อาโมส 5 คร่ำครวญเพื่ออิสราเอล

ความโศกเศร้าของอาโมส
1โอ วงศ์วานอิสราเอล
ขอให้เจ้าฟังเสียงคร่ำครวญของข้าถึงเจ้าว่า
2 “พรหมจารีอิสราเอลได้ล้มลง
และไม่อาจจะลุกขึ้นมาได้อีกเลย
เธอถูกทิ้งบนแผ่นดินของเธอเอง
โดยไม่มีใครช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นเลย
3 เพราะพระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสว่า  “เมืองซึ่งส่งทหารเดินทัพออกไปนับพัน จะมีทหารเหลือเพียงร้อย  และเมืองที่ส่งทหารออกไปนับร้อย จะมีเหลือเพียงสิบในวงศ์วานอิสราเอล

ความโศกเศร้าของอาโมส
5:1-2 คราวนี้อาโมสคร่ำครวญเพราะสิ่งที่เขาเห็น   พรหมจารีอิสราเอลนั้นคือ ทั้งประเทศที่ยังไม่ทันเริ่มเป็นประเทศได้ดีก็ถูกทำลายเสียแล้ว    แต่ความบาปของอิสราเอลก็นำมาซึ่งหายนะให้กับตัวเอง ถูกทิ้งบนแผ่นดินซึ่งเป็นของประทานจากพระเจ้า และก็ไม่มีใครหน้าไหนมาช่วยได้เลย
5:3 อิสราเอลได้ส่งทหารออกไปเพื่อปกป้องตนเอง แต่กลายเป็นความพ่ายแพ้ ไม่อาจทำลายศัตรู แต่กลับถูกศัตรูทำลาย 

 จงแสวงหาพระเจ้าและมีชีวิต
4 เพราะพระยาห์เวห์ตรัสกับวงศ์วานอิสราเอลดังนี้
“จงแสวงหาเราและมีชีวิตอยู่!
5 อย่าแสวงหาเบธเอล หรือไปยังกิลกาล หรือเดินทางไปเบเออร์เชบา เพราะกิลกาลจะต้องตกไปเป็นเชลยแน่ ส่วนเบธเอลก็จะไม่มีอะไรเหลือให้เห็น 

6 จงแสวงหาพระยาห์เวห์และมีชีวิตอยู่ ไม่อย่างนั้น
พระองค์จะทรงออกไปเหมือนเพลิงเพื่อเผาผลาญวงศ์วาน
โยเซฟ ไฟนั้นจะผลาญทุกสิ่ง
ไม่มีใครในเบธเอลจะช่วยดับไฟนั้นได้
7 พวกเจ้าที่เปลี่ยนความยุติธรรมให้กลายเป็นความขมขื่น
ผู้เหวี่ยงความเที่ยงธรรมลงบนพื้น 

 จงแสวงหาพระเจ้าและมีชีวิต
5:4-5แล้วพระเจ้าก็ทรงบอกหนทางที่พวกเขาจะรอดได้
วิธีเดียวคือแสวงหาพระเจ้า และพระองค์จะทรงให้ชีวิตกับพวกเขา  ไม่ต้องไปหาแท่นบูชาเทพในเบธเอล กิลกาล หรือเบเออร์เชบาซึ่งเป็นสถานที่อิสราเอลนิยมไปทำพิธีอันน่าชัง   การหันไปหารูปเคารพคือความตาย 

5:6-7 พระเจ้าทรงบอกซ้ำอีกครั้ง พวกเขาจะฟังหรือเปล่าทรงเป็นศัตรูกับคนที่กราบไหว้รูปเคารพอย่างชัดเจน 
วงศ์วานโยเซฟในที่นี้คือชนชาติอิสราเอลทั้งเหนือและใต้
เมื่อไฟของพระเจ้ามา ไม่มีใครดับได้ …. ลองคิดถึงไฟที่ไหม้ป่าเป็นเวลานานต่อเนื่องจะดับเองต่อเมื่อหมดเชื้อไฟ 
พระเจ้าทรงยืนยันถึงความผิดของพวกเขาอีกครั้ง​…
ทำให้ความยุติธรรมกลายเป็นอยุติธรรม
เหวี่ยงความเที่ยงธรรมราวกับเป็นสิ่งไม่มีค่า
ทำให้ชีวิตของประชาชนคนยากจนเข็ญใจจำนวนมากพบความทุกข์แสนสาหัส   

ยืนยันความยิ่งใหญ่ของพระยาห์เวห์
8 พระองค์ผู้ทรงสร้างดาวลูกไก่และดาวไถ
ผู้ทรงทำให้ความมืดกลายเป็นรุ่งเช้า
และทรงทำให้กลางวันกลายเป็นกลางคืนที่มืดสนิท 
พระองค์ผู้ทรงเรียกน้ำทะเลมาให้โปรยลงบนพื้นผิวโลก พระนามของพระองค์คือ พระยาห์เวห์ 
9 พระองค์ทรงนำหายนะมายังสถานที่ ๆ แข็งแกร่ง
และหายนะเหล่านั้นทำให้เมืองป้อมต่าง ๆ ทลายลง

เวลาแห่งความชั่ว
10 พวกเขาเกลียดคนที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมที่ประตูเมือง และเกลียดชังคนที่กล่าวความจริง 
11 ดังนั้น เป็นเพราะเจ้าได้เหยียบย่ำคนยากจน
และรีดไถเอาเมล็ดข้าวจากไร่ของเขา
เจ้าจะไม่ได้อาศัยในบ้านหินสกัด ที่เจ้าสร้างขึ้นมา
เจ้าจะไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นจากสวนองุ่นที่งดงามซึ่งเจ้าเป็นผู้ปลูก
12  เพราะเรารู้ว่าเจ้ากระทำการผิดมากเพียงใด
และบาปของเจ้าก็นับไม่ถ้วน 
พวกเจ้าได้ข่มเหงคนเที่ยงธรรมและรับสินบน
และไม่ยอมให้ความยุติธรรมแก่คนยากจนที่ประตูเมือง 
13 ดังนั้น คนที่หลักแหลมจะนิ่งเงียบ
ในเวลาเช่นนี้
เพราะเป็นวันเวลาแห่งความชั่ว 

ยืนยันความยิ่งใหญ่ของพระยาห์เวห์
5:8 ทำไมอยู่ดี ๆ พระเจ้าทรงอ้างไปถึงดวงดาว?
เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้แค่กราบไหว้รูปเคารพเท่านั้น แต่ยังกราบนมัสการดวงดาวด้วย อาโมสได้แจ้งให้พวกเขาทราบว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่พระ แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างมาด้วยพระองค์เอง
พระองค์เป็นผู้ทำให้มืดกลายเป็นรุ่งเช้า คนสมัยก่อนยังไม่รู้ว่า พระเจ้าทรงสร้างระบบสุริยะของเรา พระองค์ทรงจัดเตรียมทุกอย่าง แล้วมนุษย์ค่อยมาค้นพบทีหลังว่าอะไรเป็นอะไร พระองค์ทรงสร้างอย่างไร วัฏจักรของน้ำคืออะไร
พระองค์ทรงบอกเรามาตั้งแต่ก่อนคริสตศักราชหลายร้อยปี พวกเราเองเพิ่งมาค้นพบ นี่เป็นพระคำที่มหัศจรรย์สำหรับเราในยุคนี้   พระยาห์เวห์คือพระนามที่ยิ่งใหญ่นี้
5:9 ดังนั้น พระองค์ผู้ทรงสร้างจักรวาลจึงทรงเป็นผู้ที่จะนำการทำลายมายังสถานที่ ซึ่งมนุษย์เข้าใจว่า แข็งแกร่ง ไม่มีใครจะทำลายได้!

