มัทธิว 5 ชีวิตแบบแผ่นดินสวรรค์

Mt 5 1

1 เมื่อพระเยซูทรงเห็นคนเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงขึ้นไปบนภูเขา ประทับนั่งลง เหล่าศิษย์ก็มาหาพระองค์
 2 และพระองค์ทรงเริ่มต้นสอนพวกเขาดังนี้ 

ความสุขของผู้ที่ติดตามพระเจ้า

3 ความสุขเป็นของคนที่รู้ว่า
จิตวิญญาณของตนเองยังบกพร่องอยู่ 
เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาแล้ว 
4 ความสุขเป็นของคนที่เศร้าโศก
เพราะว่าเขาจะได้รับการปลอบใจ
5 ความสุขเป็นของคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน
เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก

6ความสุขเป็นของคนที่หิวกระหายอยากที่จะมีชีวิตถูกต้องกับพระเจ้า
เพราะเขาจะได้อิ่มเต็มที่
7 ความสุขเป็นของคนที่มีใจเมตตา
เพราะเขาจะได้รับความเมตตาเช่นกัน
8 ความสุขเป็นของคนที่ใจบริสุทธิ์
เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า 

9 ความสุขเป็นของคนที่สร้างสันติ
เพราะเขาจะได้ชื่อว่า เป็นลูกของพระเจ้า 
10 ความสุขเป็นของคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงเพราะมีชีวิตถูกต้องกับพระเจ้า
เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาแล้ว
11 ความสุขเป็นของเจ้าเมื่อใคร ๆ ดูหมิ่นเจ้า ข่มเหงเจ้า
และกล่าวใส่ร้ายเจ้าเนื่องจากเรา
12 จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะรางวัลของเจ้านั้นมีมากมายในสวรรค์
เพราะพวกเขาได้ข่มเหงผู้รับใช้ของพระเจ้าที่มาก่อนหน้าเจ้าเช่นกัน 

เกลือ เมือง และแสงสว่าง

13 เจ้าทั้งหลายเป็นเกลือของแผ่นดินโลก แต่หากเกลือขาดรสชาติไปแล้ว
จะทำให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร?
เกลือนั้นจะไร้ประโยชน์นอกเสียจากจะโยนทิ้งไปให้คนเดินเหยียบย่ำ

14 เจ้าทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งบนภูเขาไม่อาจถูกปกปิดไว้ได้

 

15 เช่นเดียวกับคนที่จุดตะเกียง เขาจะไม่วางตะเกียงไว้ใต้ตะกร้า
แต่จะวางไว้บนที่ตั้ง เพื่อให้แสงส่องไปให้ทุกคนในบ้าน 
16 เช่นเดียวกัน จงให้ความสว่างของเจ้าส่องให้คนทั้งหลายได้เห็น
เพื่อเขาจะได้เห็นการดีของเจ้า และสรรเสริญพระบิดาของเจ้าผู้ประทับในสวรรค์


บัญญัติที่สำเร็จ

17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างบัญญัติหรือคำของผู้เผยพระดำรัส เรามิได้มาเพื่อล้มเลิกสิ่งเหล่านั้น แต่เพื่อทำให้สำเร็จ
18 เพราะเราบอกความจริงแก่เจ้าว่า 
จนกระทั่งวันที่ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินจะสิ้นสุดไป(ตราบเท่าที่ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินยังคงอยู่)จะไม่มีตัวหนังสือเล็ก ๆ หรือสักขีดเดียวที่จะหายไปจากบัญญัติจนกว่าทุกสิ่งสำเร็จตามที่บันทึกไว้

 


19 ดังนั้น ใครก็ตามที่ละเมิดบัญญัติแม้เป็นข้อเล็ก ๆ ข้อหนึ่งข้อใด และสอนให้คนอื่นทำเช่นนั้นด้วย จะถูกเรียกว่าเป็นผู้น้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ 
20 เราบอกเจ้าว่า
หากความดีของเจ้าไม่ได้เหนือไปกว่าพวกธรรมาจารย์และฟาริสีแล้ว
เจ้าจะไม่มีวันที่จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าได้เลย 


โกรธกับคืนดี 

21 เจ้าเคยได้ยินคำที่สอนในสมัยโบราณว่า ’อย่าฆ่าคน’
และ ‘ผู้ใดฆ่าคนจะถูกพิพากษาลงโทษ 
22 แต่เราขอบอกเจ้าว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของเขาจะต้องได้รับการพิพากษา 
เช่นกัน ผู้ใดกล่าวกับพี่น้องว่า
‘เจ้าไม่มีค่า!’
จะถูกพิพากษาที่สภาแซนเฮอดริน
แต่คนใดที่กล่าวว่า ‘เจ้าคนโง่!’ จะต้องเจอกับไฟนรก

23 ดังนั้น หากเจ้ากำลังจะถวายเครื่องบูชาที่แท่นบูชาและจำได้ว่า มีพี่น้องที่ยังมีเรื่องค้างคากับเจ้า 
24  ก็จงวางเครื่องบูชาไว้ที่แท่นบูชา และไปคืนดีกับเขาก่อน
แล้วจึงกลับมาถวายเครื่องบูชาของเจ้า

25 จงตกลงกับฝ่ายตรงข้ามของเจ้าระหว่างทางที่ไปศาลโดยเร็ว
เพื่อว่าเขาจะไม่ส่งตัวเจ้าให้กับผู้พิพากษาเพื่อส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ซึ่งจะโยนเจ้าเข้าเรือนจำ
26 เราบอกความจริงเจ้าว่า เจ้าจะไม่ได้ออกมาเป็นอิสระ
จนกว่าเจ้าจะจ่ายคืนเงินแม้สตางค์สุดท้ายทั้งหมดเสียก่อน

การล่วงประเวณี

27 เจ้าเคยได้ยินคำที่กล่าวว่า ‘อย่าล่วงประเวณี’
28 แต่เราขอบอกเจ้าว่า หากใครคนหนึ่งมองผู้หญิงด้วยใจใคร่ในตัวเธอ
ก็ได้ล่วงประเวณีกับเธอในใจของเขาแล้ว 


ดวงตาขวาและมือขวา

29 หากดวงตาข้างขวาของเจ้าทำให้เจ้าทำบาปก็จงควักมันออกมา และโยนทิ้งไปเพราะเป็นการดีกว่าที่เจ้าจะเสียอวัยวะบางส่วนไปแทนที่ร่างกายทั้งร่างจะถูกโยนลงในนรก 
30 และหากมือขวาของเจ้าทำให้ทำบาป ก็จะตัดมันออกทิ้งไป
เพราะเป็นการดีกว่าที่เจ้าจะเสียอวัยวะส่วนหนึ่งไปแทนที่จะเสียงทั้งร่างกายลงไปในนรก

การหย่าร้าง


31 ยังมีคำกล่าวว่า ‘ใครที่หย่าภรรยาของตนจะต้องมอบใบหย่าให้’ 
32 แต่เราขอบอกเจ้าว่า ใครก็ตามที่หย่าภรรยา
ยกเว้นการผิดศีลธรรมทางเพศ เท่ากับทำให้เธอเป็นคนผิดประเวณี
และคนที่แต่งงานกับหญิงที่หย่าแล้ว ก็ผิดประเวณีด้วย 

คำปฏิญาณและคำสัญญา


33 พวกเจ้าได้ยินคำที่กล่าวในสมัยโบราณว่า‘อย่าเสียคำสัญญา แต่จงทำตามสัญญาที่เจ้าให้ไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าให้สำเร็จ’
34 แต่เราบอกเจ้าว่า อย่าสาบานเลย
ไม่ว่าจะสาบานต่อสวรรค์ เพราะสวรรค์เป็นพระที่นั่งของพระเจ้า 
35 หรือสาบานต่อแผ่นดินโลก
เพราะนั่นเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า
หรือสาบานต่อนครเยรูซาเล็ม เพราะนครนี้เป็นนครขององค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ 
36 และเจ้าก็ไม่ควรสาบานด้วยหัวของเจ้าเพราะเจ้าไม่สามารถทำให้ผมของเจ้าขาวหรือดำไปได้
37 จงให้คำว่าใช่ เป็นใช่ และคำว่าไม่ เป็นไม่ตามจริง สิ่งที่พูดเกินมาจากนั้นมาจากมารร้าย

กฎใหม่เมื่อถูกกระทำ


38 เจ้าเคยได้ยินคำที่กล่าวว่า ‘ตาแทนตา ฟันแทนฟัน’
39 แต่เราบอกเจ้าว่า อย่าไปสู้กับคนชั่ว
ถ้าใครตบแก้มขวาของเจ้า ก็จงหันให้เขาตบอีกข้างด้วย
40 หากใครยื่นฟ้องเจ้า และเอาเสื้อชั้นในของเจ้าไป ก็จงให้เสื้อนอกไปด้วย 
41 และหากมีใครบังคับให้เจ้าเดินไป 1 กิโลเมตร ก็จงไปกับเขา 2 กิโลเมตร
42 จงให้ แก่คนที่ขอจากเจ้า และอย่าเมินหน้าไปจากคนที่ต้องการขอยืมจากเจ้า

