โรม 6 เป็นอิสระจากบาปแล้ว!

โรม 6:1-2
ดังนั้น  ท่านคิดว่าเราควรทำบาปต่อไป
เพื่อว่าพระเจ้าจะประทานพระคุณ
มากขึ้นอย่างนั้นหรือ? จะไม่เป็นเช่นนั้น!
ในเมื่อเราตายต่อบาปแล้ว
เราจะใช้ชีวิตในบาปได้อย่างไร?

โรม 6:3
ท่านไม่รู้หรือว่า
เราทุกคนที่ได้รับบัพติศมา
ในพระเยซูคริสต์
เท่ากับเราบัพติศมาเข้าไปใน
ความตายของพระองค์?

โรม 6:4-5
เมื่อเราได้รับบัพติศมาในความตายนั้น เราก็ถูกฝังกับพระคริสต์ และมีส่วนร่วมในความตายของพระองค์ ดังนั้น เมื่อ
พระคริสต์ทรงฟื้นจากความตายโดยพระสิริของพระบิดา เราเองก็จะดำเนินตามชีวิตใหม่ เพราะหากเราได้เป็นหนึ่งเดียวในการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการคืนพระชนม์เช่นกัน

โรม 6:6-7
เรารู้ว่า ชีวิตเก่าของเราถูกตรึงตายไปกับพระคริสต์บนไม้กางเขน เพื่อว่าตัวบาปในเราจะไม่มีอำนาจเหนือเรา
และเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป คนที่ตายไป ก็เป็นอิสระจาก
การครอบงำของบาป 

โรม 6:8-9
หากเราตายกับพระคริสต์ เราเชื่อว่า
เราก็จะได้มีชีวิตกับพระองค์ด้วยพระคริสต์ทรงถูกทำให้คืนพระชนม์จากความตาย พระองค์จะไม่สิ้นพระชนม์อีก
ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์อีกต่อไป


โรม 6:10-11
เมื่อพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์นั้นก็เพื่อทำลายอำนาจของบาป ครั้งเดียวเป็นพอ พระองค์ทรงมีชีวิตก็เพื่อพระเจ้า เช่นเดียวกัน  ท่านควรจะถือว่า ท่านเองตายต่อบาป และมีชีวิตเพื่อพระเจ้า
ในองค์พระเยซูคริสต์

โรม 6:12-13
ดังนั้น อย่าปล่อยให้บาปครอบงำร่างกายที่ไม่ยั่งยืนของท่าน ซึ่งทำให้ท่านยอมตอบสนองความต้องการของบาป อย่ามอบส่วนใด ๆ ของร่างกายให้แก่อำนาจบาปเป็นเครื่องมือทำความชั่ว แต่ให้ถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า ดั่งเหล่าคนที่ฟื้นจากความตายและถวายร่างกายของท่านแด่พระองค์ให้เป็น
เครื่องมือแห่งความเที่ยงธรรม 

โรม 6:14-15
เพราะบาปจะไม่มีอำนาจเหนือท่านต่อไปเนื่องจากท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ  ถ้าอย่างนั้นเราควรทำอะไร? เราควรทำบาปเพราะว่าเราอยู่ใต้พระคุณไม่ใช่อยู่ใต้บทบัญญัติใช่ไหม? จะไม่เป็นเช่นนั้น!

โรม 6:16
ท่านไม่รู้หรือว่า เมื่อท่านยอมตัวเองให้เป็นทาสที่เชื่อฟังของใครก็ตาม ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟัง  ไม่ว่าจะเป็นทาสบาปซึ่งนำไปสู่ความตายหรือเป็นทาสการเชื่อฟัง ซึ่งนำสู่ความเที่ยงธรรม

โรม 6:17-18
ในอดีต ท่านเคยเป็นทาสบาปแต่ขอบคุณพระเจ้าที่ท่านได้เชื่อฟังคำสอนที่ท่านได้รับอย่างสุดใจ (อย่างเต็มใจ)ท่านเป็นอิสระจากบาปแล้ว บัดนี้ท่านเป็นทาสของความเที่ยงธรรม

โรม 6:19
ข้าพเจ้าใช้ตัวอย่างแบบมนุษย์นี้ เพราะเป็นเรื่องยากที่ท่านจะเข้าใจ ในอดีตท่านเคยมอบอวัยวะส่วนต่าง ๆ ให้เป็นทาสบาปและความชั่วช้าที่เพิ่มมากขึ้น  บัดนี้ จงมอบอวัยวะของท่านให้เป็นทาสแห่งความเที่ยงธรรม ซึ่งนำไปสู่การชำระให้บริสุทธิ์

โรม 6:20-21
ในเวลาที่ท่านเป็นทาสบาป ความเที่ยงธรรมไม่ได้ครอบครองเหนือชีวิตของท่าน  ท่านได้รับผลอะไร จากการทำสิ่งต่าง ๆ ซึ่งตอนนี้ท่านกลับรู้สึกละอาย?ผลของสิ่งเหล่านั้นคือความตาย

 


โรม 6:22-23
แต่บัดนี้ ท่านพ้นการเป็นทาสบาปและมาเป็น
ทาสของพระเจ้าแล้ว  ผลที่ได้รับนำไปสู่การ
ชำระให้บริสุทธิ์ ผลสุดท้ายคือทำให้ท่านได้
รับชีวิตนิรันดร์ เพราะค่าจ้างของความบาป
คือความตาย แต่ของประทานที่พระเจ้า
ประทานให้ คือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์
องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

โรม 6:1-2
ไม่ว่าเราจะมีอดีตอย่างไร  คนที่เชื่อและพระเจ้าทรงประกาศว่าพ้นผิด จะมีประสบการณ์ชีวิตใหม่(ท่านเป็นพยานจากชีวิตของท่านเองด้วยใน 1 ทิโมธี 2:12-17 เรียกว่า justification ซึ่งหมายถึงการที่พระเจ้าทรงประกาศเองว่าคนหนึ่งเป็นคนที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์  คนนั้นจะไม่ห่วงทำบาปเหมือนในอดีต แต่ตั้งต้นใช้ชีวิตถูกต้องกับพระเจ้า คำว่า ตายต่อบาปคือเลิกชีวิตในอดีตที่ทำบาปอย่างคุ้นเคย 

โรม 6:3
คำว่าบัพติศมาตรงนี้เป็นการเปรียบเทียบว่า เมื่อคนหนึ่งมารับเชื่อพระเยซู เขาได้รับการบัพติศมาเข้าไปในพระกายนั่นคือ “เมื่อฉันเชื่อวางใจพระเยซู
คริสต์เท่ากับฉันได้
ผูกพัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์  ความตายของพระองค์คือความตายของฉันด้วย” ตายต่อตัวเก่าที่ฉันเคยมี  บทนี้ท่านเปาโลกำลังเริ่มสอนเรื่องการแยกชีวิตของคน ๆหนึ่งให้เป็นคนบริสุทธิ์ เพื่อทำตามพระประสงค์ ของพระเจ้าที่มีต่อเขา เราเรียกว่า sanctification คือการชำระชีวิตให้บริสุทธิ์

โรม 6:4-5
การตายไปกับพระคริสต์ และถูกฝังนั่นคือจบชีวิตเก่า แต่เมื่อพระคริสต์ทรงคืนพระชนม์ ก็เท่ากับเรามีส่วนในการฟื้นจากตายด้วย พระเจ้าประทานชีวิตใหม่ให้ คนจำนวนมากที่กลับมาหาพระเจ้ามีประสบการณ์นี้ชัดเจน ชีวิตกับบาปเก่า ก็ตายไปไม่มีชีวิตอย่างนั้นอีก  แล้วเขากลายเป็นคนใหม่ที่ดำเนินชีวิตตามพระเจ้าอย่างไม่คาดคิดว่าจะมีการพลิกชีวิตแบบนี้ได้  ชีวิตแบบอาดัมไม่เหลือกลายเป็นชีวิตอย่างพระคริสต์ 