เวลาแห่งความชั่ว
5:10-12  การเรียกร้อง ต่อสู้เพื่อความถูกต้องมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และเขาจะทำกันที่ประตูเมืองเพราะที่นั่นเป็นเหมือนศาลของเมือง ขบวนการทางกฎหมายจะเกิดขึ้นที่ประตูเมือง เป็นที่ ๆ ผู้ใหญ่ของเมืองประชุมกัน
การที่ผู้นำรีดไถเอาข้าวจากไร่ของคนยากจนเป็นภาษี ทำให้พวกเขาอดอยาก   ผู้นำเหล่านี้มั่งคั่งจนสร้างบ้านหินสกัด แต่พระเจ้าจะไม่ให้เขาได้เสวยสุขจากบ้าน จากไร่องุ่นของพวกเขา เป็นเพราะ….
บาปของพวกเขานั้นนับไม่ถ้วน ทำผิดมากจนท่วมท้น นอกจากผิดต่อพระเจ้าแล้ว ยังเป็นความผิดต่อผู้อื่นอย่างชัดเจนมาก ๆ 
5:13 คำว่าคนที่หลักแหลม บางแห่งแปลเป็นคนมีสติปัญญา ในที่นี้หมายถึงทั้งคนที่ประสบความสำเร็จ มั่งคั่ง ซึ่งก็คือคนที่ข่มเหงคนยากจนนั่นเอง พวกเขาอยู่นิ่งเฉยต่อหน้าสิ่งที่พวกเขาทำกับคนอื่น
พวกเขาจะนิ่งเพราะพระเจ้าทรงลงโทษพวกเขาอยู่
เป็นเวลาแห่งความย่อยยับของพวกเขา (ข้อนี้แปลความหมายอิง net bible)
หรือถ้าหากคำว่าคนหลักแหลม มีความหมายว่า เป็นคนมีสติปัญญา ดีที่สุดคือการนิ่งเงียบเพราะไม่อย่างนั้น เท่ากับหาเรื่องเข้าหาตัวนั่นเอง

สิ่งที่ต้องแสวงหา
14 จงแสวงหาความดี ไม่ใช่ความชั่วเพื่อว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่
แล้วพระยาห์เวห์องค์จอมทัพจะสถิตกับเจ้า
ตามที่พวกเจ้ากล่าวคำอ้างเอาไว้ 
15 จงชังความชั่วและรักความดี
รักษาความยุติธรรมที่ประตูเมือง
บางทีพระยาห์เวห์ พระเจ้าองค์จอมทัพ
จะทรงเมตตาต่อคนที่หลงเหลือของโยเซฟ

16 ดังนั้น พระยาห์เวห์ พระเจ้าองค์จอมทัพ
องค์พระยาห์เวห์ตรัสว่า
“จะมีการร้องไห้คร่ำครวญตามสี่แยก
พวกเขาจะร้องด้วยความเจ็บปวดตามถนนทุกแห่ง
ชาวนาชาวไร่จะถูกเรียกมาให้ร้องไห้ด้วยกัน
รวมทั้งคนรับจ้างร้องไห้ก็จะถูกเรียกมาด้วย 
17 จะมีการคร่ำครวญในสวนองุ่นทุกแห่ง
เพราะเราจะผ่านไปท่ามกลางเจ้า”
พระยาห์เวห์ตรัส 

สิ่งที่ต้องแสวงหา
5:14 อาโมสบอกอีกแล้วว่าให้กลับมาแสวงหาพระเจ้า เพื่อเขาจะมีชีวิต พระเจ้าจะทรงอยู่กับพวกเขา พวกเขานั้นรู้ดีว่า ควรทำอะไรทั้ง ๆที่ทำบาปอยู่ รู้ว่าควรกลับมาหาพระเจ้า แต่ก็ไม่ทำ
5:15 เผื่อว่าพระเจ้าจะทรงเมตตาต่อคนที่หลงเหลืออยู่ของคนทางเหนือที่ยังซื่อตรงต่อพระองค์ พวกเขาทุก ๆ คน ควรจะเกลียดชังความชั่ว รักความดี แต่แล้ว พวกเขายังดื้อด้าน ไม่ยอมทำ ไม่ยอมดีขึ้น.. ดังนั้น ความทุกข์จะเกิดขึ้นตามที่พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้า

5:16-17 สองข้อนี้บอกชัดว่า พวกเขาจะต้องพบอะไร
การร้องไห้ ความเจ็บปวด คร่ำครวญ …เกิดขึ้นทั้งเมือง ทั้งชาติ ทุกหนแห่ง
และพระองค์จะทรงผ่านไปท่ามกลางพวกเขา ไม่ใช่เพื่ออวยพระพร แต่เพื่อก่อให้เกิดความตาย ผู้คนต่างต้องมาฝังศพคนที่ตาย เหตุการณ์นี้จะคล้ายกับตอนที่พระเจ้าทรงผ่านไปท่ามกลางคนอียิปต์เพื่อส่งวิบัติมาให้ (อพยพ 11:4-7; 12:12-13))

วันแห่งองค์พระยาห์เวห์
18 วิบัติแก่คนที่ปรารถนาวันของพระยาห์เวห์! 
วันขององค์พระยาห์เวห์จะเป็นอย่างไรต่อเจ้าหรือ?
จะเป็นวันแห่งความมืดไม่ใช่ความสว่าง !
19 จะเป็นเหมือนคนที่หนีจากสิงโตเพื่อไปเผชิญกับหมี เขากลับไปบ้านเอามือพิงกำแพง กลับถูกงูฉกกัด 
20 วันขององค์พระยาห์เวห์จะเป็นวันที่มืด ไม่ใช่วันสว่าง มืดมิดจนไม่มีความสว่างสักนิดมิใช่หรือ?