รักศัตรูและดีพร้อม


43 เจ้าเคยได้ยินคำที่กล่าวว่า ‘จงรักเพื่อนบ้านของเจ้า’ และ ‘จงเกลียดชังศัตรูของเจ้า’ 
44 แต่เราบอกเจ้าว่า จงรักศัตรูของเจ้า และอธิษฐานเผื่อคนที่ข่มเหงเจ้า 
45 เพื่อว่าเจ้าจะได้เป็นลูก ๆ ของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ 
เพราะพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ส่องแสงให้กับทั้งคนชั่วและคนดี และทรงส่งฝนให้กับทั้งคนเที่ยงธรรมและคนอธรรม
46หากเจ้ารักเพียงคนที่รักเจ้า เจ้าจะได้รับรางวัลหรือ?เหล่าคนเก็บภาษี  ก็ทำอย่างนั้นมิใช่หรือ? 
47 และหากเจ้าทักทายเฉพาะพี่น้องของเจ้าเจ้าได้ทำอะไรมากกว่าคนอื่น ๆ เล่า?
แม้แต่คนต่างชาติก็ยังทำอย่างนั้นมิใช่หรือ?
48 ดังนั้น เจ้าจงเป็นคนที่ดีพร้อมทุกด้านเหมือนอย่างที่พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อมทุกประการ 


อธิบายเพิ่มเติม



มัทธิว 5:1-2
หลังจากที่พระเยซูทรงเตือนว่า ให้กลับใจใหม่ เพราะแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว และพระองค์ก็ทรงอธิบายให้รู้ว่า ชีวิตที่วางใจ กลับใจเชื่อในพระเจ้าแตกต่างจากชีวิตแบบเดิม ๆ อย่างไร ผู้คนที่เข้ามาฟัง ก็ตั้งใจฟังมาก พวกเขาฟังแล้วก็เชื่อ เพราะพระองค์ทรงสอนต่างจากธรรมจารย์ในศาลาธรรมที่สอนเอาแต่ให้พวกเขาประพฤติ ปฏิบัติตามกฎต่าง ๆ มากมาย พวกเขาเห็นเลยว่า พระองค์ไม่เหมือนธรรมาจารย์เหล่านั้น (มัทธิว 7:28)

มัทธิว 5:3-12
ผู้ที่มาฟังพระเยซูส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองที่ยากจน พวกเขาถูกควบคุมความคิดโดยเหล่าธรรมาจารย์ และกำลังอยู่ในสภาพเมืองขึ้นของโรมด้วย เมื่อได้ยินคำสอนที่ประหลาด เช่นนี้ จึงทำให้พวกเขาต้องตั้งใจฟัง และพยายามที่จะเข้าใจ
:3 คนบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ถ้าเป็นในศาสนายิว ก็จะถูกดูหมิ่น แต่พระเยซูตรัสว่าจะมีความสุขเพราะแผ่นดินสวรรค์คือ การที่พระเจ้าทรงครอบครองใจ สุภาษิต 3:34 ก็บอกเรามาก่อนหน้าด้วยว่า พระเจ้าทรงต่อสู้คนที่หยิ่งจองหอง
:4 คนที่โศกเศร้าเสียใจ ในศาสนายิว ก็จะเสียใจมากขึ้น เพราะถูกทับถม คนไทยเราก็คอยหาทางดับทุกข์ด้วยวิธีต่าง ๆ แต่กับพระเยซู กลับได้การปลอบใจจากพระเจ้า
:5 คนที่อ่อนน้อมถ่อมตน ก็จะยิ่งถูกกดลงมากขึ้น แต่กับพระเยซู พวกเขาจะได้รับเกียรติ เหมือนกับในสดุดี 37:3
:6 คนที่อยากถูกต้องกับพระเจ้า เมื่ออยู่ในศาสนา ก็จะต้องบังคับตน ประพฤติตนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้ามาแสวงหาพระเจ้า เขาจะอิ่มเต็มที่ได้รับอย่างที่ปราถนา ไม่ใช่โดยความพยายามส่วนตัว แต่โดยการใกล้ชิดกับพระเจ้า รับพลังจากพระองค์
:7 คนที่เมตตา ในศาสนายิว ก็จะได้รับการยกย่องจากคน แต่พระเจ้ากลับบอกว่า เขาจะได้รับความเมตตาตอบจากพระองค์
:8 คนใจบริสุทธิ์ ในศาสนายิว จะรู้สึกเป็นคนดี ดีกว่าคนอื่น แต่พระเยซูจะทรงให้เขาได้สัมผัสกับพระเจ้ามากขึ้น รู้จัก เข้าใจพระองค์มากขึ้นทุกวัน
:9 คนที่สร้างสันติ ในหมู่พี่น้อง เป็นคนที่ไม่ทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ แต่มีความพยายามให้เกิดความปรองดอง ความร่วมมือ ความรักกันและกัน คนแบบนี้ หายากมาก มีที่ไหน เขาก็เหมือนกับเป็นลูกแท้ ๆ ของพระเจ้า
:10-12 เมื่อคนใดก็ตามถูกข่มเหง ซึ่งไม่ใช่แค่ร่างกาย จิตใจ แต่บางครั้งถึงกับชีวิต แต่เขายังทนได้ ไม่ยอมก้มหัวทำผิดต่อพระเจ้า คนเหล่านี้มีรางวัลในสวรรค์รออยู่ และพระเจ้ากลับบอกให้เขายินดี ทั้งหมดนี่เป็นคำสอนบอกทางแห่งความสุขที่แตกต่างจากโลกราวฟ้ากับเหว

มัทธิว 5:13-16
คนของพระเจ้าเป็นเหมือนเกลือที่ทำหน้าที่รักษาไม่ให้เน่าเสีย ให้รสชาติ ซึ่งผู้เชื่อของพระเจ้าจะต้องเป็นคนช่วยรักษาสังคมให้ดี ไม่เน่าเสียไปจากทางของพระเจ้า อีกอย่างที่เกี่ยวกับเกลือ ในอิสราเอลมีเกลือบางอย่างที่ผสมกับแร่ธาตุอื่น ๆ ทำให้ความเค็มหายไปผสมกับแร่อื่น ๆ เหล่านั้น เกลือประเภทนี้เขาเอาไว้เทเป็นทางเดิน
:14และในชีวิตของเขาจะต้องเป็นแสงสว่าง เป็นพยานให้กับคนที่ยังไม่รู้จักแสงสว่างคือ พระเยซูคริสต์
:16 ที่น่าสนใจคือ ใคร ๆ จะเห็นแสงสว่างได้จากการกระทำที่ดีเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่แค่พูดอย่างเดียว ผลที่ได้คือ เขาจะสรรเสริญพระบิดา ผู้ประทับในสวรรค์

มัทธิว 5:17-20
:17 พระเยซูตรัสชัดเจนว่า พระองค์ทรงมาเพื่อให้หนังสือ 5 เล่มแรกของพระคัมภีร์เดิมนั้นสำเร็จผล รวมทั้งหนังสือผู้พยากรณ์ทั้งหลายด้วย ระบบการถวายเครื่องบูชาเพื่อไถ่บาป พระองค์ทรงทำที่ไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปคนทั้งโลก
ถ้าเราได้อ่านพระคัมภีร์เดิม เราจะเห็นว่า ทุกเล่มมีสิ่งที่ชี้ให้เราซึ่งเป็นคนยุคศตวรรษที่ 21 ได้เห็นว่า คำทำนายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระเยซูเป็นจริงทั้งสิ้น
คำสอนทั้งหลายของพระเยซู ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อทำลายคำสอนเดิม แต่เพื่อทำให้สำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ
:18 ความจริงแล้วพระเจ้าทรงยกย่องพระคำของพระองค์มาก ดังนั้นทุกคำเป็นจริง และจะเกิดขึ้นตามที่บอกไว้ ไม่มีพลาดเลย สดุดี 138:2b
เพราะว่า พระองค์ทรงยกพระนามและพระดำรัสของพระองค์ขึ้นเหนือสิ่งอื่นใด

:19 การเป็นผู้สอนคนอื่น จึงเสี่ยงมากที่จะกลายเป็นผู้เล็กน้อยในแผ่นดินสวรรค์ หากว่า ไปสอนในสิ่งที่ผิดพลาด​…​
:20 ข้อนี้ เหมือนพระเยซูกำลังจะบอกว่า ไม่มีใครที่จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าเพราะความดีได้เลย…แม้กระทั่งธรรมาจารย์และฟาริสี ก็ยังไม่ผ่าน

