สุภาษิต 11 ความแตกต่างของคนสองแบบ

1ตาชั่งที่ไม่เที่ยงตรงเป็นที่น่ารังเกียจต่อพระยาห์เวห์
แต่เครื่องชั่งที่เที่ยงตรง เป็นที่พอพระทัยของพระองค์
2 เมื่อความเย่อหยิ่งเข้ามา ความอัปยศก็ตามเข้ามาด้วย
แต่ปัญญามาพร้อมกับความถ่อมตน
3 ความสุจริตของผู้เที่ยงตรงนำชีวิตเขา
แต่ความบิดพลิ้วของคนทรยศทำลายตัวเขาเอง
4 ความมั่งคั่งไม่มีค่าในวันแห่งพระพิโรธ
แต่ความเที่ยงตรงนำการช่วยกู้จากความตาย
5 ความเที่ยงธรรมของคนที่ไร้ตำหนินั้นนำทางให้เขา
แต่คนชั่วล้มลงเพราะความชั่วร้ายของเขาเอง
6 ความเที่ยงธรรมของคนเที่ยงตรงช่วยกู้เขาไว้
แต่คนทรยศติดกับดักความปรารถนาของตนเอง
7 เมื่อคนชั่วตาย ความหวังของเขาก็สูญไป
และความหวังในความมั่งคั่งของเขา ก็หายไปด้วย
8 คนเที่ยงธรรมได้รับการช่วยกู้จากความยากลำบาก
แล้วคนชั่วร้ายก็เดินเข้ารับความทุกข์นั้นแทน

9 คนไร้ระเจ้าทำลายเพื่อนบ้านด้วยปากของเขา
แต่คนเที่ยงธรรมได้รับการช่วยกู้ด้วยความรู้
10 เมื่อคนเที่ยงธรรมรุ่งเรืองขึ้น ทั้งเมืองก็ยินดี
และเมื่อคนชั่วพินาศ ก็มีแต่เสียงโห่ร้องด้วยความยินดี

11 เมืองถูกสร้างขึ้นด้วยพระพรของคนเที่ยงตรง
แต่ด้วยคำจากปากของคนชั่ว เมืองก็ย่อยยับไป
12 ใครก็ตามที่แสดงการดูหมิ่นเพื่อนบ้าน
เท่ากับเป็นคนไร้ความคิด
แต่คนที่มีความเข้าใจจะนิ่งอยู่
13การซุบซิบนินทาเปิดเผยความลับ
แต่คนที่เชื่อถือได้จะรักษาความลับนั้นไว้

14 ประเทศชาติล่มจมเพราะขาดผู้นำที่มีปัญญา
แต่ด้วยคำปรึกษาจากหลาย ๆ คน ก็ทำให้รอดปลอดภัย

15 คนที่ค้ำประกันคนแปลกหน้าจะต้องทุกข์ยากเป็นแน่
แต่คนที่เกลียดการวางมัดจำก็ปลอดภัย
16 สตรีที่มีน้ำใจจะได้รับเกียรติ
แต่ชายที่ไร้ความเมตตาจะได้แต่ความร่ำรวย
17 บุรุษที่มีน้ำใจจะได้ประโยชน์ แต่คนชั่วโฉด
จะนำความลำบากมาให้ตนเอง
18 คนชั่วร้ายรับค่าจ้างที่ไร้คุณค่า
แต่คนที่หว่านความเที่ยงธรรมจะเก็บเกี่ยวรางวัลแท้จริง
19 ความเที่ยงธรรมที่แท้จริงนำสู่ชีวิต
แต่การติดตามความชั่วนำไปสู่ความตาย
20คนใจคดเป็นที่น่ารังเกียจของพระยาห์เวห์
แต่คนที่ไร้ตำหนิในทางของเขาเป็นความยินดีของพระองค์
21 จงมั่นใจได้ว่า คนชั่วจะไม่ลอยนวลไปได้
แต่ลูกหลานของคนเที่ยงธรรมจะรอดพ้น

22 หญิงงามที่ขาดสติและความคิดก็เป็น
เหมือนแหวนทองประดับจมูกหมู
23 ความปรารถนาของคนเที่ยงธรรมนำสู่สิ่งดี
แต่ความหวังของคนชั่วร้ายนำพระพิโรธมา
24 บางคนให้อย่างใจกว้าง
และยังได้รับกลับมามากมาย
แต่อีกคนหวงไว้กลับพบแต่ความขาดแคลน
25 น้ำใจกว้างขวางจะเจริญรุ่งเรือง
และคนที่คอยให้ความสดชื่นแก่คนอื่น
จะได้รับความสดชื่นกลับมา     

