มัทธิว 6 ทัศนคติที่แตกต่าง

 เรื่องของการให้

1 จงระวัง เมื่อเจ้าทำดี อย่าทำต่อหน้าคนอื่นเพื่อให้พวกเขาเห็น หากเจ้าทำอย่างนั้น เจ้าจะไม่ได้รับรางวัลจากพระบิดาของเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ 
2  ดังนั้น เมื่อเจ้าให้ของแก่คนยากจน อย่าทำตัวเหมือนพวกที่หน้าซื่อใจคด พวกเขามักเป่าแตรในศาลาธรรม ตามถนนเพื่อคนจะได้เห็นและชื่นชมตัวเขา เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า คนหน้าซื่อใจคดเหล่านั้น ได้รางวัลไปแล้ว
3 ดังนั้น เมื่อเจ้าให้แก่คนยากคน
อย่าให้มือซ้ายรู้ว่ามือขวาทำอะไร 
4 เจ้าควรให้แก่ผู้อื่นอย่างลับ ๆ  พระบิดาของเจ้าทรงเห็นสิ่งที่เจ้าทำเป็นการลับจะทรงให้รางวัลแก่เจ้า  

พระเจ้าทรงสอนเรื่องการอธิษฐาน

5 เมื่อเจ้าอธิษฐาน อย่าทำตัวเหมือนคนหน้าซื่อใจคด พวกเขาชอบยืนในศาลาธรรม และตามมุมถนน และอธิษฐานเพื่อให้ใคร ๆ เห็น  เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า พวกเขาได้รับรางวัลเต็มที่แล้ว
6 เมื่อเจ้าอธิษฐาน เจ้าควรเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู และอธิษฐานต่อพระบิดาของเจ้าผู้ที่ไม่มีใครเห็นได้  พระบิดาทรงเห็นว่าเจ้าได้ทำอะไรในที่ส่วนตัวนั้น และพระองค์จะประทานรางวัลแก่เจ้า
7 “และเมื่อเจ้าอธิษฐานอย่าทำตัวเหมือนคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า พวกเขาคิดว่าการพูดซ้ำไปซ้ำมา จะเป็นคำที่ได้ยิน
8 อย่าทำเหมือนพวกเขาเลย เพราะพระบิดาของเจ้าทรงรู้ถึงความจำเป็นของเจ้าก่อนที่เจ้าจะทูลขอ

ทรงสอนเรื่องการอธิษฐานต่อพระบิดา

9 ดังนั้นเมื่อเจ้าอธิษฐาน ควรอธิษฐานอย่างนี้ว่า
‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์
ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพอย่างบริสุทธิ์

10 ขอให้แผ่นดินของพระองค์ลงมาตั้งอยู่
 ขอให้พระประสงค์ทั้งสิ้นสำเร็จในแผ่นดินโลก
เช่นเดียวกับที่สำเร็จในแผ่นดินสวรรค์

11 ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย  12 ขอทรงอภัยบาปให้แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย

เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้อภัยให้แก่คนที่ทำผิดต่อข้าพเจ้าทั้งหลาย
13 ขออย่าทรงนำข้าพเจ้าทั้งหลายเข้าไปในการทดลอง แต่ขอทรงช่วยกู้ให้พ้นจากมารร้าย 
(ราชอาณาจักร ฤทธานุภาพ และพระเกียรติสิริตระการเป็นของพระองค์เป็นนิตย์ อาเมน)


14 เพราะหากเจ้ายกโทษให้กับผู้อื่นที่ทำผิดต่อเจ้า พระบิดาของเจ้าผู้สถิตในสวรรค์จะทรงยกโทษให้เจ้าเช่นกัน
15  แต่หากเจ้าไม่ยกโทษให้ผู้อื่น พระบิดาของเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ก็จะไม่ยกโทษบาปเจ้าเช่นกัน
 
ทรงสอนเรื่องการนมัสการพระเจ้า
16 เมื่อเจ้าอดอาหาร (เพื่ออธิษฐาน) อย่าทำหน้าเศร้า หดหู่เหมือนกับคนหน้าซื่อใจคด  พวกเขาทำหน้าดูเศร้าหมองเพื่อให้คนรู้ว่า กำลังอดอาหารอยู่  เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า คนหน้าซื่อใจคดเหล่านั้น ได้รับรางวัลของเขาไปแล้ว 
17 ดังนั้นเมื่อเจ้าอดอาหาร จงพรมน้ำมันบนหัวของเจ้าและล้างหน้า
18 ใคร ๆ จะไม่รู้ว่าเจ้ากำลังอดอาหารอยู่ แต่พระบิดาของเจ้าผู้สถิตในที่ลี้ลับทรงเห็นสิ่งที่ทำเป็นการลับ พระองค์จะประทานรางวัลแก่เจ้า  

พระเจ้าทรงสำคัญกว่าทรัพย์สมบัติ

 19 อย่าสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวเองในโลกซึ่งแมลงและสนิมทำลายได้ และโจรสามารถบุกเข้ามาและฉกชิงเอาไปได้
20 แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ซึ่งไม่อาจถูกทำลายโดยแมลงหรือสนิม และโจรไม่อาจบุกเข้าไปและฉกชิงเอาไปได้
21 ทรัพย์ของเจ้าอยู่ที่ไหน ใจของเจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วย    

ความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์

22 ดวงตาเป็นดั่งตะเกียงของร่างกาย หากสุขภาพดวงตาของเจ้าดี ร่างกายก็จะเต็มด้วยความสว่าง
23 แต่หากสุขภาพดวงตาไม่ดี ชั่วร้าย ร่างกายก็จะเต็มด้วยความมืด และหากแสงเดียวที่เจ้ามีเป็นความมืดแล้ว ความมืดในตัวเจ้าจะมืดมนเพียงไหน!

24 ไม่มีใครสามารถเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้จริง เขาจะเกลียดนายคนหนึ่ง และรักอีกคน หรือจะสวามิภักดิ์ต่อนายคนหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกคน ดังนั้น เจ้าจะรับใช้ทั้งพระเจ้าและความมั่งคั่งพร้อมกันไม่ได้ 


อย่ากังวลไป
25 “ดังนั้น เราขอบอกเจ้าว่า อย่าเป็นกังวลเรื่องอาหารหรือน้ำที่จำเป็นเพื่อต่อชีวิต หรืออย่ากังวลเรื่องเสื้อผ้าที่เจ้าต้องการ ชีวิตนั้นมีค่ายิ่งกว่าอาหารและร่างกายก็สำคัญกว่าเสื้อผ้า
26 จงพิจารณาดูนกในอากาศ มันไม่หว่าน ไม่เก็บเกี่ยวหรือสะสมอาหารในยุ้งฉาง แต่พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูพวกมัน  และเจ้าก็รู้ว่า ตัวเจ้ามีค่ายิ่งกว่านกทั้งหลาย
27 มีใครในพวกเจ้าที่สามารถต่อชีวิตให้ยืนยาวไปอีกสักศอกด้วยความวิตกกังวลเล่า?
28 “แล้วเหตุใดเจ้าจะต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้า จงดูว่าดอกพลับพลึงในทุ่งหญ้างอกงามขึ้นอย่างไร  มันไม่ทำงานหรือปั่นด้าย


29 แต่เราขอบอกเจ้าว่า แม้แต่ในความสง่างามสูงส่งของกษัตริย์โซโลมอน ก็ยังไม่ได้งามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง
30 หากพระเจ้าทรงตกแต่งดอกไม้ในทุ่งซึ่งมีชีวิตวันนี้ แต่วันต่อมาจะถูกโยนเผาไฟ  พระเจ้าจะไม่ทรงตกแต่งเจ้ายิ่งกว่านั้นอีกหรือ โอ.. เจ้าคนที่มีความเชื่อน้อยนิด

31 อย่ากังวลและกล่าวว่า ‘เราจะกินอะไร?’  หรือ ‘เราจะดื่มอะไร?’ หรือ ‘เราจะสวมอะไร?’
32 เพราะคนที่ไม่รู้จักพระเจ้านั้น ต่างตามหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงรู้ว่าเป็นความจำเป็นของเจ้า
 
33 จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และพระประสงค์เสียก่อน แล้วพระองค์จะประทานสิ่งเหล่านี้ให้เจ้าเอง
34 ดังนั้นเจ้าต้องไม่กังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ก็มีสิ่งที่วันพรุ่งนี้ต้องดูแล  แต่ละวันก็มีเรื่องทุกข์ร้อนใจพอเพียงแล้ว   

อธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 6:1-4
ความคิดเรื่องการให้ของพระเยซูแตกต่างจากโลกอย่างสิ้นเชิง เพราะใคร ๆ ก็อยากดูดี เป็นคนใจกว้าง เมตตาต่อผู้อื่น ดังนั้นจึงมีการให้แบบที่โด่งดัง มีวิธีการสร้างอีเวนท์ให้ผู้คนได้เห็นว่า กลุ่มของฉัน ครอบครัวของฉัน ตัวฉัน ทำอะไรเพื่อใครบ้าง ยิ่งสมัยนี้ ยิ่งเห็นชัดแจ้งว่า ใครได้รางวัลจากโลกไปแล้ว
ในโลกโบราณนั้นการให้ของแก่คนยากจนเป็นความดีที่ทุกคนยกย่อง และก็มีคนโอ้อวด แต่พระเจ้าให้เราทำในที่คนไม่เห็น เราไม่ต้องบอกใคร แต่พระเจ้าทรงเห็น ดังนั้น พระองค์จะทรงเป็นผู้ประทานรางวัล
น่าเสียดายที่คนช่างอวดจะได้รับรางวัลที่อาจมีความสุขในวันที่ได้ แต่ไม่นานทุกคนก็จะลืมไป ต่างจากรางวัลที่พระเจ้าประทานซึ่งยั่งยืนเป็นนิตย์
**คำ “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า” ในภาษาเดิมว่า อาเมน