มัทธิว 5:21-26
:21-22 ต่อไปนี้ พระเยซูจะทรงเริ่มด้วยคำว่า เจ้าเคยได้ยินคำกล่าวว่า .. แล้วทรงบอกว่า พระองค์ทรงมีความเห็นอย่างไรในเรื่องนั้น (ทั้งหมดหกเรื่อง) เราจะเห็นว่า การโกรธนั้น เป็นพื้นฐานของการฆ่าคน พระองค์ทรงเริ่มที่ให้เราจัดการกับความโกรธที่เกิดขึ้นก่อน คนที่ช่างโกรธจะต้องเจอกับปัญหามากมายตามมา และที่สุดคือไฟนรก แสดงว่า เรื่องความโกรธจนแสดงออกมาเป็นวาจาที่น่ารังเกียจนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องระมัดระวังให้มาก
:23-24 ถ้าจะเข้าเฝ้าพระเจ้า พร้อมกับยังมีปัญหากับพี่น้อง ก็ขอให้จัดการคืนดีเสียก่อน
:25-26 เวลาเจอคดีความ ก็ให้รีบไกล่เกลี่ยก่อนถ้าทำได้ จะได้ไม่เจอกับโทษที่ทำให้ลำบากไปกว่าที่เป็นอยู่

มัทธิว 5:27-28 อย่าลืมว่า ในสังคมยิว การเป็นชู้คือบาปที่หนักหนาสาหัสมาก (อพยพ 20:14) เป็นการละเมิดร่างกายของอีกคน และละเมิดสัญญาการสมรส เป็นการทำลายครอบครัวหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ การสมรสในสายตาของยิวเชื่อมโยงไปถึงความสัมพันธ์ของพระเจ้าที่มีต่ออิสราเอลด้วย (มาลาคี 2:14) เหนือไปกว่านั้น พระเยซูตรัสว่า ยังไม่ได้ลงมือกระทำ แค่มองก็ผิดแล้ว!! นั่นหมายถึงว่า เราต้องมีใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ใช่มีสิ่งที่สกปรกแอบอยู่ข้างใน ใครมองไม่เห็นแต่พระเจ้าทรงเห็นหมด! พระเจ้าทรงประสงค์คนที่มีมือสะอาดใจบริสุทธิ์ (สดุดี 24:4) ทรงสั่งให้เรารักษาใจสุดความพยายามเลยทีเดียว (สุภาษิต 4:23)

มัทธิว 5:29-30 พระเยซูตรัสถึงดวงตาขวา มือขวา มีความหมายว่าสำคัญกว่า ดวงตาเป็นตัวสร้างความอยาก มือเป็นตัวลงมือทำ คำว่าควักออกเสีย ตัดออกเสียเพื่อให้เห็นว่า การที่จะมีความซื่อสัตย์ในชีวิตสมรสก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เราต้องสละสิ่งที่มีความสำคัญในชีวิตเพื่อที่จะไม่ให้มันนำเราไปสู่ความบาป

มัทธิว 5:31-32
การมีใบหย่าทำให้ผู้หญิงคนที่หย่าแล้วมีสิทธิแต่งงานใหม่ พระเจ้าทรงช่วยให้ผู้หญิงไม่ต้องถูกหย่าโดยไร้เหตุผลที่สมควร สำหรับสังคมโบราณ การมีครอบครัวเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ผู้หญิงโบราณจะไม่ออกไปทำงานนอกบ้านเหมือนสมัยนี้ เธอจึงจำเป็นต้องมีผู้เลี้ยงดู แสดงว่า เวลานั้นก็มีการหย่าร้างกันไม่น้อย แต่สิ่งที่พระเยซูตรัสทำให้เห็นว่า พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยกับการหย่าร้าง เพราะไม่ควรที่ใครจะให้คนที่สมรสเป็นหนึ่งเดียวกันแยกจากกัน (มาระโก 10:8)

มัทธิว 5:33-37
โมเสสเคยบอกถึงพระบัญชาของพระเจ้าว่า หากใครสาบานว่าจะทำสิ่งใด ก็อย่าผิดคำที่เขาลั่นวาจาไว้ (กันดารวิถี 30:2) แต่พระเยซูทรงสอนว่า ไม่ให้สาบาน อ้างโน่นอ้างนี่ แต่ให้พูดด้วยความจริง ทุกอย่าง

มัทธิว 5:38-42
:38 มีกฎการตัดสินความว่า ให้ชีวิตแทนชีวิต ตาแทนตา ฟันแทนฟัน ในเฉลยธรรมบัญญัติ 19:20 เพื่อให้การลงโทษนั้นเหมาะกับความผิด (ซึ่งเป็นกฎสำหรับการปกครอง การตัดสินความของผู้มีอำนาจ) แต่ในจุดนี้ พระเยซูกำลังกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนสองฝ่ายที่อาจเกิดมีปัญหากันขึ้น
:39 พระเยซูไม่ได้ทรงกล่าวถึงการต่อสู้ในสงคราม แต่กำลังกล่าวถึงคนสองคนที่มีปัญหากันว่า ควรจะตัดสินอย่างไร สิ่งที่เห็นคือ พระองค์ไม่ให้คนสองฝ่ายแก้แค้นกันและกัน (ในสังคมยิวสมัยก่อนนั้น เวลายิวทะเลาะกันเมื่อไร ก็จะรุนแรงมาก ๆ แถมยังจะเอาคนในครอบครัว หรือตระกูลเข้าไปร่วมการต่อสู้ส่วนตัวด้วย ) เมื่อมีปัญหา ก็ขอให้รีบจบก่อนที่จะลามไปมากกว่าที่เป็นอยู่

มัทธิว 5:43-45
เข้าไปดูคุณรามิน เขาอ่านมัทธิว 5 แล้วพบความแตกต่างจากความเชื่อเดิมของเขา
https://www.youtube.com/watch?v=ShA-bWaW3LU

มัทธิว 5:46-47
คนยิวจะเกลียดคนเก็บภาษีมาก เพราะเป็นลูกน้องโรม มาขูดรีดชาวยิวด้วยกันเอง แต่พระเยซูกลับทรงสอนให้พวกเขา ปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นเป็นอย่างดี นี่เป็นหัวใจที่ไม่มีอคติ สิ่งที่พระองค์ทรงบอกคนที่ฟังอยู่ และเราทุกคน คือการมองผู้อื่นด้วยสายตาของพระเจ้า พระองค์ประทานสิ่งดีให้กับทุกคน แล้วเราจะทำอย่างนั้นกับคนที่เราคิดว่าเขาไม่สมควรได้รับ ได้หรือไม่

มัทธิว 5:48
พระเยซูทรงบอกให้ผู้ฟังเป็นคนดีพร้อมเหมือนพระบิดาในสวรรค์ พระเจ้าพระบิดาทรงแจ้งผ่านพระเยซูให้รู้แล้วว่า อะไรดี อะไรเหมาะ ดังนั้นเมื่อผู้ที่เชื่อพระเจ้า ใช้ชีวิตตามพระดำรัสเท่ากับพวกเขากำลังเดินตามวิถีที่ดีพร้อม.. อาจจะยังไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่กำลังก้าวไป.. และพระวิญญาณทรงเป็นกำลังให้เปลี่ยนแปลง

พระคำเชื่อมโยง

1*  มาระโก 3:13                                                        2* มัทธิว 7:29
3* ลูกา 6:20-23
4* วิวรณ์ 21:4
5* สดุดี 37:11; โรม 4:13
6* ลูกา 1:53; อิสยาห์ 55:1; 65:13
7* สดุดี 41:1
8* สดุดี 15:2;24:4; 1โครินธ์ 13:12
9* ฮีบรู 12:14
10* 1 เปโตร 3:14
11* ลูกา 6:22; 1 เปโตร 4:4
12* 1 เปโตร 4:13, 14; กิจการ 7:52
13* ลูกา 14:34
14* ยอห์น 8:12
15* ลูกา 8:16
16* 1 เปโตร 2:12; ยอห์น 15:8
17* โรม 10:4

บรรณานุกรม

18* ลูกา 16:17
19* ยากอบ 2:10
20* โรม 10:3
21* อพยพ 29:13; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:17
22* 1 ยอห์น 3:15; ยากอบ 2:20; 3:6
23* มัทธิว 8:4
24* โยบ 42:8
25* ลูกา 12:58-59; อิสยาห์ 55:6
26* มัทธิว 18:34
27* อพยพ 20:14; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:18
28* สุภาษิต 6:25
29* มาระโก 9:43; โคโลสี 3:5
30* มาระโก 9:43
31* เฉลยธรรมบัญญัติ 24:1
32* ลูกา 16:18
33* มัทธิว 23:16; เลวีนิติ19:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 23:23

34* ยากอบ 5:12; อิสยาห์ 66:1
35* สดุดี 48:2
36* ลูกา 12:25
37* โคโลสี 4:638* อพยพ 21:24; เลวีนิติ 24:20; เฉลยธรรมบัญญัติ 19:21
39* ลูกา 6:29; อิสยาห์ 50:6
40* ลูกา 6:29
41* มัทธิว 27:32
42* ลูกา 6:30-34
43* เลวีนิติ 19:18; เฉลยธรรมบัญญัติ 23:3-6
44* ลูกา 6:27; โรม 12:20; กิจการ 7:60
45* โยบ  25:3
46* ลูกา 6:32
47* ลูกา 6:32
48* โคโลสี 1:28; 4:12; เอเฟซัส 5:1

