
คดีของพระเจ้าต่ออิสราเอล
4 จงฟังพระดำรัสของพระยาห์เวห์
โอ ประชากรอิสราเอล
เพราะ พระยาห์เวห์ทรงมีข้อกล่าวหา
ต่อผู้ที่อาศัยในแผ่นดิน
“ในแผ่นดินไม่มีความสัตย์จริง
ไร้ความรักมั่นคง
และไร้ความรู้เรื่องพระเจ้าในแผ่นดิน
2 มีแต่การสาปแช่ง คำเท็จ ฆาตกรรม
การลักขโมย และการเล่นชู้อย่างดาษดื่น
มีการนองเลือดอย่างต่อเนื่อง
3 ด้วยเหตุนี้เอง แผ่นดินจึงคร่ำครวญ
และทุกคนที่อาศัยในนั้นจะพินาศ
เหล่าสัตว์ป่า และนกในอากาศ
แม้กระทั่งปลาในทะเลก็ถูกเอาออกไป
คดีของพระเจ้าต่ออิสราเอล
4:1 พระเจ้าทรงให้ทั้งประเทศฟังพระสุรเสียงของพระองค์ ถ้าในประเทศหนึ่ง ๆ มีความสัตย์ รักมั่นคง ความรู้เรื่องพระเจ้าก็จะส่งผลให้ไม่เกิดหตุการณ์ร้าย พระเจ้าทรงมีข้อกล่าวหาพวกเขา อ้างถึงพันธสัญญาที่พระเจ้าเคยทำไว้กับอิสราเอล โดยที่เมื่อเขาเชื่อฟังจะได้พร เมื่อไม่เชื่อฟังจะได้รับคำแช่งสาป พระเจ้าตรัสว่า ประชาชนไม่พูดจริง ไม่รักกัน ไม่รู้จักพระเจ้า คำว่า ความรู้เรื่องพระเจ้าคือการตระหนักถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้าในชีวิต และการที่จะต้องเชื่อฟังพระองค์
4:2 ดังนั้นสถานการณ์ในแผ่นดินจึงเลวร้ายมาก เพราะคนพูดมุสา ไม่รู้จักพระเจ้าไม่รักกัน ต่างใส่ร้ายกัน ฆาตกรรม โจรกรรม การผิดประเวณีเต็มเมือง การนองเลือดที่ว่านี้ในภาษาฮีบรูคือ การนองเลือดแตะการนองเลือด (ทำให้เห็นภาพถึงความถี่ของความชั่วร้ายนี้) พวกเขาละเมิดศีลธรรม ไม่มีการยับยั้งชั่งใจ
4:3 สิ่งที่เกิดขึ้นคือ แผ่นดินหม่นหมอง สภาพของแผ่นดินอ่านจากอิสยาห์ 3:3-15 คนในแผ่นดิน หมดแรง อ่อนกำลัง ลองคิดสภาพบ้านเมืองที่ผู้คนไม่มีเรี่ยวแรง เดินไปมาเหมือนคนป่วย เป็นแบบเดียวกับเมืองบางเมืองในอเมริกาที่คนติดยาอย่างหนัก แล้วเดินเหมือนผีดิบกันทั่วเมือง ดูตัวอย่างเช่น (https://www.youtube.com/shorts/B1zl1DZTD90)
มีแต่ความทุกข์ ทั้งคนและแม้สัตว์ป่า นก ปลายังหายไปด้วย
พระเจ้าทรงต่อต้านปุโรหิตชั่วร้าย
4 แต่ อย่าให้ใครฟ้องร้องขึ้นมา
อย่าให้ใครกล่าวหาใคร
โอ ปุโรหิตทั้งหลาย
เพราะเรามีเรื่องที่จะฟ้องร้องพวกเจ้า
5 เจ้าจะสะดุดล้มลงกลางวัน
รวมทั้งผู้เผยพระดำรัสก็จะสะดุด
ไปกับเจ้าในเวลากลางคืน
และเราจะทำลายแม่ของเจ้า
(หรือ เจ้าได้ทำลายประชากรของเจ้าเอง)
6 ประชากรของเราถูกทำลาย
เพราะพวกเขาขาดความรู้ (การตระหนักถึงเรา)
เป็นเพราะเจ้าได้ปฏิเสธความรู้ (ที่จะรับรู้ถึงเรา)
เราจึงไม่รับเจ้าเป็นปุโรหิตของเรา
เนื่องจากเจ้าได้ลืม(ละเลย)พระบัญญัติของพระเจ้าของเจ้า
เราเอง ก็จะลืม(ลืมที่จะอวยพร)ลูกหลานของเจ้าด้วย
4:4 อย่าให้มีการโต้เถียงกันและกัน พระเจ้าตรัสกับเหล่าปุโรหิตที่มีหน้าที่ต่อพระเจ้าโดยตรงในการสอนประชาชนให้รู้จักพระเจ้า (มาลาคี 2:6 )