โรม 6:6-7
ย้อนกลับไปเรื่องการตายในพระคริสต์ คนที่ตายไปคือ คนที่อยู่ใต้อำนาจบาป ใต้อาดัม  ชีวิตบาปเดิมนั้น ถูกตรึงบนไม้กางเขนกับพระเยซูไปแล้ว ท่านเปาโลพยายามอธิบายความจริงยากจะเข้าใจให้ชัดเจน  พอมาเชื่อพระเยซู บาปไม่มีอิทธิพลครอบงำต่อไป คนเก่าตายไป บาปก็ไม่มีฤทธิ์เหนือคนเก่านั้น เพราะตายไปแล้ว ถูกตรึง ตายสนิทคำว่าเป็นอิสระ ในข้อ7 ภาษากรีกมาจากคำว่า δικαιόω ไดคาโยโอ คือเที่ยงธรรม ไม่ผิด ถูกประกาศว่าพ้นผิดแล้ว

โรม 6:8-9
ตัวบาปในเราตายไปแล้ว เราก็เชื่อ ความเชื่อนี้สำคัญ เราเชื่อที่พระเจ้าทรงบอกเราว่าสถานภาพของเราหลังจากตายและฟื้นในพระคริสต์คือพ้นผิดได้รับการชำระ ก็คืออย่างนั้น  ท่านเปาโลเน้นย้ำว่าพระเยซูไม่ต้องสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปมนุษย์อีก ครั้งเดียวพอ โคโลสี 1:13 แจ้งชัดเจนว่า พระเยซูทรงนำเราออกจากอาณาจักรมืด มาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ นี่คือความจริง… เรารับการไถ่บาป และชำระให้บริสุทธิ์แล้ว! 

โรม 6:10-11
มหัศจรรย์!การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูมีฤทธิ์ในการทำลายอำนาจของบาปในชีวิตของผู้ที่เชื่อวางใจ  ในวันนี้ พระเยซูทรงพระชนม์อยู่เคียงข้างพระบิดาในแผ่นดินสวรรค์  ท่านเปาโลให้เราถือว่า เราเองก็ตายต่อบาปและมีชีวิตเพื่อพระเจ้า นี่เป็นสิ่งที่คริสเตียนควรตระหนักคริสเตียนจำนวนมากยังคงคิดแค่ว่าพระเจ้าทรงรักพระเจ้าทรงดี เราต้องถือว่า/ตัดสินใจว่า/สรุปว่า/คิดว่า ตัวเองตายต่อบาปและมีชีวิตเพื่อพระเจ้า!

โรม 6:12-13
แต่ถึงอย่างนั้น ในชีวิตจริงของคริสเตียน บาปยังเป็นปัญหาอยู่ เพราะว่าเราอยู่ในโลกที่มีความบาประบาดทั่วไปหมด เราไม่ได้ฝึกฝนตอบโต้ต่อบาป
เหมือนอย่างทหารที่ฝึกฝนเพื่อต่อสู้กับศัตรู  เรามักเฉย ๆ ต่อบาปรอบข้างเรา มันจึงยังมีผลต่อชีวิต ท่านเปาโลเน้นที่ร่างกายของเราคืออวัยวะต่าง ๆ ทั้งความคิด จิตใจ เราต้องไม่ยอมให้บาปครอบงำ ไม่ยอมฟัง ดู คิดตามอย่างที่โลกเสนอให้คิด  ไม่ยอมตอบสนองความต้องการของบาป 

โรม 6:14-15
โรม3:31 กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นเท่ากับเราล้มเลิกบทบัญญัติด้วยการใช้ความเชื่ออย่างนั้นหรือ? เปล่าเลย..จะไม่เป็นเช่นนั้น..ความเชื่อต่างหากที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างที่บทบัญญัติต้องการ   บทบัญญัติทำให้เราเห็นว่า ในใจของมนุษย์นั้นมีอะไรที่เบี่ยงเบนไปจากมาตรฐานของพระเจ้า ด้วยความเชื่อ…พระคุณของพระเยซูคริสต์ทำให้ผู้เชื่อได้อยู่ในพระคริสต์ ทำให้พวกเขามีใจอย่างพระองค์จึงต่อต้านความบาปและทำสิ่งที่ถูกต้อง 

โรม 6:16
ท่านเปาโลขอให้พี่น้องเป็นทาสของสิ่งที่ถูกต้องคือทาสการเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ใช่ทาสบาป เราต้องไม่เชื่อฟังบาปเหมือนอย่างในอดีต บางทีผู้เชื่อมองเรื่องบาปเป็นเรื่องเล็ก ทำไป แล้วก็ขอพระเจ้ายกโทษทีหลัง เพราะอยากทำบาปนั้นมาก  บาปอยู่ตรงหน้า และดูว่าทำแล้วมีความสุขกว่าที่จะไม่ทำ  ตรงนี้เท่ากับเขากลับไปเป็นทาสบาปอีก ท่านเปาโลจึงเตือนให้อย่ายอมเป็นทาสบาป เพราะนั่นเป็นหนทางไปสู่ความตาย 

โรม 6:17-18
พี่น้องชาวโรมและพวกเราทุกคนเคยเป็นทาสบาป … แต่จะพ้นจากการเป็นทาสบาปได้ก็โดยการเชื่อ และเชื่อฟังคำสอนที่ท่านเปาโลพยายามสอนอยู่อย่างสุดใจ ไม่ใช่แค่รับไว้แบบหูทวนลมในโลกโบราณ การเป็นทาสคือนายทาสจะมีสิทธิ เหนือชีวิตของทาสคนนั้น เมื่อเราเป็นทาส ความเที่ยงธรรมคือ เป็นคนถูกต้องกับพระเจ้า เราก็ลาจากนายทาสเดิมคือบาปร้ายสารพัดแบบที่คอยกัดกินชีวิตทุกวัน

โรม 6:19
พี่น้องชาวโรมและเราต่างเคยตามใจความต้องการของตนเอง อยากทำอะไรก็ทำ เช่นพูดให้ร้าย นินทาหรือผิดเรื่องเพศ โดยไม่รู้สึกผิดต่อ ตนเอง คนอื่น
หรือพระเจ้าเลย บางคนมีคติว่า “ฉันจะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน” แต่ความจริงคือ ทุกสิ่งที่เราทำลงไป ต่างส่งผลให้คนอื่นเสมอท่านเปาโลให้เราชนะบาปที่เคยเป็นนายทาสเราด้วยการมอบชีวิต จิตใจ ร่างกาย ให้เป็นทาสพระเจ้าเพื่อพระเจ้าจะทรงชำระ แยกเราไว้ให้บริสุทธิ์

โรม 6:20-21
ตอนที่คน ๆ หนึ่งเชื่อฟังบาปนั้น เขาไม่มีความอายในสิ่งที่ทำไป มีคนไม่น้อยที่กลับมาหาพระเจ้าแล้วจะรู้สึกอับอายกับสิ่งที่เคยชอบ สิ่งที่เคยอวด อาย
กับคำพูดใส่ร้ายผู้อื่นที่เคยมีแค่ความสะใจ อายกับการข่มเหงคนที่ต่ำต้อยกว่า การยกตัวข่มท่าน ซึ่งแต่ก่อนสิ่งเหล่านี้เป็นความภูมิใจที่ได้ทำ ด้วย
พระคุณ พระเจ้าทรงนำคนที่เคยหลงตัวกลับมาหาพระองค์ เขานี่แหละ จะเป็นคนที่เข้าใจดีว่า สิ่งที่น่าละอายเหล่านั้นนำสู่ความตายอย่างไร 

โรม 6:22-23
การจบการเป็นทาสบาป มาเป็นทาสของพระเจ้า ทำให้เราได้รับการประกาศว่าพ้นผิด และพระเจ้าทรงเพิ่มการชำระชีวิตให้บริสุทธิ์ด้วย ทั้งสองขั้น
ตอนนี้ นำให้เรามีชีวิตใหม่ เป็นของพระเจ้าผู้เดียว
ส่วนความตายที่ท่านเปาโลกล่าวถึงคือ การแยกจากพระเจ้าเป็นนิตย์   ชีวิตนิรันดร์คือการที่อยู่กับ
พระเจ้าตลอดไป ซึ่งเริ่มตั้งแต่ที่เราอยู่ในโลกนี้ ติดสนิทกับพระเยซูทุกวัน เรื่อยไปจนกระทั่ง แม้จากโลกนี้ ก็จะยังอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ ไม่จากกันเลย