26 คนทั้งหลายจะสาปแช่งคนที่กักตุนข้าว
แต่พระพร เป็นของคนที่ขายมันออกไป
27 พระเจ้าทรงโปรดปรานคนที่แสวงหาความดี
แต่ความชั่วจะมายังคนที่ตามหามันแน่
28 คนที่วางใจในความมั่งคั่งของตนเองจะล้มลง
แต่ความเที่ยงธรรมจะงอกงามเหมือนใบไม้เขียวสด
29 คนที่นำความลำบากมาให้ครอบครัว
จะได้รับลมเป็นมรดก
และคนโง่จะเป็นบ่าวของคนที่มีปัญญา
30 ผลแห่งความเที่ยงธรรมคือต้นไม้แห่งชีวิต
และคนที่นำผู้อื่นมาถึงชีวิตเป็นคนมีปัญญา
31 ถ้าคนเที่ยงธรรม ได้รับผลตอบแทนบนแผ่นดินโลกแล้ว
คนชั่วร้ายกับคนบาปจะได้รับตอบแทนมากกว่านั้นสักเท่าใด!

พระคำเชื่อมโยง

1* เลวีนิติ 19:35-36
2* สุภาษิต 16:18; 18:12; 29:23
3* สุภาษิต 13:6
4* เอเสเคียล 7:19 ;ปฐมกาล 7:1
5* สุภาษิต 5:22
7* สุภาษิต 10:28
8* สุภาษิต 21:18
10* สุภาษิต 28:12

11* สุภาษิต 14:34
13* เลวีนิติ 19:16; สุภาษิต 19:11
14* 1 พงศ์กษัตริย์ 12:115* สุภาษิต 6:1-2
17* มัทธิว 5:7; 25:34-36
18* โฮเชยา 10:12
19* สุภาษิต 10:16; 12:18; โรม 6:23
21* สุภาษิต 16:5; สดุดี 112:2
23* โรม 2:8-9

24* สดุดี 112:9
25* 2 โครินธ์ 9:6-7; มัทธิว 5:7
26* อาโมส 8:5-6; โยบ 29:13
27* เอสเธอร์ 7:10
28* โยบ 31:24; สดุดี 1:329* ปัญญาจารย์ 5:16; สุภาษิต 14:19
30* ดาเนียล 12:331* เยเรมีย์ 25:29
31*  1 เปโตร 4:18

สุภาษิต 10 สารพัดสิ่งที่เตือนสติเรา

จากบทนี้ไป ผู้เขียนจะพูดคำเตือนใจเป็นประโยคสั้น ๆ แม้เป็นทุกวันนี้ก็ยังเป็นเทรนด์ ไม่ได้ล้าหลังมนุษย์เลย ส่วนใหญ่เป็นคำเปรียบเทียบระหว่างชีวิตของคนเที่ยงธรรมและคนอธรรม

1 ลูกที่มีปัญญานำความชื่นชมมาให้พ่อ
แต่ลูกที่โง่เขลานำความทุกข์ใจมาให้แม่
2 ทรัพย์สินที่ได้มาจากความชั่วร้ายนั้นไม่มีคุณค่า
แต่ความเที่ยงธรรมช่วยกู้จากความตาย
3 พระยาห์เวห์จะไม่ทรงปล่อยให้คนเที่ยงธรรมหิวโหย
แต่พระองค์ทรงปฏิเสธความอยากได้ของคนชั่วร้าย
4 มือที่อยู่เฉย ทำให้ยากจน
แต่มือที่ขยันขันแข็งทำให้มั่งคั่ง
5 ลูกที่มองการณ์ไกลเก็บสะสมพืชผลไว้ในฤดูร้อน
แต่คนที่นอนหลับระหว่างการเก็บเกี่ยวทำให้ขายหน้า
6 พระพรนั้นอยู่เหนือหัวของคนเที่ยงธรรม
แต่ปากของคนชั่วปกปิดแผนความรุนแรง

.


