โรม 9 อิสราเอลปฏิเสธพระคริสต์!

โรม 9:1-3
ข้าขอบอกความจริงในพระคริสต์ ไม่มุสา จิตสำนึกของข้าเป็นพยานในพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าข้าเป็นทุกข์และเจ็บปวดในใจ
ไม่หยุดหย่อน  ถ้าเป็นไปได้ ข้าเต็มใจที่จะถูกสาปตลอดไป นั่นคือถูกตัดขาดจากพระคริสต์
หากสิ่งนั้นจะช่วยให้พี่น้องยิวซึ่งเป็นคนเชื้อชาติเดียวกับข้าจะได้รับความรอด 

โรม 9:4
พวกเขาเป็นชนอิสราเอล ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นลูกของพระองค์  พวกเขาได้เห็นพระเกียรติสิริ ทรงทำพันธสัญญา
ต่าง ๆ กับพวกเขา  ประทานบทบัญญัติ  สิทธิที่ได้นมัสการ พระองค์ในพระวิหารรวมไปถึงรับพระสัญญาดีเลิศต่าง ๆ

โรม 9:5
พวกเขาเป็นลูกหลานของบรรพบุรุษของเรา 
และพระเยซูคริสต์ได้ทรงลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์
ในเชื้อสายของพวกเขา
สรรเสริญแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือ
สรรพสิ่ง ตลอดไปเป็นนิตย์  อาเมน

โรม 9:6-7
พระเจ้ามิได้ทรงล้มเหลวในการรักษาพระสัญญา เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เกิดในเชื้อสายอิสราเอลเป็นอิสราเอลแท้ ไม่ใช่ทุกคนที่สืบเชื้อสายจากอับราฮัมจะเป็นลูกหลานแท้จริงของท่าน แต่พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า  “ลูกหลานสืบเชื้อสายที่เราสัญญากับเจ้าจะผ่านมาทางอิสอัค” 

โรม 9:8
นี่หมายความว่า 
ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นลูกหลานทางสายเลือดของอับราฮัม
เป็นลูกหลานแท้ของพระเจ้า
แต่ลูกแห่งพระสัญญาเท่านั้น ที่ถือว่าเป็นลูกที่สืบเชื้อสาย

โรม 9:9-10
พระสัญญาที่พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมคือ“ปีหน้า เราจะกลับมาประมาณช่วงนี้ และซาราห์จะมีลูกชายคนหนึ่ง(ลูกชายคืออิสอัค)”อิสอัคซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเรา มีภรรยาคือเรเบคาห์เธอคลอดบุตรเป็นเด็กแฝดชาย (คือเอซาวและยาโคบ)

โรม 9:11-13
ก่อนที่เด็กชายทั้งสองจะเกิด ก่อนที่จะทำความดีหรือความชั่ว (เพื่อว่าพระประสงค์ของพระเจ้าจะสืบเนื่องต่อ ไม่ถูกเลือกจาก
ความประพฤติ แต่พระเจ้าทรงเลือกเอง)
 
พระเจ้าตรัสกับเรเบคาห์ว่า “พี่ชายจะรับใช้น้องชาย”ตามที่บันทึกในพระคัมภีร์ว่า “เรารักยาโคบแต่เราชังเอซาว”

โรม 9:14-15
เราจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้? พระเจ้าไม่ทรงยุติธรรมอย่างนั้นหรือ?   จะไม่เป็นเช่นนั้น!
เพราะพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
“เราจะแสดงความเมตตาต่อคนที่เราเลือกที่จะเมตตา และเราจะแสดงความสงสารต่อคนที่เราเลือกที่จะสงสาร”

โรม 9:16-17
ดังนั้น การเลือกของพระเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่มนุษย์ต้องการหรือความพยายามของพวกเขา แต่ขึ้นอยู่กับพระเมตตาของพระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวแก่ฟาโรห์แห่งอียิปต์ว่า“เราแต่งตั้งให้เจ้าเป็นกษัตริย์เพราะเหตุนี้คือเพื่อแสดงฤทธานุภาพของเราให้ปรากฎในตัวเจ้า  เพื่อนามของเราจะได้ถูกประกาศออกไปทั่วทั้งโลก”

โรม 9:18-19
ดังนั้น พระเจ้าทรงแสดงพระเมตตาต่อคนที่ทรงเลือกจะเมตตา และทรงทำให้คนบางคนมีใจแข็งดึงดันตามที่ทรงเลือก
มีคนจะถามข้าว่า
“ถ้าอย่างนั้น เหตุใดพระเจ้าจึงทรงตำหนิเราเรื่องบาปของเรา ใครล่ะ ที่จะขัดขืนพระประสงค์ของ
พระองค์ได้?”


โรม 9:20-21
จริงแล้วท่านเป็นใครกัน? ท่านเป็นเพียงมนุษย์ ซึ่งไม่มีสิทธิที่จะท้าทายพระเจ้า สิ่งที่ถูกปั้นไม่ควรถามผู้ที่ปั้นว่า “เหตุใด
ท่านจึงปั้นฉันออกมาเช่นนี้?” ช่างปั้นไม่มีสิทธิปั้นดินเหนียวก้อนเดียวกัน เป็นภาชนะสำหรับใช้งานที่มีเกียรติ หรือสำหรับใช้สอยประจำวันอย่างนั้นหรือ?


โรม 9:22-23
เช่นเดียวกัน แม้ว่าพระเจ้าทรงมีสิทธิที่จะสำแดงพระพิโรธและฤทธิ์อำนาจของพระองค์ พระองค์ยังทรงอดกลั้นกับคนที่เป็นภาชนะที่ถูกปั้นเพื่อการทำลาย พระองค์ทรงทำเช่นนี้ เพื่อทำให้พระสิริตระการได้ส่องประกายเจิดจ้ายิ่งขึ้นต่อคนที่เป็นภาชนะที่ถูกปั้นล่วงหน้าเพื่อจะรับพระเมตตา แล้วใครจะว่าอย่างไร?

โรม 9:24-25
และเราก็เป็นคนเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงเรียก ทั้งจากหมู่คนยิวและจากหมู่คนต่างชาติด้วย เหมือนอย่างที่พระเจ้าตรัสไว้ในหนังสือโฮเชยา (โฮเชยา 2:1,23)
เราจะเรียกคนที่ไม่ใช่ประชากรของเราว่า
  ‘เจ้าคือประชากรของเรา’
และเราจะเรียกคนที่เราไม่ได้รักมาก่อนว่า‘ผู้เป็นที่รัก’ 
 

โรม 9:26 
และในที่เดียวกันซึ่งพระเจ้าเคยตรัสว่า
‘เจ้าไม่ใช่ชนชาติของเรา’
พระองค์จะทรงเรียกเขาว่า
ลูก ๆ ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์’ 

โรม 9:27-28
อิสยาห์ได้ร้องเกี่ยวกับอิสราเอลว่า “แม้จำนวนประชากรอิสราเอลจะมีมากมายเหมือนเม็ดทรายชายฝั่งทะเล
แต่จะมีผู้ที่รอดเหลือเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น  เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า จะทรงลงโทษคนในโลกครบถ้วน และรวดเร็ว

โรม 9:29
ตามที่อิสยาห์ได้กล่าวล่วงหน้าว่า 
หากพระยาห์เวห์องค์จอมทัพมิได้เหลือผู้สืบเชื้อสายไว้ให้พวกเราบ้างพวกเราจะกลายเป็นเหมือนโสโดม
และเป็นเหมือนอย่างเมืองโกโมราห์ (ปฐมกาล 19)


โรม 9:30
แล้วเราจะว่าอย่างไรกันดี? 
แม้ว่าคนต่างชาติไม่ได้ตามหาความเที่ยงธรรม
แต่พวกเขากลับได้รับสถานะเป็นคนเที่ยงธรรม
เพราะความเชื่อของพวกเขา

โรม 9:31-32
คนอิสราเอลพยายามที่จะติดตามบทบัญญัติเพื่อทำให้พวกเขาเที่ยงธรรมแต่กลับทำตามบทบัญญัติไม่สำเร็จก็เพราะพวกเขาไม่หาตามความเชื่อแต่ใช้การประพฤติเพื่อจะเป็นคนเที่ยงธรรม พวกเขาสะดุดก้อนหินที่ทำให้สะดุดนั้น

โรม 9:33
ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ดูเถิด เราจะวางศิลาก้อนหนึ่งไว้ในศิโยนซึ่งจะทำให้ผู้คนสะดุด  เป็นหินที่จะทำให้
พวกเขาล้มลง คนใดที่วางใจในพระองค์จะไม่ได้รับความอาย” (อิสยาห์ 28:16)

อธิบายเพิ่มเติม

โรม 9:1-3 จากบทที่ผ่านมา ท่านเปาโลได้กล่าวถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้เชื่อ น้ำพระทัยของพระเจ้าจะสำเร็จทุกประการ และไม่มีอะไรจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้  ในบทนี้ ท่านมุ่งไปที่คนเชื้อชาติอิสราเอลที่ดูเหมือนว่าได้หลงไปจากเงื่อนไขของพระเจ้าที่มีให้เขา พวกเขาหลงคิดว่าหน
ทางสู่ความรอดคือการประพฤติตามบทบัญญัติอย่างเคร่งครัด  พวกเขาดื้อดึง ไม่ยอมรับทางแห่งความเชื่อในพระคริสต์ ท่านเปาโลจึงเป็นทุกข์นัก 

โรม 9:4 จากข้อนี้ เราจะเห็นความพิเศษของชนอิสราเอลซึ่งพระเจ้าทรงตั้งพระทัยให้เขาประกาศพระนามของพระองค์ไปทั่วโลก เราจะเห็นสิทธิพิเศษของเขา
มากมายเพียงในข้อเดียวนี้ แต่ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงสิทธิพิเศษนี้เลย เปรียบได้กับคนที่อยู่ในประเทศที่สบายแต่ยังโวยวายว่าตัวเองไม่ได้
รับสิ่งดีที่ต้องการ แต่ถ้ามองให้ดีแล้ว เราซึ่งเป็นคนต่างชาติ ได้มาพบพระเยซูก็ได้พระพรดีเลิศสุดจะบรรยาย 

โรม 9:5 พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงเลือกที่จะให้พระเยซูพระบุตรที่รัก มาบังเกิดในเชื้อสายของเผ่ายูดาห์ที่พระองค์ทรงเลือกในอิสราเอล   ดังนั้นพระพรที่
พวกเขาได้รับเป็นพระพรยิ่งใหญ่มาก พระเจ้าทรงชนชาตินี้ ซึ่งอยู่ในตะวันออกกลาง และเรา คนสมัยใหม่ก็เป็นพยานได้ถึงความพิเศษ ความเก่งกาจและพระพรที่พวกเขาได้คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากมาย แต่ในฝ่ายวิญญาณแล้ว พวกเขายังไม่พบพระพรสุดยอดของเอกภพ…

โรม 9:6-7
เมื่ออ่านครั้งแรกอาจจะงงว่า ท่านเปาโลพูดทำให้รู้สึกสับสน แต่เมื่อเราทำภาพออกมา เราจึงเห็นชัดว่า บุคคลสำคัญที่จะมาเกิดในวงศ์วานของอับราฮัม
ต้องผ่านมาทางอิสอัคเท่านั้น ไม่ใช่ลูกคนอื่น แม้ว่าอับราฮัมจะมีอิชมาเอล และลูกคนอื่น ๆ หลังจากที่ซาราห์สิ้นชีวิตไปแล้วก็ตาม  บุคคลสำคัญที่พระเจ้า
ทรงสื่อสารกับอับราฮัมคือ พระบุตรที่พระเจ้าทรงเตรียมมาให้กับโลกนี้ พระองค์ทรงเตรียมมาตั้งแต่วันที่อาดัมผิดกับพระเจ้า ใช้เวลาหลายพันปี!

