ทิตัส 3 สิ่งที่ดีเลิศ

ทิตัส 3:1-2
จงเตือนให้พวกเขายอมฟังผู้ปกครองและเจ้าบ้านผ่านเมือง
ให้เชื่อฟัง และพร้อมที่จะทำงานสุจริตทุกอย่าง
อย่าพูดให้ร้ายผู้ใด หลีกเลี่ยงการวิวาท อ่อนโยน และแสดงความสุภาพต่อทุกคน


ทิตัส 3:3
ในอดีต เราก็เคยโง่เขลา เราไม่เชื่อฟัง
เราถูกหลอก และเป็นทาสสิ่งต่าง ๆ ที่ร่างกายเร่าร้อนหาและมีความสุขกับมันเราใช้ชีวิตในการทำชั่ว และอิจฉาเขาไปทั่ว
มีคนที่เกลียดชังเรา และเกลียดชังกันและกัน


ทิตัส 3:4-5
แต่เมื่อความดีและความรักมั่นคงของพระเจ้าพระผู้ช่วยของเราปรากฏขึ้นพระองค์ทรงช่วยเราไม่ใช่เพราะความดีที่เราทำอย่างถูกต้องกับพระองค์ แต่เพราะพระกรุณาของพระองค์ ทรงชำระเราทำให้เราเป็นคนใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

ทิตัส 3:6-7
พระองค์ทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่เราอย่างล้นเหลือผ่านทางพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา และเมื่อเราได้
รับการประกาศว่าเป็นผู้ที่ถูกต้องกับพระเจ้าด้วยพระคุณของพระองค์แล้วเราก็มีความหวังใจที่จะรับชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก

ทิตัส 3:8
คำสอนนี้เป็นคำสอนที่ไว้ใจได้ และข้าต้องการให้เจ้า กล่าวย้ำแก่พี่น้องถึงสิ่งเหล่านี้จริง ๆ เพื่อคนที่เชื่อในพระเจ้าจะมีชีวิตที่ระมัดระวัง ใช้ชีวิตในการทำดี สิ่งเหล่านี้ดีเลิศ และจะเป็นประโยชน์แก่ทุกคน


ทิตัส 3:9
แต่ขอให้อยู่ห่าง ๆ การโต้เถียงที่โง่เขลาและการพูดเรื่องลำดับวงศ์วานที่ไม่มีประโยชน์ รวมไปถึงการโต้แย้ง และการทุ่มเถียงเรื่องบทบัญญัติ เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่มีประโยชน์อันใด และไม่ได้ช่วยใครเลย!


ทิตัส 3:10-11
หลังจากที่ได้เตือนมาแล้วครั้งหรือสองครั้ง ก็ขอให้หลีกเลี่ยง ไม่เกี่ยวข้องกับคนที่สร้างความแตกแยกอีกต่อไป เจ้ารู้อยู่ว่า คนเช่นนี้ เป็นคนชั่ว และบาปหนา ความบาปของพวกเขานั้น
กล่าวโทษพวกเขาเอง


ทิตัส 3:12-13
เมื่อข้าได้ส่งอาร์เทมาสหรือทีคิกัสมาหาเจ้านั้น เจ้าจะพยายามมาหาข้าที่นิโคบุรีเพราะฤดูหนาวปีนี้ข้าตั้งใจจะพักที่นี่ จงทำทุกสิ่งที่ทำได้ เพื่อช่วยทนายความเศนาส และอปอลโลในการเดินทางของเขา เพื่อว่าเขาจะได้มีทุกสิ่งที่จำเป็น ไม่ขาดสิ่งใด

ทิตัส 3:14-15
คนของเราต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในการทำสิ่งดีเพื่อเตรียมสิ่งที่จำเป็นในชีวิตเพื่อว่าพวกเขาจะไม่เป็นคนไร้ประโยชน์
ทุกคนที่อยู่กับข้า ขอฝากความคิดถึงมาด้วย ขอฝากความคิดถึงไปยังทุกคนที่รักเรา ที่มีความเชื่อเดียวกัน
ขอพระคุณจงอยู่กับท่านทุกคน