7 การที่เรา อระลึกถึงคนเที่ยงธรรมนั้นเป็นพระพร
แต่ชื่อของคนชั่วร้ายจะเสื่อมไป
8 ใจที่มีปัญญาจะรับคำบัญชา
แต่ปากของคนโง่จะถูกทำลาย
9 คนที่เดินในความเที่ยงตรงจะใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย
แต่คนที่เดินในทางคดจะถูกเปิดโปง
10 คนที่ขยิบตาให้สัญญาณเป็นคนสร้างความทุกข์ใจ
และปากของคนโง่จะถูกทำลาย
11 ปากของคนเที่ยงธรรมเป็นน้ำพุแห่งชีวิต
แต่ปากของคนชั่วร้ายปกปิดความรุนแรง
12 ความเกลียดชังก่อกวนให้เกิดความแตกแยก
แต่ความรักจะปกปิดความผิดทั้งปวง
13 จะพบปัญญาได้ในริมฝีปากของคนที่มีวิจารณญาณ
แต่ไม้เรียวมีไว้สำหรับหลังของคนที่ขาดสามัญสำนึก
14คนมีปัญญาสะสมความรู้
แต่ปากของคนโง่เชิญชวนหายนะ

15 ความมั่งคั่งของคนร่ำรวยเป็นดั่งเมืองป้อมของเขา
แต่ความยากจนเป็นหายนะของคนยากไร้
16 แรงงานของคนเที่ยงธรรมนำสู่ชีวิต
กิจกรรมของคนชั่วร้ายนำไปสู่ความบาป
17คนใดที่ใส่ใจคำสั่งสอนก็อยู่บนทางแห่งชีวิต
แต่คนที่ไม่รับฟังคำเตือนจะหลงทางไป
18คนที่ปกปิดความเกลียดชังเป็นคนลิ้นมุสา
และใครที่แพร่การใส่ร้ายเป็นคนโง่เขลา
19เมื่อมีการพูดพล่ามมาก เท่ากับเป็นการเชื้อเชิญบาป
แต่คนที่ระวังยั้งปากของตนนั้นเป็นคนมีปัญญา
20ลิ้นของคนเที่ยงธรรมเป็นเหมือนแร่เงินเนื้อดี
แต่ใจของคนชั่วร้ายไม่มีค่าอันใด
21ริมฝีปากของคนเที่ยงธรรมเลี้ยงชีวิตคนมากมาย
แต่คนโง่ตายเพราะขาดสามัญสำนึก


22 พระพรจากพระยาห์เวห์ทำให้มั่งคั่งขึ้น
และพระองค์ไม่ได้เพิ่มความทุกข์ใจให้
23คนโง่เพลินใจกับการกระทำที่น่าอับอาย
ส่วนปัญญาเป็นความยินดีของคนที่มีความเข้าใจ
24 สิ่งที่คนชั่วร้ายหวาดกลัวจะเข้ามาถึงเขา
แต่คนเที่ยงธรรมจะได้รับตามความปรารถนา
25 เมื่อพายุที่กระหน่ำมาผ่านพ้นไป
คนชั่วร้ายก็ไม่อยู่แล้ว แต่คนเที่ยงธรรมจะมั่นคงเป็นนิตย์
26 น้ำส้มทำให้เข็ดฟัน และควันทำให้ตาเคืองอย่างไร
คนที่เกียจคร้านก็เป็นเช่นนั้นกับผู้ที่ส่งเขาไปทำงาน
27 ความยำเกรงพระเจ้าทำให้ชีวิตยืนยาว
แต่วันของคนชั่วจะสั้นลง
28 ความหวังของคนเที่ยงธรรมคือความยินดี
แต่ความคาดหมายของคนชั่วนั้นไม่เหลืออะไรเลย

29 ทางของพระยาห์เวห์เป็นป้อมปราการสำหรับคนเที่ยงตรง
แต่ความหายนะรอคนที่ทำสิ่งชั่วร้ายอยู่
30คนเที่ยงธรรมจะไม่หวั่นไหวเลย
แต่คนชั่วร้ายจะไม่มีที่อาศัยในแผ่นดิน
31 ปากของคนเที่ยงธรรมนำปัญญามาให้
แต่ลิ้นที่บิดเบือนจะถูกเฉือนออกไป
32 ริมฝีปากของคนเที่ยงธรรมรู้จักกาละเทศะ
แต่ปากของคนชั่วนั้นมีแต่การบิดเบือน

พระคำเชื่อมโยง

1* สุภาษิต 1:1; 25:1; 15:20; 17:21, 25; 19:13; 29:3, 15
2* ลูกา 12:19-20; ดาเนียล 4:27
3* สดุดี 34:9-10; 37:254* สุภาษิต 19:15; 12:24; 13:4; 21:5
5* สุภาษิต 6:8; 19:26
7* ปัญญาจารย์ 8:10
8* สุภาษิต 10:10

