มัทธิว 15 ชนะด้วยความเชื่อของแม่!

กฎมนุษย์มาแทนที่ความรักพ่อแม่
1 แล้วเหล่าฟาริสีและธรรมาจารย์จากเยรูซาเล็มก็มาหาพระเยซู ทูลถามพระองค์ว่า
2 “เหตุใดพวกศิษย์ของท่านจึงไม่เชื่อฟังกฎตามประเพณีที่ส่งต่อกันมานานแล้ว พวกเขาไม่ล้างมือก่อนรับประทานอาหารกันเลย”
3 พระเยซูตรัสตอบว่า “ แล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่เชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า เพียงเพื่อจะทำตามกฎตามประเพณีเล่า?”
4 พระเจ้าตรัสไว้ว่า “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า และหากใครแช่งด่า ว่าร้ายพ่อแม่ จะต้องมีโทษถึงตาย
5 แต่พวกเจ้ากลับกล่าวว่า ลูกสามารถพูดกับพ่อแม่ได้ว่า ‘สิ่งที่ฉันจะใช้ให้เป็นประโยชน์กับท่านนั้น ฉันได้ถวายพระเจ้าไปแล้ว’ (เป็นประเพณีที่เรียกว่า โกระบาน )
6  พวกเจ้าสอนให้คนยับยั้ง ไม่ให้เกียรติพ่อแม่ของตนเอง เจ้ายกเลิกพระบัญชาของพระเจ้า เพราะเห็นแก่กฎตามประเพณีของเจ้า   
7 เจ้าเป็นคนหน้าซื่อใจคด! อิสยาห์พูดถูกต้องแล้ว เมื่อเขาเผยพระดำรัสเรื่องของพวกเจ้าว่า 
‘คนเหล่านี้ให้เกียรติเราด้วยปากเท่านั้น แต่ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา
พวกเขานมัสการเราอย่างไร้ค่า  คำสอนของเขาเป็นแค่กฎของมนุษย์ที่สอนต่อ ๆ กันมา’


10 จากนั้น พระเยซูทรงเรียกประชาชนเข้ามาหาพระองค์ ตรัสว่า “จงฟัง และพยายามเข้าใจเถิด ว่า
11 สิ่งที่เข้าปากมนุษย์ไม่ได้ทำให้เขาเป็นมลทิน แต่สิ่งที่ออกจากปากของพวกเขาต่างหาก ที่ทำให้เขาเป็นมลทิน”
12 จากนั้นศิษย์ของพระองค์เข้ามาหาพระองค์ ทูลถามว่า “พระองค์ทรงทราบไหมว่า พวกฟาริสีได้ยินที่พระองค์ตรัสอย่างนั้นก็โกรธมาก?”
13 พระเยซูตรัสตอบว่า “ต้นไม้ทุกต้นที่พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ไม่ได้ทรงปลูกไว้นั้น จะถูกทั้งถอนรากและถอนโคน 
14 พวกเจ้าจงอยู่ให้ห่างเขา พวกเขาเป็นผู้นำแบบตาบอด  ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งคู่ก็จะตกลงไปในหลุม”

ขอความเข้าใจ
15 เปโตรทูลว่า “ขอทรงอธิบายคำอุปมานี้แก่พวกเราเถิด พระเจ้าข้า” 
16 พระเยซูตรัสว่า
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?
17 เจ้ารู้นี่นาว่า อาหารทั้งหมดที่เข้าไปในปาก ก็ลงไปในท้อง จากนั้นก็ออกจากร่างกายไป
18 แต่สิ่งที่ผู้คนพูดออกมานั้น ก็มาจากใจ จากความคิดจิตใจของเขา  สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาเป็นมลทิน


19 เพราะจากใจนั้น คือความคิดชั่ว  การฆาตกรรม  ความผิดทางเพศ การขโมย การมุสา การใส่ร้าย
20  สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนเป็นมลทิน  ส่วนการกินโดยไม่ล้างมือนั้น ไม่ได้ทำให้เป็นมลทิน 

ความเชื่อของหญิงคานาอัน
21 พระเยซูทรงออกมาจากที่นั่น และเสด็จเข้าเขตเมืองไทระ และเมืองไซโดน (ซึ่งอยู่ริมทะเลทางตะวันตกเฉียงเหนือ)
22 มีหญิงชาวคานาอันที่อาศัยอยู่แถบนั้นมาเฝ้าพระเยซู ทูลว่า “โอ องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเป็นพระบุตรดาวิด โปรดเมตตาข้าเจ้าด้วย! ลูกสาวของข้าเจ้ามีผีสิง ทรมานมากเจ้าค่ะ”
23 แต่พระเยซูไม่ได้ตอบเธอสักคำ  ดังนั้นศิษย์ของพระองค์จึงเข้ามาและทูลว่า “ขอพระองค์บอกให้เธอไปเถิด  เพราะเธอมาร้องตะโกนตามเราอย่างนี้” 
24 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราถูกส่งมาเพื่อหาแกะหลงหายของอิสราเอลเท่านั้น”
25 แล้วเธอจึงมาหาพระเยซูอีกครั้งและกราบลงต่อพระองค์ กล่าวว่า “โอ องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงโปรดช่วยข้าเจ้าด้วยเถิด”
26 พระเยซูตรัสตอบเธอว่า “ที่เราจะเอาอาหารของลูกโยนให้สุนัขนั้นไม่ถูกต้อง”

27 เธอจึงกล่าวว่า “ใช่แล้วพระองค์เจ้าข้า แต่สุนัขยังกินเศษอาหารที่หล่นจากโต๊ะของนาย” 
28 แล้วพระเยซูตรัสตอบว่า “หญิงเอ๋ย เจ้ามีความเชื่อที่ใหญ่ยิ่งนัก ให้เป็นไปตามที่เจ้าร้องขอเถิด”
แล้วลูกสาวของเธอก็ได้รับการรักษาในเวลานั้นเอง

พระเยซูทรงรักษาคนต่างชาติมากมาย
29 หลังจากที่พระองค์เสด็จจากที่ตรงนั้น ก็ทรงไปตามชายฝั่งกาลิลี  ทรงขึ้นไปประทับนั่งบนภูเขา 
30 คนเป็นจำนวนมากได้มาหาพระเยซู และนำคนง่อย คนตาบอด คนพิการ คนใบ้ และคนป่วยอย่างอื่นมาหมอบแทบพระบาท และพระองค์ก็ทรงรักษาเขา


31 ผู้คนต่างพากันประหลาดใจ เมื่อพวกเขาเห็นคนใบ้พูดได้ คนพิการหายเป็นปกติ  คนง่อยเดินได้ คนตาบอดก็มองเห็น พวกเขาก็พากันสรรเสริญพระเจ้าแห่งอิสราเอล 

พระเยซูทรงเลี้ยงกว่าสี่พันคน 

32 พระเยซูทรงเรียกศิษย์มาหาพระองค์ตรัสว่า
“เราสงสารผู้คนเหล่านี้ เพราะเขาอยู่กับเรามาสามวันแล้ว และพวกเขาคงจะหมดแรงตามทางกลับบ้าน”
 33 ศิษย์ของพระองค์ทูลว่า
“แถวนี้เป็นที่ ๆ ห่างไกล เราจะไปหาขนมปังที่ไหนมามากพอที่จะเลี้ยงคนมากมายอย่างนี้ขอรับ?”
 34 พระเยซูตรัสถามว่า “พวกเจ้ามีขนมปังกี่ก้อน?” “มีเจ็ดก้อนกับปลาเล็ก ๆ สองสามตัวขอรับ” 
35พระเยซูทรงบอกให้ประชาชนนั่งลงบนพื้น  
36  แล้วพระองค์ก็นำขนมปังทั้งเจ็ดก้อนมา รวมทั้งปลา และขอบพระคุณพระเจ้า จากนั้นทรงแบ่งขนมปังออก มอบให้กับศิษย์เพื่อให้พวกเขานำไปแจกให้ประชาชน
37 ทุกคนได้กินจนอิ่มเอม แล้วศิษย์ของพระองค์เก็บเศษที่เหลือได้เจ็ดตะกร้าใหญ่ 
38 จำนวนคนที่กินอาหารด้วยกันนั้น คือชาย 4000 คน ไม่ได้นับผู้หญิงและเด็ก  

39 หลังจากที่ทรงส่งประชาชนกลับบ้านแล้ว พระเยซูทรงลงเรือไปยังแคว้นมากาดาน

อธิบายเพิ่มเติม

กฎมนุษย์มาแทนที่ความรักพ่อแม่
15:1-3 
เบื้องหลังของเรื่องนี้ อยู่ในประวัติศาสตร์
 ในช่วงเวลาระหว่างพระคัมภีร์เดิมกับพระคัมภีร์ใหม่นั้น เหล่าปัญญาชนของยิวได้ร่วมมือกันสร้างกฎประเพณีขึ้นมากมาย ทำให้ประชาชนต้องทำตาม และหากไม่ทำตามก็ถือว่าทำผิดบาป 
ซึ่งเป็นกฎที่มีมากมาย ตั้งแต่เช้าจนเข้านอน คนยิวต้องคอยระวังไม่ทำผิดกฎต่าง ๆ ที่ควบคุมชีวิตอย่างละเอียดยิบ 
สำหรับฟาริสี และธรรมาจารย์ การล้างมือก่อนรับประทาน เป็นประเพณีทางความเชื่อที่สอนกันมาตามกฎประเพณีของยิว เมื่อพวกเขามาเจอศิษย์ของพระเยซูไม่ทำตามประเพณีเช่นนี้ ก็เลยถือโอกาสจับผิดพระเยซูเสียเลย 
แต่พระเยซูทรงถามกลับไปว่า เหตุใดพวกเขาจึงไม่ทำตามบทบัญญัติของพระเจ้า  เรื่องการให้เกียรติบิดามารดา    (อพยพ 20:12, 21:17 ;เลวีนิติ 20:9; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16; ) พระเยซูทรงทราบว่า พวกเขาเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าการที่จะให้ประโยชน์กับพ่อแม่  ทรงใช้พระวจนะของโมเสสมาย้อนถามพวกเขา 

15:4-9  พวกเขาจะไม่ช่วยพ่อแม่ ไม่ให้สิ่งจำเป็นกับพ่อแม่ที่อาวุโส โดยอ้างว่า อะไร ๆ ที่จะให้พ่อแม่นั้น ได้ถวายพระเจ้าไปเสียก่อนหน้าเขายกเลิกการให้เกียรติ การดูแลพ่อแม่ ด้วยกฎประเพณีของพวกเขา  พวกเขายกกฎประเพณีมาอยู่เหนือบทบัญญัติของพระเจ้า  
พระเยซูทรงสรุปให้เห็นชัดว่า พวกเขานับถือกฎประเพณี เป็นคนหน้าอย่างหลังอย่าง ดังนั้น เมื่อประชาชนได้ยิน พวกเขาก็เริ่มเข้าใจว่า  ฟาริสี ธรรมาจารย์กำลังควบคุมชีวิตพวกเขาอย่างไร 