โรม 9:8
แต่ลูกแห่งพระสัญญาเท่านั้นที่เป็นเชื้อสายแท้ นี่หมายความว่าอย่างไร เหตุใดฟังแล้วจึงดูซับซ้อนมาก ตอนนี้ท่านเปาโลกำลังพูดกับคนอิสราเอลที่มา
เชื่อพระเจ้า
เราต้องมองภาพให้ออกว่า ท่านกำลังพยายามอธิบายสิ่งใดให้พวกเขาเข้าใจ นั่นคือ“อิสราเอลแท้ หรือลูกแห่งพระสัญญาคือคนที่ทั้งเป็นอิสราเอลและเชื่อพระเยซู”  ลูกหลานผ่านอิสอัคและยาโคบก็จริง   แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นลูกหลานแท้ของพระเจ้า  

โรม 9:9-10
ท่านเปาโลทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ตั้งแต่หลายพันปีก่อนหน้านี้ ทบทวนให้ทราบว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ก่อให้เกิด บันดาลให้เป็นไปตามที่พระองค์ทรงประสงค์  ในฐานะที่ทรงเป็นพระเจ้าสูงสุดทรงอนุญาตให้ซาราห์อายุ 90-91 ปี มีลูกชายอย่างมหัศจรรย์ และหญิงอีกคือเรเบคาห์ สตรีที่
เป็นหมันและพระเจ้าประทานให้ตามคำขอของอิสอัค ตอนที่เรเบคาห์ได้ลูกมา เธออายุ 60 ปี 

โรม 9:11-13
เวลาได้ยินคำว่า เรารัก เราชัง ทั้ง ๆ ที่พี่ชายน้องชายในบ้านนี้มาจากแม่คนเดียวกัน เราอาจจะคิดไปว่า พระเจ้าทรงมีอคติกับเด็กคนหนึ่ง และก็ทรงโปรดปรานเด็กอีกคนอย่างไม่มีเหตุผล ความหมายแท้จริงของคำนี้คือ  เราเลือกยาโคบเราไม่เลือกเอซาว เป็นการเลือกของพระเจ้าที่จะให้ลูกหลานอิสราเอลสืบเชื้อสายมาจากฝ่ายของยาโคบไม่ใช่เอซาว ตัวยาโคบเองก็จะมาทำตัวเย่อหยิ่งคิดว่าพระเจ้าทรงเลือก ก็ไม่ได้  ปฐมกาล 25:23 (มาลาคี 1:2-3)

โรม 9:14-15
จากหนังสืออพยพ 33:19วันนั้น โมเสสเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นวันที่พระองค์ทรงสำแดงพระสิริของพระองค์ให้โมเสสเห็น โมเสสเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าและพระเจ้าทรงย้ำให้เขารู้ว่า พระองค์ประสงค์จะโปรดปรานใคร ก็เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเลือกเอง  ดังนั้น มนุษย์เรามักคิดว่าพระเจ้าทรงง้อ ให้เรากลับมาหาพระเจ้ามาสยบต่อพระองค์ แต่ความจริงคือสิ่งที่กลับกันมนุษย์ต้องเข้ามาง้อพระเจ้า ไม่อย่างนั้นอนาคตมืด!

โรม 9:16-17
พระคัมภีร์เดิมกำลังถูกนำมาใช้อธิบายความหมายฝ่ายวิญญาณในพระคัมภีร์ใหม่ ตรงจุดนี้ทำให้เราเห็นภาพหนึ่งที่ชัดเจนคือ พระเจ้าทรงอธิบายความ
อยู่ในพระวจนะของพระองค์อยู่แล้ว  เหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นในโลกนี้ เป็นการกระทำของมนุษย์ก็จริง แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้อนุญาตให้เกิดหรือไม่ก็ได้
พระเจ้าทรงเป็นผู้อนุญาตให้ฟาโรห์องค์นี้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ เขาโหดเหี้ยม แต่พระเจ้าทรงพลิกเหตุการณ์เพื่อให้โลกได้รู้จักพระองค์ 

โรม 9:18-19
เหมือนว่าท่านเปาโลจะรู้ว่า ต้องมีคนตั้งคำถามนี้ แน่นอน ท่านก็เลยดักไว้ก่อน คำถามนี้จริง ๆ ก็คือ “ทำไมคนที่ต่อต้านพระเจ้าจึงมีความผิด?” ท่านไม่ได้แก้ตัวแทนพระเจ้า หรือแก้ปัญหาเรื่องความยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้า กับความรับผิดชอบที่มนุษย์ควรจะมีต่อพระองค์  ท่านได้ทำอีกอย่างที่พวกเราน่าจะทำตามนั่นคือ ไม่ต้องไปแก้แทนพระเจ้าแต่บอกให้รู้ว่า ฐานะของเขาต่อพระพักตร์พระเจ้านั้นคืออะไร

โรม 9:20-21
คำตอบต่อไปนี้บอกชัดเจนว่า มนุษย์เป็นผู้ที่ถูกสร้างมา แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกยิ่งใหญ่ขนาดไหน หรือประสบความสำเร็จขนาดไหนในชีวิตก็ตาม พวกเขาไม่มีวันทำตัวทัดเทียมพระเจ้า และมาหาเรื่องพระองค์อย่างที่ทำกันอย่างไม่มีความเกรงกลัวในโลกยุคนี้  ท่านเปาโลถามตรง ๆ ว่า “จริง ๆแล้วนายเป็นใครกัน? นายไม่รู้หรือว่า ตัวเองไม่มีสิทธิที่จะท้าทายองค์ผู้ทรงสร้างพวกนายมา?” (อิสยาห์ 29:16; 45:9)

โรม 9:22-23
ช่างปั้นมีสิทธิเหนือดินเหนียวฉันใด พระเจ้าก็ทรงมีสิทธิเหนือมนุษย์ที่ทรงสร้างมาฉันนั้น  พระองค์ทรงมีสิทธิจะทำอะไรกับพวกเราก็ได้ทั้งนั้น  แต่มนุษย์ไม่เข้าใจ ต่อว่า โต้แย้งว่าพระองค์ไม่ยุติธรรม  พระองค์จะทรงปั้นมนุษย์มาเพื่อการทำลายย่อมได้แต่พระเจ้าทรงให้โอกาสคนเหล่านั้นกลับใจด้วยและนั่นเองคือพระเมตตาของพระเจ้าที่ทำให้หลายคนที่ใคร ๆ เห็นว่าลงนรกแน่ กลับมีโอกาสกลับใจ

โรม 9:24-25
เมื่อเราตอบรับพระเจ้า แม้เป็นคนต่างชาติ  ก็ทรงนับพวกเราเป็นประชากรของพระองค์เหมือนอย่างคนยิว นั่นคือ ใครก็ตามที่ตอบรับพระเจ้าทรงให้เขาเป็นทั้งที่รัก เป็นทั้งประชากรของพระองค์ นี่เป็นความจริงที่คนยิวส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ และคิดว่า เมื่อเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นชนชาติของพระองค์ แปลว่า เขาทำอะไรก็ได้ตามใจ แต่พระเจ้าทรงให้มนุษย์ทุกคนรับผิดชอบต่อสถานะของตนด้วย

โรม 9:26 
ข้อต่อมานี้ก็ย้ำเตือนในเรื่องเดียวกัน สรุปว่า คนที่พระเจ้าทรงสร้างมานั้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่คิดว่าตนเป็นภาชนะสวย ได้รับการเลือกอย่างคนยิว หรือคนต่างชาติที่คิดว่าตนเองอยู่นอกพระคุณของพระองค์ ต่างต้องตอบรับพระคุณของพระองค์ด้วยการรับว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา แล้วก็จะได้เข้ามาเป็นลูก ๆ ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ คนไม่รับพระคุณก็ไม่ได้เป็นลูก… 

โรม 9:27-28
เมื่อพระเจ้าทรงเมตตาคนอิสราเอลนั้น พระองค์ทรงใช้มาตรฐานอันเดียวกันกับคนต่างชาติในเรื่องความเชื่อ อิสราเอลทุกคนจะต้องเชื่อในพระนามของพระเยซูคริสต์ รับว่า พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา เขาจึงจะได้รับการประกาศว่าเป็นคนเที่ยงธรรม พ้นผิด ถูกต้องกับพระเจ้าทุกคนที่จะรับความรอด ต้องผ่านมาทางพระเยซูเท่านั้น เขาจะคิดวิธีเอาตามใจตัวเองไม่ได้ ทุกวันนี้กำลังมีอิสราเอลมากมายที่หันมาเชื่อพระเยซู 

โรม 9:29
การมีคนหลงเหลืออยู่ของอิสราเอลนั้น นับได้ว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่มีประเทศอิสราเอลยืนหยัดสู้ศัตรูรอบด้านเพื่อ
การดำรงอยู่ของชาติ (ปี 2025) เขาต่อสู้กับความพยายามของศัตรูที่จะล้างอิสราเอลออกจากแผนที่โลก .. เพราะพระเจ้าเป็นผู้ที่ทรงยืนยันว่า จะให้มีคนหลงเหลืออยู่ และพวกเขาคือคนที่ทำให้โลกรู้ว่า สิ่งที่พระเจ้าตรัสทุกอย่างจะเกิดขึ้นจริงทรงกั้นไม่ให้พวกเขาสูญพันธุ์อย่างโสโดมโกโมราห์

โรม 9:30คนต่างชาติ(ไม่ใช่อิสราเอล)ท่ีได้รับฟังการประกาศพระนามพระเยซู เมื่อพวกเขาเชื่อพระองค์ พระเจ้าก็ทรงประกาศว่าเป็นคนเที่ยงธรรมเพราะความเชื่อเขาพ้นผิด เขาเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้าพระเจ้าทรงตั้งทรงเลือกคนอิสราเอลไว้เพื่อเขาจะเป็นพระพรให้แก่ชาวโลก ในยุคแรกคนอิสราเอลออกไปประกาศและทำให้คนต่างชาติมารู้จักพระเจ้า แต่เวลานี้กลับกัน คนต่างชาติกลับไปประกาศพระนามพระเยซูแก่คนอิสราเอล!

โรม 9:31-32เหตุใดองค์พระเยซูจึงเป็นหินสะดุดของอิสราเอลในอดีต? พวกเขายังคงยึดถือหลักการของบทบัญญัติอย่างเคร่งครัด และยังเข้าใจว่าความดี
จะทำให้รอด  ปัจจุบัน ยังมีหลายพวกหลายกลุ่มที่ยึดถือบทบัญญัติเคร่งครัดสุดโต่ง และอิสราเอลอีกพวกที่ไม่ยอมเอาพระเจ้าเลย  พวกเขาสะดุดพระนามของพระเยซูอย่างน่าเสียดาย ความภาคภูมิใจในความเป็นคนเที่ยงธรรมตามบัญญัติล้มเหลวในสายพระเนตรพระเจ้า 

โรม 9:33
คนอิสราเอลย่อมรู้ว่า หินสะดุดที่พระเจ้าจะทรงวางไว้ในศิโยนนั้่น เป็นผู้ที่พวกเขาต้องเชื่อ สยบให้ พวกเขาจึงจะไม่สะดุดล้ม ท่านเปาโลได้บอกวิธีที่
จะไม่สะดุด ก็คือวางใจพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อยกบาปของพวกเขา แต่ความเป็นยิวของคนอิสราเอลนั้นรุนแรงมาก โดยเฉพาะคนที่ยึดมั่นใน
บัญญัติ   พวกเขาดูหมิ่นพระเยซูมาตั้งแต่ที่ทรงอยู่ในโลก พวกเขาเป็นศัตรูกับพระองค์อย่างเปิดเผย จะให้ยอมต่อพระองค์..ยากมาก!!