9* สดุดี 23:4
12* 1โครินธ์ 13:4-7
13* สุภาษิต 26:3
14* สุภาษิต 18:715* โยบ 31:24
16* สุภาษิต 6:23
18* สุภาษิต 26:24; สดุดี 15:3; 101:5
19* ปัญญาจารย์ 5:3; ยากอบ 1:19; 3:2

22* ปฐมกาล 24:35; 26:12
23* สุภาษิต 2:14; 15:21
24* โยบ 15:21; สดุดี 145:19
25* สดุดี 37:9-10; 15:5
27* สุภาษิต 9:11; โยบ15:32
28* โยบ 8:1329* สดุดี 1:6
30* สดุดี 37:2231* สดุดี 37:30

สุภาษิต 9 คุณหญิงมีปัญญากับหญิงโง่


หนทางแห่งปัญญา (สุภาษิต 1:1–7)
1สติปัญญาได้สร้างบ้านของเธอ
โดยมีเสาหลักทั้งสิ้นเจ็ดต้น
2 เธอได้เตรียมเนื้อและผสมเหล้าองุ่นของเธอ
เธอจัดเตรียมโต๊ะอาหารไว้
3 แล้วก็ส่งสาวใช้ออกไป
เธอร้องเรียกจากยอดสูงสุดของเมือง
4“ให้คนที่อ่อนต่อโลกมาที่นี่เถิด!”
เธอกล่าวกับคนที่ขาดสามัญสำนึกว่า
5“มาเถอะ มากินอาหาร และดื่มเหล้าองุ่นที่เราผสมไว้
6 จงละจากความเขลาของเจ้า และเจ้าจะมีชีวิต
จงเดินในทางแห่งความเข้าใจ”

7 คนที่พยายามตักเตือนคนช่างเยาะเย้ยก็นำความอายมาสู่ตนเอง
คนที่เตือนสติคนชั่วร้ายก็กลับหาเรื่องให้ตัวเอง
8ดังนั้น อย่าตักเตือนคนช่างเยาะเย้ย เพราะเขาจะเกลียดเจ้า
จงเตือนสติคนมีปัญญา และเขาจะรักเจ้า
9 จงแนะนำคนมีปัญญา และเขาจะยิ่งมีปัญญามากขึ้น
จงสอนคนเที่ยงธรรม และเขาจะยิ่งเพิ่มการเรียนรู้


10 ความยำเกรงพระยาห์เวห์ เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา
และการรู้จักองค์บริสุทธิ์ คือความเข้าใจ

11 เพราะว่าวันของเจ้าจะทวีขึ้น
และจะเติมจำนวนปีเข้ามาในชีวิตของเจ้า
12 หากเจ้ามีปัญญา
เจ้าก็มีปัญญาเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง
แต่หากเจ้าไปเยาะเย้ยปัญญา
เจ้าเองจะได้รับความทุกข์ยาก

หนทางของคนโง่
13 หญิงที่ชื่อว่า โง่เง่า เป็นคนเสียงดัง
ทื่อทึ่มและไม่รู้อะไรเลย
14 มักจะนั่งอยู่หน้าประตูบ้าน นั่งในที่สูงของเมือง
15 ร้องเรียกคนที่ผ่านไปมา
คนที่กำลังเดินไปตามทางของตน
16“ใครที่โง่ ก็หันมาทางนี้”
นางกล่าวกับคนที่ขาดสามัญสำนึก
17“น้ำดื่มที่ขโมยมานั้นหวานนัก
และอาหารที่ต้องแอบกินก็อร่อยจริงๆ”
18 แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่า ความตายอยู่ตรงนั้น
และคนที่เป็นแขกของนางต่างอยู่ในที่ลึกแห่งแดนตาย