15:10-11 แล้วพระเยซูทรงสรุปให้ประชาชนเข้าใจว่า คำสอนของฟาริสี ธรรมาจารย์นั้นไม่ถูกต้อง  แน่นอนมีคนที่ไม่เคยคิดอย่างนี้มาก่อน และตาของเขาก็เปิดออก เข้าใจแล้วว่า พวกเขาไม่ได้รับคำสอนจากบทบัญญัติอย่างถูกต้อง 

15:12-14   แล้วสิ่งที่คาดไว้ก็เกิดขึ้น ฟาริสีและธรรมาจารย์โกรธมากที่พระเยซูทรงเปิดโปงพวกเขา  และยังตรัสชัดว่า พวกเขาเป็นคนหน้าซื่อใจคด ตรัสด้วยว่า พระเจ้าจะทรงถอนรากถอนโคนพวกเขา
พวกเขาเองคิดเข้าข้างตัวเองมาโดยตลอดว่า ตนเป็นคนดี ทำสิ่งที่พอพระทัยพระเจ้า ไม่เคยเห็นตัวจริงของตนเอง เมื่อถูกเปิดโปงต่อหน้าประชาชนเช่นนี้ ก็รับไม่ได้ และถือว่า พระเยซูทรงเป็นศัตรูสำคัญที่อาจทำลายสถาบันศาสนาของพวกเขา
แล้วพระเยซูทรงสรุปให้เห็นว่า ฟาริสี ธรรมาจารย์พวกนี้คือคนตาบอดนั่นเอง หากผู้คนติดตามพวกเขาก็จะพินาศเหมือนพวกเขา …. ในโลกของเราทุกวันนี้มีคนที่หลอกว่าเป็นคนเก่ง เป็นโค้ช เป็นผู้เชี่ยวชาญไม่น้อย ..ดังนั้นเราต้องคอยระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่หลอกฝ่ายวิญญาณ เพราะผลที่ได้คือนรก…

ขอความเข้าใจ
15:15-20
แล้วเปโตรก็มาหาพระเยซู ขอคำอธิบายเรื่องอุปมานี้ 
พระเยซูทรงอธิบายชัดเจนถึงการเป็นมลทินซึ่งแตกต่างจากที่ฟาริสีเข้าใจ  พวกเขาเข้าใจแค่ความสกปรกภายนอกร่างกายว่าเป็นมลทิน แต่พระเยซูทรงหมายความถึงความมลทินฝ่ายวิญญาณ มลทินในใจที่มนุษย์มองไม่เห็น มันแอบซ่อนอยู่ในใจ  
เมื่อใครก็ตามพูดสิ่งที่ชั่วร้ายออกมา นั่นคือ ออกมาจากใจของเขา มันฝังลึกในความคิด และค่อย ๆ ปรากฏออกมาทางปาก  ทางคำพูด
จากข้อสิบเอ็ด    สิ่งที่เข้าปากมนุษย์ไม่ได้ทำให้เขาเป็นมลทิน แต่สิ่งที่ออกจากปากของพวกเขาต่างหาก ที่ทำให้เขาเป็นมลทิน 
พระคำตอนนี้ทำให้เราต้องสำรวจใจของเราเองว่า มีอะไรข้างในที่ทำให้เป็นมลทิน  เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น เมื่อไรที่ออกมานั้นน่ากลัวและน่าอาย

ความเชื่อของหญิงคานาอัน
15:21-28
แล้วมัทธิวก็กล่าวถึงหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวคานาอัน เป็นเชื้อสายของคนที่เป็นศัตรูกับคนอิสราเอลมานาน  แต่บัดนี้ มีเชื้อสายศัตรูเข้ามาหาพระเยซูเพื่อขอความช่วยเหลือ น่าแปลกที่เธอเรียกพระองค์ว่า พระผู้เป็นเจ้า พร้อมกับคำว่า พระบุตรของดาวิด ซึ่งทำให้เราเห็นว่า พระองค์จะต้องเป็นที่รู้จักกันในนามนั้น 
พระเยซูทรงรักษาโรค และไล่ผีออกจากผู้คนมากมายเป็นเรื่องที่รู้กันไปทั่ว หญิงชาวคานาอันผู้นี้จึงกล้าเข้ามาเฝ้าพระองค์ และร้องขอแล้วขออีกจนศิษย์ของพระองค์มาขอให้พระองค์บอกให้เธอไปเสีย … 
แล้วพระเยซูทรงบอกเธอชัดว่า งานของพระองค์นั้นจำกัดอยู่ที่คนอิสราเอลเท่านั้น
แต่เธอไม่ยอมกับเหตุผลของพระองค์ เธอมากราบอีก  ขอความช่วยเหลืออีก  จะให้แม่คนนี้ ที่สงสารลูกสุดใจกลับไปมือเปล่าได้อย่างไร
แล้วพระเยซูกลับตอบเธอว่า พระองค์ไม่ควรที่จะเอาอาหารของคนยิวให้คนต่างชาติ สิ่งที่พระองค์ตรัส ดูเหมือนไม่แคร์เธอเลยสักนิด แต่เธอก็ไม่ยอมเช่นกัน… 

เป็นสุนัขก็ได้ แต่..เจ้านายก็ต้องยอมให้มันได้เศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของนาย  ความเชื่อว่าพระเยซูจะรักษาโรคให้ลูกสาวนั้นเป็นความเชื่อที่แรงมาก จนพระเยซูอดไม่ได้ที่จะตรัสว่า เธอมีความเชื่อยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงอนุญาตให้ลูกของเธอพ้นจากอำนาจมารทันที  และด้วยความเชื่อ ความไม่ยอมแพ้ ความมั่นใจว่าพระเยซูทรงทำให้ได้ พระเยซูทรงเมตตา ทำให้เธอชนะ!

พระเยซูทรงรักษาคนต่างชาติมากมาย
15:29-31
จากเมืองริมฝั่งทะเล พระเยซูก็เดินทางไปยังชายฝั่งกาลิลี เราจะเห็นว่า  เขตตรงนี้น่าจะเป็นพื้นที่ทศบุรี ซึ่งมีเมืองต่าง ๆ ของคนต่างชาติกระจุกกันอยู่สิบเมือง ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลสาบกาลิลี  แม้พระเยซูจะตรัสว่า พระองค์ทรงมาตามหาแกะหลงของอิสราเอลเท่านั้น แต่ปรากฏว่า พระองค์ทรงออกไปในเขตของชนต่างชาติหลาย ๆ ชาติ และรักษาคนง่อย คนตาบอด พิการแบบต่าง ๆ คนป่วยสารพัดโรค ทำให้พวกเขาสรรเสริญพระเจ้าของอิสราเอล  นี่เป็นภาพที่น่ายินดีอย่างยิ่ง เป็นตามที่อิสยาห์ 

พระเยซูทรงเลี้ยงกว่าสี่พันคน
15:32-39
เรามักสับสนว่า พระเยซูทรงเลี้ยงคนเท่าไรกันแน่ ในพระกิตติคุณได้บันทึกชัดเจนถึงครั้งที่ทรงเลี้ยงห้าพันคน (มัทธิว 14: 13-21) และอีกครั้งที่ทรงเลี้ยงสี่พันคน และทั้งสองครั้งนี้มีความแตกต่างกันชัดเจน  ทำให้เราเห็นความสงสารในพระทัยของพระเยซูที่มีต่อทั้งคนยิวและคนต่างชาติ  ทำให้เราเห็นถึงความไม่เข้าใจและความไม่เชื่อของเหล่าศิษย์ใกล้ชิดอย่างชัดเจน 
ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเห็นพระองค์ทรงเลี้ยงคนมาก่อนหน้า แต่ครั้งนี้พวกเขาอาจคิดว่า พระองค์ไม่ได้สนพระทัยคนต่างชาติก็เป็นได้ และพวกเขาเองก็ไม่ใส่ใจคนต่างชาตินัก จะเห็นได้จากก่อนหน้านี้ที่พวกเขาขอให้พระองค์ไล่หญิงชาวคานาอันที่มาขอความช่วยเหลือออกไป 

การอัศจรรย์ท่ามกลางชนต่างชาติครั้งนี้ ทำให้เราเห็นว่า ถึงแม้พระเยซูจะตรัสกับหญิงคานาอันว่า ทรงมีพันธกิจต่อคนอิสราเอล แต่แล้ว พระองค์ก็ทรงแสดงพระทัยจริง ๆ ว่า ไม่ได้ทรงเห็นแก่เชื้อชาติ หรือการเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือก พระองค์ทรงแสดงความรักเอาใจใส่ ทรงเมตตาต่อทุกชนชาติเหมือน ๆ กัน

การบันทึกเรื่องราวของการเลี้ยง 4000 คนนี้จึงทำให้คนต่างชาติทั้งหลายได้รับพระกรุณาจากพระเจ้ามาตั้งแต่ครั้งที่พระองค์ทรงดำเนินท่ามกลางประชาชนแล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อพระองค์ทรงบัญชาในมัทธิวบทที่ 28

ข้อเปรียบเทียบการเลี้ยงสองครั้ง

พระคำเชื่อมโยง

Matthew 15
1* มาระโก 7:1
2* มาระโก 7:5
4* เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16;
อพยพ 21:17
5* มาระโก 7:11-12
7* มาระโก 7:6
8* อิสยาห์ 29:13
9* โคโลสี 2:18-22
10* มาระโก 7:14



11* กิจการ 10:15
13* ยอห์น 15:2
14* ลูกา 6:39
15* มาระโก 7:17
16* มัทธิว 16:9
17* 1โครินธ์  6:13
18* ยากอบ 3:6
19* สุภาษิต 6:14
21* มาระโก 7:24-30
22* มัทธิว 1:1; 22:41-42

24* มัทธิว 10:5-6
26* มัทธิว 7:6
28* ลูกา 7:9
29* มาระโก 7:31-37; มัทธิว 4:18
30* อิสยาห์ 35:5-6; ลูกา 7:38; 8:41; 10:39
31* ลูกา 5:25-26; 19:37-38
32* มาระโก 8:1-10
33* 2 พงศ์กษัตริย์ 4:43
36* มัทธิว 14:1; ลูกา 22:19
39* มาระโก 8:10

มัทธิว 14 การเลี้ยงครั้งใหญ่

ประหารท่านยอห์น
1 ช่วงเวลานั้น เฮโรด เจ้าผู้ครองแคว้นกาลิลีได้ยินเรื่องของพระเยซู 2  จึงพูดกับเหล่าคนรับใช้ของเขาว่า “เขาผู้นี้น่าจะเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่คืนชีพจากตาย  เขาจึงมีฤทธิ์ทำการอัศจรรย์ได้ 3 ก่อนหน้านี้ เฮโรดได้จับกุมยอห์น และตรวนเขาไว้ในคุก  ที่เฮโรดทำเช่นนี้ก็เป็นเพราะนางเฮโรเดียสที่เคยเป็นภรรยาของฟีลิป น้องชายของเฮโรดเอง
4 เป็นเพราะยอห์นได้กล่าวกับเฮโรดว่า “ที่ท่านแต่งงานกับนางนั้นเป็นการผิดบทบัญญัติ”
5 เฮโรดเองต้องการประหารยอห์นเสีย แต่ก็กลัวประชาชนเพราะพวกเขาถือว่า ยอห์นเป็นผู้เผยพระดำรัส
6 ในงานวันเกิดของเฮโรด ลูกสาวของนางเฮโรเดียสได้เต้นรำต่อหน้าเฮโรดและแขกทั้งหลาย เป็นที่พอใจของเฮโรดมาก
7 ดังนั้น ท่านจึงประกาศสัญญาว่าจะให้ทุกอย่างที่เธอต้องการ
8 เธอจึงทูลตามที่แม่ของเธอสั่งเอาไว้ว่า “ขอหัวของท่านยอห์นใส่ถาดมาเพคะ” 