พระคำเชื่อมโยง

โรม 9
1* 2 โครินธ์ 1:23
2* โรม 10:1
3* อพยพ 32:32
4* อพยพ 4:22; 1 ซามูเอล 4:21; กิจการ 3:25; สดุดี 147; ฮีบรู 9:1,6 ;กิจการ 2:29; 13:32
5* เฉลยธรรมบัญญัติ 10:15; ลูกา 1:34-35; 3:23; เยเรมีย์ 23:6
6* กันดารวิถี  23:19; กาลาเทีย 6:16
7* กาลาเทีย 4:23; ปฐมกาล 21:12
8* กาลาเทีย 4:28
9*ปฐมกาล 18:10, 14

10* ปฐมกาล 25:21
11* โรม 4:14
12* ปฐมกาล 25:23
13* มาลาคี 1:2-3
14* เฉลยธรรมบัญญัติ   32:4
15* อพยพ 1:2,3
17* กาลาเทีย 3:8; อพยพ 9:16
18* อพยพ 4:21
19*2 พงศาวดาร 20:6
20* อิสยาห์ 29:16
21* สุภาษิต 16:4; 2 ทิโมธี 2:20
22* 1 เธสะโลนิกา 5:9; 1 เปโตร 2:8

23* โคโลสี 1:27; โรม   8:28
24* โรม  8:28; 3:29 
25* โฮเชยา 2:23
26* โฮเชยา 1:10
27* อิสยาห์ 10:22-23; โรม  11:5
28* อิสยาห์ 10:23; 28:22
29* อิสยาห์ 1:9; 13:19
30* โรม  4:11; 1:17; 3:21; 10:6
31* โรม  10:2-4; กาลาเทีย 5:4
32* 1โครินธ์  1:23
33* สดุดี 118:22; อิสยาห์ 8:14; 28:16; โรม 5:5; 10:11

โรม 8 ได้เป็นลูกของพระเจ้า!

โรม 8:1-2
ดังนั้น บัดนี้  จึงไม่มีการลงโทษแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์  (5:16,18) เพราะกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตโดยทางพระเยซูคริสต์ได้ปลดปล่อยให้ท่านเป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย

โรม 8:3
เพราะพระเจ้าได้ทรงทำสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้เนื่องจากธรรมชาติบาปทำให้อ่อนพลังไป   โดยการส่งพระบุตรของ
พระองค์ลงมา โดยทรงสภาพเดียวดั่งคนบาป* ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เท่ากับพระเจ้าทรงลงโทษบาปในมนุษย์

โรม 8:4
เพื่อว่า สิ่งที่บทบัญญัติเรียกร้องจากเรานั้นจะได้สำเร็จครบในตัวเรานั่นคือ   เราไม่ได้ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติบาปของเรา
แต่ตามองค์พระวิญญาณ

โรม 8:5-6
เพราะคนที่ใช้ชีวิตตามธรรมชาติบาปก็จะจดจ่อกับสิ่งที่เป็นของธรรมชาติบาป แต่คนที่ใช้ชีวิตตามพระวิญญาณก็จะจดจ่อ
กับสิ่งที่เป็นของพระวิญญาณ เพราะสิ่งที่ตามมาจากการจดจ่อกับธรรมชาติบาปก็คือความตาย  แต่สิ่งที่ตามมาจากการ
จดจ่อในพระวิญญาณคือชีวิตและสันติสุข

โรม 8:7-8
เพราะความคิดที่จดจ่อกับธรรมชาติบาปก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ยอมต่อบทบัญญัติของพระเจ้า
จริง ๆ  แล้ว ไม่สามารถยอมต่อพระองค์ได้ คนที่อยู่ใน
ธรรมชาติบาปไม่อาจเป็นที่พอพระทัย
ของพระเจ้าได้เลย

โรม 8:9
หากพระวิญญาณของพระเจ้าประทับในท่านจริง ท่านก็ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามธรรมชาติบาป แต่ตามพระวิญญาณ 
ส่วนคนใดที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์
เขาก็ไม่ใช่คนของพระองค์

โรม 8:10
หากพระคริสต์อยู่ในตัวท่าน แม้ว่า
ร่างกายของท่านได้ตายเพราะบาป
แต่วิญญาณยังคงมีชีวิตอยู่

เพราะความเที่ยงธรรม
(พระเจ้าทรงมองว่าท่านถูกต้องกับพระองค์)

โรม 8:11
หากพระวิญญาณของพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคืนชีพจากความตายสถิตในท่าน
พระองค์ผู้ทรงทำให้พระคริสต์คืนชีพจากความตายนั้น จะประทานชีวิตให้กับสังขารอันไม่เที่ยงของท่าน โดยพระวิญญาณผู้สถิตในท่าน 

โรม 8:12 
ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย 
เราไม่ได้เป็นหนี้ธรรมชาติบาปในตัวเรา
ที่ทำให้เราต้องดำเนินชีวิตตาม
ความต้องการของธรรมชาติบาปนั้น

โรม 8:13-14
หากท่านดำเนินชีวิตตามที่ธรรมชาติบาปในตัวท่านต้องการ ท่านจะตายแน่นอนแต่หากท่านได้รับความช่วยเหลือจากพระวิญญาณ และทำลายการทำผิดฝ่ายร่างกาย  ท่านจะได้รับชีวิตแท้ เพราะทุกคนที่ได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณของพระเจ้านั้น เป็นลูก ๆ ของพระองค์

โรม 8:15-16
เพราะว่าท่านมิได้รับวิญญาณทาสซึ่งนำไปสู่ความกลัวอีกครั้ง แต่ท่านได้รับพระวิญญาณแห่งการรับเป็นบุตร ซึ่งทำให้เราร้องเรียกว่า “อับบา พระบิดา”และพระวิญญาณเอง ทรงเป็นพยานกับวิญญาณของเราว่า เราเป็นลูก ๆ ของพระเจ้า


โรม 8:17
หากเราเป็นลูก ๆ ของพระเจ้า เราก็เป็นผู้รับมรดกด้วย คือเป็นทั้งผู้รับมรดกของพระเจ้า และเป็นผู้รับมรดกร่วมกับพระคริสต์  หากเรามีส่วนในการทนทุกข์กับพระองค์ เราก็จะได้มีส่วนในการรับเกียรติสิริกับพระองค์ด้วย

โรม 8:18-19
เพราะข้าเห็นว่า ความทุกข์ยากในปัจจุบัน ไม่อาจเทียบได้กับศักดิ์ศรีที่จะเปิดเผยให้เห็นในตัวเรา
เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างมา
ต่างรอคอยการปรากฏของลูก ๆ ของพระเจ้า
ด้วยใจจดใจจ่อ


โรม 8:20-21
เพราะสรรพสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นมานั้น ถูกกำหนดให้อยู่อย่างไร้ประโยชน์ มิใช่เพราะจำยอมเอง แต่เป็นเพราะพระเจ้าทรงตั้งพระทัยให้เป็นไปเช่นนั้น โดยมีความหวัง เพราะว่าสรรพสิ่งทั้งหลายจะได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสความทรุดโทรมเข้าไปสู่อิสรภาพอันรุ่งโรจน์ของลูก ๆ ของพระเจ้า

8:22-23
เพราะเรารู้ว่า สรรพสิ่งทั้งสิ้นคร่ำครวญเผชิญความทุกข์ยาก ราวกับการคลอดบุตรจนกระทั่งวันนี้ ไม่เพียงเท่านั้น แต่เราเองผู้ที่มีผลแรกแห่งพระวิญญาณก็ยังคร่ำครวญในใจขณะที่เรารอคอยการที่จะทรงรับเราเป็นบุตรอย่างจดจ่อคือการไถ่ร่างกายของเรา

โรม 8:24-25
เพราะเราได้รับความรอดด้วยความหวังนี้
ความหวังที่เห็นแล้ว ไม่ใช่ความหวัง
ใครล่ะ จะหวังในสิ่งที่เห็นอยู่แล้ว?แต่เรากำลังหวังในสิ่งที่เรายังมองไม่เห็นและเราจึงรอคอยอย่างอดทน

 โรม 8:26
ยิ่งกว่านั้น พระวิญญาณทรงช่วย
เมื่อเราอ่อนแอ
เราไม่ทราบว่า
เราควรจะอธิษฐานอย่างไร แต่
พระวิญญาณทรงทูลต่อพระเจ้าเพื่อเรา
ด้วยการคร่ำครวญที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้


โรม 8:27
พระเจ้าผู้ทรงเห็นสิ่งที่อยู่ในใจมนุษย์
และทรงรู้ว่ามีอะไรในพระทัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์
เพราะพระวิญญาณ
ทรงอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อวิสุทธิชน
ของพระองค์ตามที่พระเจ้าทรงประสงค์

โรม 8:28
เรารู้ว่า พระเจ้าทรงทำให้ทุกสิ่ง
เป็นไปเพื่อสวัสดิภาพของคนที่รักพระองค์
พวกเขาเป็นคนที่พระองค์ทรงเรียก
ตามพระประสงค์ของพระองค์

โรม 8:29
เพราะสำหรับพวกเขาที่พระองค์ทรงรู้มาก่อน 
พระองค์ก็ทรงเลือกเขาไว้ล่วงหน้าเพื่อให้มีลักษณะเป็น
เหมือนพระบุตรของพระองค์ 
เพื่อว่าพระเยซูจะทรงเป็นบุตรหัวปีของพี่น้องอีกเป็นอันมาก

โรม 8:30 
ยิ่งกว่านั้น คนที่พระเจ้าทรงเลือกล่วงหน้าพระองค์ก็ทรงเรียก และคนที่พระองค์ทรงเรียก พระองค์ทรงประกาศให้เขา
เป็นผู้เที่ยงธรรม(เขาพ้นผิด) และคนที่พระองค์ทรงทำให้เป็นผู้เที่ยงธรรมพระองค์ก็ประทานเกียรติสิริให้ด้วย

โรม 8:31-32
 ถ้าอย่างนั้น เราจะกล่าวว่าอย่างไร?
หากพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะต่อต้านเราได้? พระองค์ผู้ไม่ได้เว้นชีวิตของพระบุตรแต่ทรงมอบพระบุตรนั้นให้สิ้นพระชนม์เพื่อเราทุกคน  อย่างนั้นแล้วพระองค์จะไม่ประทานทุกสิ่งให้เราด้วยเต็มพระทัยหรอกหรือ ?

โรม 8:33
ใครจะมาฟ้องร้อง
คนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้?
เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ประกาศเองว่า
พวกเขาเป็นคนเที่ยงธรรม

(พวกเขาพ้นผิด เป็นคนถูกต้องกับพระเจ้า)

โรม 8:34
ใครจะกล่าวโทษผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ได้เล่า?
ไม่มีใคร!
เพราะพระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์แทนแล้ว
และพระองค์ทรงคืนพระชนม์จากความตาย  
และบัดนี้ ประทับ ณ เบื้องพระหัตถ์ขวา
ของพระเจ้า กำลังทูลอ้อนวอนเพื่อเรา

โรม 8:35
ใครจะมาแยกเราจากความรัก
ของพระคริสต์ได้?
 

จะเป็นความยากลำบาก 
ความเจ็บปวด  การข่มเหง 
หรือความอดอยาก ขาดเครื่องนุ่งห่ม   
หรืออันตราย หรือ คมดาบอย่างนั้นหรือ?