อธิบายเพิ่มเติม

สุภาษิต 9:1-6
จำได้ไหมในบทที่ 7 เราเจอหญิงที่โง่ชวนชายหนุ่มไปทำสิ่งที่ทำลายชีวิตของเขา แต่ในบทนี้ เราพบว่า มีหญิงที่ฉลาด บ้านของเธอใหญ่ และมีที่ทางมากเพื่อให้ทุกคนอยากมาอยู่ที่บ้านนี้ อยู่ได้อย่างสบาย
เราเรียกเธอว่า คุณหญิงแล้วกัน คุณหญิงคนนี้ เป็นคนร่ำรวย และพร้อมที่จะรับแขกเสียด้วย การที่เธอเตรียมเนื้อและเหล้าองุ่นบ่งชัดว่า เธอเป็นคนมีนำ้ใจต้อนรับแขก การผสมเหล้าองุ่นนี้ คือการที่ผสมเหล้ากับน้ำ อาจมีเครื่องเทศใส่เข้าไปด้วย เมื่อเธอเตรียมโต๊ะพร้อม ก็ให้สาวใช้ออกไปเชิญคนเข้ามา เป็นฉากที่เหมือนกับใน 8:1-4
เหมือนกับที่พระเจ้าทรงเตรียมงานเลี้ยงไว้ และเชิญคนทั้งหลายให้มาหาพระองค์ แต่มนุษย์ต่างก็ปฏิเสธ (มัทธิว 22:1-10) พระเจ้าทรงเรียกคนที่อ่อนต่อโลก คนที่ไม่เข้าใจความจริง คนบาป แต่ไม่ได้หมายความว่า คนที่เรียนจบสูง ๆ เป็นคนฉลาดกว่า เราพบว่า คนที่จบสูง รวยมาก ไม่ได้มีหลักประกันว่า พวกเขาเข้าใจความจริงของชีวิต
เพราะพวกเขาก็อาจเป็นคนที่ถูกหญิงโง่หลอกเอาได้เหมือนกัน (ข้อ 13-18)
สุภาษิต 9:7-9
บอกเราว่าจะตอบโต้กับคนโง่ และคนฉลาดอย่างไร ข้อความตอนนี้ ง่าย และจริงสำหรับเรา เราจึงไม่ต้องแปลกใจเมื่อเตือนคนโง่เรากลับได้รับการตอกกลับอย่างน่าเกลียด
เราจึงควรอยู่ใกล้กับคนที่ฉลาด และต่างเตือนสติกันดีกว่า เพราะต่างจะช่วยชีวิตของกันและกันให้ดีขึ้น
สุภาษิต 9:10-12
ปัญญาและความเข้าใจที่จะทำให้เราเดินไปได้อย่างดีในชีวิตการงาน ในครอบครัว ในความสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้น
เกิดจากการที่เรารู้จักพระเจ้า ยิ่งรู้จักพระองค์ ยิ่งมีปัญญา รู้แบบนี้ ไม่ได้แล้ว ต้องรีบค้นหา ติดตามเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้า เริ่มต้นดีที่สุดนั้น อยู่ที่ชีวิตส่วนตัวใกล้ชิดกับพระองค์ ฟังเสียงของพระองค์จากการอ่านพระคัมภีร์ เรียนรู้จากองค์พระวิญญาณก่อนเสมอ แล้วค่อยเจอกับอาจารย์ที่ไว้ใจได้
สุภาษิต 9:13-18
หญิงโง่กับคุณหญิงที่มีปัญญานี้มีเป้าหมายต่างกัน คนหนึ่งพาสู่ความตาย แต่อีกคนพยายามที่จะนำสู่ชีวิตที่ดี เราจะเห็นว่า คนในโลก มักเลือกทางแห่งความตาย พวกเขาชอบความสนุกสนานที่ตื่นเต้น ดำมืด เพราะมันทำให้ไม่ต้องคิดรับผิดชอบตัวเองหรือผู้อื่น ยินดีโดนเขาหลอก ชีวิตพังก็โทษคนอื่น
เราจะเห็นแบบแผนของบทนี้ชัดเจน คุณหญิงที่มีปัญญาเชิญไปงานเลี้ยง การตอบสนองต่อปัญญาอย่างโง่เขลา
การยำเกรงพระเจ้าให้ปัญญา และจบด้วยหญิงโง่ชวนไปตาย

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 16:18
2* มัทธิว 22:4; สุภาษิต 23:30
4* สดุดี 19:7
5* อิสยาห์ 55:1
8* มัทธิว 7:6; สดุดี 141:5

9* มัทธิว 13:12
10* โยบ 28:28
11* สุภาษิต 3:2, 16
12* โยบ 35:6, 7
13* สุภาษิต 7:11

