มัทธิว 13 คลังคำอุปมา

คำอุปมาเรื่องผู้หว่าน

1  วันเดียวกันนั้น
พระเยซูเสด็จออกจากบ้านไปประทับริมทะเลสาบ(กาลิลี) 
2 มีคนจำนวนมากเข้ามารุมล้อมพระองค์ 
พระองค์จึงทรงลงไปในเรือ และประทับนั่งลง
ส่วนประชาชนยืนอยู่ริมฝั่ง
3 แล้วพระเยซูทรงใช้เรื่องอุปมา
สอนพวกเขาหลายสิ่ง พระองค์ตรัสว่า
“มีชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพันธุ์ 
4 ขณะที่เขาหว่านนั้น บางเมล็ดก็ตกลงตามหนทาง
พวกนกก็มาจิกกินไปจนหมด


5 บางเมล็ดตกลงบนพื้นที่เป็นกรวด
ซึ่งมีเนื้อดินน้อย
เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นอย่างเร็ว
เพราะดินไม่ลึก
6 แต่เมื่อแสงแดดส่องลงมา
ต้นอ่อนก็เหี่ยวแห้งไป เพราะไม่มีรากลึก
7 เมล็ดอื่น ๆ ตกลงท่ามกลางพุ่มไม้หนาม
ซึ่งเติบโตทับและทำให้ต้นพืชตายไป   
8 เมล็ดที่เหลือตกลงไปในดินดี
ซึ่งทำให้ต้นไม้เติบโตและออกผลร้อยเท่าบ้าง
หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง
9 ใครที่มีหูเพื่อฟัง ก็จงฟังเถิด 

ขอคำอธิบาย
10 พวกศิษย์ก็มาหาพระองค์ ทูลถามว่า
“เหตุใดพระองค์ท่านจึงใช้เรื่องอุปมาสอนประชาชนขอรับ?”
11 พระเยซูตรัสตอบว่า “เพราะเจ้าได้รับเลือกที่จะให้เข้าใจความลึกลับแห่งแผ่นดินสวรรค์ 
แต่มิได้ทรงให้กับพวกเขา
12 คนที่มีความเข้าใจ ก็จะได้รับมากขึ้น
และพวกเขาก็จะมีอย่างมากมาย
แต่สำหรับคนที่ไม่เข้าใจ
แม้แต่ที่เขามีอยู่น้อยนิด ก็จะถูกเอาไปจากเขา 
13 เพราะเหตุนี้ เราจึงใช้เรื่องอุปมาสอนพวกเขา
พวกเขามอง แต่ก็ไม่เห็น 
พวกเขาฟังอยู่ แต่ก็ไม่เข้าใจหรือได้ยินจริง ๆ


 

14 ซึ่งก็เป็นจริงตามที่อิสยาห์กล่าวถึงพวกเขาว่า
‘เจ้าฟังแล้วฟังเล่า แต่ก็ไม่เข้าใจ เจ้ามองดูแล้ว
มองดูเล่าแต่ก็ไม่หยั่งรู้ 
15 เพราะใจของคนเหล่านี้แข็งด้านชาไป 

พวกเขาไม่ได้ยินด้วยหู พวกเขาปิดตา
ไม่อย่างนั้นแล้ว ตาของเขาจะได้เห็น 
ได้ยินด้วยหู  และใจก็จะเข้าใจจริง ๆ
แล้วหันกลับมาหาเรา
และได้รับการบำบัดรักษาให้หาย’ อิสยาห์ 6:9-10
16 แต่ดวงตาของเจ้าเป็นสุข
เพราะเจ้ามองด้วยตา และได้ยินด้วยหู 
17 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า
ผู้เผยพระดำรัส และคนเที่ยงธรรมมากมาย
ต้องการที่จะเห็นสิ่งที่เจ้าเห็นเวลานี้ 
แต่พวกเขาก็ไม่ได้เห็น
และพวกเขาต้องการที่จะได้ยินสิ่งที่เจ้าได้ฟังตอนนี้
แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีโอกาสฟัง


ทรงอธิบายความหมาย
18 “จงฟังความหมายของเรื่องอุปมาผู้หว่าน
19 เมล็ดพืชที่ตกลงไปตามหนทางนั้น
เปรียบเหมือนคนที่ได้ยินพระคำเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าแล้วแต่ก็ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มา
และกระชากสิ่งที่หว่านลงไปในใจของเขา
20 แล้วเมล็ดที่ตกลงไปในพื้นที่มีกรวดเนื้อดินน้อยเล่า?
เมล็ดนั้นเป็นเหมือนคนที่ได้ยินพระคำแลัว
ก็รับไว้ด้วยความยินดี
21 แต่เขาไม่ยอมให้คำสอนนั้นลงลึกเข้าไปในชีวิตของเขา
ดังนั้น จึงเก็บไว้เพียงชั่วคราว เมื่อมีปัญหาเข้ามา
มีการข่มเหงเนื่องจากพระคำนั้น จึงเลิกเชื่ออย่างรวดเร็ว 


22แล้วเมล็ดที่ตกลงบนพุ่มไม้หนามเล่า? 
เมล็ดนั้นเป็นเหมือนคนที่ฟังพระคำ
แต่ปล่อยให้ความกังวลในชีวิตนี้
และการทดลองเรื่องทรัพย์สมบัติเป็นอุปสรรค
ทำให้ไม่อาจเติบโตได้
23 ส่วนเมล็ดพืชที่ตกลงบนดินดี
เมล็ดนั้นเป็นเหมือนคนที่ได้ยินพระคำและเข้าใจ
และเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่า
ของที่ได้หว่านลงไป

คำอุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์ดีและวัชพืช 
24 แล้วพระเยซูเล่าเรื่องอุปมาอีกว่า
“แผ่นดินสวรรค์มาเป็นเหมือน
คนที่หว่านเมล็ดพันธุ์ดีลงในทุ่งของตน
25 แล้วคืนนั้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ 
ศัตรูของเขาก็เข้ามาหว่านวัชพืชปนไปกับข้าวดี 
แล้วก็จากไป
26 ต่อมาเมื่อข้าวดีงอกขึ้นออกรวง
วัชพืชก็โตขึ้นเช่นกัน 
27  คนรับใช้ของเขาจึงมาหาและกล่าวว่า
‘นายท่านหว่านข้าวดีไว้ในนามิใช่หรือขอรับ?

แล้ววัชพืชมาจากไหนกัน?’
28 เขาตอบว่า ‘มีศัตรูเข้ามาทำ’
‘แล้วนายท่านจะให้พวกเราไปถอนทิ้งไหม?’  
29 เขาตอบว่า ‘อย่าทำอย่างนั้น
เพราะหากเจ้าถอนวัชพืชออก
เจ้าก็อาจจะถอนข้าวสาลีออกไปด้วย 
30 ปล่อยให้ทั้งวัชพืชและข้าวสาลีขึ้นไปพร้อม ๆ กัน
จนถึงเวลาเกี่ยว
แล้วเราจะบอกให้คนเกี่ยวเก็บนั้น เก็บวัชพืชไปก่อน
แล้วจึงจะเก็บรวบรวมข้าวสาลีมาไว้ในยุ้งฉางของเรา’”

คำอุปมาเรื่องเมล็ดพันธ์มัสตาร์ดและเชื้อขนม
31 แล้วพระเยซูก็ทรงเล่าเรื่องอุปมาอีกเรื่อง
“แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด
ที่ชายคนหนึ่งเพาะในผืนนาของเขา
32 แม้ว่าเมล็ดนั้น เล็กกว่าเมล็ดพันธุ์อย่างอื่น  
แต่เมื่อมันงอกเ ติบโตขึ้น
มันก็กลายเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าพืชชนิดอื่น ๆ ในผืนนา
กลายเป็นต้นที่ฝูงนกมาสร้างรังบนกิ่งของมัน 


33 แล้วพระเยซูก็ทรงเล่าอุปมาอีกเรื่องว่า
“แผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนเชื้อขนมปัง
ที่ผสมลงไปในแป้งสามถังจนแป้งฟูขึ้นทั้งก้อน”
(ลูกา 13:20-21)
34 พระเยซูทรงใช้คำอุปมาเล่าเป็นเรื่องให้กับประชาชน พระองค์ไม่ได้ตรัสสอนอย่างอื่นเลย นอกจากเป็นเรื่องอุปมา   35 เพื่อให้เป็นไปตามที่ผู้เผยพระดำรัสได้กล่าวไว้ว่า
‘เราจะกล่าวเป็นเรื่องอุปมา
เราจะบอกสิ่งที่ลี้ลับตั้งแต่ครั้งที่ทรงสร้างโลก’”( สดุดี 78:2)  



คำอธิบายอุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์ดีและวัชพืช
36 แล้วพระเยซูทรงละจากประชาชน เข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ศิษย์ก็ทูลพระองค์ว่า
“ขอทรงอธิบายความหมายของ
อุปมาเรื่องวัชพืชด้วยขอรับ”
 37 พระเยซูตรัสตอบว่า
“ชายคนที่หว่างเมล็ดดีลงไปนั้นคือบุตรมนุษย์
38 ผืนนานั้นก็คือ โลกนี้ 
และเมล็ดพันธุ์ที่ดีนั้นคือลูก ๆ ของแผ่นดินพระเจ้า 
เมล็ดวัชพืชคือผู้คนที่เป็นของมารร้าย
39 ศัตรูที่มาหว่านวัชพืชก็คือมารนั่นเอง
เวลาเก็บเกี่ยวหมายถึงวันสิ้นยุค
และคนงานที่เก็บเกี่ยวคือ ทูตสวรรค์ของพระเจ้า
 40 “วัชพืชถูกถอนรากขึ้นมาและถูกเผาในไฟอย่างไร สถานการณ์วันสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น

 41 บุตรมนุษย์จะส่งทูตสวรรค์ของพระองค์ออกไป
และพวกเขาจะรวบรวมสิ่งที่เป็นต้นกำเนิดบาป
และกำจัดคนทำชั่วออกจากแผ่นดินของพระองค์ 
42 เหล่าทูตสวรรค์จะโยนพวกเขาลงไปในเตาไฟที่ลุกไหม้
ที่นั่นจะมีการร้องไห้ ขบกัดฟันด้วยความเจ็บปวด
 43 แล้วคนเที่ยงธรรมจะส่องแสง
เหมือนกับดวงอาทิตย์ในแผ่นดินของพระบิดาของพวกเขา
คนใดที่มีหู จงฟังเถิด” 



รื่องอุปมาถึงทรัพย์สมบัติกับไข่มุก
44 “แผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนทรัพย์สมบัติที่ถูกฝังไว้ในทุ่ง  ชายคนหนึ่งได้พบทรัพย์เหล่านั้น เขาจึงฝังไว้ในทุ่งอย่างเดิม เขามีความสุขมากจึงขายทุกสิ่งที่มีอยู่เพื่อไปซื้อทุ่งนั้น 


45 “ เช่นกัน แผ่นดินสวรรค์
เป็นเหมือนพ่อค้าที่ตามหาไข่มุกชั้นดี 
46 เมื่อเขาได้พบไข่มุกที่มีค่าล้ำ
เขาก็ไปขายทุกสิ่งที่มีอยู่ เพื่อซื้อไข่มุกนั้น50 ทูตสวรรค์จะโยนคนชั่วลงในเตาไฟที่กำลังไหม้อยู่ ที่นั่นผู้คนจะร้องและขบกัดฟันของตนด้วยความเจ็บปวด 
(ดูดาเนียล 3:11,19-30,42)
51 พระเยซูตรัสถามศิษย์ของพระองค์ว่า “เจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือไม่?” เขาตอบว่า “เข้าใจแล้วขอรับ”
52  แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า
“ดังนั้น ธรรมาจารย์ทุกคน
ที่ได้รับการเรียนรู้เรื่องแผ่นดินสวรรค์
ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่นำทั้งสิ่งใหม่และสิ่งเก่า
ออกมาจากคลังของตน”

อุปมาเรื่องอวนลากจับปลา
47 “เช่นกัน แผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนอวนลากจับปลา ที่ถูกโยนลงในทะเล และจับปลาได้หลายชนิดปนกันอยู่
 48 เมื่อปลาเต็มอวน ชาวประมงจะลากอวนขึ้นฝั่ง พวกเขานั่งลงและเลือกเอาปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาที่ไม่มีค่าก็จะโยนทิ้งไป
49 ในวันสิ้นยุคก็จะเป็นเช่นนี้ ทูตสวรรค์จะมาและแยกคนชั่วออกจากคนเที่ยงธรรม 


กลับไปยังบ้านเมืองที่ทรงเติบโตมา
53 เมื่อพระเยซูทรงสอนเสร็จแล้ว ก็เสด็จออกจากที่นั่น
54 พระองค์ทรงกลับไปยังบ้านเมืองที่ทรงเติบโตขึ้นมา (นาซาเร็ธ 2:23 ลูกา 2:39) ทรงเข้าไปสอนประชาชนในศาลาธรรม จนพวกเขารู้สึกประหลาดใจและกล่าวกันว่า “ชายคนนี้ได้สติปัญญาและฤทธิ์อำนาจทำการอัศจรรย์มาจากไหนกัน?
55 เขาเป็นแค่ลูกชายของช่างไม้ และมารดาคือมารีย์ น้องชายของเขาคือยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาสมิใช่หรือ?
56  น้องสาวของเขาทุกคนก็อยู่กับเรานี่นา  แล้วเขาได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหนกันนะ? ”
57  และพวกเขาจึงไม่พอใจพระองค์ แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ผู้เผยพระดำรัสจะได้รับเกียรติในทุกแห่ง ยกเว้นในเมือง และครอบครัวที่เขาเติบโตขึ้นมา”
58 ดังนั้นพระองค์จึงไม่ได้ทำการอัศจรรย์ที่นั่นมาก เพราะพวกเขาไม่มีความเชื่อ
 


อธิบายเพิ่มเติม

พระเยซูทรงเล่าคำอุปมาหลายเรื่องเป็นครั้งที่สามในมัทธิว  คำอุปมาเป็นคำสอนเรื่องฝ่ายวิญญาณโดยใช้เรื่องราวมาเล่าเปรียบเทียบให้ผู้ฟังได้เข้าใจง่ายขึ้น แทนที่จะสอนเป็นคำสอนตรง ๆ  อย่างเช่นเรื่องผู้หว่านเมล็ดพืชนี้ พระเยซูอาจจะเพียงบอกว่าคนเรามีหลายแบบ พวกฟังแล้วก็ลืม พวกที่ฟังแล้วก็ไม่สนใจเพราะต้องทำงานหรือมีเรื่องอื่น ๆ ฯลฯ อย่างนี้เป็นต้น แต่เหตุผลที่พระองค์ทรงใช้เรื่องราวนั้นแปลก พระองค์บอกว่า ความลึกลับของสวรรค์ ไม่ได้มีให้ทุกคน (11-12)  คนที่ไม่เข้าใจ ก็จะไม่เข้าใจอยู่นั่น ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เขาไม่สนใจท่ีจะเข้าใจ  ส่วนคนที่เข้าใจ ก็จะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เมื่อเขาตั้งใจตามหาความหมายของเรื่อง

นี่เป็นอุปมา เรื่องเล่าที่จะช่วยให้คนเข้าใจความลึกลับแห่งแผ่นดินสวรรค์
1. อุปมาเรื่องผู้หว่าน คนที่รับพระคำมีสี่แบบ
2. อุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์ดีและวัชพืช คนของพระเจ้า และคนของมารที่เติบโตไปด้วยกัน
3.อุปมาเรื่องเมล็ดพันธ์มัสตาร์ด ต้นมัสตาร์ดใหญ่ที่แปลกไปจากปกติ
4. อุปมาเรื่องเชื้อขนม เชื้อร้ายที่แพร่ไปในหมู่คนของพระเจ้า
5.อุปมาถึงทรัพย์สมบัติ ผู้ที่ยอมเสียทุกอย่างเพื่อทรัพย์ที่ถูกฝังไว้

6.อุปมาเรื่องไข่มุก ผู้ที่ยอมเสียทุกอย่างเพื่อไข่มุกที่เขาเห็นคุณค่า
7. อุปมาเรื่องอวนลากจับปลา การแยกความแตกต่างของคนที่ฟังกับคนที่ไม่ฟังพระเจ้า

8. อุปมาสั้น ๆ เรื่องเจ้าของบ้าน เมื่อเข้าใจก็ต้องรับผิดชอบ

13:1-2 จากบ้าน พระเยซูทรงตรงไปยังทะเลสาบ และที่นั่น มีเรือลำเล็ก ๆ อยู่ พระองค์ทรงลงไปประทับนั่งในเรือ ไม่ใช่เพื่อชมวิว แต่พระองค์ทรงสอนจากเรือเล็ก ๆ ลำนั้นพระองค์กำลังจะเล่าคำอุปมาให้กับประชาชนฟัง