พระคำเชื่อมโยง

โรม 6
1* โรม 3:8; 6:15
2* กาลาเทีย 2:19
3* กาลาเทีย 3:27
4* โคโลสี 2:12; 1โครินธ์ 6:14 ;ยอห์น 2:11; กาลาเทีย 6:15
5* ฟีลิปปี 3:10
6* กาลาเทีย 2:20; 5:24; 6:14; โคโลสี 2:11


7* 1 เปโตร 4:1
8* 2 ทิโมธี 2:11
9* วิวรณ์ 1:18
10*  ฮีบรู 9:27; ลูกา 20:38
11* โรม 6:2; 7:4,6; กาลาเทีย 2:19
12* สดุดี 19:13
13* โคโลสี 3:5; 1 เปโตร 2:24; 4:2
14* กาลาเทีย 5:18

15* 1 โครินธ์  9:21
16* 2 เปโตร 2:19
17* 2 ทิโมธี 1:13
18* ยอห์น 8:32
20* ยอห์น 8:34
21* โรม 7:5; 1:32
22* โรม 6:18; 8:2
23* ปฐมกาล 2:17;1 เปโตร 1:4


โรม 5 รอดได้ด้วยพระเยซู

โรม 5:1-2
ดังนั้น เมื่อเราถูกนับว่าเป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้าโดยความเชื่อของเราแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระองค์ ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราโดยพระองค์ ด้วยความเชื่อ  เราจึงได้เข้ามาสู่พระคุณที่เรายืนมั่นอยู่ และเรามีความยินดีเพราะมีความหวังว่า เราจะได้ร่วมในพระเกียรติสิริของพระเจ้า


โรม 5:3-4
ยิ่งกว่านั้น เรายังยินดีกับความทุกข์ยากของเรา  เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากเหล่านี้ทำให้เกิดความทรหดอดทน และความทรหดอดทนนี้ทำให้เกิดคุณสมบัติที่ดี และคุณสมบัติที่ดีนี้ทำให้เรามีความหวัง 

โรม 5:5
เป็นความหวังที่จะไม่ทำให้เราผิดหวัง (หรือละอาย)  เพราะพระเจ้าทรงเทความรักของพระองค์  เติมใจของเรา 
ผ่านองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระองค์ประทานแก่เรา

โรม 5:6-7
เมื่อเรายังไม่อาจช่วยตนเองให้รอดได้นั้น  ในเวลาที่เหมาะสมพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราซึ่งเป็นคนไร้พระเจ้า มีน้อยคนที่จะตายเพื่อคนเที่ยงธรรมแม้ว่าบางครั้งจะมีคนกล้าที่จะตายเพื่อคนดี 

โรม 5:8
แต่พระเจ้าทรงแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่แก่เราคือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา
(หรือ พระคริสต์ทรงถูกส่งมาเพื่อสิ้นพระชนม์เพื่อเรา)

โรม 5:9
ดังนั้น ในเมื่อเราได้รับการทำให้เป็นคนที่ถูกต้องกับพระเจ้า(พระบิดา)โดยพระโลหิต  ของพระคริสต์ เราก็จะได้พ้นจากพระพิโรธของพระเจ้าโดยพระคริสต์อย่างแน่นอน

โรม 5:10
ถ้าในขณะที่เราเป็นศัตรูของพระเจ้า(พระบิดา)พระองค์ทรงทำให้เราคืนดีกับพระองค์เนื่องด้วยความตายของพระบุตร ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ด้วยว่า บัดนี้เราคืนดีกับพระองค์แล้ว  พระองค์จะทรงช่วยเราให้รอดพ้น(พระพิโรธ)ผ่านชีวิตของพระบุตรนั้น

โรม 5:11 
ยิ่งกว่านั้น  บัดนี้เรามีความยินดีมากในพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเราเพราะเราได้คืนดีกับพระเจ้า(พระบิดา)ก็โดยพระองค์


โรม 5:12-13
บาปได้เข้ามาในโลกเพราะการกระทำของบุรุษคนหนึ่ง และเมื่อมีบาป ความตายก็ตามมา ด้วยเหตุนี้ความตายจึงแพร่ไปยังทุกคนเพราะทุกคนทำบาป บาปอยู่ในโลกก่อนบทบัญญัติของโมเสส ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติมาก่อน การทำบาปจึงไม่ถือเป็นการละเมิดบทบัญญัติ

โรม 5:14
ถึงอย่างนั้น ทุกคนก็ต้องตาย ในช่วงเวลาตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส   แม้ว่าจะเป็นคนที่บาปทั้งที่ไม่ได้ละเมิด
บทบัญญัติ เหมือนอย่างที่อาดัมได้ทำ อาดัมเป็นต้นแบบของพระองค์ท่านที่จะมาภายหลัง    

โรม 5:15
แต่ของประทานที่พระเจ้าทรงให้เปล่าๆไม่เหมือนบาป
ของอาดัม ด้วยว่าการล่วงละเมิดของบุรุษคนเดียวทำให้คนจำนวนมากต้องตาย แต่พระคุณจากพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่า เพราะคนมากมายได้รับของประทานแห่งชีวิตจากพระเจ้าโดยพระคุณของบุรุษอีกท่าน คือองค์พระเยซู

โรม 5:16
แต่ของประทานจากพระเจ้าไม่เหมือนผลที่ได้จากบาปของบุรุษผู้เดียว หลังจากที่อาดัมได้ทำผิดครั้งเดียวนั้นเขาถูกตัดสินลงโทษ แต่ของประทานที่ให้เปล่าจากพระเจ้า เกิดขึ้นหลังจากการละเมิดหลายครั้ง และผลที่ได้คือ ทำให้เกิดความถูกต้องกับพระเจ้า

โรม 5:17
หากการละเมิดของบุรุษผู้หนึ่งทำให้ความตายมีอำนาจเหนือมนุษย์ทุกคน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด  เหล่าคนที่ได้รับพระคุณล้นเหลือของพระเจ้า และรับของประทานแห่งความเที่ยงธรรมจะมีชีวิตโดยพระองค์นั้นคือ พระเยซูคริสต์

โรม 5:18
ในเมื่อการละเมิดครั้งเดียวนำให้ทุกคนต้องรับการตัดสินลงโทษฉันใด การกระทำอันเที่ยงธรรมครั้งเดียว ก็นำมาซึ่งความเที่ยงธรรมที่นำชีวิตมายังมนุษย์ทุกคนฉันนั้น

โรม 5:19
เพราะเมื่อบุรุษผู้หนึ่งไม่เชื่อฟัง ทำให้คนจำนวนมากรับผลกลายเป็นคนบาปฉันใด   ดังนั้น บุรุษผู้หนึ่งที่เชื่อฟังพระเจ้า ก็ทำให้คนจำนวนมากกลายเป็นคนมีความเที่ยงธรรมฉันนั้น


 

โรม 5:20-21
เมื่อมีบทบัญญัติเกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาคือมีการละเมิดทวีขึ้น แต่ที่ใดมีบาปทวีขึ้นพระคุณก็เพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้นมากกว่านั้นอีก ตามที่ความตายมีอำนาจเหนือเราเพราะบาป พระคุณจะครอบครองเหนือเราโดยความเที่ยงธรรม จนนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์โดยองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา

โรม 5:1-2 พระเจ้าทรงถือว่าเราเป็นคนเที่ยงธรรม ถูกต้องกับพระองค์ พ้นผิดไม่เหมือนอย่างในอดีตอีกต่อไปเพราะว่าเราเชื่อตามที่พระองค์ทรงบัญชา พระคริสต์จึงนำเรามาสู่สถานะของผู้มีสิทธิพิเศษได้เป็นบุตรของพระเจ้า  เป็นสถานะที่ทุกคนที่เชื่อไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด ฐานะทางสังคม ความรู้แตกต่างขนาดไหน  เขาเหล่านี้ที่เชื่อ ติดตามพระเจ้าก็จะได้มีส่วนในพระสิริของพระเจ้าด้วย