โรม 8:36-37
เหมือนอย่างที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
“เพื่อเห็นแก่พระองค์ เราจึงเผชิญกับ
ความตายตลอดเวลา เขานับว่า เราเป็น
เหมือนแกะสำหรับการสังหาร”
(สดุดี 44:22)
แต่เรายังมีชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือ
สิ่งเหล่านี้ โดยพระคริสต์ผู้ทรงรักเรา


โรม 8:38-39
เพราะข้ามั่นใจว่า ไม่ว่าจะเป็นความตาย
หรือชีวิต หรือทูตสวรรค์ หรือวิญญาณชั่ว หรือ
ปัจจุบันกาล หรืออนาคตกาลหรืออำนาจ
ใด ๆ ก็ตามหรือความสูงหรือความลึก
หรือสรรพสิ่งใด ๆ ที่ทรงสร้างไม่สามารถ
แยกเราออกจากความรักของพระเจ้าซึ่งมี
อยู่ในพระเยซูคริสต์เจ้าของเราได้



โรม 8:1-2
คำถามสุดท้ายของบทที่แล้วคือ ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างแห่งความตายได้? เพราะเปาโลรู้ดีว่าธรรมชาติบาปในตัวนั้น พาให้ชีวิตไปทำบาปซึ่งนำ
ไปสู่ความตาย  และคำตอบก็คือ เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ นั่นคือเมื่อเราสำนึกบาป กลับใจ เชื่อวางใจ ติดตามองค์พระเยซูคริสต์ เราก็มีชีวิตใหม่
ไม่ใช่บทบัญญัติใหม่ แต่เป็นชีวิตที่มีพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำ  เราจึงเป็นอิสระจากชีวิตใต้ธรรมชาติบาป มาอยู่ใต้พระวิญญาณ

โรม 8:3
สิ่งที่บทบัญญัติทำให้ได้คือแจ้งให้ทราบว่าอะไรเป็นบาป แต่บทบัญญัติไม่สามารถให้ชีวิตได้  และไม่มีอำนาจทำให้บาปสิ้นสุดลงในชีวิตของแต่ละคนบทบัญญัติอาจกระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกอยากทำตาม อยากเชื่อฟังพระเจ้า แต่ไปๆ มาๆ คนเราก็อ่อนกำลังเพราะธรรมชาติบาปในตัว จึงเท่ากับทำให้ทุกคนล้มเหลว รู้แต่สอบไม่ผ่านจะมีประโยชน์อะไร? พระเจ้าจึงทรงทำสิ่งที่เหลือเชื่อ คือทรงส่งพระบุตรลงมาเป็นมนุษย์เพื่อรับโทษบาปให้

โรม 8:4
การมีชีวิตกับพระเจ้าเท่ากับเราไปกับพระวิญญาณนั้นคือเราสยบต่อพระองค์ เราขึ้นอยู่กับพระองค์ ซึ่งตรงข้ามกับการเดินตามธรรมชาติบาปที่ทำตาม
ใจตัวเอง ให้บาปครองใจ การทำตามพระวิญญาณไม่ใช่ทำแบบอัตโนมัติ  แต่เป็นชีวิตที่มีการต่อสู้ระหว่างธรรมชาติบาปกับพระวิญญาณอย่างต่อเนื่อง(กาลาเทีย  5:17)  การชนะธรรมชาติบาปในตัวเราเป็นเหมือนการปล้ำสู้ที่ต้องเอาชนะให้ได้ทุกครั้ง

โรม 8:5-6
บริษัทประกันภัยที่ให้สโลแกนทำนองว่า หากคุณชอบชีวิตสไตล์ไหนก็ใช้ชีวิตแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่อันตราย ท้าทาย หรือเงียบ ๆ เมื่อถึงวันที่สิ้นชีวิตบริษัทก็จะชดเชยให้ … น่าสนใจใช่ไหม แต่บริษัทไม่อาจให้สันติสุขท่ามกลางความทุกข์ หรือให้ชีวิตนิรันดร์กับลูกค้าได้ ท่านเปาโลบอกชัดเจนว่า ชีวิตและสันติสุขได้มาด้วยการใช้ชีวิตตามพระวิญญาณของพระเจ้า  สิ่งที่ต้องทำคือ มีความคิดอย่างพระเยซูคริสต์ (ฟีลิปปี 2:5)และเอาใจใส่ให้ถูกที่ (โคโลสี 3:2)

โรม 8:7-8
คนที่ใช้ชีวิตที่ชอบตามใจตนเอง  น่าเป็นห่วงเพราะว่า ใจของมนุษย์นั้นหลอกลวงยิ่งกว่าอะไร เราคิดว่า ดีแล้ว เราคิดว่า โอเค… แต่การไม่ยอมต่อพระเจ้านั้น อันตรายที่สุด  ในข้อ 8 ท่านเปาโลกำลังคิดถึงคนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้าอยู่ การอยู่ในธรรมชาติบาปคือการใช้ชีวิตอย่างคนที่ไม่เชื่อมีชีวิตที่ห่างจากพระเจ้า และน้ำพระทัย เราอาจบังเกิดใหม่แล้ว แต่เราก็เผลอใช้ชีวิตอย่างคนไม่บังเกิดใหม่ได้

โรม 8:9
ผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคน เป็นคนที่มีพระวิญญาณประทับภายใน .. แต่ธรรมชาติบาปก็ยังอยู่ในเขาบางคนไม่ได้ยอมให้ชีวิตเปี่ยมล้นด้วยพระองค์(เอเฟซัส 5:18)  ยังไม่รู้จักชีวิตที่มีพระวิญญาณหลั่งไหลออกมาไม่หยุด อย่างที่พระเยซูตรัส(ยอห์น 7:37-39) แม้เขาถูกประทับตราด้วยพระวิญญาณ(เอเฟซัส 1:13)  ให้ถามตัวเองว่าหัวใจเราโหยหาพระองค์ไหม?อยากถวายเกียรติไหม?

โรม 8:10
ร่างกายของเราทุกคนในโลก ต้องเผชิญกับความตายไม่เว้นเลย .. แต่มีความแตกต่างระหว่างคนที่เป็นของพระเจ้า กับคนที่เป็นของโลก เราจะเห็น
ชัดว่าในงานศพของคนที่เชื่อนั้น มีความหวังใจที่มั่นคงว่า วิญญาณของผู้นั้นไปอยู่กับพระเจ้าเราอยู่ในความเชื่อที่ไม่สิ้นหวัง แต่มีความหวังใจ
ในพระสัญญาของพระเจ้า ไม่ได้หวังในความดีของตนเอง แต่หวังในพระโลหิตของพระเจ้าที่ทำให้เราเป็นคนถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์

โรม 8:11
ข้อความนี้ชัดเจนเลยว่า พระวิญญาณผู้ทรงทำให้พระเยซูทรงคืนชีพจากความตายนั้น เป็นพระองค์เดียวกันที่จะทำให้วิญญาณจิตของเราเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ จากข้อนี้ เราจึงเชื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงทำให้เราฟื้นขึ้นมาเหมือนพระองค์แม้ว่าร่างกายของเราจะตายไปแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น พระวิญญาณทรงเป็นผู้รักษาบำรุงให้ชีวิตใหม่ที่เราได้รับดำรงอยู่ตลอดไป ฟีลิปปี 3:10บอกถึงฤทธิ์แห่งการคืนชีพของพระเยซู 

โรม 8:12 
เมื่อเรามาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ธรรมชาติบาปในตัวยังคงอยู่ พระเจ้าไม่ได้ทรงกำจัดมันออกไปจากตัวเราทั้งหมด  ตัวเราเองจึงจะต้องไม่ดำเนินชีวิต
ตามใจธรรมชาติบาปของเรา เราไม่แปลกใจเลยว่าหลายครั้ง ตัวเราเองได้ตามใจธรรมชาติบาปในตัวพระเจ้าทรงบัญชาให้เราต่อสู้กับมัน เราต้องได้รับ
การชำระจากพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ เราจึงยังอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน สัมพันธ์สนิทกับพี่น้องเพื่อเราจะชนะได้ อ่าน ทิตัส 2:12, 2 เปโตร 1:3-11, 3:18

โรม 8:13-14
การที่เรามาเชื่อพระเจ้า แต่ยังคงดำเนินชีวิตตามธรรมชาติบาป นับเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก บางคนคิดว่า การมาเชื่อพระเจ้าเป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงทำ
ให้ทั้งหมด ตัวเองไม่ต้องพยายามอะไรเลย. ในข้อสี่และข้อหกของโรมบทนี้ ได้บอกเราให้ตั้งใจเดินตามพระวิญญาณ และจดจ่อต่อสิ่งที่เป็นของ
พระวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องของโลก ท่านเปาโลยังคงเน้นย้ำชีวิตที่เป็นฝ่ายพระวิญญาณเพื่อจะได้เป็นลูกแท้ ๆ ของพระเจ้า

โรม 8:15-16
เมื่อเรามาเป็นของพระเจ้าได้รับสถานภาพใหม่ ไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไปแต่มาเป็นลูกของพระเจ้าซึ่งจะได้รับสิทธิต่าง ๆ เหมือนกับลูกแท้ และสิทธิ
ที่เราได้รับในฐานะเป็นบุตรแท้ของพระเจ้าก็คือชีวิตนิรันดร์ เราได้เรียกพระบิดาเหมือนอย่างที่พระเยซูทรงเรียก อับบา เมื่อทรงอธิษฐาน (มาระโก 14:36) ในฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้าเมื่อเราอธิษฐานครั้งใดต่อพระบิดา พระวิญญาณก็ทรงช่วยเราเสมอ (โรม 8:26)

โรม 8:17
ชีวิตกับพระเจ้ามีทั้งเกียรติ และการทนทุกข์ ดังนั้นเมื่อเราพบความความทุกข์ยากใด ๆ คำถามที่มักถามกันขึ้นมาคือ “เหตุใดพระเจ้าทรงให้เราทุกข์
ยากขนาดนี้? คนอื่นไม่เห็นเป็นอย่างเราเลย” พระคำข้อนี้ได้บอกเราว่า เมื่อเราทนทุกข์ร่วมกันกับพระองค์ เราจะมีส่วนในพระเกียรติของพระองค์
ด้วย นี่เป็นเหตุทำให้คริสเตียนที่ทนทุกข์สามารถผ่านอุปสรรคต่าง ๆได้ เกียรติที่ยิ่งใหญ่อีกอย่างคือ เราเป็นผู้รับมรดกของพระเจ้าร่วมกับพระคริสต์!!

โรม 8:18-19
ตอนนี้ท่านเปาโลบอกว่า ทั้งตัวท่านและสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ต่างมองไปยังอนาคตที่เป็นนิรันดร์กาล ทั้งมนุษย์ สัตว์ พืช แผ่นดินต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยสิ่งที่จะมาข้างหน้า ดังนั้นความทุกข์ยาก ทรุดโทรม ความลำบากต่าง ๆ จึงเทียบไม่ได้กับศักดิ์ศรีที่จะปรากฏ  ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นซึ่งท่านเปาโลกล่าวถึง เป็นสิ่งที่มาเนื่องจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์  ความทุกข์นี้รวมถึงความทุกข์ใจ ความปวดร้าวใจด้วย 

โรม 8:20-21
สรรพสิ่งถูกกำหนดให้อยู่อย่างไร้ประโยชน์ คือไร้ความหมาย ไร้ค่า การที่มนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ทำให้ธรรมชาติท้งปวง ไม่อาจก้าวไปถึงความเพียวพร้อมอย่างที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยไว้แต่ตั้น (ดูคำสาปสรรพสิ่ง ปฐมกาล 3:17-19) จึงไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่ต้องได้รับการไถ่จากพระเจ้า แต่รวมไปถึงสรรพสิ่งในธรรมชาติด้วย ที่เราเห็นว่ามันงดงามมาก ยังเป็นสภาพที่ทรุดโทรม ถ้าเป็นต้นแบบแรกจะงามขนาดไหน เดาไม่ออกเลย!!

โรม 8:22-23
สรรพสิ่งในธรรมชาติผ่านความทุกข์เหมือนกับหญิงคลอดบุตร เจ็บปวดเพื่อออกผล เป็นผลจากอดีตและเพื่อการช่วยกู้ในอนาคต(ข้อ 20)  ผลแรกแห่ง
พระวิญญาณ หมายถึงผลแรกที่พระวิญญาณผู้ทรงทำให้พระเยซูคืนชีพ จะทรงทำให้เราคืนชีพเช่นกัน(ย้อนกลับไปอ่าน 8:9-11)  และที่เรารอคอยอยู่คือ
ที่พระเจ้าจะทรงเปลี่ยนเรา ไถ่เราให้เป็นเหมือนพระคริสต์ พระวิญญาณทรงเป็นประกันว่ายังจะมีพระพรที่เหนือกว่าในวันนี้ให้กับเราด้วย

โรม 8:24-25
คำว่าความหวัง .. เป็นความหวังว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้จะเกิดขึ้นในอนาคตจริง เราจะได้เป็นลูกของพระเจ้าเต็มร้อย เราจะได้พบพระองค์ในพระสิริเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา และจะได้รับการช่วยกู้จากความบาปเช่นกัน จะไม่มีธรรมชาติบาปหลงเหลืออยู่ในตัวเราอีกต่อไป ไม่ต้องสู้กับเนื้อหนังของตัวเองอีกต่อไป เราจึงรอคอยอย่างอดทนยอมสู้ เผชิญกับความทุกข์ยากทั้งสิ้น  

โรม 8:26
ระหว่างการรอคอยด้วยความเชื่อ ความหวังดังกล่าว เราก็ยังอ่อนแอ บางครั้งไม่รู้ว่าจะทูลต่อพระเจ้าในความทุกข์อย่างไร บางครั้งไม่รู้ว่าควรจะทูลอย่างไร  หลายครั้งที่ไม่เห็นภาพใหญ่ ต้นเหตุของปัญหา บางครั้งไม่รู้ว่าจะตัดสินใจทูลขออย่างไรเสียด้วยซ้ำ เพราะคำตอบที่ต้องการยังคลุมเครือ  เราคงเคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน  ข่าวดีมาก ๆ คือ พระวิญญาณที่ประทับในเราทรงคร่ำครวญทูลพระเจ้าแทนเรา! 