13:3-9 วันนี้ทรงเล่าเรื่องผู้หว่านเมล็ดพันธุ์พืช
เมื่อหว่านพืช เมล็ดพืชก็อดไม่ได้ที่จะปลิวไปยังดินที่ผู้หว่านไม่ได้ตั้งใจ เขาตั้งใจว่า มันต้องตกในดินดีทั้งหมด แต่กลับเจอดินทั้งหมดสี่ชนิด
คือ ดินตามทาง ดินกรวด ดินมีต้นหนามและดินดี. เมล็ดตกตามกรวด มีดินบ้าง เมล็ดงอกได้ แต่ดินไม่ลึกจึงโตไม่ได้ เหี่ยวแห้งไป เพราะแดดส่องไม่ถึง
บ้างตกลงไปในพุ่มหนาม โตเป็นต้นเต็มที่ไม่ได้ ถูกต้นหนามรัดไว้ ส่วน เมล็ดที่ตกลงไปในดินดี เกิดผลหลายเท่าตามแต่ที่จะเกิด 
พระองค์ทรงอธิบายชัดว่า เกิดอะไรขึ้นกับเมล็ดที่ตกลงในดินที่ต่างชนิดกันแล้วพระเยซูทรงจบอุปมาเรื่องนี้ ด้วยคำว่า “ใครมีหูก็จงฟัง”

ขอคำอธิบาย
13:10-11 ศิษย์ของพระเยซูสงสัยว่า ทำไมพระเยซูทรงเล่าเรื่องอุปมา พวกเขาคงคิดว่า มันเป็นการยากที่จะแปลความหมายถ้าพระเยซูไม่ทรงแปลให้
ที่สรุปได้คือ การสอนเป็นคำอุปมานั้น ผู้สอนก็ต้องการทั้งปิดบัง(11) และเปิดเผย ความลึกลับของแผ่นดินสวรรค์ในเวลาเดียวกัน (13) เป็นการสอนหรือเทศนาแบบเดียวกับที่อิสยาห์เคยทำมาก่อน

13:12-13 การที่เราตอบสนองพระคำของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงอวยพระพรให้เราได้มากขึ้น เข้าใจขึ้น เกิดผลในชีวิตอย่างเห็นได้ชัด
เป้าหมายของพระเยซูคือ เปิดเผยความจริงของพระเจ้าต่อคนที่แสวงหา และปิดบังจากคนที่หันไปจากพระองค์

13:14-15 อิสยาห์เคยเตือนประชาชนถึงการลงโทษที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขาหากไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า แล้วอิสยาห์ก็พบว่า พวกเขาฟังเท่าไรก็ไม่เข้าใจ มองก็ไม่เห็น พวกเขาใจแข็งกับพระเจ้า พวกเขาได้ยินแต่ก็แค่ฟังผ่าน ๆ ซึ่งตรงนี้ คนสมัยใหม่อย่างเราต้องระวังมาก โทรศัพท์มือถือของเรานั้น ทำให้เราได้ฟังอะไรมากมาย ดูอะไรเยอะแยะ แต่แล้วเราก็ลืมไปง่าย ๆ ซึ่งเป็นผลดีหากสิ่งที่เราดูนั้นเป็นสิ่งที่ควรจะลืมไป แต่หากเราฟังเทศนา ฟังพระคำของพระเจ้า ฟังเสร็จลืมเลย นี่ก็น่าเป็นห่วง …
และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคนไม่ปิดหูปิดตา คนที่ตั้งใจฟัง เขาจะเห็น เขาจะได้ยิน และเข้าใจ และกลับมาหาพระเจ้า … พระเจ้าจะทรงบำบัดรักษา
พระคำตอนนี้ มีเพื่อเราในยุคใหม่ ตรงจุดที่เรากำลังเผชิญ!

13:16-17 คนที่อยู่ในยุคของพระเยซู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าศิษย์ที่ติดตามอย่างใกล้ชิดนั้น นับได้ว่า พวกเขาได้รับพระพรเกินกว่าใคร ๆ
พวกเขาได้อยู่ต่อพระพักตร์พระเมสสิยาห์ พระองค์ผู้ที่ชนอิสราเอลโบราณกว่าพวกเขาเฝ้ารอคอยและอยากเห็น อยากฟัง
เวลานั้นพวกเขาจะเข้าใจสิ่งที่พระเยซูตรัสหรือไม่ พวกเราซึ่งอยู่ในอนาคตก็อยากอยู่ตรงนั้นเหมือนพวกเขาเช่นกัน!

ทรงอธิบายความหมายความลึกลับของแผ่นดินสวรรค์
13:18 แล้วพระเยซูก็ทรงแปลความหมายอุปมาผู้หว่าน และเรื่องแรกนี้จะเป็นพื้นฐานทำให้เข้าใจเรื่องต่อไปง่ายขึ้นว่า สิ่งที่อยู่ในเรื่องนั้นมีความหมายอย่างไร

13:19 เมล็ดพืชนั้นอาจหมายถึงทั้ง พระคำของพระเจ้า พระกิตติคุณ หรือ แม้กระทั่งพระเยซูคริสต์เอง (พระองค์ทรงถูกฝัง และทรงคืนชีพขึ้นมา มีชีวิตคืนมาด้วยพลังยิ่งใหญ่ การสิ้นพระชนม์และการคืนพระชนม์นั้น เปรียบได้กับเมล็ดที่ต้องตาย เน่าเปื่อย จึงจะได้ชีวิตขึ้นมาผู้ที่ติดตามพระเยซูในยุคแรกนั้น ได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาจึงเกิดผลมาก) เราอ่านไปจริง ๆ แล้ว ดูเหมือนพระเยซูจะทรงเน้นเรื่องคุณภาพของดิน นั่นคือ หัวใจของผู้รับพระคำสี่แบบ เรื่องนี้จะช่วยเปลี่ยนใจของเราให้เป็นดินดีได้อย่างไร
เมล็ดพืชริมหนทางนั้น เป็นดินตามหนทางที่แข็งมาก คือพระคำที่ไปเจอกับคนที่ไม่เข้าใจ ผู้หว่านได้หว่านให้ทุกหูที่อยู่ ณ ที่นั้นได้ยินพระคำ แต่มีศัตรูมาฉกเอาพระคำนั้นไป ในมาระโก 4 บอกว่า นกมาจิกกิน ในเรื่องอุปมาที่พระเยซูเล่า นกนั้นมีความหมายถึงศัตรูของพระเจ้า เราพบกับตัวเองเสมอเมื่อเป็นพยานเรื่องพระเยซู คนที่เป็นดินแข็ง ใจแข็ง ก็จะทำแค่รับเออ เออ แต่เขาจะไม่รับพระคำของพระเจ้าเลย
มีคำถามว่า จะให้ดินแข็งกลายเป็นดินดีได้ไหม? ต้องได้สิ จำในหลวง ร.9 ของเราที่ทรงแกล้งดินด้วยวิธีต่าง ๆ … ในชีวิตฝ่ายวิญญาณ เราต้องมาหาองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ขอพระเจ้าทรงเปลี่ยนเราจากความเป็นดินแข็งให้กลายเป็นดินดี

13:20-21 เมล็ดตกพื้นกรวด ดินน้อย ก็คือ คนที่รับพระคำอย่างยินดี เวลานั้นเขาอาจมีความทุกข์ใจอะไรบางอย่าง พอพระคำของพระเจ้ามาถึงหู ก็เหมือนเป็นคำตอบสำหรับชีวิต หรือบางคนกำลังแสวงหาพระเจ้า พอได้ยินก็รู้สึกว่าใช่ … แต่เวลาผ่านไป ความตื่นเต้นนั้นจึดจาง คนรัก คนในครอบครัวไม่พอใจที่เขามาพบพระเจ้า เขาก็สวัสดี ลาจากพระองค์ไป เพราะเขาไม่อาจละทิ้งชีวิตเดิมได้
จะแก้ได้ก็โดยตระหนักว่า พระเจ้าทรงอยู่กับเราในทุกสถานการณ์ของชีวิต ไม่ว่าจะสุขล้ำ หรือทุกข์หนัก .. เราต้องเข้ามาด้วยถ่อมใจ รู้ว่า ทางของพระเจ้าดีที่สุด ไม่ว่าจะเห็นหรือไม่ ขอพระเจ้าทรงเปลี่ยนใจเราให้รักพระองค์มากกว่าสิ่งใดในโลกนี้

13:22 เมล็ดตกบนพุ่มไม้หนาม บางคนเรียกใจที่ถูกแบ่ง เขาได้ฟังพระคำแล้ว รับแล้ว แต่ว่ายังมีเรื่องต้องคิด ต้องกังวล เรื่องงาน ความก้าวหน้า
ต้องหาเงินเลี้ยงครอบครัว ท่วมสมอง ท่วมชีวิต เหล่านี้ทำให้แทบหายใจไม่ออก ความกังวลทับถม ไม่อาจเชื่อพระสัญญาที่พระเจ้าสอนให้วางใจพระองค์ในเรื่องนี้ได้ ดังนั้นสิ่งต่าง ๆ ที่มาแบ่งใจเราไปจากพระเจ้าจึงช่วยสนับสนุนให้ออกจากทางของพระเจ้าไป หรืออาจจะยังอยู่ในชุมชนของพระเจ้าแต่ไม่ได้โตขึ้นเลย เป็นเด็กฝ่ายวิญญาณอย่างไร ก็คงโตแค่นั้น ไม่สามาถโตไปได้มากกว่านี้
หนามเหล่านี้ พระเจ้าทรงเอาออกให้ได้ ดิน..คือเรา ต้องขอพระเจ้า และขอพลังให้เราพ้นผ่านหนามต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อชีวิต

13:23 เมล็ดที่ตกในดินดี ไม่ได้หมายถึงตกในคนทำความดี หรือคนใจกว้าง ใจดี แต่ตกในใจที่ฟัง ตั้งใจฟัง เป็นหูที่ได้ยิน เก็บเข้าไปคิด และรู้ว่า ตนเองต้องการพระวจนะของพระเจ้า คนที่เป็นดินดี คือคนที่ได้ยินและ เข้าใจ และแน่นอนต้องมาจากใจที่ถ่อมลง ยอมฟังพระคำ บางคนที่อายุมาก คิดว่าตัวเองเก่ง รู้หมดแล้ว ก็เลยไม่ฟังคนที่อายุน้อยกว่าพูดพระคำของพระเจ้า บางคนคิดว่าตัวเองจบสูงมาก จะไปฟังนักเทศน์เพิ่งจบทำไมเป็นต้น เราต้องถ่อมตนต่อพระคำของพระเจ้า เราอาจจะได้ยิน ได้เข้าใจในสิ่งที่ตัวคนพูดยังไม่ได้คิดถึงเสียด้วยซ้ำ เมื่อพระเจ้าจะประทานความคิด ความเข้าใจนั้น มันจะล้ำมาก มากกว่าที่เราจะคิดได้เอง
ดังนั้น ดินดีคือดินที่รับพระคำ มีความเข้าใจว่าสิ่งที่ได้ยิน ตรงกับน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ … และผลที่ตามมานั้นยอดเยี่ยม คือเมล็ด พลังแห่งพระคำของพระเจ้า จะหยั่งรากในดินนี้ และจะเกิดผลหลายสิบเท่า หรือหลายร้อยเท่าของที่หว่านลงไป
แล้วตัวอย่างก็ชัดเจน ทุกหูที่ฟังอย่างตั้งใจ ถ่อมใจ คริสตจักรยุคแรก จากผู้คนที่ตั้งใจฟังพระเยซูและได้รับฤทธิ์แห่งชีวิตจากพระองค์ ก้าวออกไปสู่โลกกว้างที่พวกเขาไม่เคยไปมาก่อน แล้วเกิดผลมากจนทุกวันนี้

และต่อไปจากนี้จนถึงเรื่องสุดท้าย พระเยซูคริสต์ทรงเปิดเผยบางอย่างที่ยิวไม่เคยรู้มาก่อน พวกเราอ่าน และเข้าใจในฐานะที่เป็นคริสตจักรทันที แต่ในสมัยพระคัมภีร์เดิม และช่วงชีวิตของพระเยซูนั้น ไม่มีใครเข้าใจคำว่าคริสตจักรเลย นี่เป็นความลึกลับของแผ่นดินสวรรค์ ซึ่งมารไม่รู้มาก่อน พวกเขาที่ได้ยินเรื่องทั้งหมดก็งุนงงกับสิ่งที่พระเยซูตรัสสอน

คำอุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์ดีและวัชพืช 
13:24 -26 แล้วพระเยซูก็ตรัสว่า แผ่นดินสวรรค์มาเป็นเหมือน นี่เป็นคำที่สำคัญเพราะบ่งบอกว่า มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในแผนการของพระเจ้า
ทำไมล่ะ … เพราะมีอิสราเอลไม่ยอมรับพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พวกเขาเองรอคอย เกิดอะไรขึ้นกับแผนการของพระเจ้า
ชาวสวนท่านนี้ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดีในทุ่ง (ต้นเรื่องคล้ายกับพระเจ้าที่ทรงปลูกองุ่นดี แล้วมันกลายเป็นองุ่นเปรี้ยวในอิสยาห์ 5 ) เมล็ดดีคำนี้ กรีกว่า σῖτος สิโตส หมายถึงธัญพืชหรือข้าวสาลี ส่วนวัชพืช ภาษาไทยคือ พืชที่ไม่ต้องการ ต้องทิ้งไป กรีกว่า ζιζάνια ซิซาเนีย เป็นวัชพืชที่ตอนต้นเล็กจะหน้าตารูปร่างเหมือนข้าวสาลีไม่มีผิด จนกระทั่งเริ่มออกรวงก็จะเห็นว่ามีความแตกต่างกันอย่างมากในการออกรวง รากของทั้งสองที่เกิดมาพร้อม ๆ กันก็จะพันกันในดิน ยากที่จะเอาออกจากกัน
ศัตรูที่เข้ามาหว่านเมล็ดวัชพืชก็ไม่ได้หว่านริม ๆ ขอบ ๆ ไร่นา แต่หว่านปนไปตามพื้นที่ ๆ เจ้าของไร่หว่านอยู่แล้ว

13:27-29คนรับใช้ได้มาแจ้งนายว่า พวกเขาเห็นวัชพืชโตไปพร้อมกับข้าวสาลี เกิดอะไรขึ้นกัน นายรู้ว่า มีศัตรูเข้ามาหว่านวัชพืช คนรับใช้ถามทันทีว่าให้ถอนทิ้งหรือไม่ .. จะให้ทำลายคนของโลกไปทันทีเลยหรือไม่ แต่เราจะเห็นว่า เจ้าของไร่ให้รอ… เขาจะแยกมันออกทีหลัง การทำลายวัชพืชอาจไปทำลายข้าวดีไปพร้อมกันโดยไม่จำเป็น พระเจ้าทรงอนุญาตให้คนของพระองค์อยู่ในโลกไปพร้อม ๆ กับคนที่ปฏิเสธพระองค์

13:30 เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว เจ้าของไร่จะให้คนรับใช้แยกวัชพืชกับข้าวดีออกจากกัน เอ… เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องไปต่อที่ข้อ 36-43

คำอุปมาเรื่องเมล็ดพันธ์มัสตาร์ดและเชื้อขนม
13:31-32 แล้วพระเยซูก็ทรงเปรียบเทียบแผ่นดินสวรรค์กับเมล็ดมัสตาร์ดที่ถูกเพาะขึ้น (การแปลความหมายของเรื่องนี้ จะแตกต่างจากที่เคยได้ยินขอให้ผู้อ่านพิจารณาเอง ที่นิยมแปลกันคือ พระคำของพระเจ้าเริ่มจากจุดเล็ก ๆ และเติบใหญ่จนมีคนเข้ามาพักพิงในพระเจ้าเป็นจำนวนมาก )
เมล็ดมัสตาร์ดนั้น เล็กกว่าเมล็ดอื่นก็จริง แต่เมื่อเติบโตมันจะเป็นไม้พุ่ม จึงไม่โตมาก แต่จะมีบางพันธุ์ที่สูง 12-15 ฟุต แต่ก็ยังเป็นไม้พุ่มที่ไม่อาจรับน้ำหนักนกเยอะ ๆ ได้ การกลายเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าต้นอื่น ๆ นับได้ว่า ผิดปกติของต้นมัสตาร์ด และพระเยซูยังตรัสว่า มีฝูงนกมาสร้างรังบนกิ่งของมัน และพระองค์ไม่ได้แปลความหมายของอุปมาเรื่องนี้ เราจึงต้องพยายามหาคำอธิบายที่ตรงกันกับความหมายของพระเยซูจากเรื่องอื่น ๆ
ถ้าเราจะดูจากคำอุปมาเรื่องดินสี่ชนิดนั้น เราจะพบว่า พระเยซูทรงเปรียบนกว่าเป็นศัตรูที่มาจิกเอาพระวจนะออกไป นั่นคือซาตานโดยตรง (จากมาระโก 4 ) ต้นไม้มักมีความหมายถึงอำนาจของโลก
เราจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในโลกนี้คือ มีคริสตจักร กลุ่มผู้เชื่อ นิกาย มากมายที่อ้างว่าตนเองเป็นคริสเตียน แต่ในคำสอนของพวกเขาก็ยังมีความตั้งใจที่จะสอนผิด เป็นความจงใจที่จะต่อต้านพระคำของพระเจ้า
อย่างเช่นพยานพระยะโฮวา มอร์มอน ยังมีคนสอนผิดอยู่ดาษดื่นในสังคม แต่อ้างพระเยซู พวกนี้เป็นเหมือนนกที่มาทำรังเพื่อทำลายแผ่นดินของพระเจ้า