มัทธิว 4 ทดสอบก่อนราชกิจ

เผชิญการทดสอบ
มาระโก 1:12-3; ลูกา 4:1-13
1 แล้วพระวิญญาณทรงนำพระเยซูไปยังถิ่นกันดารเพื่อให้มารทดลองพระองค์
2 หลังจากที่พระองค์อดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน พระองค์ทรงหิว
3 ผู้ทดลองมาหาพระองค์ ทูลว่า “หากท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็ให้บอกหินเหล่านี้ให้เป็นขนมปังเสียสิ”
4 แต่พระเยซูตรัสตอบว่า “มีคำเขียนไว้ดังนี้ “มนุษย์จะมีชีวิตต่อไปด้วยอาหารอย่างเดียวไม่ได้ แต่ด้วยพระดำรัสทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า

5 จากนั้น มารได้นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับบนยอดสูงของพระวิหาร
6 “หากท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” มารกล่าว “ก็กระโจนลงไปสิ เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘พระองค์ทรงบัญชาเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์เรื่องท่าน และทูตนั้นจะยกท่านไว้ในมือของพวกเขาเพื่อว่าเท้าของท่านจะไม่กระทบหินสักก้อน’ ” (สดุดี 91:11-12)
7 พระเยซูตรัสตอบว่า “มีคำเขียนไว้ด้วยว่า อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า’”

8 อีกครั้ง มารได้นำพระองค์ไปยังภูเขาสูง และให้พระองค์มองดูอาณาจักรในโลกที่ยิ่งใหญ่ตระการ
9 “ทั้งหมดนี้เราจะมอบให้ท่าน” มารกล่าว “หากท่านจะคุกเข่าลงและนมัสการข้าพเจ้า”
10 “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน!” พระเยซูตรัส “เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘จงนมัสการและรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าแต่พระองค์เดียวเท่านั้น’”
11 จากนั้น มารจึงละจากพระองค์ไป และเหล่าทูตสวรรค์ได้มาปรนนิบัติพระองค์

พระเยซูทรงเริ่มพระราชกิจ
อิสยาห์ 9:1-7; มาระโก 1:14-15; ลูกา 4:14-15
12 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินว่า ยอห์นถูกจำคุก พระองค์ก็ทรงเดินทางไปยังกาลิลี
13 ทรงออกจากนาซาเร็ธ และทรงไปอาศัยในเมืองคาเปอรนาอูม ซึ่งอยู่ริมฝั่งทะเล ในแคว้นเศบูลุน และนัฟทาลี
14 เพื่อให้สำเร็จตามผู้เผยพระดำรัสอิสยาห์ว่า
15 “แผ่นดินเศบูลุน และแผ่นดินนัฟทาลี เหนือขึ้นไปจากแม่น้ำจอร์แดน คือกาลิลีของชาวต่างชาติ
16 ประชาชนที่อยู่ในความมืดได้เห็นแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่ คนที่อาศัยในแผ่นดินเงาความตาย แสงสว่างส่องได้มาถึงแล้ว ”
17 จากนั้นเป็นต้นมา พระเยซูทรงเริ่มเทศนาว่า
“จงกลับใจเสียใหม่เพราะแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว”

ศิษย์กลุ่มแรก
มาระโก 1:16-20; ลูกา 5:1-11; ยอห์น 1;35-42
18 ขณะที่พระเยซูดำเนินไปตามริมฝั่งทะเลสาบกาลิลี ทรงเห็นพี่น้องชายสองคน คือซีโมนซึ่งมีอีกชื่อว่าเปโตร และน้องชายของเขาคืออันดรูว์ ทั้งสองกำลังโยนอวนลงไปในทะเล เพราะว่าเขาเป็นชาวประมง
19 “มาเถอะ ตามเรามา!” พระเยซูตรัส “เราจะทำให้เจ้าเป็นคนที่หาคนอย่างคนหาปลา
20 ทันใดนั้นเอง ทั้งสองก็ละจากอวนของเขา และติดตามพระองค์ไป
21 จากที่นั่น พระองค์ทรงเห็นพี่น้องชายสองคนคือยากอบ ลูกชายเศบีดี และน้องชายของเขาคือ ยอห์น ทั้งสองกำลังซ่อมชุนอวนอยู่ในเรือกับพ่อของเขาคือเศบีดี พระเยซูทรงเรียกเขา
22 และเขาก็ละจากเรือและพ่อของเขา
ติดตามพระองค์ไปทันที!

ทรงรักษาโรคของคนจำนวนมาก
มาระโก 3:7-12; 6;17-19
23พระเยซูทรงเดินทางไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสอนในศาลาธรรม ประกาศข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดิน
และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดของประชาชน 
24ข่าวเรื่องของพระองค์นั้น เลื่องลือไปถึงซีเรีย และผู้คนก็พากันนำเอาคนป่วยด้วยโรคต่าง ๆ  คนที่เจ็บปวดตามตัว คนที่ถูกผีสิง และคนที่มีอาการชัก รวมทั้งคนเป็นอัมพาต และพระองค์ทรงรักษาพวกเขา
25 ประชาชนกลุ่มใหญ่มากติดตามพระองค์
พวกเขามาจาก กาลิลี แคว้นทศบุรี นครเยรูซาเล็ม และจากอีกฟากฝั่งของแม่น้ำจอร์แดน 

อธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 4:1-11
หลังจากการบัพติศมา พระวิญญาณทรงลงมาในรูปลักษณ์ของนกและมีพระสุรเสียงจากสวรรค์แจ้งว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรที่ทรงรักมากทำให้ยอห์นมั่นใจว่าพระเยซูคือองค์พระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงเจิมและทรงส่งลงมาเพื่อช่วยโลกให้รอด เหตุการณ์วันนั้น คนจำนวนมากได้เห็น แต่พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจเต็มร้อยว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากพระพรยิ่งใหญ่ พระเยซูกำลังจะเข้าไปเผชิญกับมาร…ศัตรูของพระเจ้า มันต้องการทำลายพระเยซูเหมือนอย่างที่มันพยายามทำมาตลอด
จากนั้น พระวิญญาณทรงนำไป ให้พระเยซูทรงเผชิญกับการทดลอง (ถิ่นกันดารเป็นสถานที่กว้างใหญ่ที่เต็มด้วยขุนเขาที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีแต่ความแห้งแล้ง ไม่มีคนอยู่ ไม่มีคนเดินทางผ่านมา ไม่มีสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และในพระคัมภีร์ ยังมีความหมายถึงสถานที่ ๆ มารอยู่ ไม่สะอาด ดูเลวีนิติ หลังจากที่ปุโรหิตเอาบาปของประชาชนไว้บนตัวแพะ แล้วไล่มันไปอยู่ในถิ่นกันดาร )
หลังจากทรงอดอาหาร อธิษฐาน มีการสนทนากับพระบิดาตลอดเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืนนั้น พระองค์ทรงอยู่กับสัตว์ป่าด้วย (มาระโก 1:12-13)
เมื่อทรงอ่อนแรง อิดโรยที่สุด ผู้ทดลองหรืออีกชื่อคือมาร, ซาตาน ได้มาพบพระองค์​
การทดลองสามประการและการตอบกลับของพระเยซู.
วิธีการ
1 ท้าให้พระเยซูเปลี่ยนหินเป็นขนมปัง เป็นการดูหมิ่นองค์พระบิดาว่า พระองค์ไม่ทรงดูแลพระบุตร ดังนั้น พระบุตรจะต้องจัดหาเอง ตอบด้วยพระคำ “แค่กินอาหารไม่พอ ต้องกินพระคำด้วย” 8:3 พระเจ้าทรงรักษาชีวิตของเราด้วยพระคำ
2 ท้าให้พระเยซูกระโจนลงจากที่สูง โดยอ้างพระคำ ตามความเห็นของยิวแล้ว โลกมีจุดศูนย์กลางที่เยรูซาเล็ม (เอเสเคียล 5:5) เท่ากับพระเยซูกำลังอยู่ที่ศูนย์กลางของโลก และเป็นที่ ๆ พระคัมภีร์กล่าวว่า การกระโจนลงไปจากระเบียง 450 ฟุต พิสูจน์สิว่า พระบิดาจะทรงปกป้องพระบุตรไว้ ..
(มาลาคี 3 ตอบด้วยพระคำ “อย่าทดลองพระเจ้า” ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพระเจ้าทรงทำได้ มาท้าให้ทำทำไม? 16 อย่างไร.. เราก็จะไม่ทดสอบในสิ่งที่เรารู้แล้วว่า พระเจ้าทรงทำได้ เราวางใจพระองค์ได้
3 สร้างเงื่อนไข (ที่มารหวังว่าพระเยซูจะรับ)
ต่อมามันพาพระองค์ไปดูอาณาจักรในโลก .. มาระโก ลูกามีคำว่า…….ในพริบตาเดียว ชั่วขณะเดียว………ทำให้เข้าใจได้ว่า เป็นการมองดูอาณาจักรต่าง ๆ ในโลกในฝ่ายวิญญาณ ไม่ได้เดินทางไปดูตามที่ต่าง ๆ
เพราะอาณาจักรเหล่านี้เป็นของมาร ดังนั้น ซาตานล่อพระองค์ว่าจะให้อาณาจักรถ้าคุกเข่าลงกราบนมัสการตัวมัน แค่นมัสการชั่วขณะ พระเยซูก็จะได้ทุกอย่างที่พระบิดาทรงสัญญาไว้ในสดุดีบทที่ 2 ไม่ต้องไปทำงานของพระเจ้า ไม่ต้องไปตายบนไม้กางเขน… ไม่ต้องผ่านสิ่งต่าง ๆ ที่เตรียมไว้ ความทุกข์ยากต่าง ๆ แต่จะได้อาณาจักรเหล่านี้เลยตอบด้วยพระคำ และไล่มันไป “จงนมัสการและรับใช้พระเจ้าเท่านั้น” ไม่ใช่มากราบไหว้รับใช้มาร อย่างที่เราเคยทำเมื่อยังไม่รู้จักพระเจ้า เราจะไม่นมัสการใครทั้งสิ้น
หมายเหตุ
หากท่านเป็นบุตรพระเจ้า หรือคำว่า ในเมื่อท่านเป็นบุตรของพระเจ้า
หากท่านเป็นบุตรพระเจ้า หรือคำว่า ในเมื่อท่านเป็นบุตรของพระเจ้า หากท่านนมัสการเรา จะได้….

