มาลาคี 4 วันแห่งองค์พระยาห์เวห์ …

1 “ดูเถิด วันนั้นกำลังจะมาถึง เป็นวันที่ไฟเผาดั่งเตาหลอม  เมื่อคนที่หยิ่งยโส และคนที่ทำชั่วจะถูกเผาเป็นตอ  วันที่จะมาถึงนั้นเราจะเผาพวกเขาให้ลุกโพลง” พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัส “จะไม่มีเหลือแม้แต่รากหรือกิ่ง”
2 “แต่สำหรับคนที่ยำเกรงพระนามของเรา  ดวงอาทิตย์แห่งความเที่ยงธรรมจะขึ้นมาพร้อมกับปีกซึ่งสามารถบำบัดรักษา และเจ้าจะออกไป กระโดดโลดเต้นเหมือนลูกวัวที่ถูกปล่อยจากคอก
3 แล้วเจ้าจะย่ำเหยียบคนโหดร้าย เพราะพวกเขาจะกลายเป็นขี้เถ้าใต้ฝ่าเท้าของเจ้าในวันที่เราทำสิ่งเหล่านี้”พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสดังนั้น 

4 “จงจำบัญญัติของโมเสสผู้รับใช้ของเรา ทั้งบทบัญญัติและกฎหมายที่เราบัญชาผ่านเขาบนภูเขาโฮเรบเพื่อชนอิสราเอลทั้งปวง
5 ดูเถิด เราได้ส่งเอลียาห์ผู้เผยพระดำรัสมาก่อนวันอันยิ่งใหญ่และน่ากลัวของพระยาห์เวห์ 
6 และเขาจะทำให้ใจของพ่อ ๆ หันไปหาลูก ๆ และใจของลูก ๆ หันไปหาพ่อ ไม่อย่างนั้น เราจะมาและทำลายแผ่นดินให้พินาศด้วยคำสาปแช่ง”

อธิบายเพิ่มเติม

4:1 ในบทนี้ เป็นบทที่สั้นมาก และมีความหมายมาก.. พระเจ้าทรงกล่าวถึงคนชั่ว คนยำเกรงพระเจ้า โมเสส   เอลียาห์ และวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่น่าสะพรึง!
คนชั่วด้านมืด จะได้รับผลของชีวิตอย่างที่เขารู้แล้วว่าจะเจออะไร แต่ยังดึงดันที่จะใช้ชีวิตเพื่อได้รับการเผา… เป็นการถูกย้ายออกจากอาณาจักรของพระเจ้าอย่างไม่มีทางหวนกลับ  เมื่อไรที่กล่าวถึงไฟ นั่นคือความหมายของหายนะ

4:2คนด้านความสว่าง คนที่ยำเกรงพระเจ้า พระองค์ทรงสัญญาให้การบำบัดรักษา ปีกของดวงอาทิตย์ หมายถึงแสงสว่างที่ส่องมา  คำว่าปีก มีความหมายหลายอย่าง มาจากฮีบรูว่า คานาค כָּנָף
ความหมายแรกคือ ปีกเหมือนอย่างนก ปีกที่ปกป้องลูกน้อย  และยังใช้เป็นคำเปรียบถึงขอบเขตที่สุด ของอะไรบางอย่าง
สุดปลายโลก สุดเขต และหมายถึงการปกป้องเหมือนกับปีกของพระเจ้าที่ปกป้องคนของพระองค์  แล้วคนของพระองค์ จะมีความสุขมากเหมือนลูกวัวที่ตื่นเต้นได้ออกจากคอก 

4:3 พวกเขาที่ไม่ได้ติดตามความชั่วจะเป็นคนที่ได้รับชัยชนะ เป็นฝ่ายของพระเจ้า และทรงอนุญาตให้เขาเป็นผู้ทำให้คนโหดร้ายแหลกราญ 

4:4 การจำบัญญัตินั้นไม่พอ แต่ต้องต่อด้วยการกระทำตามนั้นด้วย  บัญญัติของโมเสสมาจากพระเจ้าโดยตรง  โมเสสเป็นตัวกลาง ไม่ใช่เป็นคนเขียนบัญญัตินั้น

4:5 แม้เอลียาห์จะอยู่ในสมัยอิสราเอลมีกษัตริย์ปกครองแต่ในสมัยของพระเยซู  ยอห์นผู้ให้บัพติศมา ก็เป็นคนที่ใคร ๆ กล่าวถึงว่าท่านเป็นเอลียาห์   ยอห์นเป็นผู้ที่เรียกร้องให้คนกลับใจใหม่  เป็นคนที่เตรียมทางให้พระเมสสิยาห์ 

4:6 ทั้งพระสัญญาและคำเตือนถึงการทำลาย หากไม่มีการกลับใจ คำว่า “คำสาปแช่ง” เป็นคำที่รุนแรงมาก  หมายถึงการทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง  เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงทำลายเยรีโค โสโดม โกโมราห์ 

พระคำเชื่อมโยง

1* 2 เปโตร 3:7; มาลาคี 3:18; โอบาดีย์ 18; อาโมส 2:9
2* มาลาคี 3:16; ลูกา 1:78
3* มีคาห์ 7:10
4* อพยพ 20:3; เฉลยธรรมบัญญัติ 4:10
5* มัทธิว 11:14; 17:10-13; โยเอล 2:31
6* อิสยาห์ 11:4; เศคาริยาห์ 14:12; 5:3

บรรณานุกรมมาลาคี
https://biblehub.com/hebrew/8130.htm
https://www.bibleref.com/Malachi

Enduring Word

The Nelson Study Bible 


มาลาคี 3 บันทึกความทรงจำ

1 “ดูเถิด เราจะส่งผู้สื่อสารของเราไป
เขาจะเตรียมทางให้เราล่วงหน้า
แล้วพระยาห์เวห์ที่เจ้าแสวงหาจะเสด็จมา
ยังพระวิหารของพระองค์อย่างทันควัน
ทูตแห่งพันธสัญญาที่พวกเจ้าชื่นชมนั้น
เห็นไหม ท่านกำลังมา”
พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัส 

2 แต่ใครจะทนอยู่ได้ในวันที่พระองค์เสด็จมา?
ใครจะยืนอยู่ได้เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ?
เพราะพระองค์ทรงเป็นเหมือนกองไฟ
สำหรับหลอมเหล็ก
และเหมือนสบู่ของช่างซักเสื้อผ้า 

3 พระองค์จะประทับนั่งลง
ราวกับช่างถลุงแร่เงิน และช่างชำระแร่เงินให้บริสุทธิ์
พระองค์จะทรงชำระเหล่าลูกชายของเลวีให้บริสุทธิ์
และถลุงพวกเขาให้สะอาด
เหมือนทองคำและแร่เงิน
แล้วพวกเขาจะนำเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์
ด้วยความเที่ยงธรรม

4  “เวลานั้น ของถวายจากยูดาห์ และเยรูซาเล็ม
จะเป็นที่พอพระทัยของพระยาห์เวห์
เหมือนในอดีต เหมือนปีก่อน ๆ 

5 และเราจะเข้ามาใกล้พวกเขาเพื่อพิพากษา 
เราจะเร่งเป็นพยานต่อต้าน
เหล่าคนที่ใช้คาถาอาคม
เหล่าคนที่ล่วงประเวณี 
เหล่าคนเป็นพยานเท็จ
เหล่าคนที่โกงค่าแรงลูกจ้าง
หญิงม่ายและลูกกำพร้าพ่อ 
และคนที่ไม่ให้ความยุติธรรมกับคนต่างด้าว
เพราะพวกเขาไม่ยำเกรงเรา”
พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัส

6 “เราคือพระยาห์เวห์
และเราไม่เปลี่ยนแปลง
โอ เหล่าวงศ์วานของยาโคบ
จึงไม่ถูกเผาผลาญไป
7 นับแต่สมัยของบรรพบุรุษของพวกเจ้า 
เจ้าได้หันไปจากบทบัญญัติของเรา
โดยไม่ได้รับกฎเหล่านั้นไว้ 
จงกลัว มาหาเราและเราจะกลับไปหาเจ้า”
พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัส
“แต่เจ้ากลับถามว่า
‘จะให้พวกเรากลับมาหาพระองค์ได้อย่างไร?’”