9 แม้ว่าตอนนั้นกษัตริย์เฮโรดรู้สึกเป็นทุกข์ใจมาก แต่เป็นเพราะสัญญาไว้แล้วต่อหน้าแขกทั้งหลาย ท่านจึงบัญชาไปตามที่เธอขอ
10 ท่านส่งทหารเข้าไปตัดหัวยอห์นในคุก
11 และก็วางบนถาดมาให้หญิงสาว  เธอก็ส่งให้แม่ของเธอ 12 ศิษย์ของยอห์นได้มารับศพไปฝัง แล้วจึงไปรายงานเรื่องราวต่อพระเยซู 

พระเยซูทรงเลี้ยงคนมากกว่าห้าพันคน
13 เมื่อพระเยซูทรงทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับยอห์น พระองค์ก็ทรงลงเรือไปและไปยังที่เงียบสงบ เพื่อประทับเพียงผู้เดียว แต่ประชาชนก็ได้ยินอย่างนั้น พวกเขาจึงเดินตามไปหาพระองค์  14  เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นจากเรือ พระองค์ทรงเห็นประชาชนจำนวนมากรอพระองค์อยู่ พระองค์ทรงสงสารพวกเขา และทรงรักษาคนที่เจ็บป่วย 
15 พอถึงเวลาเย็น พวกศิษย์ก็มาหาพระองค์ทูลว่า “แถบนี้ห่างไกล ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย แล้วก็เย็นมากแล้ว ขอพระองค์ทรงปล่อยให้ประชาชนกลับไปเถิดเพื่อพวกเขาจะได้ไปซื้ออาหารตามหมู่บ้านกันเอง
16 แต่พระเยซูตรัสตอบว่า “ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาไป พวกเจ้าสิ  จงเลี้ยงอาหารเขาเถิด”
 17 พวกเขาทูลว่า “แต่เรามีแค่ขนมปังห้าก้อน กับปลาสองตัวเท่านั้น”
 18 พระเยซูตรัสว่า “เอามาให้เราเถิด”

 

19 แล้วพระองค์ตรัสให้ประชาชนเหล่านั้นนั่งลงบนพื้นหญ้า  ทรงหยิบขนมปังห้าก้อน กับปลาสองตัวขึ้นมา ทรงแหงนพระพักตร์มองฟ้าสวรรค์ ตรัสขอบคุณพระเจ้า
แล้วพระองค์ก็หักขนมปังส่งให้พวกศิษย์ พวกเขานำไปแจกให้กับประชาชน

20 คนทั้งหมดก็ได้กินและอิ่มเต็มที่ แล้วศิษย์ก็เก็บเศษที่เหลือได้อีกเต็มสิบสองตะกร้า  21 จำนวนประชาชนที่กินอาหารครั้งนั้นประมาณ  5000  คน โดยยังไม่ได้นับผู้หญิงและเด็ก!

พระเยซูดำเนินบนผิวน้ำ 

22 ทันทีหลังจากนั้น พระเยซูตรัสให้ศิษย์ของพระองค์ลงเรือข้ามทะเลสาบไปล่วงหน้าพระองค์  ส่วนพระองค์ทรงอยู่ต่อเพื่อส่งฝูงชนเดินทางกลับบ้านไป 23 หลังจากที่ทรงส่งพวกเขาแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาตามลำพังเพื่ออธิษฐาน เวลาค่ำ
พระองค์ทรงอยู่ที่นั่นเพียงพระองค์เดียว 24 ขณะนั้นเรือก็ออกจากฝั่งไปไกลมาก  เรือถูกคลื่นลมซัดไปเพราะมุ่งหน้าต้านลม
25 ในช่วงยามที่สี่ของกลางคืน (ระหว่างตีสามถึงหกโมงเช้า)  พระเยซูดำเนินบนผิวน้ำทะเลสาบไปหาพวกศิษย์
26  เมื่อพวกศิษย์เห็นพระองค์ดำเนินบนผิวน้ำเช่นนั้น พวกเขาก็กลัวมาก ตกใจร้องว่า “เป็นผีนี่นา!”
ต่างร้องกันขรมเพราะกลัว
 27 แต่พระเยซูตรัสทันทีว่า “ใจกล้าเข้าไว้ นี่เป็นเราเอง อย่ากลัวไปเลย” 
28 เปโตรทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์จริง  ขอทรงบัญชาให้ข้าพเจ้าเดินบนน้ำไปหาพระองค์เถิด”
29 พระเยซูตรัสว่า “มาสิ”  เปโตรจึงลงจากเรือและเดินไปบนผิวน้ำ ตรงไปหาพระเยซู
 30 แต่แล้ว เมื่อเขาเห็นลมพัดแรง เขาก็ตกใจและตัวเริ่มจมลง เขาตะโกนว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย!!”


31 พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์จับเขาไว้ได้ทันที พระเยซูตรัสว่า “เจ้ามีความเชื่อน้อยนิด เจ้าสงสัยทำไมกัน?”
32 เมื่อทั้งสองขึ้นเรือแล้ว ลมที่พัดอยู่ก็สงบลง
33 ศิษย์ที่อยู่ในเรือก็ก้มลงกราบนมัสการพระเยซู พูดกันว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแน่นอน!”

การรักษาโรคที่เยนเนซาเรท
34เมื่อข้ามฟากไป พวกเขาก็มาถึงฝั่งที่แคว้นเยนเนซาเรธ
35 พอประชาชนที่นั่นจำพระเยซูได้ ก็ส่งข่าวไปบอกคนอื่น ๆ แถบนั้นว่า พระเยซูเสด็จมา  และพวกเขาก็พาคนเจ็บป่วยมาหาพระองค์ 
36 พวกเขาทูลขอเพียงแตะชายเสื้อคลุมของพระองค์  แล้วทุกคนที่แตะก็หายป่วย (กันดารวิถี 15:38-39)

อธิบายเพิ่มเติม

เรื่องการสั่งตัดหัวท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมามีบันทึกในมาระโก 6:14-29 และลูกา 9:7-9 ด้วย เฮโรดที่ออกคำสั่งผู้นี้ คือ เฮโรด แอนทิพาส ผู้ปกครองแคว้นกาลิลี  ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ปกครองสี่คน (ลูกชายสี่คนของเฮโรดมหาราชคนที่สร้างพระวิหาร)ที่โรมส่งมา  ในข้อ 9 มัทธิวเรียกเฮโรดว่า เป็นกษัตริย์
14:1-2  เฮโรดผู้นี้ สนใจ อยากพบพระเยซูมาก เพราะเขาได้สั่งประหารท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา และเขาสรุปเอาเองว่า พระเยซูเป็นยอห์นคืนชีพมา… เหตุผลคือ เขาได้ข่าวมาว่า พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์มากมาย  ที่เขาอยากพบพระเยซูอาจเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้  นั่นคือ การที่เขาสั่งประหารท่านยอห์นจากปากของตัวเอง จากนั้นมัทธิวได้ย้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังของเฮโรด
14:3-8 เรื่องของเฮโรเดียสค่อนข้างสับสน  เธอเป็นลูกสาวของลูกชายเฮโรดมหาราช และแต่งงานกับฟิลิปน้องชายเฮโรดซึ่งเป็นเหมือนน้าชายของเธอ      แต่ก็ถูกเฮโรดแอนทิพาส น้าชายคนพี่ชวนมาแต่งงานกับเขา สำหรับยิวแล้วเป็นการผิดทั้งเรื่องการแต่งงานระหว่างญาติใกล้ชิด และยังเป็นขู้อีกด้วย ยอห์นจึงเตือนเฮโรด ตรงไปตรงมา เฮโรดไม่พอใจแต่ก็ยังรั้งตัวเองไว้ เพราะกลัวไม่เป็นที่พอใจของประชาชนที่นิยมท่านยอห์น  พวกเขาเห็นว่าท่านยอห์นเป็นผู้เผยพระดำรัสที่เพิ่งมาปรากฏตัวหลังจากที่พระเจ้าไม่ได้ส่งผู้รับใช้อย่างนี้มานานหลายร้อยปี 

สิ่งที่เฮโรดทำได้คือการสั่งจำคุกยอห์น ซึ่งน่าจะเป็นการยุยงจากนางเฮโรเดียสด้วย  จากที่มาระโกบันทึกเอาไว้ พอจะประมาณได้ว่าเป็นอย่างนี้ ที่จริงเธอถึงขนาดต้องการ ฆ่าท่านยอห์น อาฆาตท่านมาก ดูสิว่า ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวขนาดไหน  
วันเกิดของเฮโรด ก็ต้องมีงานเลี้ยง มีผู้ชายเยอะก็ต้องมีผู้หญิงเต้นรำ ซาโลเมคือสาวน้อยที่เป็นลูกสาวนางเฮโรเดียสกับฟีลิป เท่ากับเป็นหลานสาวของเฮโรด ก็มาเต้นรำทำให้ทั้งเฮโรดและแขกเหรื่อพอใจเหลือเกิน ชมกันทั้งงาน  เฮโรดก็ทั้งเมา ทั้งบันเทิง อดไม่ได้ที่จะอวดอ้างในงานว่าจะให้ทุกอย่างที่ต้องการ ถึงครึ่งอาณาจักรที่ครองอยู่ 

ซาโลเมก็เป็นลูกแสนดี ถามท่านแม่ แม่ได้ทีให้ขอหัวท่านยอห์น   … เห็นความโหดของทั้งแม่และลูกคู่นี้ไหม? อะไรทำให้ทั้งสองกล้าได้ขนาดนี้ ?