โรม 8:27
การขอตามที่พระเจ้าทรงประสงค์อยู่แล้วนั้น ทำให้เราได้รับคำตอบจากพระเจ้า (แม้บางครั้งไม่เป็นที่ถูกใจของเราสักนิด แต่ในระยะยาวเราจะเห็นประโยชน์ของคำตอบโดยตรงจากพระเจ้า ที่ไม่ใช่เราคิดเอาเอง) ถึงเราเป็นลูกของพระเจ้า แต่ก็มีบางโอกาสที่เราไม่แน่ใจว่า พระประสงค์ของพระเจ้าในบางเรื่องนั้นเป็นอย่างไร เราควรก้าวไปทางไหน แต่พระวิญญาณทรงทราบพระทัยของพระเจ้าดีจะทรงทูลขอสิ่งที่จะได้รับคำตอบ

โรม 8:28
“ทุกสิ่ง”
ในที่นี้ น่าจะหมายถึงสถานการณ์ที่ดูเป็นความทุกข์ยาก ปัญหา หรือสิ่งต่าง ๆ ที่เราไม่อยากรับ แต่ทุกสิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้น เป็นไปเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต เพื่อสิ่งที่ดีกว่าในชีวิตของคนที่รักพระเจ้า  ทุกสิ่ง อาจหมายถึงทั้งความสำเร็จความสุขใจ ความทุกข์ที่อาจจะต้องทนไปตลอดชีวิต สิ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะพบเจอ ความผิดหวังในตัวคนที่รัก ในการงาน  ความเจ็บปวดและความผิดหวังเหล่านั้นพระเจ้าทรงประกันว่าจะกลายเป็นดี 

โรม 8:29
คนที่พระเจ้าทรงรู้จักมาก่อน  พระองค์ทรงวางให้เขาเป็นคนที่กลายมาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ในอนาคต ต้องเหมือนมากขึ้นทุกที  นี่เป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้เราต้องเผชิญความทุกข์ยากต่าง ๆ เพราะความทุกข์ยากเหล่านั้น จะช่วยเปลี่ยนเราให้มีแนวคิดใหม่ มีความมั่นใจในพระเจ้าเมื่อรู้ว่า เป้าหมายของพระเจ้าคือ ทรงทำให้เรามีลักษณะเหมือนพระคริสต์  อย่างนี้ ทำให้ผู้เชื่อกล้าหาญและเผชิญทุกสิ่งได้… 

โรม 8:30 
คนหนึ่งจะได้รับการประกาศว่าเป็นคนเที่ยงธรรมหรือถูกต้องกับพระเจ้านั้น ในข้อ 29-30 นี้บอกว่าเขาผ่านสามด่านมาคือ ทรงรู้ก่อน ทรงเลือกและทรงเรียก จากนั้นทรงประกาศว่าเขาถูกต้องกับพระองค์ และเขาได้เกียรติเป็นลูกของพระเจ้า การทรงรู้ล่วงหน้า เลือกและเรียกเป็นสิ่งที่ใช้เป็นข้อถกเถียงกันมามาก  คล้ายกับว่าพระเจ้าไม่ทรงยุติธรรมที่ทรงเลือกและไม่เลือกบางคน  ต้องรับว่า มีบางอย่างที่เรายังไม่อาจได้คำตอบแบบร้อยเปอร์เซนต์

โรม 8:31-32
พระเจ้าทรงพิสูจน์แล้วว่า พระองค์ทรงอยู่ฝ่ายคนที่เชื่อในพระองค์  เราเห็นมาก่อนหน้านี้ว่า องค์พระวิญญาณก็ทรงอยู่ฝ่ายคนของพระองค์ เมื่อเขาจนตรอก ไม่รู้ว่าจะก้าวต่อไปอย่างไร จะอธิษฐานอย่างไร พระวิญญาณทรงช่วย ยิ่งกว่านั้น พระบุตรของพระเจ้าทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงอยู่ฝ่ายเรา นี่เป็นเกียรติสูงส่งเพียงใดสำหรับมนุษย์เดินดินอย่างเรา

โรม 8:33
ผู้ที่เป็นเจ้าแห่งการกล่าวโทษ การฟ้องร้องก็คือมาร ยิ่งกว่านั้น บทบัญญัติก็จะกล่าวโทษคนที่ละเมิดบทบัญญัติด้วย แต่เรามั่นใจแล้วว่า พระเจ้าทรงประกาศว่า เราเป็นคนเที่ยงธรรม เราพ้นผิดเราถูกต้องกับพระองค์เพราะความเชื่อวางใจที่เรามีต่อพระองค์แล้วพระเจ้าเองไม่ทรงกล่าวโทษเรา พระองค์ทรงเป็น
ผู้กล่าวว่าเราพ้นผิด … ขอบคุณพระเจ้า

โรม 8:34
ไม่มีใครสามารถกล่าวโทษผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้พระเยซูทรงรับโทษทั้งสิ้นของคนที่เชื่อในพระองค์ไปแล้ว  โทษถูกตัดสินไปแล้ว!! ดูสิว่า เรามีพระพรมากเพียงใด ที่พระบิดาเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานอ้อนวอนเผื่อของทั้งองค์พระบุตรและคำอธิษฐานของพระวิญญาณบริสุทธิ์แทนเรา พระบุตรทรงเป็นตัวแทนของคนบาปอย่างเราต่อพระบัลลังก์ของพระบิดา.. พระคำข้อนี้ทำให้เราเข้าใจว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเราสักวันเดียว

โรม 8:35
อย่างหนึ่งที่เราต้องรู้ซึ่งไม่ได้เหมือนที่หลาย ๆ คนคิดว่าพอมารู้จักพระเจ้าแล้ว ก็ไม่มีความทุกข์ใด ๆ มาแตะต้องชีวิต ความจริงคือ พระเจ้าทรงอนุญาตให้เราพบเจอความยากลำบาก ความเจ็บป่วย  ความทุกข์ใจในโลกนี้ มีคริสเตียนมากมายที่เผชิญความทุกข์ที่สาหัสมาก เพราะทั้งสิ้นทำให้ยิ่งเติบโตในพระองค์  ทำให้แกร่ง มีความมั่นใจเชื่อในพระองค์ วางใจในความยิ่งใหญ่ของพระองค์มากเกินกว่าคนที่มีชีวิตง่าย ๆ  

โรม 8:36-37
ถึงแม้ว่าผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเผชิญกับความลำบากและสิ่งที่สาหัส แต่ท่านเปาโลกลับบอกว่า เรามีชัยชนะอย่างเด็ดขาด ไม่ใช่ด้วยความสามารถเก่งกาจของเราเอง แต่พระคริสต์ผู้ทรงรักเราทรงให้พลังที่เราจะเอาชนะ ที่เราจะกล้าหาญ และพระองค์ก็จะทรงเปลี่ยนสถานการณ์ทั้งหลายให้เราตามที่พระองค์ทรงเห็นสมควร  ผู้คนของพระเจ้าอาจพบความเกลียดชัง การใส่ร้าย ดูหมิ่น  ส่วนของเราคือทำตามพระดำรัส และพระองค์จะทรงกรุณา

โรม 8:38-39
ข้อที่ผ่านมาบอกว่า เราจะมีชัยชนะอย่างเด็ดขาดหรือ เรามีชัยเหลือล้น นั่นก็คือ เราเป็นยิ่งกว่าผู้มีชัยชนะ พระเจ้าทรงเป็นผู้ให้ชัยชนะ ไม่ใช่โดยตัวของเราเอง เราจึงไม่กลัวทั้งความตายหรือสถานการณ์ใด ๆ ความรักของพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า เราได้ทำอะไรเพื่อพระองค์ แต่ขึ้นอยู่กับว่าพระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ด้วยความรักพระบิดาและรักเราเพื่อมนุษย์อย่างเราแล้ว  ชัยชนะอยู่ที่พระเจ้าก่อน แล้วจึงส่งต่อมาที่เรา 

พระคำเชื่อมโยง

โรม 8
1* กาลาเทีย 5: 5:16
2* โรม 6:18, 22; 1 โครินธ์ 15:45;
โรม 7:24-25
3* กิจการ 13:39; 2 โครินธ์ 5:21
4* กาลาเทีย 5:16, 25
5* ยอห์น 3:6; กาลาเทีย 5:22-25
6* กาลาเทีย 6:8
7* ยากอบ 4:4; 1 โครินธ์ 2:14
11* กิจการ 2:24; 1 โครินธ์ 6:14
12* โรม 6:7, 14
13* กาลาเทีย 6:8; เอเฟซัส 4:22
14* กาลาเทีย 5:18



15* ฮีบรู 2:15 ; 2 ทิโมธี 1:7 ;
อิสยาห์ 56:5; มาระโก 14:36
16* เอเฟซัส 1:13
17* กิจการ 26:18; ฟีลิปปี 1:29
18* 2 โครินธ์ 4:17
19* 2 เปโตร 3:13
20* ปฐมกาล 3:17-19
21* 2 โครินธ์ 3:17
22* เยเรมีย์ 12:4, 11
23* 2 โครินธ์ 5:2-5 ; ลูกา 20:36;
เอเฟซัส 1:14; 4:30
24* ฮีบรู 11:1
26* มัทธิว 20:22; เอเฟซัส 6:18
27* 1 พงศาวดาร 1 ยอห์น

28* 2 ทิโมธี 1:9
29* 2 ทิโมธี 2:19; เอเฟซัส 1:5, 11;
2 โครินธ์ 3:18; ฮีบรู 1:6
30* 1 เปโตร 2:9; 3:9;
กาลาเทีย 2:16; ยอห์น 17:22
31* กันดารวิถี 14:9
32* โรม 5:6, 10; 4:25
33* อิสยาห์ 50:8-9
34* ยอห์น 3:18; มาระโก 16:19;
ฮีบรู 7:25; 9:24
36* สดุดี 44:22
37* 1 โครินธ์  15:57
38* เอเฟซัส 1:21


โรม 7 ต่อสู้กันตลอด

โรม 7:1
พี่น้องทั้งหลาย ท่านทุกคนเข้าใจบทบัญญัติของโมเสสอยู่แล้ว ดังนั้น ท่านรู้ว่า บทบัญญัติมีสิทธิอำนาจเหนือคน ๆ หนึ่ง ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

โรม 7:2-3
เช่น สตรีที่แต่งงานแล้วก็มีสัญญาผูกมัดกับสามีของเธอตราบเท่าที่เขามีชีวิต แต่หากเขาสิ้นชีวิตไป เธอก็จะพ้นจากกฎการสมรส หากเธอไปอยู่กับชายคนอื่นในขณะที่สามียังมีชีวิต บทบัญญัติแจ้งว่า เธอทำผิดประเวณี แต่หากสามีสิ้นชีวิตไป เธอก็เป็นอิสระจากกฎการสมรสนั้น  หากไปสมรสกับชายอื่น เธอก็ไม่ได้ผิดประเวณี

โรม 7:4
เช่นเดียวกัน พี่น้องชายหญิงเอ๋ย ชีวิตเก่าของท่านได้ตาย(ต่ออำนาจบทบัญญัติ)แล้วเมื่อท่านตายกับพระคริสต์
และบัดนี้ท่านเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ผู้ทรงคืนพระชนม์จากความตาย สิ่งที่ตามมาก็คือเพื่อเราจะได้เกิดผลเพื่อพระเจ้า

โรม 7:5
ก่อนหน้านี้ เราถูกควบคุมโดยธรรมชาติบาปในตัวเรา (เนื้อหนัง)  ความปรารถนาที่จะทำบาปนั้น ถูกเร้าขึ้นมาเพราะบท
บัญญัติทำงานในกายของเรา
เพื่อว่าสิ่งที่เราทำนั้น จะนำเราไปสู่ความตาย

โรม 7:6
แต่มาบัดนี้ เราเป็นอิสระจากบทบัญญัติเพราะเราได้ตายจากบทบัญญัติที่คอยควบคุมเรา เพื่อว่าเราจะรับใช้พระเจ้า
ด้วยหนทางใหม่พร้อมกับองค์พระวิญญาณ
ไม่ใช่ตามทางเดิมซึ่งเป็นกฎที่เขียนบันทึกเอาไว้

โรม 7:7
ถ้าอย่างนั้น เราจะพูดอย่างไร? ว่าบทบัญญัติคือบาปอย่างนั้นหรือ? ไม่สิจะไม่เป็นเช่นนั้น! ถ้าไม่เป็นเพราะบทบัญญัติ ข้าคงไม่รู้จักบาป ข้าจะไม่รู้จักว่าความโลภคืออะไร หากบทบัญญัติไม่ได้กล่าวว่า “อย่าโลภ!”

