เศคาริยาห์ 1 จินตภาพสองเรื่องแรก
เบื้องหลังเศคาริยาห์…
เนื้อหา ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของความหวัง และการหนุนใจถึงพระเมสสิยาห์ องค์กษัตริย์ที่จะเสด็จมา
เศคาริยาห์ กล่าวถึงการเสด็จมาครั้งที่หนึ่ง และครั้งที่สองของพระเยซูมากกว่าผู้เผยพระดำรัสน้อย อีกสิบเอ็ดท่านรวมกัน
ดังนั้นจะมีสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และจะมีสิ่งที่พวกเราต้องรอจนกว่าจะเกิดขึ้น แต่สำหรับเรายุคนี้ มีหลายสิ่งกำลังเกิดขึ้นให้เห็นกับตา
ชื่อของเศคาริยาห์ แปลว่า พระเจ้าทรงจำ มาจากฮีบรูว่า ซาคาร์ זָכַר แปลว่า จำ ซึ่งมีความหมายเป็นสัญญลักษณ์ว่า พระเจ้าทรงจำพันธสัญญา และพระสัญญาของพระองค์ เป็นชื่อที่ใช้กันมาก เพื่อสะท้อนให้เห็นความหวังและมั่นใจว่า พระเจ้าทรงใส่พระทัยคนของพระองค์
ใน 2:4 ทูตสวรรค์เรียกเขาว่า ชายหนุ่ม แสดงว่า เขายังอายุน้อย

เศคาริยาห์เผยพระวจนะหลังจากคนอิสราเอลกลับมาจากการเป็นเชลยในบาบิโลน เขาหนุนใจให้อิสราเอลสร้างพระวิหารในเยรูซาเล็มเหมือนกับฮักกัย ทั้งสองรับใช้พระเจ้าในเวลาเดียวกัน ประมาณ 520 ปีก่อนคริสตศักราช แตกต่างที่ว่า เศคาริยาห์เห็นจินตภาพในยามกลางคืนแปดเรื่อง ที่เล่าเรื่องปัจจุบันและอนาคตของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
พระเมสสิยาห์ที่กำลังเสด็จมา
หนังสือเศคาริยาห์นี้ ถูกอ้างถึงโดยพระคัมภีร์ใหม่มากกว่าหนังสือเล่มใด ๆมากกว่า 40 ครั้ง
พระเยซูได้ตรัสถึงเขาว่า เขาถูกฆาตกรรม ระหว่างพระวิหารกับแท่นบูชา ในมัทธิว 23:35 โดยที่เราไม่ทราบเหตุผล เพราะในหนังสือเล่มนี้ เราเห็นแต่คำที่จะหนุนใจให้ผู้คนกลับมาหาพระเจ้า
กลับมาหาพระเจ้า แล้วจะทรงกลับมาหาเจ้า
(เยเรมีย์ 3:11–25; โฮเชยา 14:1–3)
1 ในเดือนแปด ปีที่สองแห่งรัชกาลกษัตริย์ดาริอัส มีพระดำรัสของพระยาห์เวห์มายังผู้เผยพระดำรัสเศคาริยาห์บุตรชาย เบเรคิยาห์ผู้เป็นบุตรอิดโดดังนี้ (ชื่อของทั้งสามรวมกันคือ พระเจ้าทรงจำพระสัญญาในเวลาของพระองค์)
2“พระยาห์เวห์ทรงกริ้วบรรพบุรุษของเจ้า
3 ดังนั้น จงบอกประชาชนว่า พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสดังนี้ ‘จงกลับมาหาเรา พระยาห์เวห์องค์จอมทัพทรงประกาศ .. และเราจะกลับไปหาเจ้า’ พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสดังนั้น
4 อย่าทำตัวเหมือนบรรพบุรุษของพวกเจ้า ซึ่งผู้เผยพระดำรัสในอดีตเคยแจ้งว่า นี้คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสไว้
‘จงหันจากทางชั่ว และการกระทำที่ชั่วร้ายของพวกเจ้า’ แต่พวกเขาไม่ฟัง ไม่ใส่ใจเราเลย พระยาห์เวห์ทรงประกาศ
5 เวลานี้ บรรพบุรุษของเจ้าอยู่ที่ไหนกัน? และผู้เผยพระดำรัสล่ะ พวกเขามีชีวิตยืนยาวตลอดไปหรือ?
6 แต่คำและกฎเกณฑ์ของเราซึ่งเราบัญชาเหล่าผู้เผยพระดำรัสซึ่งเป็นผู้รับใช้ของเรา ก็เกิดขึ้นจริงกับบรรพบุรุษของเจ้ามิใช่หรือ? พวกเขาสำนึกผิดกลับใจและกล่าวว่า
“ก็เป็นอย่างที่พระยาห์เวห์องค์จอมทัพทรงประสงค์ที่จะทรงกระทำต่อพวกเราอย่างสาสม กับหนทางและการกระทำของเรา .. พระองค์ได้ทรงกระทำอย่างนั้นต่อเรา”
จินตภาพเรื่องทหารม้า
7 ในวันที่ยี่สิบสี่ เดือนที่สิบเอ็ด คือเดือชืชบัท เป็นปีที่สองของรัชกาลดาริอัส มีพระดำรัสของพระยาห์เวห์มายังผู้กล่าวพระคำเศคาริยาห์บุตรชาย เบเรคิยาห์ผู้เป็นบุตรอิดโด
8 เวลากลางคืน ข้าพเจ้าเห็นบุรุษผู้หนึ่ง ขี่ม้าสีแดง เขายืนอยู่ท่ามกลางต้นเมอร์เทิลในหุบเขา และด้านหลังของเขามีม้าสีแดง น้ำตาลส้ม และขาว
9 “โอ.. ท่านเจ้าข้า สิ่งเหล่านี้คืออะไรหรือ?” แล้วทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้าตอบว่า “เราจะแสดงให้ท่านเห็นว่า เหล่านี้คืออะไร”
10 แล้วบุรุษผู้ที่ยืนท่ามกลางต้นเมอร์เทิลจึงอธิบายว่า “พวกเขาเหล่านี้คือผู้ที่พระยาห์เวห์ได้ส่งลงมาลาดตระเวนทั่วแผ่นดินโลก”
11 ผู้ที่ขี่ม้าได้ตอบทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ผู้ยืนอยู่ท่ามกลางต้นเมอร์เทิลว่า “เราได้ลาดตระเวนไปทั่วแผ่นดินโลก และดูเถิด ทั่วทั้งโลกอยู่ในสถานะพักผ่อนอย่างสงบสุข”
12 แล้วทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์กล่าวว่า “โอ พระยาห์เวห์องค์จอมทัพ นานเท่าไรที่พระองค์จะยังคงรั้งพระเมตตาจากเยรูซาเล็ม และเมืองต่าง ๆในยูดาห์ซึ่งพระองค์ทรงกริ้วมาถึง 70 ปี ?