14:12 ด้วยความโศกเศร้าอย่างมาก พวกเศิษย์ของท่านยอห์นมาขอศพท่านไปเก็บไว้ในถ้ำ (มาระโก 6:29 )  เป็นศพที่ไร้ศีรษะ  นี่คือจุดจบของท่านยอห์น ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาเตรียมทางเพื่อพระเมสสิยาห์  การตายเช่นนี้ เป็นการตายเพราะท่านกล้าที่จะพูดเพื่อให้เฮโรดไม่ทำสิ่งที่ผิด แต่แล้ว ก็ต้องจบชีวิตของท่าน 

ระหว่างสองเหตุการณ์?
14:13 เชื่อว่า พระเยซูทรงทราบเรื่องนี้ก่อนที่ศิษย์จะมาทูลรายงานอยู่แล้ว  และพระองค์ทรงรู้สึกสะเทือนพระทัย ไม่อาจที่จะอยู่กับผู้คนได้  การที่คนของพระเจ้าถูกฆ่าโดยคนทรามเช่นนี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าเองทรงรู้สึก (แบบที่เรามนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้
สดุดี 116:15 กล่าวว่า ความตายของวิสุทธิชนของพระยาห์เวห์มีค่ายิ่งในสายพระเนตรของพระองค์) พระองค์ทรงแยกไปจากผู้คนเพื่อ ไปอยู่ตามลำพังกับพระบิดา  ทรงลงเรือไป แต่มีบางคนเห็นจึงพากันบอกต่อ  ในช่วงเวลาอย่างนั้น ประชาชนก็ไม่ได้สนใจอะไร พวกเขาต้องการพบพระองค์ ต้องการความช่วยเหลือ  พวกเขาถึงขนาดว่า ไปรอเลยว่า พระองค์จะขึ้นฝั่งตรงไหน
14:14  ถึงจะสะเทือนพระทัย และปรารถนาจะอยู่ผู้เดียวขนาดไหน เมื่อทรงขึ้นฝั่งมา พระองค์ก็ทรงเห็นความทุกข์อยู่ข้างหน้า  ก็ทรงเมตตา สงสาร และทรงรักษาพวกเขาทันที
และเมื่อเราดูในข้อต่อไป พบว่า พระองค์ทรงใช้เวลาอยู่กับพวกเขานานมาก 

งานเลี้ยงมากกว่าห้าพันคน
14:15-16   คนที่หายโรค  คนที่ตื่นเต้นกับชีวิตใหม่ที่มองเห็น คนเดินได้  คนที่ได้ยิน คนที่พูดได้  คนที่พามาเห็นการอัศจรรย์  พวกเขายังไม่ได้อยากไปไหน แต่ขอฟังพระองค์ผู้ทรงทำการยิ่งใหญ่นี้ บอกเรื่องของแผ่นดินของพระเจ้าอย่างที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน พวกเขาอยู่จนเย็น  ลืมไปว่าตัวเองออกมาไกลบ้านมาก  ศิษย์ของพระเยซูเริ่มกังวลเพราะคนจำนวนมากเหล่านี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย  เขาเสนอพระเยซูว่า ปล่อยให้ประชาชนกลับบ้านได้แล้ว เพราะจะได้ไปหาอาหารตามทาง
แต่พระเยซูกลับทรงให้พวกศิษย์ คิดหาทางเลี้ยงอาหารเขา แทนที่จะปล่อยประชาชนไปอย่างหิวโหย พระเยซูไม่ทรงทำเช่นนั้น แต่ทรงสั่งพวกศิษย์ให้ทำในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้
14:17-21 จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อมีแค่ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว เป็นไปได้เมื่อพระเยซูได้รับขนมปังกับปลาไม่กี่ชิ้น  พระองค์ทรงหยิบมันขึ้นขอบคุณพระบิดา จากนั้นก็ทรงหักขนมปัง และทรงยื่นปลาให้พวกศิษย์
ทรงทำไปเรื่อย ๆ ราวกับว่า ทุกสิ่งออกมาจากพระหัตถ์ที่เป็นเครื่องผลิตอาหาร!! จนกระทั่งทุกคนได้กินจนอิ่ม ชาย 5,000 คนพร้อมผู้หญิงและเด็ก
เราก็คงต้องเดาว่าน่าจะเกินหนึ่งหมื่นคน  ครอบครัวหนึ่ง ๆ น่าจะมีเด็กไม่ต่ำกว่าสองหรือสามคนมาด้วย 

พายุท้าทายความเข้าใจ
14:22- 33 เราจะได้ยินคำเทศนาที่บอกว่า พวกศิษย์กำลังเจอลมแรง  เรือต้านลมอยู่ พระเยซูก็เสด็จเดินบนน้ำมาหาพวกเขา  พวกเขาตกใจประมาณไปเองว่า เป็นผี  แต่เมื่อเปโตรมองพระเยซูเขาขอเดินแบบพระองค์บ้าง เขาก็เดินบนน้ำได้ แต่เมื่อเห็นคลื่นลมแรง เขาก็ตกใจ เหมือนกับเราที่เจอ ไม่ว่าจะเป็นพายุในการทำงาน สุขภาพ ครอบครัว ฯลฯ ดังนั้น ในชีวิตของเรา  เราต้องยึดมั่นในพระเจ้าไม่ว่าพายุของชีวิตจะมาเพียงไหน … และเมื่อพลาด ก็ขอพระเจ้าช่วย เราต้องมีความเชื่อให้มาก 
แต่ตอนนี้ เราขอมาโฟกัสที่ข้อสรุปของศิษย์ 
สำหรับพระคัมภีร์ตอนนี้ที่มัทธิวได้บันทึกไว้ให้เรา  อย่างหนึ่งที่ชัดเจนทำให้พวกศิษย์สรุปว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
เป็นเพราะอะไร ทำไมการดำเนินบนน้ำของพระเยซูทำให้พวกเขาสรุปอย่างนั้น?
…​เพราะพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีอำนาจเหนือธรรมชาติได้แบบนี้
และยังมีข้อพระคำที่พวกเขาน่าจะเคยอ่านมาแล้ว
พระองค์แต่ผู้เดียวที่ทรงคลี่ฟ้าสวรรค์ออกและทรงย่ำเหนือคลื่นทะเล โยบ 9:8  พระมรรคาของพระองค์ผ่านทะเลทางของพระองค์ผ่านห้วงน้ำหลากแม้ไม่เห็นรอยพระบาทของพระองค์ สดุดี 77:19

การดำเนินบนน้ำของพระเยซูจึงพิสูจน์ให้พวกเขารู้ว่า ทรงเป็นพระเจ้าแน่นอน  จากข้อสรุปของเขาทำให้เรารู้ว่า ก่อนหน้านี้ พวกเขาน่าจะคิดว่า พระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระดำรัสอย่างท่านยอห์น  พวกเขาประเมินพระองค์ต่ำกว่าความเป็นจริง  แม้พระองค์จะทรงบอกพวกเขา ก็ยังมีบางคนสงสัยอยู่  ต่อมาในมัทธิว 16 เราจะเห็นว่า เปโตรยอมรับว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ พระผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมมาเพื่อช่วยโลกให้รอด  แต่… ก็ยังเป็นพระเมสสิยาห์ พระบุตรของพระเจ้าแบบที่พวกเขาเข้าใจไปเองว่า จะทรงเป็นนักรบที่ปลดปล่อยเขาจากโรมซึ่งครอบครองอิสราเอลในขณะนั้น

การรักษาโรคที่เยนเนซาเรท
14:34-36 พวกเขาข้ามฟากไปถึงแคว้นเยนเนซาเรธซึ่งเป็นเขตของเฮโรด แอนทีพาสที่สั่งประหารยอห์น  ในหนังสือยอห์น 6:21 กล่าวว่า หลังจากที่ขึ้นเรือไปแล้ว เรือก็ไปถึงฝั่งทันทีเลย
เป็นอัศจรรย์ซ้อนอัศจรรย์   เขตแดนนี้  อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองคาเปอรนาอุม 
ผู้คนต่างมาหาพระองค์ และพวกเขาขอเพียงแตะชายเสื้อคลุมของพระองค์  แค่นั้นพวกเขาก็หายป่วย. ที่น่าสนใจคือ ความเชื่อของประชาชนนั้น ช่างเต็มล้น มากมาย เมื่อเปรียบเทียบกับศิษย์ของพระองค์ในเช้ามืดวันนั้น
เราจะเห็นการใช้ชีวิตของพระเยซูในช่วงนี้ว่า พระองค์ทั้งทรงอยู่กับศิษย์อย่างใกล้ชิด และพระองค์ก็ทรงอยู่กับประชาชน แต่พระองค์ไม่เคยห่างหายไปจากพระพักตร์พระบิดาและทรงอยู่กันตามลำพังเสมอ

พระคำเชื่อมโยง

มัทธิว 14
1* มาระโก 6:14-29
3* ลูกา 3:19-20
4* เลวีนิติ 18:16; 20:21
5* ลูกา 20:6
13* ยอห์น 6:1-2
14* มาระโก 6:36
15* ลูกา 9:12

19* มัทธิว 15:36; 26:26
23* มาระโก 6:46; ยอห์น 6:16
26* โยบ 9:8
27* กิจการ 23:11; 27:22, 25,36
31* มัทธิว6:30; 8:26
33* สดุดี 2:7 
34* มาระโก 6:53
36* มาระโก 6: 5:24-34; ลูกา 6:19

มัทธิว 13 คลังคำอุปมา

คำอุปมาเรื่องผู้หว่าน

1  วันเดียวกันนั้น
พระเยซูเสด็จออกจากบ้านไปประทับริมทะเลสาบ(กาลิลี) 
2 มีคนจำนวนมากเข้ามารุมล้อมพระองค์ 
พระองค์จึงทรงลงไปในเรือ และประทับนั่งลง
ส่วนประชาชนยืนอยู่ริมฝั่ง
3 แล้วพระเยซูทรงใช้เรื่องอุปมา
สอนพวกเขาหลายสิ่ง พระองค์ตรัสว่า
“มีชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพันธุ์ 
4 ขณะที่เขาหว่านนั้น บางเมล็ดก็ตกลงตามหนทาง
พวกนกก็มาจิกกินไปจนหมด


5 บางเมล็ดตกลงบนพื้นที่เป็นกรวด
ซึ่งมีเนื้อดินน้อย
เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นอย่างเร็ว
เพราะดินไม่ลึก
6 แต่เมื่อแสงแดดส่องลงมา
ต้นอ่อนก็เหี่ยวแห้งไป เพราะไม่มีรากลึก
7 เมล็ดอื่น ๆ ตกลงท่ามกลางพุ่มไม้หนาม
ซึ่งเติบโตทับและทำให้ต้นพืชตายไป   
8 เมล็ดที่เหลือตกลงไปในดินดี
ซึ่งทำให้ต้นไม้เติบโตและออกผลร้อยเท่าบ้าง
หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง
9 ใครที่มีหูเพื่อฟัง ก็จงฟังเถิด 

ขอคำอธิบาย
10 พวกศิษย์ก็มาหาพระองค์ ทูลถามว่า
“เหตุใดพระองค์ท่านจึงใช้เรื่องอุปมาสอนประชาชนขอรับ?”
11 พระเยซูตรัสตอบว่า “เพราะเจ้าได้รับเลือกที่จะให้เข้าใจความลึกลับแห่งแผ่นดินสวรรค์ 
แต่มิได้ทรงให้กับพวกเขา
12 คนที่มีความเข้าใจ ก็จะได้รับมากขึ้น
และพวกเขาก็จะมีอย่างมากมาย
แต่สำหรับคนที่ไม่เข้าใจ
แม้แต่ที่เขามีอยู่น้อยนิด ก็จะถูกเอาไปจากเขา 
13 เพราะเหตุนี้ เราจึงใช้เรื่องอุปมาสอนพวกเขา
พวกเขามอง แต่ก็ไม่เห็น 
พวกเขาฟังอยู่ แต่ก็ไม่เข้าใจหรือได้ยินจริง ๆ


 

14 ซึ่งก็เป็นจริงตามที่อิสยาห์กล่าวถึงพวกเขาว่า
‘เจ้าฟังแล้วฟังเล่า แต่ก็ไม่เข้าใจ เจ้ามองดูแล้ว
มองดูเล่าแต่ก็ไม่หยั่งรู้ 
15 เพราะใจของคนเหล่านี้แข็งด้านชาไป 