โรม 7:8
แต่บาปฉวยโอกาสที่จะใช้คำสั่งนั้น และทำให้ข้าอยากได้สิ่งต่าง ๆ ที่ข้าไม่ควรจะอยากได้ หากไม่มีบทบัญญัติ บาปก็ไม่มีอำนาจเหนือเรา (บาปก็ตายไปแล้ว

โรม 7:9-10
แต่ก่อน ข้าใช้ชีวิตโดยไม่มีบทบัญญัติ แต่พอมีคำบัญชามา บาปก็เกิดขึ้นข้าก็ตาย (ทำให้ข้ารู้ว่าข้าเป็นคนบาปที่ต้องรับโทษ)คำบัญชาที่ควรนำมาซึ่งชีวิตแต่กลับนำความตายมาให้ข้า

โรม 7:11-12
บาปนั้น ใช้โอกาสที่จะหลอกลวงข้าโดยใช้คำสั่งของบทบัญญัติมาทำให้ข้าต้องตาย
ดังนั้น บทบัญญัติ (νόμος)บริสุทธิ์ และคำบัญชา (ἐντολὴ)
ก็บริสุทธิ์ และถูกต้อง และดี

โรม 7:13
นี่หมายความว่า สิ่งที่ดีนำความตายมาให้ข้าอย่างนั้นหรือ?
จะไม่เป็นเช่นนั้น! บาปได้ใช้สิ่งดี(บัญญัติ)นำความตายมาให้ข้า  ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ก็เพื่อข้าจะได้รู้ว่าบาปแท้เป็นอย่างไร คำบัญชา ถูกใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่า บาปนั้นชั่วร้ายสุดขั้วขนาดไหน

โรม 7:14-15
เพราะเรารู้ว่า บทบัญญัติเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณ แต่ข้าเป็นฝ่ายธรรมชาติบาป(เนื้อหนัง)  เพราะบาปได้ควบคุมข้าดั่งว่าข้าเป็นทาสของมัน ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าทำลงไป เพราะข้าไม่ได้ทำสิ่งที่ข้าต้องการทำ กลับลงมือทำสิ่งที่ข้าชัง

     

โรม 7:16-18
และหากข้าทำสิ่งที่ข้าเองไม่ต้องการทำเท่ากับข้าเห็นด้วยว่า บทบัญญัตินั้นดีดังนั้น ข้าจึงไม่ได้เป็นผู้ที่ทำสิ่งที่น่ารังเกียจนี้ แต่เป็นบาปที่อยู่ในตัวข้าต่างหากที่ลงมือทำเพราะข้ารู้ว่าไม่มีสิ่งดี
อาศัยอยู่ในธรรมชาติบาป(เนื้อหนัง)ของข้าเพราะข้าต้องการทำดี แต่กลับทำไม่ได้ 

โรม 7:19-20
เพราะข้าไม่ทำสิ่งดีที่ข้าต้องการทำ แต่ข้ากลับเฝ้ากระทำสิ่งชั่ว
ที่ข้าไม่ต้องการทำ 
ดังนั้น หากข้าทำสิ่งที่ข้าไม่ต้องการทำ
แสดงว่า ตัวข้าไม่ได้เป็นผู้กระทำแต่ธรรมชาติบาปในตัวข้าต่างหากที่ทำสิ่งนั้น

โรม 7:21-23
ดังนั้นข้าได้เรียนรู้กฎนี้คือ เมื่อข้าต้องการทำดี ความชั่วก็อยู่ในตัวข้า เพราะในส่วนลึกข้ายินดีกับบทบัญญัติของพระเจ้า แต่ข้าเห็นอำนาจอื่นที่ทำงานในตัวข้าซึ่งต่อสู้บทบัญญัติที่ข้ายอมรับ และยังจับกุมข้าเป็นเชลยของกฎแห่งบาปที่อยู่ในตัวของข้า

โรม 7:24-25
ข้าเป็นคนที่น่าสมเพชอะไรเช่นนี้  ใครจะช่วยข้าให้พ้นจากร่างแห่งความตายได้?
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยข้าให้รอดผ่านองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ในความคิดจิตใจ ข้าเป็นทาสกฎของพระเจ้า แต่..
ธรรมชาติบาปในตัว กลับเป็นทาสกฎแห่งบาป
 

โรม 7:1
ก่อนหน้านี้ท่านเปาโลพูดถึงว่า  เราจะเป็นทาสของใคร? ทาสของบาปและความตายหรือเป็นทาสของความเที่ยงธรรมและชีวิต  แต่มาตอนนี้ ท่านกำลังจะอธิบายว่า บทบัญญัติมีอำนาจเหนือคน ๆ หนึ่งอย่างจำกัด เฉพาะตอนที่เขายังมีชีวิตในเนื้อหนังเท่านั้น นั่นคือ บทบัญญัติมีผลเฉพาะกับคนที่อยู่
ใต้บัญญัติ (คนบาป)เท่านั้นการตายจากบทบัญญัติ เป็นเงื่อนไขเดียวที่ทำให้บัญญัตินั้นเป็นโมฆะกับบุคคลนั้น 

โรม 7:2-3
เช่นเดียวกับที่กฎการสมรสผูกพันชายหญิงที่ต่างยังมีชีวิตด้วยกัน  แต่ถ้าคนหนึ่งตายไป อีกคนที่เหลือก็หลุดจากกฎแห่งการสมรส เขาจะมีสถานภาพเป็นม่ายหรือเหมือนคนโสดอีกครั้งทีนี้ เขาก็อาจจะไปมีครอบครัวใหม่ได้ โดยไม่ได้ติดว่ายังมีสามีหรือภรรยาที่มีชีวิตอยู่ ท่านเปาโลนำเรื่องนี้มาพูดก็เพื่อให้เข้าใจชัดเจนว่ามีบางอย่างที่จะช่วยให้เราพ้นจากผลของบาปในชีวิตเรา …. 

โรม 7:4
เราอ่านช้า ๆ ให้เข้าใจว่า จากนี้ไปเราไม่เป็นทาสไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของบทบัญญัติอีกต่อไปแล้วเพราะ เราได้ตายไปกับพระเยซู ฟื้นไปกับพระองค์
เรียบร้อยแล้ว จากชนชาติที่อยู่ใต้บทบัญญัติมาเป็นชนชาติแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์  มาเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์  เมื่อก่อน ความดีที่ทำก็เป็นแค่ความดี เป็นแค่ผ้าขี้ริ้วที่เราเอามาอวดกันมาบัดนี้ ความดีเป็นความดีของพระเจ้าเพื่อพระเจ้า 

โรม 7:5
เวลาที่ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า แต่อยู่ด้วยตัวเอง ด้วยการอยู่ใต้ข้อห้ามต่าง ๆ เรายิ่งอยากทำฝืนกฎต่าง ๆ เหล่านั้น สังเกตไหมว่า ศีล กฎ บทบัญญัติ
ต่างสอนให้เราทำในสิ่งที่ดูดี แต่ฝืนความอยากในตัวตนของเรา ความอยากของร่างกาย ทุกสังคมที่อยู่ใต้ศีลธรรม ข้อห้ามต่าง ๆ ล้วนแต่มีปัญหา
ของผู้คนที่ต้องบังคับตนเองด้วยกำลังของตนเองส่วนใหญ่ก็ไม่บังคับตัวเองเลย แต่ทำทุกอย่างตามใจ แล้วในที่สุด พวกเขาก็ลงไปสู่ความตาย

โรม 7:6
ตรงนี้เองแตกต่างมากจากความเชื่ออื่น ๆ ที่ทุกคนต้องพยายามทำความดี และก็มักเป็นเรื่องที่เพื่อนที่ไม่เชื่อของเรามักเอามาพูดว่า ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ความแตกต่างนั้นชัดเจนเพราะเราไม่ได้พยายามทำสิ่งที่ดีด้วยความสามารถของตนเองอีกต่อไป แต่พระวิญญาณทรงช่วยให้เราทำสิ่งดีตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้  การที่เราต้องพยายามด้วยตัวเองเดี่ยว ๆ นั้น ไม่เหมือนกับ ที่เราได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าเลย!

โรม 7:7
คำถามต่อมาคือ บทบัญญัติเป็นบาปใช่ไหม? ท่านได้ใช้ตัวอย่างจากตัวเองมาอธิบายเรื่องนี้ท่านต้องการให้รู้ว่า แม้ผู้เชื่อในพระเจ้าจะไม่ได้เป็นคนที่อยู่ใต้บทบัญญัติเหมือนอย่างอิสราเอลสมัยโบราณ แต่บทบัญญัติก็เป็นสิ่งดีที่แจกแจงให้รู้ชัดเจนว่า บาปนั้นคือการกระทำ ความคิดแบบไหน เรามาหาพระเยซู รับการยกโทษบาปที่บทบัญญัติแจ้งให้ทราบว่า คืออะไรบ้าง ถ้าไม่มีบทบัญญัติเป็นมาตรฐาน เราอาจจะอ้างได้ว่า ฉันไม่บาป 

โรม 7:8
คนเรานี่เป็นเหมือนกันตั้งแต่โบราณจนทุกวันนี้คือเราอยากได้สิ่งที่เราไม่มี เหมือนอาดัมที่คิดว่าอยากได้ปัญญาแบบพระเจ้า  พอเราถูกห้ามเราก็ทำสิ่งนั้น บางทีจนกลายเป็นนิสัยไม่รู้สึกผิดถูกต่อไป บทบัญญัติได้ช่วยทำให้เห็นว่า เราล้มเหลวเรามีธรรมชาติบาปในตัวที่จะต่อต้านพระเจ้าเสมอ บทบัญญัติมีประโยชน์คือ ทำให้เรารู้ตัวว่าเป็นคนบาปแน่นอน เพราะไม่มีใครสักคนในพวกเราที่จะผ่านมาตรฐานของบทบัญญัติได้ 

โรม 7:9-10
ก่อนหน้านี้ ท่านเปาโลใช้ชีวิตโดยไม่ตระหนักรู้ถึงความหมายแท้จริงของบทบัญญัติและ คำบัญชา(แจ้งบาป) ดังนั้นท่านจึงรู้สึกเป็นคนเที่ยงธรรมโดยตนเอง เคร่งศาสนาเป็นคนไม่มีที่ติเลย(ฟีลิปปี 3:6) แต่เมื่อท่านเริ่มตระหนักถึงบทบัญญัติคำบัญชาของพระเจ้าจริง ๆ  ทำให้ท่านรู้ตัวว่า ท่านเป็นคนตายแล้ว เพราะบาปมากล้น จิตวิญญาณไม่มีชีวิต(ท่านเปาโลใช้สองคำคู่กันคือ บทบัญญัติ νόμος โนมอส และคำบัญชา ἐντολή เอนโทเล)