อธิบายเพิ่มเติม

ทิตัส 3:1-2
พวกเขาในที่นี้ก็คือ พี่น้องชาวครีตที่เชื่อ ที่อยู่ในคริสตจักรนั่นเอง อย่าลืมว่า เดิมนั้นพวกเขาเป็นคนที่ใช้วาจาให้ร้ายคนอื่นเสมอ ชอบชวนตี และเป็นคนที่ไร้มารยาท ศีลธรรม แต่เมื่อเขามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เมื่อพระเจ้าทรงเปลี่ยนพวกเขาแล้วก็อย่ากลับไปเป็นคนแบบนั้นอีก จะเห็นว่า ท่านเปาโลเน้นชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่กลับไปกลับมา พวกเขาจะต้องมีผลของพระวิญญาณในเรื่องการควบคุมตนเองให้ได้
ทิตัส 3:3
ท่านเปาโลได้ยอมรับให้ทิตัสและพี่น้องที่อ่านจดหมายนี้ฉบับนี้ทราบว่า ในอดีต ท่านและทิตัสก็เป็นเหมือนกับพี่น้อง ทั้งโง่ ไม่เชื่อฟัง ถูกหลอกติดกับของกิเลสตนเอง ชีวิตทำชั่ว ขี้อิจฉา และเกลียดชัง เราจะเห็นว่า ท่านเปาโลก็เป็นแบบนี้ก่อนที่จะมารู้จักพระเจ้า ท่านทำให้โลกของคริสเตียนปั่นป่วนไปหมดเพราะความที่ไม่เข้าใจว่า เหตุใดคนยิวจึงหันไปเชื่อพระเยซูกันมากมาย ทำไมจึงติดตามคำสอนของเหล่าอัครทูตที่การศึกษาน้อย
ทิตัส 3:4-5
ท่านเปาโลยืนยันว่า พี่น้องจะต้องใช้ชีวิตแตกต่างจากอดีต และการเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดขึ้นได้เพราะพระเจ้าทรงชำระพวกเขาให้เป็นคนใหม่ด้วยฤทธิ์แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ด้วยความพยายามของพวกเขาเอง พระกรุณาคุณของพระเจ้าที่มีต่อคนบาปอย่างพวกเรา ทำให้เราที่เข้ามาเชื่อได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างแท้จริง สำหรับคนที่เคยชั่วร้าย มาก่อน การเปลี่ยนแปลงนี้จะเห็นชัดเจนมาก
ทิตัส 3:6-7
ท่านเปาโลกำลังบอกเราการที่พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้เข้ามาประทับในชีวิตของผู้เชื่อเมื่อเขาบังเกิดใหม่ พระวิญญาณทรงมาในชีวิตเพราะพระเยซูทรงสัญญาไว้ให้เราก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ (ยอห์น 14-16) สมัยก่อนพระเยซูจะเสด็จมานั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงมอบพระวิญญาณให้ผู้เชื่อแบบนี้ และเมื่อ ทรงประกาศว่า เราเป็นคนเที่ยงธรรม (เป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า) เราก็ได้รับชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก
ทิตัส 3:8
ท่านเปาโลต้องการให้ทิตัสสอนย้ำแล้วย้ำอีกในเรื่องการใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง ดี เป็นประโยชน์ต่อชุมชนที่พวกเขาอยู่ การทำดีไม่ได้เป็นเหตุให้พี่น้อง
รับความรอด แต่เป็นเพราะพวกเขารับความรอดจากพระเยซูคริสต์ จึงส่งผลให้ชีวิตของเขาแตกต่างเป็นประโยชน์กับชุมชน เราจะเห็นการงานของ
ผู้รับใช้มากมายที่ไม่ได้แค่ประกาศข่าวประเสริฐ แต่มีการสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล โรงพิมพ์ ฯลฯเพื่อพัฒนาคนและพื้นที่
ทิตัส 3:9
เราฟันธงได้เลยว่า เมื่อเกิดการโต้แย้งที่ต้องการแค่เอาชนะ ไม่ใช่ต้องการหาคำตอบแท้จริง สิ่งที่จะเกิดตามมา คือความเกลียดชัง แบ่งเป็นสองฝ่าย
และกลายเป็นสงครามระหว่างสองฝ่ายได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ตอนที่โต้เถียงกันนั้น แต่ละฝ่ายต่างคิดว่าตนเองคิดถูกที่สุด แม้ว่าจะจนตรอกก็ยัง
ยืนหยัดในกรอบความคิดเดิมที่ไม่อาจเปลี่ยนได้ดังนั้น การโต้เถียงที่โง่เขลาจึงเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง การคุยกันด้วยความรักเป็นสิ่งที่ดีกว่า
ทิตัส 3:10-11
จะเห็นว่า สำหรับท่านเปาโลแล้ว จุดสำคัญของเรื่องคือการที่พี่น้องในเกาะครีตจะต้องฉลาด ใช้ปัญญาโดยการไม่เกี่ยวข้องกับใครก็ตามที่มีแนวโน้มจะ
สร้างความแตกแยกระหว่างพี่น้องในคริสตจักร คนที่จะสร้างความเจริญที่เก่ง มีปัญญา สามารถพัฒนาชุมชนโดยที่ให้มีความแตกแยกน้อยที่สุดได้
การอธิบายให้เข้าใจ ทำตัวอย่างให้เห็น แทนที่จะใช้เสียงดังสุด ใช้คำหยาบคายสุดอย่างที่ใช้กันในหมู่นักเดินประท้วงทุกวันนี้
ทิตัส 3:12-13
เมืองนิโคบุรี หรือนิโคโพลิสเป็นเมืองที่อยู่ฝั่งตะวันตกของกรีซ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะครีตพวกเขาจะต้องเดินทางไปมาหาสู่กันทางเรือ ดังนั้น
จึงต้องมีเสบียง เสื้อผ้าที่เหมาะสมให้สำหรับทุกคนที่เดินทาง ท่านเปาโลมีเพื่อนร่วมงานเป็นผู้ที่มีอาชีพต่าง ๆ ทั้งชายและหญิง จะเห็นว่า ไม่ว่าท่านไปที่ไหนก็มีปัญหากับผู้ที่ถือศาสนายิว แต่เมื่อใดพวกเขากลับใจเชื่อ ก็จะกลายเป็นเหมือนผู้ช่วยในด้านต่าง ๆ ของท่าน
ทิตัส 3:14-15
ท่านเปโตรเคยกล่าวถึงการที่จะมีชีวิตอย่างคนมี ประโยชน์ให้กับตนเองแผ่นดินของพระเจ้าและ คนอื่นๆใน 1เปโตร2:5-8จากข้อ 5 มาเรื่อย เป็นคำแนะนำว่าจะต้องเพิ่มชีวิตด้วยอะไรเป็นขั้น เป็นตอนชัดเจนมากถ้าชีวิตของเรามีเป้าหมาย มีวินัยในการที่จะสร้างชีวิตเพื่อเป็นประโยชน์ เราก็จะไม่เป็นคนอยู่นิ่งเฉยไปวันๆจะไม่เป็นคนหายใจทิ้งแต่..ทุกสิ่งที่ทำจะเกิดเป็นผลดี