มัทธิว 6: 5-8
เรื่องการทำดีอีกเรื่องคือการอธิษฐานต่อพระเจ้า คนที่หน้าซื่อ ๆ แต่ใจคดนั้น ชอบประกาศตัวให้รู้ว่า เขาอธิษฐานอย่างไรบ้าง ดังนั้นวิธีการของพวกเขาคือ ต้องไปยืนในศาลาธรรม ตามมุมถนนให้คนได้เห็น ได้ชื่นชม
แต่พระเจ้าทรงให้เราอธิษฐานโดยไม่มีใครเห็น .. พระองค์ทรงเห็น และทรงสัญญาประทานรางวัลให้ เรื่องนี้สุดยอดเลย เมื่อเราอธิษฐานส่วนตัว แม้จะเป็นคนเดียว พระเจ้าก็ทรงตอบ
อีกอย่างหนึ่งคือ อย่าอธิษฐานแบบสวด กล่าวคำซ้ำ ๆ ที่คิดว่า ศักดิ์สิทธิ์มีพลัง เพราะนั่นไม่ใช่พลังแต่กลับเป็นคำซ้ำที่ไร้ความหมาย พลังมาจากการอธิษฐานด้วยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มาจาก การอธิษฐานอย่างร้อนรน (ยากอบ 5:16, โรม 8:26-27)

มัทธิว 6:9-13
คำอธิษฐานที่พระเยซูทรงสอนสาวกนั้น แบ่งเป็นสองตอนสำคัญ ช่วงแรกเป็นการมุ่งที่องค์พระเจ้าพระบิดา ช่วงที่สองเป็นเรื่องของพวกเรา
พระเยซูทรงสอนให้เรามุ่งใจไปที่พระเจ้าก่อนตนเอง เริ่มต้นด้วยคำว่า พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ไม่ได้กล่าวว่า พระบิดาของฉัน (คนเดียว) พระเยซูทรงให้เรารู้ว่า คนทั้งโลกที่เชื่อในพระองค์นั้น เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพอย่างบริสุทธิ์ คือขอให้ทุกคนในโลกนี้ได้เคารพพระนามของพระองค์เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์ ทุกคนควรจะเคารพพระนามยิ่งใหญ่นี้
ขอให้แผ่นดินของพระองค์ลงมาตั้งอยู่ เมื่อไรที่พระเมสสสิยาห์คือพระเยซูทรงมาครองครอง เท่ากับแผ่นดินนั้นมาตั้งในโลกนี้อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อนั้นคำอธิษฐานดังกล่าวจะสำเร็จ นั่นหมายความถึงพระองค์ทรงปราบบาปทั้งสิ้นให้หมดไป ขอให้พระประสงค์ทั้งสิ้นสำเร็จในแผ่นดินโลก
เช่นเดียวกับที่สำเร็จในแผ่นดินสวรรค์
ตอนนี้พระเยซูประทับในสวรรค์
ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงประสงค์
ต่อมาเป็นคำของเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องการเลี้ยงดูของพระเจ้า
คือ อาหารประจำวัน การที่พระเจ้าจะทรงชำระบาปทั้งสิ้น (โดยที่มีเงื่อนไขว่า เราได้อภัยคนที่ทำผิดต่อเราด้วย เรื่องนี้ต้องสำคัญมากเพื่อจะไม่มีอะไรมาขัดขวางคำอธิษฐานของเรา เพราะบาปสามารถกั้นคำอธิษฐานของเราได้ อิสยาห์ )
คำขอสุดท้ายเป็นการขอเพื่อพระเจ้าจะทรงให้เราพ้นจากศัตรูที่คอยวนเวียนพยายามจับคนที่มันจะกัดกินได้ เรื่องนี้ เราควรอธิษฐานทั้งเผื่อตนเองและเพื่อน ๆของเราที่อาจถูกมารรังควาญ เผื่อเด็กเล็ก ๆ ที่เขาจะพ้นจากสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ที่พวกเขาเจอระหว่างอยู่ที่โรงเรียน อยู่กับเพื่อน
จบคำอธิษฐาน
แล้วจบคำอธิษฐานด้วยการยกย่องพระเจ้า ให้เราตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ตระการของพระองค์

มัทธิว 6:14-15
เรื่องการยกโทษเป็นสิ่งที่ทำแสนยากแสนเย็น เพราะเมื่อใครทำผิดต่อเรา เราก็มักคิดซ้ำย้ำอยู่อย่างนั้นว่าเขาทำไม่ดี เขาตั้งใจ เขาไม่ซื่อฯลฯ แต่พระเจ้าทรงให้เราลืม และยกโทษให้ ไม่หาทางแก้แค้น แต่ลืมไป แถมยังสอนให้เราอธิษฐานเผื่อเพื่อเขาจะได้สิ่งดีที่สุด (มัทธิว 5:44)

มัทธิว 6:16-18
จะอดอาหารอธิษฐานก็อย่าไปทำให้ใครเขารู้ แน่นอนมีบางครั้งที่เราทำการอธิษฐานอดอาหารเป็นกลุ่มเพื่อรวมพลังเข้าเฝ้าพระเจ้า แต่ไม่ว่าจะทำเดี่ยวหรือทำกลุ่ม แรงจูงใจข้างในนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมองพระเยซูถึงกับบอกให้เราแต่งตัว ทำผม พรมน้ำมันให้ดูดี เป็นการปิดบังไม่ให้ใครรู้ว่า เรากำลังอดอาหารอธิษฐานอยู่

มัทธิว 6:19-21
เรื่องทรัพย์สมบัติ การที่บอกว่า อย่าสะสม.. หมายถึงอย่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นที่หนึ่งในชีวิต แต่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราทำแล้วมีรางวัลจากพระเจ้าเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะใจเราให้ความสำคัญกับสิ่งใด เราก็จะหมกมุ่นกับสิ่งเหล่านั้น
การรักเงินทองเป็นรากแห่งความชั่วสารพัด (1 ทิโมธี 6:10) และยากอบก็ได้เตือนว่าวันหนึ่งคนมั่งมีจะพบวิบัติแบบที่หายนะเกิดขึ้นกับทรัพย์แสนรักของพวกเขา และสิ่งเปล่านั้นจะเป็นหลักฐานว่า เขาใช้ชีวิตในโลกแบบไหน (ยากอบ 5:1-3)
อีกด้านของการสะสมทรัพย์นี้คือ ความตระหนี่ที่ไม่ยอมแบ่งให้ใคร การที่ใครคนหนึ่งมีมากมาย ก็เพื่อเอื้อเฟื้อกับคนอื่นด้วยวิธีต่าง ๆ ในสถานการณ์ที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการให้เปล่า การสร้างงาน การสร้างคนมีคุณภาพ ฯลฯ เพื่อให้ทุกคนมีชีวิตอย่างเป็นสุข มัทธิว 6:22-23
เรามองเห็นทุกอย่างได้เพราะแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาในโลก สายตาที่ดีรับแสงเข้ามา ให้แสงนั้นทำงาน และเขาก็มองเห็นทุกอย่าง เขาเห็นสิ่งดีก็รับไว้ สิ่งชั่วเขาก็หลีกหนีไปได้ ส่วนคนที่ตามืดมัวปล่อยให้ร่างกายอยู่ในความมืด พวกเขาก็ไม่อาจได้ประโยชน์จากแสงสว่างได้เลย ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ ถึงจะพยายามก็มองไม่เห็น ชีวิตจึงอยู่ในสภาพที่เลวร้าย
พระเยซูทรงเน้นว่า สายตาดีจะทำงานอย่างดี เป็นสัญญาณทำให้เห็นว่า คนๆ นั้นมีสุขภาพของวิญญาณดี

มัทธิว 6:22-23
เรามองเห็นทุกอย่างได้เพราะแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาในโลก สายตาที่ดีรับแสงเข้ามา ให้แสงนั้นทำงาน และเขาก็มองเห็นทุกอย่าง เขาเห็นสิ่งดีก็รับไว้ สิ่งชั่วเขาก็หลีกหนีไปได้ ส่วนคนที่ตามืดมัวปล่อยให้ร่างกายอยู่ในความมืด พวกเขาก็ไม่อาจได้ประโยชน์จากแสงสว่างได้เลย ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ ถึงจะพยายามก็มองไม่เห็น ชีวิตจึงอยู่ในสภาพที่เลวร้าย
พระเยซูทรงเน้นว่า สายตาดีจะทำงานอย่างดี เป็นสัญญาณทำให้เห็นว่า คนๆ นั้นมีสุขภาพของวิญญาณดี

มัทธิว 6:24
การเลือกระหว่างสองนาย ก็เหมือนการเลือกระหว่างทรัพย์ในโลกกับทรัพย์ในสวรรค์ เหมือนกับการเลือกสว่างหรือมืด (ความมั่งคั่งที่ว่านี้ ในภาษาเดิมเรียก มาโมนา  μαμωνᾶ หมายถึงความร่ำรวย เงิน ทรัพย์สมบัติ ) เราทุกคนต้องเลือกว่าจะรับใช้ใครให้ชัดเจน การมีสองใจพระเจ้าไม่รับ

มัทธิว 6:25-26
ข้อนี้ต่อมาจากเรื่องการที่เราต้องเลือกพระเจ้าองค์นิรันดร์ เหนือการตามหาทรัพย์สมบัติที่แมลงแทะกินได้ พระเยซูทรงบอกให้เราไม่ต้องกังวลกับการเลี้ยงชีวิต นี่ไม่ได้หมายความว่า เราอยู่เฉย ๆ แต่พระเจ้าทรงให้เราทำงานพร้อมไปกับการไว้วางใจพระองค์ นกในอากาศออกไปหาหนอนก็จริง แต่มันก็อยู่ใต้การเลี้ยงดู การจัดหาของพระเจ้า (สดุดี 147:9)

มัทธิว 6:27-28
คนบางคนไม่เข้าใจว่า ความกังวลเป็นเหมือนตัวร้ายที่กัดกร่อนใจที่มั่นคงของเรา มันเป็นศัตรู ไม่ใช่เป็นเพื่อน ทุก ๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามาล้วนสร้างความกังวลใจได้ทั้งสิ้น ผู้คนที่ฟังพระเยซูอยู่นั้น เป็นคนยากจน ไม่ใช่แค่หาเช้ากินค่ำ แต่ยังมีขอทาน แม่ม่ายที่ขาดคนเลี้ยงดู พระเยซูทรงบอกเขาชัดเจนว่า พวกเขามีความหมายต่อพระเจ้า ทรงดูแลนก ทรงดูแลดอกหญ้าที่ขึ้นตามทุ่ง จะทรงดูแลพวกเขายิ่งกว่านั้นอีก!