หยุดโกงพระเจ้า
8 “มนุษย์จะปล้นพระเจ้าหรือ?
ถึงกระนั้นเจ้าก็ปล้นเรา
แต่เจ้าถามว่า พวกเราปล้นพระองค์อย่างไร?”
ก็ปล้นจากสิบลดและของถวายนั่นไง
9 เจ้าตกอยู่ใต้คำแช่งสาป
ถึงกระนั้นพวกเจ้าทั้งชาติได้ปล้นเรา”
10 พระยาห์เวห์องค์จอมทัพ ตรัสดังนี้
“จงนำสิบลดหนึ่งเข้ามาในคลังให้ครบ
เพื่อจะมีอาหารในพระนิเวศของเรา
จงเข้ามาทดสอบเราในเรื่องนี้
ดูว่า เราจะเปิดประตูฟ้าสวรรค์ให้แก่พวกเจ้า
และเทพรลงมาให้แก่พวกเจ้า
อย่างล้นเหลือจนไม่มีที่จะเก็บหรือไม่” 
11 พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสว่า
“เราจะป้องกันไม่ให้มีแมลงมากินพืชผลของเจ้า
และองุ่นในสวนของเจ้าจะไม่หยุดที่จะออกผล”
12 “แล้วชาติต่าง ๆ จะเรียกเจ้าว่า
ผู้รับพระพร เพราะแผ่นดินของเจ้าน่าอยู่ยิ่งนัก”
พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสดังนั้น 
13 พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสว่า
“เมื่อเจ้าพูดถึงเรานั้น ก็เป็นคำพูดที่ให้ร้ายเรา
แต่เจ้าก็ถามว่า ‘พวกเราได้ให้ร้ายพระองค์อย่างไรกัน?’
14 “ก็เจ้าพูดว่า ‘ที่จะรับใช้พระเจ้าก็ไร้ค่า
เราได้อะไรจากการทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชา
หรือได้อะไรจากการใช้ชีวิตอย่างคนเป็นทุกข์
ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์องค์จอมทัพ?
15 ดังนั้น เวลานี้เราเรียกคนอหังการว่า
ผู้ได้รับพร คนที่ทำชั่วก็ได้ดี
แม้แต่คนที่ท้าท้ายพระเจ้ากลับลอยนวลไปได้”

หนังสือแห่งความทรงจำ
16 ในเวลานั้น
เหล่าคนที่ยำเกรงพระยาห์เวห์ได้สนทนากัน
และองค์พระยาห์เวห์ทรงได้ยินและทรงสดับฟังพวกเขา
มีหนังสือม้วนแห่งความทรงจำ
บันทึกเรื่องของผู้คนที่ยำเกรงพระยาห์เวห์
และถวายเกียรติแด่พระนามของพระองค์ 



17 พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสว่า
“คนเหล่านั้นจะได้มาเป็นคนของเรา
ในวันที่เราเตรียมทำให้พวกเขาเป็นสมบัติล้ำค่าของเรา 
เราจะปกป้องรักษาเขาเหมือนกับที่พ่อ
จะปกป้องรักษาลูกที่ปรนนิบัติรับใช้เขา
18 แล้วเจ้าจะเห็นอีกครั้ง
ถึงความแตกต่างระหว่างคนเที่ยงธรรมกับคนโหดร้าย
ระหว่างคนที่รับใช้พระเจ้ากับคนที่ไม่ได้รับใช้พระองค์ 


อธิบายเพิ่มเติม

3:1 คำพยากรณ์ตรงนี้ของมาลาคีสำเร็จเมื่อยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้เข้าไปในถิ่นกันดาร ประกาศการกลับใจ (อิสยาห์ 40:3; มัทธิว 3:3; มาระโก 1:2; ) เพื่อเตรียมใจผู้คนให้ได้รับพระเมสสิยาห์หรือ ทูตแห่งพันธสัญญานั่นเอง
คำว่า  องค์เจ้านายที่เจ้าแสวงหา และทูตแห่งพันธสัญญาที่เจ้าชื่นชม เป็นคำแบบประชดประชันกับคนเหล่านี้ที่เฉยเมยต่อพระเจ้า
การมาของพระองค์เป็นอย่างทันทีทันใด ดูเหมือนมาลาคีกำลังกล่าวถึงการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์  (วิวรณ์ 19:11)

3:2  เมื่อพระองค์เสด็จมา เป็นการมาเพื่อพิพากษา พระองค์ทรงเปรียบเทียบองค์ผู้พิพากษากับกองไฟ สบู่    พระองค์ทรงประสงค์ที่จะชำระพวกแรกคือปุโรหิตอิสราเอลให้สะอาด  แต่พระองค์ทรงรวมไปถึงประชาชนด้วย เพราะทรงถามว่า ใครจะทนอยู่ได้?  คำตอบชัดเจนว่า ไม่มีใครทนได้แน่นอน 

3:3 พระเจ้าทรงเปรียบคนที่จะถูกชำระเป็นเหมือนเงินและทอง ซึ่งจะถูกความร้อนช่วยขจัดขี้แร่ออกไป ทำให้เงินและทองนั้นบริสุทธิ์  การชำระของพระองค์นั้นจะเจ็บปวดสำหรับคนที่ต้องถูกชำระ แต่เราจะเห็นว่า พวกเขาจะได้สะอาด และหันกลับมาถวายเครื่องบูชาที่เที่ยงธรรม ไม่เป็นเครื่องบูชาไร้ค่าอีกต่อไป  เราจะเห็นว่า ปุโรหิตที่พระเจ้าทรงชำระแล้ว จะไม่ต้องถูกพิพากษาดังในบทที่ 4 กล่าวถึง

3:4 ทั้งปุโรหิตและประชาชนจะกลับมานมัสการพระเจ้าอย่างถูกต้องอีกครั้งก็ต่อเมื่อพวกเขาได้รับการชำระจากพระเจ้าแล้ว  พระเจ้าทรงมองเห็นอนาคตว่า สิ่งดีจะเกิดขึ้น  และหลายท่านได้ให้ความเห็นว่า นี่เป็นอนาคตเมื่อพระเจ้าทรงครองหลังจากที่เสด็จกลับมาแล้ว 

3:5 การพิพากษาของพระเจ้านั้น บรรพบุรุษของพวกเขาได้เผชิญมาแล้วเมื่อต้องไปเป็นเชลยในบาบิโลน  ร้อยปีผ่านมา พวกเขาลืมประวัติศาสตร์  ลืมความยำเกรงพระเจ้าจึงได้ทำความผิด หันไปหาไสยศาสตร์ ล่วงประเวณี พยานเท็จ โกงคนที่ต่ำต้อยกว่า ต่อคนต่างด้าว
พระเจ้าจะทรงพิพากษาพวกเขาอีกครั้ง 

3:6  พระเจ้าทรงยืนยันว่า ที่พวกเขายังไม่หายไปจากโลกนี้ ยังมีลูกหลานของอิสราเอลอยู่ เพราะว่า พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พวกเขาเป็นพระพรแก่แผ่นดินโลก พระเมสสิยาห์จะเสด็จมาในโลกก็ผ่าน
เชื้อสายของคนเหล่านี้ ….
(เมื่อเรามาพิจารณาพระสัญญาของพระเจ้าในโลกปัจจุบัน เราจะเห็นชัดคือ ทั้ง ๆ ที่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ชนชาติอิสราเอลในยุโรปถูกกวาดไปเข้าห้องแก๊ส  ถูกขัง ถูกตามล่า ไม่ต่ำกว่าหกล้านคนถูกสังหารตายไป  พวกเขาได้ตัดสินใจพากันกลับมายังแผ่นดินที่พระเจ้าทรงไล่พวกเขาออกไปเนื่องจากดื้อดึง ได้สร้างประเทศขึ้นมาใหม่ ประกาศเป็นประเทศอิสราเอลเมื่อปี 1948   เป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อ ภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาฮีบรูเดิม  และกลับมาอย่างกล้าหาญ   พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะนำเขากลับมา และพระองค์ก็ทรงทำให้อย่างนั้นจริง ๆ นี่คือ พระเจ้าผู้ไม่เปลี่ยนแปลง!  ที่พวกเขายังอยู่ทุวันนี้ได้ท่ามกลางสงครามรอบด้านในปี 2025 ก็เป็นเพราะพระเจ้าทรงปกป้องไว้)

3:7 ตั้งแต่วันที่พระเจ้าทรงให้พวกเขามีชาติในแผ่นดินคานาอัน อิสราเอลก็มักหันไปจากพระเจ้า ไม่ยึดมั่นในคำบัญชาของพระองค์ พวกเขาทำตามใจตัวเองเสมอ แล้วพระเจ้าก็มายืนยันว่า พวกเขาควรจะกลับมาหาพระองค์ และทรงสัญญาจะกลับไปหาพวกเขา
พระเจ้าทรงทำถึงขนาดนี้  แต่อิสราเอลยังท้าทายพระองค์ ถามว่าจะกลับมาหาพระองค์ด้วยวิธีไหน?  หากกษัตริย์องค์หนึ่งเมตตาต่อประชาชนขนาดนี้ แล้วมีการตอบกลับมาอย่างโอหังประมาณนี้  พวกเขาสมควรโดนโทษเนรเทศใช่ไหม?