มัทธิว 4:12-17
หลังจากที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกจำคุก นั่นเท่ากับงานของเขากำลังเริ่มจะจบลง เขาได้ทำทางขององค์พระเยซู ด้วยการเปิดเผยให้ทุกคนรู้ว่า พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พวกเขารอคอย  ทุกคนควรจะต้องฟัง และเชื่อฟังพระองค์ 
พระองค์ก็ทรงออกจากนาซาเร็ธ เมืองที่พระองค์ทรงเติบโตมา และไปเริ่มงานของพระองค์ที่เมืองคาเปอรนาอูม  เมืองนี้ เป็นเมืองที่สมัยก่อนจะมีผู้คนเดินทางผ่านไปมามากมาย เมื่อมีสงคราม เมืองนี้ก็มักจะอยู่ในทางของกองทัพต่าง ๆ ดังนั้น จึงมีคนต่างชาติ เชื้อชาติผสมอยู่ในเมืองนี้เป็นจำนวนไม่น้อย  ต่างจากทางใต้อย่างยูเดียที่เป็นถิ่นของคนเชื้อสายอิสราเอล
และที่ทรงทำเช่นนั้น เพื่อให้คำพยากรณ์ของอิสยาห์ได้สำเร็จ  … ใช่แล้ว ดินแดนแห่งความมืดกำลังได้รับแสงสว่างของพระเจ้า  องค์ผู้เป็นแสงสว่างได้เข้ามาอยู่ท่ามกลางพวกเขา  ไม่เฉพาะชนชาติอิสราเอล แต่ทรงอยู่ท่ามกลางคนต่างชาติมากมาย
และก็ทรงเรียกให้ประชาชนกลับใจใหม่  เป็นการประกาศแบบเดียวกับยอห์น นี่เป็นภาพที่สวยงาม แสงสว่างแห่งโลก ทรงอยู่ท่ามกลางชาวโลก…​… 

พระคำเชื่อมโยง

1* มาระโก 1:12-15; เอเสเคียล 43:5
2* เฉลยธรรมบัญญัติ 9:18; อพยพ 34:28
3* 1 เธสะโลนิกา 3:5
4* เฉลยธรรมบัญญัติ 8:3
5* ลูกา 4:9
6* สดุดี 91:11-12
7* เฉลยธรรมบัญญัติ 6:16; 1โครินธ์ 10:9
8* 1 ยอห์น 2:15-16; ลูกา 4:5-7

10* เฉลยธรรมบัญญัติ 6:13-14; 10:20;
โยชูวา 24:14
11* ยากอบ 4:7; ฮีบรู 1:14
12* ยอห์น 4:43
13* มาระโก 1:21
15* อิสยาห์ 9:1-2
16* ลูกา 2:32
17* มาระโก 1:14-15; มัทธิว 3:2; 10:7

18* มาระโก 1:16-20; ยอห์น 1:40-42
19* ลูกา 5:10
20* มาระโก 10:28
21* มาระโก 1:19
22* มัทธิว 10:37; ลูกา 14:26
23* สดุดี 22:22; มัทธิว 9:35;24:14; มาระโก 1:34
24* ลูกา 4:40
25* มาระโก 3:7-8

มัทธิว 3 ทรงโปรดปรานท่านผู้นี้

พันธกิจของยอห์นผู้ให้บัพติศมา 
1 ในช่วงเวลานั้นเอง  ท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาเริ่มต้นเทศนาในพื้นที่ถิ่นกันดารในยูเดีย  
2 ท่านกล่าวว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะแผ่นดินสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว”
3 ท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาผู้นี้ เป็นคนที่อิสยาห์ ผู้เผยพระดำรัสของพระเจ้ากล่าวถึงเมื่อท่านกล่าวว่า
“มีเสียงจากคนหนึ่ง ร้องเสียงดังในถิ่นกันดารว่า ‘จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า  จงทำให้ถนนตรงราบเรียบเพื่อพระองค์’” (อิสยาห์  40:3)

4 เสื้อผ้าของท่านยอห์นทำจากขนอูฐ มีสายคาดหนังรอบเอวของท่าน
ท่านกินตั๊กแตนกับน้ำผึ้งเป็นอาหาร 
5 มีประชาชนออกไปจากนครเยรูซาเล็ม และพื้นที่ในยูเดีย รวมทั้งจากพื้นที่รอบ ๆ แม่น้ำจอร์แดน
6 พวกเขาสารภาพบาป และได้รับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน

7  แต่เมื่อยอห์นเห็นว่ามีฟาริสีและสะดูสีมากมายได้มายังที่ ๆ ท่านให้บัพติศมา  ท่านกล่าวกับพวกเขาว่า “เจ้าชาติงูพิษร้าย ใครเตือนให้เจ้าหนีจากการลงโทษของพระเจ้า? 
8 จงเกิดผลให้สมกับการที่เจ้ากลับใจใหม่ 
9 และอย่านึกไปเองว่า “เรา   มีพ่อคืออับราฮัม” เพราะเราบอกแก่เจ้าว่า พระเจ้าสามารถทำให้ลูกหลานของอับราฮัมเกิดจากก้อนหินเหล่านี้ได้ 
10 ขวานนั้นวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว  และต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดี จะถูกโค่นลง และโยนทิ้งลงในกองไฟ

11 เราให้บัพติศมาแก่เจ้าในน้ำ แสดงการกลับใจของเจ้า แต่หลังจากนี้ไป จะมีท่านผู้หนึ่งที่ทรงฤทธิ์กว่าเราเสด็จมา แม้แต่รองเท้าของพระองค์ เราก็ไม่คู่ควรที่จะถือให้พระองค์  พระองค์ผู้นี้จะบัพติศมาพวกท่านด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยไฟ 

12 ทรงถือพลั่วในพระหัตถ์เพื่อจะเก็บกวาดลานนวดข้าว  และเพื่อรวบรวมข้าวสาลีไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่อาจดับได้  

พระเยซูทรงรับบัพติศมาในน้ำ
13 แล้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลีมายังแม่น้ำจอร์แดน และทรงประสงค์ให้ยอห์นบัพติศมาให้พระองค์
14 แต่ยอห์นพยายามที่จะห้ามพระองค์ไว้ ทูลว่า “ข้าพเจ้าต่างหากที่ควรได้รับบัพติศมาจากพระองค์​
เหตุใดพระองค์จึงมาหาข้าพเจ้าเพื่อรับบัพติศมาเล่า?
15 พระเยซูตรัสตอบว่า “เวลานี้ให้เป็นไปอย่างนี้เถิด สมควรแล้วที่เราจะทำให้ความเที่ยงธรรมบรรลุผลครบถ้วนด้วยวิธีนี้” ยอห์นจึงยอมทำตามพระองค์
16 ทันทีที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาเสร็จ พระองค์ทรงขึ้นจากน้ำ ฟ้าสวรรค์ก็เปิดออก ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้ารูปลักษณ์ดุจนกพิราบลงมาประทับกับพระองค์
17 มีพระสุรเสียงจากสวรรค์ ตรัสว่า
“ผู้นี้เป็นลูกชายที่รักของเรา เป็นผู้ที่เราพอใจยิ่งนัก!”