13 แล้วพระยาห์เวห์ได้ตรัสตอบทูตสวรรค์ที่กำลังสนทนากับข้าพเจ้า ด้วยพระดำรัสที่อ่อนโยน และปลอบประโลมใจ
14 แล้วทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า “จงประกาศคำต่อไป นี่เป็นพระดำรัสของพระยาห์เวห์องค์จอมทัพ
‘เราหวงแหนเยรูซาเล็มและศิโยนยิ่งนัก
15 แต่เราโกรธเกรี้ยวกับชาติต่าง ๆ ที่ ต่างรู้สึกไม่เกรงกลัวเรา เพราะเมื่อเราโกรธหน่อยเดียว แต่ชาติต่าง ๆ ก็กลับทำร้ายพวกเขาด้วยความคิดชั่วเกินขนาด’
16 ดังนั้น พระยาห์เวห์จึงตรัสว่า ‘เราจะกลับมาหาเยรูซาเล็มพร้อมกับความเมตตา และที่นั่น เราจะสร้างพระนิเวศของเราขึ้นมาใหม่ และจะมีสายดิ่งวัดเหนือเยรูซาเล็ม’ พระยาห์เวห์องค์จอมทัพทรงประกาศ
17 “จงประกาศต่อไปว่า พระยาห์เวห์องค์จอมทัพตรัสว่า ‘เมืองทั้งหลายของเราจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง พระยาห์เวห์จะทรงปลอบใจศิโยน และเลือกเยรูซาเล็มอีกครั้ง’
จินตภาพเรื่องเขาสัตว์และช่างฝีมือ
18 แล้วข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้น และเห็นเขาสัตว์สี่แท่ง
19 ข้าพเจ้าจึงถามทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้า “เหล่านี้คืออะไรกัน?” ท่านตอบว่า “เหล่านี้คือเขาสัตว์ซึ่งทำให้ยูดาห์ อิสราเอลและเยรูซาเล็มกระจัดกระจายไป”
20 แล้วพระยาห์เวห์ทรงแสดงให้ข้าพเจ้าช่างฝีมือสี่คน
21 “คนเหล่านี้มาทำอะไร พระเจ้าข้า?”
ข้าพเจ้าทูลและพระองค์ตรัสตอบว่า
“นี่เป็นเขาสัตว์ที่ทำให้ยูดาห์กระจัดกระจายไป เพื่อไม่ให้ใครยกหัวขึ้นมาได้อีก แต่ช่างฝีมือได้มาเพื่อทำให้พวกเขากลัวลาน และพวกเขาจะเขวี้ยงเขาสัตว์ของชาติต่าง ๆ ที่ได้ยกเขาสัตว์ (อำนาจ)ขึ้นมาต่อต้านเพื่อทำให้แผ่นดินยูดาห์กระจัดกระจายไป”
เดือนเชบัทคือเดือนที่สิบเอ็ดในปฏิทินของฮีบรูประมาณเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์
คำอธิบายเพิ่มเติม
1:1 พอเห็นวันที่เศคาริยาห์กล่าว เราก็นำไปเทียบกับฮักกัยได้ แสดงว่า เขาทั้งสองอยู่ในรุ่นเดียวกัน ใต้การปกครองของดาริอัสเช่นเดียวกัน และเขาก็พูดเรื่องเดียวกัน ในการสร้างพระวิหารด้วย
1:2 เศคาริยาห์บอกเหตุผลว่า ทำไมบรรพบุรุษของพวกเขาจึงต้องออกไปเป็นเชลยในบาบิโลน ให้คนต่างชาติกดขี่ ไปเป็นทาสรับใช้คนต่างชาติที่ยิวรังเกียจนัก
1:3 แต่พระเจ้าไม่ได้แค่ทรงกริ้ว พระองค์ทรงหาทางให้เขากลับมาหาพระองค์ ตรัสเหมือนกับตรัสในมาลาคี 3:7 ในเวลาร้อยปีต่อมา พระเจ้าตรัสดังนี้เสมอ ๆ เราต้องจำไว้ว่า เมื่อเราพลาดไป พระเจ้ายังทรงพระเมตตา
1:4 สิ่งที่บรรพบุรุษของอิสราเอลทำคือ พระเจ้าทรงเตือนไม่ให้ทำชั่ว แต่พวกเขาไม่ฟัง
ผู้เผยพระดำรัสในอดีต ก็คือ เหล่าผู้เผยพระดำรัสที่เตือนพวกเขาก่อนที่จะถูกกวาดไปเเป็นเชลย อย่างเช่น เยเรมีย์ หรือแม้แต่เอเสเคียลที่เข้าไปอยู่ในบาบิโลนกับพวกเขา นิสัยของพวกเขาคือ ไม่ฟังคำเตือนจากพระเจ้า!