13:33 ส่วนอุปมาเชื้อขนมปังก็เป็นเหมือนกัน คำว่าเชื้อขนมปังนี้ สื่อให้เห็นถึงเชื้อคำสอนที่แตกต่างจากพระเจ้า และเมื่อใดที่เรายอมให้เข้ามาอยู่ในชุมชนผู้เชื่อโดยไม่ตรวจสอบ เชื้อนั้นก็จะแพร่ไปเป็นเนื้อร้ายเพื่อทำลายชุมชนของพระเจ้า

13:34-35 สดุดี 78:2 อาสาฟได้กล่าวล่วงหน้าว่า พระเยซูจะทรงสอนเป็นคำอุปมา ซึ่งเห็นภาพชัดเจนในบทนี้ ที่จริง น่าสงสัยเหมือนกันว่า ในยุคของพระองค์นั้น จะมีกี่คนที่เข้าใจคำอุปมาเหล่านี้จริง ๆ

คำอธิบายอุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์ดีและวัชพืช
13:36 จากนั้น พระเยซูก็ทรงเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ส่วนศิษย์ก็อดไม่ได้เพราะยังคาใจในความหมายของเมล็ดพันธุ์ดี และวัชพืช พวกเขาขอให้พระองค์อธิบายความ

13:37 ครั้งนี้น่าสนใจมาก เพราะพระองค์ทรงบอกว่า ชายที่หว่านเมล็ดดีคือ พระองค์เอง และทรงเรียกพระองค์เองว่า บุตรมนุษย์ (ซึ่งเป็นคำที่มาจากหนังสือดาเนียล 7:13-14 มีความหมายถึงพระเจ้าที่ทรงลงมาเป็นพระเมสสิยาห์ ทุกคนที่เป็นธรรมาจารย์ คนเรียนพระคัมภีร์เดิมจะเข้าใจดีว่า คำว่าบุตรมนุษย์หมายถึงพระเจ้า นี่เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้พวกฟาริสี ธรรมาจารย์โกรธพระองค์)

13:38 บุตรมนุษย์ได้ประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับผู้ที่เชื่อวางใจ แต่คนที่ไม่เชื่อนั้นเป็นคนของมาร เมื่อถึงวันสุดท้าย พระเจ้าจะทรงส่งทูตสวรรค์มาคัด แยกคนสองประเภทนี้ออกจากกันอย่างชัดเจน

13:39-42 มารเองก็ได้หว่านผู้คนที่ชั่วร้ายไว้บนโลกเช่นกัน ผู้คนที่หลงตามมารไปมีมากมาย ท่วมท้นในโลกนี้ แต่พวกเขาที่ดึงดัน ดื้อดึงต่อพระเจ้า พวกเที่พยายามบีบคั้น เคี่ยวเข็ญผู้เชื่อ ใช้อำนาจบาทใหญ่กับคนของพระองค์ จะถูกทูตสวรรค์เก็บเกี่ยวไป และถูกกำจัดไปจากแผ่นดินของพระองค์ และพวกเขาจะถูกโยนลงเตาไฟที่ลุกไหม้ ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งพระเยซูตรัสถึงหลายต่อหลายครั้ง

13:43 พระเยซูทรงมาสรุปว่า คนของพระองค์จะส่องแสงราวดวงอาทิตย์ เหมือนอย่างที่เขียนไว้ใน ดาเนียล 12:3

รื่องอุปมาถึงทรัพย์สมบัติกับไข่มุก
13:44 -46 อุปมาทั้งสองเรื่องนี้ มีความหมายอันเดียวกัน และที่เคยแปลมาก็อาจจะต้องมาทบทวนใหม่อีกที เรามักแปลกันว่า มนุษย์มาพบพระเจ้าแล้วก็ดีใจ สละทุกสิ่งที่มีอยู่เพื่อตามพระเจ้า แต่สิ่งที่เราเห็นจากทั้งสองเรื่องนี้คือ ชายคนที่พบสมบัติและไข่มุกนั้นมีความสุขมากที่ค้นพบสิ่งที่มีค่าในสายตาของเขา เขาเห็นค่าของทั้งสองสิ่งนั้น จากนั้นเขาก็ขายทุกสิ่งที่มีอยู่เพื่อจะได้สิ่งที่มีค่านี้มา
ความเห็นที่ค้านจากการแปลความหมายแบบเดิมคือ
1. พระเยซูไม่ใช่ทรัพย์หรือไข่มุกที่ถูกซ่อนไว้ พระเยซูทรงเป็นผู้มีชื่อเสียง
โลกตะวันตกต่างรู้จักพระองค์กันทั้งนั้น
2.ถ้าเป็นมนุษย์ทั่วไปแล้ว ไม่แสวงหาพระเจ้า.. “ไม่มีสักคนเดียวที่มีความเที่ยงธรรม ไม่มีแม้แต่คนเดียว ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า“(โรม 3:10-11) ดังนั้นชายคนนี้จึงไม่ใช่คนทั่วไป
3. พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อซื้อคนบาปทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์กลับไปเป็นของพระเจ้า .. พระองค์คือผู้ที่เห็นคุณค่าของมนุษย์ที่ทรงสร้างมา แม้ว่าเขาเป็นคนบาป แต่เมื่อเขายอมเชื่อวางใจพระองค์ เขาจึงมีค่าขึ้นมาได้เพราะพระเจ้าทรงสร้างเขามา
** อย่างไรก็ดี ยังมีความเห็นอื่นของผู้อธิบายพระคัมภีร์ว่า ชายที่ค้นพบขุมทรัพย์และไข่มุกคือ เหล่าศิษย์ของพระเยซู ที่จะต้องสละชีวิตของพวกเขาทั้งสิ้น
เพื่อที่จะได้แผ่นดินของพระเจ้ามา

อุปมาเรื่องอวนลากจับปลา
13:47-48 พระเยซูยังทรงเปรียบแผ่นดินสวรรค์เหมือนอวนลาก (ใช้เรือสองลำลากอวนเข้าฝั่ง) ในอวนที่จับปลามานั้น ได้ปลามาหลายชนิด เมื่อถึงฝั่ง ก็จะทำการเลือกปลาดี ปลาไม่ดีก็ทิ้งไป

13:49-51 แล้วพระเยซูก็ทรงกล่าวถึงวันสุดท้ายของโลก ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะมาเป็นผู้แยกคนที่เชื่อ กับคนที่ไม่เชื่อ และคนที่ไม่เชื่อจะถูกโยนลงในนรก! ณ ที่นั้น คนทั้งหลายจะร้องเสียงดัง ขบฟันด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่ง เท่ากับว่า อุปมาเรื่องนี้ พระเยซูทรงเล่าและแปลความหมายให้พร้อม ๆ กันไป และพระองค์ทรงถามศิษย์ว่า เขาใจหรือไม่ … พอพวกเขาตอบว่าเข้าใจ พระองค์ก็ทรงบอกอุปมาสั้น ๆ อีกเรื่อง !

13:52 คนใดที่เข้าใจแล้ว เขาก็เหมือนผู้รู้ เป็นอาจารย์แล้ว เข้าใจเรื่องของแผ่นดินสวรรค์ จากนั้น พวกเขาจะต้องรับผิดชอบในการนำสิ่งใหม่ และเก่าที่เคยเรียนรู้มา แบ่งปันให้กับผู้คน จะเก็บเอาไว้ในใจคนเดียวไม่ได้ ต้องแบ่งปัน เพราะนั่นคือ หน้าที่ของคนที่รู้!

กลับไปยังบ้านเมืองที่ทรงเติบโตมา
ตอนนี้ พระเยซูทรงพบการต่อต้านจากคนที่บ้านเกิดและในบทต่อไปจากผู้ปกครองที่ส่งมาจากโรมด้วย แม้ประชาชนจะติดตามพระองค์ แต่ก็ไม่ได้ไกล เพราะพวกเขายากจน ไม่อาจเดินทางไปไกล ๆ กับพระองค์ได้  หลังจากที่สอนจนช่ำพระทัยแล้ว พระองค์ก็เสด็จออกจากที่นั่น

13:53 พระองค์ทรงกลับไปบ้านเกิดและทรงเข้าไปสอนในธรรมศาลา ไม่ได้ประทับสอนใต้ต้นไม้ หรือในบ้านใครคนที่ฟังต่างประหลาดใจเพราะพระองค์ทรงปัญญา และทรงฤทธิ์ทำการอัศจรรย์ต่อหน้าพวกเขาด้วย … ตรงนี้เราเห็นว่า คนยอมรับพระปัญญาที่ยิ่งใหญ่   แต่ไม่ยอมรับพระองค์

13:55-56  คำตอบนั้น มาพร้อมกับความรู้สึกเหยียดหยาม ชิงชัง  พระเยซูเป็นคนในครอบครัวช่างไม้  ไม่ได้ร่ำรวย ใหญ่โต แต่เป็นครอบครัวธรรมดามาก ๆ  และพระคำตอนนี้ทำให้เรารู้ว่า โยเซฟกับมารีย์ได้มีลูกสาว ลูกชายต่อมา อย่างน้อยก็มีน้องชายของพระเยซูอีก สี่คน เราไม่ทราบว่า น้องสาวมีกี่คน  (คาธอลิกเชื่อว่า มารีย์เป็นสาวพรหมจารีตลอดไป

13:57. เมื่อสืบสาวราวเรื่องว่า พระองค์ทรงเป็นใครในเมือง … พวกเขาก็ไม่พอใจที่จะฟังคำของพระองค์  ทั้งที่รู้ว่า พระองค์ทรงมีสติปัญญาล้ำ มีฤทธิ์เหนือธรรมชาติ แต่..มนุษย์ก็คือมนุษย์ พวกเขาพอใจที่จะเหยียดคนอื่น และเห็นว่าตนเองดีกว่าเสมอ.  และพระเยซูเองก็ทรงยืนยันตามนั้น 

13:58  ที่น่าเสียดายคือ การที่พวกเขาหมิ่นพระองค์  ไม่เชื่อ พระองค์จึงไม่ได้ทำการอัศจรรย์ รักษาโรค ไล่ผีสิงต่าง ๆ มากเหมือนอย่างเมืองอื่น ๆ  ตรงนี้ เราจะเห็นชัดว่า เหตุใดในชีวิตบางคนจึงมีการอัศจรรย์เกิดขึ้นมากกว่าบางคน  พระเจ้าทรงฤทธิ์องค์เดียวกัน  ฤทธิ์เดชของพระองค์จะเทลงมายังคนที่มีความเชื่อ  เพราะความเชื่อนั้น ถวายพระเกียรติ ความเชื่อนั้นทำให้คนเห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้า  ความเชื่อและฤทธิ์เดชของพระเจ้าเหมือนกับแม่เหล็กขั้วต่างกันที่ดึงดูดเข้าหากันเสมอ 



บรรณานุกรมของบทที่ 13
https://brandywine.church/wp-content/uploads/2021/06/The-Parable-of-the-Sower-and-the-Seed-sermon-notes.pdf
https://www.youtube.com/watch?v=fQHkF4J1wh4

พระคำเชื่อมโยง

มัทธิว 13
1* มาระโก 4:1-12
2*ลูกา 8:4; 5:3
3* ลูกา 8:5
8* ปฐมกาล 26:12
9* มัทธิว 11:5
11* มาระโก 4:10-11
12* มัทธิว 25:29
14* อิสยาห์ 6:9-10; ยอห์น 3:36
15* ฮีบรู 5:11; ลูกา 19:42; กิจการ 28:26-27
16* ลูกา 10:23-24



17* ฮีบรู 11:13
18* มาระโก 4:13-20
19* มัทธิว 4:23
20* อิสยาห์ 58:2
21* กิจการ 14:22; มัทธิว 11:6
22* 1 ทิโมธี  6:9; เยเรมีย์ 4:3
23* โคโลสี 1:6
30* มัทธิว 3:12
31* ลูกา 13:18-19
32* เอเสเคียล 17:22-24; 31:3-9
33* ลูกา 13:20-21; 1 โครินธ์ 5:6
34* มาระโก 4:33-34
35* สดุดี 78:2; เอเฟซัส 3:9
38* โรม 10:18; ยอห์น 8:44

39* วิวรณ์ 14:15
41* มัทธิว 18:7
42* วิวรณ์ 19:20; 20:10; มัทธิว 8:12; 13:50
43* ดาเนียล 12:3; มัทธิว 13:9
44* ฟีลิปปี 3:7-8; อิสยาห์ 51:1
46* สุภาษิต 2:4; 3:14-15; 8:10, 19
47* มัทธิว 22:9-10
49* มัทธิว 25:32
52* บทเพลงโซโลมอน 7:13
54* ลูกา 4:16; สดุดี 22:22
55* ยอห์น 6:42; มัทธิว 12:46; มาระโก 15:40
57* มัทธิว 11:6 ; ลูกา 4:24
58* มาระโก 6:5-6

มัทธิว 12 ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่า อยู่ตรงนี้

เจ้านายเหนือวันสะบาโต

1 ครั้งนั้น พระเยซูเสด็จผ่านเข้าไปในทุ่งข้าวในวันสะบาโต และศิษย์ของพระองค์รู้สึกหิว จึงเริ่มต้นเด็ดรวงข้าวมากิน
2 เมื่อพวกฟาริสีเห็นเข้า ก็กล่าวกับพระเยซูว่า “ดูสิ พวกศิษย์ของท่านทำสิ่งที่ผิดบัญญัติในวันสะบาโต”
3 พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านหรือว่า กษัตริย์ดาวิดทำอะไรเมื่อท่านและคนของท่านหิว
4 ท่านเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า
และพวกเขาก็กินขนมปังบริสุทธิ์  ซึ่งมีปุโรหิตเท่านั้นที่จะกินได้ 
5 และท่านไม่ได้อ่านในบัญญัติของโมเสสหรือว่า
ทุกวันสะบาโต ปุโรหิตในพระวิหารก็ต่างละเมิดกฎวันสะบาโตกันทั้งนั้น  (เพราะพวกเขาถวายเครื่องบูชาซึ่งเท่ากับกำลังทำงาน)  แต่พวกเขาก็ไม่มีความผิด
 

6  เราขอบอกท่านว่า ผู้ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าพระวิหารก็อยู่ ณ ที่นี่ 
7  พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตามากกว่า เครื่องถวายสัตวบูชา’ (โฮเชยา 6:6) หากท่านเข้าใจความหมายของคำนี้  ท่านก็คงจะไม่กล่าวโทษผู้ที่ไม่มีความผิด 
8 เพราะว่า บุตรมนุษย์เป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต!”

