเมือง
วิ่งบนกำแพงเมืองปีนเข้าไปในบ้าน
เข้าไปตามหน้าต่างราวกับโจร

กองทัพที่ทรงพลัง
10 แผ่นดินไหวเบื้องหน้าพวกมัน
และสวรรค์ก็สั่นสะเทือน
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดไป 
ดวงดาวทั้งหลายไม่ส่องแสง
11องค์พระยาห์เวห์
ทรงเปล่งพระสุรเสียงต่อกองทัพของพระองค์
ความจริงแล้ว กองทัพของพระองค์ใหญ่มหึมา 
ผู้ที่ฟังคำบัญชาของพระองค์ก็ทรงพลังมาก  
เพราะวันแห่งพระยาห์เวห์นั้นยิ่งใหญ่
และน่ากลัวเหลือเกิน ใครล่ะ จะทนได้? 

ขอร้องให้กลับใจ
12  พระยาห์เวห์ทรงประกาศว่า 
“บัดนี้ เจ้าทั้งหลายจงกลับมาหาเราด้วยสุดใจ ด้วยการอดอาหาร การร้องไห้ และคร่ำครวญเสียใจ 
13 จงฉีกใจของเจ้า ไม่ใช่ฉีกเสื้อผ้า”
จงกลับมาหาพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้า เพราะพระองค์ทรงเต็มด้วยพระเมตตาและพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง
และพระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัยที่จะไม่ส่งหายนะมายังเจ้า (อพยพ 34:6)

14 ใครจะรู้บ้าง? พระองค์อาจทรงกลับมา และเปลี่ยนพระทัย และเหลือพระพรไว้เบื้องหลังพระองค์ 
คือ ให้มีธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา
เอาไว้ถวายพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน

ร้องเรียกให้กลับใจทั้งชุมชน
15 จงเป่าเขาแกะผู้ในศิโยน
จัดให้มีการอดอาหารด้วยกัน
จงจัดให้มีการประชุมรวมกัน
16 รวมรวมประชากร ชำระชุมนุมชนนี้ให้บริสุทธ์ รวบรวมผู้อาวุโสรวบรวมเด็ก ๆแม้กระทั่งเด็กที่ยังกินนมอยู่ 
ให้เจ้าบ่าวออกมาจากเรือนหอ
และเจ้าสาวออกมาจากห้องของเธอ
17ให้เหล่าปุโรหิตที่รับใช้ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ร่ำไห้ระหว่างเฉลียงและแท่นบูชาร้องว่า “โอ พระยาห์เวห์
ขอทรงโปรดไว้ชีวิตของประชากรของพระองค์ด้วย  ขออย่าทรงให้มรดกของพระองค์เป็นที่ครหา   เป็นที่เยาะเย้ย ท่ามกลางประชาชาติ 
เหตุใดพวกเขาจะพูดท่ามกลางประชาชนว่า “พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน?”

วันของพระเจ้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
18 แล้วองค์พระยาห์เวห์
ทรงหวงแหนแผ่นดินของพระองค์และทรงสงสารคนของพระองค์
19 และพระยาห์เวห์ทรงตอบ 
ตรัสกับประชากรของพระองค์ว่า
“ดูเถิด เรากำลังส่งข้าว เหล้าองุ่น และน้ำมันให้เจ้าและเจ้าจะอิ่มหนำ
และเราจะไม่ทำให้เจ้าเป็นที่ครหาของชาติต่าง ๆ อีกต่อไป 

20 เราจะเอาพวกที่อยู่ทางเหนือออกไปให้ไกลจากเจ้า
จะขับไล่มันไปยังแผ่นดินแห้ง ร้างเปล่า 
กองหน้าจะเข้าไปในทะเลตะวันออก 
และกองหลังจะไปทางทะเลตะวันตก
20 กลิ่นเหม็นคลุ้ง และกลิ่นเหม็นเน่าของมันจะโชยขึ้นมา เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ 
21 โอแผ่นดินเอ๋ย อย่ากลัวเลย
จงชื่นชมและยินดี 
เพราะพระเจ้าทรงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่