พระคำเชื่อมโยง

1* 1 เปโตร 2:13; โคโลสี 1:10
3* 1โครินธ์ 6:11
4* ทิตัส 2:11; 1 ทิโมธี 2:3
5* โรม 3:20; ยอห์น 3:3
6* เอเสเคียล 36:26

7* โรม 8:17, 23-24
8* 1 ทิโมธี 1:15
9* 2 ทิโมธี 2:23
10* มัทธิว 18:17
12* กิจการ 20:4
13* กิจการ 18:24


ทิตัส 2 พฤติกรรมที่เหมาะสม

ทิตัส 2:1-2
แต่ท่านจะต้องบอกทุกคนว่า ควรทำอย่างไรเพื่อที่จะติดตามคำสอนที่แท้จริง สอนชายสูงอายุให้รู้จักควบคุมตัวเอง เป็นคนที่น่านับถือ มีปัญญา มั่นคงในความเชื่อ ในความรัก และมีความอดทน


ทิตัส 2:3-4
เช่นเดียวกัน สอนสตรีสูงอายุใหัปฏิบัติตนเป็นคนที่น่าเคารพ ต้องไม่ใส่ร้ายผู้อื่นหรือดื่มเหล้าองุ่นมากเกิน แต่ให้สอนสิ่ง
ที่ดี เพื่อว่าจะได้สอนหญิงสาวให้รักสามี
และรักลูก ๆ ของตน

ทิตัส 2:5-6
และให้เธอเป็นคนที่ควบคุมตนเอง บริสุทธิ์ ดูแลบ้านได้ดี เป็นคนมีน้ำใจ และเชื่อฟังสามี 
เพื่อจะไม่มีใครมาวิจารณ์
คำสอนที่พระเจ้าประทานแก่เราได้


ทิตัส 2:7-8
เช่นเดียวกัน ให้หนุนน้ำใจชายหนุ่มให้รู้จักควบคุมตนเอง ตัวเจ้า ก็ขอให้เป็นตัวอย่างในเรื่องการทำดี เมื่อเจ้าสอนก็ขอให้สอนด้วยความซื่อตรง มีเกียรติ ให้พูดจริง เพื่อว่าจะไม่มีใครมากล่าวหาเจ้าได้ แล้วคนที่ต่อต้านเจ้าจะละอายใจเพราะไม่มีผู้ใดที่จะมาพูดให้ร้ายเราได้


ทิตัส 2:9-10
ส่วนกลุ่มคนที่เป็นทาสนั้น ก็ควรเชื่อฟังนายของพวกเขาทุกเวลา พยายามที่จะทำให้เขาพอใจ ไม่ใช่พูดจาโต้กลับนาย
อย่าเป็นคนขโมย แต่จะต้องทำให้เจ้านายได้เห็นว่า พวกเขาเป็นคนไว้ใจได้ เพื่อว่า ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็จะทำให้ได้เห็นถึงคำสอนอันทรงเกียรติของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา

ทิตัส 2:11-12
เพราะพระคุณของพระเจ้าที่จะช่วยทุกคนให้รอดได้ปรากฏแก่มนุษย์ทั้งปวง
พระคุณนั้นสอนเราให้ใช้ชีวิตในยุคนี้ด้วยการควบคุมตนเอง อยู่ในทางของพระเจ้าโดยหันออกจากชีวิตที่ไร้พระเจ้า จากตัณหาของโลก


ทิตัส 2:13
เราควรมีชีวิตเช่นนั้น ในขณะที่เรารอคอยความหวังที่เป็นสุข
และการเสด็จกลับมาด้วยพระสิริของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา


ทิตัส 2:14
พระองค์ประทานชีวิตของพระองค์แก่เรา เป็นการจ่ายราคาเพื่อไถ่เราจากความชั่วทั้งสิ้น และเพื่อทำให้เราเป็นคนบริสุทธิ์ เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เพียงผู้เดียว เป็นคนที่กระตือรือร้นที่จะทำสิ่งดี

ทิตัส 2:15
จงบอกสิ่งเหล่านี้ และหนุนใจพี่น้องและตักเตือนให้เขาได้รู้ถึงสิ่งที่ยังผิดพลาดในชีวิตด้วยสิทธิอำนาจ อย่ายอมให้ใครมาดูหมิ่นเจ้าได้