21  เราเกลียด เราชังงานเทศกาลทั้งหลายของเจ้า เราไม่อาจทนกลิ่นเหม็นคละคลุ้งยามที่เจ้าประชุมกันอย่างเคร่งขรึม
22 แม้เจ้าจะนำสัตว์ถวายเป็นเครื่องบูชา และธัญบูชามาถวายเราก็จะไม่รับ เราไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมเพื่อถวายวัวขุน 
23 จงหยุดส่งเสียงร้องเพลงของเจ้า เราจะไม่ฟังเสียงจากพิณของเจ้า 

24 แต่จงให้ความยุติธรรมไหลเหมือนน้ำ
และให้ความเที่ยงธรรมไหลเหมือนน้ำในลำธารที่ไหลไม่ขาดสาย 

25 “โอ วงศ์วานอิสราเอล  ตลอดสี่สิบปีในถิ่นกันดารนั้น เจ้าได้ถวายเครื่องบูชา และธัญบูชาให้เราหรือ ? 
26  แต่เจ้าได้ยกกษัตริย์ของเจ้า ฐานรูปเคารพของเจ้า
และเทพแห่งดวงดาวของเจ้าขึ้นซึ่งเป็น
รูปปั้นที่เจ้าสร้างขึ้นเพื่อตัวเจ้าเอง   
27 ดังนั้นเราจะส่งเจ้าไปเป็นเชลยยังดินแดนที่ไกลกว่าดามัสกัส” พระยาห์เวห์องค์จอมทัพคือพระนามของพระองค์ เป็นผู้ตรัสดังนั้น    

วันแห่งองค์พระยาห์เวห์
5:18-20  หากเราเจอคำว่า วิบัติ ในภาษาฮีบรูว่า ฮอย  เป็นคำที่ประกาศวิบัติที่กำลังเคลื่อนเข้ามา  คนไม่น้อยในสมัยอาโมสสนใจวันของพระเจ้า หรือวันของพระยาห์เวห์ พวกเขาหารู้ไม่ว่าวันนั้นเป็นวิบัติสำหรับพวกเขาที่ดื้อดึงต่อพระเจ้าตลอดมา (พวกเขาเข้าใจว่าเป็นวันที่พระเจ้าจะทรงชนะศัตรู และจะทรงปกครองเหนือโลกนี้  (โยเอล  3:18-21)  แต่อาโมส กำลังบอกอีกมุมของวันแห่งพระยาห์เวห์ ว่าพวกเขาจะต้องเจอกับความหายนะ ความมืดมิด ถ้ายังทำตัวเช่นนี้ (เศคาริยาห์  14:1-3)

5:21-23  พระเจ้าทรงบอกตรง ๆ ว่าทรงชังงานเทศกาลที่พวกเขาทำขึ้นมา  ทรงรู้สึกเหม็นกับสิ่งที่พวกเขาทำ  ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร ถวายสัตว์ ถวายธัญพืช วัว พระองค์ไม่รับทั้งสิ้น  ไม่ฟังเสียงเพลงร้องสรรเสริญของพวกเขาด้วย 


5:24 สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ไม่ใช่ของถวาย การกระทำที่ดูศักดิ์สิทธิ์  หรือการร้องเพลง การเล่นดนตรีเสียด้วยซ้ำ พระองค์ทรงประสงค์ให้พวกเขาเป็นคนยุติธรรมต่อคนยากจน  ประพฤติตนต่อคนอื่นอย่างถูกต้องเที่ยงธรรมอย่างสม่ำเสมอ  ไม่หยุด…

5:25-26 ในช่วงเวลาออกมาจากอียิปต์ อยู่ในถิ่นกันดารนั้น พวกเขาไม่ได้แค่ถวายเครื่องบูชา ธัญบูชาแด่พระเจ้า แต่ยังได้มีเทพอื่นติดตัวมาด้วย  (กิจการ 7:42-43; อพยพ 32)  พวกเขารักใส่ใจในพิธีกรรมที่ดูศักดิ์สิทธิ์   แล้วระหว่างทางยังได้สร้างวัวทองคำขึ้นมาอีก   พวกเขาต้องการพระที่มองเห็นได้ ไม่ใช่พระยาห์เวห์ที่พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงที่ภูเขาซีนาย  แต่กลับมองไม่เห็น  เห็นไม่ได้ 
ที่เขาสร้างรูปเคารพขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการหลายอย่างในตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการทางร่างกาย ทางเพศ เพราะเราจะเห็นได้จากพิธีกรรมที่อุจาดของพวกเขา (โรม  7 ชัดเจนเรื่องนี้)
 5:27 ในเมื่ออิสราเอลดึงดันที่จะนมัสการพระอื่นแบบต่าง ๆ พระเจ้าจะทรงส่งพวกเขาไปไกลกว่าดามัสกัส ซึ่งเป็นเมืองหลวงของซีเรีย นั่นคือ ไปถึงอัสซีเรียเลย 

พระคำเชื่อมโยง

อาโมส 5
1* เยเรมีย์ 7:29; 9:10, 17
4* เยเรมีย์ 29:13; อิสยาห์ 55:3
5* อาโมส 4:4; 8:14; 4:15
6* อิสยาห์ 55:3, 6-7
7* อาโมส 6:12
8* โยบ 9:9; 38:31; สดุดี 104:20 ; อาโมส
11* อาโมส 2:6; มีคาห์ 6:15

12* โฮเชยา 5:3; อาโมส 2:6; อิสยาห์ 29:21
13* อาโมส 6:10
14* มีคาห์ 3:11
15* โรม  12:9; โยเอล 2:14
16* เยเรมีย์ 9:17
17* อพยพ 12:12
18* อิสยาห์ 5:19; โยเอล 2:2
19* เยเรมีย์ 48:44

21* อิสยาห์ 1:11-16; เลวีนิติ 26:31
22* มีคาห์ 6:6-7
24* มีคาห์ 6:8
25* เฉลยธรรมบัญญัติ 32:17
26* 1 พงศ์กษัตริย์ 11:33
27* 2 พงศ์กษัตริย์ 17:6; อาโมส 4:13

อาโมส 4 เตรียมตัวพบพระเจ้าของเจ้า!

พระดำรัสถึงผู้หญิงรักสบาย
1  จงฟังคำเหล่านี้ เหล่าแม่วัวจากบาชาน 
ผู้อาศัยบนบนภูเขาสะมาเรีย 
เหล่าผู้หญิงที่กดขี่คนยากจน 
และบดขยี้ชีวิตของคนที่ขัดสน
พวกนางพูดกับสามีว่า
“ไปหยิบเหล้ามาให้ฉันหน่อยสิ”
2 พระยาห์เวห์องค์พระเจ้าทรงปฏิญาณ
โดยความบริสุทธิ์ของพระองค์ว่า 
“ดูเถิด วันนั้นจะมาถึงแน่
เป็นวันที่เจ้าจะถูกลากออกไปด้วยขอเกี่ยว
แม้คนสุดท้ายก็จะถูกลากออกไปด้วยเบ็ดตกปลา
(หรือหม้อใส่ปลา)
3 เจ้าจะได้ออกไปตามรอยแตกในกำแพง 
ผู้หญิงแต่ละคนวิ่งตรงไป
และจะถูกลากไปตามทางไปยังฮารโมน
นี่เป็นคำประกาศของพระยาห์เวห์
4 “จงไปยังเบธเอล และทำตัวดื้อดึง 
ดื้อด้านให้พอที่กิลกาล 
จงนำเครื่องบูชามาทุกเช้า 
และสิบลดหนึ่งมาทุก ๆ สามวัน
5  จงถวายขนมปังมีเชื้อเป็นเครื่องบูชาขอบพระคุณ
และอวดเสียงดังเมื่อเจ้าถวายเครื่องบูชาตามความสมัครใจ เพราะคนอิสราเอลชอบทำเช่นนี้!”
พระยาห์เวห์ทรงประกาศดังนั้น 