พระเจ้าทรงอยู่ท่ามกลางอิสราเอล
22 โอ สัตว์ทั้งหลายในทุ่งเอ๋ย  เพราะทุ่งหญ้าในถิ่นกันดารนั้น เขียวสด ต้นไม้ก็ออกผล  ต้นมะเดื่อและเถาองุ่น ออกผลเต็มที่  
23 โอ ลูกหลานของศิโยนเอ๋ย จงยินดีในพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า เพราะพระองค์ประทานฝนต้นฤดูแก่เจ้าเพื่อแสดงว่าเจ้าเที่ยงธรรม
พระองค์เทฝนลงมาให้เจ้าอย่างเกินพอ ทั้งฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดูเหมือนอย่างที่เคย 
24 ลาดนวดข้าวจะเต็มด้วยเมล็ดข้าว และ ถังเก็บเหล้าองุ่นและน้ำมันก็เต็มล้น

25 เราจะชดเชยปีเดือนที่ฝูงตั๊กแตนได้กินไป ทั้งตั๊กแตนจอมเขมือบ ตั๊กแตนกองทัพใหญ่ที่เราส่งมาท่ามกลางเจ้า
26 เจ้าจะมีกินบริบูรณ์ และอิ่มหนำ และจะสรรเสริญพระนามของพระยาห์ เวห์ พระเจ้าของเจ้า ผู้ได้จัดการกับเจ้าอย่างมหัศจรรย์ และคนของเราจะไม่ถูกครหาอีกต่อไป 
27 แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราอยู่ท่ามกลางอิสราเอล และเราคือ พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ไม่มีผู้ใดนอกเหนือจากเรา  และประชากรของเราจะไม่เป็นที่ครหาอีกต่อไป

พระเจ้าจะทรงเทพระวิญญาณของพระองค์ลงมา 

28 และต่อมาภายหลัง
เราจะเทพระวิญญาณของเราลงมาเหนือมนุษย์ทุกคน 
ลูกชายและลูกสาวของพวกเขาจะเผยพระคำ 
คนชราจะฝันเห็น และคนหนุ่มจะเห็นนิมิต 
29 ในเวลานั้น เราจะเทพระวิญญาณของเราลงมา
เหนือแม้กระทั่ง คนรับใช้ทั้งชายและหญิง

30 เราจะแสดงการอัศจรรย์ในท้องฟ้า
และบนแผ่นดินโลก  เลือด ไฟ และ กลุ่มเกลียวควัน 
31 ดวงอาทิตย์จะมืดไป
ดวงจันทร์กลายเป็นสีเลือด
ก่อนที่วันยิ่งใหญ่อันน่าสะพรึงของพระยาห์เวห์จะมาถึง
32 และทุกคนที่ร้องออกพระนามของพระยาห์เวห์
จะรับความรอด
เพราะจะมีคนรอดบนภูเขาศิโยน 
และในนครเยรูซาเล็มตามที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้แล้ว
และในหมู่คนที่เหลืออยู่นั้น
จะมีคนที่พระยาห์เวห์ทรงเรียกด้วย 


อธิบายเพิ่มเติม

โยเอล 2:1-2
1 โยเอลสั่งให้เป่าเขาสัตว์ เพื่อให้ทุกคนได้เตรียมพร้อมที่จะรับวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า  การเป่าเขาสัตว์ในสมัยโบราณเป็นการเตือนภัยที่กำลังใกล้เข้ามา ทุกคน ตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงเขาสัตว์   เพราะรู้ว่าจะเกิดภัยพิบัติแล้ว
ศิโยนหรือเยรูซาเล็มถือเป็นที่ประทับของพระเจ้า
พระเจ้าทรงเตือนล่วงหน้าให้คนอิสราเอลได้กลับใจก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายขึ้น  หรืออาจจะเป็นการบอกว่า พระเจ้ากำลังเสด็จมา (ในซีนาย ก็มีการเรียกเช่นนี้ มีความมืดเตือนล่วงหน้า (ฉธบ. 4:10-11  )  เป็นความมืดคล้ายเช้ามืด (ชาคาร์)
จากข้อ 1-11 บอกว่าจะถูกบุก ส่วน 12-17 เป็นคำสั่งให้กลับมาหาพระเจ้า
 2 ความมืด ความหมองหม่นนั้นชี้ให้เห็นถึงวันที่พระเจ้าปรากฏพระองค์บนภูเขาซีนาย (อพยพ 19:16-19) เป็นภาพเงาชี้ไปถึงวันของพระองค์ในอนาคต (อาโมส 5:18-20)

