โรม 9:1-3
ข้าขอบอกความจริงในพระคริสต์ ไม่มุสา จิตสำนึกของข้าเป็นพยานในพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าข้าเป็นทุกข์และเจ็บปวดในใจ
ไม่หยุดหย่อน ถ้าเป็นไปได้ ข้าเต็มใจที่จะถูกสาปตลอดไป นั่นคือถูกตัดขาดจากพระคริสต์ หากสิ่งนั้นจะช่วยให้พี่น้องยิวซึ่งเป็นคนเชื้อชาติเดียวกับข้าจะได้รับความรอด

โรม 9:4
พวกเขาเป็นชนอิสราเอล ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นลูกของพระองค์ พวกเขาได้เห็นพระเกียรติสิริ ทรงทำพันธสัญญา
ต่าง ๆ กับพวกเขา ประทานบทบัญญัติ สิทธิที่ได้นมัสการ พระองค์ในพระวิหารรวมไปถึงรับพระสัญญาดีเลิศต่าง ๆ

โรม 9:5
พวกเขาเป็นลูกหลานของบรรพบุรุษของเรา
และพระเยซูคริสต์ได้ทรงลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์
ในเชื้อสายของพวกเขา …
สรรเสริญแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือ
สรรพสิ่ง ตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน

โรม 9:6-7
พระเจ้ามิได้ทรงล้มเหลวในการรักษาพระสัญญา เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เกิดในเชื้อสายอิสราเอลเป็นอิสราเอลแท้ ไม่ใช่ทุกคนที่สืบเชื้อสายจากอับราฮัมจะเป็นลูกหลานแท้จริงของท่าน แต่พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ลูกหลานสืบเชื้อสายที่เราสัญญากับเจ้าจะผ่านมาทางอิสอัค”

โรม 9:8
นี่หมายความว่า
ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นลูกหลานทางสายเลือดของอับราฮัม
เป็นลูกหลานแท้ของพระเจ้า
แต่ลูกแห่งพระสัญญาเท่านั้น ที่ถือว่าเป็นลูกที่สืบเชื้อสาย

โรม 9:9-10
พระสัญญาที่พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมคือ“ปีหน้า เราจะกลับมาประมาณช่วงนี้ และซาราห์จะมีลูกชายคนหนึ่ง(ลูกชายคืออิสอัค)”อิสอัคซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเรา มีภรรยาคือเรเบคาห์เธอคลอดบุตรเป็นเด็กแฝดชาย (คือเอซาวและยาโคบ)

โรม 9:11-13
ก่อนที่เด็กชายทั้งสองจะเกิด ก่อนที่จะทำความดีหรือความชั่ว (เพื่อว่าพระประสงค์ของพระเจ้าจะสืบเนื่องต่อ ไม่ถูกเลือกจาก
ความประพฤติ แต่พระเจ้าทรงเลือกเอง)
พระเจ้าตรัสกับเรเบคาห์ว่า “พี่ชายจะรับใช้น้องชาย”ตามที่บันทึกในพระคัมภีร์ว่า “เรารักยาโคบแต่เราชังเอซาว”

โรม 9:14-15
เราจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้? พระเจ้าไม่ทรงยุติธรรมอย่างนั้นหรือ? จะไม่เป็นเช่นนั้น!
เพราะพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
“เราจะแสดงความเมตตาต่อคนที่เราเลือกที่จะเมตตา และเราจะแสดงความสงสารต่อคนที่เราเลือกที่จะสงสาร”

โรม 9:16-17
ดังนั้น การเลือกของพระเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่มนุษย์ต้องการหรือความพยายามของพวกเขา แต่ขึ้นอยู่กับพระเมตตาของพระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวแก่ฟาโรห์แห่งอียิปต์ว่า“เราแต่งตั้งให้เจ้าเป็นกษัตริย์เพราะเหตุนี้คือเพื่อแสดงฤทธานุภาพของเราให้ปรากฎในตัวเจ้า เพื่อนามของเราจะได้ถูกประกาศออกไปทั่วทั้งโลก”

โรม 9:18-19
ดังนั้น พระเจ้าทรงแสดงพระเมตตาต่อคนที่ทรงเลือกจะเมตตา และทรงทำให้คนบางคนมีใจแข็งดึงดันตามที่ทรงเลือก
มีคนจะถามข้าว่า
“ถ้าอย่างนั้น เหตุใดพระเจ้าจึงทรงตำหนิเราเรื่องบาปของเรา ใครล่ะ ที่จะขัดขืนพระประสงค์ของ
พระองค์ได้?”