ทิตัส 2:1-2
ผู้เชื่อในคริสตจักรจะต้องได้รับการสอนให้มีชีวิตการกระทำซึ่งเป็นที่ถวายพระเกียรติ มีความเชื่อถูกต้อง และการกระทำก็สอดคล้องกับความเชื่อ
นั้น ในบทนี้ เราจะเห็นว่า ท่านเปาโลเอาใจใส่ที่จะช่วยให้พี่น้องมีพฤติกรรมที่บริสุทธิ์สะอาดสมกับเป็นผู้เชื่อ เป็นชีวิตที่แตกต่างจากชาวครีตทั่วไป
แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เป็นแสงสว่างให้แก่ชาวครีตเป็นเหมือนเกลือให้กับชุมชนชาวเกาะนี้
ทิตัส 2:3-4
สมัยก่อนนั้น อายุสี่สิบกว่าก็ถือเป็น ผู้หญิงสูงอายุแล้ว เพราะสถิติการเสียชีวิตนั้น เร็วกว่าสมัยนี้มากสิ่งสำคัญที่ท่านเปาโลเตือนก็เป็นเรื่องของการนินทา
ซึ่งมักจะเป็นการใส่ร้ายคนอื่นอย่างรู้ตัวและไม่รู้ตัวไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่นมากเกิน ซึ่งรวมไปถึงสิ่งอื่น ๆ ที่ทำให้ขาดความยับยั้งชั่งใจ เสียเวลาไปโดยไร้ค่าสิ่งดี ๆ ที่พวกเธอต้องตั้งใจทำคือ การส่งต่อคำสอนที่ดีสำหรับชีวิตครอบครัวให้กับคนที่เป็นหญิงสาว ให้เอาใจใส่คนในครอบครัวเป็นอย่างดี
ทิตัส 2:5-6
เป้าหมายของชีวิตคริสเตียนที่ท่านเปาโลย้ำมาก ๆ คือการมีชีวิตที่ไร้ที่ติ เพื่อว่าคำเทศนา คำสอนจะไม่เป็นที่ครหานินทาได้ ท่านเปาโลทำให้เราเห็นว่า
พระคำของพระเจ้านั้นอยู่สูงเหนือชีวิตของเรา ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะวางไว้บนโต๊ะเฉย ๆ หรือแค่โหลดเข้ามาในโทรศัพท์แต่ไม่เคยอ่านเลย การมีพระคำ
การมีคำสอนของพระเจ้าในชีวิต และทำตามนั้นเป็นพระพรใหญ่หลวง เราเห็นนักเทศน์มากมายที่มีข้อตำหนิเพราะปากกับการกระทำแตกต่าง
ทิตัส 2:7-8
อีกแล้วที่ท่านเปาโลย้ำให้สอนการควบคุมตนเองซึ่งในสังคมภายนอกไม่มีเลย การมั่วสุมทางเพศเกิดขึ้นอย่างดาษดื่น แถมมีศาสนาที่มั่วเพศขณะทำพิธีทางศาสนาด้วย สิ่งที่ชายหนุ่มคริสเตียนต้องระมัดระวังคือ ต้องควบคุมจิตใจ ความคิด การกระทำของตน มีความซื่อตรง มีเกียรติ พูดจริง ทั้งหมดนี้ จะต้องทำโดยไม่ให้ใครมาตำหนิได้สำหรับเราแล้ว เราต้องถามตัวเองว่า คนอื่นที่เข้ามาเจอเรานั้น ไว้วางใจเราในเรื่องต่าง ๆ หรือไม่
ทิตัส 2:9-10
เป้าหมายชีวิตของทาสที่เข้ามาเชื่อพระเจ้านั้นก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่มาเชื่อ พวกเขาจะต้องใช้ชีวิตไม่เหมือนทาสทั่วไปที่ท้าทาย ขโมย ไว้ใจยาก พวกเขาจะต้องมีชีวิตที่แสดงให้เห็นถึงพระสิริของพระเจ้าในตัวพวกเขา ต้องทำให้เจ้านายได้สัมผัสกับชีวิตที่มีพระเจ้า การเชื่อฟังเจ้านาย การไม่ย้อนเจ้านายกลับ ตัวท่านเปาโลเองมองเห็นว่าทาสคนหนึ่งที่มาเชื่อพระเจ้าใต้เจ้านายที่เป็นผู้เชื่อเหมือนกัน ควรได้รับการปฏิบัติดีจากเจ้านายด้วย
ทิตัส 2:11-12
แต่ก่อนนี้ พระคุณของพระเจ้ามีให้กับชาวยิวเท่านั้นมาบัดนี้พระคุณโดยองค์พระเยซูคริสต์ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา เป็นพระคุณทำให้มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะ
เป็นชนชาติใดเมื่อเชื่อพระเยซู ก็จะได้รับความรอดคำกล่าวนี้ทำให้ทิตัสซึ่งเป็นคนต่างชาติ และรับใช้ในหมู่ชาวเกาะที่เป็นคนต่างชาติเช่นกันได้รับความ
มั่นใจในพระคุณของพระเจ้า สิ่งที่พวกเขาต้องระวังในการใช้ชีวิตก็คือเรื่องเดียวกับที่บอกมาแล้วคือควบคุมตนเอง และหันจากโลก
ทิตัส 2:13
ความหวังที่เป็นสุขนี้ใช้คำกรีกว่า มาคาริออส μακάριος ซึ่งใช้อธิบายสภาพฝ่ายวิญญาณที่มีสวัสดิภาพ รุ่งเรือง เรามีความยินดีลึกซึ้ง มีความพอใจที่เป็นสุขเพราะความยินดีนั้นมาจากการมีสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า คำ ๆ นี้ใช้อธิบายถึงคนที่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า ได้รับพระคุณ และความชื่นชมของพระเจ้าในชีวิต นอกจากนั้นเรายังรอคอยพระเจ้าเสด็จกลับอย่างมีสง่า
ราศีด้วย
ทิตัส 2:14
พระคำตอนนี้ เหมือนกับหนังสือเอเฟซัส 2:8-10 ความรอดมาถึงเราได้เพราะพระคุณพระเจ้าและความเชื่อที่เรามีในพระองค์ เกิดขึ้นได้เพราะ
พระเจ้าประทานให้เรา ไม่มีใครอวดในความดีของตนเองได้เลย แต่เมื่อเราได้รับความรอดจากพระเจ้าแล้ว เราก็กลายเป็นคนที่ขวยขวาย เร่าร้อน
ที่จะทำสิ่งดีให้กับชุมชนรอบข้าง และโลกของเรา สิ่งดีที่เราแต่ละคนทำนั้น แตกต่างกัน เป็นสิ่งดีที่พระเจ้าทรงเตรียมให้แต่ละคน 
ทิตัส 2:15
การเป็นผู้ที่จะช่วยนำคนอื่นให้เติบโตในพระเจ้านั้นไม่ใช่อยู่นิ่ง ๆ แต่เป็นการทั้งบอกกล่าว ทั้งหนุนใจทั้งตักเตือน ใช้การสื่อสารที่เพื่อน พี่น้องของเรา
จะได้เข้าใจถึงพระประสงค์ของพระเจ้า และต้องเป็นการทำด้วยสิทธิอำนาจจากพระเจ้าด้วยยิ่งกว่านั้น อย่าทำตัวให้ใครดูหมิ่นได้เลย การประพฤติตัวของผู้ที่สอนคนอื่นนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนคอยสังเกต และหากติดลบ ก็จะไม่มีใครต้องการฟังและนับถือ

พระคำเชื่อมโยง

5* 1 ทิโมธี 5:14; 1โครินธ์ 14:34; โรม 2:24
7* 1 ทิโมธี 4:12; เอเฟซัส 6:24
9* 1 1 ทิโมธี 6:1
11* โรม 5:15