อธิบายเพิ่มเติม

มัทธิว 3:1-6
ยอห์นผู้ให้บัพติศมา เป็นคนสำคัญยิ่งที่มาเตรียมทางให้พระเยซู เขาเป็นลูกชายของปุโรหิตเศคาริยาห์ เกิดในเวลาที่พ่อ แม่ชราแล้ว (อ่านลูกา 1) แต่แทนที่จะเตรียมตัวเป็นปุโรหิตเหมือนกับพ่อ เขากลับออกไปประกาศให้คนกลับใจใหม่ในถิ่นกันดาร!
ยอห์น ตระหนักว่าพระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาในโลกแล้วก็ตั้งแต่วันที่เขาได้ยินเสียงของมารีย์ทักทายเอลีซาเบ็ธ ก็ดิ้นด้วยความดีใจในท้องของแม่ด้วย (ลูกา 1:44)ยอห์นกับพระเยซูน่าจะรู้จักกันมาบ้างตั้งแต่เด็ก เพราะทุกครอบครัวจะไปพบกันระหว่างปีเมื่อมีเทศกาลสำคัญในเยรูซาเล็ม ครอบครัวของพระเยซูมาจากกาลิลีทางเหนือ ส่วนครอบครัวยอห์นจะอยู่ในยูเดียทั้งสองครอบครัวเป็นญาติกัน
เมื่อฟาริสี ถูกส่งมาถามยอห์นว่าเขาเป็นพระเมสสิยาห์ หรือเป็นเอลียาห์ เขาตอบว่า ไม่ใช่… แต่เขาเป็นเสียงของผู้ที่ร้องในถิ่นกันดารว่า ‘จงทำทางสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป’(ยอห์น 1:23) ตรงนี้น่าคิดมาก.. พระเยซูทรงเป็นพระคำและทรงเป็นพระเจ้า ทรงอยู่กับพระเจ้า (ยอห์น 1:1) ส่วนยอห์นเป็นเสียงที่กล่าวพระคำนั้น!
อีกประการ เขากำลังเตรียมทางให้องค์กษัตริย์ สมัยโบราณ เมื่อกษัตริย์จะเดินทางไปเมืองไหน ก็ต้องมีคนไปล่วงหน้าเพื่อทำทางให้เรียบ คนงานเหล่านั้นมีหน้าที่เตรียมทางให้ตรง ราบเรียบ ยอห์นเป็นคน ๆ นั้น
ยอห์นไม่ได้ประกาศในเมือง เขาไม่เหมือนใครเลย แต่งตัวก็ใช้หนังอูฐ กินอาหารก็เพื่อให้มีชีวิตอยู่ แต่กลับมีคนออกจากเมืองไปฟังเขาเทศนาในที่ห่างไกล ไกลจากเมืองมาก อยู่ริมแม่น้ำจอร์แดนซึ่งเป็นที่ ๆ เขาใช้บัพติศมาคนที่มาฟัง และกลับใจ
การบัพติศมาของยอห์นนี้ เรียกให้คนอิสราเอลเองกลับใจ จากชีวิตบาป และก็มีคนจำนวนมากฟังเขา รับบัพติศมาเตรียมใจที่จะฟังองค์กษัตริย์ที่กำลังมา ซึ่งพวกเขายังไม่รู้ว่า เป็นใคร

มัทธิว 3:7-10
คนที่มาฟังยอห์นนั้น มีทั้งประชาชนชาวอิสราเอล และเหล่าฟาริสี สะดูสี พวกฟาริสีเป็นพวกที่ทุ่มเทชีวิตสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นเพิ่มเติมจากบัญญัติต่าง ๆ ของโมเสส เชื่อว่ามีอยู่ราว ๆ 6000 คนในสมัยพระเยซู พวกเขาเชื่อการอัศจรรย์ทุกอย่าง และมีชีวิตวุ่นอยู่กับการทำดี การทำตามหลักต่าง ๆ ที่พวกเขาคิดขึ้นมา
ส่วนพวกสะดูสีมักมีเชื้อสายจากปุโรหิต มีจำนวนน้อยกว่า ไม่เชื่อการอัศจรรย์ใด ๆ มีอำนาจทางการเมืองมาก ทั้งสองพวกนี้เกลียดกัน แต่ต่อมามีศัตรูคนเดียวกันคือ พระเยซู ทั้งฟาริสีและสะดูสีต่างเชื่อว่าตนเองดีกว่าคนอื่น ไม่มีใครดีเท่าตัว มีความภูมิใจในการที่พระเจ้าทรงเลือกชนชาติอิสราเอลอย่างพิเศษ พวกเขาติดตามศาสนายิวอย่างเคร่งครัดโดยต่างก็มีความคิดแบบของตน แต่แทนที่ยอห์นจะเคารพพวกเขา กลับเรียกพวกเขาต่อหน้าประชาชนว่า เป็นชาติงูพิษที่พระเจ้าจะทรงลงโทษ !!
ดังนั้น ยอห์นจึงเตือนสติพวกเขาให้มีกรอบความคิดใหม่ คิดอย่างเดิมไม่ได้ ต้องกลับใจจริง ๆ อย่าคิดว่าเป็นลูกหลานอับราฮัมแล้วพระเจ้าจะยอมรับเขา จะเห็นได้ว่ายอห์นเน้นชีวิตที่กลับใจจากบาป เขาไม่ได้กล่าวถึงการที่ต้องทำตามกฎแบบฟาริสี
.การทำพิธีจุ่มน้ำชำระของยอห์นนี้ เพื่อแสดงว่า คน ๆ นั้นยอมรับผิด และกลับใจจากทางเดิมของตนแล้ว เป็นบัพติศมาที่ยอห์นทำให้ได้ แต่ยอห์นได้เตือนว่า พระองค์ที่ทรงฤทธิ์จะให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณ และด้วยไฟ…
การบัพติศมาด้วยพระวิญญาณ และด้วยไฟจะเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ? โยเอลเคยบอกไว้ นี่เป็นเรื่องเดียวกัน (โยเอล 2:28-29) และคนที่จะให้คือผู้ที่ทรงฤทธิ์กว่ายอห์นเสียด้วย
ยอห์นอธิบายว่า เหมือนกับการแยกข้าวดีข้าวเสียออกจากกัน พระเจ้าจะทรงแยกคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า กับคนอธรรมที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้าออกจากกันในวันพิพากษาของพระองค์ (มาลาคี 3:3)

มัทธิว 3:13-17
การบัพติศมาของยิวโดยทั่วไปที่ทำให้คนต่างชาติ เป็นการจุ่มตัวลงในน้ำต่อหน้าสาธารณชน ก็เป็นการบอกว่า พวกเขาจะเข้ามาอยู่ในศาสนายิว เป็นคนที่เชื่อพระเจ้าแบบคนยิว ..
แล้วพระเยซูก็ทรงมาพบกับยอห์น และรับบัพติศมาทั้ง ๆ ที่พระองค์ไม่ได้ทำบาปเหมือนคนที่มารับ แต่ทรงบอกยอห์นเองว่า เป็นสิ่งที่พระองค์สมควรทำ ดังนั้นความหมายของการบัพติศมาของพระเยซูน่าจะสื่ออะไร?
พระเยซูทรงมาในโลกอย่างผู้เที่ยงธรรม ไม่มีบาปใดติดมา และพระองค์ไม่ได้ทรงทำบาปใด แต่เวลานี้ พระองค์กำลังจะทรงบอกยอห์นว่า เราจะให้ท่านบัพติศมาให้เรา ราวกับว่า เราเป็นมนุษย์ทั่วไปที่เป็นคนบาป … (2 โครินธ์ 5:21 พระเจ้าทรงทำให้พระองค์ผู้ปราศจากบาปให้เป็นบาปเพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า (ผู้ที่ถูกต้องกับพระเจ้า))
สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในหลังจากการจุ่มน้ำของพระเยซูก็คือ
พระเจ้าเสด็จมาในรูปลักษณ์ดุจนกพิราบ และตรัสต่อหน้าทุกคนในที่นั้น ต่อหน้ายอห์นว่า “ ผู้นี้เป็นลูกชายที่รักของเรา เป็นผู้ที่เราพอใจยิ่งนัก!”
เหตุการณ์นี้ ยอห์นให้ความมั่นใจกับทุกคนเต็มร้อยว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่มีข้อกังขาเหลืออยู่เลย (ยอห์น 1:33-34)

พระคำเชื่อมโยง

มัทธิว 31* มาระโก 1:3-8; โยชูวา 14:10
2* ดาเนียล 2:44; มาลาคี 4:5-6
3* อิสยาห์ 40:3; ลูกา 1:76
4* มาระโก 1:6; เลวีนิติ 11:22; 1 ซามูเอล 14:25-16
5* มาระโก 1:5

6* กิจการ 19:4, 18
7* มัทธิว 12:34; 1 เธสะโลนิกา 1:10
9* ยอห์น 8:33
10* มัทธิว 7:19
11* ลูกา 3:16; กิจการ 2:3-4

12* มาลาคี 3:3; มัทธิว 13:30
13* มาระโก 1:9-11; มัทธิว 2:2216* มาระโก 1:10; อิสยาห์ 11:2; 42:1; ยอห์น 1:32
17* ยอห์น 12:28; สดุดี 2:7