1:5 บรรพบุรุษและผู้เผยพระดำรัส ต่างก็สิ้นชีวิตกันไป คนรุ่นก่อน ถูกการตีสอนจากพระเจ้า แต่คนรุ่นใหม่ก็ไม่จดจำ
1:6 พระเจ้าทรงเตือนว่า พวกเขาได้รับโทษ และรู้ว่า โทษนั้นสมควรจะได้รับ เป็นโทษที่มาจากพระเจ้า ทรงใช้กษัตริย์ต่างชาติมาจัดการกับพวกเขา
เศคาริยาห์ เตือนให้เขารู้ว่า ทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสนั้น เกิดขึ้นจริง ดังนั้นอย่าทำหูด้านชาเหมือนบรรพบุรุษ
จินตภาพเรื่องทหารม้า : พระเจ้าทรงพร้อมที่จะออกไปรบเพื่อคนของพระองค์
1:7 เศคาริยาห์บอกชัดเจนว่า เขาได้เห็นจินตภาพยามค่ำเมื่อไร .. เป็นช่วงรัชกาลของดาริอัส เดือนเชบัท เท่ากับช่วงมกราคม-กุมภาพันธ์ของปฏิทินปัจจุบัน ปี 519 ก่อนคริสตศักราช
1:8-11 เศคาริยาห์เห็นชายคนหนึ่งขี่ม้าสีน้ำตาลแดง ยืนท่ามกลางต้นเมอร์เทิลในหุบเขา ยังมีชายขี่ม้าสีแดง สีน้ำตาลและสีขาวอยู่ข้างหลังเขาด้วย
ต้นเมอร์เทิลเป็นไม้พุ่ม ใบสีเขียวแก่ มีดอกสีขาว มีความหมายถึงสันติสุข ความรุ่งเรือง และพระพรจากพระเจ้า สะท้อนพันธสัญญามั่นคงของพระเจ้าต่อคนของพระองค์ และเกี่ยวพันกับการรื้อฟิ้นใหม่ของอิสราเอล เป็นต้นไม้ที่เคยปลูกล้อมรอบนครเยรูซาเล็ม (เนหะมีย์ 8:15)ดอกไม้ชนิดนี้มีกลิ่นหอมที่สามารถเอาไปสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เวลาขยี้จะได้กลิ่นหอม ซึ่งยังสื่อถึงพระคุณของพระเจ้าที่มีต่ออิสราเอลยามที่พวกเขาต้องทนทุกข์
ในจินตภาพนี้ มี เศคาริยาห์ ทูตสวรรค์ และชายสี่คนที่ขี่ม้าสี่ตัว ตระเวนในโลก
เศคาริยาห์ยืนอยู่กับทูตสวรรค์ซึ่งอธิบายว่า ชายเหล่านี้เป็นคนที่พระเจ้าทรงส่งมาลาดตระเวณดูความเป็นไปของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลก และเขาพบว่าโลกอยู่ในความสงบ
1:12-15 เศคาริยาห์ได้ยินทูตสวรรค์สนทนากับพระยาห์เวห์ เขาทูลถามเหมือนจะบอกว่า เมื่อไรพระองค์จะเมตตาพวกเขาสักที เพราะพวกเขาลำบากกันมาแล้ว 70 ปีแล้วพระยาห์เวห์ทรงตอบทูตสวรรค์นั้นอย่างอ่อนด้วยการปลอบใจเขาที่รู้สึกกังวล แล้วพระองค์ให้เขาประกาศคำให้ทราบว่า พระองค์ทรงรักหวงแหนศิโยน และนครเยรูซาเล็ม ชาติต่าง ๆ ที่ทรงใช้มาสอนสั่งพวกเขาด้วยสงครามก็ได้ทำกับอิสราเอลเกินขนาด
1:16-17 พระเจ้าทรงตั้งพระทัยจะรื้อฟื้นพระนิเวศขึ้นมาใหม่ จะทรงให้พวกเขารุ่งเรืองขึ้นมาอีก การใช้สายดิ่งก็เพื่อวัดสำหรับการสร้างใหม่ การวัดนี้เป็นเหมือนสัญญาว่า จะมีการสร้างเกิดขึ้นจนสำเร็จ
และพระองค์ทรงสัญญาว่า เมืองทั้งหลายจะกลับมารุ่งเรืองอีก นับได้ว่า เป็นพระสัญญาที่น่าดีใจมากสำหรับเชลยที่เพิ่งกลับมาจากต่างแดน
(สี่ปีต่อมา มีการสร้างพระวิหารใหม่หลังจากเศคาริยาห์กล่าวคำพยากรณ์ครั้งนี้)
จินตภาพเรื่องเขาสัตว์และช่างฝีมือ
1:18-21 เขาสัตว์ในพระคัมภีร์ มีความหมายถึงประเทศ และกษัตริย์ ที่มีอำนาจมาก ยังหมายถึงความเย่อหยิ่งด้วย เขาของวัวผู้ก็เป็นพลังของพวกมัน
มีความเห็นหลายแบบ
เขาสี่เขานี้ น่าจะหมายถึงประเทศที่เข้ามาโจมตีอิสราเอลซึ่งถ้ามองจากคำของดาเนียลบท 2, 7 เราก็จะได้ บาบิโลน มีเดีย-เปอร์เซีย กรีซ และโรม
ช่างฝีมือดังกล่าวน่าจะเป็นคนที่ต้องใช้ค้อน เพื่อใช้เคาะ ทุบ ตีในการทำงานเป็นหลัก
ในดาเนียลได้บอกว่า แต่ละอาณาจักรจะถูกอาณาจักรที่เรืองอำนาจต่อมาทำลายกันเป็นลำดับไป จนกระทั่ง ถึงอาณาจักรของพระเมสสิยาห์ (อ่านดาเนียล 2:34,35,45)
(Macarthur Study Bible)
พระเจ้าทรงใช้ชาติต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อสั่งสอนอิสราเอล แต่พวกเขาก็ทำชั่ว ทำความโหดร้าย เกินไปอยู่เสมอ
จินตภาพเรื่องเขาสัตว์และช่างฝีมือ: จะมีสี่ประเทศที่เข้ามาโจมตีอิสราเอล พระเจ้าจะทรงชนะเขา และพระคริสต์จะเป็นช่างฝีมือที่จะปกครองเหนืออิสราเอลลงโทษประเทศที่เข้ามาข่มเหงอิสราเอล (พจ.สัญญาจะช่วยคนของพระองค์ ข้อ 13,17) ตรงนี้ เศคาริยาห์สนทนากับทูตสวรรค์ และพระยาห์เวห์ในเวลาเดียวกัน ดูตามโทราห์คลาส
พระเจ้าทรงใช้เขาเหล่านี้เพื่อจัดการกับยูดาห์ เพื่อทำให้พวกเขาหันมาหาพระเจ้า ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ กลับใจใหม่ คืนดีกัน
คำว่าสี่ มีความหมายถึงขอบเขตกว้างขวางสุดโลก เขาสัตว์สี่แท่ง หมายถึงอำนาจใด ๆ จากโลกที่ขึ้นมาทำลายอิสราเอล
ส่วน ช่างฝีมือเหล่านี้มาเพื่อทำให้เขาสัตว์ เหล่านั้นกลัว .. พวกเขามาเพื่อจัดการกับความหวาดหวั่น .. เรื่องนี้พระเจ้าทรงกล่าวเฉพาะถึงยูดาห์
พระคำเชื่อมโยง
เศคาริยาห์ 1
1* เศคาริยาห์ 7:1; มัทธิว 23:35; เนหะมีย์ 12:4, 16
3* มาลาคี 3:7-10
4* 2 พงศาวดาร 36:15-16; อิสยาห์ 31:6
6* อิสยาห์ 55:11; เพลงคร่ำครวญ 1:18; 2:17
8* วิวรณ์ 6:4; เศคาริยาห์ 6:2-7
9* เศคาริยาห์ 4:4-5, 13; 6:4
10* ฮีบรู 1:14
11* สดุดี 103:20-21
12* สดุดี 74:10; เยเรมีย์ 25:11-12; 29:10
13* เยเรมีย์ 29:10
14* เศคาริยาห์ 8:2
15* อิสยาห์ 47:6
16* เศคาริยาห์ 2:10; 8:3; เอสรา 6:14-15; อิสยาห์ 44:28 ; เศคาริยาห์ 2:1-3
17* อิสยาห์ 40:1-2; 51:3 ; เศคาริยาห์ 2:12
18* เพลงคร่ำครวญ 2:17
19* เอสรา 4:1, 4, 7
21* สดุดี 75:10; 75:4-5
มีคาห์ 7 ทรงเป็นแสงสว่างของข้า!