พวกเขาไม่ได้ยินด้วยหู พวกเขาปิดตา
ไม่อย่างนั้นแล้ว ตาของเขาจะได้เห็น 
ได้ยินด้วยหู  และใจก็จะเข้าใจจริง ๆ
แล้วหันกลับมาหาเรา
และได้รับการบำบัดรักษาให้หาย’ อิสยาห์ 6:9-10
16 แต่ดวงตาของเจ้าเป็นสุข
เพราะเจ้ามองด้วยตา และได้ยินด้วยหู 
17 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า
ผู้เผยพระดำรัส และคนเที่ยงธรรมมากมาย
ต้องการที่จะเห็นสิ่งที่เจ้าเห็นเวลานี้ 
แต่พวกเขาก็ไม่ได้เห็น
และพวกเขาต้องการที่จะได้ยินสิ่งที่เจ้าได้ฟังตอนนี้
แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีโอกาสฟัง


ทรงอธิบายความหมาย
18 “จงฟังความหมายของเรื่องอุปมาผู้หว่าน
19 เมล็ดพืชที่ตกลงไปตามหนทางนั้น
เปรียบเหมือนคนที่ได้ยินพระคำเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าแล้วแต่ก็ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มา
และกระชากสิ่งที่หว่านลงไปในใจของเขา
20 แล้วเมล็ดที่ตกลงไปในพื้นที่มีกรวดเนื้อดินน้อยเล่า?
เมล็ดนั้นเป็นเหมือนคนที่ได้ยินพระคำแลัว
ก็รับไว้ด้วยความยินดี
21 แต่เขาไม่ยอมให้คำสอนนั้นลงลึกเข้าไปในชีวิตของเขา
ดังนั้น จึงเก็บไว้เพียงชั่วคราว เมื่อมีปัญหาเข้ามา
มีการข่มเหงเนื่องจากพระคำนั้น จึงเลิกเชื่ออย่างรวดเร็ว 


22แล้วเมล็ดที่ตกลงบนพุ่มไม้หนามเล่า? 
เมล็ดนั้นเป็นเหมือนคนที่ฟังพระคำ
แต่ปล่อยให้ความกังวลในชีวิตนี้
และการทดลองเรื่องทรัพย์สมบัติเป็นอุปสรรค
ทำให้ไม่อาจเติบโตได้
23 ส่วนเมล็ดพืชที่ตกลงบนดินดี
เมล็ดนั้นเป็นเหมือนคนที่ได้ยินพระคำและเข้าใจ
และเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่า
ของที่ได้หว่านลงไป

คำอุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์ดีและวัชพืช 
24 แล้วพระเยซูเล่าเรื่องอุปมาอีกว่า
“แผ่นดินสวรรค์มาเป็นเหมือน
คนที่หว่านเมล็ดพันธุ์ดีลงในทุ่งของตน
25 แล้วคืนนั้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ 
ศัตรูของเขาก็เข้ามาหว่านวัชพืชปนไปกับข้าวดี 
แล้วก็จากไป
26 ต่อมาเมื่อข้าวดีงอกขึ้นออกรวง
วัชพืชก็โตขึ้นเช่นกัน 
27  คนรับใช้ของเขาจึงมาหาและกล่าวว่า
‘นายท่านหว่านข้าวดีไว้ในนามิใช่หรือขอรับ?

แล้ววัชพืชมาจากไหนกัน?’
28 เขาตอบว่า ‘มีศัตรูเข้ามาทำ’
‘แล้วนายท่านจะให้พวกเราไปถอนทิ้งไหม?’  
29 เขาตอบว่า ‘อย่าทำอย่างนั้น
เพราะหากเจ้าถอนวัชพืชออก
เจ้าก็อาจจะถอนข้าวสาลีออกไปด้วย 
30 ปล่อยให้ทั้งวัชพืชและข้าวสาลีขึ้นไปพร้อม ๆ กัน
จนถึงเวลาเกี่ยว
แล้วเราจะบอกให้คนเกี่ยวเก็บนั้น เก็บวัชพืชไปก่อน
แล้วจึงจะเก็บรวบรวมข้าวสาลีมาไว้ในยุ้งฉางของเรา’”

คำอุปมาเรื่องเมล็ดพันธ์มัสตาร์ดและเชื้อขนม
31 แล้วพระเยซูก็ทรงเล่าเรื่องอุปมาอีกเรื่อง
“แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด
ที่ชายคนหนึ่งเพาะในผืนนาของเขา
32 แม้ว่าเมล็ดนั้น เล็กกว่าเมล็ดพันธุ์อย่างอื่น  
แต่เมื่อมันงอกเ ติบโตขึ้น
มันก็กลายเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าพืชชนิดอื่น ๆ ในผืนนา
กลายเป็นต้นที่ฝูงนกมาสร้างรังบนกิ่งของมัน 


33 แล้วพระเยซูก็ทรงเล่าอุปมาอีกเรื่องว่า
“แผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนเชื้อขนมปัง
ที่ผสมลงไปในแป้งสามถังจนแป้งฟูขึ้นทั้งก้อน”
(ลูกา 13:20-21)
34 พระเยซูทรงใช้คำอุปมาเล่าเป็นเรื่องให้กับประชาชน พระองค์ไม่ได้ตรัสสอนอย่างอื่นเลย นอกจากเป็นเรื่องอุปมา   35 เพื่อให้เป็นไปตามที่ผู้เผยพระดำรัสได้กล่าวไว้ว่า
‘เราจะกล่าวเป็นเรื่องอุปมา
เราจะบอกสิ่งที่ลี้ลับตั้งแต่ครั้งที่ทรงสร้างโลก’”( สดุดี 78:2)  



คำอธิบายอุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์ดีและวัชพืช
36 แล้วพระเยซูทรงละจากประชาชน เข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ศิษย์ก็ทูลพระองค์ว่า
“ขอทรงอธิบายความหมายของ
อุปมาเรื่องวัชพืชด้วยขอรับ”
 37 พระเยซูตรัสตอบว่า
“ชายคนที่หว่างเมล็ดดีลงไปนั้นคือบุตรมนุษย์
38 ผืนนานั้นก็คือ โลกนี้ 
และเมล็ดพันธุ์ที่ดีนั้นคือลูก ๆ ของแผ่นดินพระเจ้า 
เมล็ดวัชพืชคือผู้คนที่เป็นของมารร้าย
39 ศัตรูที่มาหว่านวัชพืชก็คือมารนั่นเอง
เวลาเก็บเกี่ยวหมายถึงวันสิ้นยุค
และคนงานที่เก็บเกี่ยวคือ ทูตสวรรค์ของพระเจ้า
 40 “วัชพืชถูกถอนรากขึ้นมาและถูกเผาในไฟอย่างไร สถานการณ์วันสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น

 41 บุตรมนุษย์จะส่งทูตสวรรค์ของพระองค์ออกไป
และพวกเขาจะรวบรวมสิ่งที่เป็นต้นกำเนิดบาป
และกำจัดคนทำชั่วออกจากแผ่นดินของพระองค์ 
42 เหล่าทูตสวรรค์จะโยนพวกเขาลงไปในเตาไฟที่ลุกไหม้
ที่นั่นจะมีการร้องไห้ ขบกัดฟันด้วยความเจ็บปวด
 43 แล้วคนเที่ยงธรรมจะส่องแสง
เหมือนกับดวงอาทิตย์ในแผ่นดินของพระบิดาของพวกเขา
คนใดที่มีหู จงฟังเถิด” 



รื่องอุปมาถึงทรัพย์สมบัติกับไข่มุก
44 “แผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนทรัพย์สมบัติที่ถูกฝังไว้ในทุ่ง  ชายคนหนึ่งได้พบทรัพย์เหล่านั้น เขาจึงฝังไว้ในทุ่งอย่างเดิม เขามีความสุขมากจึงขายทุกสิ่งที่มีอยู่เพื่อไปซื้อทุ่งนั้น 


45 “ เช่นกัน แผ่นดินสวรรค์
เป็นเหมือนพ่อค้าที่ตามหาไข่มุกชั้นดี 
46 เมื่อเขาได้พบไข่มุกที่มีค่าล้ำ
เขาก็ไปขายทุกสิ่งที่มีอยู่ เพื่อซื้อไข่มุกนั้น50 ทูตสวรรค์จะโยนคนชั่วลงในเตาไฟที่กำลังไหม้อยู่ ที่นั่นผู้คนจะร้องและขบกัดฟันของตนด้วยความเจ็บปวด 
(ดูดาเนียล 3:11,19-30,42)
51 พระเยซูตรัสถามศิษย์ของพระองค์ว่า “เจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือไม่?” เขาตอบว่า “เข้าใจแล้วขอรับ”
52  แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า
“ดังนั้น ธรรมาจารย์ทุกคน
ที่ได้รับการเรียนรู้เรื่องแผ่นดินสวรรค์
ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่นำทั้งสิ่งใหม่และสิ่งเก่า
ออกมาจากคลังของตน”

อุปมาเรื่องอวนลากจับปลา
47 “เช่นกัน แผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนอวนลากจับปลา ที่ถูกโยนลงในทะเล และจับปลาได้หลายชนิดปนกันอยู่
 48 เมื่อปลาเต็มอวน ชาวประมงจะลากอวนขึ้นฝั่ง พวกเขานั่งลงและเลือกเอาปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาที่ไม่มีค่าก็จะโยนทิ้งไป
49 ในวันสิ้นยุคก็จะเป็นเช่นนี้ ทูตสวรรค์จะมาและแยกคนชั่วออกจากคนเที่ยงธรรม 


กลับไปยังบ้านเมืองที่ทรงเติบโตมา
53 เมื่อพระเยซูทรงสอนเสร็จแล้ว ก็เสด็จออกจากที่นั่น
54 พระองค์ทรงกลับไปยังบ้านเมืองที่ทรงเติบโตขึ้นมา (นาซาเร็ธ 2:23 ลูกา 2:39) ทรงเข้าไปสอนประชาชนในศาลาธรรม จนพวกเขารู้สึกประหลาดใจและกล่าวกันว่า “ชายคนนี้ได้สติปัญญาและฤทธิ์อำนาจทำการอัศจรรย์มาจากไหนกัน?
55 เขาเป็นแค่ลูกชายของช่างไม้ และมารดาคือมารีย์ น้องชายของเขาคือยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาสมิใช่หรือ?
56  น้องสาวของเขาทุกคนก็อยู่กับเรานี่นา  แล้วเขาได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหนกันนะ? ”
57  และพวกเขาจึงไม่พอใจพระองค์ แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ผู้เผยพระดำรัสจะได้รับเกียรติในทุกแห่ง ยกเว้นในเมือง และครอบครัวที่เขาเติบโตขึ้นมา”
58 ดังนั้นพระองค์จึงไม่ได้ทำการอัศจรรย์ที่นั่นมาก เพราะพวกเขาไม่มีความเชื่อ
 