โยเอล 2;3-5
3 พออ่านเราก็เห็นภาพไฟที่ลามเข้าไปในทุ่ง แล้วไม่อาจหยุดได้ เราก็เห็นอนาคตแล้ว กำลังบอกว่า หายนะมาแล้ว   เมื่อพระเจ้าเสด็จมา จะมีเพลิงมาก่อนหน้าพระองค์ (สดุดี 50:3) และที่มานี้ร้อนแรง เผาผลาญ หยุดไม่ได้ แม้แผ่นดินข้างหน้าจะงดงามราวเอเดน ก็จะกลายเป็นดินที่ร้อนผ่าว เต็มด้วยควันลอยขึ้นมา
4-5  เราจะเห็นว่า ทั้งตั๊กแตนและกองทัพม้าศึกนั้นคล้ายกันมากตรงที่มาเร็ว ดุเดือด ดุดัน เสียงสนั่น และไม่อาจที่จะทัดทานได้ เมื่อมันจากไปก็ไม่เหลืออะไร ม้านี้มาเป็นม้าศึกเพราะมาพร้อมกับรถด้วย การเข้ามาบุกครั้งนี้ มาแบบเต็มที่  

โยเอล 2:6-9
6 ทุกคนเห็นอย่างนี้ ก็รู้ว่า ชีวิตของตนสิ้นสุดแน่
7-9 ลักษณะของกองทัพนี้ มีวินัยอย่างสูง แม่นยำ มีประสิทธิภาพมาก เมื่อได้รับคำสั่งมาอย่างไร ก็จะทำตาม   เราจะเห็นภาพของการกระโจน กระโดด เดินแถว เหยียบย่ำ วิ่ง เข้าตามหน้าต่าง  พวกเขาเคลื่อนไหวราวกับไม่มีอุปสรรคใด ๆ ทั้งที่มีกำแพงเมือง มีแนวป้องกัน มีบ้าน มีหน้าต่าง

โยเอล 2:10-11
10 กองทัพนี้ พบแผ่นดินไหวเบื้องหน้า จักรวาลสะเทือน อาทิตย์ จันทร์ ดาว มีดไปพร้อม ๆ กัน  ไม่มีวันไหนจะสร้างเหตุการณ์น่าสะพรึงสุดขีดเช่นนี้ได้นอกจากเป็นวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า คำว่า สั่นสะเทือนในที่นี้ ภาษาฮีบรูว่า ราอาช เกี่ยวข้องกับวันที่พระเจ้าทรงพิพากษาครั้งสุดท้ายนี้ ดูฮักกัย 2:6; อาโมส 8:8-9 
11 พระสุรเสียงของพระเจ้านั้นดังแบบที่ไม่มีลำโพงตัวไหนในโลกจะรับได้เลย เป็นเสียงดั่งฟ้าร้องดังเข้าไปถึงส่วนลึกของร่างกาย (เยเรมีย์ 10:13)  กองทัพที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะรับคำบัญชาของพระองค์ได้  เป็นคนอื่นไม่อาจทนได้เลย