อย่าโกงพระเจ้า
3:8 บทบัญญัติได้บันทึกคำบัญชาเรื่องนี้ชัดเจน ในเฉลยธรรมบัญญัติ 14:22-28 เป็นแบบประจำปี กับสามปีครั้ง
ที่ว่าพวกเขาปล้นพระเจ้าก็คือ เขาไม่ได้ส่งสิบลด และของถวายที่ครบครัน เป็นระบบที่พระเจ้าทรงให้เลวีได้กินอยู่จากสิบลด เพราะพวกเขาไม่ได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์เหมือนกับเผ่าอื่น ๆ   

3:9 พวกเขาจึงตกอยู่ในวังวนของคำแช่งสาป ไม่ใช่พระพร  พระเจ้าทรงถือว่า การไม่ทำตามหน้าที่ต่อชุมชนอย่างที่พระองค์ทรงบัญชานั้น เป็นการปล้นพระองค์โดยตรง คำแช่งสาปที่ได้รับคือ ผลผลิตจากไร่มีน้อย  สัตว์ก็อ่อนแอ เกิดลูกน้อย เป็นโรค อ่านเฉลยธรรมบัญญัติ 28:15  เป็นต้นไป จะเห็นภาพว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคมอิสราเอลเวลานั้น 

3:10 จากนั้น พระเจ้าทรงท้าให้เขาทำสิ่งที่ถูกต้องในเรื่องการถวาย น่าแปลกที่พระเจ้าก็ทรงมีปัญหากับพวกปุโรหิตอยู่ แต่ปัญหาของการถวายนั้นไม่ได้เพื่อให้ปุโรหิตมีกิน  แต่เพื่อให้ประชาชนได้ทำสิ่งที่ถูกต้องนี่เป็นข้อพระคัมภีร์ที่ชอบใช้กันเพื่อให้สมาชิกในคริสตจักรได้ถวายสิบลด แต่เราควรจะสอนบริบททั้งหมดของมาลาคี เพื่อให้เห็นภาพว่า การเงิน และพฤติกรรมในเรื่องต่าง ๆ นั้น มีความสัมพันธ์ต่อกัน ถ้าถวายมากมาย แต่ชีวิตผิดต่อพระเจ้า พระองค์ก็ไม่ทรงรับอย่างที่เราเห็นในบทที่ผ่านมา  

3:11 พระเจ้าทรงเป็นผู้ดูแลไร่นาของประชาชน พวกเขามีหน้าที่ต้องทำตามพระบัญชา  เรื่องการเชื่อฟังนี้ เป็นปัญหาของคนอิสราเอลจริง ๆ  เราเองในสมัยใหม่นี้ ไม่มีไร่นา แต่อาชีพของเราจะไปรอดก็ต่อเมื่อพระเจ้าทรงอวยพระพร  และพระเจ้าจะทรงอวยพระพรก็เมื่อเราเชื่อฟัง 

3:12 พระองค์ทรงโยงพระพรที่พวกเขาได้รับไปยังชาติต่าง ๆ ที่อยู่ล้อมรอบ พระเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเขาเป็นตัวอย่างที่ดี  เป็นตัวอย่างของพระพร ไม่ใช่คำแช่งสาป นี่เป็นทางที่จะทำให้คนรอบข้างเราได้เห็นพระเจ้า เห็นพระพรของพระองค์ในชีวิตของผู้เชื่อ เพื่อพวกเขาจะได้ถูกชักชวนใจให้มาแสวงหาพระเจ้าของเรา การซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าทำให้ชีวิตเกิดผล!

3:13 ทั้งปุโรหิต และประชาชนอิสราเอล ได้ให้ร้ายพระเจ้าอย่างน่าอาย
พวกเขาตั้งคำถามกับพระองค์ราวกับพระองค์เป็นเบี้ยล่าง  ละเมิดบทบัญญัติของพระองค์ ทำให้แท่นบูชาเป็นมลทินด้วยการถวายเครื่องบูชาที่พิการ เป็นโรค  พวกเขาดูหมิ่นพระนามของพระองค์ บ่นว่าการทำตามพระเจ้าเป็นทุกข์ ไม่มีประโยชน์ (12)  พวกเขาไม่เห็นอะไรดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย … เหตุใดพระเจ้าจึงทรงทนกับคนเช่นนี้? เหตุใดพระเจ้าจึงทรงอดทนกับพวกเราที่ไม่เข้าใจสักทีว่า สิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราคิดหมิ่นประมาทพระองค์เพียงไร?

3:14 พวกเขาทำตัวเป็นคนโศกเศร้าเพราะสำนึกบาป  ทำเป็นคนที่แสวงหาพระเจ้า สวมเสื้อกระสอบ (อ่าน อิสยาห์  58:5; โยเอล 2:3)  แต่แล้วก็มาบ่นว่า การทำตัวแบบนั้นมันไร้ค่า ไม่มีความหมายอะไร 

3:15 คนเหล่านี้ทั้งท้าทายและทดสอบพระเจ้าว่า พวกเขาจะทำชั่วไปได้ถึงไหน พระองค์จะทรงยอมได้แค่ไหน 

ต่อจากนี้ไป มาลาคีให้กำลังใจกับคนที่อยู่ฝ่ายพระเจ้า คนที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ 
3:16 แต่ยังไม่หมดหวังสำหรับคนอิสราเอล มีคนที่ฟังคำของมาลาคี ยังมีคนที่ยำเกรงพระเจ้า และติดตามพระองค์  และพระเจ้าไม่ได้ทรงมองข้ามคนเหล่านี้ มีพระพรสำหรับพวกเขา เป็นเกียรติอย่างสูง พระเจ้าทรงมี “หนังสือม้วนแห่งความทรงจำ” เพื่อบันทึกเรื่องราวของคนที่ยำเกรงและถวายเกียรติแด่พระนาม..  พระเจ้าไม่ทรงลืมและยังทรงหนุนใจด้วยว่า ทรงจดทุกอย่างเอาไว้แล้ว

3:17 พวกเขาเป็นคนของพระเจ้า เป็นสมบัติล้ำค่าของพระองค์ที่พระองค์จะทรงปกป้องไว้  วันที่สำคัญวันนั้น คือวันที่พระเจ้าทรงพิพากษาโลกนี้  น่าคิดว่า พระเจ้าทรงเตือนพวกเขาไว้ก่อนที่พระองค์จะไม่ทรงส่งผู้เผยพระดำรัสมาอีกนานมากถึงสี่ร้อยปี  วันเดือนปีเหล่านั้น เกิดอะไรขึ้นบ้าง  และพระเจ้าทรงสัญญาจะทรงปกป้องคนที่รักพระองค์เหมือนพ่อปกป้องลูก… 

3:18 แล้วคนทั้งหลายที่คิดท้าทายพระเจ้า และไม่ยำเกรงพระองค์ก็จะได้เห็นความแตกต่างของผลที่เกิดขึ้น เมื่อถึงวันที่พระองค์ทรงเปิดเผยให้เห็น 

พระคำเชื่อมโยง

มาลาคี 3
1* มัทธิว 11:10 ; อิสยาห์ 40:3 ; 63:9;
ฮาบากุก 2:7
2* มาลาคี 4:1; วิวรณ์ 6:17; มัทธิว 3:10-12
3* อิสยาห์ 1:25; 1 เปโตร 2:5
4* มาลาคี 1:11
5* เศคาริยาห์  5:4; ยากอบ 5:4; อพยพ 22:22



6* โรม 11:29; เพลงคร่ำครวญ 3:22
7* กิจการ 7:51; เศคาริยาห์  1:3; มาลาคี 1:6
8* เนหะมีย์ 13:10-12
10* สุภาษิต 3:9-10; 1 พงศาวดาร 26:20; ปฐมกาล 7:11; 2 พงศาวดาร 31:10
11* อาโมส  4:9

12* ดาเนียล 8:9
13* มาลาคี 2:17
14* โยบ 21:14
15* สดุดี 73:12; 95:9
16* สดุดี 66:16; ฮีบรู 3:13; สดุดี 56:8
17* อพยพ 19:5; อิสยาห์ 62:3; สดุดี 103:13
18* สดุดี 58:11