พระดำรัสถึงผู้หญิงรักสบาย
4:1 แม่วัวแห่งบาชาน คือ หญิงชั้นสูงชาวสะมาเรียที่ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา กดขี่คนยากจน ขัดสน พวกเธอไร้น้ำใจ แล้วแถมยังเป็นนายเหนือสามีที่พวกเธอมองเป็นเหมือนทาสของตัวเอง  (อิสยาห์ 3:16-26; 32:9-13). บาชานเป็นพื้นที่ซึ่งมีดินดี ทุ่งหญ้าเขียวขจี แถบภูเขาเฮอร์โมน 

4:2 พระเจ้าทรงปฏิญาณว่า เหตุการณ์ร้ายต่อไปนี้จะเกิดขึ้นกับพวกเขาแน่นอน คือ การถูกลากออกไป ไม่ใช่แค่เดินแถวไปเป็นเชลย  (สำหรับขอเกี่ยว มีบางเล่มแปลว่า  ตะกร้า) อ่านเยเรมีย์ 16:16 จะเห็นว่าเขาถูกตามล่า  จากที่อาโมสกล่าวนี้ น่าจะเป็นการถูกจับใส่ตะกร้าใหญ่ลากไป หรือถูกมัดเชือกต่อ ๆ กันเดินไปจนถึงที่หมาย 

4:3  พวกผู้หญิงจะถูกลากออกไป  บางคนอาจจะตาย และถูกทิ้งศพไว้ตามกำแพง
ไม่ทราบแน่ชัดว่า ฮารโมน อยู่ที่ใด  ภาษาเดิมเขียนไม่เหมือนคำว่าเฮอร์โมน ซึ่งเป็นภูเขาของบาชาน 
แต่นี่คือปลายทางของแม่วัวแห่งบาชาน  ผู้หญิงที่ไร้น้ำใจต่อคนยากจน 

4:4-5 เบธเอลเป็นที่ ๆ ยาโคบฝันถึงบันไดสู่สวรรค์ (ปฐมกาล 28) ส่วนกิลกาลเป็นที่ ๆ อิสราเอลเข้าสุหนัตก่อนที่จะเดินล้อมรอบเมืองเยรีโค (โยชูวา 5:1-9)  แต่แล้วต่อมา กลับกลายเป็นศูนย์กลางการไหว้รูปเคารพของอิสราเอล พระเจ้าทรงกล่าวเย้ยพวกเขาให้ไปที่นั่นและทำบาปต่อพระองค์เพิ่มขึ้น ให้ถวายเครื่องบูชาทุกเช้า ถวายสิบลดทุกสามวันแทนที่จะเป็นทุกสามปี (เฉลยธรรมบัญญัติ  14:28-29) ให้ทำตัวเคร่งครัดต่อการกราบไหว้รูปเทพต่าง ๆ ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาและหลงว่าเป็นพระเจ้า
ทรงบอกเขาตรง ๆ ว่า พวกเขาชอบทำตัวเช่นนั้น คือเมื่อกราบไหว้ก็ต้องเบ่ง ให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองถวายอะไรเป็นเครื่องบูชาตามสมัครใจที่น่าชื่นชมขนาดไหน   (ขนมปังมีเชื้อนั้นถวายเป็นสันติบูชาตามเลวีนิติ 7:13) 

พระเจ้าทรงลงวินัย
เราได้ทำให้เจ้าไม่มีอะไรกินในทุกเมืองของเจ้า 
ไม่มีอาหารในทุกชุมชน แต่เจ้าก็ยังไม่กลับมาหาเรา
พระยาห์เวห์ทรงประกาศ 
7  เรายับยั้งฝนไว้จากพวกเจ้า
ทั้ง ๆ ที่อีกสามเดือนก็จะต้องเก็บเกี่ยว 
เราส่งฝนมายังเมืองหนึ่ง แต่อีกเมืองไม่มีฝน 
ทุ่งนาผืนหนึ่งมีฝนตก แต่อีกทุ่งที่ไม่มีฝนนั้น
ต้นไม้ก็เหี่ยวแห้ง  
8  ชาวเมืองสองสามเมือง
ระหกระเหินไปยังอีกเมืองเพื่อหาน้ำดื่ม
แต่ก็ไม่พอดื่ม  ถึงอย่างนั้น พวกเจ้าก็ไม่กลับมาหาเรา
” พระยาห์เวห์ทรงประกาศ 

พระเจ้าทรงลงวินัย

4:6 พระเจ้าทรงลงโทษพวกเขาด้วยความอดอยาก (1 พงศ์กษัตริย์  8:37-39 )แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ ไม่กลับใจ ไม่กลับมาหาพระเจ้า ถึงแม้ โมเสสบอกไว้ (เฉลยธรรมบัญญัติ 28:17) อาโมสบอกซ้ำ ก็ยังไม่รับฟัง 

4:7-8 สามเดือนก่อนเก็บเกี่ยว พระเจ้าทรงยับยั้งไม่ให้มีฝน ทรงให้มีที่ ๆ ฝนตก บางที่ไม่มีเลย ทรงบอกสภาพของบ้านเมืองในเวลานั้นชัดเจน  พวกเขารู้อยู่ว่า ฝนแล้งเป็นผลของการไม่เชื่อฟัง ละเมิดบทบัญญัติของพระเจ้า (เฉลยธรรมบัญญัติ 28:22-24)
แต่เขาก็ไม่กลับมาหาพระองค์ 

ภาพการลงโทษ
9 “เราได้โจมตีไร่นาของพวกเจ้า
ด้วยลมร้อนและเชื้อรา 
ฝูงตั๊กแตนมาขย้ำกินต้นไม้ และต้นองุ่น
ทั้งต้นมะเดื่อและต้นมะกอกของพวกเจ้า
แต่เจ้าก็ยังไม่หันกลับมาหาเรา

พระยาห์เวห์ทรงประกาศ 
10 “เราได้ส่งภัยพิบัติมาหาเจ้า
เหมือนกับที่เราทำต่ออียิปต์
เราสังหารคนหนุ่มด้วยดาบ
รวมไปถึงม้าที่เจ้ายึดมา 
เราทำให้ค่ายทหารของเจ้ามีกลิ่นเหม็นจากศพ
คลุ้งปะทะเข้าจมูกของเจ้า
แต่เจ้าก็ยังไม่หันกลับมาหาเรา