พระเยซูทรงรักษาชายมือลีบ

9 พระเยซูทรงออกจากที่นั่น
และทรงเข้าไปในศาลาธรรมของพวกเขา
  10 ดูสิ มีชายมือลีบคนหนึ่งอยู่ที่นั่น  พวกเขากำลังหาเหตุที่จะกล่าวหาพระเยซู ดังนั้นพวกเขาจึงถามพระองค์ว่า “ที่จะรักษาโรคให้กับคนในวันสะบาโตนั้น ผิดบัญญัติหรือไม่?”
11 พระเยซูตรัสตอบว่า “หากใครในพวกเจ้ามีแกะอยู่ตัวหนึ่ง และแกะตัวนั้นตกบ่อในวันสะบาโต  ท่านจะไม่ช่วยดึงมันขึ้นมาออกจากบ่อนั้นหรือ?
 12 มนุษย์มีค่ายิ่งกว่าแกะตัวหนึ่ง ดังนั้น การทำความดีในวันสะบาโตก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามบัญญัติ

13 แล้วพระเยซูตรัสกับชายคนนั้นว่า “จงยื่นมือออกมา” เขาก็ยื่นมือออกมา และมือนั้นก็กลับเป็นปกติดีเหมือนข้างที่ดี 
14 แต่ฟาริสีก็ออกไปวางแผนว่า จะใช้วิธีใดประหารพระเยซู

พระเยซูทรงเป็นผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเลือก
15  พระเยซูทรงรู้ว่า พวกฟาริสีคิดทำอะไร จึงทรงออกจากที่นั่นไป คนเป็นจำนวนมากก็ตามพระองค์ไปด้วย พระองค์ทรงรักษาคนที่เจ็บป่วยทุกคน 
16 แต่ก็ทรงห้ามไม่ให้ประชาชนบอกว่า
พระองค์ทรงเป็นผู้ใด
17 ที่ทรงทำเช่นนี้ก็เพื่อให้คำของอิสยาห์ ผู้เผยพระดำรัส
เป็นจริงที่ว่า
18  ‘ดูสิ นี่คือผู้รับใช้ที่เราได้เลือกไว้ เรารักและชื่นชมเขา
เราจะส่งวิญญาณของเรามาเหนือเขา
และเขาจะประกาศความยุติธรรมให้กับประชาชนทุกชาติ
19 เขาจะไม่ทะเลาะวิวาท ไม่ส่งเสียงตะโกน
และไม่มีใครได้ยินเสียงของเขาตามถนน
20 เขาจะไม่หักทำลายไม้อ้อที่แตกหักแล้ว  
เขาจะไม่ดับตะเกียงที่ส่องแสงริบหรี่
จนกว่าเขาจะทำให้ความยุติธรรมได้ชัยชนะ
 21 คนต่างชาติทั้งหลายจะมีความหวังในพระองค์

อิสยาห์ 42:1-14

สิทธิอำนาจของพระเยซูมาจากพระเจ้า

22 มีบางคนนำชายเป็นใบ้ ตาบอด เพราะเขามีผีสิงมาหาพระเยซู พระองค์ทรงรักษาเขา เขาจึงพูดได้ และมองเห็น
23 คนทั้งหลายที่เห็นเหตุการณ์ต่างประหลาดใจ กล่าวว่า “ชายคนนี้เป็นลูกหลานของดาวิดอย่างนั้นหรือ?”
(มีความหมายว่าเป็นพระเมสสิยาห์ ที่สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด) อ่าน 2 ซม 7:11-16
24 พอพวกฟาริสีได้ยินดังนั้น พวกเขากล่าวว่า “ชายคนนี้ใช้อำนาจของนายผี เบเอลเซบูล (อีกชื่อของซาตาน) เพื่อขับผีให้ออกจากผู้คน” 
25 พระเยซูทรงทราบว่า พวกฟาริสีคิดอย่างไร .. พระองค์ตรัสว่า “อาณาจักรใดที่แตกแยกกัน ก็จะถูกทำลาย และเมืองใด ครอบครัวใดที่แตกแยกกันก็ไม่อาจยืนอยู่ได้ 
26 และหากซาตานไล่ตัวมันเองออกไป เท่ากับมันสู้ตัวเอง  อาณาจักรของมันก็ไม่อาจยืนหยัดอยู่ได้ 
27  เจ้ากล่าวว่า เราใช้อำนาจของ เบเอลเซบูลเพื่อขับไล่ผีออกไป หากเป็นอย่างนั้นจริง คนของพวกเจ้าใช้ใครเพื่อขับผีออกเล่า?  พวกเขาจะตัดสินเจ้าเอง

28 แต่หากเราใช้ฤทธิ์แห่งพระวิญญาณของพระเจ้าขับผีออก แผ่นดินของพระเจ้าก็มาถึงท่ามกลางพวกเจ้าแล้ว
 29 “ใครก็ตามที่ต้องการเข้าไปในบ้านของคนที่มีพลังมาก และจะขโมยทรัพย์สินของเขา ก็จะต้องมัดตัวคนที่มีพลังนั้นก่อน แล้วจึงจะปล้นบ้านของเขาได้ 

บาปต่อองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์​
30 “ใครก็ตามที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายเราก็เป็นศัตรูกับเรา ใครที่ไม่เก็บรวบรวมไว้กับเรา เท่ากับต่อต้านเรา (ทำให้กระจัดกระจายไป ยอห์น 10:21) 
31  ดังนั้น เราจึงขอบอกเจ้าว่า มนุษย์จะได้รับการอภัยบาป และคำหมิ่นประมาททุกอย่าง แต่หากใครกล่าวคำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะไม่ได้รับการยกโทษเลย  
32ใครที่กล่าวคำต่อต้านบุตรมนุษย์ ก็จะได้รับการอภัยได้
แต่ใครที่กล่าวคำต่อต้านองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์
จะไม่ได้รับการอภัย ทั้งเวลานี้ และในอนาคต   

ระวังคำพูดไร้สาระ
33 “หากเจ้าต้องการผลดี เจ้าก็ต้องปลูกต้นไม้ดี หากต้นไม้ของเจ้าเลว ก็จะมีผลเลวออกมา เราจะรู้ว่าต้นไม้เป็นอย่างไรก็ดูจากผลของมัน 
34 เจ้างูร้าย เจ้าเป็นคนชั่ว จะพูดสิ่งดีออกมาได้อย่างไร  เพราะปากก็จะพูดสิ่งที่ล้นออกมาจากใจ 
35 คนดี ก็มีสิ่งดีในใจ เขาจึงพูดสิ่งดีออกมา แต่คนชั่วก็มีสิ่งชั่วในใจ เขาก็จะกล่าวคำชั่ว ๆ ออกมา  
36  เราบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษาโทษนั้น มนุษย์จะต้องให้การเรื่องคำพูดของตัวเองที่กล่าวออกมาอย่างไม่ระวัง 
37 เจ้าจะพ้นจากความผิดหรือถูกลงโทษนั้น ขึ้นอยู่กับคำที่เจ้ากล่าวออกมา  

ฟาริสีขอการอัศจรรย์
38 มีฟาริสี และธรรมาจารย์บางคนกล่าวกับพระเยซูว่า “ท่านอาจารย์ พวกเราอยากเห็นการอัศจรรย์ซึ่งเป็นหมายสำคัญจากท่าน”
39 พระเยซูตรัสตอบว่า “เจ้าคนในยุคที่ชั่วร้ายและกบฎต่อพระเจ้า เฝ้าตามหาการอัศจรรย์ที่เป็นหมายสำคัญ แต่พวกเจ้าจะไม่ได้หมายสำคัญใด ๆ นอกจากหมายสำคัญของผู้เผยพระดำรัสโยนาห์ 


40 โยนาห์อยู่ในท้องปลาใหญ่สามวันสามคืนอย่างไร บุตรมนุษย์ก็จะอยู่ในใจกลางแผ่นดินโลกสามวันสามคืนอย่างนั้น  41 ในวันพิพากษา ประชาชนจากนีนะเวห์จะลุกขึ้นพร้อมกับคนยุคนี้ และพวกเขาจะแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีความผิด เพราะเมื่อโยนาห์ประกาศ พวกเขาก็กลับใจ และเราขอบอกเจ้าว่า
ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่ที่นี่! 

42 ในวันพิพากษา ราชินีแห่งแผ่นดินทางใต้จะลุกขึ้น พร้อมกับคนในยุคนี้  พระนางจะแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีความผิด เพราะพระนางเดินทางมาจากที่สุดปลายโลกเพื่อฟังคำสติปัญญาของกษัตริย์โซโลมอน  ( 1 พงศ์กษัตริย์ 10:1-13)  และเราบอกเจ้าว่า ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์โซโลมอนก็อยู่ที่นี่!

คนในยุคนี้เต็มด้วยความชั่วร้าย
43 “เมื่อวิญญาณชั่วออกจากใครคนหนึ่งแล้ว มันก็ออกไปทั่วดินแดนที่แห้งแล้งเพื่อหาที่พัก แต่ก็ไม่พบ
 44 มันจึงกล่าวว่า ‘ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าละจากมา’ เมื่อมันกลับมา ก็พบว่า บ้านว่างเปล่า เก็บกวาดสะอาดตา เป็นระเบียบเรียบร้อย
 45 วิญญาณชั่วตนนี้จึงออกไป และนำวิญญาณชั่วอีกเจ็ดตนที่ร้ายกว่าเข้ามาอยู่ในบ้านนั้น  คน ๆ นั้นจึงตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายกว่าเดิม คนในยุคที่ชั่วร้ายก็จะเป็นเช่นนั้น”

ครอบครัวแท้จริงของพระเยซู
46 ขณะที่พระเยซูกำลังตรัสอยู่กับฝูงชนนั่นเอง ดูเถิด มารดาและน้องชาย น้องสาวก็มายืนอยู่ด้านนอก กำลังหาทางที่จะพูดกับพระองค์
47 มีคนมาทูลพระองค์ว่า “ดูเถิด มารดา และน้อง ๆ ของท่านยืนอยู่ข้างนอก และพวกเขาต้องการจะพูดกับท่าน”
48 พระองค์ตรัสตอบว่า “ใครเป็นมารดาของเรา ใครเป็นพี่น้องของเรา?” 
49 แล้วพระองค์ทรงชี้ไปที่เหล่าศิษย์ทั้งหลาย ตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา
50     ผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์  ผู้นั้นคือ พี่น้องชายหญิงและมารดาแท้จริงของเรา”

อธิบายเพิ่มเติม

 

พระเจ้าแห่งวันสะบาโต
บทนี้ เราเริ่มเห็นความพยายามของฟาริสี ที่จะจัดการโค่นพระเยซูให้ผู้คนเลิกติดตาม เลิกฟังพระองค์และตอนนี้พวกเขาก็ใช้เรื่องของกฎเกณฑ์ที่พวกฟาริสี ธรรมาจารย์ โบราน ช่วยกันตั้งกันขึ้นมาเพิ่มเติมในช่วง  400 ปีก่อน พวกเขาจึงมีกฎการปฏิบัติตนอย่างละเอียดมาควบคุมการใช้ชีวิตของประชาชนอีกมากมาย จนพระเยซูได้ตรัสว่า บรรดาผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา…
ประชาชนเหน็ดเหนื่อยกับการทำตามบทบัญญัติตั้งแต่เช้าจนค่ำ …​แทนที่ผู้นำฝ่ายวิญญาณจะนำความสุขมาให้ประชาชน กลับนำความทุกข์ใจมาโถมทับพวกเขา

12:1
เมื่อศิษย์ของพระเยซูเด็ดรวงข้าวมาขยี้กินตามทางในวันสะบาโต เป็นสิ่งที่จริง ๆ แล้ว ทำได้ เพราะพวกเขาไม่ได้ทำงานแต่ประการใด พวกเขาเข้าไปในนาของบางคนที่มีข้าวอยู่
แล้วแค่เด็ดกิน ไม่ได้ขโมยด้วย เพราะมีบทบัญญัติของโมเสสอยู่แล้วว่า เจ้าของนาจะต้องไม่เก็บข้าวจนหมดนา แต่ให้เหลือไว้เผื่อคนยากจน คนเดินทางได้กินหายหิวได้
12:2
แต่แล้ว พวกเขาถูกฟาริสีกล่าวหาว่าทำผิดบทบัญญัติสะบาโต   ซึ่งพวกเขาหมายถึงบัญญัติเพิ่มเติมในรายละเอียดเล็ก ๆ ไม่ใช่บทบัญญัติดั้งเดิม
12:3-4
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ดาวิดพาทหารเข้าไปกินขนมปังที่วางไว้เพื่อนมัสการพระเจ้า เพราะพวกเขากำลังหิวมาก  และก็ไม่ได้ถือว่าผิดจนต้องลงโทษ

12:5
และคำนี้ที่พระเยซูตรัสก็เป็นการชี้ให้เห็นว่า จริง ๆ แล้ว ปุโรหิตทุกคนก็ทำผิดในวันสะบาโต ถ้าถือว่า เขากำลังทำงานอยู่ในการรับใช้พระเจ้าและประชาชน  ตรงนี้ ทำให้เราเห็นว่า ไม่เคยมีใครคิดมาก่อน แต่พระเยซูทรงชี้ให้เห็นภาพที่พวกเขาไม่เคยคิด  ฟังแล้ว สำหรับพวกฟาริสี ก็น่าโมโหที่พระเยซูทรงพลิกความจริงให้เห็นกระจ่างได้ขนาดนี้   และพวกเขาก็ไม่สามารถโต้เถียงกลับได้
12:6
แล้วพระเยซูทรงสรุปให้ ซึ่งเป็นการจุดไฟโกรธของพวกเขาให้พลุ่งขึ้นเต็มที่เลย … พระองค์ทรงแจ้งให้พวกเขาทราบว่า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าพระวิหาร ทรงยิ่งใหญ่กว่าเครื่องบูชาทั้งหลาย เพราะพระเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเขามีเมตตา ไม่ใช่การรักษาบัญญัติเคร่งครัดและกล่าวหาคนที่ทำผิดอย่างไร้ความปรานี   ทรงสรุปชัดเจนว่า พระองค์ทรงอยู่เหนือวันสะบาโต … เมื่อใดที่พระเยซูตรัสว่า บุตรมนุษย์ ทุกคนเข้าใจดีว่า ทรงหมายถึงพระเจ้าที่ปรากฎในหนังสือ ดาเนียล   ตอนนี้ฟาริสีโกรธจนควันออกหูแล้ว!!


พระเยซูทรงรักษาชายมือลีบ
12:9-10
จากนั้นทรงเข้าไปในธรรมศาลา พบชายคนหนึ่งมือลีบ  เอาล่ะ ได้ทีสำหรับพวกที่รอค้านพระเยซู จึงแกล้งถามว่าผิดไหมที่จะรักษาในวันสะบาโต ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า พระเยซูทรงรักษาชายมือลีบนั้นแน่นอน
12:11-12 
พระเยซูทรงสรุปให้โดยเล่าเรื่องที่อาจจะเกิดกับพวกเขา หรือเคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว คำของพระองค์แตะใจทุกคนที่อยู่ตรงนั้น  แกะใคร ๆ ก็รักและห่วง คงไม่ยอมให้มันติดหล่มแล้วต้องตายในวันสะบาโต แล้วพระองค์ทรงสรุปว่า ทำความดีในวันสะบาโตนั้นเป็นสิ่งที่ถูกตามบัญญัติ
12:13-14 
จากนั้นก็ทรงรักษาชายมือลีบทันที ชายคนนั้นดีใจนักที่หายจากความพิการ แต่.. ไม่มีใครสักคนในหมู่ฟาริสีดีใจด้วย พวกเขากลับรู้สึกเสียหน้า และถึงกับพยายามวางแผนฆาตกรรม … พวกนี้เป็นคนอย่างไรกัน?