มาลาคี 2 คำเตือนมายังปุโรหิต

เจ้ามาทำให้แท่นบูชาของพระยาห์เวห์เปียกด้วยน้ำตา

หน้าที่ของปุโรหิตที่ถูกละเลย
1 “โอ ปุโรหิต บัดนี้ เป็นคำสั่งตักเตือนเจ้าทั้งหลาย  
2 หากเจ้าไม่ฟัง และหากเจ้าไม่ตั้งใจ
ที่จะถวายเกียรติแด่พระนามของเรา 
เราจะส่งคำสาปแช่งมายังเจ้า
และเราจะสาปแช่งพรของเจ้า 
ที่จริง เราได้สาปแช่งพรไปแล้ว
เพราะเจ้าไม่ได้ใส่ใจที่จะถวายเกียรติแก่เรา 
3 “ ดูเถิด ..เราจะลงโทษลูกหลานรุ่นต่อไปของพวกเจ้า
จะละเลงสิ่งปฏิกูลจากของที่เจ้าถวาย
ลงบนหน้าของเจ้า
และโยนพวกเจ้าทิ้งไปพร้อมกับของเสียเหล่านั้น 
4 เจ้าจะได้รู้ว่า เราได้บัญชาดังนี้
เพื่อพันธสัญญาของเรากับเลวีนั้นจะคงอยู่ต่อไป”
พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัส 
5 “พันธสัญญาที่เรามีกับเขานั้น
เป็นพันธสัญญาของชีวิตและสันติสุขซึ่งเรามอบให้เขา 
โดยพันธสัญญานี้มีเงื่อนไขคือ ความยำเกรง
คือเขาจะยำเกรงเราและเกรงกลัวพระนามของเรา

6 การสั่งสอนที่แทัอยู่ในปากของพวกเขา (ปุโรหิต)
และไม่พบความผิดใด ๆ จากริมฝีปากของเขา 
เขาเดินกับเราด้วยสันติสุขและความเที่ยงตรง
และเขานำคนเป็นจำนวนมากให้ออกจากความผิดบาป 
7 เพราะริมฝีปากของปุโรหิตควรรักษาความรู้ไว้
และประชาชนควรที่จะเรียนคำสั่งสอนจากปากของเขา
เพราะเขาเป็นผู้สื่อสารจากพระยาห์เวห์องค์จอมทัพ
8 แต่เจ้าได้พรากไปจากทางนั้น
และคำสั่งสอนของเจ้ากลับทำให้หลายคนต้องสะดุด 
เจ้าได้ละเมิดพันธสัญญาของเลวี”
พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัส 
9 “ดังนั้น เราจึงทำให้เจ้าเป็นที่ครหา
และดูหมิ่นต่อหน้าประชาชนทั้งปวง
เพราะเจ้าไม่ได้รักษาทางของเรา
แต่ได้แสดงความลำเอียงในเรื่องของบัญญัติ”

ยูดาห์ทรยศต่อพันธสัญญา
10 เราทั้งหลายมีพระบิดาองค์เดียวกันมิใช่หรือ? 
พระเจ้าองค์เดียวกันทรงสร้างเรามามิใช่หรือ? 
แล้วเหตุใดเราจึงไม่ซื่อตรงต่อกัน
เป็นการทำให้พันธสัญญาของบรรพบุรุษของเราเป็นมลทิน? 
11 ยูดาห์ได้ละจากความเชื่อ
มีการทำสิ่งที่น่ารังเกียจในอิสราเอลและในเยรูซาเล็ม 
เพราะยูดาห์ได้ทำให้สถานบริสุทธิ์
อันเป็นที่รักของพระยาห์เวห์ เป็นมลทิน
ด้วยการไปแต่งงานกับลูกสาวของเทพต่างชาติ 

12 สำหรับชายที่กระทำการดังกล่าวทั้งที่รู้ตัวดี
ตระหนักในความผิด
ขอให้พระยาห์เวห์ทรงตัดเขาออกจากเต็นท์ของยาโคบ
แม้ว่าเขาจะนำเครื่องบูชามาถวาย
แด่พระยาห์เวห์องค์จอมทัพ
13 และอีกอย่างที่เจ้ากระทำคือ
เจ้ามาทำให้แท่นบูชาของพระยาห์เวห์เปียกด้วยน้ำตา
เจ้าร้องคร่ำครวญ โหยหวน
เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงสนใจเครื่องบูชาอีกเลย
พระองค์ไม่ได้รับของถวายเหล่านั้นจากมือของเจ้า
ด้วยความยินดี 
14 เจ้าถามว่า “ทำไมพระองค์ทรงทำเช่นนี้?”
เป็นเพราะพระยาห์เวห์ทรงเป็นพยานระหว่างเจ้า
และภรรยาที่เจ้าได้มาเมื่อยังหนุ่ม
และเจ้าได้ทรยศต่อเธอ
ถึงแม้ว่าเธอเป็นคู่ครองและเป็นภรรยาโดยพันธสัญญา 

15 พระยาห์เวห์มิได้ผูกพันให้ทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวหรือ?
ทั้งสองเป็นของพระองค์ด้วยวิญญาณ
และทำไมจึงเป็นหนึ่งเดียว?
เพราะพระองค์ทรงประสงค์เชื้อสายที่อยู่ในทางของพระองค์  ดังนั้นเจ้าจะต้องระวังตัวในฝ่ายวิญญาณ
และไม่ทรยศต่อภรรยาที่เจ้าได้มาเมื่อยังหนุ่มนั้น 
16 “เพราะเราชังการหย่าร้าง”
พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัส
“ชายที่หย่าภรรยานั้นเท่ากับเขาคลุมตัวเองด้วยความรุนแรง” พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัส ดังนั้นเจ้าจะต้องระวังตนเองในฝ่ายวิญญาณ และไม่ทรยศ!

17 พวกเจ้าทำให้องค์พระยาห์เวห์ทรงเหนื่อยหน่าย
ด้วยคำพูดของเจ้า
เจ้าถามว่า “พวกเราทำให้พระองค์ทรงเอือมระอา
ด้วยเรื่องใดหรือ?”
ก็โดยการพูดว่า “ทุกคนที่ทำชั่ว
เป็นคนดีในสายพระเนตรของพระเจ้า
และพระองค์ทรงพอพระทัยพวกเขาไง” หรือเจ้ากล่าวว่า “พระเจ้าแห่งความยุติธรรมทรงอยู่ที่ไหนกัน?”

อธิบายเพิ่มเติม

หน้าที่ของปุโรหิตที่ถูกละเลย
2:1-3 พระเจ้ายังตรัสกับปุโรหิตไม่จบ ครั้งนี้เป็นคำบัญชาสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ  พระองค์ตรัสกับเหล่าคนรับใช้ที่เฉยเมยต่อพระองค์ผู้ทรงเป็นพระบิดาและเป็นเจ้านาย
ครั้งนี้ทรงชัดเจนว่า หากไม่ฟัง ไม่ตั้งใจ  พระองค์จะทรงสาปแช่งพระพรที่พวกเขาเคยมี   และไม่ได้เจอเฉพาะรุ่นพวกเขาเท่านั้น แต่ไปถึงลูกหลานด้วย  พระเจ้าจะทรงทำให้พวกเขากลายเป็นของที่ต้องเอาไปทิ้ง ไม่มีประโยชน์ ไม่มีหน้าตา มีแต่ความอับอาย 
นั่นคือ พระเจ้าจะทรงทำให้ตำแหน่งปุโรหิตเป็นที่น่าดูหมิ่น เหมือนกับที่ทรงละเลงหน้าตาพวกเขาด้วยปฏิกูล  จะไม่ให้สิ่งสกปรกเหล่านั้น เข้ามาเป็นเครื่องใช้ ไม่ให้คนเหล่านั้นเข้ามาทำการในพระนิเวศของพระองค์อีก 

2:4 พันธสัญญาของเลวี ก็คือ พระเจ้าทรงให้พวกเขาได้มีสิทธิพิเศษในการรับใช้เรื่องการนมัสการพระองค์  (เฉลยธรรมบัญญัติ 33:8-11 ) พวกเขายังมีหน้าที่ในการสอนบทบัญญัติของพระองค์แก่อิสราเอลด้วย และ พระเจ้าจะทรงอวยพรการงาน ทรัพย์สิน และทำลายศัตรูให้พวกเขา
พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ เพื่อรับใช้พระองค์ เพื่อทำให้พระสัญญาที่ทรงให้กับเลวีนั้นสำเร็จ (กันดารวิถี 18) พระองค์ทรงทำพันธสัญญากับพวกเขาอย่างชัดเจน และโอกาสที่จะได้รับพระพรก็มีมากเหลือเกิน 