พระยาห์เวห์ทรงประกาศ
11 “เราได้โค่นพวกเจ้าบางคนลงไป
เหมือนกับที่เราได้โค่นโสโดมและโกโมราห์ 
เจ้าเป็นเหมือนกิ่งไม้ที่ถูกฉวยออกมาจากกองไฟ
ถึงอย่างนั้นพวกเจ้าก็ยังไม่กลับมาหาเรา

พระยาห์เวห์ทรงประกาศ ดังนั้น
 

ผลที่จะได้รับ
12 “ดังนั้น อิสราเอลเอ๋ย
นี่เป็นสิ่งที่เราจะกระทำต่อเจ้า
และเป็นเพราะเราจะทำกับเจ้าดังนี้
อิสราเอลก็จงเตรียมตัวที่จะพบพระเจ้าของเจ้า!”
13 พระองค์ทรงอยู่ที่นี่
พระองค์ผู้ทรงสร้างขุนเขา
ผู้ทรงสร้างสายลมขึ้นมา
และพระองค์ทรงสำแดงพระดำริของพระองค์แก่มนุษย์
พระองค์ผู้ทรงนำรุ่งอรุณออกมาจากความมืดมิด
พระองค์ผู้ทรงย่างพระบาทบนที่สูงของแผ่นดินโลก
พระนามของพระองค์คือ พระยาห์เวห์ องค์จอมทัพ

ภาพการลงโทษ
4:9 ทั้งลมร้อน เชื้อรา ฝูงแมลง มาทำลายพืชผล ที่พวกเขาควรจะเก็บเกี่ยวได้ ทุกอย่างนี้มาจากพระเจ้าทั้งสิ้น ทรงแจ้งให้เขารับรู้ 

4:10 ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงให้ศัตรูมาโจมตี พวกเขาพ่ายแพ้ยับเยิน ทหารตาย ศพไม่ได้ฝังมากมาย แต่คนอิสราเอลก็ไม่กลับมาหาพระเจ้า มีอะไรอีกที่พระเจ้าจะทรงทำเพื่อให้เขากลับใจ?

4:11 พระเจ้าทรงทำลายบางเมืองไปแล้ว  ทรงทำให้เมืองเหล่านั้นไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้อีก  ทรงทำให้บางคนตายไป  แต่ยังมีบางคนที่พระเจ้าทรงให้รอดอย่างหวุดหวิด   เป็นเพราะพระเมตตาของพระองค์ พวกเขาจึงได้มีชีวิต สร้างครอบครัวและยังไม่สูญไปเหมือนกับชนชาติอื่น ๆ รอบข้าง ทั้งความอดอยาก ความแห้งแล้ว  โรคพืช แมลงลง  ภัยพิบัติแบบอียิปต์ สงคราม ความพ่ายแพ้… เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงให้เกิดขึ้นเพื่อเตือนให้พวกเขากลับมา  แต่.. พวกเขามีใจกระด้าง ดำ มืดเกินกว่าที่จะกลับมาหาพระองค์  


ผลที่จะได้รับ
4:12 พระเจ้าตรัสให้เขาเตรียมตัวที่จะพบพระเจ้า คำ ๆนี้ พระองค์ได้ตรัสครั้งแรกเมื่อพวกเขาจะต้องเตรียมตัวพบพระเจ้าที่จะประทานพันธสัญญาแก่พวกเขาที่ภูเขาซีนาย
(อพยพ 19:11, 15)
4:13 พระเจ้าทรงทบทวนให้รู้ว่า พระเจ้าที่พวกเขาจะต้องพบคือผู้ใด พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าทรงฤทธิ์ผู้ทรงเป็นองค์จอมทัพ ทรงยิ่งใหญ่อย่างที่พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้

พระคำเชื่อมโยง

อาโมส 4
1* สดุดี 22:12; อาโมส 2:6; สุภาษิต 23:20
2* สดุดี 89:35; เยเรมีย์ 16:16
3* เอเสเคียล 12:5
4* เอเสเคียล 20:39; โฮเชยา 4:15; กันดารวิถี 28:3;
เฉลยธรรมบัญญัติ 14:28
5* เลวีนิติ 7:13; 22:18

6* เยเรมีย์ 5:3
9* ฮักกัย 2:17; โยเอล 1:4, 7
10* สดุดี 78:50
11* อิสยาห์ 13:19
12* เยเรมีย์ 5:22
13* สดุดี 139:2; มีคาห์ 1:3; อิสยาห์ 47:4

อาโมส 3 เหตุใดทรงลงโทษอิสราเอล?

เราตกลงกันมาแล้วในพันธสัญญา
1 โอ อิสราเอลเอ๋ย
จงฟังสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสต่อว่าพวกเจ้า ต่อว่าเผ่าพันธุ์ทั้งหมดที่เราได้นำออกมาจากอียิปต์  ดังนี้
2 “จากเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นในโลกนี้ 
เจ้าเท่านั้นที่เราได้เลือกไว้  ดังนั้น เราจะลงโทษพวกเจ้า เนื่องจากบาปทั้งสิ้นที่เจ้าได้ทำลงไป
3 คนสองคนจะเดินไปด้วยกัน
โดยไม่ตกลงกันก่อนได้หรือ?

4 สิงโตในป่าจะคำรามลั่นในเมื่อไม่มีเหยื่ออย่างนั้นหรือ?
สิงโตในถ้ำจะร้องขู่ ทั้ง ๆ ที่ยังจับเหยื่อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
5 นกสักตัวจะไปติดกับดักบนพื้นดิน ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหยื่อล่อหรือ?
แล้วกับดักจะลั่นขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหยื่อไปติดอย่างนั้นหรือ?
6 หากมีเสียงแตรดังขึ้นในเมือง  ผู้คนจะไม่ตกใจหรือ?
จะมีหายนะเกิดขึ้นกับเมืองใด ๆ ได้หรือ
หากองค์พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงเป็นผู้กระทำ?

7  แน่ทีเดียว พระยาห์เวห์องค์พระเจ้าจะไม่ทรงทำสิ่งใด โดยไม่ได้เปิดเผยแผนการของพระองค์ ให้แก่เหล่าผู้เผยพระดำรัส ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ให้เขารับรู้
8 เมื่อสิงโตคำรามลั่น ใครจะไม่กลัว?  เมื่อพระยาห์เวห์ตรัส ใครจะไม่เผยพระดำรัส?