มัทธิว 6:29-30
สำหรับพระเยซูแล้ว ดอกไม้นี้ยังสวยกว่าความสง่างามขององค์กษัตริย์ที่ทรงเครื่องแต่งกายเต็มยศ คนที่ฟังอยู่จะรู้สึกอย่างไรกับคำตรัสนี้ กษัตริย์ยังไม่งามเท่าและถ้าเรามองแบบคนสมัยใหม่ ในระดับไมโครแล้ว ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะว่านอกจากความความภายนอกแล้ว ความละเอียดซับซ้อนของโครงสร้างดอกไม้ภายในนั้นงดงามจริง ๆ เป็นงานศิลปะที่ไม่มีใครจะเลียนแบบได้เลย
ดอกไม้ในทุ่งที่คนไม่เห็นค่า มีอายุแสนสั้น แต่พระเยซูทรงยืนยันว่า พระเจ้ายังทรงตกแต่งมันอย่างงดงาม พระเจ้าจะทรงตกแต่งคนที่รักพระองค์ให้งามยิ่งกว่า และอย่าลืมว่าความงามดังกล่าวไม่ใช่แบบแฟชั่น ตามมาตรฐานมนุษย์ แต่เป็นความงามที่พระเจ้าทรงปรุงแต่งให้ เป็นความงามที่ยั่งยืน

มัทธิว 6:31-32
มีคนบอกว่า จะหมดความกระวนกระวายได้ก็คือ ให้แผ่นดินของพระเจ้ามาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ให้รู้ว่า พระเจ้าทรงจัดหาให้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าต่างมีคำพยานเรื่องการจัดหาของพระองค์เสมอมา

มัทธิว 6:33-34
แล้วพระเยซูทรงจบด้วยเคล็ดลับสำคัญคือ ในแต่ละวันให้แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และนำ้พระทัยของพระเจ้าก่อน นั่นคือ ให้พระองค์ได้ตรัสกับเราผ่านพระคัมภีร์ ให้เราได้นมัสการพระองค์ ขอบพระคุณตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนที่จะออกไปทำอะไร เป็นความเรียบง่ายที่หากทำทุกวันแล้ว เราก็จะมีวินัยที่ดีในการแสวงหาพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะทรงเพิ่มเติมทั้งปัญญา ความเข้าใจ การเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น ทุกด้าน ดีเกินความคาดหมายของเราเสียด้วยซ้ำ

พระคำเชื่อมโยง

1* มัทธิว 23:5 
2* โรม 12:8 ;มัทธิว 6:5
3* ยอห์น 7:4
4* ลูกา 14:12-14; เยเรมีย์ 17:10
5* ลูกา 18:10-11
6* มัทธิว 14:23
7* ปัญญาจารย์ 5:2; 1 พงศ์กษัตริย์ 18:26
8* โรม 8:26
9* ลูกา 11:2-4; มัทธิว 5:9, 16; มาลาคี 1:11 
10* มัทธิว 26:42
11* สุภาษิต 30:8

12* มัทธิว 18:21
13* 2 เปโตร 2:9; ยอห์น 17:15
14* มาระโก 11:25
15* มัทธิว 18:35
16* อิสยาห์ 58:3-7
17* รูธ 3:3
18* มัทธิว 6:4, 6
19* สุภาษิต 23:4
20* มัทธิว 19:21
21* โคโลสี 3:1-3
22* ลูกา 11:34-35

23* 1 ยอห์น 2:11
24* ลูกา 16:9, 11, 13
25* ลูกา 12:22
26* ลูกา 12:24
27* ลูกา 12:25-26
28* มัทธิว 6:25
29* 2 พงศาวดาร 9:20-22
30* ลูกา 12:28
31* 1 เปโตร  5:7
32* มัทธิว 6:8
33* 1 ทิโมธี 4:8

มัทธิว 6

มัทธิว 5 ชีวิตแบบแผ่นดินสวรรค์

Mt 5 1

1 เมื่อพระเยซูทรงเห็นคนเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงขึ้นไปบนภูเขา ประทับนั่งลง เหล่าศิษย์ก็มาหาพระองค์
 2 และพระองค์ทรงเริ่มต้นสอนพวกเขาดังนี้ 

ความสุขของผู้ที่ติดตามพระเจ้า

3 ความสุขเป็นของคนที่รู้ว่า
จิตวิญญาณของตนเองยังบกพร่องอยู่ 
เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาแล้ว 
4 ความสุขเป็นของคนที่เศร้าโศก
เพราะว่าเขาจะได้รับการปลอบใจ
5 ความสุขเป็นของคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน
เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก

6ความสุขเป็นของคนที่หิวกระหายอยากที่จะมีชีวิตถูกต้องกับพระเจ้า
เพราะเขาจะได้อิ่มเต็มที่
7 ความสุขเป็นของคนที่มีใจเมตตา
เพราะเขาจะได้รับความเมตตาเช่นกัน
8 ความสุขเป็นของคนที่ใจบริสุทธิ์
เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า 

9 ความสุขเป็นของคนที่สร้างสันติ
เพราะเขาจะได้ชื่อว่า เป็นลูกของพระเจ้า 
10 ความสุขเป็นของคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงเพราะมีชีวิตถูกต้องกับพระเจ้า
เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาแล้ว
11 ความสุขเป็นของเจ้าเมื่อใคร ๆ ดูหมิ่นเจ้า ข่มเหงเจ้า
และกล่าวใส่ร้ายเจ้าเนื่องจากเรา
12 จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะรางวัลของเจ้านั้นมีมากมายในสวรรค์
เพราะพวกเขาได้ข่มเหงผู้รับใช้ของพระเจ้าที่มาก่อนหน้าเจ้าเช่นกัน 

เกลือ เมือง และแสงสว่าง

13 เจ้าทั้งหลายเป็นเกลือของแผ่นดินโลก แต่หากเกลือขาดรสชาติไปแล้ว
จะทำให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร?
เกลือนั้นจะไร้ประโยชน์นอกเสียจากจะโยนทิ้งไปให้คนเดินเหยียบย่ำ

14 เจ้าทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งบนภูเขาไม่อาจถูกปกปิดไว้ได้

 

15 เช่นเดียวกับคนที่จุดตะเกียง เขาจะไม่วางตะเกียงไว้ใต้ตะกร้า
แต่จะวางไว้บนที่ตั้ง เพื่อให้แสงส่องไปให้ทุกคนในบ้าน 
16 เช่นเดียวกัน จงให้ความสว่างของเจ้าส่องให้คนทั้งหลายได้เห็น
เพื่อเขาจะได้เห็นการดีของเจ้า และสรรเสริญพระบิดาของเจ้าผู้ประทับในสวรรค์


บัญญัติที่สำเร็จ

17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างบัญญัติหรือคำของผู้เผยพระดำรัส เรามิได้มาเพื่อล้มเลิกสิ่งเหล่านั้น แต่เพื่อทำให้สำเร็จ
18 เพราะเราบอกความจริงแก่เจ้าว่า 
จนกระทั่งวันที่ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินจะสิ้นสุดไป(ตราบเท่าที่ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินยังคงอยู่)จะไม่มีตัวหนังสือเล็ก ๆ หรือสักขีดเดียวที่จะหายไปจากบัญญัติจนกว่าทุกสิ่งสำเร็จตามที่บันทึกไว้

 


19 ดังนั้น ใครก็ตามที่ละเมิดบัญญัติแม้เป็นข้อเล็ก ๆ ข้อหนึ่งข้อใด และสอนให้คนอื่นทำเช่นนั้นด้วย จะถูกเรียกว่าเป็นผู้น้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ 
20 เราบอกเจ้าว่า
หากความดีของเจ้าไม่ได้เหนือไปกว่าพวกธรรมาจารย์และฟาริสีแล้ว
เจ้าจะไม่มีวันที่จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าได้เลย 


โกรธกับคืนดี 

21 เจ้าเคยได้ยินคำที่สอนในสมัยโบราณว่า ’อย่าฆ่าคน’
และ ‘ผู้ใดฆ่าคนจะถูกพิพากษาลงโทษ 
22 แต่เราขอบอกเจ้าว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของเขาจะต้องได้รับการพิพากษา 
เช่นกัน ผู้ใดกล่าวกับพี่น้องว่า
‘เจ้าไม่มีค่า!’
จะถูกพิพากษาที่สภาแซนเฮอดริน
แต่คนใดที่กล่าวว่า ‘เจ้าคนโง่!’ จะต้องเจอกับไฟนรก

23 ดังนั้น หากเจ้ากำลังจะถวายเครื่องบูชาที่แท่นบูชาและจำได้ว่า มีพี่น้องที่ยังมีเรื่องค้างคากับเจ้า 
24  ก็จงวางเครื่องบูชาไว้ที่แท่นบูชา และไปคืนดีกับเขาก่อน
แล้วจึงกลับมาถวายเครื่องบูชาของเจ้า