13* 1โครินธ์  1:7; โคโลสี 3:4
14* กาลาเทีย 1:4; ฮีบรู  1:3, 9:14; อพยพ15:16
15* 2 ทิโมธี 4:2

ทิตัส 1 จากท่านเปาโลถึงทิตัส

ทิตัส 1:1
จากเปาโล ทาสของพระเจ้าและอัครทูตของพระเยซูคริสต์ ข้าได้รับมอบหมายมาเพื่อรับใช้เรื่องความเชื่อของคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ และเพื่อช่วยให้เขารู้จักความจริงในการเดินในวิถีทางของพระเจ้า

ทิตัส 1:2
ความเชื่อ และความจริงนั้น 
มาจากความหวังใจในชีวิตนิรันดร์ ซึ่งพระเจ้าผู้ไม่ทรงมุสา ได้ทรงสัญญากับเราไว้ก่อนปฐมกาล


ทิตัส 1:3
และเมื่อถึงเวลาของพระองค์ พระเจ้าก็ทรงทำให้โลกได้รู้ถึงชีวิตนั้น ผ่านการประกาศ ซึ่งพระองค์ได้ทรงมอบงานประกาศนั้นไว้แก่ข้าตามพระบัญชาของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา

ทิตัส 1:4
ถึงทิตัส ลูกชายแท้ของข้าในความเชื่อเดียวกัน ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดา และพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา อยู่กับท่าน

ทิตัส 1:5
ที่ข้าปล่อยให้เจ้าไว้ที่เกาะครีต (ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน)
ก็เพื่อว่า เจ้าจะได้จัดการทำทุกสิ่งที่ต้องดูแลให้สำเร็จเรียบร้อย เพื่อเจ้าจะได้แต่งตั้งผู้ปกครองไว้ในทุกเมือง
ตามที่ข้าแนะนำไว้แล้ว

ทิตัส 1:6-7
ผู้ปกครองนั้น จะต้องเป็นคนที่ไร้ตำหนิ ซื่อสัตย์ต่อภรรยาคนเดียว และลูก ๆ มีความเชื่อเดียวกัน จะต้องไม่เป็นลูกที่ดื้อดึงดัน หรือไร้วินัย ในฐานะที่เขาเป็นผู้ดูแลคริสตจักร จะต้องไร้ตำหนิ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่อารมณ์ร้อน และจะต้องไม่เป็นคนติดเหล้า หรือเป็นคนรุนแรง หรือพยายามร่ำรวยด้วยการคดโกงผู้อื่น


ทิตัส 1:8-9
เขาควรเป็นคนอัธยาศัยดี มีน้ำใจต้อนรับแขก รักความดี สามารถควบคุมตนเองได้ มีชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้า และมีวินัย
โดยที่เขายึดมั่นในคำสอนที่จริง ไว้ใจได้ ซึ่งได้สอนเขาไว้ เพื่อเขาจะหนุนใจคนอื่นด้วยความสอนที่จริงแท้ และเขาสามารถ
ช่วยแก้ไขเหล่าคนที่ต่อต้านคำสอนนั้น

ทิตัส 1:10-11
เพราะมีหลายคนไม่ยอมร่วมมือ คนที่มักพูดถึงสิ่งที่ไร้ค่าและหลอกลวงผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ยืนกรานว่าจะต้องเข้าสุหนัตเท่านั้นจึงจะรอดได้ เราต้องหยุดคนพวกนี้ เพราะพวกเขาทำลายหลายครอบครัว โดยสอนสิ่งที่ไม่ควรจะสอน พวกเขาหลอกลวงผู้คนเพื่อตนเองจะได้ร่ำรวยขึ้น

ทิตัส 1:12-14
หนึ่งในพวกเขากล่าวว่า“ชาวครีตมุสาเสมอเป็นเหมือนอย่างสัตว์ป่า และเป็นคนที่ไม่ทำอะไรเอาแต่ตะกละตะกลาม”  สิ่งที่พูดนั้นเป็นความจริง ดังนั้น จงเตือนพวกเขาให้รู้ว่าพวกเขาทำผิดไปแล้ว เพื่อจะได้มีความเชื่อที่ถูกหลัก จะไม่ยอมรับนิยายของยิวรวมถึงคำสั่งของคนที่ปฏิเสธความจริง

ทิตัส 1:15-16
สำหรับคนที่บริสุทธิ์ ทุกสิ่งก็บริสุทธิ์ แต่สำหรับคนที่เป็นมลทินและไม่เชื่อนั้นก็ไม่มีอะไรในตัวที่บริสุทธิ์เลย ทั้งความคิดมโนธรรมของเขาเป็นมลทิน เขารับว่าตนรู้จักพระเจ้า แต่การกระทำแสดงว่า เขาไม่ยอมรับพระองค์ พวกเขาน่ารังเกียจ
ไม่เชื่อฟัง และไม่เหมาะที่จะทำสิ่งดีใด ๆ