มัทธิว 2 ดวงดาวและความฝัน

โหราจารย์พบเฮโรดอย่างไม่ตั้งใจ 
1 หลังจากที่พระเยซูประสูติที่เมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของกษัตริย์เฮโรด   ก็มีโหราจารย์ จากประเทศทางทิศตะวันออก เดินทางมายังนครเยรูซาเล็ม  (คนเหล่านี้เขาเป็นทั้งนักดาราศาสตร์ เป็นปราชญ์ และเป็นปุโรหิตที่ทำนายฝันโดยใช้ดวงดาวเป็นตัวนำ) 
2 พวกเขาถามว่า “ทารกที่มาเกิดเพื่อเป็นกษัตริย์ของยิวนั้น อยู่ที่ไหน? เราเห็นดวงดาวของท่านในทางตะวันออก และเราเดินทางมาเพื่อนมัสการพระองค์”
3 เมื่อกษัตริย์เฮโรดรู้เรื่องนี้ ท่านก็รู้สึกกลัว ว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก ชาวเมืองเยรูซาเล็มก็เป็นเหมือนกัน 
4 เฮโรดจึงเรียกประชุมหัวหน้าปุโรหิตทั้งหลาย  และเหล่าธรรมาจารย์ ถามพวกเขาว่า พระคริสต์ (หรือพระเมสสิยาห์) มาเกิดที่ใด
5 พวกเขาตอบว่า “ในเมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย มีผู้เผยพระดำรัสของพระเจ้าได้กล่าวไว้ว่า :
6  ‘ส่วนเจ้านั้น เบธเลเฮมในดินแดนยูดาห์เอ๋ย เจ้าไม่ได้ต่ำต้อยให้หมู่ผู้ปกครองแห่งยูดาห์เลย  เพราะจะมีผู้ปกครองท่านหนึ่งมาจากเจ้า ท่านเป็นเหมือนผู้เลี้ยงประชากรอิสราเอล’ 

แผนลวงของเฮโรด
7 แล้วเฮโรดจึงเรียกเหล่าโหราจารย์มาพบเป็นส่วนตัว ท่านสอบถามจนรู้แน่ว่า ดวงดาวนั้นปรากฏขึ้นเวลาใด
8 จากนั้นก็ส่งโหราจารย์เหล่านี้ไปยังเบธเลเฮม กล่าวว่า “ขอให้พวกท่านไปตามหาพระกุมารนั้น เมื่อพบแล้ว ก็กลับมารายงานให้ข้าเพื่อว่าข้าจะไปนมัสการท่านเช่นกัน”
9 หลังจากที่ได้รับฟังคำของกษัตริย์แล้ว พวกเขาก็เดินทางต่อไป และดวงดาวที่พวกเขาตามมาจากตะวันออกก็เคลื่อนที่นำพวกเขาไปจนกระทั่งดาวหยุดเหนือที่ ๆ องค์พระกุมารประทับอยู่

10 เมื่อพวกเขาเห็นดวงดาว พวกเขาก็ปีติยินดีมาก
11 พวกเขาเข้าไปในบ้าน และเห็นพระกุมารพร้อมกับมารดาของพระองค์ คือมารีย์ และเขาก็ได้ก้มลงแล้ว นมัสการพระองค์ แล้วเปิดกล่องนำของขวัญถวายพระองค์ เป็นทองคำ กำยาน และมดยอบ
12 แต่พระเจ้าทรงเตือนเหล่าโหราจารย์ ในความฝัน ไม่ให้กลับไปหาเฮโรดอีก ดังนั้น พวกเขาจึงกลับประเทศของเขาด้วยเส้นทางอื่น

13 หลังจากที่เหล่าโหราจารย์กลับไปแล้ว ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏแก่โยเซฟในความฝัน กล่าวว่า “จงลุกขึ้น และพาพระกุมารและมารดาหนีไปยังประเทศอียิปต์ และอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกให้กลับมา เพราะเฮโรดกำลังตามค้นหาพระกุมารเพื่อประหารพระองค์”
14 ในคืนนั้นเอง โยเซฟลุกขึ้น และพาองค์ทารกน้อยกับมารดาเดินทางไปยังประเทศอียิปต์
15 โยเซฟอาศัยอยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ที่เกิดขึ้นดังนี้ เพื่อให้เป็นไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสผ่านผู้เผยพระดำรัสว่า “เราได้เรียกลูกชายของเราออกจากอียิปต์” (โฮเชยา 11:1)

เฮโรดไล่ล่าพระกุมาร!
16 เมื่อเฮโรดเห็นว่า เหล่าโหราจารย์รู้ทันความตั้งใจของท่าน ท่านก็โกรธนัก จึงสั่งทหารไปประหารเด็กชายทั้งหลายในเมืองเบธเลเฮมและหมู่บ้านใกล้เคียงที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา โดยคำนวนจากช่วงเวลาที่ได้ยินสิ่งที่โหราจารย์เล่าให้ฟัง
17 จึงเป็นจริงตามที่เยเรมีย์ผู้เผยพระดำรัสกล่าวไว้ว่า
18 “ได้ยินเสียงคร่ำครวญในรามาห์ (เป็นจุดที่ยิวถูกส่งออกไปเป็นเชลย เยเรมีย์ 40:1) เป็นเสียงสะอึกสะอื้นด้วยความทุกข์ ราเชลร้องไห้ถึงลูก ๆ ของเธอ เธอไม่ยอมรับคำปลอบใจใด ๆ เพราะลูก ๆ ได้จากไปแล้ว​(เยเรมีย์​ 31:15)

กลับจากประเทศอียิปต์
19 หลังจากที่เฮโรดสิ้นพระชนม์ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ตรัสกับโยเซฟในความฝัน ขณะที่เขายังอยู่ในอียิปต์
20 ทูตสวรรค์กล่าวว่า “จงลุกขึ้น พาองค์พระกุมารและมาดากลับไปยังแผ่นดินอิสราเอลได้แล้ว เพราะคนที่พยายามตามล่าชีวิตของพระกุมารนั้น ตายไปแล้ว”
21 ดังนั้นโยเซฟจึงลุกขึ้น พาพระกุมารกับมารดากลับมายังแผ่นดินอิสราเอล
22 แต่เขาได้ยินว่า อารเคลาอัสได้ขึ้นปกครองแคว้นยูเดียแทนบิดาคือเฮโรดที่ได้สิ้นชีวิตไป เขาก็กลัวที่จะไปอยู่ที่นั่น เมื่อได้รับคำเตือนในความฝัน จึงเดินทางต่อไปในเขตกาลิลี
23 ไปอาศัยในเมืองนาซาเรธ ดังนั้นจึงเป็นจริงตามที่ได้กล่าวผ่านผู้เผยพระดำรัสว่า “เขาจะเรียกท่านว่า ชาวนาซาเร็ธ” (เหมือนกับคำจากอิสยาห์ 11:1 .. คำฮีบรูว่ากิ่ง ออกเสียงคล้ายคำว่า นาซารีน)

เบื้องหลังเรื่องราว

มัทธิว 2:1-6 โหราจารย์พบเฮโรดอย่างไม่ตั้งใจ 
พระเยซูประสูติที่เมืองเบธเลเฮม  ใกล้ ๆ กรุงเยรูซาเล็ม ชื่อของเมืองนี้มีความหมายว่า บ้านขนมปัง หรือบ้านแห่งอาหาร พระเจ้าทรงให้ทั้งโยเซฟ มารีย์เดินทางมาเพื่อลงทะเบียนสำมะโนครัว    และเมืองนี้ก็เป็นเมืองที่เขาเตรียมลูกแกะสำหรับการถวายเครื่องบูชา ลูกแกะตัวเล็ก ๆ ที่เกิดใหม่จะถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าเก่าของเหล่าเลวี ดังนั้นเมื่อมีการบันทึกว่า เราจะพบว่า เขาเน้นการที่พระเยซูทรงถูกหุ้มห่อด้วยผ้าขาวที่เป็นสัญลักษณ์ของการที่วันหนึ่งพระองค์จะถูกประหารเป็นเครื่องบูชาเพื่อลบบาป

จากบ้านเมืองที่ไกลจากอิสราเอลมาก เราไม่ทราบว่า โหราจารย์เหล่านี้มาจากประเทศใด แต่สิ่งที่เรารู้คือว่า เขาเป็นผู้ที่แสวงหาพระเจ้า และรู้ด้วยว่า พระผู้ช่วยให้รอดจะมาบังเกิดโดยดูจากดวงดาวที่เคยมีการพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า  โหราจารย์เหล่านี้ทำให้เรารู้ว่า ในที่ ๆ ห่างไกล ยังมีคนที่เชื่อพระเจ้า และแสวงหาพระองค์อย่างสุดหัวใจ พวกเขาพร้อมที่จะสละทุกอย่างเพื่อตามหาพระองค์ ใครจะรู้บ้างว่า เขาอาจจะเป็นคนที่เคยตกไปเป็นเชลยเหมือนอย่างคนรุ่นดานิเอลก็เป็นได้  คนเหล่านี้เห็นดวงดาวของพระเมสสิยาห์ และเขาก็ตามมาเพื่อถวายความเคารพ ถวายหัวใจ ถวายนมัสการ และถวายของขวัญแด่พระองค์ (กันดารวิถี 24:17)

เฮโรดเป็นกษัตริย์ปกครองโดยอำนาจของโรม ในช่วง 34-4 ปีก่อนคริสตศักราช เขาเป็นชาวเอโดม  เป็นกษัตริย์ที่เก่ง ฉลาด มีความรู้ในการสร้างอาคาร มีความสนุกกับการที่จะได้สร้าง แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นผู้ปกครองที่สุดโหดด้วย  พร้อมที่จะฆ่าได้ทุกคนที่ขวางทาง

ขณะที่โหราจารย์มาเยี่ยมพระกุมาร พวกเขาก็เข้าใจว่า เป็นกษัตริย์ก็น่าจะอยู่ในวัง แต่ปรากฏว่า ไม่ใช่… พวกเขาทำให้เฮโรดกังวลเป็นอย่างมากเมื่อรู้เรื่องของกษัตริย์ยิวที่มาเกิด…อย่างแรกที่คิดคือ ต้องกำจัดกษัตริย์ผู้นี้  จากข้อสี่เราจะเห็นว่า เฮโรดพอมีความรู้เรื่องพระเมสสิยาห์อยู่บ้างเขาไม่สบายใจมาก ต้องกำจัดองค์กษัตริย์ผู้นี้ให้ได้! ดูสิ ..พระบุตรพระเจ้ามาบังเกิด ก็ถูกปองร้ายตั้งแต่ต้น ศัตรูของพระเจ้าไม่ได้พักเลย พร้อมที่จะทำลายตลอดเวลา!!