โรม 9:20-21
จริงแล้วท่านเป็นใครกัน? ท่านเป็นเพียงมนุษย์ ซึ่งไม่มีสิทธิที่จะท้าทายพระเจ้า สิ่งที่ถูกปั้นไม่ควรถามผู้ที่ปั้นว่า “เหตุใด
ท่านจึงปั้นฉันออกมาเช่นนี้?” ช่างปั้นไม่มีสิทธิปั้นดินเหนียวก้อนเดียวกัน เป็นภาชนะสำหรับใช้งานที่มีเกียรติ หรือสำหรับใช้สอยประจำวันอย่างนั้นหรือ?

โรม 9:22-23
เช่นเดียวกัน แม้ว่าพระเจ้าทรงมีสิทธิที่จะสำแดงพระพิโรธและฤทธิ์อำนาจของพระองค์ พระองค์ยังทรงอดกลั้นกับคนที่เป็นภาชนะที่ถูกปั้นเพื่อการทำลาย พระองค์ทรงทำเช่นนี้ เพื่อทำให้พระสิริตระการได้ส่องประกายเจิดจ้ายิ่งขึ้นต่อคนที่เป็นภาชนะที่ถูกปั้นล่วงหน้าเพื่อจะรับพระเมตตา แล้วใครจะว่าอย่างไร?

โรม 9:24-25
และเราก็เป็นคนเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงเรียก ทั้งจากหมู่คนยิวและจากหมู่คนต่างชาติด้วย เหมือนอย่างที่พระเจ้าตรัสไว้ในหนังสือโฮเชยา (โฮเชยา 2:1,23)
เราจะเรียกคนที่ไม่ใช่ประชากรของเราว่า
‘เจ้าคือประชากรของเรา’
และเราจะเรียกคนที่เราไม่ได้รักมาก่อนว่า‘ผู้เป็นที่รัก’

โรม 9:26
และในที่เดียวกันซึ่งพระเจ้าเคยตรัสว่า
‘เจ้าไม่ใช่ชนชาติของเรา’
พระองค์จะทรงเรียกเขาว่า
‘ลูก ๆ ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์’

โรม 9:27-28
อิสยาห์ได้ร้องเกี่ยวกับอิสราเอลว่า “แม้จำนวนประชากรอิสราเอลจะมีมากมายเหมือนเม็ดทรายชายฝั่งทะเล
แต่จะมีผู้ที่รอดเหลือเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า จะทรงลงโทษคนในโลกครบถ้วน และรวดเร็ว

โรม 9:29
ตามที่อิสยาห์ได้กล่าวล่วงหน้าว่า
“หากพระยาห์เวห์องค์จอมทัพมิได้เหลือผู้สืบเชื้อสายไว้ให้พวกเราบ้างพวกเราจะกลายเป็นเหมือนโสโดม
และเป็นเหมือนอย่างเมืองโกโมราห์ (ปฐมกาล 19)

โรม 9:30
แล้วเราจะว่าอย่างไรกันดี?
แม้ว่าคนต่างชาติไม่ได้ตามหาความเที่ยงธรรม
แต่พวกเขากลับได้รับสถานะเป็นคนเที่ยงธรรม
เพราะความเชื่อของพวกเขา

โรม 9:31-32
คนอิสราเอลพยายามที่จะติดตามบทบัญญัติเพื่อทำให้พวกเขาเที่ยงธรรมแต่กลับทำตามบทบัญญัติไม่สำเร็จก็เพราะพวกเขาไม่หาตามความเชื่อแต่ใช้การประพฤติเพื่อจะเป็นคนเที่ยงธรรม พวกเขาสะดุดก้อนหินที่ทำให้สะดุดนั้น

โรม 9:33
ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ดูเถิด เราจะวางศิลาก้อนหนึ่งไว้ในศิโยนซึ่งจะทำให้ผู้คนสะดุด เป็นหินที่จะทำให้
พวกเขาล้มลง คนใดที่วางใจในพระองค์จะไม่ได้รับความอาย” (อิสยาห์ 28:16)