เราตกลงกันมาแล้วในพันธสัญญา
3:1-3  บางทีคนอิสราเอลและคนยูดาห์อาจคิดว่า พระเจ้าทรงนำพวกเขาออกมาจากอียิปต์ ทรงไถ่พวกเขาแล้ว ไม่มีวันที่พระองค์จะทรงทำลายเขา เขาเป็นชนชาติที่พระองค์ทรงเลือกนี่นา  เขาลึมไปว่า ยิ่งถ้าได้สิทธิพิเศษ การพิพากษาก็จะเข้มงวดขึ้นกว่าคนอื่น ๆ !
แต่พระเจ้าทรงบอกชัดเจนตรงนี้ว่า พระเจ้าจะทรงลงโทษเพราะเขาทำบาป  ถ้าเขาไม่ได้ทำผิดต่อพระองค์ อาโมสคงไม่ต้องมาพูดเรื่องนี้ 
ถ้าเราทำสิ่งใดด้วยกัน แล้วต้องมีการตกลง มีเงื่อนไขมิใช่หรือ? พวกเขาได้ยินคำที่พระเจ้าตรัสชัดว่า จากเผ่าพันธุ์ทั้งหลายในโลก พระเจ้าทรงเลือกเขา การเลือกของพระเจ้านี้มีเพื่อให้เขาสนิทกับพระองค์ รู้จักพระองค์อย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่เป็นพระเจ้าอยู่ไกล ๆ 
ในเมื่อมีพันธสัญญากันมาตั้งแต่อับราฮัมจนมาถึงโมเสสที่ได้ให้บทบัญญัติชัดเจน  เขาก็รู้แล้วว่า ควรจะใช้ชีวิตอย่างไร

3:4-6 อาโมสได้บอกพวกเขาว่า ถ้ามีเหยื่อสิงโตจะคำราม ถ้ามีเหยื่อล่อ นกจะไปติดกับดัก   ดังนั้นเมื่อพระเจ้าตรัสด้วยพระพิโรธ พวกเขาจะไม่คิดอะไรเลยหรือ?  พระเจ้าทรงยืนยันว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พระองค์เป็นผู้กระทำ… และทรงเปิดเผยให้คนของพระองค์รู้ก่อน อาโมสยืนยันว่า พระเจ้าตรัสแล้ว .. และเขาเป็นผู้เผยพระดำรัสของพระองค์
ข้อสี่-หก เป็นบทกวีคำคม แบบฮีบรู เพื่อจะสรุปในข้อแปดว่าที่อาโมสมาเผยพระดำรัส ก็เป็นเพราะพระเจ้าตรัส ..

3:7-8 เมื่อสิงโตคำราม ก็ต้องทำให้คนหวาดหวั่น
เมื่อพระเจ้าตรัส คนที่รู้ก็ต้องทำหน้าที่ของเขา สิ่งที่ชัดเจนคือ พระเจ้ามักจะเตือนคนของพระองค์ล่วงหน้าเสมอ ก่อนที่จะมีอะไรร้าย ๆ เกิดขึ้น และเราก็เห็นภาพการเตือนของพระเจ้าในหนังสือผู้เผยพระดำรัสมาโดยตลอด พระเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเขาได้เอาใจใส่ต่อพระดำรัสของพระองค์ แต่พวกเขากลับเฉยเมย มองข้ามพระองค์ไป

ลงโทษเพราะอิสราเอลทำบาปใหญ่ 
9 จงร้องประกาศบนป้อมปราการในอัชโดด 
และบนป้อมปราการในแผ่นดินอียิปต์ 
จงเรียกประชาชนให้มาชุมนุมกันบนภูเขาแห่งสะมาเรีย
และให้ดูความสับสนวุ่นวายในเมือง
รวมทั้งการข่มเหงในหมู่ประชาชน  10 “ประชาชนไม่รู้จักการทำสิ่งที่ถูกต้อง” พระยาห์เวห์ทรงประกาศ “แต่ได้สะสมความรุนแรง และความเสียหายไว้ในป้อมปราการของพวกเขา”

11 ดังนั้น พระยาห์เวห์องค์พระเจ้าตรัสว่า
“ศัตรูจะล้อมรอบแผ่นดิน พวกเขาจะทำลายป้อมมั่นคง และปล้นสะดมป้อมปราการของพวกเจ้า”

12 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เหมือนอย่างที่คนเลี้ยงแกะได้คว้าเอาขาสองข้างหรือแค่ใบหูรอดจากปากของสิงโต  คนอิสราเอลที่อาศัยในสะมาเรีย จะได้รับการช่วยกู้ให้รอดแบบเดียวกัน  คือคนเหล่านั้นที่นั่งอยู่ขอบเตียง หรือบนผ้าคลุมเตียงจากดามัสกัส 

13  พวกเจ้าจงฟังและเป็นพยานต่อต้านวงศ์วานยาโคบ” นี่เป็นคำประกาศของพระยาห์เวห์  พระเจ้า พระเจ้าองค์จอมทัพ 

14 “เราจะลงโทษเหล่าแท่นบูชาแห่งเบธเอล ในวันที่เราลงโทษอิสราเอลเพราะบาปทั้งหลายของพวกเขา เชิงงอนที่แท่นบูชาจะถูกเลื่อยออก และหล่นลงบนพื้นดิน 

15 เราจะพังทลายตำหนักฤดูหนาวและตำหนักฤดูร้อน คฤหาสน์ที่ตกแต่งด้วยงาช้าง จะถูกทำลาย และคฤหาสน์ทั้งหลายจะต้องพังพินาศไป” นี่เป็นคำประกาศของพระยาห์เวห์ 

ลงโทษเพราะอิสราเอลทำบาปใหญ่ 
3:9-10 หากเรียกคนในอัชโดด(ชาวฟิลิสเตีย) หรือคนที่อียิปต์ หรือประชาชนให้มาดูที่ภูเขาสะมาเรีย พวกเขาจะเป็นพยานได้ว่า
ในสะมาเรียนั้นวุ่นวาย เต็มด้วยการข่มเหงมากมายขนาดไหน
ไม่มีใครรู้ดีรู้ชั่วเลย ใช้ความโกรธ ความรุนแรงเป็นที่ตั้งในการตัดสินใจ แล้วหากเห็นว่าสะมาเรียชั่วแค่ไหน แลัวพระเจ้าจะทรงอยู่เฉยหรือ?

3:11 เป็นเพราะผู้คนทำร้ายกันเอง คนรวยข่มเหงคนจน ผู้นำกดขี่ประชาชนทั้ง ๆ ที่มีหน้าที่ปกป้องพวกเขา  พระเจ้าทรงบอกชัดว่า  จะมีคนต่างชาติมาล้อมเมืองและปล้นพวกเขา  และในปี  722 ก่อนคริสตศักราช อัสซีเรียได้มาล้อมเมือง ปล้นอย่างเมามัน ทำลายทุกอย่างที่มีค่า

3:12  แต่แล้ว  ภาพที่อาโมสบอกเอาไว้นั้น น่าเสียวไส้ว่าจะรอดได้อย่างไร จะมีใครรอดบ้างหรือ…  เป็นภาพที่บอกว่าช่วยอย่างหวุดหวิดแต่ก็คว้าชีวิตคืนมาไม่ได้ ตายแน่นอน!