บทที่ 7 คร่ำครวญกับบาปของยูดาห์
ประชาชนอิสราเอลต่างถูกหลอก (ไม่ต่างอะไรกับคนในปัจจุบันที่ถูกหลอกทุกนาทีจากมือถือตรงหน้า ) มีคาห์ไม่เจอคนที่ใช่..ในหมู่อิสราเอลเลย สิ่งที่มีคาห์ทำได้คือ หวังพึ่งพระเจ้า รอคอยพระองค์ และอธิษฐานต่อพระองค์ (ข้อ 7 ) โดยหวังว่า พระเจ้าจะทรงพลิกเหตุการณ์ให้
พระเจ้าผู้ที่เราพึ่งพาได้
1 น่าสลดใจเสียจริง!
เพราะข้าพเจ้าเป็นเหมือนคนที่ไปเก็บผลไม้ฤดูร้อน
หลังจากที่เขาเก็บองุ่นไปจนหมดสวน
ข้าพเจ้าไม่มีพวงองุ่นให้กิน
ไม่มีมะเดื่อสุกผลแรกที่ข้าพเจ้าปรารถนา
2 คนเที่ยงธรรมสูญหายไปจากแผ่นดิน
ไม่มีคนท่ามกลางผู้คน
ทุกคนต่างดักซุ่มรอเพื่อการนองเลือด
ต่างเหวี่ยงตาข่ายดักกันและกัน
3 มือทั้งสองข้างถนัดในการทำชั่ว
ทั้งผู้ปกครองและผู้พิพากษาต่างเรียกร้องสินบน
คนที่มีอำนาจสั่งการตามความต้องการชั่ว
พวกเขาวางแผนร่วมกัน
4 แม้แต่คนดีที่สุดในหมู่พวกเขาเป็นเหมือนต้นหนาม
คนเที่ยงธรรมก็เลวกว่าหนามแหลมคม
วันของผู้เฝ้ายาม วันแห่งการลงโทษกำลังมา
บัดนี้ เป็นเวลาของความตระหนกสับสน
5 อย่าวางใจเพื่อน อย่าเชื่อใจเพื่อนสนิท
จงระวังปากของตนแม้จากหญิงที่อยู่ในอ้อมกอด
6 ที่แน่ ๆ คือ ลูกชายจะเห็นว่าพ่อเป็นคนโง่
ลูกสาวจะขัดแย้งกับแม่ของตน
ลูกสะใภ้จะต่อต้านแม่สามี
ศัตรูของแต่ละคนคือ คนในครอบครัวของตนเอง
7 แต่ข้าพเจ้าจะหวังพึ่งในพระยาห์เวห์
ข้าพเจ้าจะรอคอยพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอด
พระเจ้าจะทรงยินเสียงของข้าพเจ้า
พระเจ้าผู้เที่ยงธรรม
พระคัมภีร์ในข้อแปดนี้ เป็นกำลังใจให้กับเราทุกคนที่มีช่วงเวลาที่ล้มลง ผิดหวัง พ่ายแพ้ ถ้าคิดได้ วางใจอย่างมีคาห์ เราจะผ่านพ้นความมืดของชีวิตไปได้ ข้อต่อ ๆ ไปได้บอกว่า พระเจ้าทรงนำคนของพระองค์กลับไปสู่ความสว่างอย่างไร
8 ศัตรูของข้า อย่ามาเยาะหยันข้าไปเลย
แม้ข้าล้มลง ข้าจะลุกขึ้นมาอีก
แม้ข้านั่งอยู่ท่ามกลางความมืดสนิท
พระยาห์เวห์จะทรงเป็นแสงสว่างของข้า
9 เพราะข้าพเจ้าได้ทำบาปต่อพระองค์
ข้าพเจ้าก็ต้องทนต่อพระพิโรธของพระองค์
จนกว่าพระองค์จะทรงสู้ความให้
และประทานความเป็นธรรมแก่ข้าพเจ้า
พระองค์จะนำข้าพเจ้าไปสู่ความสว่าง
และข้าพเจ้าจะเห็นความรอดของพระองค์
(หรือความเที่ยงธรรมของพระองค์)
10 แล้วศัตรูของข้าพเจ้าจะเห็น
และถูกคลุมตัวด้วยความอับอาย ..
คือคนนั้นที่กล่าวกับข้าพเจ้าว่า
“ไหนล่ะ พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า?”
ข้าพเจ้าจะมองเขาในเวลาที่เขาถูกเหยียบย่ำใต้ฝ่าเท้า
เหมือนโคลนบนถนน
11 วันนั้นจะมาถึง คือวันที่ท่านจะสร้างกำแพงใหม่อีกครั้ง
วันนั้นอาณาเขตของท่านจะขยายออกไป
12 ในวันนั้น ประชาชนจะมาหาท่านจากอัสซีเรีย
และจากเมืองต่าง ๆ ในอียิปต์
จากอียิปต์ถึงแม่น้ำยูเฟรตีส
จากทะเลจรดทะเล
จากภูเขาจรดภูเขา
13 โลกจะกลายเป็นที่ร้างเพราะชาวโลกเอง
นั่นเป็นผลมาจากการกระทำของพวกเขา
พระเจ้าทรงยินดีที่จะสำแดงพระกรุณา
คนของพระเจ้าชนะ และผ่านอุปสรรคทั้งปวงไปได้ไม่ใช่เพราะเขาเก่ง แต่เป็นเพราะเขาวางใจพระเจ้าผู้ทรงพอพระทัยที่จะสำแดงพระเมตตาแก่คนที่ถ่อมตนลงต่อพระองค์ พระองค์พอพระทัยที่จะยกบาปและเขวี้ยงมันไปให้พ้น และไม่ระลึกถึงมันอีกเลย
14 ขอพระเจ้าทรงเลี้ยงดูประชากรของพระองค์
ด้วยไม้เท้าของพระองค์
พวกเขาเป็นฝูงแกะของพระองค์
พวกเขาอาศัยกันอยู่ตามลำพังในป่าที่มีทุ่งหญ้าล้อมรอบ
ขอทรงให้เขาหากินในบาชานและกิเลอาด
เหมือนอย่างในอดีตกาลนานมาแล้ว
15 “เราจะทำการอัศจรรย์ให้กับพวกเขา
เหมือนครั้งที่พวกเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์”
16 ชาติต่าง ๆ จะเห็นแล้วรู้สึกละอาย
กับกำลังทั้งหมดที่พวกเขามีอยู่
พวกเขาจะเอามือปิดปาก และแสร้งทำเป็นหูหนวกไป
17 พวกเขาจะเลียผงดินเหมือนกับงู
เหมือนตัวที่เลื้อยคลานตามพื้นดิน
พวกเขาจะตัวสั่นออกมาจากที่กำบังแข็งแกร่ง
จะหันมาหา พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเรา
และจะยืนอยู่ด้วยความครั่นคร้ามพระองค์
18 ใครล่ะ ที่เป็นพระเจ้าที่อย่างพระองค์
ผู้ทรงยกบาปออกไป
และทรงยกโทษการกบฏ
ของคนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ที่หลงเหลืออยู่?