โยเอล 2:12-14 
12 ยัง ยังพอมีโอกาสให้แก้ไขสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น พระเจ้าทรงสั่งให้กลับมาหาพระองค์ อดอาหาร เสียใจต่อความผิด ต่อความเย็นชาที่อิสราเอลทำกับพระองค์  จะเห็นว่าแม้จะอยู่กลางความวิกฤติ พระเจ้ายังทรงเรียก และทรงพร้อมจะพลิกวิกฤติเหล่านั้น
13พระองค์ทรงเรียกให้กลับมาด้วยสุดใจ ไม่ใช่แบบเล่น ๆ หรือเป็นแค่พิธีกรรม คำที่ว่า พระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ให้พวกเขามีหายนะ ทำให้เกิดความหวังใจ  เราต้องตระหนักว่า พระเจ้าทรงเมตตา กรุณา กริ้วช้า เต็มด้วยความรัก พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้คนบาปต้องเจอหายนะ และมีทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือการกลับใจ
14 นี่ไง .. ใครจะรู้? ใครจะคาดได้ พระเจ้าอาจทรงกลับมาเปลี่ยนพระทัย  หากเรารู้จักพระเจ้าของเรา  เราจะรู้ว่า พระเจ้าทรงให้โอกาสกับเราบ่อยเหลือเกิน เราเองกลับทิ้งโอกาสนั้นไป ไม่มีเยื่อใยกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ใครจะรู้บ้างว่า ต่อไปจะมีของถวาย พืชผลไร่นาจะกลับมาเหมือนเดิม

โยเอล 2:15-17
15 โยเอลสั่งให้เป่าเขาสัตว์เรียกประชุม เพื่อให้อดอาหารอธิษฐาน และกลับใจใหม่กันให้ทั่วทุกคน
16 ไม่มีการเว้นใครทั้งคนชรา แม้กระทั่งเด็กเล็ก หนุ่มสาวที่เพิ่งแต่งงาน  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำคัญต่อคนรุ่นต่อไปอย่างยิ่ง
17 และผู้ที่จะนำอธิษฐานเพื่อคนทั้งหลายก็คือปุโรหิตนั่นเอง  มีการประชุมกันระหว่างเฉลียงและแท่นบูชาพระเจ้า พวกเขาจะขอให้พระเจ้าทรงไว้ชีวิต และอย่าให้เป็นที่นินทาของชาติต่าง ๆ  เวลาคนอื่นดูหมิ่นอิสราเอลก็มักจะกล่าวว่า “พระเจ้าไปไหนกันนี่ หรือพระเจ้าของเจ้าอยู่ไหนกัน? เป็นคำถามที่คนจะกล่าวเพื่อให้เห็นว่า อิสราเอลไม่มีพระเจ้าปกป้อง 

โยเอล 2:18-21
จากนี้ไป โยเอลได้หักมุมมายังการรื้อฟื้นใหม่ของอิสราเอล  เราจะเห็นการรื้อฟื้นทั้งฝ่ายร่างกาย (2:21-27)  จิตวิญญาณ (2:28-32) และการรื้อฟื้นชาติขึ้นมาใหม่ด้วย (บทที่ 3)
18 การที่กล่าวว่า พระเจ้าทรงหวงแหนแผ่นดินของพระองค์นั้น  คือความมุ่งมั่นของพระเจ้าที่จะเข้ามาช่วยคนของพระองค์ เพื่อพระเกียรติสิริของพระองค์ (เศคาริยาห์ 1:14) เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงต้อนรับคนที่กลับใจจริง 19 ต่อมา  พระเจ้าทรงสัญญาจะส่งข้าว เหล้าองุ่น และน้ำมันให้  จะทรงทำให้อิ่ม ไม่เป็นที่นินทา พระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานของปุโรหิตที่อธิษฐานพร้อมกับประชาชน  นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงสงสารพวกเขา ทรงรู้ว่าหากไม่เป็นเพราะพระองค์ทรงช่วย พวกเขาไม่มีวันที่จะได้สิ่งดีคืนมาเป็นแน่ 
20-21 พระเจ้าจะทรงจัดการกับศัตรูของอิสราเอลด้วยพระองค์เอง  พระองค์จะทรงขับไล่พวกเขาไปยังที่ร้าง ทิศต่าง ๆ พวกเขาจะตายเป็นกอง … ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นกองทัพที่เกรียงไกร แต่ในที่สุดจะกลายเป็นแค่ซากศพ