อธิบายเพิ่มเติม
โรม 9:1-3 จากบทที่ผ่านมา ท่านเปาโลได้กล่าวถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้เชื่อ น้ำพระทัยของพระเจ้าจะสำเร็จทุกประการ และไม่มีอะไรจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้ ในบทนี้ ท่านมุ่งไปที่คนเชื้อชาติอิสราเอลที่ดูเหมือนว่าได้หลงไปจากเงื่อนไขของพระเจ้าที่มีให้เขา พวกเขาหลงคิดว่าหน
ทางสู่ความรอดคือการประพฤติตามบทบัญญัติอย่างเคร่งครัด พวกเขาดื้อดึง ไม่ยอมรับทางแห่งความเชื่อในพระคริสต์ ท่านเปาโลจึงเป็นทุกข์นัก
โรม 9:4 จากข้อนี้ เราจะเห็นความพิเศษของชนอิสราเอลซึ่งพระเจ้าทรงตั้งพระทัยให้เขาประกาศพระนามของพระองค์ไปทั่วโลก เราจะเห็นสิทธิพิเศษของเขา
มากมายเพียงในข้อเดียวนี้ แต่ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงสิทธิพิเศษนี้เลย เปรียบได้กับคนที่อยู่ในประเทศที่สบายแต่ยังโวยวายว่าตัวเองไม่ได้
รับสิ่งดีที่ต้องการ แต่ถ้ามองให้ดีแล้ว เราซึ่งเป็นคนต่างชาติ ได้มาพบพระเยซูก็ได้พระพรดีเลิศสุดจะบรรยาย
โรม 9:5 พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงเลือกที่จะให้พระเยซูพระบุตรที่รัก มาบังเกิดในเชื้อสายของเผ่ายูดาห์ที่พระองค์ทรงเลือกในอิสราเอล ดังนั้นพระพรที่
พวกเขาได้รับเป็นพระพรยิ่งใหญ่มาก พระเจ้าทรงชนชาตินี้ ซึ่งอยู่ในตะวันออกกลาง และเรา คนสมัยใหม่ก็เป็นพยานได้ถึงความพิเศษ ความเก่งกาจและพระพรที่พวกเขาได้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากมาย แต่ในฝ่ายวิญญาณแล้ว พวกเขายังไม่พบพระพรสุดยอดของเอกภพ…
โรม 9:6-7
เมื่ออ่านครั้งแรกอาจจะงงว่า ท่านเปาโลพูดทำให้รู้สึกสับสน แต่เมื่อเราทำภาพออกมา เราจึงเห็นชัดว่า บุคคลสำคัญที่จะมาเกิดในวงศ์วานของอับราฮัม
ต้องผ่านมาทางอิสอัคเท่านั้น ไม่ใช่ลูกคนอื่น แม้ว่าอับราฮัมจะมีอิชมาเอล และลูกคนอื่น ๆ หลังจากที่ซาราห์สิ้นชีวิตไปแล้วก็ตาม บุคคลสำคัญที่พระเจ้า
ทรงสื่อสารกับอับราฮัมคือ พระบุตรที่พระเจ้าทรงเตรียมมาให้กับโลกนี้ พระองค์ทรงเตรียมมาตั้งแต่วันที่อาดัมผิดกับพระเจ้า ใช้เวลาหลายพันปี!
โรม 9:8
แต่ลูกแห่งพระสัญญาเท่านั้นที่เป็นเชื้อสายแท้ นี่หมายความว่าอย่างไร เหตุใดฟังแล้วจึงดูซับซ้อนมาก ตอนนี้ท่านเปาโลกำลังพูดกับคนอิสราเอลที่มา
เชื่อพระเจ้า เราต้องมองภาพให้ออกว่า ท่านกำลังพยายามอธิบายสิ่งใดให้พวกเขาเข้าใจ นั่นคือ“อิสราเอลแท้ หรือลูกแห่งพระสัญญาคือคนที่ทั้งเป็นอิสราเอลและเชื่อพระเยซู” ลูกหลานผ่านอิสอัคและยาโคบก็จริง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นลูกหลานแท้ของพระเจ้า
โรม 9:9-10