พระเยซูทรงเป็นผู้รับใช้ที่พระเจ้าทรงเลือก
12:15-21 
พระเยซูทรงรู้ทันทีว่า ฟาริสีคิดอะไรอยู่  แต่พระองค์ไม่ได้ต่อต้านพวกเขาอย่างรุนแรง พระองค์กลับหันไปทรงรักษาโรคให้กับประชาชนมากมาย แต่ขณะเดียวกัน ก็ปรามไม่ให้พวกเขาไปเผยแพร่สิ่งที่เกิดขึ้น หรือบอกว่า พระองค์คือผู้ใด
เมื่อเราอ่านพระลักษณะของพระเมสสิยาห์ที่อิสยาห์ได้บรรยายไว้
เราจะเห็นว่า พระองค์ทรงสงบ  ไม่ตะโกน พระองค์ตรัสอย่างเรียบ ง่ายทรงพลังกับประชาชนทั้งหลาย  พระองค์ไม่ทรงซ้ำเติมประชาชน แตกต่างจากเหล่าฟาริสีที่พยายามเอาแต่จับผิดอย่างสิ้นเชิง พระเยซูทรงเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ (ยกเว้นวันที่พระองค์ทรงพิโรธเมื่อเห็นคนย่ำยีพระวิหารของพระเจ้า)

สิทธิอำนาจของพระเยซูมาจากพระเจ้า  
12:22-23
มัทธิวได้กล่าวถึงเหตุการณ์คนมีผีสิงแล้วทำให้ตาบอดเป็นใบ้มารับการรักษา แล้วเขาก็กลายเป็นพูดได้ และมองเห็น ชายคนนั้นดีใจมาก  และคนที่เห็นก็ประหลาดใจ ใช้คำถามที่ต้องการคำตอบเป็น ไม่ นั่นคือคนนี้ไม่น่าจะใช่ลูกชายของดาวิด เขาเป็นได้หรือ?  พวกเขายังคงรู้สึกไม่เชื่อแต่ก็ประหลาดใจเราต้องไม่ลืมว่า คนยิวคาดหวังว่า พระเมสสิยาห์ที่มานั้น จะเป็นนักรบที่จะช่วยพวกเขาให้พ้นจากประเทศที่ครอบครองพวกเขาอยู่  พระเมสสิยาห์น่าจะมาแบบยิ่งใหญ่
อย่างน้อยก็เป็นคล้ายดาวิดองค์กษัตริย์ผู้แกร่งกล้า  

12:24
แต่แล้ว ฟาริสีมีความคิด ทางลบ.. กล่าวร้ายว่า พระเยซูทรงใช้อำนาจนายผีให้ประชาชนคิดตามไปอย่างนั้น พระเยซูเองทรงรู้อยู่แล้วว่า เขาจะพูดอะไรจึงทรงชี้แจงให้ประชาชนที่มุงอยู่ได้เข้าใจให้ถูกต้อง
 12:25-28 
เหมือนในข้อ 15  พระเยซูทรงรู้ใจฟาริสี พระองค์ทรงสัพพัญญู ทรงรู้ความคิดของทุกคน ดังนั้น ทรงยืนยันว่า ที่อาณาจักรของมารยังมีพลัง เพราะมันช่วยกัน ไม่ได้แตกแยกกัน  การที่กล่าวหาพระองค์ว่าใช้อำนาจนายผีเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะคนฟาริสีก็ยังมีการไล่ผีออกจากผู้คนด้วย ดังนั้นหมายความว่า ฟาริสีเอง ใช้อำนาจของนายผีใช่หรือไม่ (สมัยนั้นก็มีการไล่ผีอยู่แล้ว ดู กิจการ 19:13)
ในเรื่องนี้ พระเยซูทรงบอกชัดว่า การที่พระองค์ทรงขับผีโดยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณก็หมายความว่า แผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้พวกเขา พวกเขาจะได้รับการปกครองจากพระเจ้า จากองค์พระเมสสิยาห์ ไม่ใช่จากบทบัญญัติอีกต่อไป
เมื่อพูดถึงพระวิญญาณ เราจะเห็นว่า พระเยซูทรงแนะนำให้ประชาชนเริ่มเห็นว่า พระองค์ทรงทำงานร่วมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อน
12:29 
พระเยซูตรัสให้พวกเขาคิดใหดี  พระองค์ทรงเป็นคนที่มีอำนาจเหนือมารที่อยู่ในร่างกายของคนที่ถูกผีสิง (ร่างที่อยู่ใต้อำนาจมาร)  พระองค์ทรงเป็นผู้มัดมารที่อยู่ในร่างของคนก่อน แล้วทรงไล่มันออกไป  การที่พระเยซูตรัสเช่นนี้ บ่งบอกว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ด้วย  ทรงยิ่งใหญ่กว่ามาร 
บาปต่อองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์​
12:30 
จากนั้น พระเยซูชี้ให้เห็นว่า ใครก็ตามที่มีสัมพันธ์กับพระองค์นั้น จะเป็นกลางไม่ได้เป็นอันขาด  ไม่อยู่ข้างเดียวกัน ก็เท่ากับอยู่คนละข้างเลยนั่นคือ อยู่ฝ่ายมาร
ฟาริสีทั้งหลายพยายามให้ผู้คนไม่เป็นฝ่ายพระเยซู พยายามทำให้พวกเขาสับสน คอยยุแหย่ให้เป็นศัตรูกับพระองค์จนกระทั่งวันที่ทรงสิ้นพระชนม์   ฟาริสีเหล่านี้เป็นฝ่ายมารแท้ ๆ
12:31
ฝ่ายตรงข้ามที่กล่าวคำหมิ่นประมาทองค์พระวิญญาณของพระเจ้าต้องรู้ว่า มีบาปบางอย่างที่พวกเขาไม่อาจแก้ลำได้เลย ไม่สามารถแก้ไข แก้คืน หรือได้รับการยกโทษได้  การที่พวกเขากล่าวว่า พระเยซูทรงใช้อำนาจนายผีไล่ผีออกนั้น แสดงว่าพวกเขาไม่สำนึกว่า กำลังดูหมิ่นองค์พระวิญญาณ   การมองว่างานของพระเจ้าเป็นงานของมาร  
การกล่าวต่อต้านก็เป็นเหมือนการหมิ่นประมาทเช่นกัน  พระเจ้ายังทรงเมตตาที่จะยกโทษให้กับคนที่ต่อต้าน หมิ่นพระเยซู แต่เขาจะไม่ได้รับการอภัยหากไปแตะต้ององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ !  องค์พระวิญญาณทรงเป็นอำนาจพื้นฐานที่ทำงานร่วมกับพระเยซูในขณะที่พระองค์ทรงอยู่ในโลกนี้   (ลูกา 4:14)

ระวังคำพูดไร้สาระ
12:33-35 
พระเยซูไม่ทรงปล่อยให้ฟาริสีกล่าวร้ายพระองค์โดยไม่สำนึก ทรงสอนให้ประชาชนรู้ว่า พฤติกรรมหรือผลในชีวิตทำให้รู้ว่าใจของคน ๆ นั้นเป็นอย่างไร  หากต้นไม้ถูกละเลย ไม่ให้น้ำ ไม่ให้ปุ๋ย ผลที่ได้ก็ไม่น่ากิน ไม่มีประโยชน์  พระเยซูทรงเรียกฟาริสีว่า เจ้าชาติงูร้าย เป็นคนที่มีใจชั่วจึงพูดแต่สิ่งที่ชั่วออกมา  เราจึงดูได้ว่าใครเป็นใครในโซเชียลมีเดีย เรารู้ได้เลยว่า ควรตามหรือไม่ตามใคร
12:36-37 
เป็นที่ชัดเจนว่า ในวันพิพากษาของพระเจ้า เราจะต้องให้การกับพระเจ้าสำหรับสิ่งที่กล่าวออกมา น่ากลัวมากเลย ถ้าเราได้รับคำเตือนเรื่องนี้แล้ว ก็สมควรจะระวังตัวตั้งแต่วันนี้   เพราะการตัดสินความนั้น ขึ้นอยู่กับคำพูดของเราเอง การพูดอย่างไม่ระวังนั้นคือประตูสู่ความตายได้ !! (ยากอบ 1:19; 3:1-12) พวกเขาตัดสิน กล่าวหาพระเยซูว่า ทำการด้วยนายผี แต่แล้วไม่ได้ดูตัวเองว่า กำลังพูดไม่ระวัง และนำอันตรายสู่ชีวิตตัวเอง

ฟาริสีขอการอัศจรรย์
12:38-39  
แล้วก็มีฟาริสี ธรรมาจารย์แกล้งขอให้พระเยซูทำการอัศจรรย์ที่เป็นหมายสำคัญ (เพื่อพิสูจน์ว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ ) นี่ไม่ได้เป็นคำขอเพื่อจะเชื่อ แต่เป็นคำขอที่บอกว่า ฉันไม่รับท่านเป็นพระเมสสิยาห์   อย่างไรท่านก็เป็นลูกน้องมารอยู่ดี จึงไล่ผีได้ 
(ดูมัทธิว 27:27-31 ทหารก็เยาะพระองค์ในฐานะที่เป็นกษัตริย์ )
ก่อนหน้านี้พระองค์ก็ทรงทำการอัศจรรย์มากมาย แต่พวกเขาก็ไม่เชื่อ แต่บิดเบือนราชกิจของพระองค์เป็นอย่างอื่น เหตุใดพระเยซูทรงกล่าวถึงหมายสำคัญของโยนาห์?
12:40-41
แม้โยนาห์เป็นผู้เผยพระดำรัสเพื่อชาวนีนะเวห์ แต่ชีวิตการทำงานของเขาก็ยังเป็นการพยากรณ์ถึงการสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ของพระเยซู
ชีวิตของโยนาห์นั้น บ่งว่า เขาได้ยอมตายเพื่อให้ชาวเรือได้รอดจากพระพิโรธ ลมพายุ จากนั้น ก็อยู่ในท้องปลาสามวัน โดยที่ความตายไม่สามารถยึดเขาไว้ได้  เขาออกจากท้องปลา เหมือนกับพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย  ที่สำคัญ ชาวนีนะเวห์เชื่อคำกล่าวของเขา และกลับใจ
พระเยซูทรงบอกเขาว่า พระองค์ทรงใหญ่กว่าโยนาห์ ทรงอยู่ตรงนี้ แต่พวกเขาก็ไม่กลับใจ  เป็นคนที่กบฏต่อพระเจ้า ดังนั้นคนนีนะเวห์ที่กลับใจจะกล่าวโทษพวกเขา
 12:42
นอกจากนั้น พระเยซูทรงกล่าวถึงราชินีจากแดนไกลที่เดินทางมาฟังคำของโซโลมอน และกลับใจ.. แต่แล้วพวกเขากำลังฟังพระเมสสิยาห์ตรัสแต่ใจแข็งเหลือเกิน 

คนในยุคนี้เต็มด้วยความชั่วร้าย
12:43-45
การที่พระเยซูทรงกล่าวถึงวิญญาณชั่วที่เคยอยู่ในคน ๆ หนึ่ง  แต่ต้องออกไปซึ่งน่าจะเกิดจาการขับออกไป  คำตรัสของพระองค์ทำให้เรารู้ชัดว่า เรื่องของผีสิงคนนั้น เป็นเรื่องจริง คนไทยไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้ เพราะพวกเราเห็นชัดว่า มี ส่วนคนตะวันตกนั้นไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
เมื่อวิญญาณชั่วออกไป มันก็ต้องไปหาที่อยู่ มันต้องการที่ ๆ จะสิง ต้องการใจที่ว่าง ใจที่ไม่มีฤทธิ์ของพระเจ้า เป็นใจที่พร้อมจะยอมรับวิญญาณร้ายแต่เมื่อไม่มีที่ ก็เลยลองกลับมาที่เดิม ปรากฏว่า ใจเดิมนั้นไม่มีพระเจ้าว่างเปล่า เรียบร้อย อาจหมายความถึงใจที่มีศีลธรรม ไม่ได้หมกมุ่นในความชั่ว ตราบใดที่ใจนั้นไม่มีพระเจ้า มันก็พร้อมที่จะเข้ามาสิงอยู่ 
บางครั้งคนที่ป่วยทางจิต คนที่สุขภาพไม่แข็งแรง ก็จะเป็นเหยื่อของวิญญาณเหล่านี้ง่าย  และมารก็จะใช้ชีวิตของเขาทำตามใจของมันเองทำให้ชีวิตนั้นย่ำแย่ลงกว่าเดิม
ดังนั้น สิ่งที่เราต้องระวังคือ เราต้องมีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในชีวิต แล้วมารตัวไหนก็จะเข้ามาไม่ได้ และต้องไม่ทำบาป ซึ่งบาปเหล่านั้นเป็นประตูเปิดรอพวกมันอยู่  แม้มันพยายามจะเข้ามากัดกิน เหมือนสิงโตคำราม แต่ก็จะทำอะไรเราไม่ได้ 

ครอบครัวแท้จริงของพระเยซู
12:46-47 
ขณะที่พระเยซูกำลังอยู่กับฝูงชน มารีย์ ลูกชาย ลูกสาว ซึ่งเป็นลูกที่เกิดจากโยเซฟหลังจากที่เธอได้ประสูติพระเยซูมา  แสดงว่า พระเยซูยังทรงมีน้อง ๆ ในครอบครัวอีกหลายคน ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้วางใจในพระองค์นัก 

12:48-50 
คำตรัสที่ว่า ใครเป็นแม่และพี่น้องของเรา? นั้น พระองค์ไม่ได้ดูหมิ่นมารดาและครอบครัวของพระองค์ แต่ พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับพี่น้องฝ่ายวิญญาณ ให้ความสำคัญกับคนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าว่า เป็นครอบครัวแท้จริงของพระองค์ อย่างที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ในยอห์น 1:12 ว่า คนที่เชื่อในพระนามจะได้มีสิทธิเป็นลูกของพระเจ้า! 

พระคำเชื่อมโยง

มัทธิว12
1* ลูกา 6:1-5; เฉลยธรรมบัญญัติ 23:25
3* 1 ซามูเอล  21:6
4* เลวีนิติ 24:5; อพยพ 29:32
5* กันดารวิถี 28:9
6* อิสยาห์ 66:1-2
7* โฮเชยา 6:6
9* มาระโก 3:1-6
10* ยอห์น 9:16
14* มาระโก 3:6
15* มาระโก 3:7; มัทธิว 19:2
16* มัทธิว 8:4; 9:30; 17:9

18* อิสยาห์ 42:1-4; 49:3;
มัทธิว 3:17; 17:5
22* ลูกา 11:14-15
23* มัทธิว 9:27; 21:9
24* มัทธิว 9:34
25* มัทธิว 9:4
28* ดาเนียล 2:44; 7:14
29* อิสยาห์ 49:24
31* มาระโก 3:28-30; กิจการ 7:51
32* ยอห์น 7:12, 52; 1 ทิโมธี 1:13
33* มัทธิว 7:16-18
34* มัทธิว 3:7; 23:33; ลูกา 6:45













38* มาระโก 8:11
39* มัทธิว 16:4
40* โยนาห์ 1:17
41* ลูกา 11:32; เยเรมีย์ 3:11; โยนาห์ 3:5
42* 1 พงศ์กษัตริย์ 10:1-13
43* ลูกา 11:24-26; 1 เปโตร 5:8
45* 2 เปโตร 2:20-22
46* ลูกา 8:19-21 ; ยอห์น 2:12; 7:3,5
47* มัทธิว 13:55-56
49* ยอห์น 20:17
50* ยอห์น 15:14













มัทธิว 11 เหนื่อยนัก มาพักในเรา

พระเยซูกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา
1 หลังจากที่พระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้กับศิษย์ทั้งสิบสองแล้ว พระองค์เสด็จจากที่นั่น และทรงเข้าไปตามเมืองต่าง ๆ ในกาลิลีเพื่อสอนและเทศนา
 2 ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกจำจองในคุก แต่เขาได้ยินว่า พระคริสต์ทรงทำราชกิจใดบ้าง ดังนั้นเขาจึงส่งศิษย์ของเขามาหาพระเยซู  3 พวกเขาถามพระองค์ว่า “พระองค์ทรงเป็นผู้ที่คาดว่าจะมานั้นหรือไม่พระเจ้าข้า หรือเราควรรอคอยผู้อื่น?”
4  พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “จงกลับไปรายงานท่านยอห์นถึงสิ่งที่เจ้าได้ยินและได้เห็น
5 คนตาบอดเห็นได้ คนง่อยเดินได้ และคนโรคเรื้อนรับการรักษาให้สะอาด คนหูหนวกกลับได้ยิน คนตายฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา และข่าวประเสริฐก็ได้ประกาศให้กับคนยากจน (นี่เป็นข้อพิสูจน์ถึงสิทธิอำนาจของพระเยซู)
(อิสยาห์  29:18-19; 35:5-6; 61:1-2)
 6 คนที่ไม่สะดุดจากความเชื่อเพราะเราก็เป็นสุข”
7 ขณะที่ศิษย์ของยอห์นกำลังจากไป พระเยซูทรงพูดถึง
ยอห์นว่า “พวกเจ้าออกไปดูอะไรในถิ่นกันดารหรือ? 
ดูต้นอ้อลู่ลมหรือ?
 8 เจ้าออกไปดูอะไรกันเล่า? ชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อราคาแพงอย่างนั้นหรือ? ไม่สิ คนที่สวมเสื้อราคาแพงก็อยู่ในราชวัง
 9 ถ้าอย่างนั้นเจ้าออกไปทำไม? เพื่อไปดูผู้เผยพระดำรัสอย่างนั้นใช่ไหม? ใช่แล้ว เราขอบอกเจ้าว่า ท่านยอห์นเป็นยิ่งกว่าผู้เผยพระดำรัส
10 มีข้อเขียนถึงท่านว่า ‘ดูสิ เราจะส่งผู้สื่อสารของเรามาก่อนหน้าท่าน เขาจะเตรียมทางไว้ล่วงหน้า’ (มาลาคี 3:1; 4:5-6)