2:5 พระองค์ทรงประสงค์ที่เขาจะได้มีชีวิต มีสันติสุข (ซึ่งมีความหมายถึงชีวิตที่สมบูรณ์สุขเต็มร้อย) และยำเกรงพระองค์ ซึ่งก็เป็นหนทางรับพระพรสำคัญที่สุดคือ พวกเขาได้มีโอกาสใกล้ชิดพระเจ้ายิ่งกว่าคนอิสราเอลทั่วไป

2:6 การตกลงดั้งเดิมนั้น พวกเขาต้องทำหน้าที่ทั้งถวายเครื่องบูชาต่าง ๆ เพื่อประชาชน และยังมีหน้าที่สอนให้ประชาชนรู้จักพระเจ้า รู้จักบทบัญญัติเพื่อจะติดตามพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง ไม่ทำบาป

2:7 ปุโรหิตคือคนที่มีความรู้ เหมือนกับเป็นตัวแทนของพระเจ้าแก่ประชาชนด้วย  หน้าที่ของพวกเขามีเกียรติมาก คือเป็นผู้สื่อพระประสงค์ของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระเจ้าองค์จอมทัพที่ครอบครองเหนือเอกภพทั้งสิ้น ให้กับประชาชน

2:8 แต่ปุโรหิตสมัยของมาลาคีนี้  กลับกลายเป็นหินสะดุดของประชาชน เพราะพวกเขาเฉยเมยต่อพระเจ้า ชั่วช้า ละเมิดพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับพวกเขาอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ได้มีการปิดบังเลย ทั้งยังถวายเครื่องบูชาอย่างลวก ๆ  ไม่มีการคัดสรรของดีมาถวาย ไม่มีความเคารพในการนมัสการ ทำแค่เป็นพิธีให้ผ่าน ๆ ไปเท่านั้น​ แทนที่อิสราเอลจะมีผู้นำที่ดี กลับกลายเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณกำมะลอทำให้อิสราเอลทั้งชาติทำผิดต่อพระเจ้าไปด้วย เราพบเจอผู้รับใช้ไม่น้อยที่เป็นอย่างนี้  หลายคนคิดว่าจะลอยนวลไปได้ แต่พระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยพวกเขา 

2:9 พระองค์ตรัสชัดเจนว่า พวกเขาจะถูกประจาน ทั้ง ๆ ที่โทษจริง ๆ คือการถูกประหาร (กันดารวิถี 18:32)  ที่เป็นเช่นนี้เพราะการกระทำ
พฤติกรรมของพวกเขาเอง เขาบิดเบือนและเอาบทบัญญัติมาเป็นประโยชน์เข้าตัว

ยูดาห์ทรยศต่อพันธสัญญา
2:10 แล้วพระเจ้าทรงให้เหตุผลว่า มนุษย์ทุกคนมาจากพระเจ้าเหมือนกัน  เป็นคนที่พระเจ้าสร้าง ดังนั้น สิ่งที่มนุษย์ควรทำต่อกันคือ การกระทำต่อกันและกันอย่างซื่อตรง  แต่กลับไม่ซื่อตรงต่อกัน 
คำว่าไม่ซื่อตรงนี้ ฮีบรูว่า บากาด  בָּגד  ให้ความหมายว่า กระทำต่อกันอย่างหลอกลวง  ทรยศ ไม่ซื่อสัตย์  ไม่ว่าจะในระดับบุคคล หรือกลุ่มคน หรือชาติ หรือมนุษย์กับพระเจ้า  การทรยศที่พระเจ้าทรงกล่าวถึง ในสังคมของอิสราเอลนั้น เป็นเรื่องร้ายแรงมาก
ในพระคัมภีร์ ความสัมพันธ์ของอิสราเอลกับพระเจ้านั้นเป็นพันธสัญญา ประหนึ่งการสมรสของชายหญิง ซึ่งความซื่อตรงต่อกันนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด  พระคัมภีร์จึงเปรียบการที่อิสราเอลไม่ซื่อตรงต่อพระเจ้ากับการไม่ซื่อสัตย์ในชีวิตคู่

2:11 ครั้งนี้ พระเจ้าตรัสกับประชาชนโดยตรงว่า สิ่งที่น่ารังเกียจเกิดขึ้นคือชายอิสราเอลไปแต่งงาน มีครอบครัวกับหญิงต่างชาติที่เชื่อเทพต่างชาติ  (เฉลยธรรมบัญญัติ 7:3-4 ห้ามไว้)
คำว่า สิ่งที่น่ารังเกียจ ฮีบรูว่า โทเอบา תּוֹעֵבַה  พระคัมภีร์ใช้อธิบายการกระทำหรือสิ่งที่น่ารังเกียจในสายพระเนตรของพระเจ้า มักหมายถึงการไหว้รูปเคารพ การกระทำผิดศีลธรรม การละเมิดพันธสัญญาของพระเจ้ากับอิสราเอล  เป็นความน่าสะอิดสะเอียนฝ่ายวิญญาณและศีลธรรม
 คำนี้โยงกับเรื่องของพันธสัญญาระหว่าง พระเจ้ากับมนุษย์
การกระทำที่น่าสะอิดสะเอียนในพระคัมภีร์นั้นรวมเรื่องการไหว้รูปเคารพ การผิดประเวณี การกระทำสิ่งที่อยุติธรรมต่อกัน  อิสราเอลจะต้องมีชีวิตบริสุทธิ์ เชื่อฟังพระเจ้า ใช้ชีวิตแตกต่างจากชาติต่าง ๆ รอบข้างพวกเขาที่มองเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา 
ข้อสิบเอ็ดนี้ พระเจ้ากำลังบอกพวกเขาว่า การที่ชายอิสราเอลทำเช่นนั้น ทำให้สถานบริสุทธิ์ (เป็นที่ ๆ ถูกแยกไว้ไม่ให้แตะต้องสิ่งที่เป็นมลทิน) ของพระองค์เป็นมลทิน เพราะพวกเขาไปใช้ชีวิตกับคนที่ปฏิเสธพระเจ้า  ไม่นับถือพระองค์ เป็นการดูหมิ่นพระเจ้าโดยตรง เพราะการทำเช่นนั้นคือเท่ากับเห็นว่า พระประสงค์ของพระองค์ในเรื่องนี้ ไม่มีความสำคัญ
การไปแต่งงานกับคนไม่เชื่อเท่ากับทำให้คนของพระเจ้าไม่ติดตามพระองค์ และไปปรนนิบัติพระอื่น  การที่บอกว่าทำให้สถานบริสุทธิ์อันเป็นที่รักของพระยาห์เวห์ เป็นมลทิน สื่อให้เรารู้ว่า คนต่างชาติเหล่านั้น ได้เข้ามาทำพิธีบางอย่างในพระนิเวศของพระเจ้าด้วย 

2:12 ชายคนใดที่ทำเรื่องนี้ โดยขัดขืนคำสั่งของพระเจ้าอย่างรู้ตัว อย่างตั้งใจ การไปแต่งงานกับหญิงต่างชาติเช่นนี้  เพราะการแต่งงานเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับเขา  การที่เขาทำเช่นนั้น เท่ากับเขาเห็นว่า พระทัยของพระเจ้าเรื่องนี้ไม่สำคัญเลย พระเจ้าจะตัดเขาออก .. แปลว่า พระเจ้าจะประหารเขา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายร่างกายหรือฝ่ายวิญญาณ ผลของการแต่งงานกับคนต่างชาติในอิสราเอลโบราณนี้รุนแรงมาก เขาอาจจะถูกตัดออกจากชนชาติ ครอบครัวของเขาด้วย 

2:13. สิ่งที่ร้ายไปกว่านั้น พวกเขายังคงเข้ามาถวายเครื่องบูชาต่อพระเจ้าด้วย ทำตัวเหมือนกับคนรักพระเจ้า ร้องไห้ ใช้อารมณ์รุนแรงในการถวายเครื่องบูชา หน้าไหว้หลังหลอกทำเหมือนกับคนกลับใจ คิดว่าหลอกพระเจ้าได้   แต่พระเจ้าจะไม่สนพระทัย ไม่ทรงรับของถวายเหล่านั้น 
(พอมีคำว่ายินดี  สื่อให้เราทราบว่า เมื่อเรามาถวายการนมัสการกับพระเจ้าอย่างจริงใจ พระเจ้าทรงยินดี)  