อธิบายเพิ่มเติม

ทิตัส 1:1
ทิตัสเป็นผู้รับใช้พระเจ้าร่วมกับท่านเปาโล เขาเป็นคนกรีก และเป็นคนที่เปาโลรักเหมือนลูกอีกคนหนึ่ง ท่านเปาโลได้เขียนถึงตัวท่านเองว่าเป็นทาสของพระเจ้า และเป็นอัครทูต คือ คนที่พระเจ้าทรงส่งไปประกาศพระนามตามที่ต่าง ๆหน้าที่สำคัญของท่าน คือช่วยให้ผู้คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ได้รู้จักความจริงของพระองค์และจะได้ใช้ชีวิตในการเดินไปกับพระเจ้าอย่างมั่นคง
ทิตัส 1:2
ความเชื่อของคริสเตียนในยุคนั้นแตกต่างจากความเชื่อในเทพเจ้าต่าง ๆ ที่เชื่อกันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทพกรีกที่ต่างมีชีวิตอันโสมม คริสเตียนกลับมีชีวิตที่มุ่งมั่นที่จะได้อยู่กับพระเจ้านิรันดร์​โดยเริ่มต้นที่เชื่อพระเยซู และใช้ชีวิตตามความจริงของพระเจ้า พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้มนุษย์มีชีวิต
อมตะมาตั้งแต่วันที่ทรงสร้างโลก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทรงอนุญาตให้เขาเลือกที่จะเชื่อฟังพระองค์ด้วยตัวเอง แล้วมนุษย์ก็ทำพลาดตั้งแต่ครั้งแรกนั้น
ทิตัส 1:3
ข้อนี้สำคัญมาก พระเจ้าทรงให้โลกได้รู้จักชีวิตนิรันดร์อย่างชัดเจน แตกต่างจากสมัยพระคัมภีร์เดิม เมื่อพระเยซูเสด็จมาช่วยโลกให้รอดแล้ว คนจะรู้ได้ จะรอดได้ก็ต้องมีการประกาศ เผยแผ่ออกไป และพันธกิจดังกล่าวนี้ ไม่ใช่ว่าเราคิดกันขึ้นเอง แต่พระเยซูทรงเป็นผู้บัญชาให้เราทุกคนได้หน้าที่นี้ตัวท่านเปาโลเองก็ถือว่าตัวท่านเป็นคนที่พระเจ้าทรงส่งออกไปและชักชวนให้คนอื่นออกไปด้วย
ทิตัส 1:4
ท่านเปาโลรักทิตัสอย่างลูกชายคนหนึ่ง ความรักที่อาจารย์คนหนึ่งมีให้ศิษย์นั้นไม่เหมือนกับอาจารย์ที่รักศิษย์เหมือนลูกชาย ทั้งสองมีความเชื่อเดียวกัน รับใช้พระเจ้าเหมือนกัน มีเป้าหมายเพื่อแผ่นดินของพระองค์ แต่ทิตัสได้รับหน้าที่สำคัญที่จะดูแล แต่งตั้งคนทำงานในคริสตจักร ท่านเปาโลก็เขียนมาเพื่อช่วยให้ทิตัสมีแนวทางที่จะทำงานต่อไป
ทิตัส 1:5
นี่คืองานสำคัญที่ทิตัสได้รับมอบหมายมาจากท่านเปาโลคือ การตั้งผู้ดูแลปกครองในคริสตจักร แต่จะตั้งใครล่ะ?
ที่จริงเป็นเรื่องยากสำหรับทิตัสมาก เพราะคนชาวเกาะครีตนั้น ลือชื่อในการเป็นคนไร้มารยาท ทำชั่ว เกียจคร้าน พูดจาหยาบคาย โกหก คดโกง ดังนั้น คนที่เขาเลือกจะต้องเป็นคนที่เกิดใหม่แล้วจริง ๆ ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้า และมีชีวิตที่ดำเนินตามพระคำของพระเจ้าอย่างมั่นคง
ทิตัส 1:6-7
ชาวเกาะครีตมีปัญหาในพฤติกรรมบาปต่าง ๆ และพวกเขารับได้กับการกระทำเหล่านั้น ท่านเปาโลจึงต้องบอกชัดเจนว่า คนที่จะปกครองผู้อื่นในคริสต-
จักรจะต้องเป็นคนที่เหนือมาตรฐานของคนชาวครีตอย่างมาก ต่างกันแบบไม่เห็นฝุ่นเลย ตัวอย่างเช่น