ท่านเปาโลทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ตั้งแต่หลายพันปีก่อนหน้านี้ ทบทวนให้ทราบว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ก่อให้เกิด บันดาลให้เป็นไปตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ในฐานะที่ทรงเป็นพระเจ้าสูงสุดทรงอนุญาตให้ซาราห์อายุ 90-91 ปี มีลูกชายอย่างมหัศจรรย์ และหญิงอีกคือเรเบคาห์ สตรีที่
เป็นหมันและพระเจ้าประทานให้ตามคำขอของอิสอัค ตอนที่เรเบคาห์ได้ลูกมา เธออายุ 60 ปี
โรม 9:11-13
เวลาได้ยินคำว่า เรารัก เราชัง ทั้ง ๆ ที่พี่ชายน้องชายในบ้านนี้มาจากแม่คนเดียวกัน เราอาจจะคิดไปว่า พระเจ้าทรงมีอคติกับเด็กคนหนึ่ง และก็ทรงโปรดปรานเด็กอีกคนอย่างไม่มีเหตุผล ความหมายแท้จริงของคำนี้คือ เราเลือกยาโคบเราไม่เลือกเอซาว เป็นการเลือกของพระเจ้าที่จะให้ลูกหลานอิสราเอลสืบเชื้อสายมาจากฝ่ายของยาโคบไม่ใช่เอซาว ตัวยาโคบเองก็จะมาทำตัวเย่อหยิ่งคิดว่าพระเจ้าทรงเลือก ก็ไม่ได้ ปฐมกาล 25:23 (มาลาคี 1:2-3)
โรม 9:14-15
จากหนังสืออพยพ 33:19วันนั้น โมเสสเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นวันที่พระองค์ทรงสำแดงพระสิริของพระองค์ให้โมเสสเห็น โมเสสเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าและพระเจ้าทรงย้ำให้เขารู้ว่า พระองค์ประสงค์จะโปรดปรานใคร ก็เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเลือกเอง ดังนั้น มนุษย์เรามักคิดว่าพระเจ้าทรงง้อ ให้เรากลับมาหาพระเจ้ามาสยบต่อพระองค์ แต่ความจริงคือสิ่งที่กลับกันมนุษย์ต้องเข้ามาง้อพระเจ้า ไม่อย่างนั้นอนาคตมืด!
โรม 9:16-17
พระคัมภีร์เดิมกำลังถูกนำมาใช้อธิบายความหมายฝ่ายวิญญาณในพระคัมภีร์ใหม่ ตรงจุดนี้ทำให้เราเห็นภาพหนึ่งที่ชัดเจนคือ พระเจ้าทรงอธิบายความ
อยู่ในพระวจนะของพระองค์อยู่แล้ว เหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นในโลกนี้ เป็นการกระทำของมนุษย์ก็จริง แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้อนุญาตให้เกิดหรือไม่ก็ได้
พระเจ้าทรงเป็นผู้อนุญาตให้ฟาโรห์องค์นี้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ เขาโหดเหี้ยม แต่พระเจ้าทรงพลิกเหตุการณ์เพื่อให้โลกได้รู้จักพระองค์
โรม 9:18-19
เหมือนว่าท่านเปาโลจะรู้ว่า ต้องมีคนตั้งคำถามนี้ แน่นอน ท่านก็เลยดักไว้ก่อน คำถามนี้จริง ๆ ก็คือ “ทำไมคนที่ต่อต้านพระเจ้าจึงมีความผิด?” ท่านไม่ได้แก้ตัวแทนพระเจ้า หรือแก้ปัญหาเรื่องความยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้า กับความรับผิดชอบที่มนุษย์ควรจะมีต่อพระองค์ ท่านได้ทำอีกอย่างที่พวกเราน่าจะทำตามนั่นคือ ไม่ต้องไปแก้แทนพระเจ้าแต่บอกให้รู้ว่า ฐานะของเขาต่อพระพักตร์พระเจ้านั้นคืออะไร
โรม 9:20-21