โรม 7:11-12
บาปหลอกลวงเราอย่างไร? หลอกเหมือนกับที่มารหลอกเอวาเลย หลอกให้เราทำตรงข้ามกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  ปัญหาจึงไม่ใช่อยู่ที่บทบัญญัติหรือคำบัญชาของพระเจ้า แต่อยู่ที่ตัวเราเองว่าจะตัดสินใจฟังเสียงร่ำร้องของใจตัวเองและของมาร ของความสนุกสนานที่ดูสนุกจริง ๆ ไหมสรุปว่า บทบัญญัติและคำบัญชาบริสุทธิ์ถูกต้องดีบอกถึงสิ่งที่มนุษย์ควรทำ สิ่งที่ห้าม และไม่ให้ทำบาป เป้าหมายคือนำมาซึ่งชีวิตและพระพร

โรม 7:13
ในข้อที่สิบสามนี้ ท่านกำลังบอกเราว่า บัญญัติคำบัญชาของพระเจ้า ได้แจ้งให้เราทราบว่า บาปคือความคิด พฤติกรรมประเภทไหน ในบัญญัติสิบประการบอกภาพรวม ส่วนรายละเอียดบาปซึ่งท่านอธิบายไว้ในกาลาเทีย 5:19-21  ว่า บาปนำความตายมาให้นั้นก็คือ  เราได้ตระหนักแล้วว่าเราเองนั่นแหละเป็นคนบาป และสิ่งนั้นทำให้รู้ว่าเราพินาศแน่  เราต้องการพระผู้ช่วยให้รอดจริง ๆ

โรม 7:14-15
ที่ว่าบทบัญญัติเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณนั้นคือมาจากพระวิญญาณ เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์  แต่คนเราถูกบาปควบคุมมาตั้งแต่สมัยอาดัม เราจึงเป็นทาสบาปมาแต่นั้น ท่านเปาโลเองแม้จะเชื่อฟังพระเจ้า รับใช้พระองค์ แต่ก็ยังไปไม่ถึงมาตรฐานของพระเจ้าในบทบัญญัติ  ท่านไม่เข้าใจตัวเองเพราะมักจะทำสิ่งที่ไม่ต้องการทำเสมอ ท่านจึงเข้าใจแล้วว่า แม้จะเชื่อพระเจ้าแต่ธรรมชาติบาปหรือเนื้อหนังก็ยังทำการในชีวิตอยู่

โรม 7:16-18
ท่านเปาโลเห็นว่า ตัวปัญหาคือ เนื้อหนังซึ่งเป็นธรรมชาติบาปในตัว! ท่านมองว่าท่านยังเป็นคนทุจริตผิดศีลธรรมอยู่ (โรม 3:10-18) ทั้งที่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร แต่ก็ยังทำสิ่งที่ไม่ควรอยู่ท่านกำลังบอกเราถึงความจริงที่ว่า บาปยังคงมีผลกระทบ มีอิทธิพลต่อทุกด้านของตัวตนของเรา เราอาจเป็นคนดีในระดับที่มีดีมากกว่าเลว หรืออาจเป็นคนที่เลวมากกว่าดี ทั้งนี้เป็นผลของบาป

โรม 7:19-20
และแล้ว ท่านเปาโลก็สรุปว่า ที่ท่านยังคงทำบาปทั้ง ๆที่ไม่อยากทำ  เป็นเพราะบาปในตัวของท่านนี่เป็นการเน้น ย้ำ สิ่งที่กล่าวมาแล้วในข้อสิบห้า คือทำสิ่งที่ตัวเองเกลียดชังและข้อสิบเจ็ดที่ผ่านมาคือบาปนั่นแหละเป็นผู้กระทำ  ที่สำคัญคือ เมื่อเราเป็นคนใหม่ในพระเจ้า เราจะเห็นบาปที่เราทำอย่างชัดเจน เพราะเป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับความเป็นคนใหม่ ถ้าเรายังไม่เกิดใหม่ เราจะไม่รู้สึกรู้สาอย่างที่ท่านเปาโลกำลังรู้สึกเลย 

โรม 7:21-23
ส่วนลึกตรงนี้คือความคิด จิตใจที่ยินดีในพระเจ้าในการที่จะอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า (เอเฟซัส 3:16) แต่แล้ว ยังมีอำนาจหนึ่งที่ทำงานในตัว เป็นอำนาจที่จับตัวของท่านเปาโลให้เป็นเชลย  อะไรกันนี่? ท่านเปาโลพยายามจะบอกอะไร?  ท่านชี้ให้เราเห็นถึงกฎแห่งบาป นี้คือการที่มนุษย์มีแนวโน้มที่จะดื้อต่อสิ่งที่รู้ว่าถูกต้อง รู้ดี รู้ชั่วทั้งหมด เราต่างถูกบาปจับกุมตัวไปเป็นเชลย… นี่เป็นสภาพของมนุษย์ทุกคน 

โรม 7:24-25
ถึงแม้ว่าเราจะเชื่อวางใจพระเจ้า แต่เราก็ยังมีธรรมชาติบาปที่กระตุ้นให้เราทำสิ่งที่นำไปสู่ความตายเสมอ ท่านเปาโลเตือนให้เราไม่ปล่อยตัวไปตามนิสัยบาป (กาลาเทีย 5:13) เราจึงต้องคอยอธิษฐานเผื่อกันและกันไม่ให้ตกหลุมพรางของบาปถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้มาเพื่อช่วยเราแล้ว เราก็จะตกในหลุมนี้ไปตลอด ศาสนาใด ๆ จึงช่วยเราไม่ได้เราต้องการฤทธิ์เดชแห่งการคืนพระชนม์ให้เราพ้นจากกฎแห่งบาปนี้ 

พระคำเชื่อมโยง

โรม 7
2* 1โครินธ์  7:39
3* มัทธิว 5:32
4* กาลาเทีย 2:19; 5:18, 22
5* โรม 6:13; ยากอบ 1:15
6* โรม 2:29

7* โรม 3:20; อพยพ 20:17; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:21; กิจการ 20:33
8* โรม 4:15
10* เลวีนิติ 18:5
12* สดุดี 19:8
14* 2 พงศ์กษัตริย์ 17:17

15* กาลาเทีย 5:17
18* ปฐมกาล 6:5; 8:21
22* สดุดี 1:2; 2 โครินธ์ 4:16
23* กาลาเทีย 5:17; โรม 6:13,19
24* 1 โครินธ์  15:51-52
25* 1 โครินธ์  15:57


โรม 6 เป็นอิสระจากบาปแล้ว!

โรม 6:1-2
ดังนั้น  ท่านคิดว่าเราควรทำบาปต่อไป
เพื่อว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณ
มากขึ้นอย่างนั้นหรือ? จะไม่เป็นเช่นนั้น!
ในเมื่อเราตายต่อบาปแล้ว
เราจะใช้ชีวิตในบาปได้อย่างไร?

โรม 6:3
ท่านไม่รู้หรือว่า
เราทุกคนที่ได้รับบัพติศมา
ในพระเยซูคริสต์
เท่ากับเราบัพติศมาเข้าไปใน
ความตายของพระองค์?

โรม 6:4-5
เมื่อเราได้รับบัพติศมาในความตายนั้น เราก็ถูกฝังกับพระคริสต์ และมีส่วนร่วมในความตายของพระองค์ ดังนั้น เมื่อ
พระคริสต์ทรงฟื้นจากความตายโดยพระสิริของพระบิดา เราเองก็จะดำเนินตามชีวิตใหม่ เพราะหากเราได้เป็นหนึ่งเดียวในการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการคืนพระชนม์เช่นกัน

โรม 6:6-7
เรารู้ว่า ชีวิตเก่าของเราถูกตรึงตายไปกับพระคริสต์บนไม้กางเขน เพื่อว่าตัวบาปในเราจะไม่มีอำนาจเหนือเรา
และเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป คนที่ตายไป ก็เป็นอิสระจาก
การครอบงำของบาป 

โรม 6:8-9
หากเราตายกับพระคริสต์ เราเชื่อว่า
เราก็จะได้มีชีวิตกับพระองค์ด้วยพระคริสต์ทรงถูกทำให้คืนพระชนม์จากความตาย พระองค์จะไม่สิ้นพระชนม์อีก
ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป


โรม 6:10-11
เมื่อพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์นั้นก็เพื่อทำลายอำนาจของบาป ครั้งเดียวเป็นพอ พระองค์ทรงมีชีวิตก็เพื่อพระเจ้า เช่นเดียวกัน  ท่านควรจะถือว่า ท่านเองตายต่อบาป และมีชีวิตเพื่อพระเจ้า
ในองค์พระเยซูคริสต์

โรม 6:12-13
ดังนั้น อย่าปล่อยให้บาปครอบงำร่างกายที่ไม่ยั่งยืนของท่าน ซึ่งทำให้ท่านยอมตอบสนองความต้องการของบาป อย่ามอบส่วนใด ๆ ของร่างกายให้แก่อำนาจบาปเป็นเครื่องมือทำความชั่ว แต่ให้ถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า ดั่งเหล่าคนที่ฟื้นจากความตายและถวายร่างกายของท่านแด่พระองค์ให้เป็น
เครื่องมือแห่งความเที่ยงธรรม 

โรม 6:14-15
เพราะบาปจะไม่มีอำนาจเหนือท่านต่อไปเนื่องจากท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ  ถ้าอย่างนั้นเราควรทำอะไร? เราควรทำบาปเพราะว่าเราอยู่ใต้พระคุณไม่ใช่อยู่ใต้บทบัญญัติใช่ไหม? จะไม่เป็นเช่นนั้น!

โรม 6:16
ท่านไม่รู้หรือว่า เมื่อท่านยอมตัวเองให้เป็นทาสที่เชื่อฟังของใครก็ตาม ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟัง  ไม่ว่าจะเป็นทาสบาปซึ่งนำไปสู่ความตายหรือเป็นทาสการเชื่อฟัง ซึ่งนำสู่ความเที่ยงธรรม

โรม 6:17-18
ในอดีต ท่านเคยเป็นทาสบาปแต่ขอบคุณพระเจ้าที่ท่านได้เชื่อฟังคำสอนที่ท่านได้รับอย่างสุดใจ (อย่างเต็มใจ)ท่านเป็นอิสระจากบาปแล้ว บัดนี้ท่านเป็นทาสของความเที่ยงธรรม

โรม 6:19
ข้าพเจ้าใช้ตัวอย่างแบบมนุษย์นี้ เพราะเป็นเรื่องยากที่ท่านจะเข้าใจ ในอดีตท่านเคยมอบอวัยวะส่วนต่าง ๆ ให้เป็นทาสบาปและความชั่วช้าที่เพิ่มมากขึ้น  บัดนี้ จงมอบอวัยวะของท่านให้เป็นทาสแห่งความเที่ยงธรรม ซึ่งนำไปสู่การชำระให้บริสุทธิ์

โรม 6:20-21
ในเวลาที่ท่านเป็นทาสบาป ความเที่ยงธรรมไม่ได้ครอบครองเหนือชีวิตของท่าน  ท่านได้รับผลอะไร จากการทำสิ่งต่าง ๆ ซึ่งตอนนี้ท่านกลับรู้สึกละอาย?ผลของสิ่งเหล่านั้นคือความตาย

 


โรม 6:22-23
แต่บัดนี้ ท่านพ้นการเป็นทาสบาปและมาเป็น
ทาสของพระเจ้าแล้ว  ผลที่ได้รับนำไปสู่การ
ชำระให้บริสุทธิ์ ผลสุดท้ายคือทำให้ท่านได้
รับชีวิตนิรันดร์ เพราะค่าจ้างของความบาป
คือความตาย แต่ของประทานที่พระเจ้า
ประทานให้ คือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์
องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