2:14 ในการแต่งงานของชายหญิงอิสราเอล พระเจ้าทรงเป็นพยาน และการแต่งงานนั้น ทำให้สาธารณชนเห็น เป็นไปตามบทบัญญัติของพระเจ้า การแต่งงานเป็นพันธสัญญาของชายหญิงว่า จะซื่อสัตย์ต่อกันตลอดชีวิต  เป็นสัญญลักษณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
ที่พระเจ้าไม่ทรงรับเครื่องบูชาของคนแบบนี้ เพราะเขารู้ว่าผิด แต่ก็ลงมือทำสิ่งที่ผิดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า   ทั้งหย่าภรรยา ทั้งไปแต่งงานใหม่กับหญิงต่างชาติที่จะนำรูปเคารพเข้ามาในครอบครัว
ในข้อนี้คำว่า ทรยศ เป็นคำเดียวกับที่ใช้ในข้อสิบ  ผู้ชายได้ทรยศต่อคำสัญญาที่ให้กับภรรยา แล้วยังมาบ่นว่าเหตุใดพระเจ้าไม่ประทานพระพร 

2:15 พระเจ้าทรงเป็นผู้เริ่มต้นการแต่งงานระหว่างชายหญิงมาตั้งแต่ต้น (ปฐมกาล 2:24)  ทรงทำให้ชายหญิงเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้เขาทั้งสองได้มีลูกที่เป็นคนของพระองค์ ติดตามพระองค์  เป็นเชื้อสายที่จะเป็นพระพรต่อชาวโลก  จากข้อนี้การทรยศต่อภรรยา เป็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณก่อนอื่นใด  แต่คนในโลกมองเห็นเป็นเรื่องของร่างกาย อารมณ์ และเหตุผลอื่น ๆ

2:16 พระเจ้าทรงบอกชัดเจนตรงนี้ว่า พระองค์ทรงประสงค์ครอบครัวที่มั่นคง ทรงชังการหย่าร้าง การบ้านแตกสาแหรกขาด ทรงถือว่า ชายที่หย่าภรรยา เป็นคนแสดงความรุนแรง  ไม่ว่าจะร่างกาย อารมณ์หรือวิญญาณจิต แทนที่เขาจะเป็นคนพิทักษ์ชีวิตของภรรยา กลับทำลายเธออย่างเลือดเย็น ในสังคมโบราณ ผู้หญิงที่ถูกหย่าร้างมา จะอยู่อย่างลำบากมาก ยิ่งต้องเลี้ยงลูกเอง เป็นเรื่องยากกว่าอะไรทั้งหมดเพราะผู้หญิงแทบไม่มีที่ยืนในสังคมเลยหากเธอไม่มีผู้พิทักษ์ชาย  พระเจ้าทรงกล่าวคำเดียวกันสองครั้ง  “ดังนั้นเจ้าจะต้องระวังตัวในฝ่ายวิญญาณ และไม่ทรยศ” แสดงว่า นี่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง 

2:17  มีหลายครั้งที่พระเจ้าทรงเหนื่อยอ่อนกับคนของพระองค์ เช่นการที่มีเทศกาลที่ไร้ค่า ไม่มีความหมาย และตรงนี้ พระเจ้าทรงเอือมระอาพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่รู้ตัว และยังถามพระองค์ง่าย ๆ พระเจ้าแสนดี ทรงตอบให้ว่า เป็นเพราะพวกเขา พูดสิ่งที่ตรงข้ามกับน้ำพระทัยของพระองค์ แล้วยังโทษพระองค์เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ดีกับตัว  พระเจ้าควรยุติธรรมดูแลให้โลกไม่ชั่วสิ
คนอิสราเอลในยุคของมาลาคี เป็นคนที่มองเห็นตัวเองชอบธรรม และพระเจ้าทรงเป็นผู้ร้าย!

พระคำเชื่อมโยง

มาลาคี 2
1* มาลาคี 1:6
2* เฉลยธรรมบัญญัติ 28:15; มาลาคี 3:9
3* อพยพ 29:14; 1 พงศ์กษัตริย์ 14:10
5* กันดารวิถี 25:12; เฉลยธรรมบัญญัติ  33:9
6* เฉลยธรรมบัญญัติ   33:10; เยเรมีย์ 23:22


7* เฉลยธรรมบัญญัติ   17:8-11;
กาลาเทีย 4:14
8* เยเรมีย์ 18:15; เนหะมีย์ 13:29
9* 1 ซามูเอล 2:30 ;เฉลยธรรมบัญญัติ   1:17
10* 1 โครินธ์ 8:6; โยบ 31:15
11* เอสรา 9:1-2

12* เนหะมีย์ 13:29;
14*มาลาคี 3:5; สุภาษิต 2:17
15* มัทธิว 19:4-5; 1 โครินธ์  7:14
16* มัทธิว 5:31; 19:6-8
17* อิสยาห์ 43:22, 24, 5:20

มาลาคี 1 เจ้าทำอะไรลงไป?

ไม่ผิดหรือเมื่อเจ้าถวายสัตว์ที่เป็นง่อยและมีโรค?

1 ต่อไปนี้คือ
พระดำรัสอันเป็นภาระหนัก(מַשָּׂ֥א )ของพระยาห์เวห์
ผ่านมาทางมาลาคี

พระเจ้าทรงรักอิสราเอลแต่อิสราเอลไม่ตอบอย่างสมควร

2 “เราได้รักพวกเจ้า” พระยาห์เวห์ตรัส
แต่พวกเจ้ากลับถามว่า
“พระองค์ทรงรักเราอย่างไรหรือ?” พระยาห์เวห์ตรัส 
“เอซาวเป็นพี่ชายของยาโคบมิใช่หรือ?
แต่เราก็ยังรักยาโคบ
3 เอซาวนั้นเราชังเขา
และเราทำให้เทือกเขาของเขากลายเป็นที่ร้าง
และยกมรดกของเขาให้หมาในแห่งถิ่นกันดาร”
4 แม้เอโดมจะกล่าวว่า
“เราถูกทำลายล้าง แต่เราจะสร้างสิ่งที่ปรักหักพังขึ้นมาใหม่”
แต่พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสว่า “พวกเขาอาจจะสร้างขึ้นมา แต่เราก็จะทำลาย พวกเขาจะถูกเรียกว่า
ดินแดนแห่งความชั่วร้าย
และเป็นประชากรที่พระเจ้าทรงพิโรธตลอดไปเป็นนิตย์ 
5 เจ้าจะได้เห็นอย่างนี้กับตาตัวเอง และเจ้าเองจะกล่าวว่า
‘พระยาห์เวห์ทรงยิ่งใหญ่นัก
ถึงแม้จะเป็นนอกเขตแดนอิสราเอล’

เครื่องบูชาที่เป็นมลทิน 
6“ลูกย่อมให้เกียรติแก่พ่อของเขา บ่าวก็ต้องให้เกียรตินายของเขา  แต่หากเราเป็นพ่อ เกียรติของเราอยู่ที่ไหนกัน? และหากเราเป็นนาย  ความยำเกรงเรานั้นอยู่ที่ไหน ?” 
พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสดังนี้กับเหล่าปุโรหิตที่ดูหมิ่นพระนาม แต่เจ้ากลับถามว่า
“พวกเราได้ดูหมิ่นพระนามอย่างไรกัน?”
7 “เจ้าได้นำอาหารที่เป็นมลทินบนแท่นบูชาของเรา”
แต่เจ้าถามอีกว่า “แล้วพวกเราได้ทำให้พระองค์เป็นมลทินอย่างไร?”​​ ก็โดยกล่าวว่า
‘สมควรที่เราจะดูหมิ่นเหยียดหยามโต๊ะของพระยาห์เวห์’
8 ไม่ผิดหรือที่เจ้านำเอาสัตว์ตาบอดมาเป็นเครื่องบูชา? 
ไม่ผิดหรือเมื่อเจ้าถวายสัตว์ที่เป็นง่อยและมีโรค? ลองทำอย่างนี้กับเจ้าเมืองของเจ้าดู เขาจะพอใจเจ้า
และยอมรับเจ้าหรือไม่?”
พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสถามพวกเขา
9 พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสถามว่า “จงทูลอ้อนวอนพระเจ้าให้ทรงกรุณาต่อพวกเจ้าสิ  พระองค์จะทรงกรุณาเจ้าไหม?
ในเมื่อของถวายเหล่านี้มาจากมือของเจ้าเอง
พระองค์จะทรงโปรดปรานไหม? 
10 “โอ เราอยากให้เจ้าสักคนได้ปิดประตูพระนิเวศเสีย
เพื่อว่าเจ้าจะไม่จุดไฟไร้ค่าบนแท่นบูชาของเรา
เราไม่พอใจพวกเจ้า”
พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัส “
และเราจะไม่รับของถวายใด ๆ จากมือของพวกเจ้า