พวกเขาเชื่อ ทำตามเทพซูส หรือเซอูสที่เป็นเทพที่จะหลอกผู้หญิงเพื่อเอาประโยชน์ทางเพศ พวกเขา ก็ทำตามเป็นต้น เรื่องการคิด พฤติกรรมอื่น ๆ ของคริสเตียนก็แตกต่างมาก
ทิตัส 1:8-9
คุณสมบัติของผู้ปกครองนั้น เหมือนกับคุณสมบัติของทุกคนที่เป็นผู้เชื่อด้วย ไม่ได้ต่างอะไรกันนักรายการคุณสมบัติที่ดีซึ่งเราได้อ่านมาอย่างแรกคือ
ไร้ตำหนิ ซึ่งแทบจะครอบคลุมไปถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ของเขาทั้งหมด ยิ่งกว่านั้น เขาต้องเห็นแก่คนอื่น สามารถให้เวลากับคนอื่น มีวินัย และหาก
เขาเป็นคนที่เพียบพร้อมอย่างที่ท่านเปาโลเขียนรายการมา เขาก็สามารถหนุนใจ ช่วยเหลือคนอื่นเป็นที่นับถือของผู้เชื่อในคริสตจักร
ทิตัส 1:10-11
คนที่ไม่ยอมร่วมมือเหล่านี้ มีความหมายถึงคนที่ไม่ยอมอยู่ใต้ผู้รับใช้ที่ได้รับการแต่งตั้ง ผ่านการทดสอบมาแล้ว ในคริสตจักรทุกวันนี้ เราก็ยังเจอ
คนที่ไม่ร่วมมือ ไม่อยู่ใต้การดูแล ที่หนักไปกว่านั้นคือสอนผิดตามประสานิสัยยิวเดิม นั่นคือ บอกว่าจะรอดได้ต้องเข้าสุหนัต ต้องทำพิธีแบบยิว
พวกเขาหลอกลวงคนอื่นเพื่อเงิน นั่นคือ เมื่อคนเข้าใจว่า พวกเขาเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณ ก็มักจะมีการถวายเกิดขึ้น
ทิตัส 1:12-14
สิ่งที่ท่านเปาโลเตือนนั้น เป็นเพราะมีคำกล่าวที่เป็นจริงจากกวีท่านหนึ่งที่รู้จักชาวครีตเป็นอย่างดีท่านเล่าว่าพวกเขามีนิสัยใจคออย่างไร ซึ่งเปาโล
เองก็ได้อ้างถึงท่านราวกับว่าท่านคุ้นเคยกับวรรณกรรมในสมัยโบราณเป็นอย่างดีด้วย ท่านเปาโลไม่ได้ห้ามทิตัสให้ตัดขาดคนเหล่านี้ แต่ให้เตือนสติ
เพื่อเขาจะเชื่ออย่างถูกต้อง พวกเขาจะเปลี่ยนได้ก็มีทางเดียวคือ ได้รับฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงจากองค์พระวิญญาณ นั่นเป็นความหวังเดียวที่ไว้ใจได้
ทิตัส 1:15-16
ชาวครีตที่ว่าเชื่อแต่ยังไม่เชื่อจริงนั้น ยังมีกรอบความคิดของตัวเอง ในเรื่องความบริสุทธิ์กับมลทินเช่น พวกเขาคิดว่า อาหารนี่บริสุทธิ์ อาหารนั้นเป็นมลทิน ท่านเปาโลให้ความเห็นว่า คนพวกนี้มีมโนธรรมมลทิน แล้วยังมาชักชวนให้คนที่รู้น้อยหลงคิดตามพวกเขาไป ยังคงไม่ยอมรับพระคุณของพระเยซู
ที่ทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อคนที่วางใจในพระองค์ ดังนั้นท่านจึงสรุปว่า คนเหล่านี้ไม่ยอมเชื่อฟัง น่ารังเกียจ ไม่เหมาะที่จะเป็นคนดีเสียด้วยซ้ำ

พระคำเชื่อมโยง

1* 2 ทิโมธี 2:25; 1 ทิโมธี 3:16
2* กันดารวิถี 23:9
4* 2 โครินธ์ 2:13; 8:23
5* 1 โครินธ์ 11:34
6* 1 ทิโมธี 3:2-4

7* เลวีนิติ 10:9
10* ยากอบ 1:26
11* 1 ทิโมธี 6:5
12* กิจการ 17:28

13* 2 โครินธ์ 13:10
14* อิสยาห์ 29:13
15* 1 โครินธ์ 6:12
16* มัทธิว 7:20-23; 25:12 ; 2 ทิโมธี 3:5, 7; โรม 1:28