4:5ปุโรหิต ผู้นำฝ่ายวิญญาณ จะล้มลง รวมทั้งเหล่าผู้เผยพระดำรัสที่เป็นคนกล่าวเท็จ จะล้มลงด้วย เหล่าผู้นำทางฝ่ายวิญญาณกลับกลายเป็นคนที่แพ้ ไม่สามารถนำประชาชนให้ถูกต้องได้
(หน้าที่ของปุโรหิต:: มาลาคี 2:6 ปากของเขาเอ่ยคำสอนแท้และไม่เคยพูดโกหก เขาได้ดำเนินชีวิตไปกับเราด้วยสันติสุขและความเที่ยงธรรม และช่วยหลายคนให้หันจากบาป 7 “วาจาของปุโรหิตควรสงวนความรู้ไว้ และผู้คนพึงแสวงหาคำสั่งสอนจากปุโรหิต เพราะเขาคือทูตของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ )
เลวีนิติ 10:11 8 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอาโรนว่า 9 “เจ้ากับบุตรชายอย่าดื่มเหล้าองุ่นหรือของมึนเมาเมื่อเจ้าเข้าไปในเต็นท์นัดพบ มิฉะนั้นเจ้าจะตาย นี่เป็นข้อปฏิบัติถาวรสืบไปทุกชั่วอายุ 10 เจ้าต้องแยกแยะระหว่างสิ่งบริสุทธิ์กับสิ่งทั่วไป และสิ่งที่เป็นมลทินกับสิ่งที่ไม่เป็นมลทิน 11 และเจ้าต้องสอนกฎหมายทั้งปวงซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานผ่านทางโมเสสนั้นแก่ชนชาติอิสราเอล”
4:6 สิ่งที่พระเจ้าตรัสในข้อ 6 นี้ แม้จะตรัสกับปุโรหิต แต่เป็นคำที่จี้จุดผู้นำฝ่ายวิญญาณทุกยุคทุกสมัย บอกเราชัดเจนว่า ผู้นำเป็นคนที่สำคัญยิ่งในการทำให้คนรู้จักพระเจ้า ผู้นำ.. จะเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบความเป็นอยู่ที่ดีในฝ่ายวิญญาณของพี่น้อง
7 ยิ่งมีปุโรหิตจำนวนมากขึ้นเท่าใด
พวกเขาก็ยิ่งทำบาปต่อเรามากขึ้นเท่านั้น
เราจะ(หรือ เขาได้)เปลี่ยนเกียรติของพวกเขา
ให้กลายเป็นความอัปยศ
8 พวกเขาเลี้ยงตัวเองจากบาปของประชากรของเรา
พวกเขาจึงอยากให้ประชาชนทำบาป
9 ทั้งประชากรและปุโรหิต
จะต้องเผชิญการลงโทษแบบเดียวกัน
เราจะลงโทษพวกเขาตามการใช้ชีวิตของพวกเขา
และจะตอบสนองตามการกระทำของพวกเขา
10 พวกเขาจะกิน แต่ไม่เคยอิ่ม
พวกเขาจะทำตัวเหลวแหลก แต่จะไม่มีลูกหลาน
เพราะพวกเขาหยุดฟังองค์พระยาห์เวห์
11 ใช้ชีวิตเสเพล กับทั้งเหล้าองุ่นเก่าและเหล้าองุ่นใหม่
ซึ่งแย่งชิงเอาความเข้าใจไปจากพวกเขา
4:7-8 จะได้กินเนื้อที่ประชาชนนำมาถวาย เป็นอาหารของพวกเขา ดังนั้น แทนที่จะเข้าใจว่า สิ่งสำคัญคือการไถ่บาป และต้องรับใช้ประชาชน พวกเขากลับยินดีที่มีคนบาปมาถวายเครื่องบูชาเยอะเพื่อพวกเขาจะได้มีของกิน ทั้งหมดคือชีวิตไร้สาระ ไร้ศีลธรรม ไร้พระเจ้า สนุกกับการเมาเหล้า ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้คน ๆ หนึ่งขาดวิจารณญาณ ขาดความยับยั้งชั่งใจ คนเหล่านี้จึงจะถูกพระเจ้าทรงลงโทษตามการใช้ชีวิตของพวกเขา