โรม 5:3-4ความทุกข์ยากที่กล่าวถึงนี้ มาจากการถูกกดดันหรือข่มเหง เอาเปรียบไ่ม่ว่าจะทางร่างกายจิตใจซึ่งคริสเตียนในโรมเผชิญอยู่ไม่ว่างเว้น ท่านเปาโลสอนให้พี่น้องรู้ว่า ในความยากลำบากของพวกเขาเขาจะได้รับรางวัลที่คาดไม่ถึงจากพระเจ้า จากสิ่งดีที่เกิดขึ้นในที่สุด เราจะได้รับความหวังว่าจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าท่ามกลางความทุกข์ยาก  ยิ่งคริสเตียนพัฒนาคุณสมบัติของผู้เชื่อก็ยิ่งจะเห็นพระคุณของพระเจ้าในชีวิต

โรม 5:5
เมื่อได้รับสถานะที่ถูกต้องกับพระเจ้าแล้ว ผู้เชื่อก็มีสันติสุข มีความหวัง เมื่อทุกข์ยากก็ยินดีได้เพราะความหวังที่จะได้ร่วมในพระเกียรติสิริของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้น พระเจ้ายังทรงมอบพระวิญญาณให้พวกเขาด้วย ทรงเติมใจด้วยพระวิญญาณ ทรงให้พระวิญญาณเข้ามาประทับภายใน ร่างกายของผู้เชื่อพระเยซูจึงกลายเป็นพระวิหารของพระเจ้าเต็มรูปแบบ  ( 1 โครินธ์ 3:16)

โรม 5:6-7
ที่เราไม่อาจช่วยตัวเองให้รอด เป็นเพราะว่า เราและเพื่อนมนุษย์ทุกคน ไม่อาจช่วยตัวเองให้รอดได้เลย เราสิ้นหวัง  แต่ในเวลาที่เราไม่มีทางช่วยตัวเองนั้น พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ ในเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ เป็นเวลาของพระเจ้าที่ทรงวางไว้ (กาลาเทีย 4:4)  ให้พระบุตรมารับโทษแทนคนบาป สังเกตไหม พระคริสต์ไม่ได้มาเพื่อคนเที่ยงธรรมหรือคนดี แต่เพื่อคนบาป!

โรม 5:8
มนุษย์ทุกคนไม่อาจยืนขึ้นมาและกล่าวว่า พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพื่อฉันที่เป็นคนดี  คนมีเมตตาเป็นคนที่ใคร ๆ เรียกว่า นักบุญ คุณพ่อ หลวงพ่อแม่ชี  จิตอาสา อาจารย์ ฯลฯ แต่พระองค์ทรงมาเพื่อคนที่ไร้พระเจ้า คนที่โลกดูหมิ่น สมัยพระเยซูเราเห็นชัดว่า พระองค์ทรงเป็นเพื่อนกับคนบาป คนเก็บภาษี ทรงคุยกับหญิงชาวสะมาเรียที่ใคร ๆ ดูหมิ่น  ทรงเชิญพระองค์เองไปบ้านของศักเคียสที่ใคร ๆ รังเกียจ.. นี่คือความจริง 

โรม 5:9
คิดดูว่า พระเจ้าทรงรักเรา ทั้งที่เราเป็นศัตรูตัวฉกาจของพระองค์  พระองค์จะทรงรัก สนิทสนมกับเรามากขึ้นเพียงไหน หากเราได้เป็นคนที่ถูกต้องกับพระองค์ กลายเป็นลูกของพระองค์ เพราะโอกาสที่พระองค์ให้เรา เชื่อ วางใจ รับพระองค์พระองค์ต้องให้พระบุตรสุดที่รักของพระองค์มา
สิ้นพระชนม์ หลั่งพระโลหิต รับความบาปของมนุษย์บนพระกายของพระองค์ จะพ้นจากพระพิโรธได้ก็ต้องผ่านการสละชีิวิตของพระบุตร!

โรม 5:10
พระบุตรของพระเจ้าไม่ได้แค่สิ้นพระชนม์ สละพระโลหิตเพื่อให้เราได้พ้นจากพระพิโรธของพระเจ้าเท่านั้น แต่.. พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาด้วย เราจึงไม่ได้ติดอยู่กับพระเจ้าที่สิ้นชีพแต่เราวางใจพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  ยังมีผู้เชื่อพระเจ้าบางท่านยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ว่า การคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญยิ่งของการสิ้นพระชนม์ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่บอกว่าพระองค์ทรงชนะความตายเพื่อเราแล้ว

โรม 5:11 
ด้วยความรักเต็มพระทัยที่พระเยซูทรงมีต่อพระบิดาพระเยซูจึงทรงลงมาในโลก และแม้พระองค์ไม่ทรงยินดีกับการขึ้นไปสิ้นพระชนม์อย่างน่าอับอายอย่างไม่เป็นธรรม แต่.. พระเยซูทรงยอมเชื่อฟังพระบิดาจนถึงความตายที่กำหนดมาไว้ให้ตั้งแต่ต้นแล้ว … ฟีลิปปี 2:8 บอกชัดเจนในเรื่องนี้พระบุตรที่ทรงเป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ในองค์เดียวกัน ต้องมารับโทษบาปเลวทรามของเราทุกคนเพื่อจะให้เราพ้นพระพิโรธพระบิดา 

โรม 5:12-13
บาปเข้ามาในโลกผ่านอาดัม …ทำให้มนุษย์ทุกคนต้องเจอกับความตาย ไม่เว้นสักคน (เพราะอย่างไรทุกคนก็ทำบาป) ท่านเปาโลเน้นว่า มีบาปอยู่แล้วทั้ง ๆ ที่บทบัญญัติยังไม่เกิดด้วยซ้ำ  ดังนั้นใคร ๆที่ทำบาปช่วงอาดัมถึงโมเสสจึงถือว่า ไม่ได้ละเมิดบัญญัติแต่ยังต้องเผชิญกับความตาย   แต่บัดนี้มีบทบัญญัติที่บอกความจริงเรื่องบาปของมนุษย์ไม่มีใครกล่าวได้เลยว่า ฉันไม่มีบาป (1 ยอห์น1:8)

โรม 5:14
การมีบทบัญญัติเพียงแค่แจ้งว่า มนุษย์เราได้พลาดจากเป้าหมายของพระเจ้าด้วยพฤติกรรม ความคิดอะไรบ้าง   บทบัญญัติของโมเสสไม่ได้ช่วยให้มนุษย์รอดได้ ไม่มีพลัง เป็นเหมือนคุณครูที่คอยบอกให้เห็นปัญหาของมนุษย์  เราเห็นชัดจากอาดัมว่า มนุษย์นั้น ตกอยู่ในความบาปก่อนที่จะมีบทบัญญัติ มนุษย์ที่มีผิด และบาปจึงตายเหมือนกับอาดัมที่ทำผิดและบาป  ที่ว่าค่าจ้างหรือผลของความบาปคือความตายนั้น เริ่มที่อาดัม   

โรม 5:15
ของประทานที่ทรงให้เปล่า ๆ แตกต่างจากบาปของอาดัมอย่างสิ้นเชิง อาดัมส่งความตาย  พระเยซูส่งชีวิต อาดัมให้ความมืด พระเยซูให้ความสว่างแต่หากคนมากมายต้องตายเพราะการละเมิดของคนเดียว  ดังนั้น พระคุณจากพระเจ้า และพระคุณจากพระเยซูคริสต์บุรุษอีกท่านก็จะทำให้คนมากมายได้รับชีวิตอย่างท่วมท้น  ท่านเปาโลตั้งใจเขียนย้ำเรื่องราวเหล่านี้ในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อให้พี่น้องได้เข้าใจแจ่มแจ้ง

โรม 5:16
คำว่าการตัดสินลงโทษนี้ มีอยู่สามครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ คือข้อนี้ ข้อ 18 และ 8:1  (κατάκριμα คาตาคริมา ) หมายความถึง การลงโทษที่ผ่านการพิจารณาคดีมาก่อนแล้ว  เมื่อเราต้องเผชิญกับการลงโทษดังกล่าว พระเยซูกลับประทานของประทานที่ให้เปล่าซึ่งส่งผลให้เกิดการตัดสินว่าพ้นผิด นั่นคือกลายเป็นคนเที่ยงธรรม ถูกต้องกับพระเจ้า เป้าหมายของของประทานที่ให้เปล่านั้นคือผู้รับจะมีชีวิตที่ถูกต้องกับพระเจ้า