25 จงตกลงกับฝ่ายตรงข้ามของเจ้าระหว่างทางที่ไปศาลโดยเร็ว
เพื่อว่าเขาจะไม่ส่งตัวเจ้าให้กับผู้พิพากษาเพื่อส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ซึ่งจะโยนเจ้าเข้าเรือนจำ
26 เราบอกความจริงเจ้าว่า เจ้าจะไม่ได้ออกมาเป็นอิสระ
จนกว่าเจ้าจะจ่ายคืนเงินแม้สตางค์สุดท้ายทั้งหมดเสียก่อน

การล่วงประเวณี

27 เจ้าเคยได้ยินคำที่กล่าวว่า ‘อย่าล่วงประเวณี’
28 แต่เราขอบอกเจ้าว่า หากใครคนหนึ่งมองผู้หญิงด้วยใจใคร่ในตัวเธอ
ก็ได้ล่วงประเวณีกับเธอในใจของเขาแล้ว 


ดวงตาขวาและมือขวา

29 หากดวงตาข้างขวาของเจ้าทำให้เจ้าทำบาปก็จงควักมันออกมา และโยนทิ้งไปเพราะเป็นการดีกว่าที่เจ้าจะเสียอวัยวะบางส่วนไปแทนที่ร่างกายทั้งร่างจะถูกโยนลงในนรก 
30 และหากมือขวาของเจ้าทำให้ทำบาป ก็จะตัดมันออกทิ้งไป
เพราะเป็นการดีกว่าที่เจ้าจะเสียอวัยวะส่วนหนึ่งไปแทนที่จะเสียงทั้งร่างกายลงไปในนรก

การหย่าร้าง


31 ยังมีคำกล่าวว่า ‘ใครที่หย่าภรรยาของตนจะต้องมอบใบหย่าให้’ 
32 แต่เราขอบอกเจ้าว่า ใครก็ตามที่หย่าภรรยา
ยกเว้นการผิดศีลธรรมทางเพศ เท่ากับทำให้เธอเป็นคนผิดประเวณี
และคนที่แต่งงานกับหญิงที่หย่าแล้ว ก็ผิดประเวณีด้วย 

คำปฏิญาณและคำสัญญา


33 พวกเจ้าได้ยินคำที่กล่าวในสมัยโบราณว่า‘อย่าเสียคำสัญญา แต่จงทำตามสัญญาที่เจ้าให้ไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าให้สำเร็จ’
34 แต่เราบอกเจ้าว่า อย่าสาบานเลย
ไม่ว่าจะสาบานต่อสวรรค์ เพราะสวรรค์เป็นพระที่นั่งของพระเจ้า 
35 หรือสาบานต่อแผ่นดินโลก
เพราะนั่นเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า
หรือสาบานต่อนครเยรูซาเล็ม เพราะนครนี้เป็นนครขององค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ 
36 และเจ้าก็ไม่ควรสาบานด้วยหัวของเจ้าเพราะเจ้าไม่สามารถทำให้ผมของเจ้าขาวหรือดำไปได้
37 จงให้คำว่าใช่ เป็นใช่ และคำว่าไม่ เป็นไม่ตามจริง สิ่งที่พูดเกินมาจากนั้นมาจากมารร้าย

กฎใหม่เมื่อถูกกระทำ


38 เจ้าเคยได้ยินคำที่กล่าวว่า ‘ตาแทนตา ฟันแทนฟัน’
39 แต่เราบอกเจ้าว่า อย่าไปสู้กับคนชั่ว
ถ้าใครตบแก้มขวาของเจ้า ก็จงหันให้เขาตบอีกข้างด้วย
40 หากใครยื่นฟ้องเจ้า และเอาเสื้อชั้นในของเจ้าไป ก็จงให้เสื้อนอกไปด้วย 
41 และหากมีใครบังคับให้เจ้าเดินไป 1 กิโลเมตร ก็จงไปกับเขา 2 กิโลเมตร
42 จงให้ แก่คนที่ขอจากเจ้า และอย่าเมินหน้าไปจากคนที่ต้องการขอยืมจากเจ้า

รักศัตรูและดีพร้อม


43 เจ้าเคยได้ยินคำที่กล่าวว่า ‘จงรักเพื่อนบ้านของเจ้า’ และ ‘จงเกลียดชังศัตรูของเจ้า’ 
44 แต่เราบอกเจ้าว่า จงรักศัตรูของเจ้า และอธิษฐานเผื่อคนที่ข่มเหงเจ้า 
45 เพื่อว่าเจ้าจะได้เป็นลูก ๆ ของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ 
เพราะพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ส่องแสงให้กับทั้งคนชั่วและคนดี และทรงส่งฝนให้กับทั้งคนเที่ยงธรรมและคนอธรรม
46หากเจ้ารักเพียงคนที่รักเจ้า เจ้าจะได้รับรางวัลหรือ?เหล่าคนเก็บภาษี  ก็ทำอย่างนั้นมิใช่หรือ? 
47 และหากเจ้าทักทายเฉพาะพี่น้องของเจ้าเจ้าได้ทำอะไรมากกว่าคนอื่น ๆ เล่า?
แม้แต่คนต่างชาติก็ยังทำอย่างนั้นมิใช่หรือ?
48 ดังนั้น เจ้าจงเป็นคนที่ดีพร้อมทุกด้านเหมือนอย่างที่พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อมทุกประการ 


อธิบายเพิ่มเติม



มัทธิว 5:1-2
หลังจากที่พระเยซูทรงเตือนว่า ให้กลับใจใหม่ เพราะแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว และพระองค์ก็ทรงอธิบายให้รู้ว่า ชีวิตที่วางใจ กลับใจเชื่อในพระเจ้าแตกต่างจากชีวิตแบบเดิม ๆ อย่างไร ผู้คนที่เข้ามาฟัง ก็ตั้งใจฟังมาก พวกเขาฟังแล้วก็เชื่อ เพราะพระองค์ทรงสอนต่างจากธรรมจารย์ในศาลาธรรมที่สอนเอาแต่ให้พวกเขาประพฤติ ปฏิบัติตามกฎต่าง ๆ มากมาย พวกเขาเห็นเลยว่า พระองค์ไม่เหมือนธรรมาจารย์เหล่านั้น (มัทธิว 7:28)

มัทธิว 5:3-12
ผู้ที่มาฟังพระเยซูส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองที่ยากจน พวกเขาถูกควบคุมความคิดโดยเหล่าธรรมาจารย์ และกำลังอยู่ในสภาพเมืองขึ้นของโรมด้วย เมื่อได้ยินคำสอนที่ประหลาด เช่นนี้ จึงทำให้พวกเขาต้องตั้งใจฟัง และพยายามที่จะเข้าใจ
:3 คนบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ถ้าเป็นในศาสนายิว ก็จะถูกดูหมิ่น แต่พระเยซูตรัสว่าจะมีความสุขเพราะแผ่นดินสวรรค์คือ การที่พระเจ้าทรงครอบครองใจ สุภาษิต 3:34 ก็บอกเรามาก่อนหน้าด้วยว่า พระเจ้าทรงต่อสู้คนที่หยิ่งจองหอง
:4 คนที่โศกเศร้าเสียใจ ในศาสนายิว ก็จะเสียใจมากขึ้น เพราะถูกทับถม คนไทยเราก็คอยหาทางดับทุกข์ด้วยวิธีต่าง ๆ แต่กับพระเยซู กลับได้การปลอบใจจากพระเจ้า
:5 คนที่อ่อนน้อมถ่อมตน ก็จะยิ่งถูกกดลงมากขึ้น แต่กับพระเยซู พวกเขาจะได้รับเกียรติ เหมือนกับในสดุดี 37:3
:6 คนที่อยากถูกต้องกับพระเจ้า เมื่ออยู่ในศาสนา ก็จะต้องบังคับตน ประพฤติตนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้ามาแสวงหาพระเจ้า เขาจะอิ่มเต็มที่ได้รับอย่างที่ปราถนา ไม่ใช่โดยความพยายามส่วนตัว แต่โดยการใกล้ชิดกับพระเจ้า รับพลังจากพระองค์
:7 คนที่เมตตา ในศาสนายิว ก็จะได้รับการยกย่องจากคน แต่พระเจ้ากลับบอกว่า เขาจะได้รับความเมตตาตอบจากพระองค์
:8 คนใจบริสุทธิ์ ในศาสนายิว จะรู้สึกเป็นคนดี ดีกว่าคนอื่น แต่พระเยซูจะทรงให้เขาได้สัมผัสกับพระเจ้ามากขึ้น รู้จัก เข้าใจพระองค์มากขึ้นทุกวัน
:9 คนที่สร้างสันติ ในหมู่พี่น้อง เป็นคนที่ไม่ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ แต่มีความพยายามให้เกิดความปรองดอง ความร่วมมือ ความรักกันและกัน คนแบบนี้ หายากมาก มีที่ไหน เขาก็เหมือนกับเป็นลูกแท้ ๆ ของพระเจ้า
:10-12 เมื่อคนใดก็ตามถูกข่มเหง ซึ่งไม่ใช่แค่ร่างกาย จิตใจ แต่บางครั้งถึงกับชีวิต แต่เขายังทนได้ ไม่ยอมก้มหัวทำผิดต่อพระเจ้า คนเหล่านี้มีรางวัลในสวรรค์รออยู่ และพระเจ้ากลับบอกให้เขายินดี ทั้งหมดนี่เป็นคำสอนบอกทางแห่งความสุขที่แตกต่างจากโลกราวฟ้ากับเหว