พระองค์มิทรงเก็บความโกรธเอาไว้ตลอดนิรันดร์
เพราะทรงปีติยินดีในการแสดงความรักมั่นคง
19 พระองค์จะทรงสงสารเราอีกครั้ง
และจะทรงพิชิตความชั่วช้าของเรา
พระองค์จะทรงเหวี่ยงบาปทั้งสิ้นของเราลงไปในทะเลลึก
20 พระองค์จะทรงแสดงความซื่อตรงต่อยาโคบ
และแสดงความรักมั่นคงต่ออับราฮัม
ดังที่ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเรา
เมื่อครั้งที่นานมาแล้ว
คำอธิบายเพิ่มเติม
7:1 ตอนนี้มีคาห์รู้สึกเป็นเหมือนคนที่อยากกินผลไม้ ไปเก็บในไร่ แต่ก็ไม่มี ทั้งองุ่น ทั้งมะเดื่อที่ชอบกิน เมื่อเปรียบเทียบกับฝ่ายวิญญาณแล้ว จะเห็นว่า เขากำลังผิดหวังกับอิสราเอล คนที่พระเจ้าทรงเลือก แต่กลับไม่มีผลแห่งชีวิตฝ่ายวิญญาณเลย
(อิสยาห์ 5:7 บอกว่า อิสราเอลคือสวนองุ่นของพระองค์ )
7:2 สภาพที่มีคาห์อธิบายตรงนี้ ทำให้รู้สึกท้อแท้ใจมาก ไม่มีคนดีเหลืออยู่ มีแต่ความโหดเหี้ยม การนองเลือด การทำร้ายกันและกัน ที่ท่านเขียนตรงนี้ไม่ได้หมายความว่า ไม่เหลือคนเที่ยงธรรมเลย แต่ท่านกำลังทำให้เรารู้ว่า คนแบบนั้นมีน้อย น้อยมากจริง ๆ
7:3 คนอิสราเอลยุคนั้น เก่งทำชั่วทั้งสองมือ เชี่ยวชาญ และสมคบคิดกันเพื่อประโยชน์ของตน
7:4 ขนาดคนที่ดีที่สุดของพวกเขาก็ยังทำร้ายคนให้เจ็บปวดได้
เรียกได้ว่า ไม่อาจไว้ใจใครได้เลย คนยามร้องบอกอันตราย แต่ก็ไม่มีใครฟัง เมื่อมีศัตรูเข้ามากวาดพวกเขาไป จึงจะรู้ว่า น่ากลัวเพียงใด
7:5 จะเห็นว่า สภาพของสังคมอิสราเอลนั้นตกต่ำสุด เพราะพวกเขาไม่อาจไว้ใจใครแม้กระทั่งคนที่ใกล้ชิด แม้กระทั่งคู่ชีวิตของตนเอง
7:6 เห็นภาพของสังคมเมืองสมัยใหม่ ในโลกโบราณไหม? ทุกคนมีศัตรูอยู่ในบ้าน ใกล้ตัว พูดอะไรก็ไม่ได้ และต้องระวังตัวทุกวินาที
7:7 แต่มีคาห์ยังมีความหวัง เขาหวังในพระเจ้า สิ่งที่เขาทำเป็นตัวอย่างสำหรับพวกเราคือ การรอคอยและอธิษฐาน ขอพระเจ้าทรงฟังเสียงร้องทูล เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้เดียวที่จะแก้สถานการณ์ร้ายที่กำลังเผชิญอยู่ได้
7:8 จากนี้ไป เราจะรู้สึกเหมือนกับว่า มีคาห์กำลังคร่ำครวญ แม้จะพูดเหมือนกับพูดกับตัวเอง แต่ที่จริงแล้ว กำลังพูดกับคนอิสราเอลที่หลงเหลืออยู่ เขาได้สรุปให้เราเห็นถึงพระเจ้าที่ทรงซื่อตรงต่อพระสัญญาของพระองค์เสมอ
ในข้อนี้เขาบอกศัตรูฝ่ายวิญญาณของเขาว่า ไม่มีวันที่เขาจะล้มแล้วล้มเลย จมในความมืดแล้วไม่ออกมา เพราะว่า พระเจ้าทรงเป็นแสงสว่างในชีวิตของเขา เพราะฉะนั้น การแสดงความยินดีของศัตรูเหล่านั้นไม่มีความหมาย …
7:9 ข้าพเจ้าทำบาปต่อพระองค์ ..รวมไปถึงคนอิสราเอลที่ได้ทำบาปต่อพระเจ้าด้วย เขาอธิษฐานอ้อนวอนเพื่อคนของพระองค์ เขากำลังมองตัวเองเป็นคน ๆ เดียวกับทั้งชาติอิสราเอลที่ผิดต่อพระเจ้า เขายอมรับการลงโทษของพระเจ้าโดยเชื่อว่า พระเจ้าจะเป็นดั่งทนายแก้ต่างให้ และพระองค์จะทรงเป็นผู้นำเขาออกจากความมืดที่กำลังเผชิญอยู่นี้ คำของมีคาห์ตอนนี้ ทำให้เราคิดถึงคำของท่านที่เขียนหนังสือสดุดี พวกเขาพบความมืด แต่พระเจ้าจะเป็นผู้ปกป้องและช่วยกู้
ถ้าเราเปลี่ยนคำว่าข้าพเจ้า เป็นข้าพเจ้าทั้งหลายคือ อิสราเอลที่กลับใจ เราก็จะเห็นว่า พระเจ้ากำลังเมตตาพวกเขาจากการที่พวกเขาถ่อมตนลง เห็นความผิดของตน และได้รับพระเมตตาจากพระเจ้า
7:10 แล้วมีคาห์จะเห็นความพ่ายแพ้ของศัตรูที่โอหัง ที่ท้าทายพระเจ้า และคิดว่า ตนเองใหญ่กว่าพระองค์ เราจะเห็นคนที่รู้สึกว่าตนเองยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าของตนเองต้องอับอาย ไม่ต้องการให้ใครเห็น แต่กลับเป็นว่า โลกปัจจุบันนี้ เขาสามารถย้อนอดีตไปดูสิ่งที่เคยทำได้ คลิปต่าง ๆ ไม่ได้หายไปง่าย ๆ มันพร้อมย้อนกลับมาหลอนเจ้าตัวเสมอ