พระนามนี้ยิ่งใหญ่ทั่วโลก
11 เพราะพระนามของเรานั้นจะยิ่งใหญ่ท่ามกลางชาติต่าง จากที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงที่ดวงอาทิตย์ตก ทุกหนแห่งจะมีคนถวายเครื่องหอม และของถวายบริสุทธิ์แด่พระนามของเรา เพราะพระนามของเราน้ันจะยิ่งใหญ่ท่ามกลางชาติต่าง ๆ
12 “แต่เจ้าดูหมิ่นพระนามนั้นเมื่อเจ้ากล่าวว่า ‘โต๊ะของพระยาห์เวห์เป็นมลทิน และพูดถึงอาหารถวายว่า อาหารนี้น่ารังเกียจ’
13 เจ้ายังกล่าวว่า ‘นี่น่ารำคาญเสียจริง’ เจ้ายังเชิดจมูกใส่อีก” พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัส “เจ้านำของที่ขโมยมา เป็นง่อย ป่วย! แล้วเราควรจะรับของเหล่านั้นจากมือเจ้าหรือ?” พระยาห์เวห์ตรัสถาม 
14 “คำสาปมีแก่คนโกงที่สัญญาว่าจะนำสัตว์ตัวผู้จากฝูงที่แข็งแรงมาถวาย แต่กลับถวายสัตว์ที่มีตำหนิแด่องค์พระยาห์เวห์ เพราะเราเป็นองค์มหาราชา” พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัส “และพระนามของเราจะเป็นที่ยำเกรงนักท่ามกลางชาติทั้งหลาย”

อธิบายเพิ่มเติม

เบื้องหลัง
หนังสือมาลาคีนั้น เขียนประมาณ 100  ปีหลังจากฮักกัยและเศคาริยาห์
มาลาคีน่าจะอยู่ในช่วงเดียวกับเนหะมีย์ หรือ หลังจากนั้นไม่มาก
เรื่องราวที่มาลาคีกล่าวก็เป็นสิ่งที่เกิดในสมัยของผู้ว่าราชการเนหะมีย์อย่างเช่นการแต่งงานกับหญิงต่างชาติ  การไม่ถวาย การละเลยวันสะบาโต ปุโรหิตที่คดโกง ความอยุติธรรมที่ดาษดื่นในสังคม (อ่านเนหะมีย์ 13) ผู้เผยพระดำรัสก่อนมาลาคีก็คือ ฮักกัย และเศคาริยาห์ ซึ่งทั้งสามเป็นผู้ที่เผยพระดำรัสในช่วงหลังจากกลับมาจากบาบิโลน
ในสมัยของมาลาคีนั้น มีพระวิหาร มีระบบปุโรหิตมั่นคง การใช้ชีวิตของผู้คนและเหล่าผู้รับใช้ของพระเจ้าเริ่มเสื่อมลง ดูเหมือนคำสัญญาของพระเจ้าเรื่องพระเมสสิยาห์ที่จะมาก็ไม่มีวี่แววเลย
ผู้คนมองพระเจ้าไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ยิ่งใหญ่ และเฉยเมยต่อพระองค์พวกเขาใช้ชีวิตแบบที่ดูหมิ่นพระเจ้าหลาย ๆ ด้าน แต่ก็เหมือนไม่รู้ตัว
และสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยของมาลาคี ก็เป็นเรื่องราวที่ทำให้เราต้องหันมามองตัวเองว่า ชีวิตต้องกลับใจขนาดไหน ไม่ได้ต่างจากพวกเขาเลย
หลังจากมาลาคีแล้ว พระเจ้าก็ไม่ได้ตรัสผ่านผู้เผยพระดำรัสนานถึง 400 ปี ยาวนานเท่ากับที่อิสราเอลได้ไปอยู่ในอียิปต์!
จนกระทั่งพระองค์ทรงส่งยอห์นผู้ให้บัพติศมา และพระเยซูมา ซึ่งในช่วงเวลานั้น ศาสนายิวก็เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจน มีทั้งธรรมาจารย์ ฟาริสีมีสภายิวที่ดูแลฝ่ายวิญญาณ ในขณะที่โรมครองแผ่นดินอิสราเอล 


1:1 ชื่อมาลาคีแปลว่า ผู้สื่อสารของเรา   หนึ่งร้อยปีผ่านมาหลังจากที่พระเจ้าตรัสกับพวกเขาผ่านฮักกัย และเศคาริยาห์  พระเจ้าก็ตรัสอีก และพระองค์ทรงย้ำความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขา  ทรงเปรียบเทียบให้เห็นระหว่าง ลูกหลานของยาโคบและลูกหลานของเอซาว
ในภาษาเดิม ภาระดังกล่าวว่า มัสสาห์ מַשָּׂ֥א หมายถึงภาระ คำกล่าว ความปรารถนา แบกภาระ หนักใจ  ร้องเพลง มีความหมายเหมือนยกขึ้นมา เพื่อบอกให้รู้ถึงอันตราย มาจากคำว่า นาสา נָשָׂא คือ ยก แบก  ค้ำ พยุง รับภาระ  และคำนี้ใช้ในหลาย ๆ ครั้งกับผู้เผยพระดำรัสท่านอื่นด้วย อย่างเช่น ฮาบากุก (1:1) เยเรมีย์ (23:33-38)  เป็นคำที่มักใช้เพื่อบอกถึงอันตราย หรือ การคุกคามที่กำลังมา 

พระเจ้าทรงรักอิสราเอลแต่อิสราเอลไม่ตอบอย่างสมควร
1:2-3 พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาที่ทรงรักยาโคบ  ที่ตรัสว่า ทรงชังเอซาวอาจทำให้เราคิดว่า พระเจ้าทรงเป็นอย่างนี้หรือ? ทรงเลือกที่รักมักที่ชังหรือ?  ในพระคัมภีร์ตอนนี้ การที่พระเจ้าทรงรักยาโคบ นอกจากรัก แล้ว ยังมีความหมายครอบคลุมไปถึงว่า พระองค์ทรงเลือกเขา  พระองค์ทรงเลือกยาโคบให้เป็นต้นตระกูลของชนชาติที่จะเป็นพระพรแก่คนทั้งโลกในอนาคต
จากคำพูดตอบโต้ของคนอิสราเอล ดูเหมือนว่า เขาไม่ได้สำนึกเลยว่า พระเจ้าทรงรักเขา
Note:
คำว่า เกลียดชัง  ซาเน שָׂנֵא นอกจากความหมายตรง ๆ แล้ว มีความหมายอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ได้เลือก  คำ ๆ นี้ บอกถึงความไม่ชอบอย่างมาก ใช้เพื่ออธิบายความเป็นศัตรูระหว่างบุคคล หรือกลุ่มคน  คำ ซาเน ใช้ได้กับอารมณ์ของมนุษย์หรือพระเจ้า  เป็นการบ่งบอกว่า ปฎิเสธความชั่ว การไหว้รูปเคารพ ความอยุติธรรม รวมไปถึงความขัดแย้งส่วนตัว
สำหรับคนอิสราเอลแล้ว คำ ๆ นี้ไม่ใช่แค่บอกว่าไม่ชอบ ไม่พอใจ เกลียด แต่ยังรวมไปถึงการแสดงออกมาเป็นการกระทำ ให้เห็นว่า ฉันไม่พอใจอะไร  พระคัมภีร์ฮีบรูแสดงถึงความรักความเกลียดเพื่อให้เห็นว่า มีการเลือกระหว่างการที่จะทำตามบทบัญญัติของพระเจ้าหรือ จะตามติดรูปเคารพ   พระเจ้ากับคนอิสราเอลมีพันธสัญญาต่อกัน เพื่อให้อิสราเอลติดตามพระเจ้า และปฏิเสธทุกสิ่งที่ตรงข้ามกับน้ำพระทัยของพระองค์ (จาก https://biblehub.com/hebrew/8130.htm)