คำตอบต่อไปนี้บอกชัดเจนว่า มนุษย์เป็นผู้ที่ถูกสร้างมา แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกยิ่งใหญ่ขนาดไหน หรือประสบความสำเร็จขนาดไหนในชีวิตก็ตาม พวกเขาไม่มีวันทำตัวทัดเทียมพระเจ้า และมาหาเรื่องพระองค์อย่างที่ทำกันอย่างไม่มีความเกรงกลัวในโลกยุคนี้ ท่านเปาโลถามตรง ๆ ว่า “จริง ๆแล้วนายเป็นใครกัน? นายไม่รู้หรือว่า ตัวเองไม่มีสิทธิที่จะท้าทายองค์ผู้ทรงสร้างพวกนายมา?” (อิสยาห์ 29:16; 45:9)
โรม 9:22-23
ช่างปั้นมีสิทธิเหนือดินเหนียวฉันใด พระเจ้าก็ทรงมีสิทธิเหนือมนุษย์ที่ทรงสร้างมาฉันนั้น พระองค์ทรงมีสิทธิจะทำอะไรกับพวกเราก็ได้ทั้งนั้น แต่มนุษย์ไม่เข้าใจ ต่อว่า โต้แย้งว่าพระองค์ไม่ยุติธรรม พระองค์จะทรงปั้นมนุษย์มาเพื่อการทำลายย่อมได้แต่พระเจ้าทรงให้โอกาสคนเหล่านั้นกลับใจด้วยและนั่นเองคือพระเมตตาของพระเจ้าที่ทำให้หลายคนที่ใคร ๆ เห็นว่าลงนรกแน่ กลับมีโอกาสกลับใจ
โรม 9:24-25
เมื่อเราตอบรับพระเจ้า แม้เป็นคนต่างชาติ ก็ทรงนับพวกเราเป็นประชากรของพระองค์เหมือนอย่างคนยิว นั่นคือ ใครก็ตามที่ตอบรับพระเจ้าทรงให้เขาเป็นทั้งที่รัก เป็นทั้งประชากรของพระองค์ นี่เป็นความจริงที่คนยิวส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ และคิดว่า เมื่อเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นชนชาติของพระองค์ แปลว่า เขาทำอะไรก็ได้ตามใจ แต่พระเจ้าทรงให้มนุษย์ทุกคนรับผิดชอบต่อสถานะของตนด้วย
โรม 9:26
ข้อต่อมานี้ก็ย้ำเตือนในเรื่องเดียวกัน สรุปว่า คนที่พระเจ้าทรงสร้างมานั้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่คิดว่าตนเป็นภาชนะสวย ได้รับการเลือกอย่างคนยิว หรือคนต่างชาติที่คิดว่าตนเองอยู่นอกพระคุณของพระองค์ ต่างต้องตอบรับพระคุณของพระองค์ด้วยการรับว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา แล้วก็จะได้เข้ามาเป็นลูก ๆ ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ คนไม่รับพระคุณก็ไม่ได้เป็นลูก…
โรม 9:27-28
เมื่อพระเจ้าทรงเมตตาคนอิสราเอลนั้น พระองค์ทรงใช้มาตรฐานอันเดียวกันกับคนต่างชาติในเรื่องความเชื่อ อิสราเอลทุกคนจะต้องเชื่อในพระนามของพระเยซูคริสต์ รับว่า พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา เขาจึงจะได้รับการประกาศว่าเป็นคนเที่ยงธรรม พ้นผิด ถูกต้องกับพระเจ้าทุกคนที่จะรับความรอด ต้องผ่านมาทางพระเยซูเท่านั้น เขาจะคิดวิธีเอาตามใจตัวเองไม่ได้ ทุกวันนี้กำลังมีอิสราเอลมากมายที่หันมาเชื่อพระเยซู
โรม 9:29
การมีคนหลงเหลืออยู่ของอิสราเอลนั้น นับได้ว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่มีประเทศอิสราเอลยืนหยัดสู้ศัตรูรอบด้านเพื่อ