3:13 แล้วพระเจ้าก็ตรัสกับคนต่างชาติอย่างอัชโดดและอียิปต์ ให้เป็นพยานถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พระเจ้าทรงให้คนต่างชาติมาเป็นพยานถึงการลงโทษของพระเจ้าที่มีต่อคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้! พระเจ้าทรงทำให้พวกเขาถูกเหยียดหยาม และดูหมิ่น นอกเหนือไปจากการถูกทำลาย  

3:14 เบธเอลเป็นเมืองศูนย์กลางแห่งการไหว้รูปเคารพของอิสราเอล พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่พวกเขาหลงใหล เคารพบูชา 

3:15  พระเจ้าจะทรงให้คนต่างชาตินั้นทำลายบ้านหลังที่สองอันงดงามของพวกเขา  ไม่เหลือเลย 

พระคำเชื่อมโยง

อาโมส 3
1* เฉลยธรรมบัญญัติ 7:6; โรม 2:9
6* อิสยาห์ 45:7
7* ยอห์น 15:15
8* กิจการ 4:20
10* เยเรมีย์ 4:22
14* อาโมส 4:4
15* เยเรมีย์ 36:22; ผู้วินิจฉัย 3:20; 1 พงศ์กษัตริย์ 22:39

อาโมส 2 ยูดาห์ อิสราเอลก็ไม่พ้น

1พระยาห์เวห์ตรัสว่า ““เราจะยังไม่เปลี่ยนใจการลงโทษโมอับ เพราะเขาทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาได้เผากระดูกของกษัตริย์เอโดมจนกลายเป็นผงปูน

2  ดังนั้น เราจะส่งไฟลงมายังโมอับ ไฟนั้นจะเผาผลาญป้อมต่าง ๆ แห่งเคริโอท  โมอับจะตายไปท่ามกลางความวุ่นวาย พร้อมเสียงตะโกนและเสียงแตรเขาแพะผู้

3 เราจะกำจัดผู้พิพากษาจากแผ่นดิน จะประหารเหล่าข้าราชการไปพร้อมกับเขา” พระยาห์เวห์ตรัสดังนั้น 

1:1-2 แม้โมอับจะถูกทำลาย แต่มีคนหนึ่งที่มาจากโมอับและกลายมาเป็นย่าทวดของกษัตริย์ดาวิด นั่นคือนางรูธ
โมอับเป็นชนชาติที่สืบเชื้อสายจากโลทและลูกสาวคนรองของเขา (ปฐมกาล 19:37)
การเผากระดูกจนกลายเป็นผงปูนสำหรับพวกเขาเป็นเรื่องใหญ่ แทนที่จะนำศพไปฝังอย่างสมควร เขากลับแสดงถึงความเกลียดชังอย่างรุนแรงและการไม่มีความเคารพใด ๆ หลงเหลืออยู่    พระเจ้าจะทรงส่งไฟมาผลาญพวกเขา พวกเขาจะพินาศในสงครามนั่นเอง
คนที่พระเจ้าจะทรงลงโทษอย่างรุนแรงคือผู้นำ 
เคริโอทเป็นเมืองสำคัญของโมอับ เป็นที่ตั้งเทพโคโมสซึ่งเป็นเทพประจำชาติ

คำพิพากษาเหนือยูดาห์

4 พระยาห์เวห์ตรัสว่า ““เราจะยังไม่เปลี่ยนใจการลงโทษยูดาห์เพราะเขาทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาปฏิเสธคำสอนของพระยาห์เวห์ และไม่ได้รักษาบทบัญญัติของพระองค์  คำมุสาที่บรรพบุรุษของพวกเขาติดตามนั้น ทำให้เขาหลงทางไป
 
5 ดังนั้น เราจะส่งไฟมายังยูดาห์ และไฟนั้นจะเผาผลาญป้อมทั้งหลายของเยรูซาเล็ม

2:4-5
ผู้คนได้ฟังคำพิพากษาของพระเจ้าที่มีต่อชนชาติเพื่อนบ้านจาก อาโมส  แล้วในที่สุดพวกเขาก็ได้ยินเองว่า พระเจ้าจะทรงลงโทษที่พวกเขาทำผิดต่อพระองค์เช่นกัน  คำพิพากษาก็มาถึงยูดาห์ ชนชาติอิสราเอลทางใต้
พวกเขาทำอะไรที่ทำให้พระเจ้าพิโรธ? 
ที่สำคัญคือ เขาไม่ฟังคำบัญชา ไม่ทำตามบทบัญญัติโมเสส  แต่หลงไปตามคำโกหกของพวกผู้นำ  และผู้เผยพระดำรัสปลอม
(อิสยาห์ 3:12; 28:15; ,มีคาห์  3:5)  ผู้นำฝ่ายวิญญาณทำให้คนหลงทางไปจากพระเจ้า  ในเมื่อพวกเขาทำบาป นครเยรูซาเล็มที่พวกเขาเชิดชูจะถูกเผา ซึ่งเกิดขึ้นจริงในเวลาต่อมาเมื่อเนบูคัดเนสซาร์เข้ามาบุกและกวาดคนไปเป็นเชลย

คำพิพากษาเหนืออิสราเอล
6   พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เรายังไม่เปลี่ยนใจการลงโทษอิสราเอลเพราะเขาทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่า(สามครั้ง สี่ครั้ง) เพราะเขาได้ขายคนเที่ยงธรรมแลกกับเงิน และคนที่ขัดสนแลกกับรองเท้าเพียงคู่เดียว
 
7  เขาได้เหยียบย่ำศีรษะของคนยากจนราวกับเดินย่ำฝุ่น และขัดขวางความยุติธรรมกับคนที่ถูกข่มเหง
พ่อกับลูก เข้าหาผู้หญิงคนเดียวกัน เป็นการดูหมิ่นพระนามบริสุทธิ์ของเรา
8 พวกเขานอนลงข้างแท่นบูชาทุกแห่ง โดยยังสวมเสื้อผ้าที่ยึดมาเป็นประกัน และในวิหารเทพของเขา เขาก็ดื่มเหล้าองุ่นที่ยึดมาเป็นค่าปรับ

2:6-8 อิสราเอลกับยูดาห์แยกกันมากว่าสองร้อยปีแล้ว  และมีการรบพุ่งกันเนือง ๆ  ( 1 พงศ์กษัตริย์ 14:30; 15:7, 16-21; 2    พงศ์กษัตริย์ 14:8-14) จึงมีความรู้สึกเป็นศัตรูต่อกันทั้ง ๆ ที่เป็นชนชาติเดียวกัน พระเจ้าทรงแยกความผิดของทั้งสอง