7:11-13 แล้วมีคาห์ก็กล่าวล่วงหน้าไปถึงยุคสุดท้าย คือการปกครองของพระเยซูพระเมสสิยาห์พันปี เมื่อถึงวันรื้อฟื้นอิสราเอลที่หลงเหลืออยู่ (อิสยาห์ 11:16) ผู้คนจะกลับมาจากอัสซีเรีย และอียิปต์ ส่วนคนที่ต่อต้านท้าทาย พระเมสสิยาห์ จะพบการเริศร้างของแผ่นดิน (เศคาริยาห์ 14:16-19)
7:14 มีคาห์ทูลขอพระเจ้าทรงกลับมาเป็นพระผู้เลี้ยง เป็นกษัตริย์ของอิสราเอลอีกครั้ง พวกเขาจะเป็นแกะในคอกของพระองค์ เหมือนอย่างที่เขาเคยเป็น (สดุดี 23)
7:15 พระเจ้าทรงยืนยันกับมีคาห์ว่า จะทรงทำอัศจรรย์ให้กับพวกเขา ซึ่งนับว่าใหญ่โตมาก เพราะจะเป็นเหมือนครั้งที่ออกมาจากอียิปต์ เป็นการรื้อฟื้นอัศจรรย์ที่คาดไม่ถึง
7:16-17 เราต้องเข้าใจอย่างหนึ่งคือ ชาติต่าง ๆ ที่ว่าตรงนี้คือ ศัตรูของพระเจ้า พวกเขาจะได้รับรู้ว่า ที่เขาคิดว่าตัวเองมีพลังมาก แต่เมื่อเทียบกับพระเจ้าแล้ว สิ่งที่พวกเขาสะสมทั้งอาวุธ ทั้งจำนวนทหารก็ด้อยไปเลยเมื่อเจอวิธีการที่พระเจ้าจัดการกับอิสราเอลและพวกเขา สิ่งที่พวกเขาสะสมทำมา ก็จะพังในพริบตา พวกเขาจะไม่มีโอกาสเหยียดหยามหรือดูหมิ่นของพระองค์อีกต่อไป
7:18-20 พระเจ้าแห่งอิสราเอล ไม่มีใครเทียบ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้เดียวที่จะอภัยบาปให้แก่มนุษย์ได้ หากพระองค์ไม่อภัย ก็ไม่มีใครอาจเรียกร้องหรือท้าทายพระองค์ได้ พระเจ้าผู้ไม่มีใครเทียบได้ ทรงพระเมตตาและสงสารคนของพระองค์ ทรงสัญญาจะเหวี่ยงบาปที่พวกเขาเคยทำให้พระองค์กริ้วอย่างมากนั้น ไปให้ไกล ลงไปในทะเลลึก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระองค์ทรงซื่อตรงต่อพระสัญญาที่ทรงให้ไว้กับบรรพบุรุษของอิสราเอล เราจะได้เห็นพระสัญญาของพระเจ้าสำเร็จแน่นอน เพราะวันนั้นใกล้เข้ามาเต็มที
มีคาห์ 7
1* อิสยาห์ 17:6; 28:4
2* อิสยาห์ 57:1; ฮาบากุก 1:15
3* มีคาห์ 3:11
4* เอเสเคียล 2:6
5* เยเรมีย์ 9:4; เฉลยธรรมบัญญัติ 28:56
6* มัทธิว 10:36
7* อิสยาห์ 25:9
8* สุภาษิต 24:16- 17
9* เพลงคร่ำครวญ 3:39-40; เยเรมีย์ 50:34
10* สดุดี 35:26; 42:3
11* อาโมส 9:11
12* อิสยาห์ 11:16; 19:23-25
13* เยเรมีย์ 21:14
14* อิสยาห์ 37:24
15* สดุดี 68:22; 78:12; อพยพ 34:10
16* อิสยาห์ 26:11; โยบ 21:5
17* อิสยาห์ 49:23; สดุดี 18:45; เยเรมีย์ 33:9
18* อพยพ 15:11; มีคาห์ 4:7; สดุดี 103:8-9,13; เอเสเคียล 33:11
20* ลูกา 1:72-73
มีคาห์ 6 คดีฟ้องร้องยูดาห์

พระเจ้าทรงฟ้องร้องยูดาห์
ผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกมาเป็นพยาน เป็นคณะลูกขุนของพระองค์ คือ ภูเขาทั้งหลาย
พระองค์ทรงทำอะไรให้พวกเขาจนกระทั่งพวกเขาดูหมิ่น และทำบาปต่อพระองค์ สิ่งที่เราเห็นจากอิสราเอลยุคนี้คือ พวกเขาขาดความกตัญญูต่อพระเจ้า ไม่มีเลยสักนิด (เราจะรู้สึกถึงพระทัยของพระเจ้าชัดขึ้นเมื่อย้อนกลับไปที่อิสยาห์ 5)
1 บัดนี้ จงฟังว่าพระยาห์เวห์ได้ตรัสอย่างไร
“จงลุกขึ้น และสู้คดีของเจ้าต่อหน้าภูเขาทั้งหลาย และให้เนินเขาได้ยินเสียงของเจ้า
2 จงฟังคำกล่าวโทษขององค์พระยาห์เวห์
ภูเขาทั้งหลายเอ๋ย
จงฟัง ฐานรากอันมั่นคงของโลก
เพราะพระเจ้าทรงมีคดีกับประชากรของพระองค์
และพระองค์จะทรงตั้งข้อหาของอิสราเอล
3 ประชากรของเราเอ๋ย เราได้ทำอะไรให้เจ้า?
เราได้ทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อยอย่างไรหรือ?