1:4-5 ถ้าเรากลับไปอ่านหนังสือ โอบาดีย์ เราจะเห็นว่า พระเจ้าทรงทำอย่างไรกับลูกหลานเอซาวที่เลือกชีวิตที่ตนเองคิดว่า เก่งกล้ากว่าใคร ๆ   เราจะเห็นภาพของคนที่เลือกดูหมิ่นพระเจ้า แต่.. ในเวลานี้ ลูกหลานยาโคบ คนที่พระเจ้าทรงเลือกกลับทำสิ่งที่คล้ายคลึงกับลูกหลานเอซาว
พวกเขาเลือกทำเหมือนกับเอซาว นั่นคือ การดูหมิ่นพระพรของพระเจ้า การมั่นใจว่า ตนเองเหนือกว่า เก่งกว่า  พวกเขาลืมไปว่า พระเจ้าองค์จอมทัพ ทรงเป็นเจ้าเหนือทูตสวรรค์ทั้งสิ้น เหนือดวงดาวทั้งหมดในจักรวาล ทรงเป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวงที่มีมากมายในเอกภพ และทรงเป็นเจ้าเหนือมนุษย์และสัตว์ในพื้นแผ่นดิน พระเจ้าทรงประกาศให้พวกเขาทราบว่า พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นแค่พระเจ้าแห่งอิสราเอล แต่ทรงเป็นพระเจ้าที่จะตัดสินความของชาติอื่น ๆ นอกเหนือจากอิสราเอลด้วย 

เครื่องบูชาที่เป็นมลทิน 
1:6 พ่อ และ เจ้านายต้องได้รับเกียรติ แต่แล้ว อิสราเอลกลับไม่ได้ยำเกรงพระองค์เลย ในพระคัมภีร์เดิม ไม่ค่อยมีคำที่บอกว่า พระเจ้าทรงเป็นพระบิดา แต่ในที่นี้ พระเจ้าตรัสชัดเจนว่า เราเป็นพ่อ … (อิสยาห์ 63:16, 64:8) นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับปุโรหิตที่ดูหมิ่นพระนาม ซึ่งหมายถึงดูหมิ่นพระองค์เอง .. เพราะชื่อของบุคคลก็มีความหมายถึงบุคคลคนนั้นโดยตรง

1:7-8  พระเจ้าจึงทรงตอบเขาว่า พวกเขาดูหมิ่นพระองค์ด้วยการนำอาหารมลทินมาถวาย… พวกเขาไม่สนใจที่จะถวายสิ่งดีที่สุดแด่พระเจ้า  ไม่ได้เตรียมอย่างเหมาะสมตามที่พระองค์ทรงบัญชาไว้ เหมือนกับอะไรก็ได้ เอามาถวาย  โต๊ะของพระเจ้าบริสุทธิ์ แต่ปุโรหิตทำเหมือนเป็นโต๊ะธรรมดา  พวกเขาคิดด้วยว่า สมควรจะเหยียดหยามพระเจ้า!!
 มีคำถามย้อนกลับมาเสมอ  ในข้อ 6  บอกว่า ปุโรหิตเป็นผู้ย้อนถามพระเจ้า 
“พวกเราได้ดูหมิ่นพระนามอย่างไรกัน?”
“แล้วพวกเราได้ทำให้พระองค์เป็นมลทินอย่างไร?
ที่ทำลงไป ยังไม่รู้ว่าตัวเองทำผิด  พระเจ้าทรงบอกชัดว่า การที่เขาถวายสัตว์ตาบอด เป็นง่อย มีโรคติดตัว .. พวกเขา กำลังทำผิดต่อพระองค์ .. เลวีนิติ  1:3  บอกชัดเจนว่า พระเจ้าทรงพอพระทัยอะไร ..  เขาจะเอาของที่สกปรก มีมลทิน มาถวายพระเจ้าไม่ได้ (เลวีนิติ 7:19-21)
แปลกที่พวกเขาไม่ได้สำนึกเลย !  พวกเขาเฉยเมยต่อพระองค์
พวกปุโรหิตเหล่านี้ไม่ได้รู้ว่า พระเจ้าทรงเรียกเอาจากคนที่เป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณมากกว่า (2 เปโตร 2:1)

1:9-10 พระเจ้าตรัสว่า น่าจะมีคนปิดประตูพระนิเวศเสียเลย เพราะจะได้ไม่มีการถวายสิ่งที่ไร้ค่าต่าง ๆ  พระเจ้าทรงเลือกที่จะให้ไม่มีใครเข้ามา
ถวายเครื่องบูชา ดีกว่าทำแบบชั่ว ๆ  ที่พระองค์ไม่พอพระทัย 

พระนามนี้ยิ่งใหญ่ทั่วโลก
1:11  พระเจ้าทรงแจ้งให้พวกเขาทราบว่า ในอนาคต พระนามของพระองค์จะยิ่งใหญ่ไปทั่วโลก  ทุกเวลา จะมีคนนมัสการ ถวายคำสรรเสริญ ถวายเครื่องบูชาแด่พระองค์  พวกเขาจะถวายของที่บริสุทธิ์แด่พระเจ้า  เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่เข้าใจ  ขณะที่คนของพระเจ้าถวายสิ่งที่เป็นมลทิน ชนต่างชาติที่ยิวคิดว่า เป็นคนน่ารังเกียจ จะเป็นคนที่ถวายสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย  (อ่าน โรม 11) 

1:12 ปุโรหิตเหล่านี้ดูหมิ่นพระเจ้า เมื่อพวกเขามองเห็นว่า อะไร ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าเป็นของน่ารังเกียจ เป็นมลทิน เราเห็นได้ในโลกปัจจุบันที่ผู้คนรังเกียจพระนามของพระเจ้า เกลียดชังพระนิเวศของพระองค์ พยายามทำลายพระนามของพระองค์ แต่ในมาลาคีนี้ พระเจ้าตรัสว่า คนของพระองค์เป็นคนที่ทำสิ่งเหล่านี้ 

1:13 ในขณะที่เราสมควรจะนำสิ่งดีที่สุดมาถวายพระเจ้า เราคิดว่า อะไรก็ได้ พระเจ้าทรงรับหมดนั่นแหละ นี่เป็นความคิดที่ไร้สติ เรารักใคร เราก็ต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดให้เขาคนนั้น แต่ ปุโรหิตพวกนี้เชิดหน้าใส่พระเจ้า เอาของเลว ๆ มาให้พระองค์ แล้วพระองค์จะรับได้อย่างไร …  ใจพวกเขาย่ำแย่ ส่งผลให้การกระทำต่อพระองค์เลวร้ายไปด้วย 

1:14 พระเจ้าตรัสสาปแช่งพวกเขาไว้ กับคนที่สัญญาอย่างแต่กลับเอามาอีกอย่าง  พระองค์ทรงแจ้งให้ทราบว่า ทรงเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่
พระนามของพระองค์จะเป็นที่ยำเกรงในชาติต่าง ๆ และเราก็เห็นเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ในปัจจุบัน  คนอิสราเอลเองหันหลังให้พระเจ้า และพวกเขาหันไปเป็นคนไม่เชื่อพระเจ้า ต่อต้านพระองค์ บางคนก็ยึดมั่นบทบัญญัติจนไม่มีจิตวิญญาณ
และในวันนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม ปี 2023 เป็นต้นมา เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอิสราเอลเพราะสงครามรอบด้านที่โถมเข้ามาในประเทศ  เป็นเวลาที่ชาติทั้งหลายกำลังหันเข้ามาอธิษฐานเผื่ออิสราเอลให้พวกเขากลับมาหาพระองค์ ..​ขอบคุณพระเจ้าที่พวกเขากำลังกลับมาหาพระองค์ทุก ๆ วัน ไม่เหมือนในอดีต

พระคำเชื่อมโยง

มาลาคี 1
1*  เฉลยธรรมบัญญัติ  4:37;7:8; 23:5;
โรม 9:13
3* เยเรมีย์ 49:18
4* เยเรมีย์ 49:16-28
5* สดุดี 35:27


6* อพยพ 20:12; ลูกา 6:46; มาลาคี 2:14
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 15:21; เอเสเคียล 41:22
8* เลวีนิติ 22:22; โยบ 42:8
9* โฮเชยา  13:9
10* 1โครินธ์ 9:13; อิสยาห์ 1:11

11* อิสยาห์ 59:19; 60:3, 5; 1 ทิโมธี  2:8; วิวรณ์  8:3; อิสยาห์ 66:18-19
12* มาลาคี  1:7
13* อิสยาห์ 43:22; เลวีนิติ 22:20
14* มาลาคี 1:8; เลวีนิติ 22:18-20; สดุดี 47:2