เหตุผลที่พระเจ้าจะทรงลงโทษอิสราเอลนั้นชัดเจน อาโมสได้บรรยายความผิดของอิสราเอลอย่างชัดเจน ที่สำคัญพวกเขาทำร้ายพี่น้องของตนเอง ชนชาติของตนเอง
-พวกเขาค้ามนุษย์ ! เขาขายคนเที่ยงธรรมให้เป็นทาส คนยากจนก็เช่นกันไม่ยอมให้เวลาที่คนเหล่านั้นจะหาเงินมาไถ่ถอน
-เขาดูหมิ่นเหยียบย่ำ คนยากจน (อิสยาห์ 3:15) ราวเดินย่ำฝุ่นคือ เขาจะเอาทุกอย่างทั้งที่ดิน บ้าน ของคนยากจนที่เป็นหนี้เขา เอาแม้กระทั่งฝุ่นบนศีรษะของพวกเขา!!
-ไม่ยอมช่วยคนถูกข่มเหง
-เขาทำผิดทางเพศ เป็นการดูหมิ่นพระนามบริสุทธิ์ ทำให้ผู้คนไม่ได้มองเห็นว่าพระเจ้าทรงอยู่สูงส่ง บริสุทธิ์
-การประกันเสื้อผ้านั้น เมื่อคนเอาเงินมาคืน เขาควรจะคืนเสื้อผ้าในวันนั้น แต่กลับเอาไปสวมใส่ทำสิ่งน่าขยะแขยง แทนที่คนยากจนนั้นจะใช้คลุมตัวยามค่ำที่หนาวเหน็บ (อพยพ 22:25-27)   
-พวกเขายังดื่มเหล้าองุ่นที่ขโมยมาจากคลังซึ่งเป็นเหล้าองุ่นที่ประชาชนจ่ายเป็นภาษี เขานอนทำสิ่งน่าชังข้างแท่นบูชา ทำสิ่งน่ารังเกียจในวิหารเทพที่พระเจ้าทรงชัง
ทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้จักพระบัญญัติของพระเจ้าแต่เขาไม่ใส่ใจที่จะรักษาเลย​

9 “เป็นเราเองที่ได้ทำลาย ชนอาโมไรต์ต่อหน้าต่อตา ขณะที่อิสราเอลบุกเข้าไปพวกเขาสูงตระหง่านดั่งต้นสนซีดาร์ และแข็งแรงราวต้นโอ๊ก  เราได้ทำลายผลซึ่งอยู่ข้างบน และรากซึ่งอยู่ด้านล่าง 
10  และเราพาพวกเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์  นำเจ้าผ่านถิ่นกันดารตลอด 40 ปี  เพื่อเจ้าจะได้ครอบครองดินแดนของชาวอาโมไรต์ 

2:9-10 ชนอาโมไรต์เป็นคนที่อยู่ในดินแดนคานาอัน มีกษัตริย์ ที่เข้มแข็งมาก อาโมสได้บอกว่า เขาเป็นคนตัวโต ตัวใหญ่แข็งแรงมาก และพระเจ้าทรงทำลายพวกเขาอย่างสิ้นเชิง พระเจ้าทรงเอาชนะเขาโดยไม่เหลือ พระเจ้าประทานดินแดนนี้ให้อิสราเอล คนของพระองค์ที่จะต้องทำหน้าที่เป็นพระพรแก่ประชาชาติ
ข้อสิบนี้พระเจ้ากำลังตรัสว่า พระองค์ทรงไถ่เขาออกมาจากการเป็นทาส ทรงซื่อตรงต่อพวกเขาอย่างที่ทรงสัญญาไว้กับอับราฮัม พระองค์ทรงเอาเขาออกมาจากถิ่นกันดาร คือที่ ๆ ไม่มีอะไรเลยทรงนำพวกเขาสี่สิบปี จากสถานที่ซึ่งมีแต่ความว่างเปล่า มายังดินแดนที่สมบูรณ์ ที่ ๆ มั่นคง ไม่ต้องพเนจร เร่ร่อนอีกต่อไป

11  เราได้ตั้งลูกชายของบางคนให้เป็นผู้เผยพระดำรัส และชายหนุ่มบางคนให้เป็นนาศีร์  โอ อิสราเอลเอ๋ย  นี่คือเรื่องจริงใช่ไหม?”  องค์พระยาห์เวห์ทรงประกาศ 
12 “แต่เจ้ากลับบังคับให้นาศีร์ดื่มเหล้าองุ่น
และยังสั่งผู้เผยพระดำรัสว่า “อย่าเผยพระดำรัส”
13 ดูเถิด เรากำลังจะขยี้เจ้าในที่ของเจ้า
เหมือนเกวียนที่บรรทุกข้าวเต็มบดขยี้ข้าว”
14 แม้แต่คนที่ว่องไวก็จะหนีไม่ทัน
คนที่แข็งแกร่งไม่อาจสู้ได้ด้วยกำลังของตน
คนที่กล้าหาญไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ 
15 นักแม่นธนูไม่อาจยืนหยัดได้
คนที่ขาว่องไวรวดเร็วไม่อาจรักษาตัวเองไว้ได้
และคนที่ขี่ม้าจะเอาชีวิตไม่รอด 
16 แม้นักรบที่กล้าหาญที่สุด
ยังต้องเปลือยกายหนีออกไปในวันนั้น”
พระยาห์เวห์ทรงประกาศ

 2:11-13 พระเจ้าจะทรงนำให้บางคนเป็นผู้เผยพระดำรัสของพระเจ้า และบางคนเป็นนาศีร์ ซึ่งเป็นคนที่จะไม่ตัดผม ไม่ดื่มเหล้าองุ่น จะใช้ชีวิตอุทิศแด่พระเจ้า  ไม่ยอมรับสิ่งใดที่ต่อต้านพระทัยของพระเจ้า และจะเชื่อฟังพระองค์ แต่อิสราเอลกลับไม่ยอมฟังคนเหล่านี้ ไม่ยอมฟังพระดำรัสของพระเจ้าที่ผ่านคนเหล่านี้  บังคับให้นาศีร์ทำผิดต่อพระเจ้า บังคับให้ผู้เผยพระดำรัสปิดปาก  การลงโทษที่จะลงมานั้น จะทำให้พวกเขาพังพินาศ เหมือนข้าวที่ถูกขยี้จนแหลกละเอียด 

2:14-16 ในวันที่พระเจ้าทรงพิพากษา  ไม่มีใครจะหนีพ้นไปได้ คนที่เก่งที่สุดในแต่ละด้าน  กองทัพที่แข็งแกร่งยังหนีไม่รอด แล้วคนที่เหลือจะเป็นอย่างไร 

พระคำเชื่อมโยง

อาโมส 2
1* เศฟันยาห์ 2:8-11; 2 พงศ์กษัตริย์ 3:26-27
2* เยเรมีย์ 48:24, 41
3* กันดารวิถี 24:17
4* โฮเชยา 12:2; เลวีนิติ 26:14; เยเรมีย์ 16:9; เอเสเคียล 20:13, 16, 18
5* โฮเชยา 8:14

6* 2 พงศ์กษัตริย์ 17:7-18; 18:2; อิสยาห์ 29:21; อาโมส 4:1; 5:11; 8:6
7* อาโมส 5:12; เอเสเคียล 22:11; เลวีนิติ 20:3
8* 1โครินธ์ 8:10; อพยพ 22:26
9* กันดารวิถี  2:25; เอเสเคียล 11:3; มาลาคี 4:1

10* อพยพ 12:51; เฉลยธรรมบัญญัติ 2:7
11* กันดารวิถี 12:6; 6:2-3
12* อิสยาห์ 30:10
13* อิสยาห์ 1:14
14* เยเรมีย์ 46:6; สดุดี 33:16