มัทธิว 5:13-16
คนของพระเจ้าเป็นเหมือนเกลือที่ทำหน้าที่รักษาไม่ให้เน่าเสีย ให้รสชาติ ซึ่งผู้เชื่อของพระเจ้าจะต้องเป็นคนช่วยรักษาสังคมให้ดี ไม่เน่าเสียไปจากทางของพระเจ้า อีกอย่างที่เกี่ยวกับเกลือ ในอิสราเอลมีเกลือบางอย่างที่ผสมกับแร่ธาตุอื่น ๆ ทำให้ความเค็มหายไปผสมกับแร่อื่น ๆ เหล่านั้น เกลือประเภทนี้เขาเอาไว้เทเป็นทางเดิน
:14และในชีวิตของเขาจะต้องเป็นแสงสว่าง เป็นพยานให้กับคนที่ยังไม่รู้จักแสงสว่างคือ พระเยซูคริสต์
:16 ที่น่าสนใจคือ ใคร ๆ จะเห็นแสงสว่างได้จากการกระทำที่ดีเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่แค่พูดอย่างเดียว ผลที่ได้คือ เขาจะสรรเสริญพระบิดา ผู้ประทับในสวรรค์

มัทธิว 5:17-20
:17 พระเยซูตรัสชัดเจนว่า พระองค์ทรงมาเพื่อให้หนังสือ 5 เล่มแรกของพระคัมภีร์เดิมนั้นสำเร็จผล รวมทั้งหนังสือผู้พยากรณ์ทั้งหลายด้วย ระบบการถวายเครื่องบูชาเพื่อไถ่บาป พระองค์ทรงทำที่ไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปคนทั้งโลก
ถ้าเราได้อ่านพระคัมภีร์เดิม เราจะเห็นว่า ทุกเล่มมีสิ่งที่ชี้ให้เราซึ่งเป็นคนยุคศตวรรษที่ 21 ได้เห็นว่า คำทำนายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระเยซูเป็นจริงทั้งสิ้น
คำสอนทั้งหลายของพระเยซู ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อทำลายคำสอนเดิม แต่เพื่อทำให้สำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ
:18 ความจริงแล้วพระเจ้าทรงยกย่องพระคำของพระองค์มาก ดังนั้นทุกคำเป็นจริง และจะเกิดขึ้นตามที่บอกไว้ ไม่มีพลาดเลย สดุดี 138:2b
เพราะว่า พระองค์ทรงยกพระนามและพระดำรัสของพระองค์ขึ้นเหนือสิ่งอื่นใด

:19 การเป็นผู้สอนคนอื่น จึงเสี่ยงมากที่จะกลายเป็นผู้เล็กน้อยในแผ่นดินสวรรค์ หากว่า ไปสอนในสิ่งที่ผิดพลาด​…​
:20 ข้อนี้ เหมือนพระเยซูกำลังจะบอกว่า ไม่มีใครที่จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าเพราะความดีได้เลย…แม้กระทั่งธรรมาจารย์และฟาริสี ก็ยังไม่ผ่าน

มัทธิว 5:21-26
:21-22 ต่อไปนี้ พระเยซูจะทรงเริ่มด้วยคำว่า เจ้าเคยได้ยินคำกล่าวว่า .. แล้วทรงบอกว่า พระองค์ทรงมีความเห็นอย่างไรในเรื่องนั้น (ทั้งหมดหกเรื่อง) เราจะเห็นว่า การโกรธนั้น เป็นพื้นฐานของการฆ่าคน พระองค์ทรงเริ่มที่ให้เราจัดการกับความโกรธที่เกิดขึ้นก่อน คนที่ช่างโกรธจะต้องเจอกับปัญหามากมายตามมา และที่สุดคือไฟนรก แสดงว่า เรื่องความโกรธจนแสดงออกมาเป็นวาจาที่น่ารังเกียจนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องระมัดระวังให้มาก
:23-24 ถ้าจะเข้าเฝ้าพระเจ้า พร้อมกับยังมีปัญหากับพี่น้อง ก็ขอให้จัดการคืนดีเสียก่อน
:25-26 เวลาเจอคดีความ ก็ให้รีบไกล่เกลี่ยก่อนถ้าทำได้ จะได้ไม่เจอกับโทษที่ทำให้ลำบากไปกว่าที่เป็นอยู่

มัทธิว 5:27-28 อย่าลืมว่า ในสังคมยิว การเป็นชู้คือบาปที่หนักหนาสาหัสมาก (อพยพ 20:14) เป็นการละเมิดร่างกายของอีกคน และละเมิดสัญญาการสมรส เป็นการทำลายครอบครัวหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ การสมรสในสายตาของยิวเชื่อมโยงไปถึงความสัมพันธ์ของพระเจ้าที่มีต่ออิสราเอลด้วย (มาลาคี 2:14) เหนือไปกว่านั้น พระเยซูตรัสว่า ยังไม่ได้ลงมือกระทำ แค่มองก็ผิดแล้ว!! นั่นหมายถึงว่า เราต้องมีใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ใช่มีสิ่งที่สกปรกแอบอยู่ข้างใน ใครมองไม่เห็นแต่พระเจ้าทรงเห็นหมด! พระเจ้าทรงประสงค์คนที่มีมือสะอาดใจบริสุทธิ์ (สดุดี 24:4) ทรงสั่งให้เรารักษาใจสุดความพยายามเลยทีเดียว (สุภาษิต 4:23)

มัทธิว 5:29-30 พระเยซูตรัสถึงดวงตาขวา มือขวา มีความหมายว่าสำคัญกว่า ดวงตาเป็นตัวสร้างความอยาก มือเป็นตัวลงมือทำ คำว่าควักออกเสีย ตัดออกเสียเพื่อให้เห็นว่า การที่จะมีความซื่อสัตย์ในชีวิตสมรสก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เราต้องสละสิ่งที่มีความสำคัญในชีวิตเพื่อที่จะไม่ให้มันนำเราไปสู่ความบาป

มัทธิว 5:31-32
การมีใบหย่าทำให้ผู้หญิงคนที่หย่าแล้วมีสิทธิแต่งงานใหม่ พระเจ้าทรงช่วยให้ผู้หญิงไม่ต้องถูกหย่าโดยไร้เหตุผลที่สมควร สำหรับสังคมโบราณ การมีครอบครัวเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ผู้หญิงโบราณจะไม่ออกไปทำงานนอกบ้านเหมือนสมัยนี้ เธอจึงจำเป็นต้องมีผู้เลี้ยงดู แสดงว่า เวลานั้นก็มีการหย่าร้างกันไม่น้อย แต่สิ่งที่พระเยซูตรัสทำให้เห็นว่า พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยกับการหย่าร้าง เพราะไม่ควรที่ใครจะให้คนที่สมรสเป็นหนึ่งเดียวกันแยกจากกัน (มาระโก 10:8)

มัทธิว 5:33-37
โมเสสเคยบอกถึงพระบัญชาของพระเจ้าว่า หากใครสาบานว่าจะทำสิ่งใด ก็อย่าผิดคำที่เขาลั่นวาจาไว้ (กันดารวิถี 30:2) แต่พระเยซูทรงสอนว่า ไม่ให้สาบาน อ้างโน่นอ้างนี่ แต่ให้พูดด้วยความจริง ทุกอย่าง

มัทธิว 5:38-42
:38 มีกฎการตัดสินความว่า ให้ชีวิตแทนชีวิต ตาแทนตา ฟันแทนฟัน ในเฉลยธรรมบัญญัติ 19:20 เพื่อให้การลงโทษนั้นเหมาะกับความผิด (ซึ่งเป็นกฎสำหรับการปกครอง การตัดสินความของผู้มีอำนาจ) แต่ในจุดนี้ พระเยซูกำลังกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนสองฝ่ายที่อาจเกิดมีปัญหากันขึ้น
:39 พระเยซูไม่ได้ทรงกล่าวถึงการต่อสู้ในสงคราม แต่กำลังกล่าวถึงคนสองคนที่มีปัญหากันว่า ควรจะตัดสินอย่างไร สิ่งที่เห็นคือ พระองค์ไม่ให้คนสองฝ่ายแก้แค้นกันและกัน (ในสังคมยิวสมัยก่อนนั้น เวลายิวทะเลาะกันเมื่อไร ก็จะรุนแรงมาก ๆ แถมยังจะเอาคนในครอบครัว หรือตระกูลเข้าไปร่วมการต่อสู้ส่วนตัวด้วย ) เมื่อมีปัญหา ก็ขอให้รีบจบก่อนที่จะลามไปมากกว่าที่เป็นอยู่

มัทธิว 5:43-45
เข้าไปดูคุณรามิน เขาอ่านมัทธิว 5 แล้วพบความแตกต่างจากความเชื่อเดิมของเขา
https://www.youtube.com/watch?v=ShA-bWaW3LU

มัทธิว 5:46-47
คนยิวจะเกลียดคนเก็บภาษีมาก เพราะเป็นลูกน้องโรม มาขูดรีดชาวยิวด้วยกันเอง แต่พระเยซูกลับทรงสอนให้พวกเขา ปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นเป็นอย่างดี นี่เป็นหัวใจที่ไม่มีอคติ สิ่งที่พระองค์ทรงบอกคนที่ฟังอยู่ และเราทุกคน คือการมองผู้อื่นด้วยสายตาของพระเจ้า พระองค์ประทานสิ่งดีให้กับทุกคน แล้วเราจะทำอย่างนั้นกับคนที่เราคิดว่าเขาไม่สมควรได้รับ ได้หรือไม่