อธิบายเพิ่มเติม

พระเยซูทรงเล่าคำอุปมาหลายเรื่องเป็นครั้งที่สามในมัทธิว  คำอุปมาเป็นคำสอนเรื่องฝ่ายวิญญาณโดยใช้เรื่องราวมาเล่าเปรียบเทียบให้ผู้ฟังได้เข้าใจง่ายขึ้น แทนที่จะสอนเป็นคำสอนตรง ๆ  อย่างเช่นเรื่องผู้หว่านเมล็ดพืชนี้ พระเยซูอาจจะเพียงบอกว่าคนเรามีหลายแบบ พวกฟังแล้วก็ลืม พวกที่ฟังแล้วก็ไม่สนใจเพราะต้องทำงานหรือมีเรื่องอื่น ๆ ฯลฯ อย่างนี้เป็นต้น แต่เหตุผลที่พระองค์ทรงใช้เรื่องราวนั้นแปลก พระองค์บอกว่า ความลึกลับของสวรรค์ ไม่ได้มีให้ทุกคน (11-12)  คนที่ไม่เข้าใจ ก็จะไม่เข้าใจอยู่นั่น ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เขาไม่สนใจท่ีจะเข้าใจ  ส่วนคนที่เข้าใจ ก็จะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เมื่อเขาตั้งใจตามหาความหมายของเรื่อง

นี่เป็นอุปมา เรื่องเล่าที่จะช่วยให้คนเข้าใจความลึกลับแห่งแผ่นดินสวรรค์
1. อุปมาเรื่องผู้หว่าน คนที่รับพระคำมีสี่แบบ
2. อุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์ดีและวัชพืช คนของพระเจ้า และคนของมารที่เติบโตไปด้วยกัน
3.อุปมาเรื่องเมล็ดพันธ์มัสตาร์ด ต้นมัสตาร์ดใหญ่ที่แปลกไปจากปกติ
4. อุปมาเรื่องเชื้อขนม เชื้อร้ายที่แพร่ไปในหมู่คนของพระเจ้า
5.อุปมาถึงทรัพย์สมบัติ ผู้ที่ยอมเสียทุกอย่างเพื่อทรัพย์ที่ถูกฝังไว้

6.อุปมาเรื่องไข่มุก ผู้ที่ยอมเสียทุกอย่างเพื่อไข่มุกที่เขาเห็นคุณค่า
7. อุปมาเรื่องอวนลากจับปลา การแยกความแตกต่างของคนที่ฟังกับคนที่ไม่ฟังพระเจ้า

8. อุปมาสั้น ๆ เรื่องเจ้าของบ้าน เมื่อเข้าใจก็ต้องรับผิดชอบ

13:1-2 จากบ้าน พระเยซูทรงตรงไปยังทะเลสาบ และที่นั่น มีเรือลำเล็ก ๆ อยู่ พระองค์ทรงลงไปประทับนั่งในเรือ ไม่ใช่เพื่อชมวิว แต่พระองค์ทรงสอนจากเรือเล็ก ๆ ลำนั้นพระองค์กำลังจะเล่าคำอุปมาให้กับประชาชนฟัง

13:3-9 วันนี้ทรงเล่าเรื่องผู้หว่านเมล็ดพันธุ์พืช
เมื่อหว่านพืช เมล็ดพืชก็อดไม่ได้ที่จะปลิวไปยังดินที่ผู้หว่านไม่ได้ตั้งใจ เขาตั้งใจว่า มันต้องตกในดินดีทั้งหมด แต่กลับเจอดินทั้งหมดสี่ชนิด
คือ ดินตามทาง ดินกรวด ดินมีต้นหนามและดินดี. เมล็ดตกตามกรวด มีดินบ้าง เมล็ดงอกได้ แต่ดินไม่ลึกจึงโตไม่ได้ เหี่ยวแห้งไป เพราะแดดส่องไม่ถึง
บ้างตกลงไปในพุ่มหนาม โตเป็นต้นเต็มที่ไม่ได้ ถูกต้นหนามรัดไว้ ส่วน เมล็ดที่ตกลงไปในดินดี เกิดผลหลายเท่าตามแต่ที่จะเกิด 
พระองค์ทรงอธิบายชัดว่า เกิดอะไรขึ้นกับเมล็ดที่ตกลงในดินที่ต่างชนิดกันแล้วพระเยซูทรงจบอุปมาเรื่องนี้ ด้วยคำว่า “ใครมีหูก็จงฟัง”

ขอคำอธิบาย
13:10-11 ศิษย์ของพระเยซูสงสัยว่า ทำไมพระเยซูทรงเล่าเรื่องอุปมา พวกเขาคงคิดว่า มันเป็นการยากที่จะแปลความหมายถ้าพระเยซูไม่ทรงแปลให้
ที่สรุปได้คือ การสอนเป็นคำอุปมานั้น ผู้สอนก็ต้องการทั้งปิดบัง(11) และเปิดเผย ความลึกลับของแผ่นดินสวรรค์ในเวลาเดียวกัน (13) เป็นการสอนหรือเทศนาแบบเดียวกับที่อิสยาห์เคยทำมาก่อน

13:12-13 การที่เราตอบสนองพระคำของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงอวยพระพรให้เราได้มากขึ้น เข้าใจขึ้น เกิดผลในชีวิตอย่างเห็นได้ชัด
เป้าหมายของพระเยซูคือ เปิดเผยความจริงของพระเจ้าต่อคนที่แสวงหา และปิดบังจากคนที่หันไปจากพระองค์

13:14-15 อิสยาห์เคยเตือนประชาชนถึงการลงโทษที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขาหากไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า แล้วอิสยาห์ก็พบว่า พวกเขาฟังเท่าไรก็ไม่เข้าใจ มองก็ไม่เห็น พวกเขาใจแข็งกับพระเจ้า พวกเขาได้ยินแต่ก็แค่ฟังผ่าน ๆ ซึ่งตรงนี้ คนสมัยใหม่อย่างเราต้องระวังมาก โทรศัพท์มือถือของเรานั้น ทำให้เราได้ฟังอะไรมากมาย ดูอะไรเยอะแยะ แต่แล้วเราก็ลืมไปง่าย ๆ ซึ่งเป็นผลดีหากสิ่งที่เราดูนั้นเป็นสิ่งที่ควรจะลืมไป แต่หากเราฟังเทศนา ฟังพระคำของพระเจ้า ฟังเสร็จลืมเลย นี่ก็น่าเป็นห่วง …
และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคนไม่ปิดหูปิดตา คนที่ตั้งใจฟัง เขาจะเห็น เขาจะได้ยิน และเข้าใจ และกลับมาหาพระเจ้า … พระเจ้าจะทรงบำบัดรักษา
พระคำตอนนี้ มีเพื่อเราในยุคใหม่ ตรงจุดที่เรากำลังเผชิญ!

13:16-17 คนที่อยู่ในยุคของพระเยซู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าศิษย์ที่ติดตามอย่างใกล้ชิดนั้น นับได้ว่า พวกเขาได้รับพระพรเกินกว่าใคร ๆ
พวกเขาได้อยู่ต่อพระพักตร์พระเมสสิยาห์ พระองค์ผู้ที่ชนอิสราเอลโบราณกว่าพวกเขาเฝ้ารอคอยและอยากเห็น อยากฟัง
เวลานั้นพวกเขาจะเข้าใจสิ่งที่พระเยซูตรัสหรือไม่ พวกเราซึ่งอยู่ในอนาคตก็อยากอยู่ตรงนั้นเหมือนพวกเขาเช่นกัน!

ทรงอธิบายความหมายความลึกลับของแผ่นดินสวรรค์
13:18 แล้วพระเยซูก็ทรงแปลความหมายอุปมาผู้หว่าน และเรื่องแรกนี้จะเป็นพื้นฐานทำให้เข้าใจเรื่องต่อไปง่ายขึ้นว่า สิ่งที่อยู่ในเรื่องนั้นมีความหมายอย่างไร

13:19 เมล็ดพืชนั้นอาจหมายถึงทั้ง พระคำของพระเจ้า พระกิตติคุณ หรือ แม้กระทั่งพระเยซูคริสต์เอง (พระองค์ทรงถูกฝัง และทรงคืนชีพขึ้นมา มีชีวิตคืนมาด้วยพลังยิ่งใหญ่ การสิ้นพระชนม์และการคืนพระชนม์นั้น เปรียบได้กับเมล็ดที่ต้องตาย เน่าเปื่อย จึงจะได้ชีวิตขึ้นมาผู้ที่ติดตามพระเยซูในยุคแรกนั้น ได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาจึงเกิดผลมาก) เราอ่านไปจริง ๆ แล้ว ดูเหมือนพระเยซูจะทรงเน้นเรื่องคุณภาพของดิน นั่นคือ หัวใจของผู้รับพระคำสี่แบบ เรื่องนี้จะช่วยเปลี่ยนใจของเราให้เป็นดินดีได้อย่างไร
เมล็ดพืชริมหนทางนั้น เป็นดินตามหนทางที่แข็งมาก คือพระคำที่ไปเจอกับคนที่ไม่เข้าใจ ผู้หว่านได้หว่านให้ทุกหูที่อยู่ ณ ที่นั้นได้ยินพระคำ แต่มีศัตรูมาฉกเอาพระคำนั้นไป ในมาระโก 4 บอกว่า นกมาจิกกิน ในเรื่องอุปมาที่พระเยซูเล่า นกนั้นมีความหมายถึงศัตรูของพระเจ้า เราพบกับตัวเองเสมอเมื่อเป็นพยานเรื่องพระเยซู คนที่เป็นดินแข็ง ใจแข็ง ก็จะทำแค่รับเออ เออ แต่เขาจะไม่รับพระคำของพระเจ้าเลย
มีคำถามว่า จะให้ดินแข็งกลายเป็นดินดีได้ไหม? ต้องได้สิ จำในหลวง ร.9 ของเราที่ทรงแกล้งดินด้วยวิธีต่าง ๆ … ในชีวิตฝ่ายวิญญาณ เราต้องมาหาองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ขอพระเจ้าทรงเปลี่ยนเราจากความเป็นดินแข็งให้กลายเป็นดินดี

13:20-21 เมล็ดตกพื้นกรวด ดินน้อย ก็คือ คนที่รับพระคำอย่างยินดี เวลานั้นเขาอาจมีความทุกข์ใจอะไรบางอย่าง พอพระคำของพระเจ้ามาถึงหู ก็เหมือนเป็นคำตอบสำหรับชีวิต หรือบางคนกำลังแสวงหาพระเจ้า พอได้ยินก็รู้สึกว่าใช่ … แต่เวลาผ่านไป ความตื่นเต้นนั้นจึดจาง คนรัก คนในครอบครัวไม่พอใจที่เขามาพบพระเจ้า เขาก็สวัสดี ลาจากพระองค์ไป เพราะเขาไม่อาจละทิ้งชีวิตเดิมได้
จะแก้ได้ก็โดยตระหนักว่า พระเจ้าทรงอยู่กับเราในทุกสถานการณ์ของชีวิต ไม่ว่าจะสุขล้ำ หรือทุกข์หนัก .. เราต้องเข้ามาด้วยถ่อมใจ รู้ว่า ทางของพระเจ้าดีที่สุด ไม่ว่าจะเห็นหรือไม่ ขอพระเจ้าทรงเปลี่ยนใจเราให้รักพระองค์มากกว่าสิ่งใดในโลกนี้