โรม 5:17
การเข้ามาแก้ปัญหาโทษบาป และบาปที่ติดตัวมนุษย์นั้น เป็นการแก้ปัญหาที่มีพระเยซูคริสต์องค์เดียวเท่านั้นที่จะทำได้ และพระองค์ก็ทรงพร้อมที่จะทำเพื่อพระบิดา และชาวโลกที่พระบิดาทรงรักและเป็นห่วงมาก พวกเขาถูกสร้างมาเพื่อจะเป็นที่สรรเสริญ เป็นที่ถวายพระเกียรติ แต่เมื่อพวกเขาสูญเสียสภาพที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยพระเจ้าก็ไม่ทรงทอดทิ้ง แต่ทรงหาทางแก้ปัญหาบาปให้พวกเขากลับมาเป็นคนของพระองค์ได้

โรม 5:18
พระเยซูเป็นตัวแทนแห่งชีวิต การกระทำของอาดัมทำให้มนุษย์เก็บเกี่ยวความชั่วร้าย และพวกเขาก็เลือกทำความชั่วต่อไป จะเห็นว่าแค่ลูกชายของอาดัมก็ทำผิดต่อเนื่องโดยฆ่าน้องตนเอง และโลกก็เลวร้ายลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งพระเยซูเสด็จมา  

โรม 5:19
พระบุตรผู้บริสุทธิ์ทรงลงมาแก้ปัญหาที่มนุษย์คนใดก็ทำไม่ได้ นั่นคือ เพื่อโลกจะกลับมามีสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าเหมือนอย่างครั้งที่ทรงสร้าง
อาดัมและเอวามาตั้งแต่ต้น  เพื่อมนุษย์จะไม่ตกในสภาพที่ขาดจากพระเจ้าตลอดไป  มนุษย์ผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ท่านนั้น เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ท่ามกลางคนบาป ทรงถูกทดลองเหมือนพวกเขาแต่ไม่ได้ทรงแพ้บาปเหมือนมนุษย์ยังทรงสภาพไร้บาปตลอดชีวิต 

โรม 5:20-21
บทบัญญัติทำให้เราเห็นว่าเราทำบาปอะไรบ้าง ซึ่งแทบจะไม่มีข้อใดที่เราไม่ได้ละเมิดเลย …เราจึงเห็นบาปตัวเองท่วมท้นเมื่อเทียบกับบทบัญญัติ
แม้มนุษย์จะทำสิ่งดีมากมาย แต่ทุก ๆ วันก็ได้ทำบาปทวีขึ้น แต่ละวันที่ผ่านไป ก็สะสมบาปมากขึ้นแต่พระคุณของพระเจ้าไม่ได้ลดน้อยถอยลงไป
พระคุณของพระเจ้าเผชิญกับบาปของมนุษย์ และเอาชนะบาปเหล่านั้นด้วยพระโลหิต ด้วยพระชนม์ชีพของพระบุตรเอง 

พระคำเชื่อมโยง

โรม 5
1* อิสยาห์ 32:17; เอเฟซัส 2:14
2* เอเฟซัส 2:18; 3:12; 1โครินธ์  15:1; ฮีบรู 3:6
3* มัทธิว 5:11-12; ยากอบ 1:3
4* ยากอบ 1:12
5* ฟีลิปปี 1:20; 2 โครินธ์ 1:22;
6* โรม 4:25; 5:8; 8:32



8* ยอห์น 3:16; 15:13
9* เอเฟซัส 2:13; 1 เธสะโลนิกา 1:10
10* โรม 8:32; 2 โครินธ์ 5:18; ยอห์น 14:19
11* กาลาเทีย 4:9
12* 1โครินธ์ 15:21; ปฐมกาล 2:17
13* 1 ยอห์น 3:4

14* 1โครินธ์ 15:21-22
15* อิสยาห์ 53:11
18* อิสยาห์ 53:11-12; 1โครินธ์ 15:21, 45 ; ยอห์น 12:32
19* ฟีลิปปี 2:8
20* ยอห์น 15:22; 1 ทิโมธี  1:14

มัทธิว 10 ทรงส่งศิษย์ออกไป

พระเยซูทรงส่งศิษย์ใกล้ชิด(อัครทูต) ออกไป 

1 พระเยซูทรงเรียกศิษย์ทั้งสิบสองคนของพระองค์มาและประทานสิทธิอำนาจให้พวกเขาไล่วิญญาณชั่วและรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกอย่าง
2 ศิษย์ที่เป็นอัครทูตทั้งสิบสองคนคือ คนแรก ซีโมน​มีอีกชื่อว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบลูกชายของเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขา
3 ฟีลิปและบารโธโลมิว โธมัส และมัทธิวผู้เป็นคนเก็บภาษี ยากอบลูกชายอัลเฟอัส และธัดเดอัส
 4 ซีโมนพรรคชาตินิยมและยูดาส อิสคาริโอทผู้ที่ทรยศพระเยซู

พระเยซูทรงกำชับวิธีการออกไป
5 พระเยซูทรงส่งทั้งสิบสองคนโดยทรงสั่งว่า “อย่าเข้าไปในเขตแดนของคนต่างชาติ หรือในเมืองที่มีชาวสะมาเรียอยู่

6 แต่จงไปหาแกะหลงหายของอิสราเอล
7 เมื่อพวกเจ้าไป จงประกาศว่า ‘แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว’
8 จงรักษาคนป่วย ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมา จงรักษาคนโรคเรื้อน ขับผีออกจากคน  เจ้าได้รับอำนาจนี้มาเปล่า ๆ ก็จงให้โดยไม่คิดราคา


 
9 อย่าพกเงิน ทองคำ แร่เงิน หรือแร่ทองแดงไปกับตัวเจ้า
 10 อย่าเอาย่าม หรือเสื้ออีกตัว หรือรองเท้า หรือไม้เท้าเดินทางไปด้วย เพราะคนทำงานก็ควรได้รับการสนับสนุนตอบแทน
 11 “เมื่อเจ้าเข้าไปยังเมืองหรือหมู่บ้านใด จงหาคนที่เหมาะเพื่อว่าเจ้าจะพักที่บ้านของเขาจนกว่าจะออกจากเมืองไป     
12 เมื่อเจ้าเข้าไปในบ้านใด
ก็ขอให้พระพรแห่งสันติสุขอยู่กับบ้านนั้น 
13 หากคนในบ้านนั้นต้อนรับเจ้า ก็ขอให้สันติสุขของท่านดำรงในบ้านนั้น แต่หาไม่แล้ว จงให้สันติสุขคืนมาสู่เจ้าเอง

เมื่อเขาไม่ต้อนรับ
14 และหากบ้านใดเมืองใดไม่ยอมต้อนรับเจ้าหรือฟังคำของเจ้า ก็จงละจากที่นั่นไป และสะบัดฝุ่นออกจากเท้าของเจ้าเมื่อออกจากสถานที่นั้น (เป็นการแสดงเตือนถึงการพิพากษา)

15 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า ในวันพิพากษา โทษของเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ยังเบากว่าเมืองนั้น  
16 “ฟังนะ เราส่งเจ้าออกไปเหมือนแกะท่ามกลางฝูงสุนัขป่า ดังนั้นจงฉลาดเหมือนงู และไม่มีภัยอย่างนกพิราบ 

พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
17 จงระวังเหล่าคนที่จะจับเจ้าและนำเจ้าไปขึ้นศาล และโบยเจ้าในศาลาธรรมของพวกเขา
18 เป็นเพราะเรา พวกเจ้าจะต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าผู้ว่าราชการ และเหล่ากษัตริย์ เพื่อเป็นพยานแก่ทั้งเขาและคนต่างชาติ
 
19 เมื่อเจ้าถูกจับ อย่ากังวลว่าจะพูดอะไร หรือพูดอย่างไร  เวลานั้น พระเจ้าจะประทานสิ่งที่เจ้าควรพูดให้ 
20  เพราะไม่ใช่เจ้าที่กำลังพูด แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระบิดาของเจ้าที่ตรัสผ่านเจ้า