4:9-11 ภาพที่เห็นนี้คือ พวกเขาใส่ใจกับการมีชีวิตไร้ค่า ติดตามเหล้าองุ่นที่ทำให้พวกเขาขาดสติยับยั้งชั่งใจ การกิน ดื่ม ใหญ่กว่าพระเจ้าของเขาไปแล้ว ชีวิตแบบนี้เองที่ทำให้พวกเขาไม่อาจเข้าใจพระเจ้าได้เลย

พระเจ้าทรงพิพากษา
การกราบไหว้บูชาเทวรูปด้วยกิจกรรมทางเพศ
12 ประชากรของเราไปขอคำปรึกษา
จากเศษไม้และอาศัยคำตอบจากไม้เสี่ยงทาย
เพราะวิญญาณแห่งความเสเพล
ได้นำให้เขาหลงผิดไป
พวกเขาทำตัวสำส่อน(หรือล่วงประเวณีฝ่ายวิญญาณ)
ละทิ้งพระเจ้าของพวกเขา
13 พวกเขาถวายเครื่องสักการะบนยอดเขา
และถวายเครื่องเผาบูชาบนเนินต่าง ๆ
ใต้ต้นโอ๊ก ต้นปอปลาห์ และต้นเทเลบิน
เพราะร่มเงาของต้นไม้เหล่านี้ร่มรื่นเย็นสบาย
ดังนั้น ลูกสาวของพวกเจ้าทำตัวเสเพล
และลูกสะใภ้ของพวกเจ้าก็คบชู้ด้วย
14 เราจะไม่ลงโทษพวกลูกสาวของเจ้า
เมื่อพวกเธอทำตัวเสเพล
หรือลูกสะใภ้ของเจ้าเมื่อคบชู้
เพราะพวกผู้ชายเองก็ออกไปหาหญิงโสเภณี
และถวายเครื่องสักการะพร้อมกับหญิงโสเภณีประจำวิหาร
และคนที่ไม่มีความหยั่งรู้นั้น ก็จะต้องพินาศ
12-14 นอกจากคนที่จะต้องรับใช้พระเจ้าโดยตรง ใกล้ชิดอย่างปุโรหิต หรือผู้เผยพระดำรัส ประชาชนก็หันไปขอคำแนะนำแก้ปัญหาชีวิต ในความเป็นอยู่ การทำธุรกิจ กับรูปเคารพ แทนที่จะมาหาพระเจ้า แล้วยังไปถวายเครื่องสักการะบูชาบนที่สูง ซึ่งทำให้พวกเขาเข้าไปทำพิธีกรรมที่น่าเกลียดชัง มีกิจกรรมทางเพศอย่างโจ่งแจ้ง ณ ที่นั้น
เยเรมีย์ 2:20 “นานมาแล้วเจ้าได้สลัดแอกของเจ้าทิ้งและหักทำลายเครื่องพันธนาการต่างๆ ของเจ้าเจ้าพูดว่า ‘ข้าพระองค์จะไม่ปรนนิบัติพระองค์!’แท้จริง เจ้าเอนกายลงดั่งหญิงโสเภณีบนภูเขาสูงทุกลูก
และใต้ต้นไม้ใบดกทุกต้น
เฉลยธรรมบัญญัติ 12:2-3 จงทำลายสถานบูชาทั้งปวงที่ชนชาติต่างๆ กราบไหว้อยู่นั้นให้สิ้นซาก ชนชาติเหล่านี้เป็นชนชาติซึ่งท่านกำลังจะเข้าไปยึดครองดินแดนของเขา ไม่ว่าบนยอดเขา เนินเขา หรือใต้ต้นไม้ใหญ่ จงทุบแท่นบูชา ทุบทำลายหินศักดิ์สิทธิ์ เผาเสาเจ้าแม่อาเชราห์ ทำลายรูปเคารพของเขา และกำจัดให้สิ้นชื่อไปจากที่นั่น ( พระเจ้าทรงสั่งผ่านโมเสสมานานแล้ว)
อิสยาห์ 1:29 “เจ้าจะอับอายขายหน้าเพราะต้นไม้ใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าชื่นชอบ เจ้าจะอัปยศอดสูเพราะสวนต่างๆ ที่เจ้าเลือก
ยอห์น 14:6 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา
คำเตือนต่ออิสราเอลและยูดาห์
15 อิสราเอลเอ๋ย หากเจ้าทำตัวเสเพล
ก็อย่าให้ยูดาห์กลายเป็นคนผิด
อย่าไปที่กิลกาล
อย่าไปยังเบธอาเวน (บ้านแห่งความชั่วร้าย)
และอย่าสาบานโดยกล่าวว่า
‘องค์พระยาห์เวห์ทรงประชนม์อยู่แน่ฉันใด’ (9:15, 12:11)
16 อิสราเอลดึงดันดื้อด้านเหมือนวัวสาวที่ดื้อดึง
แล้วนี่พระยาห์เวห์จะทรงเลี้ยงดูพวกเขา
เหมือนลูกแกะในทุ่งโล่งได้อย่างไร?