การดำรงอยู่ของชาติ (ปี 2025) เขาต่อสู้กับความพยายามของศัตรูที่จะล้างอิสราเอลออกจากแผนที่โลก .. เพราะพระเจ้าเป็นผู้ที่ทรงยืนยันว่า จะให้มีคนหลงเหลืออยู่ และพวกเขาคือคนที่ทำให้โลกรู้ว่า สิ่งที่พระเจ้าตรัสทุกอย่างจะเกิดขึ้นจริงทรงกั้นไม่ให้พวกเขาสูญพันธุ์อย่างโสโดมโกโมราห์
โรม 9:30คนต่างชาติ(ไม่ใช่อิสราเอล)ท่ีได้รับฟังการประกาศพระนามพระเยซู เมื่อพวกเขาเชื่อพระองค์ พระเจ้าก็ทรงประกาศว่าเป็นคนเที่ยงธรรมเพราะความเชื่อเขาพ้นผิด เขาเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้าพระเจ้าทรงตั้งทรงเลือกคนอิสราเอลไว้เพื่อเขาจะเป็นพระพรให้แก่ชาวโลก ในยุคแรกคนอิสราเอลออกไปประกาศและทำให้คนต่างชาติมารู้จักพระเจ้า แต่เวลานี้กลับกัน คนต่างชาติกลับไปประกาศพระนามพระเยซูแก่คนอิสราเอล!
โรม 9:31-32เหตุใดองค์พระเยซูจึงเป็นหินสะดุดของอิสราเอลในอดีต? พวกเขายังคงยึดถือหลักการของบทบัญญัติอย่างเคร่งครัด และยังเข้าใจว่าความดี
จะทำให้รอด ปัจจุบัน ยังมีหลายพวกหลายกลุ่มที่ยึดถือบทบัญญัติเคร่งครัดสุดโต่ง และอิสราเอลอีกพวกที่ไม่ยอมเอาพระเจ้าเลย พวกเขาสะดุดพระนามของพระเยซูอย่างน่าเสียดาย ความภาคภูมิใจในความเป็นคนเที่ยงธรรมตามบัญญัติล้มเหลวในสายพระเนตรพระเจ้า
โรม 9:33
คนอิสราเอลย่อมรู้ว่า หินสะดุดที่พระเจ้าจะทรงวางไว้ในศิโยนนั้่น เป็นผู้ที่พวกเขาต้องเชื่อ สยบให้ พวกเขาจึงจะไม่สะดุดล้ม ท่านเปาโลได้บอกวิธีที่
จะไม่สะดุด ก็คือวางใจพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อยกบาปของพวกเขา แต่ความเป็นยิวของคนอิสราเอลนั้นรุนแรงมาก โดยเฉพาะคนที่ยึดมั่นใน
บัญญัติ พวกเขาดูหมิ่นพระเยซูมาตั้งแต่ที่ทรงอยู่ในโลก พวกเขาเป็นศัตรูกับพระองค์อย่างเปิดเผย จะให้ยอมต่อพระองค์..ยากมาก!!
พระคำเชื่อมโยง
โรม 9
1* 2 โครินธ์ 1:23
2* โรม 10:1
3* อพยพ 32:32
4* อพยพ 4:22; 1 ซามูเอล 4:21; กิจการ 3:25; สดุดี 147; ฮีบรู 9:1,6 ;กิจการ 2:29; 13:32
5* เฉลยธรรมบัญญัติ 10:15; ลูกา 1:34-35; 3:23; เยเรมีย์ 23:6
6* กันดารวิถี 23:19; กาลาเทีย 6:16
7* กาลาเทีย 4:23; ปฐมกาล 21:12
8* กาลาเทีย 4:28
9*ปฐมกาล 18:10, 14
10* ปฐมกาล 25:21
11* โรม 4:14
12* ปฐมกาล 25:23
13* มาลาคี 1:2-3
14* เฉลยธรรมบัญญัติ 32:4
15* อพยพ 1:2,3
17* กาลาเทีย 3:8; อพยพ 9:16
18* อพยพ 4:21
19*2 พงศาวดาร 20:6
20* อิสยาห์ 29:16
21* สุภาษิต 16:4; 2 ทิโมธี 2:20
22* 1 เธสะโลนิกา 5:9; 1 เปโตร 2:8
23* โคโลสี 1:27; โรม 8:28
24* โรม 8:28; 3:29
25* โฮเชยา 2:23
26* โฮเชยา 1:10
27* อิสยาห์ 10:22-23; โรม 11:5
28* อิสยาห์ 10:23; 28:22
29* อิสยาห์ 1:9; 13:19
30* โรม 4:11; 1:17; 3:21; 10:6
31* โรม 10:2-4; กาลาเทีย 5:4
32* 1โครินธ์ 1:23
33* สดุดี 118:22; อิสยาห์ 8:14; 28:16; โรม 5:5; 10:11