ศิษย์ไม่เหนือกว่าครู
21 พี่น้องจะทรยศกันถึงชีวิต เขาจะส่งพี่น้องสู่ความตาย และพ่อก็จะมอบลูก และลูก ๆ ก็จะต่อต้านพ่อแม่ของตน ทำให้พวกเขาถึงแก่ความตาย
22 คนทั้งหลายจะเกลียดชังเจ้าเพราะเจ้าติดตามเรา แต่คนที่ยืนหยัดในความเชื่อจนถึงที่สุดจะรอด
23 เมื่อเจ้าถูกข่มเหงในเมืองหนึ่ง ก็จงหนีไปอีกเมือง
เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า ก่อนที่เจ้าจะไปทั่วทุกเมืองในอิสราเอล บุตรมนุษย์ก็จะเสด็จมาแล้ว (ดาเนียล 7:13-14) 
 24 “ลูกศิษย์จะไม่เหนือกว่าครูของเขา และทาสจะไม่เหนือนายของเขา
25 แค่ศิษย์เป็นเหมือนครู และทาสเป็นเหมือนนายก็น่าพอใจแล้ว  หากหัวหน้าครอบครัวถูกเรียกว่า เบเอลเซบูล (ชื่อของซาตานอีกชื่อ)  เขาจะเรียกคนในครัวเรือนนั้นหนักยิ่งกว่าสักเท่าใด
 


26 “ดังนั้น อย่าไปกลัวพวกเขา เพราะทุกอย่างที่ถูกปิดซ่อนไว้จะได้รับการเปิดเผย ทุกสิ่งที่เป็นความลับซ่อนอยู่ จะถูกเปิดให้เห็นประจักษ์ 

อย่ากลัวคน จงกลัวพระเจ้า
27 สิ่งใดที่เราบอกแก่เจ้าในที่มืด แต่เจ้าจะต้องบอกออกไปในที่แจ้ง สิ่งที่เจ้าได้ยินกระซิบข้างหู เจ้าจะต้องตะโกนประกาศจากหลังคาบ้าน
28 อย่ากลัวคนที่ฆ่าได้แต่ร่างกาย แต่ไม่อาจฆ่าจิตวิญญาณ ผู้เดียวที่เจ้าควรกลัวคือ พระองค์ผู้ทรงทำลายได้ทั้งจิตวิญญาณและร่างกายในนรก
  29 นกกระจอกนั้นเขาขายกันสองตัวบาทเดียวไม่ใช่หรือ  ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีสักตัวเดียวที่จะตายตกลงมาบนพื้นโดยพระบิดาของพวกเจ้าไม่ทรงอนุญาต
30 พระเจ้ายังทรงรู้ว่า บนศีรษะของเจ้ามีเส้นผมจำนวนเท่าไร  31 ดังนั้น อย่ากลัวไป เพราะเจ้ามีค่ายิ่งกว่านกกระจอกหลายตัว  

การยอมรับพระเจ้าต่อหน้าผู้อื่น
32 “คนใดที่ยอมรับเราต่อหน้าคนอื่น  เราก็จะยอมรับเขาต่อพระพักตร์พระบิดาของเราในสวรรค์
 33 แต่คนใดที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่ยอมรับเขาต่อพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์เช่นกัน 

ความแตกแยกในครอบครัวเพราะพระเยซู
34 “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติสุขมาสู่โลก เราไม่ได้นำสันติสุขมา แต่นำดาบมา
 35 เรามาเพื่อที่จะทำให้ลูกชายต่อต้านพ่อ ลูกสาวต่อต้านแม่ ลูกสะใภ้ต่อต้านแม่สามี 
36  ศัตรูของคน ๆ หนึ่งก็คือ คนในครอบครัวของเขาเอง 

การเป็นศิษย์ของพระเยซู
37 “คนใดที่รักพ่อหรือแม่มากยิ่งกว่ารักเรา
ไม่สมควรที่จะติดตามเรา  คนใดที่รักลูกชายหรือลูกสาวมากกว่ารักเรา ก็ไม่สมควรที่จะติดตามเรา

 38 คนใดที่ไม่เต็มใจรับกางเขน
และติดตามเรามาก็ไม่คู่ควรกับเรา
 39 คนที่พยายามรักษาชีวิตของตนจะสูญเสียชีวิตนั้นไป แต่คนใดที่เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราจะรักษาชีวิตแท้จริงนั้นไว้


การต้อนรับคนของพระเจ้า
40 ใครก็ตามที่ตอบรับเจ้าก็รับเราด้วย 
และผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา
41 ใครก็ตามที่ตอบรับผู้เผยพระดำรัส
เพราะเขาเป็นผู้เผยพระดำรัส
ก็จะได้รับรางวัลอย่างที่ผู้เผยพระดำรัสพึงได้รับ 
และใครก็ตามที่รับคนเที่ยงธรรม
เพราะเขาเป็นคนเที่ยงธรรม
ก็จะได้รับบำเหน็จอย่างคนเที่ยงธรรม
42 คนใดที่ให้น้ำเย็นสักแก้วแก่คนเล็กน้อย
เพราะเขาเป็นคนของเรา

จะไม่ขาดรางวัลของเขาเลย

อธิบายเพิ่มเติม

พระเยซูทรงส่งศิษย์ใกล้ชิด(อัครทูต) ออกไป 
10:1 เมื่อพระเยซูทรงเรียกศิษย์สิบสองคนที่ใกล้ชิดมา เป็นคนที่จะอยู่กับพระองค์ จะเห็นการทำงาน การสอน การรักษาโรคของพระองค์ และ พระองค์ทรงให้อำนาจการไล่ผี การรักษาโรคให้พวกเขาด้วยอย่างที่ไม่ได้หวงอำนาจเหล่านั้นไว้เลย พวกเขาไม่ได้ทราบว่า ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในจักรวาลเป็นของพระเยซูคริสต์ .. แต่ต่อไปนี้ พวกเขาจะต้องใช้ฤทธิ์เดชนั้นอย่างพระอาจารย์ของพวกเขา

10:2-4 เราจะเห็นว่า ในบรรดาศิษย์สิบสองคนนี้ มีพี่น้องอยู่สองคู่คือ ซีโมนกับอันดรูว์ ยากอบกับยอห์น ที่เหลืออีกแปดคนนั้นมาจากคนละครอบครัว และยังมีคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรู้ว่าจะทรยศพระองค์ แต่ก็ทรงเลือกเขาไว้ด้วย
ศิษย์ทั้งสิบสองคน มีอาชีพเดิมต่างกัน ทั้งเป็นชาวประมง คนเก็บภาษี คนที่สนใจการเมืองอย่างซีโมน พระองค์ทรงให้คนต่างมุมมองมาเป็นศิษย์และให้พวกเขาทำงานด้วยกัน และแบบอย่างนี้ก็ส่งต่อลงมายังพระกายของพระคริสต์คือคริสตจักรด้วย … ผู้คนที่แตกต่าง มารักพระเจ้าองค์เดียวกัน มาเป็นพี่น้อง มานมัสการและทำงานรับใช้พระเจ้าด้วยกัน

10:5-8 พระเยซูทรงกำชับวิธีการออกไป
ผู้ที่เป็นคนสำคัญในพันธกิจครั้งนี้ของศิษย์คือ คนอิสราเอลที่หลงไปจากทางของพระเจ้า เป็นคนที่พระเยซูทรงสงสารเพราะพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง (มัทธิว 9:35-38 ; เยเรมีย์ 50:6 )
พระองค์ทรงสอนให้พวกเขาอธิษฐานต่อพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของนาให้ส่งคนของพระองค์ออกไป และเวลานี้ พระเยซูก็ทรงส่งคนออกไปอย่างที่ได้อธิษฐาน แต่พระเยซูทรงห้ามไม่ให้เข้าไปในเมืองที่มีชาวสะมาเรีย นับได้ว่าเป็นครั้งเดียวที่มัทธิวกล่าวคำว่า สะมาเรีย!
พระองค์ทรงให้ทั้งประกาศ รักษาคนป่วยทั่วไปและโรคเรื้อน ทำให้คนฟื้นจากตาย รวมถึงขับผี ซึ่งเป็นการสู้กับโลกวิญญาณโดยตรง ​….​