11 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า ท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมานั้นยิ่งใหญ่กว่าใคร ๆ ที่เกิดมาจากสตรี  แต่คนที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังยิ่งใหญ่กว่าท่าน  
12 ตั้งแต่สมัยท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาจนถึงวันนี้ แผ่นดินสวรรค์กำลังดำเนินไปอย่างเข้มแข็ง (หรือถูกโจมตีอย่างรุนแรง) และมีคนที่ใช้ความรุนแรงพยายามที่เข้ายึดแผ่นดินนั้น 11:12 หรืออาณาจักรสวรรค์กำลังรุดหน้าไปอย่างแข็งขัน และผู้ที่แข็งขันก็ฉวยไว้ได้
13 เพราะหนังสือของผู้เผยพระดำรัส และบัญญัติของโมเสสได้กล่าวถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นจนกระทั่งท่านยอห์นเข้ามา
14 และหากเจ้าจะเชื่อสิ่งที่พวกเขากล่าว เจ้าก็จะเชื่อว่าท่านยอห์นนี่แหละคือเอลียาห์ที่พวกเขากล่าวว่าจะมา
 15 คนใดมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด

คำเปรียบเรื่องความเห็นของคน
16 “เราจะเปรียบเทียบคนในเวลาช่วงนี้กับสิ่งใดดี? พวกเขาเป็นเหมือนอะไรหรือ? พวกเขาเป็นเหมือนเด็ก ๆ ที่นั่งในตลาด และร้องบอกกันและกันว่า
 17 เราเล่นดนตรีให้ แต่พวกเธอก็ไม่เต้นรำ  เราร้องเพลงเศร้า พวกเธอก็ไม่โศกเศร้า
18 เพราะท่านยอห์นมา และไม่กินดื่มเหมือนคนอื่น ๆ  ผู้คนก็ว่าท่านมีผีสิง
19  พอบุตรมนุษย์มา ทั้งกินและดื่ม พวกเขาก็ว่า ‘ดูสิ เป็นคนตะกละด้วย เป็นคนขี้เมาด้วย และยังคบหากับคนเก็บภาษีและคนบาป  แต่การทำเช่นนี้ พระปัญญาก็พิสูจน์ว่านี่เป็นทางที่ถูกต้อง’ 

พระเยซูทรงเตือนคนที่ไม่กลับใจ
20  แล้วพระเยซูทรงเริ่มกล่าวโทษเมืองต่าง ๆที่ทรงทำการอัศจรรย์ส่วนใหญ่ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมกลับใจ  ไม่หยุดทำบาป
 21 พระองค์ตรัสว่า “วิบัติแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติแก่เจ้าเมืองเบธไซดา  หากการอัศจรรย์ทั้งหลายที่เราได้ทำต่อเจ้าเกิดขึ้นในเมืองไทระ และเมืองไซดอน พวกเขาคงจะกลับใจนานแล้ว พวกเขาคงจะนุ่งห่มผ้ากระสอบ และนั่งปาขี้เถ้าใส่ตัวเองเพื่อบอกว่า พวกเขากลับใจ
 22 แต่เราขอบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษา  โทษของเมืองไทระ และไซดอนจะเบากว่าโทษของเจ้า
23 และเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้าจะถูกยกขึ้นถึงฟ้าสวรรค์หรือ ไม่เลย .. เจ้าจะต้องลงไปในแดนคนตาย หากการอัศจรรย์ที่เราทำในเมืองของเจ้า ได้ทำที่เมืองโสโดม เมืองนั้นคงได้อยู่จนถึงวันนี้ 


24 เราขอบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษาโทษของเมืองโสโดมจะเบากว่าโทษของเจ้า 

ระเยซูประทาน
การบรรเทาจากความเหนื่อยล้า

25 ในเวลานั้น พระเยซูตรัสว่า “โอ พระบิดาผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลก ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงซ่อนสิ่งเหล่านี้จากคนที่ฉลาด มีปัญญา  แต่พระองค์ทรงเปิดเผยให้กับเหล่าเด็กเล็ก 

26 ใช่แล้ว พระบิดาเจ้าข้า
เพราะพระองค์ทรงพอพระทัยเช่นนั้น!

27  พระบิดาของเราทรงมอบสิ่งทั้งปวงนี้ให้แก่เรา ไม่มีใครรู้จักพระบุตรนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร   และ คนที่พระบุตรทรงเลือกที่จะเปิดเผยให้รู้ถึงพระองค์   

28 “คนใดที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา  และเราจะให้เจ้าได้พักสงบ
29 จงรับแอกของเราไว้ (คำสอนของเรา) และเรียนจากเรา เพราะว่าเราอ่อนสุภาพ และใจถ่อม  และเจ้าจะได้รับการพักผ่อนสำหรับชีวิตของเจ้า  (เยเรมีย์ 6:6)
30 เพราะแอกของเรานั้นพอเหมาะ และภาระของเราก็เบา 

อธิบายเพิ่มเติม

พระเยซูกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา
11:1-3 ขณะที่พระเยซูทรงไปตามเมืองต่าง ๆ ในกาลิลีเพื่อสอน และเทศนานั้น เหล่าศิษย์ก็เดินทางไปในกาลิลีเช่นกัน   แสดงว่า ตอนนี้อาณาจักรของพระเจ้าถูกประกาศออกไปอย่างเข้มข้น  ผู้คนได้ยินคำที่เชิญให้กลับใจใหม่ และเวลานั้นเอง ยอห์นซึ่งถูกเฮโรดจำจองไว้ (น่าจะอยู่ในเยรูซาเล็ม)   ก็ได้ข่าวเรื่องพระเยซูจากหลาย ๆ คน  ยอห์นจึงส่งศิษย์มาถามพระเยซูตรง ๆ  ว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ใช่หรือไม่ หรือจะต้องรออีก ทั้ง ๆ ที่ยอห์นเองได้ประกาศว่า พระเมสสิยาห์จะเป็นผู้ที่นำไฟมาเผาผลาญ แต่เมื่อได้ยินข่าวว่าทรงแค่สอน เทศนา รักษาโรค  เขาก็เกิดลังเล

11:4-6  พระเยซูทรงเข้าใจเขาดี และสั่งให้ศิษย์รายงานทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงกับที่มีพระดำรัสผ่านอิสยาห์   (อิสยาห์  29:18-19; 35:5-6; 61:1-2)  และคำตรัสที่ว่า “คนที่ไม่สะดุดจากความเชื่อเพราะเราก็เป็นสุข”  พระองค์ทรงอวยพระพรยอห์นที่ยังคงยืนหยัดในความเชื่อแม้กำลังถูกคุมขัง กำลังทนทุกข์

11:7-8  คำว่า “ต้นอ้อลู่ลม” หมายถึงคนที่มีความคิดเห็นความเชื่อ โอนเอนไปตามความคิดของสังคม หรือตามคำชักชวนของคนอื่น (ดูตัวอย่าง 1 พงศ์กษัตริย์ 13:11-24) และยอห์นไม่ได้หลงตามความคิดหรือพูดในสิ่งที่เฮโรดอยากจะฟัง เขาพูดพระดำรัสของพระเจ้าแก่เฮโรด ซึ่งทำให้เขาต้องถูกจำจอง

11:9  พระเยซูทรงให้เกียรติยอห์นเป็นอย่างยิ่ง  พระเยซูตรัสเพิ่มเติมว่า ท่านเป็นผู้สื่อสารจากพระเจ้ามาเตรียมทางล่วงหน้า  มาเตรียมใจให้ผู้คนได้รับพระเยซูคริสต์ ( อิสยาห์ 40:3 )

11:10 อย่าลืมว่า พระเจ้าไม่ได้ตรัสผ่านผู้เผยพระดำรัสอย่างยอห์นนี้มานานถึง 400 ปี ผู้คนจึงตื่นเต้นที่จะได้ยินคนที่เป็นเหมือนเอลียาห์  พระเยซูตรัสชัดเจนว่า ยอห์นเป็นคนที่มาลาคีกล่าวถึง

11:11 และที่ยอห์นยิ่งใหญ่กว่าใคร ๆ ในโลกเป็นเพราะเขาเป็นผู้เตรียมทางให้พระบุตรของพระเจ้าที่เสด็จมา เขาเป็นคนที่ผู้เผยพระดำรัสกล่าวถึง เป็นผู้เผยพระดำรัสคนเดียวที่ได้รับเกียรตินี้ ยอห์นเป็นคนที่ชี้ให้คนอื่นได้เห็นว่า พระเยซูคือใคร.. (ยอห์น 1:19; 26-27; 3:25-30)
เป็นคนเดียวที่เข้าใจว่า พระเยซูองค์นี้ เป็นพระเมสสิยาห์แท้

David Guzig จาก EnduringWordให้ความเห็นว่า ยอห์นเป็นคนในยุคพันธสัญญาเดิม เขาสิ้นชีวิตก่อนการสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ของพระเยซู (พันธสัญญาใหม่) เขาจึงไม่ได้รับผลประโยชน์ดี ๆ จาก พันธสัญญาใหม่ (พระเยซูตรัสถึงโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ใน 1 โครินธ์ 11:25 และพันธสัญญาใหม่นั้น ไม่มีข้อบกพร่องเหมือนพันธสัญญาเดิม อ่านฮีบรู 8:6-13) ส่วน Spurgeon ได้สรุปให้ว่า แม้ยอห์นเป็นคนที่ใหญ่สุดใต้พันธสัญญาเดิม แต่ก็กลายเป็นคนที่เล็กน้อยที่สุดใต้พันธสัญญาใหม่
นั่นคือ คนที่เล็กน้อยที่สุดใต้ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ยังมีฐานะเหนือคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดภายใต้กฎบัญัติ!


สงครามที่ยึดเยื้อ
11:12  ข้อนี้มีความหมายได้ว่า  ผู้ที่จะเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ได้ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก นั่นคือ แผ่นดินของพระเจ้ากำลังก้าวหน้าอย่างเข้มแข็ง แต่ยังมีอุปสรรคอีกมากมายขวางอยู่     การที่มีคนต่อต้านพระเยซูมากนั้น บอกให้รู้ว่า อย่างไร แผ่นดินสวรรค์ก็ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงอยู่แล้ว (ซึ่งก็เกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัยมาจนปัจจุบัน) เราจึงพบคนที่ถูกต่อต้านจากครอบครัว สังคมที่เขาอยู่ หรือจากมารโดยตรงเมื่อเขาเข้ามาหาพระเจ้า  
ในยุคของพระเยซูนั้น การต่อต้าน ความรุนแรงที่เห็นชัดคือ ยอห์นถูกจำจองและถูกฆ่า พระเยซูถูกจับและประหาร

11:13-15 แผ่นดินสวรรค์มีศัตรูอยู่มาตั้งแต่ต้น แต่เมื่อแผ่นดินสวรรค์จะเข้ามาตั้งในโลกนี้ โดยมีพระบุตรของพระเจ้าเป็นผู้ครอง ศัตรูก็โกรธจัด ไม่ยอม  ถ้าเรามองดูในประวัติศาสตร์อิสราเอล ก็จะเห็นว่า มีการต่อสู้ระหว่างสองแผ่นดินแห่งความสว่างและความมืดมาโดยตลอด    มีการพยากรณ์ถึงท่านยอห์นมาก่อนเช่น อิสยาห์  40:3  มาลาคี  3:1​​  ส่วน มาลาคี 4:5-6  พระเจ้าจะทรงส่งคนอย่างเอลียาห์มาก่อนวันของพระเจ้า พระเยซูทรงย้ำว่า ยอห์นเป็นคนที่ผู้เผยพระดำรัสทั้งหลายได้กล่าวถึงในชื่อของเอลียาห์ 

11:15.  เป็นข้อความที่บอกให้รู้ว่า สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นสำคัญมาก

คำเปรียบเรื่องความเห็นของคน
11:16-17  คนในยุคนี้ คือ เหล่าคนยิวที่พระเยซูทรงประกาศแผ่นดินของพระเจ้าให้ฟังแต่ไม่ยอมรับพระองค์   พระองค์ทรงใช้ปฏิกริยาของเด็ก ๆ ที่เล่นดนตรีสนุกสนาน หรือร้องเพลงเศร้า แต่ก็ไม่มีใครตอบสนองต่อสิ่งนั้น  เมื่อพระเยซูตรัสสิ่งใดก็น่าจะมีปฏิกริยาตอบโต้มาในทางที่ดีบ้าง แต่พวกเขาไม่ยอมรับพระเยซูเลย  แถมยังจับผิดทุกเรื่อง  พวกเขาคิดว่าผู้ที่เป็นพระเมสสิยาห์ต้องอยู่ในกรอบที่เขาวางไว้  แผ่นดินสวรรค์ของพวกเขาแตกต่างจากที่พระองค์ทรงสอน
 
11:18-19 ยอห์นถูกกล่าวหาว่า เป็นคนผีสิงเพราะทำตัวแปลกไปจากคนอื่น  แต่พระเยซูกลับถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขี้เมา คบคนบาป ตะกละ  … ทั้งยอห์นและพระเยซูไม่ได้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าแบบที่พวกเขาต้องการ  แต่พระปัญญา(คือพระเจ้าเอง)ทรงพอพระทัยกับชีวิตของทั้งยอห์นและพระเยซู

พระเยซูทรงเตือนคนที่ไม่กลับใจ
11:20   พระเยซูทรงไปที่เมืองหลายแห่ง และทรงทำการอัศจรรย์ รักษาโรคให้ประชาชน มีบางเมืองนั้นกลับใจ เมืองในสะมาเรียที่พระเยซูทรงนั่งริมบ่อน้ำก็กลับใจทั้งที่พระองค์ไม่ได้ทำการอัศจรรย์เลย  แต่คนในเมืองโคราซิน เบธไซดา ไม่ได้กลับใจทั้งที่เห็นการอัศจรรย์หลายอย่าง  พวกเขาไม่ได้ต่อสู้พระองค์ เพียงแต่ไม่เชื่อ ไม่ยอมกลับใจจากบาป นี่ก็เป็นเหตุให้พระเยซูทรงพิโรธ 

11:21-22  พระเยซูทรงใช้คำว่าวิบัติ แก่พวกเขา ความหมายคือทั้งทรงกล่าวโทษ ทั้งทรงสมเพชพวกเขา  คำว่าวิบัตินี้ ใช้ในพระคัมภีร์เดิมหลายต่อหลายครั้ง   เมืองทั้งสองอยู่ทางเหนือของอิสราเอล  ส่วนไทระและไซดอนอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางเหนือเช่นเดียวกัน 
พระเจ้าทรงทราบว่า หากมีการประกาศในเมืองไทระและไซดอนนี้ พวกเขาก็จะกลับใจเหมือนกับตอนที่นีนะเวห์กลับใจเพราะการประกาศของโยนาห์  การที่พวกเขาซึ่งเป็นยิว ได้รับการเยี่ยมเยียนจากพระเจ้า แต่ไม่เกิดการกลับใจนี้เป็นสิ่งที่น่าเสียดายเป็นที่สุด  ที่น่าสังเกตคือ เราจะเห็นจากคำตรัสของพระเยซูตอนนี้ชัดว่า  ในการพิพากษานั้น มีระดับของการลงโทษด้วย!