โยเอล 2:22-27
โยเอลกำลังมองไปในอนาคต เขาเห็นว่า พระเจ้าทรงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมนุษย์ไม่อาจทำได้ 
22 พระองค์ทรงให้สัตว์ทุ่งได้ยินดี เพราะมีทุ่งหญ้าเขียวสดเกิดขึ้น (สดุดี 33:…)  เปรียบเหมือนเอเดนเลยทีเดียว (2:3)
23 จากบทที่หนึ่งโยเอลเห็นแต่หายนะ แต่มาเวลานี้ ด้วยความเชื่อ เขาเห็นว่า พระเจ้าจะประทานฝนต้นและปลายฤดูให้อย่างเคย มาถึงเวลานี้ คนอิสราเอลที่ไม่เคยเห็นความดีของพระเจ้าจะเข้าใจว่า พระองค์เท่านั้นที่ทรงเลี้ยงดูพวกเขาอยู่ ไม่ใช่เหล่ารูปเคารพที่พวกเขาหลงไปกราบไหว้
24 พระเจ้าประทานอาหารเหล้าองุ่น น้ำมันให้กลับมามีอย่างเหลือเฟือ 
25 พระเจ้าจะประทานสิ่งที่เคยมีมาก่อนชดเชยให้  แม้ว่าทุกอย่างจะถูกทำลายอย่างราบเป็นหน้ากลอง พระเจ้าจะทรงคืนให้
26 พวกเขาจะได้รับความอุดมสมบูรณ์ และจะกลับมาสรรเสริญพระเจ้าอีกครั้ง
27 การคืนความสุขให้อีกหลังจากที่พวกเขาได้สารภาพบาปกลับใจนั้น ทำให้อิสราเอลได้เห็นว่า ทรงเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด สงครามที่เข้ามา วิบัติต่าง ๆ ล้วนแต่จะนำพวกเขาให้กลับมาหาพระองค์ทั้งสิ้น  พวกเขาจะได้รู้ว่า พระเจ้าทรงรักษาพันธสัญญาของพระองค์ และจะทรงเอาความอับอายของพวกเขาออกไป

โยเอล 2:28-32
จากนี้ไปเราจะเห็นการรื้อฟื้นฝ่ายวิญญาณ
หลังจากที่พระเจ้าทรงให้ความอุดมสมบูรณ์กลับคืนมาแล้ว 
28 สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น จะเกิดกับคนทุกคน ทุกวัย  คนทุกชนชั้น!! ในสมัยพระคัมภีร์เดิมเราเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตเฉพาะบุคคลอย่างเช่น แซมสัน โยเซฟ โยชูวา เป็นต้น 
แต่ภายหลัง .. พระเจ้าประทานให้ทุกคนตามที่พระองค์ทรงพอพระทัย  และสิ่งนี้ได้สำเร็จในวันเพนเตคอส ในกิจการบทที่ 2 ตามที่โยเอลบอก ตามที่พระเยซูทรงบอกเช่นกัน 
29 เราจะเห็นว่า พระเจ้าไม่ได้เทพระวิญญาณมาเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นผู้รับใช้พระเจ้าโดยตรง แต่เหนือผู้เชื่อโดยไม่ต้องมาแบ่งชนชั้น สีผิว ฐานะ ตำแหน่ง 
30 จากนั้นพระเจ้าจะทรงให้เกิดการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ในท้องฟ้า บนแผ่นดินอย่างที่เราไม่เคยเห็นกันมาก่อน  เป็นสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น 
31 แต่จะเกิดก่อนวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าตอนนั้น เราอาจกลับใจไม่ทัน 
32 พระเจ้าทรงสัญญาจะให้คนที่ร้องออกพระนามของพระเยซูคริสต์  เชื่อพระนามว่า เป็นพระนามเดียวที่ให้ความรอด  คนที่หลงเหลือในอิสราเอลซึ่งพระเจ้าทรงเลือกและเรียกจะได้รับความรอด (มีคาห์ 2:12; ดาเนียล 11:45)