10:9-10 ทอง เงิน ทองแดง ต่างมีค่าที่จะใช้ซื้อของได้ แต่พระเยซูไม่ให้พวกเขาเตรียมสิ่งเหล่านั้นไป พระองค์ทรงวางกฎไว้ชัดเจนว่า คนที่ทำงานจะต้องได้รับการสนับสนุนจากคนท้องถิ่นที่เขาไปรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายหรือที่พัก เมื่อพักบ้านใดก็ให้พรแก่บ้านนั้น (ลูกา 10:5) คำว่าย่ามนั้นมีความหมายได้สองอย่างคือย่ามเดินทาง กับย่ามขอทาน เสื้ออีกตัวเพื่อที่จะใส่สลับกัน รองเท้า ไม้เดินทาง (ก็เพื่อเอาไว้ป้องกันตัวจากสัตว์ร้ายหรือโจรที่ซุ่มตามทาง) พระเยซูจะให้เขาไปด้วยการพึ่งพระเจ้าเต็มที่

10:11-13 ในแต่ละเมืองพวกเขาจะต้องพักในบ้านของคนที่ยินดีต้อนรับ และให้อยู่ที่นั่นที่เดียว ไม่ให้ทำเหมือนกับพวกนักบุญสัญจรที่มีอยู่ระบาดในสมัยนั้น พวกเขาจะไปหลายบ้านเพื่อเอาย่ามไปขอทาน


10:14-15 เมื่อเขาไม่ต้อนรับ
การที่บ้านเมืองใดไม่ต้อนรับพระวจนะของพระเจ้านั้น แสดงว่าพวกเขาต่อต้านพระองค์ เราจะเห็นประเทศมากมายที่ห้ามการประกาศ ห้ามมีพระคัมภีร์ และจะจับผู้เชื่อจำคุกจนกว่าจะปฏิเสธพระนาม ที่พระเจ้าตรัสว่า โทษของโสโดม โกโมราห์ยังเบากว่า …​เราเชื่อได้ เพราะเห็นจากประเทศที่ต่อต้านพระเจ้า ดูตัวอย่างจาก https://www.opendoorsus.org/en-US/stories/10-most-dangerous-places-Christian/

10:16-17 พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
ข้อความตอนนี้ พระเยซูทรงเปรียบศิษย์เป็นแกะที่ออกไปอยู่ท่ามกลางสุนัขป่า ซึ่งมีความหมายถึงความรุนแรง การถูกโจมตี ถูกข่มเหง คนของพระเจ้าอ่อนแอกว่าสุนัขป่าก็จริง แต่เจ้าของแกะนั้นก็ยิ่งใหญ่กว่าสุนัขป่า
พระองค์ทรงสอนให้พวกเขาฉลาดแต่ไม่มีอันตรายต่อคนอื่น โดยเปรียบกับงูที่มีความฉลาด ตื่นตัว รู้ตัวเสมอ คอยระวังตัว ส่วนนกพิราบมีความหมายถึงความบริสุทธิ์ ซื่อตรง อ่อนโยน สันติ และไม่มีภัยต่อผู้อื่น พวกเขาจะไม่ตอบสุนัขป่าด้วยวิธีการของโลก แต่ใช้อาวุธจากพระเจ้า ทั้งพระคำ การอธิษฐาน และความฉลาดเฉลียวที่พระเจ้าได้ประทานให้ รู้จักหลบหลีกสิ่งที่ควร และสู้ในสิ่งที่ต้องสู้เพื่อพระนามของพระเจ้า คนของพระเจ้าต้องมีสติปัญญา ความคิดริเริ่มเพื่อที่จะทำงานของพระองค์อย่างเกิดผล พวกเขาจะถูกจับ ถูกไต่สวน มีความเป็นศัตรูอยู่สูงในโลกข้างนอกแต่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่กับพวกเขา

10:17-18 พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
พระเยซูทรงเตือนล่วงหน้าว่า พวกเขาจะได้เจออะไรบ้าง เราไม่ทราบว่าในหมู่ศิษย์สิบสองคนนั้น มีใครค้านคำตรัสของพระองค์ในใจบ้างหรือเปล่า? จะส่งเราไป แต่เราจะเจอกับความทุกข์ยาก นี่เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงบอกล่วงหน้าให้คนของพระองค์ทราบ
การถูกโบยนั้น เป็นคำสั่งจากสภายิว พระองค์กำลังตรัสกับศิษย์ทั้งสิบสองโดยตรง แต่ก็เพื่อพวกเราด้วย
ดังนั้น คำถามเมื่อเจอความทุกข์ยาก ไม่ใช่ว่า “ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดกับฉัน?” แต่ควรจะถามว่า “พระเจ้าจะให้เราเผชิญอย่างไร อะไรเป็นยุทธวิธีของพระองค์?”
พระองค์ทรงให้เขาเห็นมุมมองใหม่ การออกไปยืนอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็เพื่อเป็นพยานทั้งแต่ยิวและต่างชาติ! นี่คือเป้าหมายของพระองค์ (ทั้ง ๆ ที่ทรงกำหนดชัดเจนแต่แรกให้ไปประกาศกับคนอิสราเอล!”)

10:19-20
ตอนนี้ พระเยซูทรงให้คำมั่นสัญญาว่า พระองค์ทรงอยู่ด้วย ในวิกฤติของชีวิต ในสถานการณ์ที่ต้องพูด สิ่งหนึ่งสำคัญคือเราจะพูดความจริง และที่สำคัญสุดคือ พระวิญญาณจะทรงอยู่ด้วย และทรงนำ ทรงทำให้เราได้พูดน้ำพระทัยของพระเจ้าออกมาต่อหน้าคนที่มุ่งร้าย

10:21-22 พระวิญญาณทรงอยู่ด้วย
พระคำตอนนี้ เกิดขึ้นจริงในโลก เพราะในหลาย ๆ สังคม ความเป็นพี่น้อง พ่อแม่ ญาติก็ยังไม่สำคัญเท่าอุดมการณ์ที่ถูกหว่านไว้ อย่างเช่น ลัทธิคอมมิวนิสต์ ความเกลียดชังที่รุนแรง ความเกลียดที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก ๆ อย่างในหลาย ๆ ประเทศตะวันออกกลาง ไม่แค่ในระดับชาติเท่านั้น แต่ในครอบครัวก็สร้างขึ้นมากันเองด้วย พระเยซูทรงเตือนว่า การเป็นคนติดตามพระเจ้าจะถูกเกลียดชัง เมื่อเดือนที่แล้ว พฤษภาคม 2025 คริสเตียนในซูดานใต้ ถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก ก่อนหน้านั้นก็ในคองโก โดยที่สำนักข่าวหลักมักไม่สนใจ ไม่รายงานและถ้าหนีได้ก็ให้หนี พระเจ้าทรงเปิดทางทุกอย่างไว้ให้ แต่สิ่งสำคัญที่เห็นคือ ไม่ว่าพระเยซูพบเจออะไร เราซึ่งเป็นคนของพระองค์ก็เจอได้เช่นกันที่เราแตกต่างคือ เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับในชีวิต

10:23-26 พระเจ้าไม่ได้สอนให้เราลุกฮือ แต่ให้หนี ก่อนที่จะหนีไปจนทั่ว พระเจ้าก็เสด็จมาก่อนแล้ว ยิ่งในสมัยนี้ การหนีเป็นสิ่งที่ยากมาก เราต้องหยุดจากการติดต่อทางมือถือ ทางอินเตอร์เนทอย่างสิ้นเชิง พระองค์ทรงให้กำลังใจว่า สิ่งที่พระองค์เผชิญ การเป็นศัตรู การเข่นฆ่า การพยายามเอาชีวิตที่พระองค์ต้องเผชิญนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ พระเยซูทรงสอนให้เรายืนมั่น ยืนมั่นสิ และสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้าไว้ สิ่งที่มารต้องการมากที่สุดคือ ให้เราล้มลง ให้เราทรยศพระเจ้า ดังนั้น คนที่ข่มเหงเราอาจจะเป็นคนในครอบครัว คนในท้องถิ่นเอง