11:25-26 สิ่งที่น่าแปลก ที่แตกต่างจากความคิดของคนทั้งโลกคือ พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองกับเด็กเล็ก ในที่นี้คือคนที่ถ่อมตน คนที่ยอมสยบต่อพระองค์  พระดำริของพระเจ้า พระกิตติคุณถูกปิดบังไว้จากคนที่เก่งด้วยเอง ฉลาดในสายตาของตนเอง   คนที่คิดว่าตัวเองดี เป็นคนใจบุญ เมตตา  มีทรัพย์มาก  เป็นคนไม่ต้องการความช่วยเหลือ  คนที่มีศีลธรรมของตนเอง มันเป็นความเย่อหยิ่งที่ซ่อนไว้ใต้ความรู้สักว่าตัวเองเป็นคนดี คนเหล่านี้มีความดีของตัวเองเป็นม่านบังตา   ไม่ให้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
คนที่รู้ตัวว่าเดินทางผิด  รู้ตัวว่าต้องมีผู้ช่วยเหลือ คน ๆ นั้นจะได้พบพระเจ้าง่ายกว่าคนที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นคนดี
ในพระคัมภีร์บอกชัดเจนว่า ความเย่อหยิ่งยโส มาก่อนการล้มลง  คนที่จะมาหาพระเจ้าได้นั้น ต้องถ่อมใจลงก่อน  ยอมกับพระองค์ แล้วจะได้รับสิ่งประเสริฐ ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้มากมาย 

11:27 พระเจ้าทรงมอบสิ่งทั้งปวงให้พระเยซูแล้ว  พระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งจักรวาล
ถึงตรงนี้ อย่างพวกเราจะทราบไหมว่า พระเจ้าประทานอะไรให้พระเยซูบ้าง… เรื่องนี้เกินความเข้าใจ  อาจรู้บ้างอย่างที่พระเยซูตรัสในมัทธิว 28 ว่า ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในโลกและสวรรค์ทรงมอบให้พระองค์แล้ว   พระองค์ยังทรงเป็นพระผู้เลี้ยง ทรงเป็นน้ำและอาหารแห่งชีวิต  ทรงเป็นทางเดียวที่จะไปหาพระบิดาได้ ทรงเป็นความจริง ทรงเป็นองค์อิมมานูเอล พระเจ้าที่สถิตกับเรา พระองค์ยังทรงเป็นอะไรอีกหลายอย่างมากมาย เราต้องค้นดู แล้วจะรู้ว่า … ทรงเป็นทุกสิ่งของชีวิตเราจริง ๆ 

11:28-30  แล้วคนที่พระเจ้าทรงเลือกที่จะเปิดเผยให้รู้จักพระองค์ คือคนที่เหน็ดเหนื่อย แบกภาระหนัก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องใดก็ตาม  เราต่างมีภาระหนักในชีวิตที่แตกต่างกัน พระเจ้าไม่ได้ทรงบอกให้เราไปสู้ วิ่งไปแถวหน้า แต่ทรงชวนให้มาหาและพักสงบในพระองค์ก่อน   จะมีใครเห็นใจคนที่เหน็ดเหนื่อย แบกภาระหนักอย่างไรพระองค์?
พระองค์ไม่ได้เชิญคนที่รู้สึก มีคุณค่าในตัวเอง แต่ทรงเชิญคนที่มีความรู้สึกตรงกันข้าม
โลกเราไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการพัก มีแต่การพุ่งไปข้างหน้า รีบด่วน อยู่ตลอดเวลา แต่แล้วพระเยซูกลับชวนให้คนได้เข้ามาพัก รับแอกของพระองค์ เรียนจากพระองค์ นี่หมายความว่าอย่างไร  นี่คือการหันเข้ามาหาพระองค์เหมือนอย่างเด็ก ๆ เข้ามาเรียนรู้จากพระองค์  พัก รับแอกจากพระองค์ เป็นการรับแอกที่มีพระองค์ช่วยแบก ไม่ต้องแบกคนเดียว 
แล้วเราก็มาพบว่า พระเยซูทรงบอกว่าทรงอ่อนโยนและถ่อมสุภาพในพระทัยของพระองค์  ผู้คนที่เข้ามาหาพระองค์ จึงไม่ได้เจอเจ้านายที่โหดร้าย ให้เราทำสิ่งที่เกินตัวแต่มาหาพระองค์ผู้ทรงปลอบใจ
ทรงย้ำเตือนว่า แอกที่พระองค์ทรงเสนอให้แบกนั้นเป็นแอกที่ง่าย และเบา (ทั้ง ๆ ที่การติดตามพระองค์อาจจะยากกว่าที่คิด) แต่เราคิดดูว่า แอกที่ศาสนาทั้งหลายโถมทับมาให้มนุษย์นั้นยากกว่ามากมาย ตัวอย่าง.. การหลุดพ้นจากบาปนั้น ก็ไม่แน่นอนด้วยว่า ทำไปแล้วจะได้ผลอย่างที่คิดหรือเปล่า  ต้องทำสารพัดอย่างเพื่อให้เป็นคนดี  ต้องทำตามพิธีกรรมต่าง ๆ  ต้องเชื่อฟังผู้นำที่เราไม่รู้เลยว่า จริง ๆ แล้วเขาเป็นตัวปลอมหรือตัวจริง

คนใดที่อยู่ในพระคริสต์ พระองค์ทรงสร้างเขาขึ้นใหม่ (2 โครินธ์  5:17-18) เขาจะได้รับรักมั่นคงใหม่ทุกเวลาเช้า (เพลงคร่ำครวญ  3:22-23)  สิ่งที่เราทำได้คือ เข้ามาใกล้พระองค์มากขึ้นทุกวัน  ทุกคนที่เข้ามาใกล้พระองค์จะไม่ถูกสลัดออกไป (ยอห์น  6:37)


พระคำเชื่อมโยง

มัทธิว 11
1* ลูกา 23:5
2* ลูกา 7:18-35; มัทธิว 4:12; 14:3
3* ยอห์น 6:14
5* อิสยาห์ 29:18
7* ลูกา 7:24; เอเฟซัส 4:14
9* ลูกา 1:76; 20:6
10* มาลาคี 3:1

12* ลูกา 16:16
13* มาลาคี 4:4-6
14* ลูกา 1:17
15* ลูกา 8:8
16* ลูกา 7:31
19* มัทธิว 9:10; ลูกา 7:35
20* ลูกา 10:13-15, 18
21* ยอห์น 3:6-8

22* มัทธิว 10:15; 11:24
23* อิสยาห์ 14:13
24* มัทธิว 10:15
25* ลูกา 10:21-22; สดุดี 8:2 ; มัทธิว 16:17
27* มัทธิว 28:18; ยอห์น 10:15
28* ยอห์น 6:35-37
29* ฟีลิปปี 2:5; เศคาริยาห์ 9:9; เยเรมีย์ 6:16
30* 1 ยอห์น 5:3

มัทธิว 10 ทรงส่งศิษย์ออกไป

พระเยซูทรงส่งศิษย์ใกล้ชิด(อัครทูต) ออกไป 

1 พระเยซูทรงเรียกศิษย์ทั้งสิบสองคนของพระองค์มาและประทานสิทธิอำนาจให้พวกเขาไล่วิญญาณชั่วและรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่าง
2 ศิษย์ที่เป็นอัครทูตทั้งสิบสองคนคือ คนแรก ซีโมน​มีอีกชื่อว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบลูกชายของเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขา
3 ฟีลิปและบารโธโลมิว โธมัส และมัทธิวผู้เป็นคนเก็บภาษี ยากอบลูกชายอัลเฟอัส และธัดเดอัส
 4 ซีโมนพรรคชาตินิยมและยูดาส อิสคาริโอทผู้ที่ทรยศพระเยซู

พระเยซูทรงกำชับวิธีการออกไป
5 พระเยซูทรงส่งทั้งสิบสองคนโดยทรงสั่งว่า “อย่าเข้าไปในเขตแดนของคนต่างชาติ หรือในเมืองที่มีชาวสะมาเรียอยู่

6 แต่จงไปหาแกะหลงหายของอิสราเอล
7 เมื่อพวกเจ้าไป จงประกาศว่า ‘แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว’
8 จงรักษาคนป่วย ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมา จงรักษาคนโรคเรื้อน ขับผีออกจากคน  เจ้าได้รับอำนาจนี้มาเปล่า ๆ ก็จงให้โดยไม่คิดราคา


 
9 อย่าพกเงิน ทองคำ แร่เงิน หรือแร่ทองแดงไปกับตัวเจ้า
 10 อย่าเอาย่าม หรือเสื้ออีกตัว หรือรองเท้า หรือไม้เท้าเดินทางไปด้วย เพราะคนทำงานก็ควรได้รับการสนับสนุนตอบแทน
 11 “เมื่อเจ้าเข้าไปยังเมืองหรือหมู่บ้านใด จงหาคนที่เหมาะเพื่อว่าเจ้าจะพักที่บ้านของเขาจนกว่าจะออกจากเมืองไป     
12 เมื่อเจ้าเข้าไปในบ้านใด
ก็ขอให้พระพรแห่งสันติสุขอยู่กับบ้านนั้น 
13 หากคนในบ้านนั้นต้อนรับเจ้า ก็ขอให้สันติสุขของท่านดำรงในบ้านนั้น แต่หาไม่แล้ว จงให้สันติสุขคืนมาสู่เจ้าเอง

เมื่อเขาไม่ต้อนรับ
14 และหากบ้านใดเมืองใดไม่ยอมต้อนรับเจ้าหรือฟังคำของเจ้า ก็จงละจากที่นั่นไป และสะบัดฝุ่นออกจากเท้าของเจ้าเมื่อออกจากสถานที่นั้น (เป็นการแสดงเตือนถึงการพิพากษา)

15 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า ในวันพิพากษา โทษของเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ยังเบากว่าเมืองนั้น  
16 “ฟังนะ เราส่งเจ้าออกไปเหมือนแกะท่ามกลางฝูงสุนัขป่า ดังนั้นจงฉลาดเหมือนงู และไม่มีภัยอย่างนกพิราบ 

พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
17 จงระวังเหล่าคนที่จะจับเจ้าและนำเจ้าไปขึ้นศาล และโบยเจ้าในศาลาธรรมของพวกเขา
18 เป็นเพราะเรา พวกเจ้าจะต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าผู้ว่าราชการ และเหล่ากษัตริย์ เพื่อเป็นพยานแก่ทั้งเขาและคนต่างชาติ
 
19 เมื่อเจ้าถูกจับ อย่ากังวลว่าจะพูดอะไร หรือพูดอย่างไร  เวลานั้น พระเจ้าจะประทานสิ่งที่เจ้าควรพูดให้ 
20  เพราะไม่ใช่เจ้าที่กำลังพูด แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระบิดาของเจ้าที่ตรัสผ่านเจ้า



ศิษย์ไม่เหนือกว่าครู
21 พี่น้องจะทรยศกันถึงชีวิต เขาจะส่งพี่น้องสู่ความตาย และพ่อก็จะมอบลูก และลูก ๆ ก็จะต่อต้านพ่อแม่ของตน ทำให้พวกเขาถึงแก่ความตาย
22 คนทั้งหลายจะเกลียดชังเจ้าเพราะเจ้าติดตามเรา แต่คนที่ยืนหยัดในความเชื่อจนถึงที่สุดจะรอด
23 เมื่อเจ้าถูกข่มเหงในเมืองหนึ่ง ก็จงหนีไปอีกเมือง
เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า ก่อนที่เจ้าจะไปทั่วทุกเมืองในอิสราเอล บุตรมนุษย์ก็จะเสด็จมาแล้ว (ดาเนียล 7:13-14) 
 24 “ลูกศิษย์จะไม่เหนือกว่าครูของเขา และทาสจะไม่เหนือนายของเขา
25 แค่ศิษย์เป็นเหมือนครู และทาสเป็นเหมือนนายก็น่าพอใจแล้ว  หากหัวหน้าครอบครัวถูกเรียกว่า เบเอลเซบูล (ชื่อของซาตานอีกชื่อ)  เขาจะเรียกคนในครัวเรือนนั้นหนักยิ่งกว่าสักเท่าใด
 


26 “ดังนั้น อย่าไปกลัวพวกเขา เพราะทุกอย่างที่ถูกปิดซ่อนไว้จะได้รับการเปิดเผย ทุกสิ่งที่เป็นความลับซ่อนอยู่ จะถูกเปิดให้เห็นประจักษ์ 

อย่ากลัวคน จงกลัวพระเจ้า
27 สิ่งใดที่เราบอกแก่เจ้าในที่มืด แต่เจ้าจะต้องบอกออกไปในที่แจ้ง สิ่งที่เจ้าได้ยินกระซิบข้างหู เจ้าจะต้องตะโกนประกาศจากหลังคาบ้าน
28 อย่ากลัวคนที่ฆ่าได้แต่ร่างกาย แต่ไม่อาจฆ่าจิตวิญญาณ ผู้เดียวที่เจ้าควรกลัวคือ พระองค์ผู้ทรงทำลายได้ทั้งจิตวิญญาณและร่างกายในนรก
  29 นกกระจอกนั้นเขาขายกันสองตัวบาทเดียวไม่ใช่หรือ  ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีสักตัวเดียวที่จะตายตกลงมาบนพื้นโดยพระบิดาของพวกเจ้าไม่ทรงอนุญาต
30 พระเจ้ายังทรงรู้ว่า บนศีรษะของเจ้ามีเส้นผมจำนวนเท่าไร  31 ดังนั้น อย่ากลัวไป เพราะเจ้ามีค่ายิ่งกว่านกกระจอกหลายตัว  

การยอมรับพระเจ้าต่อหน้าผู้อื่น
32 “คนใดที่ยอมรับเราต่อหน้าคนอื่น  เราก็จะยอมรับเขาต่อพระพักตร์พระบิดาของเราในสวรรค์
 33 แต่คนใดที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่ยอมรับเขาต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์เช่นกัน 

ความแตกแยกในครอบครัวเพราะพระเยซู
34 “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติสุขมาสู่โลก เราไม่ได้นำสันติสุขมา แต่นำดาบมา
 35 เรามาเพื่อที่จะทำให้ลูกชายต่อต้านพ่อ ลูกสาวต่อต้านแม่ ลูกสะใภ้ต่อต้านแม่สามี 
36  ศัตรูของคน ๆ หนึ่งก็คือ คนในครอบครัวของเขาเอง 

การเป็นศิษย์ของพระเยซู
37 “คนใดที่รักพ่อหรือแม่มากยิ่งกว่ารักเรา
ไม่สมควรที่จะติดตามเรา  คนใดที่รักลูกชายหรือลูกสาวมากกว่ารักเรา ก็ไม่สมควรที่จะติดตามเรา

 38 คนใดที่ไม่เต็มใจรับกางเขน
และติดตามเรามาก็ไม่คู่ควรกับเรา
 39 คนที่พยายามรักษาชีวิตของตนจะสูญเสียชีวิตนั้นไป แต่คนใดที่เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราจะรักษาชีวิตแท้จริงนั้นไว้


การต้อนรับคนของพระเจ้า
40 ใครก็ตามที่ตอบรับเจ้าก็รับเราด้วย 
และผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา
41 ใครก็ตามที่ตอบรับผู้เผยพระดำรัส
เพราะเขาเป็นผู้เผยพระดำรัส
ก็จะได้รับรางวัลอย่างที่ผู้เผยพระดำรัสพึงได้รับ 
และใครก็ตามที่รับคนเที่ยงธรรม
เพราะเขาเป็นคนเที่ยงธรรม
ก็จะได้รับบำเหน็จอย่างคนเที่ยงธรรม
42 คนใดที่ให้น้ำเย็นสักแก้วแก่คนเล็กน้อย
เพราะเขาเป็นคนของเรา

จะไม่ขาดรางวัลของเขาเลย

อธิบายเพิ่มเติม

พระเยซูทรงส่งศิษย์ใกล้ชิด(อัครทูต) ออกไป 
10:1 เมื่อพระเยซูทรงเรียกศิษย์สิบสองคนที่ใกล้ชิดมา เป็นคนที่จะอยู่กับพระองค์ จะเห็นการทำงาน การสอน การรักษาโรคของพระองค์ และ พระองค์ทรงให้อำนาจการไล่ผี การรักษาโรคให้พวกเขาด้วยอย่างที่ไม่ได้หวงอำนาจเหล่านั้นไว้เลย พวกเขาไม่ได้ทราบว่า ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในจักรวาลเป็นของพระเยซูคริสต์ .. แต่ต่อไปนี้ พวกเขาจะต้องใช้ฤทธิ์เดชนั้นอย่างพระอาจารย์ของพวกเขา

10:2-4 เราจะเห็นว่า ในบรรดาศิษย์สิบสองคนนี้ มีพี่น้องอยู่สองคู่คือ ซีโมนกับอันดรูว์ ยากอบกับยอห์น ที่เหลืออีกแปดคนนั้นมาจากคนละครอบครัว และยังมีคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรู้ว่าจะทรยศพระองค์ แต่ก็ทรงเลือกเขาไว้ด้วย
ศิษย์ทั้งสิบสองคน มีอาชีพเดิมต่างกัน ทั้งเป็นชาวประมง คนเก็บภาษี คนที่สนใจการเมืองอย่างซีโมน พระองค์ทรงให้คนต่างมุมมองมาเป็นศิษย์และให้พวกเขาทำงานด้วยกัน และแบบอย่างนี้ก็ส่งต่อลงมายังพระกายของพระคริสต์คือคริสตจักรด้วย … ผู้คนที่แตกต่าง มารักพระเจ้าองค์เดียวกัน มาเป็นพี่น้อง มานมัสการและทำงานรับใช้พระเจ้าด้วยกัน

10:5-8 พระเยซูทรงกำชับวิธีการออกไป
ผู้ที่เป็นคนสำคัญในพันธกิจครั้งนี้ของศิษย์คือ คนอิสราเอลที่หลงไปจากทางของพระเจ้า เป็นคนที่พระเยซูทรงสงสารเพราะพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง (มัทธิว 9:35-38 ; เยเรมีย์ 50:6 )
พระองค์ทรงสอนให้พวกเขาอธิษฐานต่อพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของนาให้ส่งคนของพระองค์ออกไป และเวลานี้ พระเยซูก็ทรงส่งคนออกไปอย่างที่ได้อธิษฐาน แต่พระเยซูทรงห้ามไม่ให้เข้าไปในเมืองที่มีชาวสะมาเรีย นับได้ว่าเป็นครั้งเดียวที่มัทธิวกล่าวคำว่า สะมาเรีย!
พระองค์ทรงให้ทั้งประกาศ รักษาคนป่วยทั่วไปและโรคเรื้อน ทำให้คนฟื้นจากตาย รวมถึงขับผี ซึ่งเป็นการสู้กับโลกวิญญาณโดยตรง ​….​