14* สุภาษิต 9:3
16* สุภาษิต 7:7-8
17* สุภาษิต 20:17
18* สุภาษิต 2:18; 7:27

สุภาษิต 8 คำเตือนจากคุณหญิงผู้รอบรู้

สุภาษิต 8:1-21

1 ปัญญาไม่ได้ส่งเสียงเรียกออกมาหรือ?
ความเข้าใจไม่ได้ส่งเสียงของเธอออกมาหรือ?
2 เธอยืนอยู่บนที่สูงข้าง ๆ เธอยืนอยู่ตรงสี่แยก
3 ข้าง ๆ ประตูเมือง ตรงทางเข้าเมือง เธอร้องออกมาว่า
4 “เราร้องเรียกเจ้าอยู่ มนุษย์เอ๋ย
และเราป่าวร้องออกมาถึงมนุษย์ทั้งหลาย
5 โอ เจ้าคนที่อ่อนโลก จงเรียนรู้ที่จะฉลาดเฉลียว
โอ เจ้าคนโง่ จงรับความเข้าใจเถิด







6 จงฟังให้ดี เพราะเรากล่าวคำที่มีคุณค่า
เมื่อเราเอ่ยปาก ก็เป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง
7 เพราะปากของเราจะกล่าวความจริง
ริมฝีปากของเราชิงชังความโหดร้าย
8 ทุกคำจากปากของเรานั้นเที่ยงธรรม
ไม่มีคำที่ลดเลี้ยวหรือบิดเบือน
9 คำของเรานั้น ชัดเจนสำหรับคนที่หยั่งรู้
กระจ่างแจ้งสำหรับคนที่ตามหาความรู้
10 จงรับคำสอนของเรา แทนการรับเงิน
จงรับความรู้ แทนการรับทองคำแท้
11 เพราะปัญญานั้นมีคุณค่ายิ่งกว่าทับทิม
ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าปรารถนาจะมาเทียบเท่าเธอได้

ปัญญากับความเที่ยงธรรม
12 เรา คือปัญญา อยู่กับความฉลาดปราชญ์เปรื่อง
เราพบความรู้ และปฏิภาณ

13 ที่จะยำเกรงพระเจ้า คือการเกลียดชังความชั่ว
ดังนั้นเราชังความเย่อหยิ่ง ยโส การกระทำที่คดโกง
และคำพูดกลับกลอก
14 คำปรึกษาและการตัดสินที่ยุติธรรมเป็นของเรา
เรามีทั้งความหยั่งรู้และกำลัง

15 กษัตริย์ทั้งหลายครอบครองเพราะเรา
และผู้ปกครองจึงออกกฎหมายที่ยุติธรรม
16 เจ้าชายทั้งหลายปกครองเพราะเรา
และทุกคนจึงปกครองอย่างเป็นธรรม

17 เรารักคนที่รักเรา
และคนที่แสวงหาเราแต่เช้าจะพบเรา
18 ทรัพย์สมบัติ และเกียรติยศนั้นอยู่กับเรา
รวมไปถึงความมั่งคั่ง และความยุติธรรมด้วย

19ผลของเรานั้นดีกว่าทองแท้ ทองคำบริสุทธิ์
และผลที่เก็บเกี่ยวได้ก็เหนือเงินบริสุทธิ์

20 เราเดินในหนทางแห่งความเที่ยงธรรม
ตามทางแห่งความยุติธรรม
21 เรามอบความมั่งคั่งให้เป็นมรดกแก่คนที่รักเรา
และทำให้คลังของเขานั้นเต็มเปี่ยม

สุภาษิต 8:21-36

ปัญญากับสรรพสิ่งที่สร้างขึ้นมา
22 องค์พระยาห์เวห์ทรงสร้างเราขึ้นมาเป็นงานแรก
ก่อนราชกิจสร้างสรรค์อื่น ๆ ใด
23 จากปฐมกาล และก่อนที่โลกจะเริ่มต้น
จากนิรันดร์กาล เราถูกแต่งตั้งขึ้นมาก่อน
24 เราถือกำเนิดขึ้นมา เมื่อครั้งที่ยังไม่มีห้วงน้ำลึก
เมื่อครั้งยังไม่มีน้ำพุซึ่งเป็นแหล่งน้ำของโลก
25 ก่อนที่เทือกเขาจะถูกวางรากฐาน
ก่อนเนินเขาทั้งหลาย เราเกิดแล้ว
26 ก่อนที่พระองค์ทรงสร้างแผ่นดิน ทุ่งกว้าง
ก่อนผงฝุ่นดินแรกของโลก
27 เราอยู่ที่นั่นเมื่อพระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์
เมื่อพระองค์ทรงขีดเส้นโค้งเหนือห้วงน้ำลึก
28 เมื่อพระองค์ทรงวางก้อนเมฆทั้งหลายเบื้องบน
เมื่อทรงให้น้ำพุแห่งห้วงน้ำลึกพลุ่งออกมา
29 เราอยู่ที่นั่นแแล้ว เมื่อพระองค์ทรงกำหนดเขตแดนของทะเล
เพื่อไม่ให้น้ำล้ำเขตคำบัญชาของพระองค์
เมื่อพระองค์ทรงวางเส้นรากฐานของแผ่นดิน
30 ขณะนั้น เราเป็นช่างชำนาญเคียงข้างพระองค์
และทรงยินดีในตัวเราวันแล้ววันเล่า