เมื่อเฮโรดถามปุโรหิต พวกเขาเองก็รู้เช่นกันว่า พระเมสสิยาห์จะมาบังเกิดในเบธเลเฮม … ในขณะที่โหราจารย์เดินทางจากแดนไกลมาเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์น้อย  เฮโรดกับปุโรหิต ธรรมาจารย์กลับมีความคิดอีกอย่าง.. 

มัทธิว 2:7-12 แผนลวงของเฮโรด
เฮโรดฉลาดมาก ไม่ได้แสดงความกังวลให้โหราจารย์เห็นเลย เขาสอบถามจนแน่ใจว่า ศัตรูที่อาจมาทำลายอำนาจของเขาผู้นั้น เป็นใครอยู่ที่ไหนกันแน่ แทนที่จะส่งคนไปกำจัดพระเยซูตัวน้อยเลย ก็ปล่อยให้โหราจารย์ไปก่อน ไปดูให้แน่.. แล้วค่อยไปจัดการ ไม่ให้เสียคน เสียเวลา แถมยังผูกมิตรกับโหราจารย์อีกด้วย นี่ไง..ความปราชญ์เปรื่องของเฮโรด

พบองค์กษัตริย์ที่ดาวนำมา
โหราจารย์เดินทางต่อ ดวงดาวนั้นก็พาพวกเขาไปต่อจนถึงสถานที่ซึ่งครอบครัวของพระเยซูอาศัยอยู่ เราไม่ทราบว่า จากวันที่พระองค์ประสูติ จนถึงวันนี้ผ่านมานานเท่าไรจริง ๆ แต่จากที่เราเห็นว่า เฮโรดสั่งประหารเด็กสองขวบลงมา ก็น่าจะห่างจากวันที่พระองค์ประสูติพอสมควร ดูความเชื่อของโหราจารย์ มหัศจรรย์!! พวกเขาเชื่อเพียงเห็นเด็กคนหนึ่งที่เขารู้ในใจว่า ใช่แน่.. เขาไม่มีความสงสัย

พวกเขาต้องเป็นคนที่รู้พระคัมภีร์เดิม รู้เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลมาเป็นอย่างดี ในขณะที่เหล่าผู้นำทางศาสนายิวกังวล โกรธเกรี้ยวที่พระเมสสิยาห์ซึ่งก็เป็นผู้ที่ชาวอิสราเอลรอคอยมาบังเกิด พวกเขากลับมาก้มลง คุกเข่านมัสการ ถวายของขวัญแด่พระองค์ ทั้ง ๆ ที่ยังทรงเป็นเด็ก อยู่ในบ้านธรรมดา มีพ่อแม่เป็นชาวบ้าน ไม่ได้แสดงการอัศจรรย์ให้เห็น แต่พวกเขาไม่ได้สงสัย กลับมั่นใจว่า พวกเขาได้พบองค์กษัตริย์ที่แท้จริง ดวงดาวที่นำมาและหยุดในที่ ๆ ใช่นั้น เพียงพอสำหรับพวกเขาแล้ว (อิสยาห์ 49:7)

มัทธิว 2:13-15 การปกป้องจากพระบิดา
จากนั้น พระเจ้าทรงเตือนไม่ให้โหราจารย์กลับไปรายงานสิ่งใดแก่เฮโรด พวกเขาเชื่อฟังพระเจ้า กลับไปทางอื่นอย่างที่พระเจ้าทรงเตือน … แล้ว พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ มาบอกโยเซฟในความฝันอีกครั้งให้หนีไปอียิปต์ทันที โยเซฟเองก็ไม่รอช้า ทำตามคำสั่งของทูตสวรรค์ทันที

ช่วงเวลาที่โยเซฟออกเดินทาง ก็เป็นเวลาที่โหราจารย์กลับบ้าน และเวลานั้น เฮโรดก็กำลังรอคอยคำตอบจากโหราจารย์ด้วย .. ครอบครัวเล็ก ๆ ออกเดินทางไปช้า ๆ ในความมืด ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงสำหรับเด็กคนหนึ่งที่เกิดมา แต่ต้องหนีเอาชีวิตรอดตั้งแต่เล็ก แต่ทั้งหมดนี้ พระเจ้าได้ตรัสล่วงหน้ามาแล้วว่าจะเกิดขึ้น (โฮเชยา 11:1)เราเห็นสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างพระเยซูกับอิสราเอลคนของพระเจ้าหรือไม่? ชีวิตของพระเยซูนั้น สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ชาติอิสราเอลที่พระเจ้าทรงช่วยกู้ออกมาจากความเป็นทาส และสะท้อนให้เห็นชีวิตของเราที่พระเจ้าทรงช่วยกู้ออกจากความบาปและความตาย

มัทธิว 2:16-18 เฮโรดไล่ล่าพระกุมาร!
การไม่กลับมาของโหราจารย์ทำให้เฮโรดโกรธยิ่งนัก 

สิ่งที่ทำได้คือ คำนวนเวลาแล้วก็สั่งประหารเด็กชายอายุสองขวบลงมา … พระเจ้าทรงบอกล่วงหน้าเรื่องนี้เช่นกันใน เยเรมีย์​ 31:15  เฮโรดไม่ได้รู้เลยว่า องค์กษัตริย์ผู้ที่เขาพยายามสังหารนั้น ไม่ได้อยู่ในหมู่เด็กชายเหล่านั้น  และเมื่อฆ่าล้างเด็ก ๆ สำเร็จ เขาก็รู้สึกสบายใจ  เห็นไหม ว่าโหดขนาดไหน?

มัทธิว 2:19-23 กลับจากประเทศอียิปต์
ไม่นานเฮโรดก็สิ้นชีวิต พระเจ้าก็ทรงสั่งโยเซฟผ่านทูตสวรรค์ในความฝันอีกครั้ง เขาก็พาครอบครัวกลับมา โดยหลีกเลี่ยงลูกชายเฮโรดที่ขึ้นครอง จึงเดินทางไปอาศัยในนาซาเร็ธ (เหมือนกับคำจากอิสยาห์ 11:1 .. คำฮีบรูว่ากิ่ง ออกเสียงคล้ายคำว่า นาซารีน)น่าแปลกที่พระเจ้าทรงให้พระบุตรของพระองค์เติบโตในเมืองที่ผู้คนดูหมิ่น คนมักจะถามว่า มีอะไรดีที่มาจากนาซาเร็ธบ้าง? ผู้คนมักคิดว่าตนเองดีกว่าคนชาวนาซาเร็ธ

ในขณะที่เราแสวงหาสิ่งดีที่สุดให้กับตัวเอง พระบิดากลับทางวางพระบุตรไว้ในจุดที่คนเมิน…
พระเยซูทรงเติบโตมาพร้อมกับอาชีพที่รับต่อมาจากโยเซฟคือ เป็นช่างไม้ พระองค์ทรงดูแลครอบครัวเพราะเป็นเหมือนลูกชายหัวปี พระเจ้าทรงเตรียมพระเยซูเช่นนี้ และใครก็ตามที่รู้สึกต่ำต้อย ให้ดูว่าองค์กษัตริย์ที่จะครองใจมนุษย์ทรงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วเลิกที่จะรู้สึกเช่นนั้นได้แล้ว

พระคำเชื่อมโยง

1* มีคาห์ 5:2; ลูกา 2:4-7; ปฐมกาล 25:6
2* ลูกา 2:11; กันดารวิถี 24:17
4* 2 พงศาวดาร 36:14; 34:13; มาลาคี 2:7
6* มีคาห์ 5:2; ยอห์น 7:42; วิวรณ์ 2:27

7* กันดารวิถี 24:17
11* อิสยาห์ 60:6
12* มัทธิว 1:20
13* มัทธิว 2:16
15* โฮเชยา 11:1

18* เยเรมีย์ 31:15
20* ลูกา 2:39; มัทธิว 2:16
22* มัทธิว 2:12,13,19; ลูกา 2:39
23* ยอห์น 1:45-46; ผู้วินิจฉัย 13:5