พระคำเชื่อมโยง

1* เยเรมีย์ 4:5; กันดารวิถี 10:5; โอบาดีย์ 15;
อาโมส 7:1-9
2* อาโมส 5:18; โยเอล 1:6; 2:11, 25; ดาเนียล 9:12; 12:1
3* อิสยาห์ 51:3; เศคาริยาห์ 7:14
4* วิวรณ์ 9:7
5* วิวรณ์ 9:9
6* เนหะมีย์ 2:10
7* สุภาษิต 30:27
9* เยเรมีย์ 9:21; ยอห์น 10:1
10* สดุดี 18:7; อิสยาห์ 13:10, 34:4
11* เยเรมีย์ 25:30; วิวรณ์ 18:8; อาโมส 5:18; มาลาคี 3:2

12* เยเรมีย์ 4:1
13* สดุดี 34:18; 51:17; ปฐมกาล 37:34; อพยพ 34:6
14* เยเรมีย์ 26:3; ฮักกัย 2:19; โยเอล 1:9, 13
15* กันดารวิถี 10:3; โยเอล 1:14
16* อพยพ 19:10; สดุดี 19:517* มัทธิว 23:35; อพยพ 32:11-12; สดุดี 42:10
18* อิสยาห์ 60:10, 63:9
19* มาลาคี 3:10
20* อพยพ 10:19; เยเรมีย์ 1:14-15; เฉลยธรรมบัญญัติ 11:24

22* โยเอล 1:19
23* อิสยาห์ 41:16 ; เลวีนิติ 26:4
25* โยเอล 1:4-7; 2:2-11
26* เลวีนิติ 26:5 ; อิสยาห์ 45:17
27* เลวีนิติ 26:11-12 ; อิสยาห์ 45:5-6
28* เอเสเคียล 39:29 ; เศคาริยาห์ 12:10; อิสยาห์ 54:13 ; กิจการ 21:9
29* กาลาเทีย 3:28
30* มัทธิว 24:29
31* อิสยาห์ 13:9-10; 34:4; มาลาคี 4:1, 5-6
32* โรม 10:13 ; อิสยาห์ 46:13; มีคาห์ 4:7

สุภาษิต 31 ถ้อยคำจากกษัตริย์เลมูเอล

นี่เป็นคำสอนจากเลมูเอล กษัตริย์แห่งมัสสา
1 ต่อไปนี้เป็นคำกล่าวของกษัตริย์เลมูเอล
เป็นถ้อยคำที่ท่านแม่ของท่านได้สอนไว้
2 ลูกชายของแม่เอ๋ย แม่จะพูดอย่างไรดี?
โอ ลูกชายจากครรภ์ของแม่ ?
โอ ลูกชายที่เกิดจากคำสัญญา?
3 เจ้าอย่าไปเสียแรงของเจ้าให้กับผู้หญิง
หรือกำลังวัยหนุ่มของเจ้ากับคนที่ทำลายเหล่ากษัตริย์
4 โอ เลมูเอล .. สิ่งนี้ไม่ใช่สำหรับองค์กษัตริย์
การดื่มเหล้าองุ่นไม่เหมาะกับองค์กษัตริย์
ไม่เหมาะสมเลยที่เหล่าผู้นำจะโหยหาสุรา
5 เพราะหากดื่มไปแล้ว ท่านก็อาจจะลืมไปว่า
ได้ออกกฎหมายอะไรไปบ้าง
และทำให้คนที่ถูกข่มเหงไม่ได้รับความเป็นธรรม
6 จงเอาเครื่องดื่มแรง ๆ ให้กับคนที่กำลังพินาศ
และเหล้าองุ่นให้กับคนที่กำลังทุกข์ทรมานใจ
7 ให้เขาดื่มเพื่อจะลืมความยากจน
และลืมความทุกข์ลำเค็ญของตน
8 จงเป็นปากเสียงให้กับคนที่ไม่อาจปกป้องตนเองได้
จงช่วยคนที่ถูกทอดทิ้ง
9 จงเป็นปากเสียงให้กับพวกเขาและพิพากษาอย่างเที่ยงธรรม
จงรักษาสิทธิคนยากจนและคนขัดสน