เรายืนต่อพระพักตร์พระองค์ด้วยความยินดีเสมอ
31 เรายินดีกับทั้งโลกที่พระองค์ทรงสร้าง
และยินดีในครอบครัวมนุษยชาติด้วยกันกับพระองค์



รอคอยปัญญาที่ประตูของเธอ
32 ดังนั้น ลูก ๆ เอ๋ย จงฟังเรา
เพราะว่า คนที่รักษาทางของเรานั้นจะมีความสุข
33 จงฟังคำเตือนสอนและจงมีปัญญา
อย่าได้ทำเฉยเมย อย่าได้ละเลยคำนั้น
34 ความสุขเป็นของคนที่ฟังเสียงของเรา
และเฝ้ารอเราทุกวันที่ประตูของเรา
รอคอยอยู่ที่เสาประตูของเรา
35 ใครก็ตามที่พบเรา ก็พบชีวิต
และได้รับความโปรดปรานจากพระยาห์เวห์
36 คนที่ตามหาเราไม่พบ ก็เท่ากับทำร้ายตนเอง
คนทุกคนที่เกลียดเราก็คือเขารักความตาย”

อธิบายเพิ่มเติม

สุภาษิต 8:1-5 กษัตริย์โซโลมอนได้เขียนถึงปัญญาในฐานะที่เป็นสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งใคร ๆ ก็สมควรจะติดตามหาแทนที่จะไปตามหาความรักจากหญิงสัญจร เราจะเรียกเธอว่า คุณหญิงผู้รอบรู้ ซึ่งเธอจะเรียกคนทุกคนที่จะฟังเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอเรียกให้คนที่ขาดความเข้าใจได้มาฟัง องค์กษัตริย์ได้ให้สตรีผู้นี้กล่าวคำแห่งปัญญา เธอแตกต่างจากหญิงชู้ในบทก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
น่าสนใจว่าคุณหญิงผู้รอบรู้นี้ ยืนที่สี่แยกบนที่สูง ข้างประตูเมืองซึ่งเป็นที่คนสัญจรไปมา เธอตะโกนเสียงดัง ทุกคนต้องได้ยินเสียงของเธอ เธอต้องการให้มนุษย์ทุกคนได้ยิน แต่คนสองกลุ่มที่จำต้องฟังเธอคือ คนที่อ่อนต่อโลก และคนโง่ เธอยินดีมอบความเข้าใจให้กับพวกเขา
สำหรับเรา เธอกำลังชวนเราทุกคนที่อ่านสุภาษิตอยู่ให้เข้าไปในอาณาจักรแห่งปัญญาของพระเจ้า

สุภาษิต 8:6-11
สตรีแห่งปัญญาผู้นี้ กล่าวคำที่ทรงคุณค่าและถูกต้อง ทั้งจริง และเที่ยงธรรม ไร้การบิดเบือนซึ่งเต็มโลก คนที่เข้าใจเท่านั้นจะรู้ว่า ความจริงที่เธอกล่าวนั้นสำคัญต่อชีวิตนี้ และชีวิตหน้าเพียงไร เธอชักชวนให้ผู้คนได้มารับคำสอนและความรู้จากเธอ ให้หาปัญญาแทนที่จะหาเงิน เพราะปัญญานั้นสูงส่งเหนือทรัพย์สิน

สุภาษิต 8:12-21
สตรีผู้รอบรู้ได้แจ้งว่าเธอคือปัญญา ความฉลาด ความรู้ ปฎิภาณ และที่เป็นเช่นนี้ เพราะเธอยำเกรงพระเจ้า เกลียดความชั่วแค่คำเท่านี้ หากเราตามเธอ เราก็จะเป็นเหมือนเธอได้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการมีปัญญา ความรอบรู้ พวกเขาชอบที่จะมีความสุข สนุกสนานในชีวิตเท่านั้น
ประเทศใดประเทศหนึ่งที่มีผู้ปกครองที่ยำเกรงพระเจ้า ก็จะได้อยู่ใต้ผู้ที่ยุติธรรม และเป็นธรรม
ใครก็ตามที่รักปัญญา แสวงหาปัญญา จะได้ทั้งปัญญาและความมั่งคั่งเป็นของตอบแทน.. น่าสนใจจริง แต่ไม่ค่อยมีคนสนใจหรอก เพราะพวกเขาไม่เชื่อ และรู้สึกว่า ตามปัญญานั้น ยากเกินไป