10:27-31 อย่ากลัวคน จงกลัวพระเจ้า
สิ่งที่เราบอกเจ้าในที่มืด นั่นคือ สิ่งที่พระเยซูทรงสอนเป็นคำอุปมา เป็นคำที่คนทั่วไปไม่เข้าใจ มีแต่ศิษย์ของพระองค์ที่มีโอกาสถามและเข้าใจได้
อาจมีหลายสิ่งที่พวกเขาไม่อาจจะเข้าใจได้ หรือทนได้ในเวลานี้(ยอห์น 16:12)แต่เวลาต่อมาในอนาคต พวกเขาจะเข้าใจและจะได้สอนคนอื่นต่อไป
และไม่ใช่แอบสอน แต่จะประกาศให้ใคร ๆ ได้รับรู้ และเข้าใจเสียด้วย
พระเยซูทรงสอนชัดเจนตั้งแต่แรกว่า พระองค์มาเป็นที่หนึ่งก่อนครอบครัว และตรงนี้ทรงบอกว่า ไม่ต้องกลัวคนที่ฆ่าได้แค่ร่างกาย แต่ให้กลัวพระองค์ผู้ที่มีอำนาจเหนือร่างกายและจิตวิญญาณ
และพื้นฐานของความกลัวหรือความยำเกรงนี้ไม่ใช่อยู่ที่ความกลัวลาน แต่เป็นความยำเกรงพระเจ้าที่มั่นใจว่า ชีวิตของเราอยู่ในการดูแลของพระองค์ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา พระองค์ทรงทราบหมด เรายังมั่นใจว่า เรามีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ทรงยืนยันด้วยการพูดถึงจำนวนผมที่หลุดร่อน เกิดใหม่ทุกวัน พระองค์ทรงทราบจำนวน ของผมเราทุกวินาทีแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงโดยที่เราไม่รู้เลย!!
พระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าที่เป็นเจ้าแห่งจำนวนอันมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นดาวบนท้องฟ้า หรือ เซลต่าง ๆ ในร่างกายที่นับไม่ถ้วน หน้าที่ของเราคือเข้าใจพระองค์ให้ได้ว่า สิ่งที่ทรงบอกไว้ในโลกโบราณนั้น ยิ่งมีความหมายมากขึ้นในสมัยนี้ที่รู้รายละเอียด ความเป็นไปของสิ่งสารพัดทั้งที่ใหญ่โตมากและเล็กน้อยยิ่งกว่าคำว่านาโน

10:32-33 การยอมรับพระเจ้าต่อหน้าผู้อื่น
การยอมรับพระเจ้าต่อหน้าคนอื่น คือการแสดงตนว่าเป็นคนของพระเจ้า การที่เราจะเก็บพระเจ้าเงียบไว้คนเดียวนั้น อาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเราไม่ได้เป็นคนของพระองค์ ทุกอย่างในชีวิตของเราจะต้องให้การกับพระเจ้า 2 โครินธ์ 5:10

10:34-36 ความแตกแยกในครอบครัวเพราะพระเยซู
แม้พระเมสสิยาห์จะเป็นผู้นำสันติสุขมาให้ เหมือนอย่างที่บอกว่าพระองค์ทรงเป็น ซาร์ชาโลม ราชาแห่งสันติสุข แต่ผู้คนในโลกจะแยกตัวออกจากกันอย่างเห็นได้ชัด พวกหนึ่งจะตามพระองค์ไป อีกพวกจะตามสิ่งที่เขาเลือก เป็นทางสองทางที่ไม่มีทางมาพบกันได้ ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง เราพบว่า ในประเทศที่ห้ามการเชื่อพระเยซู ยังมีการทำให้พี่น้อง พ่อแม่ในครอบครัวกลายเป็นสายลับให้กับรัฐบาลเพื่อจับตัวใครก็ตามที่เชื่อไปลงโทษ เป็นเรื่องเจ็บปวดที่คนในครอบครัวจะหันหลัง กลายเป็นศัตรูต่อกัน
 

10:37-39 การเป็นศิษย์ของพระเยซู
ผู้ที่ทำให้คนในครอบครัวเดียวกันแตกแยกกัน ก็คือพระเยซูนั่นเอง การที่พระองค์กล่าวว่า คนที่รักครอบครัวมากกว่ารักพระองค์ ก็ไม่คู่ควรกับพระองค์ เป็นสิ่งที่ดูเหมือนโหดร้าย แต่ความจริงแล้ว รู้ไหมว่า คนที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาจะรักคนในครอบครัวได้อย่างที่พระองค์ทรงรัก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเกลียดชังเขาเพียงใด
ครอบครัวที่คนหนึ่งได้มาติดตามพระเจ้าจริง เขาจะเป็นห่วงครอบครัว และทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้ครอบครัวได้พบความจริง เขาจะมุ่งมั่นที่จะนำครอบครัวมาสู่ความรอด ดูมัทธิว 13:53-58, มาระโก 3:21
การรับกางเขน การติดตามพระเยซูเป็นเรื่องที่เราต้องตัดสินใจ พระเยซูทรงยื่นการเลือกนี้ให้เราได้คิดใคร่ครวญ และตัดสินใจ
นี่ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่รักคนในครอบครัว ไม่ดูแล ไม่เอาใจใส่ แต่ทรงชวนให้ทุกคนรักพระเจ้ามากกว่า (เอเฟซัส 6:2, 4; 1 ทิโมธี 5:8; กิจการ 5:29)


10:40-42 การต้อนรับคนของพระเจ้า
การตอบรับดังกล่าวนอกจากจะเป็นการรับคำของคนที่พระเจ้าทรงส่งมา ก็ยังเป็นการมีน้ำใจรับแขกในเวลาเดียวกัน พระเจ้าทรงให้พระพรที่มีในคนของพระองค์ ได้ส่งต่อไปยังคนที่รับพระดำรัสของพระเจ้า นี่เป็นพระพรแบบที่เราไม่คาดว่าจะได้รับ เมื่อคนของพระเจ้าเป็นพยาน และเพื่อนของเขา หรือคนที่ฟังอยู่ รับคำนั้น เขาก็จะได้รับพระพรเป็นการตอบแทน!!
ที่ลึกไปกว่านั้น หากเขารับคนของพระเจ้า ยอมรับสิ่งที่เป็นพยานให้เขาฟัง เท่ากับรับพระเยซู และรับพระบิดาด้วย ! นี่เป็นความมหัศจรรย์ของการเป็นพยานเรื่องพระเยซู
และหากต้อนรับคนของพระเจ้าด้วยน้ำแก้วเดียวอย่างเต็มใจ ก็ยังได้รับพระพรอีก เพราะเท่ากับกำลังยื่นน้ำเย็นให้กับพระเจ้าเอง ..

พระคำเชื่อมโยง

1* ลูกา 6:13
2* ยอห์น 1:42
3* กิจการ 1:13
4* กิจการ 1:13; ยอห์น 13:2; 26
5* มัทธิว 4:15; ยอห์น 4:9
6* มัทธิว 15:24; เยเรมีย์ 50:6
7* ลูกา 9:2; มัทธิว 3:2
8* กิจการ 8:18
9* 1 ซามูเอล 9:7; มาระโก 6:8
10* 1 ทิโมธี 5:18
11* ลูกา 10:8
12* ลูกา 10:5-6
13* ลูกา 10:5; สดุดี 35:13
14* มาระโก 6:11; กิจการ 13:51


15* มัทธิว 11:22,24
16* ลูกา 10:3; เอเฟซัส 5:15; ฟีลิปปี 2:14-6
17* มาระโก 13:9; กิจการ 5:40; 22:19; 26:11
18* 2 ทิโมธี 4:16
19* ลูกา 2:11-12; 21:14-15
20* 2 ซามูเอล 23:2
21* มีคาห์ 7:6
22* ลูกา 21:17; มาระโก 13:13
23* กิจการ 8:1; มาระโก 13:10; มัทธิว 16:28
24* ยอห์น  15:20
25* ยอห์น  8:48, 52
26* มาระโก 4:22
27* กิจการ 5:20
28* ลูกา 12:4-5


29* ลูกา 12:6-7
30* ลูกา 21:8
31* ลูกา 12:24
32* ลูกา 12:8; วิวรณ์ 3:5
33* 2 ทิโมธี 2:12
34* ลูกา 12:49
35* มีคาห์ 7:6
36* ยอห์น  13:18
37* ลูกา 14:26
38* มาระโก 8:34
39* ยอห์น  12:25
40* ลูกา 9:48
41* 1 พงศ์กษัตริย์ 17:10
42* มาระโก 9:41