คุณความดีของสตรีที่ดีเลิศ
10 ใครบ้างที่จะหาภรรยาที่เลิศล้ำได้?
เธอนั้นทรงคุณค่ายิ่งกว่าอัญมณี
11 สามีวางใจในตัวเธอ
และเขาไม่ขาดสิ่งดีใด ๆ เลย
12 ตลอดวันคืนแห่งชีวิตของเธอ
เธอนำสิ่งดี ๆ มาให้เขา ไม่ใช่ความเสียหาย
13 เธอตามหาขนแกะ และใยป่าน
แล้วทำงานด้วยมือทั้งสองอย่างเต็มใจ
14เธอเป็นเหมือนเรือสินค้า
ที่นำอาหารมาจากแดนไกล
15 เธอตื่นตั้งแต่ฟ้ายังมืด
เพื่อจัดหาอาหารให้คนในครัวเรือน
และยังมีส่วนแบ่งให้กับสาวใช้ของเธอด้วย

16 เธอออกไปสำรวจที่ดินและซื้อไว้
เธอปลูกสวนองุ่นจากรายได้แห่งน้ำมือของเธอ
17 เธอทำให้ตัวเองมีกำลัง
เธอทำให้แขนของเธอแข็งแกร่ง
18 เธอคอยดูว่าสินค้านั้นให้ผลกำไรที่ดี
และยามค่ำ ตะเกียงของเธอก็ไม่ดับ
19 เธอยื่นมือออกม้วนด้าย
และทอผ้าด้วยมือของเธอ
20 เธอโอบอ้อมช่วยเหลือคนยากจน
และยื่นมือออกช่วยคนขัดสน
21 เมื่อหิมะตก ก็ไม่ต้องห่วงคนในครอบครัว
เพราะพวกเขาสวมเสื้อผ้าทอสีแดงสด
22 เธอทำผ้าคลุมที่นอนด้วยตัวเอง
เสื้อผ้าของเธอเป็นผ้าลินินเนื้อดีสีม่วง
23 สามีของเธอเป็นที่รู้จักที่ประตูเมือง
เขานั่งอยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่ของแผ่นดิน
24 เธอทำเสื้อผ้าลินินไว้ขาย
และส่งผ้าคาดเอวให้กับพ่อค้า
25 พลังและความงามสง่าเป็นอาภรณ์ของเธอ
เธอหัวเราะให้กับอนาคตที่จะมาถึง


26 เธอเอ่ยปากกล่าวคำแห่งสติปัญญา
และลิ้นของเธอมีคำสอนเจือความเมตตา
27 เธอดูแลกิจการทั้งสิ้นในครัวเรือนของเธอ
และไม่กินอาหารที่ได้มาจากการอยู่นิ่งเฉย
28 ลูก ๆ ของเธอลุกขึ้นมาและเรียกเธอว่า
คุณแม่ผู้ได้รับพระพร สามีก็ยกย่องเธอเช่นกัน
29“สตรีมากมายได้ทำสิ่งที่มีเกียรติ
แต่เธอนั้นเป็นเลิศเหนือพวกเธอเหล่านั้น!”
30 เสน่ห์เป็นสิ่งที่หลอกลวงตา และความงามก็ไม่ถาวร
แต่สตรีที่ยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นคนที่น่ายกย่อง
31 ขอให้เธอได้รับผลจากน้ำมือของเธอ
ให้การงานของเธอเชิดชูเธอที่ประตูเมือง

พระคำเชื่อมโยง สุภาษิต 31

2* อิสยาห์ 49:15
3* สุภาษิต 5:9; เฉลยธรรมบัญญัติ 17:17
4* ปัญญาจารย์ 10:17
5* โฮเชยา 4:11

6* สดุดี 104:15
8* โยบ 29:15, 16
9* เลวีนิติ 19:15; เยเรมีย์ 22:16

10* สุภาษิต 12:4; 19:14
15* โรม 12:11; ลูกา 12:42
20* เอเฟซัส 4:28
23* สุภาษิต 12:4