สุภาษิต 8:22-31
แล้วคุณหญิงผู้รอบรู้ได้เล่าถึงการที่พระเจ้าทรงสร้างโลก และการที่เธอได้อยู่ที่นั่น ได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในการทรงสร้างนั้น
สุภาษิต 3:18-20 บอกเราว่า พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งโดยปัญญา อาริอุสแห่งเล็กซานเดรีย ซึ่งอยู่ในช่วงคริสตจักรยุคแรก อ้างว่า ข้อความตอนนี้หมายถึงพระเยซู และพระเจ้าทรงสร้างพระองค์ขึ้นมา ให้เป็นปัญญา ที่สร้างโลกมาพร้อมกับพระองค์ และได้กลายเป็นความเชื่อว่า พระเยซูถูกสร้าง จึงไม่ใช่พระเจ้า เขาไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่อยู่กับพระบิดา นี่เป็นต้นกำเนิดความเชื่อแบบของพยานพระยะโฮวาห์ เรากลับไปอ่านยอห์นบทที่ 1 ก็จะเข้าใจความสัมพันธ์ของพระบิดาและพระบุตรอย่างชัดเจน

แต่ผู้เขียนไม่ได้บอกว่าปัญญานี้ เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระบุตรนั้น ทรงอยู่กับพระเจ้ามาตั้งแต่ต้นอย่างที่ยอห์น 1:1 ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน พระเจ้าทรงสร้างโลกโดยพระบุตร โคโลสี 1:16 คุณหญิงผู้รอบรู้ได้บอกว่าเธออยู่ที่นั่นเมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลก นี่เป็น ถ้าเราจะมองจากบริบทนี้ เราอาจสรุปได้ว่า พระเจ้าทรงสร้างโลกโดยพระบุตรผู้ทรงปัญญา และระหว่างที่ทรงสร้างนั้น ก็มีความยินดีล้นเหลือในการสร้างสารพัดที่เราเห็นในโลก ความงามทั้งสิ้นที่พระเจ้าทรงใส่มาให้โลกนี้ เป็นความงามที่มาจากพระเจ้าผู้ทรงปัญญา และเต็มด้วยความคิดแห่งความงาม ความซับซ้อน และความสามารถในการสืบทอดลูกหลานมาจนทุกวันนี้ เกินที่มนุษย์จะคิดได้ ข้อความตอนนี้เราได้เห็นความสุข ความยินดีของการทรงสร้างมากกว่าข้อความที่คล้ายคลึงกันในพระคัมภีร์

สุภาษิต 8:32-36
คุณหญิงผู้รอบรู้ ได้สรุปว่า การพบปัญญาไม่ใช่พบเฉย ๆ ต้องฟัง รักษา ไม่เฉยเมย รู้จักต่อยอดปัญญา ไม่ละเลย นั่นคือต้องตอบสนองปัญญาด้วยการลงมือทำตามปัญญานั้น ตั้งใจที่จะพบปัญญา
หากเราได้พบพระปัญญาของพระเจ้า เราจะพบชีวิตที่รับความโปรดปรานจากพระเจ้า อันนี้สุดยอด

1* สุภาษิต 1:20-21; 9:3
6* สุภาษิต 22:20
11* โยบ 28:15
13* สุภาษิต 3:7; 16:6; 16:17-18; 4:24
14* ปัญญาจารย์ 7:19; 9:16
15* โรม 13:1

17* ยอห์น 14:21; ยากอบ 1:5
18* สุภาษิต 3:16
22* สุภาษิต 3:19
23* สดุดี 2:6
25* โยบ 15:7-8
29* ปฐมกาล 1:9-10; โยบ 28:4, 6

30* ยอห์น 1:1-3, 18; มัทธิว 3:17
31* สดุดี 16:3
32* ลูกา 11:28
34* สุภาษิต 3:13, 18
35* ยอห์น 17:3
36* สุภาษิต 20:2