10:9-10 ทอง เงิน ทองแดง ต่างมีค่าที่จะใช้ซื้อของได้ แต่พระเยซูไม่ให้พวกเขาเตรียมสิ่งเหล่านั้นไป พระองค์ทรงวางกฎไว้ชัดเจนว่า คนที่ทำงานจะต้องได้รับการสนับสนุนจากคนท้องถิ่นที่เขาไปรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายหรือที่พัก เมื่อพักบ้านใดก็ให้พรแก่บ้านนั้น (ลูกา 10:5) คำว่าย่ามนั้นมีความหมายได้สองอย่างคือย่ามเดินทาง กับย่ามขอทาน เสื้ออีกตัวเพื่อที่จะใส่สลับกัน รองเท้า ไม้เดินทาง (ก็เพื่อเอาไว้ป้องกันตัวจากสัตว์ร้ายหรือโจรที่ซุ่มตามทาง) พระเยซูจะให้เขาไปด้วยการพึ่งพระเจ้าเต็มที่

10:11-13 ในแต่ละเมืองพวกเขาจะต้องพักในบ้านของคนที่ยินดีต้อนรับ และให้อยู่ที่นั่นที่เดียว ไม่ให้ทำเหมือนกับพวกนักบุญสัญจรที่มีอยู่ระบาดในสมัยนั้น พวกเขาจะไปหลายบ้านเพื่อเอาย่ามไปขอทาน


10:14-15 เมื่อเขาไม่ต้อนรับ
การที่บ้านเมืองใดไม่ต้อนรับพระวจนะของพระเจ้านั้น แสดงว่าพวกเขาต่อต้านพระองค์ เราจะเห็นประเทศมากมายที่ห้ามการประกาศ ห้ามมีพระคัมภีร์ และจะจับผู้เชื่อจำคุกจนกว่าจะปฏิเสธพระนาม ที่พระเจ้าตรัสว่า โทษของโสโดม โกโมราห์ยังเบากว่า …​เราเชื่อได้ เพราะเห็นจากประเทศที่ต่อต้านพระเจ้า ดูตัวอย่างจาก https://www.opendoorsus.org/en-US/stories/10-most-dangerous-places-Christian/

10:16-17 พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
ข้อความตอนนี้ พระเยซูทรงเปรียบศิษย์เป็นแกะที่ออกไปอยู่ท่ามกลางสุนัขป่า ซึ่งมีความหมายถึงความรุนแรง การถูกโจมตี ถูกข่มเหง คนของพระเจ้าอ่อนแอกว่าสุนัขป่าก็จริง แต่เจ้าของแกะนั้นก็ยิ่งใหญ่กว่าสุนัขป่า
พระองค์ทรงสอนให้พวกเขาฉลาดแต่ไม่มีอันตรายต่อคนอื่น โดยเปรียบกับงูที่มีความฉลาด ตื่นตัว รู้ตัวเสมอ คอยระวังตัว ส่วนนกพิราบมีความหมายถึงความบริสุทธิ์ ซื่อตรง อ่อนโยน สันติ และไม่มีภัยต่อผู้อื่น พวกเขาจะไม่ตอบสุนัขป่าด้วยวิธีการของโลก แต่ใช้อาวุธจากพระเจ้า ทั้งพระคำ การอธิษฐาน และความฉลาดเฉลียวที่พระเจ้าได้ประทานให้ รู้จักหลบหลีกสิ่งที่ควร และสู้ในสิ่งที่ต้องสู้เพื่อพระนามของพระเจ้า คนของพระเจ้าต้องมีสติปัญญา ความคิดริเริ่มเพื่อที่จะทำงานของพระองค์อย่างเกิดผล พวกเขาจะถูกจับ ถูกไต่สวน มีความเป็นศัตรูอยู่สูงในโลกข้างนอกแต่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่กับพวกเขา

10:17-18 พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
พระเยซูทรงเตือนล่วงหน้าว่า พวกเขาจะได้เจออะไรบ้าง เราไม่ทราบว่าในหมู่ศิษย์สิบสองคนนั้น มีใครค้านคำตรัสของพระองค์ในใจบ้างหรือเปล่า? จะส่งเราไป แต่เราจะเจอกับความทุกข์ยาก นี่เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงบอกล่วงหน้าให้คนของพระองค์ทราบ
การถูกโบยนั้น เป็นคำสั่งจากสภายิว พระองค์กำลังตรัสกับศิษย์ทั้งสิบสองโดยตรง แต่ก็เพื่อพวกเราด้วย
ดังนั้น คำถามเมื่อเจอความทุกข์ยาก ไม่ใช่ว่า “ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดกับฉัน?” แต่ควรจะถามว่า “พระเจ้าจะให้เราเผชิญอย่างไร อะไรเป็นยุทธวิธีของพระองค์?”
พระองค์ทรงให้เขาเห็นมุมมองใหม่ การออกไปยืนอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็เพื่อเป็นพยานทั้งแต่ยิวและต่างชาติ! นี่คือเป้าหมายของพระองค์ (ทั้ง ๆ ที่ทรงกำหนดชัดเจนแต่แรกให้ไปประกาศกับคนอิสราเอล!”)

10:19-20
ตอนนี้ พระเยซูทรงให้คำมั่นสัญญาว่า พระองค์ทรงอยู่ด้วย ในวิกฤติของชีวิต ในสถานการณ์ที่ต้องพูด สิ่งหนึ่งสำคัญคือเราจะพูดความจริง และที่สำคัญสุดคือ พระวิญญาณจะทรงอยู่ด้วย และทรงนำ ทรงทำให้เราได้พูดน้ำพระทัยของพระเจ้าออกมาต่อหน้าคนที่มุ่งร้าย

10:21-22 พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
พระคำตอนนี้ เกิดขึ้นจริงในโลก เพราะในหลาย ๆ สังคม ความเป็นพี่น้อง พ่อแม่ ญาติก็ยังไม่สำคัญเท่าอุดมการณ์ที่ถูกหว่านไว้ อย่างเช่น ลัทธิคอมมิวนิสต์ ความเกลียดชังที่รุนแรง ความเกลียดที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก ๆ อย่างในหลาย ๆ ประเทศตะวันออกกลาง ไม่แค่ในระดับชาติเท่านั้น แต่ในครอบครัวก็สร้างขึ้นมากันเองด้วย พระเยซูทรงเตือนว่า การเป็นคนติดตามพระเจ้าจะถูกเกลียดชัง เมื่อเดือนที่แล้ว พฤษภาคม 2025 คริสเตียนในซูดานใต้ ถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก ก่อนหน้านั้นก็ในคองโก โดยที่สำนักข่าวหลักมักไม่สนใจ ไม่รายงานและถ้าหนีได้ก็ให้หนี พระเจ้าทรงเปิดทางทุกอย่างไว้ให้ แต่สิ่งสำคัญที่เห็นคือ ไม่ว่าพระเยซูพบเจออะไร เราซึ่งเป็นคนของพระองค์ก็เจอได้เช่นกันที่เราแตกต่างคือ เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับในชีวิต

10:23-26 พระเจ้าไม่ได้สอนให้เราลุกฮือ แต่ให้หนี ก่อนที่จะหนีไปจนทั่ว พระเจ้าก็เสด็จมาก่อนแล้ว ยิ่งในสมัยนี้ การหนีเป็นสิ่งที่ยากมาก เราต้องหยุดจากการติดต่อทางมือถือ ทางอินเตอร์เนทอย่างสิ้นเชิง พระองค์ทรงให้กำลังใจว่า สิ่งที่พระองค์เผชิญ การเป็นศัตรู การเข่นฆ่า การพยายามเอาชีวิตที่พระองค์ต้องเผชิญนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ พระเยซูทรงสอนให้เรายืนมั่น ยืนมั่นสิ และสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้าไว้ สิ่งที่มารต้องการมากที่สุดคือ ให้เราล้มลง ให้เราทรยศพระเจ้า ดังนั้น คนที่ข่มเหงเราอาจจะเป็นคนในครอบครัว คนในท้องถิ่นเอง

10:27-31 อย่ากลัวคน จงกลัวพระเจ้า
สิ่งที่เราบอกเจ้าในที่มืด นั่นคือ สิ่งที่พระเยซูทรงสอนเป็นคำอุปมา เป็นคำที่คนทั่วไปไม่เข้าใจ มีแต่ศิษย์ของพระองค์ที่มีโอกาสถามและเข้าใจได้
อาจมีหลายสิ่งที่พวกเขาไม่อาจจะเข้าใจได้ หรือทนได้ในเวลานี้(ยอห์น 16:12)แต่เวลาต่อมาในอนาคต พวกเขาจะเข้าใจและจะได้สอนคนอื่นต่อไป
และไม่ใช่แอบสอน แต่จะประกาศให้ใคร ๆ ได้รับรู้ และเข้าใจเสียด้วย
พระเยซูทรงสอนชัดเจนตั้งแต่แรกว่า พระองค์มาเป็นที่หนึ่งก่อนครอบครัว และตรงนี้ทรงบอกว่า ไม่ต้องกลัวคนที่ฆ่าได้แค่ร่างกาย แต่ให้กลัวพระองค์ผู้ที่มีอำนาจเหนือร่างกายและจิตวิญญาณ
และพื้นฐานของความกลัวหรือความยำเกรงนี้ไม่ใช่อยู่ที่ความกลัวลาน แต่เป็นความยำเกรงพระเจ้าที่มั่นใจว่า ชีวิตของเราอยู่ในการดูแลของพระองค์ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา พระองค์ทรงทราบหมด เรายังมั่นใจว่า เรามีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ทรงยืนยันด้วยการพูดถึงจำนวนผมที่หลุดร่อน เกิดใหม่ทุกวัน พระองค์ทรงทราบจำนวน ของผมเราทุกวินาทีแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงโดยที่เราไม่รู้เลย!!
พระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าที่เป็นเจ้าแห่งจำนวนอันมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นดาวบนท้องฟ้า หรือ เซลต่าง ๆ ในร่างกายที่นับไม่ถ้วน หน้าที่ของเราคือเข้าใจพระองค์ให้ได้ว่า สิ่งที่ทรงบอกไว้ในโลกโบราณนั้น ยิ่งมีความหมายมากขึ้นในสมัยนี้ที่รู้รายละเอียด ความเป็นไปของสิ่งสารพัดทั้งที่ใหญ่โตมากและเล็กน้อยยิ่งกว่าคำว่านาโน

10:32-33 การยอมรับพระเจ้าต่อหน้าผู้อื่น
การยอมรับพระเจ้าต่อหน้าคนอื่น คือการแสดงตนว่าเป็นคนของพระเจ้า การที่เราจะเก็บพระเจ้าเงียบไว้คนเดียวนั้น อาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเราไม่ได้เป็นคนของพระองค์ ทุกอย่างในชีวิตของเราจะต้องให้การกับพระเจ้า 2 โครินธ์ 5:10

10:34-36 ความแตกแยกในครอบครัวเพราะพระเยซู
แม้พระเมสสิยาห์จะเป็นผู้นำสันติสุขมาให้ เหมือนอย่างที่บอกว่าพระองค์ทรงเป็น ซาร์ชาโลม ราชาแห่งสันติสุข แต่ผู้คนในโลกจะแยกตัวออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด พวกหนึ่งจะตามพระองค์ไป อีกพวกจะตามสิ่งที่เขาเลือก เป็นทางสองทางที่ไม่มีทางมาพบกันได้ ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง เราพบว่า ในประเทศที่ห้ามการเชื่อพระเยซู ยังมีการทำให้พี่น้อง พ่อแม่ในครอบครัวกลายเป็นสายลับให้กับรัฐบาลเพื่อจับตัวใครก็ตามที่เชื่อไปลงโทษ เป็นเรื่องเจ็บปวดที่คนในครอบครัวจะหันหลัง กลายเป็นศัตรูต่อกัน
 

10:37-39 การเป็นศิษย์ของพระเยซู
ผู้ที่ทำให้คนในครอบครัวเดียวกันแตกแยกกัน ก็คือพระเยซูนั่นเอง การที่พระองค์กล่าวว่า คนที่รักครอบครัวมากกว่ารักพระองค์ ก็ไม่คู่ควรกับพระองค์ เป็นสิ่งที่ดูเหมือนโหดร้าย แต่ความจริงแล้ว รู้ไหมว่า คนที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาจะรักคนในครอบครัวได้อย่างที่พระองค์ทรงรัก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเกลียดชังเขาเพียงใด
ครอบครัวที่คนหนึ่งได้มาติดตามพระเจ้าจริง เขาจะเป็นห่วงครอบครัว และทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้ครอบครัวได้พบความจริง เขาจะมุ่งมั่นที่จะนำครอบครัวมาสู่ความรอด ดูมัทธิว 13:53-58, มาระโก 3:21
การรับกางเขน การติดตามพระเยซูเป็นเรื่องที่เราต้องตัดสินใจ พระเยซูทรงยื่นการเลือกนี้ให้เราได้คิดใคร่ครวญ และตัดสินใจ
นี่ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่รักคนในครอบครัว ไม่ดูแล ไม่เอาใจใส่ แต่ทรงชวนให้ทุกคนรักพระเจ้ามากกว่า (เอเฟซัส 6:2, 4; 1 ทิโมธี 5:8; กิจการ 5:29)


10:40-42 การต้อนรับคนของพระเจ้า
การตอบรับดังกล่าวนอกจากจะเป็นการรับคำของคนที่พระเจ้าทรงส่งมา ก็ยังเป็นการมีน้ำใจรับแขกในเวลาเดียวกัน พระเจ้าทรงให้พระพรที่มีในคนของพระองค์ ได้ส่งต่อไปยังคนที่รับพระดำรัสของพระเจ้า นี่เป็นพระพรแบบที่เราไม่คาดว่าจะได้รับ เมื่อคนของพระเจ้าเป็นพยาน และเพื่อนของเขา หรือคนที่ฟังอยู่ รับคำนั้น เขาก็จะได้รับพระพรเป็นการตอบแทน!!
ที่ลึกไปกว่านั้น หากเขารับคนของพระเจ้า ยอมรับสิ่งที่เป็นพยานให้เขาฟัง เท่ากับรับพระเยซู และรับพระบิดาด้วย ! นี่เป็นความมหัศจรรย์ของการเป็นพยานเรื่องพระเยซู
และหากต้อนรับคนของพระเจ้าด้วยน้ำแก้วเดียวอย่างเต็มใจ ก็ยังได้รับพระพรอีก เพราะเท่ากับกำลังยื่นน้ำเย็นให้กับพระเจ้าเอง ..

พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 6:13
2* ยอห์น 1:42
3* กิจการ 1:13
4* กิจการ 1:13; ยอห์น 13:2; 26
5* มัทธิว 4:15; ยอห์น 4:9
6* มัทธิว 15:24; เยเรมีย์ 50:6
7* ลูกา 9:2; มัทธิว 3:2
8* กิจการ 8:18
9* 1 ซามูเอล 9:7; มาระโก 6:8
10* 1 ทิโมธี 5:18
11* ลูกา 10:8
12* ลูกา 10:5-6
13* ลูกา 10:5; สดุดี 35:13
14* มาระโก 6:11; กิจการ 13:51


15* มัทธิว 11:22,24
16* ลูกา 10:3; เอเฟซัส 5:15; ฟีลิปปี 2:14-6
17* มาระโก 13:9; กิจการ 5:40; 22:19; 26:11
18* 2 ทิโมธี 4:16
19* ลูกา 2:11-12; 21:14-15
20* 2 ซามูเอล 23:2
21* มีคาห์ 7:6
22* ลูกา 21:17; มาระโก 13:13
23* กิจการ 8:1; มาระโก 13:10; มัทธิว 16:28
24* ยอห์น  15:20
25* ยอห์น  8:48, 52
26* มาระโก 4:22
27* กิจการ 5:20
28* ลูกา 12:4-5


29* ลูกา 12:6-7
30* ลูกา 21:8
31* ลูกา 12:24
32* ลูกา 12:8; วิวรณ์ 3:5
33* 2 ทิโมธี 2:12
34* ลูกา 12:49
35* มีคาห์ 7:6
36* ยอห์น  13:18
37* ลูกา 14:26
38* มาระโก 8:34
39* ยอห์น  12:25
40* ลูกา 9:48
41* 1 พงศ์กษัตริย์ 17:10
42* มาระโก 9:41