13:22 เมล็ดตกบนพุ่มไม้หนาม บางคนเรียกใจที่ถูกแบ่ง เขาได้ฟังพระคำแล้ว รับแล้ว แต่ว่ายังมีเรื่องต้องคิด ต้องกังวล เรื่องงาน ความก้าวหน้า
ต้องหาเงินเลี้ยงครอบครัว ท่วมสมอง ท่วมชีวิต เหล่านี้ทำให้แทบหายใจไม่ออก ความกังวลทับถม ไม่อาจเชื่อพระสัญญาที่พระเจ้าสอนให้วางใจพระองค์ในเรื่องนี้ได้ ดังนั้นสิ่งต่าง ๆ ที่มาแบ่งใจเราไปจากพระเจ้าจึงช่วยสนับสนุนให้ออกจากทางของพระเจ้าไป หรืออาจจะยังอยู่ในชุมชนของพระเจ้าแต่ไม่ได้โตขึ้นเลย เป็นเด็กฝ่ายวิญญาณอย่างไร ก็คงโตแค่นั้น ไม่สามาถโตไปได้มากกว่านี้
หนามเหล่านี้ พระเจ้าทรงเอาออกให้ได้ ดิน..คือเรา ต้องขอพระเจ้า และขอพลังให้เราพ้นผ่านหนามต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อชีวิต

13:23 เมล็ดที่ตกในดินดี ไม่ได้หมายถึงตกในคนทำความดี หรือคนใจกว้าง ใจดี แต่ตกในใจที่ฟัง ตั้งใจฟัง เป็นหูที่ได้ยิน เก็บเข้าไปคิด และรู้ว่า ตนเองต้องการพระวจนะของพระเจ้า คนที่เป็นดินดี คือคนที่ได้ยินและ เข้าใจ และแน่นอนต้องมาจากใจที่ถ่อมลง ยอมฟังพระคำ บางคนที่อายุมาก คิดว่าตัวเองเก่ง รู้หมดแล้ว ก็เลยไม่ฟังคนที่อายุน้อยกว่าพูดพระคำของพระเจ้า บางคนคิดว่าตัวเองจบสูงมาก จะไปฟังนักเทศน์เพิ่งจบทำไมเป็นต้น เราต้องถ่อมตนต่อพระคำของพระเจ้า เราอาจจะได้ยิน ได้เข้าใจในสิ่งที่ตัวคนพูดยังไม่ได้คิดถึงเสียด้วยซ้ำ เมื่อพระเจ้าจะประทานความคิด ความเข้าใจนั้น มันจะล้ำมาก มากกว่าที่เราจะคิดได้เอง
ดังนั้น ดินดีคือดินที่รับพระคำ มีความเข้าใจว่าสิ่งที่ได้ยิน ตรงกับน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ … และผลที่ตามมานั้นยอดเยี่ยม คือเมล็ด พลังแห่งพระคำของพระเจ้า จะหยั่งรากในดินนี้ และจะเกิดผลหลายสิบเท่า หรือหลายร้อยเท่าของที่หว่านลงไป
แล้วตัวอย่างก็ชัดเจน ทุกหูที่ฟังอย่างตั้งใจ ถ่อมใจ คริสตจักรยุคแรก จากผู้คนที่ตั้งใจฟังพระเยซูและได้รับฤทธิ์แห่งชีวิตจากพระองค์ ก้าวออกไปสู่โลกกว้างที่พวกเขาไม่เคยไปมาก่อน แล้วเกิดผลมากจนทุกวันนี้

และต่อไปจากนี้จนถึงเรื่องสุดท้าย พระเยซูคริสต์ทรงเปิดเผยบางอย่างที่ยิวไม่เคยรู้มาก่อน พวกเราอ่าน และเข้าใจในฐานะที่เป็นคริสตจักรทันที แต่ในสมัยพระคัมภีร์เดิม และช่วงชีวิตของพระเยซูนั้น ไม่มีใครเข้าใจคำว่าคริสตจักรเลย นี่เป็นความลึกลับของแผ่นดินสวรรค์ ซึ่งมารไม่รู้มาก่อน พวกเขาที่ได้ยินเรื่องทั้งหมดก็งุนงงกับสิ่งที่พระเยซูตรัสสอน

คำอุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์ดีและวัชพืช 
13:24 -26 แล้วพระเยซูก็ตรัสว่า แผ่นดินสวรรค์มาเป็นเหมือน นี่เป็นคำที่สำคัญเพราะบ่งบอกว่า มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในแผนการของพระเจ้า
ทำไมล่ะ … เพราะมีอิสราเอลไม่ยอมรับพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พวกเขาเองรอคอย เกิดอะไรขึ้นกับแผนการของพระเจ้า
ชาวสวนท่านนี้ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดีในทุ่ง (ต้นเรื่องคล้ายกับพระเจ้าที่ทรงปลูกองุ่นดี แล้วมันกลายเป็นองุ่นเปรี้ยวในอิสยาห์ 5 ) เมล็ดดีคำนี้ กรีกว่า σῖτος สิโตส หมายถึงธัญพืชหรือข้าวสาลี ส่วนวัชพืช ภาษาไทยคือ พืชที่ไม่ต้องการ ต้องทิ้งไป กรีกว่า ζιζάνια ซิซาเนีย เป็นวัชพืชที่ตอนต้นเล็กจะหน้าตารูปร่างเหมือนข้าวสาลีไม่มีผิด จนกระทั่งเริ่มออกรวงก็จะเห็นว่ามีความแตกต่างกันอย่างมากในการออกรวง รากของทั้งสองที่เกิดมาพร้อม ๆ กันก็จะพันกันในดิน ยากที่จะเอาออกจากกัน
ศัตรูที่เข้ามาหว่านเมล็ดวัชพืชก็ไม่ได้หว่านริม ๆ ขอบ ๆ ไร่นา แต่หว่านปนไปตามพื้นที่ ๆ เจ้าของไร่หว่านอยู่แล้ว

13:27-29คนรับใช้ได้มาแจ้งนายว่า พวกเขาเห็นวัชพืชโตไปพร้อมกับข้าวสาลี เกิดอะไรขึ้นกัน นายรู้ว่า มีศัตรูเข้ามาหว่านวัชพืช คนรับใช้ถามทันทีว่าให้ถอนทิ้งหรือไม่ .. จะให้ทำลายคนของโลกไปทันทีเลยหรือไม่ แต่เราจะเห็นว่า เจ้าของไร่ให้รอ… เขาจะแยกมันออกทีหลัง การทำลายวัชพืชอาจไปทำลายข้าวดีไปพร้อมกันโดยไม่จำเป็น พระเจ้าทรงอนุญาตให้คนของพระองค์อยู่ในโลกไปพร้อม ๆ กับคนที่ปฏิเสธพระองค์

13:30 เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว เจ้าของไร่จะให้คนรับใช้แยกวัชพืชกับข้าวดีออกจากกัน เอ… เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องไปต่อที่ข้อ 36-43

คำอุปมาเรื่องเมล็ดพันธ์มัสตาร์ดและเชื้อขนม
13:31-32 แล้วพระเยซูก็ทรงเปรียบเทียบแผ่นดินสวรรค์กับเมล็ดมัสตาร์ดที่ถูกเพาะขึ้น (การแปลความหมายของเรื่องนี้ จะแตกต่างจากที่เคยได้ยินขอให้ผู้อ่านพิจารณาเอง ที่นิยมแปลกันคือ พระคำของพระเจ้าเริ่มจากจุดเล็ก ๆ และเติบใหญ่จนมีคนเข้ามาพักพิงในพระเจ้าเป็นจำนวนมาก )
เมล็ดมัสตาร์ดนั้น เล็กกว่าเมล็ดอื่นก็จริง แต่เมื่อเติบโตมันจะเป็นไม้พุ่ม จึงไม่โตมาก แต่จะมีบางพันธุ์ที่สูง 12-15 ฟุต แต่ก็ยังเป็นไม้พุ่มที่ไม่อาจรับน้ำหนักนกเยอะ ๆ ได้ การกลายเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าต้นอื่น ๆ นับได้ว่า ผิดปกติของต้นมัสตาร์ด และพระเยซูยังตรัสว่า มีฝูงนกมาสร้างรังบนกิ่งของมัน และพระองค์ไม่ได้แปลความหมายของอุปมาเรื่องนี้ เราจึงต้องพยายามหาคำอธิบายที่ตรงกันกับความหมายของพระเยซูจากเรื่องอื่น ๆ
ถ้าเราจะดูจากคำอุปมาเรื่องดินสี่ชนิดนั้น เราจะพบว่า พระเยซูทรงเปรียบนกว่าเป็นศัตรูที่มาจิกเอาพระวจนะออกไป นั่นคือซาตานโดยตรง (จากมาระโก 4 ) ต้นไม้มักมีความหมายถึงอำนาจของโลก
เราจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในโลกนี้คือ มีคริสตจักร กลุ่มผู้เชื่อ นิกาย มากมายที่อ้างว่าตนเองเป็นคริสเตียน แต่ในคำสอนของพวกเขาก็ยังมีความตั้งใจที่จะสอนผิด เป็นความจงใจที่จะต่อต้านพระคำของพระเจ้า
อย่างเช่นพยานพระยะโฮวา มอร์มอน ยังมีคนสอนผิดอยู่ดาษดื่นในสังคม แต่อ้างพระเยซู พวกนี้เป็นเหมือนนกที่มาทำรังเพื่อทำลายแผ่นดินของพระเจ้า

13:33 ส่วนอุปมาเชื้อขนมปังก็เป็นเหมือนกัน คำว่าเชื้อขนมปังนี้ สื่อให้เห็นถึงเชื้อคำสอนที่แตกต่างจากพระเจ้า และเมื่อใดที่เรายอมให้เข้ามาอยู่ในชุมชนผู้เชื่อโดยไม่ตรวจสอบ เชื้อนั้นก็จะแพร่ไปเป็นเนื้อร้ายเพื่อทำลายชุมชนของพระเจ้า

13:34-35 สดุดี 78:2 อาสาฟได้กล่าวล่วงหน้าว่า พระเยซูจะทรงสอนเป็นคำอุปมา ซึ่งเห็นภาพชัดเจนในบทนี้ ที่จริง น่าสงสัยเหมือนกันว่า ในยุคของพระองค์นั้น จะมีกี่คนที่เข้าใจคำอุปมาเหล่านี้จริง ๆ

คำอธิบายอุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์ดีและวัชพืช
13:36 จากนั้น พระเยซูก็ทรงเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ส่วนศิษย์ก็อดไม่ได้เพราะยังคาใจในความหมายของเมล็ดพันธุ์ดี และวัชพืช พวกเขาขอให้พระองค์อธิบายความ

13:37 ครั้งนี้น่าสนใจมาก เพราะพระองค์ทรงบอกว่า ชายที่หว่านเมล็ดดีคือ พระองค์เอง และทรงเรียกพระองค์เองว่า บุตรมนุษย์ (ซึ่งเป็นคำที่มาจากหนังสือดาเนียล 7:13-14 มีความหมายถึงพระเจ้าที่ทรงลงมาเป็นพระเมสสิยาห์ ทุกคนที่เป็นธรรมาจารย์ คนเรียนพระคัมภีร์เดิมจะเข้าใจดีว่า คำว่าบุตรมนุษย์หมายถึงพระเจ้า นี่เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้พวกฟาริสี ธรรมาจารย์โกรธพระองค์)