จงตอบเรามาเถิด
4 ความจริงคือ เราได้นำเจ้าขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ และไถ่เจ้าออกจากที่ซึ่งกักเจ้าไว้เป็นทาส
เราส่งโมเสส อาโรนและมิเรียมไปล่วงหน้าเจ้า
5 ประชากรของเราเอ๋ย จงระลึกถึงสิ่งที่กษัตริย์บาลาคแห่งโมอับต้องการแช่งเจ้า และสิ่งที่บาลาอัม ลูกชายของเบโอร์ตอบเขาด้วยการอวยพรเจ้า และสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางจากชีทธีม ถึงกิลกาล เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าพระยาห์เวห์ทรงทำกับเจ้าอย่างยุติธรรม
คำสารภาพ
มีคาห์ทราบดีว่า พระเจ้าทรงประสงค์การกลับใจ ไม่ใช่การนำของมาถวายพระองค์เหมือนอย่างที่พวกเขาทำกับรูปเคารพของพวกเขา สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ที่สุดคือการเชื่อฟัง
6 ข้าพเจ้าควรจะนำสิ่งใดมาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ยามที่ข้าพเจ้าเข้ามากราบลงต่อพระเจ้าองค์สูงสุด?
ข้าควรจะเข้ามาเฝ้าพร้อมกับเครื่องเผาบูชาด้วยเหล่าลูกวัวอายุหนึ่งปีอย่างนั้นหรือ?
7 องค์พระยาห์เวห์จะทรงพอพระทัยกับแกะผู้หลายพันตัว หรือธารน้ำมันนับหมื่นสายอย่างนั้นหรือ? ข้าพเจ้าควรถวายลูกชายคนโตของข้าพเจ้าเนื่องจากข้าพเจ้าได้ล่วงละเมิด
พระองค์อย่างนั้นหรือ ?
ถวายเลือดเนื้อเชื้อไข
เนื่องจากบาปของข้าพเจ้าหรือ?
8 มนุษย์เอ๋ย พระองค์ได้ทรงบอกท่านแล้วว่า อะไรดีและอะไรเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จากพวกท่าน นั่นก็คือ การประพฤติอย่างยุติธรรม การรักความซื่อตรง และการดำเนินชีวิตไปด้วยความถ่อมใจกับพระเจ้าของท่าน (แม้พระคำข้อนี้จะเป็นพระคำยอดนิยม .. แต่เราต้องรู้ว่า เรา ในยุคปัจจุบัน ก่อนที่เราจะทำสิ่งที่พระองค์ประสงค์ได้นั้น เราต้องเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ก่อน เป็นลูกของพระเจ้าก่อน )
คำพิพากษา
การพิพากษาของพระเจ้านั้นชัดเจน อิสราเอลจึงรู้ว่า ที่ตนเองตกอยู่ในสภาพเชลยเป็นเพราะพระเจ้าทรงเตือนแล้วเตือนอีก แต่พวกเขาก็เมินพระองค์ กษัตริย์อมรีและอาหับ เป็นกษัตริย์ที่นำให้ประชาชนตกอยู่ในความมัวเมากับรูปเคารพ
เมื่อผู้นำทำผิด ประชาชนตาม พวกเขาจึงต้องเผชิญการพิพากษาเดียวกัน
9 พระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ได้เรียกนครเยรูซาเล็ม การยำเกรงพระนามของพระองค์ก็คือสติปัญญา “จงฟังเถิด โอชนชาติ ที่ชุมนุมกันในเมืองนั้น ”
10 โอ ยังมีคนในบ้านชั่ว
พร้อมกับทรัพย์สมบัติที่ได้มาจากความโหดร้าย
และเครื่องชั่งตวงโกงที่ถูกสาป
อยู่ในบ้านหรือเปล่า ?
11 จะให้เราปล่อยตัวให้คนชั่วโกงตาชั่ง
หรือปล่อยคนใช้ตุ้มน้ำหนักโกงตาชั่ง
ลอยนวลไปอย่างนั้นหรือ?
12 ผู้ที่มั่งคั่งในเมืองนั้นเต็มด้วยความรุนแรง ประชาชนล้วนโกหก ลิ้นของพวกเขาหลอกลวงทั้งนั้น
13 “ผลก็คือ เราจะเฆี่ยนเจ้าอย่างรุนแรง จะทำให้บ้านเมืองกลายเป็นร้างเพราะบาปของพวกเจ้า”
14 เจ้าจะกิน แต่ไม่เคยอิ่ม
เพราะเจ้ายังคงหิวโหยไม่หยุด
สิ่งที่เจ้าเอามาเก็บไว้ แต่กลับไม่มีอะไรเหลือ
สิ่งที่เจ้าสะสมก็จะต้องเจอคมดาบจากเรา
15 เจ้าจะได้หว่าน แต่ไม่ได้เก็บเกี่ยว
เจ้าจะคั้นลูกมะกอก
แต่จะไม่ได้เจิมตนเองด้วยน้ำมัน
เจ้าจะย่ำองุ่น แต่ไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่น
16 เพราะเจ้ายังคงเดินตามกฎเกณฑ์ของอมรี และปฏิบัติตนตามพิธีกรรมของวงศ์วานอาหับ
เจ้าทำตามอย่างพวกเขา
ดังนั้น เราจะทำให้เจ้าเป็นสถานที่รกร้าง และประชาชนในเมืองของเจ้าจะถูกเหยียดหยาม เป็นที่เยาะเย้ยของชาติต่าง ๆ
อธิบายเพิ่มเติม
6:1-2 พระเจ้าทรงเรียกภูเขาใหญ่น้อยมารับรู้การกล่าวโทษชนอิสราเอลเหมือนครั้งที่อิสยาห์ และโมเสส เคยชวนให้ฟ้าสวรรค์ แผ่นดินมาฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าในอิสยาห์ 1:2 เฉลยธรรมบัญญัติ 32:1 สิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติเหล่านี้อยู่กันมาเนิ่นนาน ถ้าพูดได้ ก็คงจะเป็นพยานให้พระเจ้าถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ของอิสราเอลที่ได้ล่วงละเมิดพระเจ้า