โรม 6:1-2
ไม่ว่าเราจะมีอดีตอย่างไร  คนที่เชื่อและพระเจ้าทรงประกาศว่าพ้นผิด จะมีประสบการณ์ชีวิตใหม่(ท่านเป็นพยานจากชีวิตของท่านเองด้วยใน 1 ทิโมธี 2:12-17 เรียกว่า justification ซึ่งหมายถึงการที่พระเจ้าทรงประกาศเองว่าคนหนึ่งเป็นคนที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์  คนนั้นจะไม่ห่วงทำบาปเหมือนในอดีต แต่ตั้งต้นใช้ชีวิตถูกต้องกับพระเจ้า คำว่า ตายต่อบาปคือเลิกชีวิตในอดีตที่ทำบาปอย่างคุ้นเคย 

โรม 6:3
คำว่าบัพติศมาตรงนี้เป็นการเปรียบเทียบว่า เมื่อคนหนึ่งมารับเชื่อพระเยซู เขาได้รับการบัพติศมาเข้าไปในพระกายนั่นคือ “เมื่อฉันเชื่อวางใจพระเยซู
คริสต์เท่ากับฉันได้
ผูกพัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์  ความตายของพระองค์คือความตายของฉันด้วย” ตายต่อตัวเก่าที่ฉันเคยมี  บทนี้ท่านเปาโลกำลังเริ่มสอนเรื่องการแยกชีวิตของคน ๆหนึ่งให้เป็นคนบริสุทธิ์ เพื่อทำตามพระประสงค์ ของพระเจ้าที่มีต่อเขา เราเรียกว่า sanctification คือการชำระชีวิตให้บริสุทธิ์

โรม 6:4-5
การตายไปกับพระคริสต์ และถูกฝังนั่นคือจบชีวิตเก่า แต่เมื่อพระคริสต์ทรงคืนพระชนม์ ก็เท่ากับเรามีส่วนในการฟื้นจากตายด้วย พระเจ้าประทานชีวิตใหม่ให้ คนจำนวนมากที่กลับมาหาพระเจ้ามีประสบการณ์นี้ชัดเจน ชีวิตกับบาปเก่า ก็ตายไปไม่มีชีวิตอย่างนั้นอีก  แล้วเขากลายเป็นคนใหม่ที่ดำเนินชีวิตตามพระเจ้าอย่างไม่คาดคิดว่าจะมีการพลิกชีวิตแบบนี้ได้  ชีวิตแบบอาดัมไม่เหลือกลายเป็นชีวิตอย่างพระคริสต์ 

โรม 6:6-7
ย้อนกลับไปเรื่องการตายในพระคริสต์ คนที่ตายไปคือ คนที่อยู่ใต้อำนาจบาป ใต้อาดัม  ชีวิตบาปเดิมนั้น ถูกตรึงบนไม้กางเขนกับพระเยซูไปแล้ว ท่านเปาโลพยายามอธิบายความจริงยากจะเข้าใจให้ชัดเจน  พอมาเชื่อพระเยซู บาปไม่มีอิทธิพลครอบงำต่อไป คนเก่าตายไป บาปก็ไม่มีฤทธิ์เหนือคนเก่านั้น เพราะตายไปแล้ว ถูกตรึง ตายสนิทคำว่าเป็นอิสระ ในข้อ7 ภาษากรีกมาจากคำว่า δικαιόω ไดคาโยโอ คือเที่ยงธรรม ไม่ผิด ถูกประกาศว่าพ้นผิดแล้ว

โรม 6:8-9
ตัวบาปในเราตายไปแล้ว เราก็เชื่อ ความเชื่อนี้สำคัญ เราเชื่อที่พระเจ้าทรงบอกเราว่าสถานภาพของเราหลังจากตายและฟื้นในพระคริสต์คือพ้นผิดได้รับการชำระ ก็คืออย่างนั้น  ท่านเปาโลเน้นย้ำว่าพระเยซูไม่ต้องสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปมนุษย์อีก ครั้งเดียวพอ โคโลสี 1:13 แจ้งชัดเจนว่า พระเยซูทรงนำเราออกจากอาณาจักรมืด มาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ นี่คือความจริง… เรารับการไถ่บาป และชำระให้บริสุทธิ์แล้ว! 

โรม 6:10-11
มหัศจรรย์!การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูมีฤทธิ์ในการทำลายอำนาจของบาปในชีวิตของผู้ที่เชื่อวางใจ  ในวันนี้ พระเยซูทรงพระชนม์อยู่เคียงข้างพระบิดาในแผ่นดินสวรรค์  ท่านเปาโลให้เราถือว่า เราเองก็ตายต่อบาปและมีชีวิตเพื่อพระเจ้า นี่เป็นสิ่งที่คริสเตียนควรตระหนักคริสเตียนจำนวนมากยังคงคิดแค่ว่าพระเจ้าทรงรักพระเจ้าทรงดี เราต้องถือว่า/ตัดสินใจว่า/สรุปว่า/คิดว่า ตัวเองตายต่อบาปและมีชีวิตเพื่อพระเจ้า!

โรม 6:12-13
แต่ถึงอย่างนั้น ในชีวิตจริงของคริสเตียน บาปยังเป็นปัญหาอยู่ เพราะว่าเราอยู่ในโลกที่มีความบาประบาดทั่วไปหมด เราไม่ได้ฝึกฝนตอบโต้ต่อบาป
เหมือนอย่างทหารที่ฝึกฝนเพื่อต่อสู้กับศัตรู  เรามักเฉย ๆ ต่อบาปรอบข้างเรา มันจึงยังมีผลต่อชีวิต ท่านเปาโลเน้นที่ร่างกายของเราคืออวัยวะต่าง ๆ ทั้งความคิด จิตใจ เราต้องไม่ยอมให้บาปครอบงำ ไม่ยอมฟัง ดู คิดตามอย่างที่โลกเสนอให้คิด  ไม่ยอมตอบสนองความต้องการของบาป 

โรม 6:14-15
โรม3:31 กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นเท่ากับเราล้มเลิกบทบัญญัติด้วยการใช้ความเชื่ออย่างนั้นหรือ? เปล่าเลย..จะไม่เป็นเช่นนั้น..ความเชื่อต่างหากที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างที่บทบัญญัติต้องการ   บทบัญญัติทำให้เราเห็นว่า ในใจของมนุษย์นั้นมีอะไรที่เบี่ยงเบนไปจากมาตรฐานของพระเจ้า ด้วยความเชื่อ…พระคุณของพระเยซูคริสต์ทำให้ผู้เชื่อได้อยู่ในพระคริสต์ ทำให้พวกเขามีใจอย่างพระองค์จึงต่อต้านความบาปและทำสิ่งที่ถูกต้อง 

โรม 6:16
ท่านเปาโลขอให้พี่น้องเป็นทาสของสิ่งที่ถูกต้องคือทาสการเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ใช่ทาสบาป เราต้องไม่เชื่อฟังบาปเหมือนอย่างในอดีต บางทีผู้เชื่อมองเรื่องบาปเป็นเรื่องเล็ก ทำไป แล้วก็ขอพระเจ้ายกโทษทีหลัง เพราะอยากทำบาปนั้นมาก  บาปอยู่ตรงหน้า และดูว่าทำแล้วมีความสุขกว่าที่จะไม่ทำ  ตรงนี้เท่ากับเขากลับไปเป็นทาสบาปอีก ท่านเปาโลจึงเตือนให้อย่ายอมเป็นทาสบาป เพราะนั่นเป็นหนทางไปสู่ความตาย 

โรม 6:17-18
พี่น้องชาวโรมและพวกเราทุกคนเคยเป็นทาสบาป … แต่จะพ้นจากการเป็นทาสบาปได้ก็โดยการเชื่อ และเชื่อฟังคำสอนที่ท่านเปาโลพยายามสอนอยู่อย่างสุดใจ ไม่ใช่แค่รับไว้แบบหูทวนลมในโลกโบราณ การเป็นทาสคือนายทาสจะมีสิทธิ เหนือชีวิตของทาสคนนั้น เมื่อเราเป็นทาส ความเที่ยงธรรมคือ เป็นคนถูกต้องกับพระเจ้า เราก็ลาจากนายทาสเดิมคือบาปร้ายสารพัดแบบที่คอยกัดกินชีวิตทุกวัน

โรม 6:19
พี่น้องชาวโรมและเราต่างเคยตามใจความต้องการของตนเอง อยากทำอะไรก็ทำ เช่นพูดให้ร้าย นินทาหรือผิดเรื่องเพศ โดยไม่รู้สึกผิดต่อ ตนเอง คนอื่น
หรือพระเจ้าเลย บางคนมีคติว่า “ฉันจะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน” แต่ความจริงคือ ทุกสิ่งที่เราทำลงไป ต่างส่งผลให้คนอื่นเสมอท่านเปาโลให้เราชนะบาปที่เคยเป็นนายทาสเราด้วยการมอบชีวิต จิตใจ ร่างกาย ให้เป็นทาสพระเจ้าเพื่อพระเจ้าจะทรงชำระ แยกเราไว้ให้บริสุทธิ์

โรม 6:20-21
ตอนที่คน ๆ หนึ่งเชื่อฟังบาปนั้น เขาไม่มีความอายในสิ่งที่ทำไป มีคนไม่น้อยที่กลับมาหาพระเจ้าแล้วจะรู้สึกอับอายกับสิ่งที่เคยชอบ สิ่งที่เคยอวด อาย
กับคำพูดใส่ร้ายผู้อื่นที่เคยมีแค่ความสะใจ อายกับการข่มเหงคนที่ต่ำต้อยกว่า การยกตัวข่มท่าน ซึ่งแต่ก่อนสิ่งเหล่านี้เป็นความภูมิใจที่ได้ทำ ด้วย
พระคุณ พระเจ้าทรงนำคนที่เคยหลงตัวกลับมาหาพระองค์ เขานี่แหละ จะเป็นคนที่เข้าใจดีว่า สิ่งที่น่าละอายเหล่านั้นนำสู่ความตายอย่างไร 

โรม 6:22-23
การจบการเป็นทาสบาป มาเป็นทาสของพระเจ้า ทำให้เราได้รับการประกาศว่าพ้นผิด และพระเจ้าทรงเพิ่มการชำระชีวิตให้บริสุทธิ์ด้วย ทั้งสองขั้น
ตอนนี้ นำให้เรามีชีวิตใหม่ เป็นของพระเจ้าผู้เดียว
ส่วนความตายที่ท่านเปาโลกล่าวถึงคือ การแยกจากพระเจ้าเป็นนิตย์   ชีวิตนิรันดร์คือการที่อยู่กับ
พระเจ้าตลอดไป ซึ่งเริ่มตั้งแต่ที่เราอยู่ในโลกนี้ ติดสนิทกับพระเยซูทุกวัน เรื่อยไปจนกระทั่ง แม้จากโลกนี้ ก็จะยังอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ ไม่จากกันเลย

พระคำเชื่อมโยง

โรม 6
1* โรม 3:8; 6:15
2* กาลาเทีย 2:19
3* กาลาเทีย 3:27
4* โคโลสี 2:12; 1โครินธ์ 6:14 ;ยอห์น 2:11; กาลาเทีย 6:15
5* ฟีลิปปี 3:10
6* กาลาเทีย 2:20; 5:24; 6:14; โคโลสี 2:11


7* 1 เปโตร 4:1
8* 2 ทิโมธี 2:11
9* วิวรณ์ 1:18
10*  ฮีบรู 9:27; ลูกา 20:38
11* โรม 6:2; 7:4,6; กาลาเทีย 2:19
12* สดุดี 19:13
13* โคโลสี 3:5; 1 เปโตร 2:24; 4:2
14* กาลาเทีย 5:18

15* 1 โครินธ์  9:21
16* 2 เปโตร 2:19
17* 2 ทิโมธี 1:13
18* ยอห์น 8:32
20* ยอห์น 8:34
21* โรม 7:5; 1:32
22* โรม 6:18; 8:2
23* ปฐมกาล 2:17;1 เปโตร 1:4