17 เอฟราอิมหลงใหลไปกับรูปเคารพ
ปล่อยเขาไปตามลำพัง!
18 แม้เครื่องดื่มหมดไปพวกเขาก็ยังหันไปเสเพล
ผู้นำของอิสราเอลนั้น หลงไปกับทางที่อัปยศอดสู
19 พายุที่พัดมาจะอุ้มพวกเขาออกไป
ด้วยปีกของมันและพวกเขาจะอับอาย
เพราะเครื่องสักการะของพวกเขา
ข้อ 15-19 ย้อนกลับไปเรื่องที่เกิดขึ้นในกิลกาล เบธอาเวน เป็นที่ ๆ พวกเขาทำผิดต่อคำสั่งของพระเจ้าและในเมื่อพวกเขาดื้อด้าน ดึงดัน พระเจ้าจะไม่อาจจะเลี้ยงดูพวกเขาโดยให้อิสระได้เลย
กิลกาลเป็นศูนย์รวมเรื่องการกราบไหว้รูปเคารพในสมัยโฮเชยา ส่วนคำว่า เบธอาเวนที่ว่าบ้านของความชั่วร้ายนั้น เป็นคำเสียดสีที่กระทบกับคำว่า เบธเอล ซึ่งแปลว่า บ้านของพระเจ้า ในเวลานั้นเบธเอลก็เป็นที่ หนึ่งที่พวกเขาไปนมัสการพระเจ้ากัน
จากคำเตือนตอนนี้เราเห็นชัดเลยว่า ทั้งผู้นำ ทั้งประชาชนต่างหลงทางไปอย่างกู่ไม่กลับ
1 พงศ์กษัตริย์ 12:29
28 หลังจากขอคำแนะนำของที่ปรึกษาแล้ว กษัตริย์เยโรโบอัมจึงทรงสร้างลูกวัวทองคำสองตัว และแจ้งประชากรว่า “เป็นเรื่องยุ่งยากเกินไปที่จะดั้นด้นไปถึงกรุงเยรูซาเล็ม พี่น้องอิสราเอลทั้งหลาย นี่แหละเทพเจ้าของท่านซึ่งได้นำท่านออกมาจากอียิปต์” 29 พระองค์ทรงตั้งลูกวัวทองคำตัวหนึ่งไว้ที่เบธเอล ส่วนอีกตัวหนึ่งอยู่ที่ดาน 30 สิ่งนี้ได้กลายเป็นบาป เพราะเหล่าประชากรยังอุตส่าห์ไปถึงเมืองดานเพื่อนมัสการลูกวัวทองคำที่นั่น
อาโมส 8:13-14 “ในวันนั้นหญิงสาวน่ารักและชายหนุ่มแข็งแรงจะเป็นลมเพราะความกระหาย 14 ผู้ที่สาบานโดยอ้างรูปเคารพ[b]อันน่าละอายของสะมาเรียหรือพูดว่า ‘ดานเอ๋ย พระของเจ้ามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด’หรือ ‘เทพเจ้า[c]แห่งเบเออร์เชบามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด’พวกเขาจะล้มลงและไม่ได้ลุกขึ้นมาอีกเลย”
อาโมส 5:4-5 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า“จงแสวงหาเรา และเจ้าจะมีชีวิตอยู่5 อย่าแสวงหาเบเอล
อย่าไปที่กิลกาล อย่าเดินทางไปยังเบเออร์เชบา เพราะกิลกาลจะต้องตกเป็นเชลยอย่างแน่นอน และเบธเอลจะราบเป็นหน้ากลอง”[a]