6:3 พระเจ้าทรงเรียกให้เขาตอบพระองค์ว่า เหตุใดพวกเขาจึงเลิกที่จะเชื่อฟังพระองค์ พระองค์ทรงทำอะไร ตอบมา พระเจ้าไม่ได้ทรงเอาแต่จะลงโทษ ทรงเปิดโอกาสให้พวกเขาพูดออกมาถึงสิ่งที่อยู่ในใจ ตรงนี้ เราจะเห็นว่า เมื่อเรามีอะไรอยู่ในใจก็ทูลต่อพระเจ้าได้ ไม่ต้องปิดเอาไว้ คับแค้นใจแค่ไหนก็ให้บอกมา พระเจ้าทรงเปิดโอกาสแล้ว
6:4 พระเจ้าทรงย้อนอดีตให้เขาได้พิจารณาตัวเอง เมื่อพวกเขาตกเป็นทาสแรงงาน ถูกบังคับขู่เข็ญ พระเจ้าทรงไถ่พวกเขาออกมาอย่างอัศจรรย์ ทรงส่งผู้รับใช้ของพระองค์ไปช่วยพวกเขา ทรงจัดโมเสสเป็นสื่อกลางที่ประทานบทบัญญัติ อาโรนเป็นปุโรหิตเพื่อช่วยพวกเขาเรื่องการลบบาป ทรงให้มิเรียมเป็นดั่งผู้เผยพระดำรัสเพื่อนำพวกเขาสรรเสริญขอบคุณพระเจ้า
6:5 เมื่อโมอับต้องการแช่งอิสราเอล พระเจ้าทรงเปลี่ยนปากของคนทำนายรับจ้างคือบาลาอัมให้กล่าวคำพรแก่อิสราเอล
(กันดารวิถี 22-24)ทั้งหมดนี้ พระเจ้าทรงยุติธรรม และทรงให้อิสราเอลเกินกว่าที่เขาสมควรจะได้
6:6 แล้วมีคาห์ก็ทูลตอบพระเจ้าเหมือนว่าจะแก้ต่างให้อิสราเอล เขาทูลถามว่า ควรนำเครื่องเผาบูชาเป็นลูกวัวตัวเล็กหนึ่งขวบไหม? เป็นตามอย่างที่โมเสสเคยบัญชาไว้ใช่ไหม? (เลวีนิติ 9:2-3)
6:7 แล้วเขาก็ทูลรายงานเรียงดูว่า เครื่องบูชาแบบไหนที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
แกะผู้หลายพันตัว .. น้ำมันที่มากมายดั่งสายน้ำเป็นหมื่นสายหรือลูกชายหัวปี ? พระเจ้าทรงประสงค์อย่างไรกันแน่? มีคาห์ถามให้ประชาชนที่ฟังอยู่คิดว่า พระเจ้าทรงประสงค์อะไร ซึ่งก็น่าจะอยู่ในใจพวกเขาแล้ว แต่ละคนคงคิดว่า มีคาห์ต้องให้คำตอบมาสักหนึ่งข้อสิ
6:8 แต่แล้ว มีคาห์พลิกความคาดหมายของพวกเขา พระเจ้าไม่ได้สนพระทัยในสัตว์ หรือลูกชายหัวปี สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์นั้นต้องมาจากหัวใจที่กลับใจแล้ว พฤติกรรมยุติธรรมซื่อตรง ถ่อมใจ เดินไปกับพระเจ้า … ทรงขอเพียงแค่นี้ ..แต่อิสราเอลไม่สามารถมอบให้พระเจ้าได้
พวกเขาหยิ่งเกิน ดื้อเกิน หลงไหลรูปเคารพเกิน…..
6:9 มีคาห์บทนี้ ได้บันทึกคำพิพากษาของพระเจ้าก็จริง แต่แล้ว พระเจ้าก็ทรงสัญญาจะให้การรื้อฟื้นเกิดขึ้นในบทต่อไป
ตอนนี้พระเจ้าทรงเรียกนครเยรูซาเล็มเพื่อจะบอกบางอย่างแก่พวกเขา …
6:10-11 ยังมีคนที่ขายของซึ่งได้มาจากการโกง การยึดคนอื่นมาเหรือเปล่า พวกเขายังใช้เครื่องชั่งโกง พระเจ้าทรงกล่าวถึงตุ้มน้ำหนักโกงในข้อต่อมา แสดงว่า คนที่ทำการค้าไม่น้อย ได้ใช้เครื่องชั่งที่โกงลูกค้ามานาน พวกเขาคิดว่า พระเจ้าจะไม่ทรงเห็น แต่พระองค์ จะไม่ปล่อยพวกเขาให้ลอยนวล เรื่องนี้
6:12 นอกจากนั้น มีการใช้ความรุนแรง โกหก เพื่อว่าเขาจะได้สิ่งต่าง ๆ ที่ต้องการจากคนยากจน
ข้ามไปข้อ 16 พวกเขายังติดตามรูปเคารพ ไม่ติดตามพระเจ้า
พวกเขาไม่ได้มีหัวใจและพฤติกรรมอย่างที่พระเจ้าทรงประสงค์ในข้อแปดเลย ..
6:13-16 แล้วพระเจ้าก็ทรงเผยว่า พวกเขาจะได้รับอะไรเป็นการลงโทษ การเฆี่ยนของพระเจ้ามาในภาพของเมืองร้าง หิวโหย ยากจน คมดาบ ไม่มีผลจากไร่ ไม่มีน้ำมันมะกอกหรือเหล้าองุ่น อดอยากทุกด้าน และที่ร้ายสุดคือ ชาติต่าง ๆ จะดูหมิ่นเหยียดหยาม
แม้ว่าอิสราเอลจะเป็นประเทศที่มั่งคั่งในเวลานี้ แต่ที่พวกเขาผ่านมาเพราะการที่พวกเขาต้องเข้าไปอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเพราะไม่มีแผ่นดินเป็นของตนเองก่อนปี 1948 สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญมาโดยตลอดคือ การที่ถูกดูหมิ่น เยาะเย้ย และต้องการทำลายอิสราเอลให้พ้นไปจากโลกนี้ สงครามกาซาครั้งนี้ เกิดจากอาหรับต้องการให้อิสราเอลซึ่งเป็นเหมือนหอกข้างแคร่สำหรับพวกเขา ..หมดไปจากโลกนี้ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
พระคำเชื่อมโยง
มีคาห์ 6
2* สดุดี 50:1, 4; โฮเชยา 12:12; อิสยาห์ 1:18
3* เยเรมีย์ 2:5,31; อิสยาห์ 43:22-23
4* เฉลยธรรมบัญญัติ 4:20
5* กันดารวิถี 22:5-6; ผู้วินิจฉัย 5:11
7* อิสยาห์ 1:11; โยบ 29:6; 2 พงศ์กษัตริย์ 16:3
8* เฉลยธรรมบัญญัติ 10:12; ปฐมกาล 18:19
11* โฮเชยา 12:7
12* มีคาห์ 2:1-2; เยเรมีย์ 9:2-6, 8
13* เลวีนิติ 26:16
14* เลวีนิติ 26:26
15* อาโมส 5:11
16* 1 พงศ์กษัตริย์ 16:25-26; โฮเชยา 5:11; อิสยาห์ 25:8