มัทธิว 5:48
พระเยซูทรงบอกให้ผู้ฟังเป็นคนดีพร้อมเหมือนพระบิดาในสวรรค์ พระเจ้าพระบิดาทรงแจ้งผ่านพระเยซูให้รู้แล้วว่า อะไรดี อะไรเหมาะ ดังนั้นเมื่อผู้ที่เชื่อพระเจ้า ใช้ชีวิตตามพระดำรัสเท่ากับพวกเขากำลังเดินตามวิถีที่ดีพร้อม.. อาจจะยังไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่กำลังก้าวไป.. และพระวิญญาณทรงเป็นกำลังให้เปลี่ยนแปลง

พระคำเชื่อมโยง

1*  มาระโก 3:13                                                        2* มัทธิว 7:29
3* ลูกา 6:20-23
4* วิวรณ์ 21:4
5* สดุดี 37:11; โรม 4:13
6* ลูกา 1:53; อิสยาห์ 55:1; 65:13
7* สดุดี 41:1
8* สดุดี 15:2;24:4; 1โครินธ์ 13:12
9* ฮีบรู 12:14
10* 1 เปโตร 3:14
11* ลูกา 6:22; 1 เปโตร 4:4
12* 1 เปโตร 4:13, 14; กิจการ 7:52
13* ลูกา 14:34
14* ยอห์น 8:12
15* ลูกา 8:16
16* 1 เปโตร 2:12; ยอห์น 15:8
17* โรม 10:4

บรรณานุกรม

18* ลูกา 16:17
19* ยากอบ 2:10
20* โรม 10:3
21* อพยพ 29:13; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:17
22* 1 ยอห์น 3:15; ยากอบ 2:20; 3:6
23* มัทธิว 8:4
24* โยบ 42:8
25* ลูกา 12:58-59; อิสยาห์ 55:6
26* มัทธิว 18:34
27* อพยพ 20:14; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:18
28* สุภาษิต 6:25
29* มาระโก 9:43; โคโลสี 3:5
30* มาระโก 9:43
31* เฉลยธรรมบัญญัติ 24:1
32* ลูกา 16:18
33* มัทธิว 23:16; เลวีนิติ19:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 23:23

34* ยากอบ 5:12; อิสยาห์ 66:1
35* สดุดี 48:2
36* ลูกา 12:25
37* โคโลสี 4:638* อพยพ 21:24; เลวีนิติ 24:20; เฉลยธรรมบัญญัติ 19:21
39* ลูกา 6:29; อิสยาห์ 50:6
40* ลูกา 6:29
41* มัทธิว 27:32
42* ลูกา 6:30-34
43* เลวีนิติ 19:18; เฉลยธรรมบัญญัติ 23:3-6
44* ลูกา 6:27; โรม 12:20; กิจการ 7:60
45* โยบ  25:3
46* ลูกา 6:32
47* ลูกา 6:32
48* โคโลสี 1:28; 4:12; เอเฟซัส 5:1

มัทธิว 4 ทดสอบก่อนราชกิจ

เผชิญการทดสอบ
มาระโก 1:12-3; ลูกา 4:1-13
1 แล้วพระวิญญาณทรงนำพระเยซูไปยังถิ่นกันดารเพื่อให้มารทดลองพระองค์
2 หลังจากที่พระองค์อดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน พระองค์ทรงหิว
3 ผู้ทดลองมาหาพระองค์ ทูลว่า “หากท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็ให้บอกหินเหล่านี้ให้เป็นขนมปังเสียสิ”
4 แต่พระเยซูตรัสตอบว่า “มีคำเขียนไว้ดังนี้ “มนุษย์จะมีชีวิตต่อไปด้วยอาหารอย่างเดียวไม่ได้ แต่ด้วยพระดำรัสทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า

5 จากนั้น มารได้นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับบนยอดสูงของพระวิหาร
6 “หากท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” มารกล่าว “ก็กระโจนลงไปสิ เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘พระองค์ทรงบัญชาเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์เรื่องท่าน และทูตนั้นจะยกท่านไว้ในมือของพวกเขาเพื่อว่าเท้าของท่านจะไม่กระทบหินสักก้อน’ ” (สดุดี 91:11-12)
7 พระเยซูตรัสตอบว่า “มีคำเขียนไว้ด้วยว่า อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า’”

8 อีกครั้ง มารได้นำพระองค์ไปยังภูเขาสูง และให้พระองค์มองดูอาณาจักรในโลกที่ยิ่งใหญ่ตระการ
9 “ทั้งหมดนี้เราจะมอบให้ท่าน” มารกล่าว “หากท่านจะคุกเข่าลงและนมัสการข้าพเจ้า”
10 “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน!” พระเยซูตรัส “เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘จงนมัสการและรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าแต่พระองค์เดียวเท่านั้น’”
11 จากนั้น มารจึงละจากพระองค์ไป และเหล่าทูตสวรรค์ได้มาปรนนิบัติพระองค์

พระเยซูทรงเริ่มพระราชกิจ
อิสยาห์ 9:1-7; มาระโก 1:14-15; ลูกา 4:14-15
12 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินว่า ยอห์นถูกจำคุก พระองค์ก็ทรงเดินทางไปยังกาลิลี
13 ทรงออกจากนาซาเร็ธ และทรงไปอาศัยในเมืองคาเปอรนาอูม ซึ่งอยู่ริมฝั่งทะเล ในแคว้นเศบูลุน และนัฟทาลี
14 เพื่อให้สำเร็จตามผู้เผยพระดำรัสอิสยาห์ว่า
15 “แผ่นดินเศบูลุน และแผ่นดินนัฟทาลี เหนือขึ้นไปจากแม่น้ำจอร์แดน คือกาลิลีของชาวต่างชาติ
16 ประชาชนที่อยู่ในความมืดได้เห็นแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่ คนที่อาศัยในแผ่นดินเงาความตาย แสงสว่างส่องได้มาถึงแล้ว ”
17 จากนั้นเป็นต้นมา พระเยซูทรงเริ่มเทศนาว่า
“จงกลับใจเสียใหม่เพราะแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว”

ศิษย์กลุ่มแรก
มาระโก 1:16-20; ลูกา 5:1-11; ยอห์น 1;35-42
18 ขณะที่พระเยซูดำเนินไปตามริมฝั่งทะเลสาบกาลิลี ทรงเห็นพี่น้องชายสองคน คือซีโมนซึ่งมีอีกชื่อว่าเปโตร และน้องชายของเขาคืออันดรูว์ ทั้งสองกำลังโยนอวนลงไปในทะเล เพราะว่าเขาเป็นชาวประมง
19 “มาเถอะ ตามเรามา!” พระเยซูตรัส “เราจะทำให้เจ้าเป็นคนที่หาคนอย่างคนหาปลา
20 ทันใดนั้นเอง ทั้งสองก็ละจากอวนของเขา และติดตามพระองค์ไป
21 จากที่นั่น พระองค์ทรงเห็นพี่น้องชายสองคนคือยากอบ ลูกชายเศบีดี และน้องชายของเขาคือ ยอห์น ทั้งสองกำลังซ่อมชุนอวนอยู่ในเรือกับพ่อของเขาคือเศบีดี พระเยซูทรงเรียกเขา
22 และเขาก็ละจากเรือและพ่อของเขา
ติดตามพระองค์ไปทันที!

ทรงรักษาโรคของคนจำนวนมาก
มาระโก 3:7-12; 6;17-19
23พระเยซูทรงเดินทางไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสอนในศาลาธรรม ประกาศข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดิน
และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดของประชาชน 
24ข่าวเรื่องของพระองค์นั้น เลื่องลือไปถึงซีเรีย และผู้คนก็พากันนำเอาคนป่วยด้วยโรคต่าง ๆ  คนที่เจ็บปวดตามตัว คนที่ถูกผีสิง และคนที่มีอาการชัก รวมทั้งคนเป็นอัมพาต และพระองค์ทรงรักษาพวกเขา
25 ประชาชนกลุ่มใหญ่มากติดตามพระองค์
พวกเขามาจาก กาลิลี แคว้นทศบุรี นครเยรูซาเล็ม และจากอีกฟากฝั่งของแม่น้ำจอร์แดน 

อธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 4:1-11
หลังจากการบัพติศมา พระวิญญาณทรงลงมาในรูปลักษณ์ของนกและมีพระสุรเสียงจากสวรรค์แจ้งว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรที่ทรงรักมากทำให้ยอห์นมั่นใจว่าพระเยซูคือองค์พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงเจิมและทรงส่งลงมาเพื่อช่วยโลกให้รอด เหตุการณ์วันนั้น คนจำนวนมากได้เห็น แต่พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจเต็มร้อยว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากพระพรยิ่งใหญ่ พระเยซูกำลังจะเข้าไปเผชิญกับมาร…ศัตรูของพระเจ้า มันต้องการทำลายพระเยซูเหมือนอย่างที่มันพยายามทำมาตลอด
จากนั้น พระวิญญาณทรงนำไป ให้พระเยซูทรงเผชิญกับการทดลอง (ถิ่นกันดารเป็นสถานที่กว้างใหญ่ที่เต็มด้วยขุนเขาที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีแต่ความแห้งแล้ง ไม่มีคนอยู่ ไม่มีคนเดินทางผ่านมา ไม่มีสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และในพระคัมภีร์ ยังมีความหมายถึงสถานที่ ๆ มารอยู่ ไม่สะอาด ดูเลวีนิติ หลังจากที่ปุโรหิตเอาบาปของประชาชนไว้บนตัวแพะ แล้วไล่มันไปอยู่ในถิ่นกันดาร )
หลังจากทรงอดอาหาร อธิษฐาน มีการสนทนากับพระบิดาตลอดเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืนนั้น พระองค์ทรงอยู่กับสัตว์ป่าด้วย (มาระโก 1:12-13)
เมื่อทรงอ่อนแรง อิดโรยที่สุด ผู้ทดลองหรืออีกชื่อคือมาร, ซาตาน ได้มาพบพระองค์​
การทดลองสามประการและการตอบกลับของพระเยซู.
วิธีการ
1 ท้าให้พระเยซูเปลี่ยนหินเป็นขนมปัง เป็นการดูหมิ่นองค์พระบิดาว่า พระองค์ไม่ทรงดูแลพระบุตร ดังนั้น พระบุตรจะต้องจัดหาเอง ตอบด้วยพระคำ “แค่กินอาหารไม่พอ ต้องกินพระคำด้วย” 8:3 พระเจ้าทรงรักษาชีวิตของเราด้วยพระคำ
2 ท้าให้พระเยซูกระโจนลงจากที่สูง โดยอ้างพระคำ ตามความเห็นของยิวแล้ว โลกมีจุดศูนย์กลางที่เยรูซาเล็ม (เอเสเคียล 5:5) เท่ากับพระเยซูกำลังอยู่ที่ศูนย์กลางของโลก และเป็นที่ ๆ พระคัมภีร์กล่าวว่า การกระโจนลงไปจากระเบียง 450 ฟุต พิสูจน์สิว่า พระบิดาจะทรงปกป้องพระบุตรไว้ ..
(มาลาคี 3 ตอบด้วยพระคำ “อย่าทดลองพระเจ้า” ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพระเจ้าทรงทำได้ มาท้าให้ทำทำไม? 16 อย่างไร.. เราก็จะไม่ทดสอบในสิ่งที่เรารู้แล้วว่า พระเจ้าทรงทำได้ เราวางใจพระองค์ได้
3 สร้างเงื่อนไข (ที่มารหวังว่าพระเยซูจะรับ)
ต่อมามันพาพระองค์ไปดูอาณาจักรในโลก .. มาระโก ลูกามีคำว่า…….ในพริบตาเดียว ชั่วขณะเดียว………ทำให้เข้าใจได้ว่า เป็นการมองดูอาณาจักรต่าง ๆ ในโลกในฝ่ายวิญญาณ ไม่ได้เดินทางไปดูตามที่ต่าง ๆ
เพราะอาณาจักรเหล่านี้เป็นของมาร ดังนั้น ซาตานล่อพระองค์ว่าจะให้อาณาจักรถ้าคุกเข่าลงกราบนมัสการตัวมัน แค่นมัสการชั่วขณะ พระเยซูก็จะได้ทุกอย่างที่พระบิดาทรงสัญญาไว้ในสดุดีบทที่ 2 ไม่ต้องไปทำงานของพระเจ้า ไม่ต้องไปตายบนไม้กางเขน… ไม่ต้องผ่านสิ่งต่าง ๆ ที่เตรียมไว้ ความทุกข์ยากต่าง ๆ แต่จะได้อาณาจักรเหล่านี้เลยตอบด้วยพระคำ และไล่มันไป “จงนมัสการและรับใช้พระเจ้าเท่านั้น” ไม่ใช่มากราบไหว้รับใช้มาร อย่างที่เราเคยทำเมื่อยังไม่รู้จักพระเจ้า เราจะไม่นมัสการใครทั้งสิ้น
หมายเหตุ
หากท่านเป็นบุตรพระเจ้า หรือคำว่า ในเมื่อท่านเป็นบุตรของพระเจ้า
หากท่านเป็นบุตรพระเจ้า หรือคำว่า ในเมื่อท่านเป็นบุตรของพระเจ้า หากท่านนมัสการเรา จะได้….

มัทธิว 4:12-17
หลังจากที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกจำคุก นั่นเท่ากับงานของเขากำลังเริ่มจะจบลง เขาได้ทำทางขององค์พระเยซู ด้วยการเปิดเผยให้ทุกคนรู้ว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พวกเขารอคอย  ทุกคนควรจะต้องฟัง และเชื่อฟังพระองค์ 
พระองค์ก็ทรงออกจากนาซาเร็ธ เมืองที่พระองค์ทรงเติบโตมา และไปเริ่มงานของพระองค์ที่เมืองคาเปอรนาอูม  เมืองนี้ เป็นเมืองที่สมัยก่อนจะมีผู้คนเดินทางผ่านไปมามากมาย เมื่อมีสงคราม เมืองนี้ก็มักจะอยู่ในทางของกองทัพต่าง ๆ ดังนั้น จึงมีคนต่างชาติ เชื้อชาติผสมอยู่ในเมืองนี้เป็นจำนวนไม่น้อย  ต่างจากทางใต้อย่างยูเดียที่เป็นถิ่นของคนเชื้อสายอิสราเอล
และที่ทรงทำเช่นนั้น เพื่อให้คำพยากรณ์ของอิสยาห์ได้สำเร็จ  … ใช่แล้ว ดินแดนแห่งความมืดกำลังได้รับแสงสว่างของพระเจ้า  องค์ผู้เป็นแสงสว่างได้เข้ามาอยู่ท่ามกลางพวกเขา  ไม่เฉพาะชนชาติอิสราเอล แต่ทรงอยู่ท่ามกลางคนต่างชาติมากมาย
และก็ทรงเรียกให้ประชาชนกลับใจใหม่  เป็นการประกาศแบบเดียวกับยอห์น นี่เป็นภาพที่สวยงาม แสงสว่างแห่งโลก ทรงอยู่ท่ามกลางชาวโลก…​… 

พระคำเชื่อมโยง

1* มาระโก 1:12-15; เอเสเคียล 43:5
2* เฉลยธรรมบัญญัติ 9:18; อพยพ 34:28
3* 1 เธสะโลนิกา 3:5
4* เฉลยธรรมบัญญัติ 8:3
5* ลูกา 4:9
6* สดุดี 91:11-12
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 6:16; 1โครินธ์ 10:9
8* 1 ยอห์น 2:15-16; ลูกา 4:5-7

10* เฉลยธรรมบัญญัติ 6:13-14; 10:20;
โยชูวา 24:14
11* ยากอบ 4:7; ฮีบรู 1:14
12* ยอห์น 4:43
13* มาระโก 1:21
15* อิสยาห์ 9:1-2
16* ลูกา 2:32
17* มาระโก 1:14-15; มัทธิว 3:2; 10:7

18* มาระโก 1:16-20; ยอห์น 1:40-42
19* ลูกา 5:10
20* มาระโก 10:28
21* มาระโก 1:19
22* มัทธิว 10:37; ลูกา 14:26
23* สดุดี 22:22; มัทธิว 9:35;24:14; มาระโก 1:34
24* ลูกา 4:40
25* มาระโก 3:7-8

มัทธิว 3 ทรงโปรดปรานท่านผู้นี้

พันธกิจของยอห์นผู้ให้บัพติศมา 
1 ในช่วงเวลานั้นเอง  ท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาเริ่มต้นเทศนาในพื้นที่ถิ่นกันดารในยูเดีย  
2 ท่านกล่าวว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะแผ่นดินสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว”
3 ท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาผู้นี้ เป็นคนที่อิสยาห์ ผู้เผยพระดำรัสของพระเจ้ากล่าวถึงเมื่อท่านกล่าวว่า
“มีเสียงจากคนหนึ่ง ร้องเสียงดังในถิ่นกันดารว่า ‘จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า  จงทำให้ถนนตรงราบเรียบเพื่อพระองค์’” (อิสยาห์  40:3)

4 เสื้อผ้าของท่านยอห์นทำจากขนอูฐ มีสายคาดหนังรอบเอวของท่าน
ท่านกินตั๊กแตนกับน้ำผึ้งเป็นอาหาร 
5 มีประชาชนออกไปจากนครเยรูซาเล็ม และพื้นที่ในยูเดีย รวมทั้งจากพื้นที่รอบ ๆ แม่น้ำจอร์แดน
6 พวกเขาสารภาพบาป และได้รับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน

7  แต่เมื่อยอห์นเห็นว่ามีฟาริสีและสะดูสีมากมายได้มายังที่ ๆ ท่านให้บัพติศมา  ท่านกล่าวกับพวกเขาว่า “เจ้าชาติงูพิษร้าย ใครเตือนให้เจ้าหนีจากการลงโทษของพระเจ้า? 
8 จงเกิดผลให้สมกับการที่เจ้ากลับใจใหม่ 
9 และอย่านึกไปเองว่า “เรา   มีพ่อคืออับราฮัม” เพราะเราบอกแก่เจ้าว่า พระเจ้าสามารถทำให้ลูกหลานของอับราฮัมเกิดจากก้อนหินเหล่านี้ได้ 
10 ขวานนั้นวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว  และต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดี จะถูกโค่นลง และโยนทิ้งลงในกองไฟ

11 เราให้บัพติศมาแก่เจ้าในน้ำ แสดงการกลับใจของเจ้า แต่หลังจากนี้ไป จะมีท่านผู้หนึ่งที่ทรงฤทธิ์กว่าเราเสด็จมา แม้แต่รองเท้าของพระองค์ เราก็ไม่คู่ควรที่จะถือให้พระองค์  พระองค์ผู้นี้จะบัพติศมาพวกท่านด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยไฟ 

12 ทรงถือพลั่วในพระหัตถ์เพื่อจะเก็บกวาดลานนวดข้าว  และเพื่อรวบรวมข้าวสาลีไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่อาจดับได้  

พระเยซูทรงรับบัพติศมาในน้ำ
13 แล้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลีมายังแม่น้ำจอร์แดน และทรงประสงค์ให้ยอห์นบัพติศมาให้พระองค์
14 แต่ยอห์นพยายามที่จะห้ามพระองค์ไว้ ทูลว่า “ข้าพเจ้าต่างหากที่ควรได้รับบัพติศมาจากพระองค์​
เหตุใดพระองค์จึงมาหาข้าพเจ้าเพื่อรับบัพติศมาเล่า?
15 พระเยซูตรัสตอบว่า “เวลานี้ให้เป็นไปอย่างนี้เถิด สมควรแล้วที่เราจะทำให้ความเที่ยงธรรมบรรลุผลครบถ้วนด้วยวิธีนี้” ยอห์นจึงยอมทำตามพระองค์
16 ทันทีที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาเสร็จ พระองค์ทรงขึ้นจากน้ำ ฟ้าสวรรค์ก็เปิดออก ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้ารูปลักษณ์ดุจนกพิราบลงมาประทับกับพระองค์
17 มีพระสุรเสียงจากสวรรค์ ตรัสว่า
“ผู้นี้เป็นลูกชายที่รักของเรา เป็นผู้ที่เราพอใจยิ่งนัก!”

อธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 3:1-6
ยอห์นผู้ให้บัพติศมา เป็นคนสำคัญยิ่งที่มาเตรียมทางให้พระเยซู เขาเป็นลูกชายของปุโรหิตเศคาริยาห์ เกิดในเวลาที่พ่อ แม่ชราแล้ว (อ่านลูกา 1) แต่แทนที่จะเตรียมตัวเป็นปุโรหิตเหมือนกับพ่อ เขากลับออกไปประกาศให้คนกลับใจใหม่ในถิ่นกันดาร!
ยอห์น ตระหนักว่าพระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาในโลกแล้วก็ตั้งแต่วันที่เขาได้ยินเสียงของมารีย์ทักทายเอลีซาเบ็ธ ก็ดิ้นด้วยความดีใจในท้องของแม่ด้วย (ลูกา 1:44)ยอห์นกับพระเยซูน่าจะรู้จักกันมาบ้างตั้งแต่เด็ก เพราะทุกครอบครัวจะไปพบกันระหว่างปีเมื่อมีเทศกาลสำคัญในเยรูซาเล็ม ครอบครัวของพระเยซูมาจากกาลิลีทางเหนือ ส่วนครอบครัวยอห์นจะอยู่ในยูเดียทั้งสองครอบครัวเป็นญาติกัน
เมื่อฟาริสี ถูกส่งมาถามยอห์นว่าเขาเป็นพระเมสสิยาห์ หรือเป็นเอลียาห์ เขาตอบว่า ไม่ใช่… แต่เขาเป็นเสียงของผู้ที่ร้องในถิ่นกันดารว่า ‘จงทำทางสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป’(ยอห์น 1:23) ตรงนี้น่าคิดมาก.. พระเยซูทรงเป็นพระคำและทรงเป็นพระเจ้า ทรงอยู่กับพระเจ้า (ยอห์น 1:1) ส่วนยอห์นเป็นเสียงที่กล่าวพระคำนั้น!
อีกประการ เขากำลังเตรียมทางให้องค์กษัตริย์ สมัยโบราณ เมื่อกษัตริย์จะเดินทางไปเมืองไหน ก็ต้องมีคนไปล่วงหน้าเพื่อทำทางให้เรียบ คนงานเหล่านั้นมีหน้าที่เตรียมทางให้ตรง ราบเรียบ ยอห์นเป็นคน ๆ นั้น
ยอห์นไม่ได้ประกาศในเมือง เขาไม่เหมือนใครเลย แต่งตัวก็ใช้หนังอูฐ กินอาหารก็เพื่อให้มีชีวิตอยู่ แต่กลับมีคนออกจากเมืองไปฟังเขาเทศนาในที่ห่างไกล ไกลจากเมืองมาก อยู่ริมแม่น้ำจอร์แดนซึ่งเป็นที่ ๆ เขาใช้บัพติศมาคนที่มาฟัง และกลับใจ
การบัพติศมาของยอห์นนี้ เรียกให้คนอิสราเอลเองกลับใจ จากชีวิตบาป และก็มีคนจำนวนมากฟังเขา รับบัพติศมาเตรียมใจที่จะฟังองค์กษัตริย์ที่กำลังมา ซึ่งพวกเขายังไม่รู้ว่า เป็นใคร

มัทธิว 3:7-10
คนที่มาฟังยอห์นนั้น มีทั้งประชาชนชาวอิสราเอล และเหล่าฟาริสี สะดูสี พวกฟาริสีเป็นพวกที่ทุ่มเทชีวิตสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นเพิ่มเติมจากบัญญัติต่าง ๆ ของโมเสส เชื่อว่ามีอยู่ราว ๆ 6000 คนในสมัยพระเยซู พวกเขาเชื่อการอัศจรรย์ทุกอย่าง และมีชีวิตวุ่นอยู่กับการทำดี การทำตามหลักต่าง ๆ ที่พวกเขาคิดขึ้นมา
ส่วนพวกสะดูสีมักมีเชื้อสายจากปุโรหิต มีจำนวนน้อยกว่า ไม่เชื่อการอัศจรรย์ใด ๆ มีอำนาจทางการเมืองมาก ทั้งสองพวกนี้เกลียดกัน แต่ต่อมามีศัตรูคนเดียวกันคือ พระเยซู ทั้งฟาริสีและสะดูสีต่างเชื่อว่าตนเองดีกว่าคนอื่น ไม่มีใครดีเท่าตัว มีความภูมิใจในการที่พระเจ้าทรงเลือกชนชาติอิสราเอลอย่างพิเศษ พวกเขาติดตามศาสนายิวอย่างเคร่งครัดโดยต่างก็มีความคิดแบบของตน แต่แทนที่ยอห์นจะเคารพพวกเขา กลับเรียกพวกเขาต่อหน้าประชาชนว่า เป็นชาติงูพิษที่พระเจ้าจะทรงลงโทษ !!
ดังนั้น ยอห์นจึงเตือนสติพวกเขาให้มีกรอบความคิดใหม่ คิดอย่างเดิมไม่ได้ ต้องกลับใจจริง ๆ อย่าคิดว่าเป็นลูกหลานอับราฮัมแล้วพระเจ้าจะยอมรับเขา จะเห็นได้ว่ายอห์นเน้นชีวิตที่กลับใจจากบาป เขาไม่ได้กล่าวถึงการที่ต้องทำตามกฎแบบฟาริสี
.การทำพิธีจุ่มน้ำชำระของยอห์นนี้ เพื่อแสดงว่า คน ๆ นั้นยอมรับผิด และกลับใจจากทางเดิมของตนแล้ว เป็นบัพติศมาที่ยอห์นทำให้ได้ แต่ยอห์นได้เตือนว่า พระองค์ที่ทรงฤทธิ์จะให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณ และด้วยไฟ…
การบัพติศมาด้วยพระวิญญาณ และด้วยไฟจะเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ? โยเอลเคยบอกไว้ นี่เป็นเรื่องเดียวกัน (โยเอล 2:28-29) และคนที่จะให้คือผู้ที่ทรงฤทธิ์กว่ายอห์นเสียด้วย
ยอห์นอธิบายว่า เหมือนกับการแยกข้าวดีข้าวเสียออกจากกัน พระเจ้าจะทรงแยกคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า กับคนอธรรมที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้าออกจากกันในวันพิพากษาของพระองค์ (มาลาคี 3:3)

มัทธิว 3:13-17
การบัพติศมาของยิวโดยทั่วไปที่ทำให้คนต่างชาติ เป็นการจุ่มตัวลงในน้ำต่อหน้าสาธารณชน ก็เป็นการบอกว่า พวกเขาจะเข้ามาอยู่ในศาสนายิว เป็นคนที่เชื่อพระเจ้าแบบคนยิว ..
แล้วพระเยซูก็ทรงมาพบกับยอห์น และรับบัพติศมาทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่ได้ทำบาปเหมือนคนที่มารับ แต่ทรงบอกยอห์นเองว่า เป็นสิ่งที่พระองค์สมควรทำ ดังนั้นความหมายของการบัพติศมาของพระเยซูน่าจะสื่ออะไร?
พระเยซูทรงมาในโลกอย่างผู้เที่ยงธรรม ไม่มีบาปใดติดมา และพระองค์ไม่ได้ทรงทำบาปใด แต่เวลานี้ พระองค์กำลังจะทรงบอกยอห์นว่า เราจะให้ท่านบัพติศมาให้เรา ราวกับว่า เราเป็นมนุษย์ทั่วไปที่เป็นคนบาป … (2 โครินธ์ 5:21 พระเจ้าทรงทำให้พระองค์ผู้ปราศจากบาปให้เป็นบาปเพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า (ผู้ที่ถูกต้องกับพระเจ้า))
สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในหลังจากการจุ่มน้ำของพระเยซูก็คือ
พระเจ้าเสด็จมาในรูปลักษณ์ดุจนกพิราบ และตรัสต่อหน้าทุกคนในที่นั้น ต่อหน้ายอห์นว่า “ ผู้นี้เป็นลูกชายที่รักของเรา เป็นผู้ที่เราพอใจยิ่งนัก!”
เหตุการณ์นี้ ยอห์นให้ความมั่นใจกับทุกคนเต็มร้อยว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่มีข้อกังขาเหลืออยู่เลย (ยอห์น 1:33-34)

พระคำเชื่อมโยง

มัทธิว 31* มาระโก 1:3-8; โยชูวา 14:10
2* ดาเนียล 2:44; มาลาคี 4:5-6
3* อิสยาห์ 40:3; ลูกา 1:76
4* มาระโก 1:6; เลวีนิติ 11:22; 1 ซามูเอล 14:25-16
5* มาระโก 1:5

6* กิจการ 19:4, 18
7* มัทธิว 12:34; 1 เธสะโลนิกา 1:10
9* ยอห์น 8:33
10* มัทธิว 7:19
11* ลูกา 3:16; กิจการ 2:3-4

12* มาลาคี 3:3; มัทธิว 13:30
13* มาระโก 1:9-11; มัทธิว 2:2216* มาระโก 1:10; อิสยาห์ 11:2; 42:1; ยอห์น 1:32
17* ยอห์น 12:28; สดุดี 2:7