13:38 บุตรมนุษย์ได้ประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับผู้ที่เชื่อวางใจ แต่คนที่ไม่เชื่อนั้นเป็นคนของมาร เมื่อถึงวันสุดท้าย พระเจ้าจะทรงส่งทูตสวรรค์มาคัด แยกคนสองประเภทนี้ออกจากกันอย่างชัดเจน

13:39-42 มารเองก็ได้หว่านผู้คนที่ชั่วร้ายไว้บนโลกเช่นกัน ผู้คนที่หลงตามมารไปมีมากมาย ท่วมท้นในโลกนี้ แต่พวกเขาที่ดึงดัน ดื้อดึงต่อพระเจ้า พวกเที่พยายามบีบคั้น เคี่ยวเข็ญผู้เชื่อ ใช้อำนาจบาทใหญ่กับคนของพระองค์ จะถูกทูตสวรรค์เก็บเกี่ยวไป และถูกกำจัดไปจากแผ่นดินของพระองค์ และพวกเขาจะถูกโยนลงเตาไฟที่ลุกไหม้ ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งพระเยซูตรัสถึงหลายต่อหลายครั้ง

13:43 พระเยซูทรงมาสรุปว่า คนของพระองค์จะส่องแสงราวดวงอาทิตย์ เหมือนอย่างที่เขียนไว้ใน ดาเนียล 12:3

รื่องอุปมาถึงทรัพย์สมบัติกับไข่มุก
13:44 -46 อุปมาทั้งสองเรื่องนี้ มีความหมายอันเดียวกัน และที่เคยแปลมาก็อาจจะต้องมาทบทวนใหม่อีกที เรามักแปลกันว่า มนุษย์มาพบพระเจ้าแล้วก็ดีใจ สละทุกสิ่งที่มีอยู่เพื่อตามพระเจ้า แต่สิ่งที่เราเห็นจากทั้งสองเรื่องนี้คือ ชายคนที่พบสมบัติและไข่มุกนั้นมีความสุขมากที่ค้นพบสิ่งที่มีค่าในสายตาของเขา เขาเห็นค่าของทั้งสองสิ่งนั้น จากนั้นเขาก็ขายทุกสิ่งที่มีอยู่เพื่อจะได้สิ่งที่มีค่านี้มา
ความเห็นที่ค้านจากการแปลความหมายแบบเดิมคือ
1. พระเยซูไม่ใช่ทรัพย์หรือไข่มุกที่ถูกซ่อนไว้ พระเยซูทรงเป็นผู้มีชื่อเสียง
โลกตะวันตกต่างรู้จักพระองค์กันทั้งนั้น
2.ถ้าเป็นมนุษย์ทั่วไปแล้ว ไม่แสวงหาพระเจ้า.. “ไม่มีสักคนเดียวที่มีความเที่ยงธรรม ไม่มีแม้แต่คนเดียว ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า“(โรม 3:10-11) ดังนั้นชายคนนี้จึงไม่ใช่คนทั่วไป
3. พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อซื้อคนบาปทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์กลับไปเป็นของพระเจ้า .. พระองค์คือผู้ที่เห็นคุณค่าของมนุษย์ที่ทรงสร้างมา แม้ว่าเขาเป็นคนบาป แต่เมื่อเขายอมเชื่อวางใจพระองค์ เขาจึงมีค่าขึ้นมาได้เพราะพระเจ้าทรงสร้างเขามา
** อย่างไรก็ดี ยังมีความเห็นอื่นของผู้อธิบายพระคัมภีร์ว่า ชายที่ค้นพบขุมทรัพย์และไข่มุกคือ เหล่าศิษย์ของพระเยซู ที่จะต้องสละชีวิตของพวกเขาทั้งสิ้น
เพื่อที่จะได้แผ่นดินของพระเจ้ามา

อุปมาเรื่องอวนลากจับปลา
13:47-48 พระเยซูยังทรงเปรียบแผ่นดินสวรรค์เหมือนอวนลาก (ใช้เรือสองลำลากอวนเข้าฝั่ง) ในอวนที่จับปลามานั้น ได้ปลามาหลายชนิด เมื่อถึงฝั่ง ก็จะทำการเลือกปลาดี ปลาไม่ดีก็ทิ้งไป

13:49-51 แล้วพระเยซูก็ทรงกล่าวถึงวันสุดท้ายของโลก ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะมาเป็นผู้แยกคนที่เชื่อ กับคนที่ไม่เชื่อ และคนที่ไม่เชื่อจะถูกโยนลงในนรก! ณ ที่นั้น คนทั้งหลายจะร้องเสียงดัง ขบฟันด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่ง เท่ากับว่า อุปมาเรื่องนี้ พระเยซูทรงเล่าและแปลความหมายให้พร้อม ๆ กันไป และพระองค์ทรงถามศิษย์ว่า เขาใจหรือไม่ … พอพวกเขาตอบว่าเข้าใจ พระองค์ก็ทรงบอกอุปมาสั้น ๆ อีกเรื่อง !

13:52 คนใดที่เข้าใจแล้ว เขาก็เหมือนผู้รู้ เป็นอาจารย์แล้ว เข้าใจเรื่องของแผ่นดินสวรรค์ จากนั้น พวกเขาจะต้องรับผิดชอบในการนำสิ่งใหม่ และเก่าที่เคยเรียนรู้มา แบ่งปันให้กับผู้คน จะเก็บเอาไว้ในใจคนเดียวไม่ได้ ต้องแบ่งปัน เพราะนั่นคือ หน้าที่ของคนที่รู้!

กลับไปยังบ้านเมืองที่ทรงเติบโตมา
ตอนนี้ พระเยซูทรงพบการต่อต้านจากคนที่บ้านเกิดและในบทต่อไปจากผู้ปกครองที่ส่งมาจากโรมด้วย แม้ประชาชนจะติดตามพระองค์ แต่ก็ไม่ได้ไกล เพราะพวกเขายากจน ไม่อาจเดินทางไปไกล ๆ กับพระองค์ได้  หลังจากที่สอนจนช่ำพระทัยแล้ว พระองค์ก็เสด็จออกจากที่นั่น

13:53 พระองค์ทรงกลับไปบ้านเกิดและทรงเข้าไปสอนในธรรมศาลา ไม่ได้ประทับสอนใต้ต้นไม้ หรือในบ้านใครคนที่ฟังต่างประหลาดใจเพราะพระองค์ทรงปัญญา และทรงฤทธิ์ทำการอัศจรรย์ต่อหน้าพวกเขาด้วย … ตรงนี้เราเห็นว่า คนยอมรับพระปัญญาที่ยิ่งใหญ่   แต่ไม่ยอมรับพระองค์

13:55-56  คำตอบนั้น มาพร้อมกับความรู้สึกเหยียดหยาม ชิงชัง  พระเยซูเป็นคนในครอบครัวช่างไม้  ไม่ได้ร่ำรวย ใหญ่โต แต่เป็นครอบครัวธรรมดามาก ๆ  และพระคำตอนนี้ทำให้เรารู้ว่า โยเซฟกับมารีย์ได้มีลูกสาว ลูกชายต่อมา อย่างน้อยก็มีน้องชายของพระเยซูอีก สี่คน เราไม่ทราบว่า น้องสาวมีกี่คน  (คาธอลิกเชื่อว่า มารีย์เป็นสาวพรหมจารีตลอดไป

13:57. เมื่อสืบสาวราวเรื่องว่า พระองค์ทรงเป็นใครในเมือง … พวกเขาก็ไม่พอใจที่จะฟังคำของพระองค์  ทั้งที่รู้ว่า พระองค์ทรงมีสติปัญญาล้ำ มีฤทธิ์เหนือธรรมชาติ แต่..มนุษย์ก็คือมนุษย์ พวกเขาพอใจที่จะเหยียดคนอื่น และเห็นว่าตนเองดีกว่าเสมอ.  และพระเยซูเองก็ทรงยืนยันตามนั้น 

13:58  ที่น่าเสียดายคือ การที่พวกเขาหมิ่นพระองค์  ไม่เชื่อ พระองค์จึงไม่ได้ทำการอัศจรรย์ รักษาโรค ไล่ผีสิงต่าง ๆ มากเหมือนอย่างเมืองอื่น ๆ  ตรงนี้ เราจะเห็นชัดว่า เหตุใดในชีวิตบางคนจึงมีการอัศจรรย์เกิดขึ้นมากกว่าบางคน  พระเจ้าทรงฤทธิ์องค์เดียวกัน  ฤทธิ์เดชของพระองค์จะเทลงมายังคนที่มีความเชื่อ  เพราะความเชื่อนั้น ถวายพระเกียรติ ความเชื่อนั้นทำให้คนเห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้า  ความเชื่อและฤทธิ์เดชของพระเจ้าเหมือนกับแม่เหล็กขั้วต่างกันที่ดึงดูดเข้าหากันเสมอ 



บรรณานุกรมของบทที่ 13
https://brandywine.church/wp-content/uploads/2021/06/The-Parable-of-the-Sower-and-the-Seed-sermon-notes.pdf
https://www.youtube.com/watch?v=fQHkF4J1wh4

พระคำเชื่อมโยง

มัทธิว 13
1* มาระโก 4:1-12
2*ลูกา 8:4; 5:3
3* ลูกา 8:5
8* ปฐมกาล 26:12
9* มัทธิว 11:5
11* มาระโก 4:10-11
12* มัทธิว 25:29
14* อิสยาห์ 6:9-10; ยอห์น 3:36
15* ฮีบรู 5:11; ลูกา 19:42; กิจการ 28:26-27
16* ลูกา 10:23-24



17* ฮีบรู 11:13
18* มาระโก 4:13-20
19* มัทธิว 4:23
20* อิสยาห์ 58:2
21* กิจการ 14:22; มัทธิว 11:6
22* 1 ทิโมธี  6:9; เยเรมีย์ 4:3
23* โคโลสี 1:6
30* มัทธิว 3:12
31* ลูกา 13:18-19
32* เอเสเคียล 17:22-24; 31:3-9
33* ลูกา 13:20-21; 1 โครินธ์ 5:6
34* มาระโก 4:33-34
35* สดุดี 78:2; เอเฟซัส 3:9
38* โรม 10:18; ยอห์น 8:44

39* วิวรณ์ 14:15
41* มัทธิว 18:7
42* วิวรณ์ 19:20; 20:10; มัทธิว 8:12; 13:50
43* ดาเนียล 12:3; มัทธิว 13:9
44* ฟีลิปปี 3:7-8; อิสยาห์ 51:1
46* สุภาษิต 2:4; 3:14-15; 8:10, 19
47* มัทธิว 22:9-10
49* มัทธิว 25:32
52* บทเพลงโซโลมอน 7:13
54* ลูกา 4:16; สดุดี 22:22
55* ยอห์น 6:42; มัทธิว 12:46; มาระโก 15:40
57* มัทธิว 11:6 ; ลูกา 4:24
58* มาระโก 6:5-6